X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม 5 ครั้งที่ 3

คนอื่นๆ จับอะไรไม่ได้จากคำพูดของนาง ทว่าหลูจื้อเลิกคิ้วนิดหนึ่ง เขารู้นิสัยของน้องสาวดี หากเป็นคนแปลกหน้า มีหรือที่นางจะใส่ใจสักกระผีก เกรงว่าพูดถึงมากขึ้นอีกคำก็ยังไม่ทำเพื่อหลบเลี่ยงปัญหา เห็นชัดว่าท่าทางของนางต่อตู้รั่วจิ่นผิดแผกจากคนอื่น เขานิ่งคิดแล้วจึงกล่าว

“เสี่ยวอวี้ อาจารย์ตู้เป็นอาจารย์ของเจ้า เขาไม่สบาย พวกเราสมควรไปเยี่ยมเยียน วันนี้การประชันศาสตร์เสร็จสิ้นแล้ว ข้าว่าพวกเรายื่นเทียบไปจวนสกุลตู้เยี่ยมคารวะเขาดีหรือไม่”

“เอ่อ…” อี๋อวี้คิดไม่ถึงว่าพี่ชายจะเสนอให้ไปเยี่ยมอาการป่วยของเขาแบบนี้

ระหว่างที่นางไม่รู้จะตอบเช่นไร ตู้เหอก็กล่าวแทรกขึ้นอย่างว่องไว

“ดีสิ พี่ใหญ่อยู่กับเรือนว่างๆ จนเจียนเฉาตาย ถ้าพวกท่านไปได้ เขาต้องดีใจแน่นอน ยังจะต้องยื่นเทียบอะไรกัน ปีกลายพี่หลูยังไปเยือนที่จวนอยู่บ่อยๆ แต่ปีนี้ไม่ใคร่ได้มาสักกี่หน ประเดี๋ยวการประชันจบ พวกเราไปด้วยกันเลย ถึงตอนเที่ยงก็กินอาหารที่จวนเถอะ”

อี๋อวี้แลมองท่าทางกระตือรือร้นของตู้เหอ ยังเห็นหลูจื้อพยักหน้าจึงรับคำ

ส่วนเฉิงเสี่ยวเฟิ่งฟังอยู่ด้านข้างมิได้พูดแทรกขึ้นอย่างหาได้ยากยิ่ง ปกตินางไม่อยากพบเจออาจารย์ ยามอยู่ในห้องเรียนก็เบื่อหน่ายเต็มทีแล้ว พอเท้าย่างออกนอกสำนักศึกษาหลวงไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง

แก๊ง…แก๊ง…แก๊ง…

เสียงตีระฆังดังไปแล้วสองรอบ ผู้แข่งทั้งหลายนั่งประจำที่อยู่กลางสนาม วันนี้โต๊ะที่นั่งไม่ขาดหาย นอกจากคนที่ถูกตัดสิทธิ์ไปวันก่อน สี่สิบสี่คนที่เหลืออยู่ไม่มีใครถอนตัว

ยามผืนผ้ามหึมาเขียนหัวข้อการแข่งคลี่ลง อี๋อวี้เห็นตัวอักษรสีดำสนิทสี่ตัวบนนั้นว่า ‘ฟังเสียงเขียนเพลง’ ยังใจกระตุกวูบหนึ่งอยู่ดี

ผู้ที่เดินหอบพิณลงมาจากเรือนเบญจมาศเป็นอาจารย์วิชาดีดพิณชื่อดังคนหนึ่งของสำนักศึกษาหลวง เขานั่งหันหน้าเข้าหาผู้แข่งสี่สิบสี่คนแล้ว รอทุกคนวางกระดาษถือพู่กัน ถึงกรีดสายดีดเบาๆ

เสียงพิณติงตังดังระรัว อี๋อวี้พรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง จรดปลายพู่กันบนกระดาษขณะที่คนอื่นเคาะนิ้วนิ่วหน้า

ฟังเสียงเขียนเพลง เป็นการบันทึกทำนอง ตำแหน่งของนิ้วกับสายพิณจากทุกๆ จังหวะการดีดบรรเลงด้วยตัวอักษรอาจฟังดูยากเย็น แต่สำหรับผู้ช่ำชองการดีดพิณหรือจดจำทำนองเพลงได้เก่งกลับเป็นเรื่องง่ายดาย แค่ว่าท่วงทำนองของ ‘ลำนำเขาเจี๋ยสือ : กล้วยไม้ป่า’ นี้แยกแยะได้ลำบากอยู่สักหน่อย นางเคยได้ยินอาจารย์ดีดให้ฟังครั้งหนึ่งในวิชาดีดพิณ จำน่ะจำได้ แต่เขียนออกมาไม่ง่ายเลย

การแข่งนี้ตั้งหัวข้อยากกว่าปกติ กระนั้นอาจารย์วิชาดีดพิณค่อนข้างเมตตาใจดี เขาดีดบรรเลงติดๆ กันหลายรอบ ระหว่างนั้นยังหยุดเว้นจังหวะให้พวกลูกศิษย์จดบันทึก ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม การแข่งสิ้นสุดลง เหล่าเด็กรับใช้ก็เก็บม้วนกระดาษที่ประทับตราประจำตัวลูกศิษย์ไป

อี๋อวี้เหลียวมองรอบตัว คนไม่น้อยล้วนหน้าตาเคร่งเครียด แต่คนที่บนหน้าฉายรอยยินดีก็มีอยู่ เฉิงเสี่ยวเฟิ่งเบะปากลุกจากโต๊ะตัวเองมานั่งข้างกายนาง

“แบบนี้คงสบายจ่างซุนเสียนไปเลย”

อี๋อวี้พูดเตือน “ไม่แน่คุณหนูหลูของสำนักท่านอาจเป็นผู้ชนะก็ได้นะเจ้าคะ”

 

การประชันศาสตร์ห้าสำนักผ่านไปสี่แขนงแล้ว สำนักไท่เสวียเป็นผู้นำอย่างขาดลอยกวาดป้ายไปสำนักเดียวถึงสามป้าย แทบจะนั่งแท่นเป็นอันดับหนึ่งของห้าสำนักในปีนี้เป็นที่แน่นอนแล้ว อาจารย์หัวหน้าสำนักอีกสี่สำนัก นอกจากจิ้นฉี่เต๋อของสำนักซูเสวียที่ได้ป้ายไม้สลักมาหนึ่งป้าย ล้วนไม่สบอารมณ์กันทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหยียนเหิง เพราะสำนักซื่อเหมินเสวียซึ่งที่ผ่านมาเป็นรองแค่สำนักไท่เสวียเพลานี้ยังคว้าไม่ได้สักป้าย

ตอนที่ผู้ตัดสินเก้าคนนั่งอยู่ในเรือนเหมยตรวจเทียบม้วนกระดาษของลูกศิษย์ทั้งหลายกันเอง ฉาจี้เหวินยังมีแก่ใจสัพยอกเขา

“เหล่าเหยียน อย่าทำหน้าบึ้งตึงไปเลย แม้ว่าเจ้าคงสู้สำนักไท่เสวียของข้าไม่ได้แน่ๆ แล้ว แต่หลังจากนี้ตั้งใจให้มากๆ หากโชคดี อันดับที่สองนี้อาจยังเป็นของเจ้าอยู่”

เหยียนเหิงไม่ตอบคำ ฝ่ายจิ้นฉี่เต๋อไล่สายตาอ่านม้วนกระดาษอย่างว่องไว พลางกล่าวพึมพำกับตนเองด้วยสุ้มเสียงที่คนรอบข้างล้วนได้ยิน

“นั่นยังไม่แน่เสมอไป ถ้าสำนักซูเสวียของข้าได้อีกป้ายหนึ่งต่อจากนี้ ถึงอันดับหนึ่งเป็นของไท่เสวีย แต่อันดับสองคงได้เปลี่ยนมือบ้างแล้ว”

เหยียนเหิงแค่นเยาะเสียงหนึ่ง ด้วยจนถึงบัดนี้ตนยังไม่ได้จับแม้แต่ครึ่งป้าย จะพูดอะไรก็ไม่เต็มปาก จึงไม่ต่อปากต่อคำกับพวกเขาสองคนอีก จนกระทั่งผู้ตัดสินเก้าคนเปรียบเทียบม้วนกระดาษที่ผ่านการตรวจทานแล้วทั้งหมด…

“ฮ่าๆ เหล่าฉา สมพรปากเจ้าแล้ว!”

 

ในการประชันศาสตร์ดนตรีคราวนี้ ลูกศิษย์ที่มีทักษะดีดพิณดีเยี่ยมได้เปรียบอย่างมากจริงๆ ด้วยเหตุนี้จ่างซุนเสียนกับหลูซูฉิงจึงเป็นคนที่มีโอกาสได้ป้ายไม้สลักป้ายนี้มากที่สุด

อี๋อวี้กับเฉิงเสี่ยวเฟิ่งสนทนากันไปเรื่อยเปื่อย ยามอาจารย์ใหญ่ก้าวมาถึงราวระเบียง ทั่วทั้งบริเวณถึงพลันเงียบลง สายตาของนางมองกวาดไปกลางหมู่ผู้คนรอบหนึ่ง และหยุดอยู่ที่ตัวจ่างซุนเสียนซึ่งอยู่ห่างไปไม่ไกล

หลังจากการประชันศาสตร์การเขียนพู่กันเมื่อวานซืนยุติลง อี๋อวี้ไม่ได้พบหน้าคุณหนูใหญ่สกุลจ่างซุนผู้นี้อีก วันนี้ได้เห็นนางยังคงวางท่าหยิ่งทะนงแฝงความเย็นชาดุจเก่า นางหันขวับมาราวกับสัมผัสได้ถึงสายตาที่เพ่งมองมา

อี๋อวี้เห็นจ่างซุนเสียนผงกศีรษะกับนางด้วยใบหน้าฉาบรอยยิ้มเสแสร้ง นึกในใจว่าอีกฝ่ายรักษามารยาทได้ดีพร้อมเช่นเคย จึงเบนสายตาไปทางอื่นโดยมิได้ยิ้มตอบ

ตงฟางโย่วยืนอยู่ตรงราวรั้วเช่นเดิม เขาถือป้ายของศาสตร์ดนตรีไว้ในมือ เปล่งเสียงประกาศท่ามกลางหมู่ลูกศิษย์ที่ตั้งตารอคอย

“ผลการประชันศาสตร์ดนตรี ผู้ได้ที่หนึ่งคือ…สำนักซื่อเหมินเสวีย เก้าจวินเฮ่า”

 

ผลลัพธ์นี้นอกเหนือความคาดหมายของทุกคนอย่างยิ่งยวด จ่างซุนเสียนหันหน้ามองหลูซูฉิง ทั้งคู่สบตากันแล้วต่างขมวดคิ้วอย่างคิดไม่ถึงว่าผู้ชนะมิใช่ตนเองหรืออีกฝ่าย หากแต่เป็นคนอื่น

พวกนางเพียงประหลาดใจ แต่ไม่แคลงใจในความเที่ยงธรรมอย่างตอนประชันศาสตร์การเขียนอักษร ผู้มีฝีมือดีดพิณเป็นเยี่ยมส่วนใหญ่ล้วนจดจำและฟังทำนองเพลงได้ดีเฉกเช่นพวกนางสองคน กระนั้นคนที่จดจำและฟังทำนองเพลงได้ดี ไม่แน่ว่าฝีมือดีดพิณจะยอดเยี่ยมเสมอไป พวกแรกมีจุดเด่นอยู่ที่ประสานสัมพันธ์ของร่างกายกับการถ่ายทอดอารมณ์ทางเสียงพิณ ส่วนพวกหลังมีจุดเด่นที่ท่องจำทำนองเพลงต่างๆ และความทรงจำทั้งดีและไม่ดี ลูกศิษย์ที่ได้ป้ายนี้สมควรเป็นพวกที่จดจำทำนองบทเพลงมาอย่างหลายหลากกว้างขวาง

เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของสำนักซื่อเหมินเสวียดังอื้ออึงขึ้นในหมู่เรือน อี๋อวี้เลิกคิ้วทีหนึ่ง เอาพู่กันจุ่มล้างในกระบอกไม้ไผ่เบาๆ พลางมองเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่แย้มยิ้มเบิกบานอยู่ไม่ไกลนักแล้วอดยกมุมปากโค้งขึ้นไม่ได้

ใช่…นางรู้หัวข้อการแข่ง เมื่อคืนนางถือหนังสือทำนองพิณไว้ก็เคยคิดที่จะท่องจำไว้ แต่พลิกไปถึงหน้านั้นกลับไม่อาจขัดขืนเสียงจากมโนธรรมในใจได้ นางเลยเอามันซุกไว้ใต้หมอน จากนั้นไปที่ห้องหนังสือถือตำราเรียนวิชาพิณไว้ พร้อมกับดีดพิณคันที่แทบจะตั้งวางไว้เป็นของประดับเรือนตรงริมผนังอยู่ตลอดคืนเป็นการลับอาวุธเฉพาะหน้า

ตอนแข่งขัน นางรวบรวมสมาธินิ่งฟังเสียงพิณของอาจารย์ เขียนตำแหน่งนิ้วกับสายพิณที่น่าจะสอดคล้องกันเท่าที่จะเขียนได้

การทำเช่นนี้อาจทำให้แผนการของหลี่ไท่ต้องสูญเปล่า แต่ตัวนางเห็นว่าทุ่มเทเท่าไรก็สมควรได้รับเท่านั้น ถ้าได้รับป้ายไม้สลักป้ายนี้เพราะมีคนแพร่งพรายหัวข้อให้รู้ หรือคัดลอกเนื้อความที่ท่องจำไว้จนหนีพ้นการเป็นที่สุดท้ายได้ด้วยการทุจริต ล้วนไม่ยุติธรรมต่อทั้งผู้พึงควรเป็นที่หนึ่ง รวมถึงผู้ไม่พึงควรเป็นที่สุดท้ายแต่เดิม เช่นนั้นใจนางยากที่จะเป็นสุขได้ ต่อให้จ่างซุนเสียนอาจเป็นผู้คว้าที่หนึ่งได้ก็ตามที

ทว่าบัดนี้ดูไป ม้านอกสายตาในการประชันศาสตร์ครั้งนี้มิใช่มีแค่หนึ่งหรือสองคนแล้ว

 

ติดตามตอนต่อไปวันพรุ่งนี้

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: