บทที่ 1
เมื่อการประชันศาสตร์รอบเช้าเสร็จสิ้น หลี่ไท่แลมองเบื้องล่างดูอี๋อวี้เดินหนีไปต่อหน้าต่อตา พลางฟังอวี๋ซื่อหนานกับเหล่าอาจารย์ทั้งหลายสนทนากัน แม้นลอบไม่สบอารมณ์อยู่สักหน่อย ทว่ามิได้ตามไปจับตัวนางไว้
เขารู้มาโดยตลอดว่าบางแง่บางมุมในใจหญิงสาวผู้นี้ กระทั่งมารดาก็มีน้ำหนักไม่มากเท่าพี่ชาย ทั้งไม่มีอันใดน่าคิดเล็กคิดน้อยกับคนตายคนหนึ่ง กระนั้นพอมาเห็นท่าทางที่นางเอ่ยถึงหลูจื้ออย่างภาคภูมิใจปานนั้นยังคงสร้างความระคายใจให้ ถึงชายหนุ่มจะคิดว่าตนสำคัญต่อนางไม่น้อยหน้าหลูจื้อแล้วก็ตาม แต่เขามิได้ต้องการเพียงเท่านี้
“ฮ่าๆ เช่นนั้นก็ยินดีกับท่านอวี๋ที่ได้ลูกศิษย์ดี คุณหนูจ่างซุนมีคุณสมบัติเป็นเลิศ…”
หลี่ไท่หมุนกายมา พวกเขาก็เงียบเสียงพูดคุยลง เหตุการณ์วุ่นวายเล็กๆ ข้างล่างเมื่อครู่มิได้ดึงดูดความสนใจคนเหล่านี้ เมื่อเห็นหลี่ไท่จะกลับ ทุกคนลุกขึ้นยืนส่ง อวี๋ซื่อหนานโบกมือให้คนอื่นก่อนตามหลังเขาลงบันไดไปติดๆ เหลือจิ้นฉี่เต๋อกับฉาจี้เหวินอยู่รั้งท้าย ทั้งสองสบตากันแล้วต่างคนต่างลูบเครายิ้มๆ
การประชันศาสตร์เขียนพู่กันในวันพรุ่งนี้นั้นน่าดูน่าชมยิ่ง เพราะจะเป็นการดวลกันระหว่างสำนักไท่เสวียกับสำนักซูเสวีย ฝ่ายหนึ่งเป็นบุตรสาวทายาทสายตรงของสกุลจ่างซุนและศิษย์คนใหม่ของปรมาจารย์ห้าด้านเป็นเลิศ ฝ่ายหนึ่งคือสตรีมากความสามารถหน้าใหม่ของเมืองฉางอันและเป็นว่าที่ชายาเว่ยอ๋อง หนำซ้ำอวี๋ซื่อหนานกับหลี่ไท่จะมาอยู่ในงานทั้งคู่ ฉะนั้นใครแพ้ใครชนะจึงยากจะบอกได้ชัดจริงๆ
หลี่ไท่ออกจากสำนักศึกษาหลวงแล้วกลับไปยังเหยียนคังฟางทันที ราตรีก่อนโจรลักลอบเข้าวังเว่ยอ๋อง แม้ว่าไม่มีของใดสูญหาย และหลี่ไท่ก็มิได้ลงโทษใคร แต่กลอนประตูทิศตะวันตกของเรือนคลังถูกงัดแงะ เป็นเหตุให้พวกองครักษ์ซึ่งมีหน้าที่เฝ้ายามพากันร้อนอกร้อนใจ สองวันมานี้พวกเขาดูตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เดินลาดตระเวนทั่วบริเวณวังทั้งวันทั้งคืน และผลัดเปลี่ยนเวรยามอย่างขันแข็งมากขึ้น
เมื่อวานหลี่ไท่มอบหมายให้อาเซิงไปลั่วหยางเพื่อรับอิ๋นเซียวที่ถูกพาไปเลี้ยงที่นั่นหนึ่งปีกว่า และส่งตัวผิงถงผิงฮุ่ยไปตำบลหลงเฉวียน ดังนั้นภายในหอซูหลิวว่างโหรงเหรงไม่เห็นบ่าวไพร่สักคน หากเปลี่ยนเป็นวังอื่นมีหรือจะปล่อยให้ตกอยู่ในสภาพนี้ แต่หลี่ไท่ก้าวผ่านเข้าประตูคนเดียวแล้วขึ้นไปข้างบนตามลำพัง
เขาเข้าสู่ห้องโอสถที่อี๋อวี้มักขลุกตัวอยู่บ่อยๆ สาวเท้าไปยังข้างตู้ยาสูงใหญ่ กดจุดหนึ่งบนผนังว่างเปล่าหลายที ก่อนจะได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังขึ้น จากนั้นบานประตูเล็กๆ บานหนึ่งก็พลิกเปิดออกบนผนังขาวเกลี้ยง กว้างพอให้คนหนึ่งผ่านเข้าไปได้พอดี…นี่เป็นห้องลับห้องหนึ่งอย่างไร้ข้อสงสัย
อาศัยแสงไฟจากด้านนอกจะเห็นว่าข้างในปราศจากเพชรนิลจินดาใดๆ มีชั้นไม้สลักลายชิดข้างผนังสองตัว วางกล่องต่างๆ ไว้อย่างระเกะระกะ บนพรมลายริ้วที่มีรอยเท้าสีเทาๆ หลายรอยตั้งโต๊ะขาเตี้ยไว้ตรงกลาง และวางเชิงเทียนไม่ได้จุดไฟไว้ ผนังปูไม้สลับลายว่างโหรงเหรงไม่เห็นภาพเขียนพู่กันแขวนไว้แม้แต่ภาพเดียว
หลี่ไท่ยืนอยู่ในห้องครู่หนึ่ง ตอนมองดูผนังโล่งเตียนสองฝั่ง โดยเฉพาะด้านหนึ่งในนั้น สีหน้าเขาบูดบึ้งเล็กน้อย
“องค์ชาย”
เงาร่างสายหนึ่งพลันปรากฏขึ้นเบื้องหลัง เขาพูดโดยไม่หันหน้าไป “จับตัวได้แล้วหรือ”
“กระหม่อมไร้ความสามารถ ดูเหมือนเสิ่นเจี้ยนถังออกนอกเมืองไปแล้ว ต้องส่งคนไปดักที่จุ้ยเจียงหนานหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่จำเป็น คนยังอยู่ในเมืองหลวง ตามหาต่อไป”
“พ่ะย่ะค่ะ”
อาเซิงซึ่งอยู่ไกลถึงลั่วหยางกำลังล่อหลอกท่านจ้าววิหคที่เจ้าอารมณ์มากขึ้นกลับเมืองหลวง ยังไม่รู้เรื่องที่เสิ่นเจี้ยนถังโดนหลี่ไท่ขับไล่ไสส่งเมื่อหลายวันที่แล้วย้อนกลับมาตลบหลังในคืนก่อน ทั้งยังใจกล้าบ้าบิ่นงัดแงะเรือนคลังของวังเว่ยอ๋องจนทั่ว สุดท้ายหยิบ ‘ของหวง’ ของหลี่ไท่ติดมือไปหลายชิ้น เขาไม่อาจรุดกลับมาได้ทันท่วงที เลยไม่มีคนช่วยพูดปรามหลี่ไท่อยู่ข้างๆ ส่งผลให้คนบางคนที่ถูกจับตัวได้ในภายหลังเกือบโดนแล่เนื้อเอาเกลือทาเลยทีเดียว
ตอนอี๋อวี้กลับถึงตำบลหลงเฉวียน เวลาอาหารกลางวันเพิ่งผ่านพ้นไปไม่นาน
พวกหลูซื่อกินข้าวกันแล้ว นางกับโจวฮูหยินและหานลี่สามคนนั่งรับแดดอยู่ในลานเล็กของเรือนใหญ่ ส่วนหานสืออวี้ไปที่ใดอีกก็สุดรู้
“กลับมาเร็วปานนี้ กินอาหารแล้วหรือยัง”
เมื่อวานหลูซื่อได้ยินเรื่องหลี่ไท่เป็นผู้ตัดสินการประชันศาสตร์ห้าสำนักจากบุตรสาว ตอนแรกนึกว่าอย่างไรนางก็ต้องกลับมาตอนบ่าย
“ยังเจ้าค่ะ” อี๋อวี้รับม้านั่งทรงจันทร์เสี้ยวหุ้มผ้าสีน้ำเงินที่ผิงฮุ่ยยื่นให้แล้วนั่งลงข้างโต๊ะหิน โจวฮูหยินกับหานลี่อยู่คนละด้านของโต๊ะเดินหมากกันอยู่ ฝีมือของทั้งสองสูสีคู่คี่กัน ด้านหลูซื่อนั่งเย็บเครื่องรางจากผ้าไหมสีแดงอยู่อีกฝั่งหนึ่งได้ยินว่าบุตรสาวยังไม่ได้กินข้าว จึงเอาเข็มเสียบกับจอนผมแล้วเรียกให้เฉินชวีไปเรือนครัวยกของกินออกมา ผิงถงซึ่งเป็นลูกมือของหลูซื่ออยู่ได้ยินคำนี้ก็วางของในมือลงแล้วติดตามไป
“แม่มีข่าวดีจะบอก” หลูซื่อแย้มยิ้มจนรอยตีนกาขึ้น “พวกท่านป้าของเจ้าขนเครื่องเรือนจากเจียงหนานมาถึงกลางทางแล้ว อีกราวสิบวันเศษก็จะมาถึง”
คนของหานลี่เดินทางได้ว่องไว เขาพบกับคนที่มาจากหยางโจวบนถนนหลวงสู่ทิศใต้และส่งข่าวกลับมา ประหนึ่งดั่งโอสถบำรุงใจให้หลูซื่อที่เป็นห่วงว่าสินเจ้าสาวของบุตรสาวจะไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้
ทีแรกอี๋อวี้ดีอกดีใจ ต่อมาก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
หานลี่วางเม็ดหมากดำแล้วรอโจวฮูหยินเดินหมากอยู่ ได้ยินหลูซื่อถามว่านางเป็นอะไรก็ชายตาไปเห็นอี๋อวี้ส่ายหน้าไม่พูดจา เขาเขี่ยเม็ดหมากในโถเล่นๆ พลางกล่าว “นี่คงเสียดายเงินมัดจำหนึ่งพันตำลึงนั่นน่ะสิ”
อี๋อวี้ถูกเขาพูดแทงใจดำ จึงทำเสียงในลำคอเป็นเชิงยอมรับ
หลูซื่อกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจ “เงินก้อนโตกว่านี้ก็ทุ่มลงไปแล้ว แค่นี้จะสักเท่าไรเชียว ถึงอย่างไรกันไว้ดีกว่าแก้”
หานลี่หยิบหมากตายออกพร้อมกับใคร่ครวญสถานการณ์บนกระดานหมาก “คิดละเอียดถ้วนถี่มิใช่เรื่องผิด แต่เจ้าจะแต่งเข้าวังเว่ยอ๋อง อย่าให้ความสำคัญกับพวกเงินเล็กๆ น้อยๆ จนเกินไป หาไม่แล้ววันหน้าเจ้าจะโดนข่มเหงรังแกเอาได้นะ”
โจวฮูหยินวางเม็ดหมากก่อนยื่นมือไปตรงมวยผมของอี๋อวี้จับปิ่นไม้ไผ่เขียวที่เอียงอยู่ให้เข้าที่ สายตาของหญิงชรายังคงทนเห็นข้อบกพร่องไม่ได้สักนิด “มีเวลาก็รับฟังคำผู้อาวุโสให้มากๆ ไม่ผิดแน่”
ครั้งหนึ่งหานลี่เคยเป็นคุณชายตระกูลใหญ่โตมีหน้ามีตาเช่นกัน ขณะที่หลูซื่อนั้นอย่างน้อยๆ ก็เคยดูแลงานบ้านงานเรือนของสกุลฝาง ทั้งคู่จึงแจ่มแจ้งความเป็นไปและเรื่องซุกใต้พรมในครอบครัวสูงศักดิ์เหล่านี้ดี บางครั้งก็ต้องทำเป็นหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง อี๋อวี้ซึ่งเคยได้ยินได้ฟังมารดาเอ่ยถึงบ้างพยักหน้ากับโจวฮูหยินเป็นเชิงบอกว่าตนเองฟังเข้าหูแล้ว
ยามนั้นเองเฉินชวีกลับมาพร้อมกับบ่าวสองคน ตั้งโต๊ะเตี้ยสี่ขาซ้อนบนโต๊ะหิน และวางกับข้าวร้อนกรุ่นสองอย่างกับข้าวสวยชามหนึ่ง
ยามเที่ยงร้อนอบอ้าว อี๋อวี้กินไม่ค่อยลง พุ้ยข้าวเข้าปากเพียงสองคำก็วางชามลง พอดีผิงถงยกไหดินเผาใบเล็กๆ เข้ามา นางรับมาเปิดออกดูข้างในแล้วประหลาดใจเล็กน้อย จากนั้นก็กลั้นยิ้มไม่อยู่ด้วยความชอบอกชอบใจ ก่อนจะหันไปกล่าว “ส่งมาเมื่อเช้าหรือ”
สิ่งที่ใส่อยู่ในไหใบนี้มิใช่อื่นใด เป็นผลอิงเถาแดงลูกอวบๆ ผิวเรียบเต่งตึง ปลิดก้านทิ้งแล้วแช่ในน้ำผึ้งชุ่มฉ่ำเป็นมันวาวชวนให้น้ำลายสอทันใด ส่วนว่าผู้ใดเป็นคนส่งมาให้ อี๋อวี้ไม่ต้องคิดไปถึงใครที่ไหนอีก ในการแข่งตีคลีวันนั้นก็พูดว่าหยางเฟยมอบส่วนที่เหลืออยู่สุดท้ายให้เฉิงหยางไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลี่ไท่ไปเอาอิงเถาสดใหม่นี้มาจากที่ใด
“เช้าวันนี้ตอนท่านเพิ่งออกไปเจ้าค่ะ” ผิงถงแย้มยิ้มดุจเดียวกัน นางเอาช้อนเงินด้ามยาวตักให้อีกฝ่ายกิน “บ่าวเห็นว่าอากาศร้อนอย่างนี้ คุณหนูคงไม่อยากอาหาร เลยเอามันแช่เย็นในบ่อน้ำ ยังใส่น้ำผึ้งแบบเดียวกับที่ท่านเชื่อมผลเฉ่าเหมยด้วย จะได้กินให้ชุ่มคอชื่นใจเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้เห็นของโปรดแล้วจะไม่อารมณ์ดีได้เช่นไร นางกินผลไม้สีแดงลูกเล็กๆ อย่างเอร็ดอร่อย ความขุ่นมัวในจิตใจจากการถูกจ่างซุนซีราวีที่หอจวินจื่อตอนเช้าก็สลายหายวับไป มาตรว่าหนนี้ต้นเหตุจะมาจากความเจ้าเสน่ห์ของหลี่ไท่ แต่นางอดพึงพอใจในตัวเขาเพิ่มขึ้นไม่ได้
“ไม่เลว ยังเป็นเจ้าที่ช่างเอาใจใส่นัก” พอในใจหญิงสาวเบิกบาน ปากก็กล่าวชมผิงถงสองคำโดยไม่รีรอ นางมิได้สังเกตเห็นว่าเฉินชวีซึ่งอยู่ด้านข้างเก็บอาหารที่นางกินเหลือถึงครึ่งชามด้วยหน้าตาซีดเผือดลง
“ท่านยาย ข้าป้อนให้ท่านชิมนะเจ้าคะ” อี๋อวี้บอกให้ผิงถงหยิบช้อนคันใหม่มาให้ ก่อนจะตักลูกหนึ่งยื่นไปจ่อริมฝีปากโจวฮูหยิน
“เอาเถอะ ผลโคมแดงนี้ให้พวกเจ้าเด็กสาวกินกันก็พอ รสมันหวานเหลือใจ ยายเฒ่าอย่างข้าฟันฟางไม่ดี ไม่ตะกละล่ะ” โจวฮูหยินชิมคำหนึ่งแล้วไม่ยอมกินอีก
อี๋อวี้เคยชินกับความรอบรู้ของโจวฮูหยิน จึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายรู้จักผลไม้บรรณาการจากแดนสู่จงนี้ นางถือไหไปคะยั้นคะยอป้อนให้มารดากิน หลูซื่อรู้ว่ามันเป็นของที่หลี่ไท่ให้คนส่งมา เห็นบุตรสาวดีใจก็กินสองคำพอเป็นพิธีแล้วไต่ถามเรื่องการแข่งขันในรอบเช้าครู่หนึ่ง ก่อนจะอ้างว่าแดดแรง ไล่ให้นางกลับไปชำระกายนอนพักก่อน
วันที่สิบสามเดือนสามเป็นการแข่งขันแขนงที่สามของการประชันศาสตร์ห้าสำนัก…ศาสตร์การเขียนอักษร เมื่อวานอากาศร้อนอบอ้าว วันนี้ก็ฟ้าครึ้มอีก อี๋อวี้คิดว่าต้องนั่งอยู่ในสนามเป็นเวลานาน เลยสวมเสื้อผ้าบางชั้นเดียวไว้ด้านในชุดประจำสำนักเพิ่มอีกตัว ยามออกจากเรือน หลูซื่อยังไม่ลืมให้ผิงถงนำร่มกันฝนติดตัวเผื่อไว้
ตอนถึงสำนักศึกษา กลุ่มเมฆดำปกคลุมผืนนภาไว้ครึ่งซีกดูสลัวราง ดวงอาทิตย์ถูกบดบังไว้อย่างน่าสงสาร อี๋อวี้ลงจากรถม้า แหงนคอมองด้านบนพลางลอบตรึกตรองว่าถ้าเกิดแข่งไปกลางคันแล้วฝนตกคงไม่เป็นเช่นที่หวัง ด้วยนางหมายใจจะพิชิตศึกอย่างรวดเร็ว คว้าป้ายสลักป้ายนี้มาครอบครองเพื่อให้ความปรารถนาลุล่วงโดยไว
อี๋อวี้รอคอยอยู่ชั่วครู่เดียวก็เห็นเฉิงเสี่ยวเฟิ่งควบอาชาสีแดงตัวนั้นวิ่งกุบกับๆ มาทางหัวถนน นางพลิกกายลงพื้น จูงม้าไปผูกกับต้นไม้หน้าประตูเรือนพักศิษย์ และบอกกำชับยามหน้าประตูให้เฝ้าดูไว้อย่างรอบคอบ จากนั้นกระชับคอเสื้อให้เข้าที่ พร้อมหันมาพูดกับอี๋อวี้
“อากาศแปรปรวนเสียจริง ราวกับฝนกำลังจะตก นี่ข้าเพิ่งอาบน้ำให้ม้าเมื่อวานนี้เองนะ”
อันว่าพูดดีไม่สมพรปาก พูดร้ายกลับเป็นจริง ทั้งสองยังเดินไปไม่ถึงด้านหน้าหอจวินจื่อ พระพิรุณก็โปรยปรายลงมา อี๋อวี้กางร่มยื่นส่งให้เฉิงเสี่ยวเฟิ่งที่ตัวสูงกว่าถือบังศีรษะไว้ ไม่นานนักฝนก็หนาเม็ดขึ้น
เฉิงเสี่ยวเฟิ่งคิดถึงม้าที่ยังโยงไว้ข้างนอกแล้วสบถเบาๆ คำหนึ่ง พอได้ยินเสียงอึงคะนึงจากที่ใกล้ๆ นางหันไปเห็นพวกลูกศิษย์ตรงอีกฟากหนึ่งของสนามหญ้ายกถุงสะพายไหล่ขึ้นเหนือหัว ก้มหน้าก้มตาวิ่งหลบฝนกันจ้าละหวั่นแล้วหลุดหัวเราะออกมาดังพรืด คิดคำนึงว่าเทียบกับคนอื่นแล้ว ดีชั่วพวกนางยังมีร่มคันหนึ่ง
เมื่อวานเฉิงเสี่ยวเฟิ่งเอาสุราดีงูที่อี๋อวี้กำนัลให้กลับไปและพูดตามคำบอกของอี๋อวี้ มารดาถึงมิได้ตำหนิติเตียนนาง ข้างฝ่ายเฉิงเหย่าจินยังเปิดไหสุราอย่างถูกอกถูกใจ กระนั้นสุรานี้รสไม่แรงเท่าไร เขาดื่มสองจอกแล้วก็พอ ส่วนเฉิงฮูหยินเก็บสุราที่เหลืออยู่เป็นอย่างดี
“ดูท่าว่าฝนคงไม่หยุดตกในชั่วครู่ชั่วยาม เช้านี้ยังจะแข่งขันกันหรือเปล่า” พวกนางก้าวเข้าเรือนไผ่ เฉิงเสี่ยวเฟิ่งรินน้ำชาร้อนส่งให้อี๋อวี้ถือไว้และเอ่ยถามขึ้น “หรือไม่ไปถามที่เรือนเหมยไหม”
อี๋อวี้จิบน้ำชาส่งควันกรุ่นๆ นางใคร่ครวญว่าอาจต้องเจอกับหลี่ไท่ก็สองจิตสองใจนิดหนึ่งพลางกล่าวว่า “ไม่แน่อีกประเดี๋ยวก็จะแจ้งให้รู้แล้ว รอดูต่อไปอีกสักครู่เถอะเจ้าค่ะ”
ผ่านไปอีกหนึ่งถ้วยชา มีคนเข้าไปในเรือนเหมย ทว่าไม่มีทั้งเสียงตีระฆังและไม่มีคนออกมาบอกอะไร ลูกศิษย์ชั้นล่างเริ่มพูดคุยซุบซิบกันเสียงดังอื้ออึง หลังถูกเฉิงเสี่ยวเฟิ่งกล่าวเร่งหลายครั้งหลายครา อี๋อวี้ไม่อาจไม่วางถ้วยชาลงแล้วกางร่มเดินไปทางเรือนเหมย นางรู้นิสัยอีกฝ่ายดีว่ากลัวพบกับพวกอาจารย์ จึงไม่ฝืนใจให้ตามมาด้วย
พื้นดินตรงเชิงบันไดยุบเป็นแอ่งแอ่งหนึ่งมีน้ำฝนขังจนเต็มในเวลาอันสั้น อี๋อวี้ยกชายกระโปรงลองยกเท้าหลายหน คะเนได้ว่าอาศัยความยาวของช่วงขาตนข้ามไป อย่างไรรองเท้าก็ต้องเปียก นางหันซ้ายหันขวามองหาทางอื่นอ้อมไปไม่ได้ จึงทำใจเด็ดตั้งท่าจะเดินข้ามแอ่ง แต่เพิ่งก้าวขาออกไปข้างเดียวก็ถูกคนจับคอเสื้อด้านหลังหิ้วตัวกลับมา
“ตามีไว้ดู มองไม่เห็นแอ่งน้ำรึ”
ได้ยินเสียงทุ้มต่ำเอื่อยเฉื่อยแกมประชดนี้ อี๋อวี้ปรับสีหน้าให้เป็นปกติแล้วคลี่ยิ้มพร้อมหันศีรษะไป แต่พอเห็นจ่างซุนซีถือร่มหนังสีเขียวลายดอกอมยิ้มพยักหน้าให้นางอยู่ข้างหลังหลี่ไท่ ความยินดีในอกก็อันตรธานหายไป นางฝืนยิ้มมุมปากทีหนึ่ง เอี้ยวคอให้ตัวหลุดจากฝ่ามือบนคอเสื้อและค้อมศีรษะคารวะ
“ท่านอ๋องเพคะ”
“ฝนตกอยู่ยังเดินเพ่นพ่านทำไม” หลี่ไท่คลายมือจากคอเสื้อหญิงสาว สายตามองกวาดร่างนางแวบหนึ่งก่อนหยุดอยู่ที่รอยเปียกวงเล็กๆ บนหัวไหล่
“เอ่อ…หม่อมฉันจะมาถามอาจารย์ว่าตอนเช้าฝนตกแบบนี้ยังจะแข่งขันกันหรือไม่เพคะ” อี๋อวี้ถอยหลังก้าวสั้นๆ หนึ่งก้าว ไม่ให้น้ำจากขอบร่มกระเซ็นโดนตัวหลี่ไท่ ข้างกายเขามีผู้ดูแลคนหนึ่งยืนชูแขนขึ้นสูงๆ กางร่มให้
วันนี้เว่ยอ๋องผู้สูงศักดิ์สวมเสื้อคลุมคอกลมสีฟ้าอ่อนสะอาดตา ตามสาบเสื้อและชายแขนเสื้อขลิบริมด้วยด้ายเงิน สายคาดเอวหนังสีเหลืองอมเขียวขับเน้นเรือนกายเพรียวกระชับแข็งแรง ลำพังดวงหน้านั่นก็ทำให้คนละสายตาไม่ได้แล้ว ยิ่งแต่งกายอย่างนี้ยืนอยู่กลางสายฝนขมุกขมัว สรรพสิ่งรอบด้านล้วนกลายเป็นฉากหลัง บันดาลให้เบื้องหน้าสายตามองเห็นแต่คนผู้นี้ แม้แต่จ่างซุนซีผู้โฉมงามล้ำเหลือด้านข้างนั่นยังถูกข่มให้รัศมีหมองลงไปทันตา
“กลับไปรอก่อน” หลี่ไท่กลับไม่ใส่ใจว่าแขนเสื้อจะเปียกฝน ยื่นมือผ่านม่านฝนส่งผ้าเช็ดหน้าแห้งสะอาดผืนหนึ่งให้หญิงสาว หากมิใช่รู้ว่านางหน้าบาง เขาไม่ถือสาที่จะช่วยเช็ดให้ด้วยซ้ำ
“เพคะ” อี๋อวี้อาจทำท่าทางว่าง่ายรับผ้าไว้ และถึงนางรู้ว่าเขาไม่อยากเห็นตนตากฝน ทว่าขณะมองดูเขาสาวเท้าก้าวเดียวก็ข้ามแอ่งน้ำขังนั่นไปได้ และจ่างซุนซีถือร่มเดินย่ำน้ำก้าวสั้นๆ ตามไป พลางเอียงคอพูดคุยกับเขาด้วยรอยยิ้มละไมแล้ว นางยังคงขมวดคิ้วทีหนึ่ง เหตุการณ์พรรค์นี้มิใช่แค่ครั้งสองครั้ง ต่อให้นางใจกว้างปานใด ในใจย่อมต้องไม่สบอารมณ์จนเริ่มทนไม่ไหวแล้ว
สตรีล้วนมีความรู้สึกเฉียบไว อี๋อวี้รู้เท่าทันลูกไม้ของจ่างซุนซีที่ทำทีวางตัวคล้ายใกล้ชิดคล้ายห่างเหินมานานแล้ว อีกทั้งยังมิได้นึกสนุกอย่างเป็นผู้ชมจริงๆ แต่หลี่ไท่มัวทำอะไรอยู่ ถึงปล่อยให้นางทำตามชอบใจนะ
อี๋อวี้เช็ดน้ำฝนบนหัวไหล่ มองตามแผ่นหลังที่หายลับไปตรงบันไดแล้วพยายามข่มไฟโทสะไว้ ใบหูของนางกระดิกทีหนึ่ง เมื่อได้ยินเสียงหัวร่อประหลาดๆ ลอยแว่วมาทางท้ายทอยพร้อมด้วยลมหายใจเย็นยะเยือก นางหันหน้าขวับอย่างตกใจ กลับไม่เห็นเงาร่างใดๆ กลางฝน
นางเหลียวมองด้านหลังที่ว่างโหรงเหรงซ้ำๆ แล้วสะกดความงุนงงสงสัยไว้ แต่พอหันศีรษะกลับมาก็ปะทะเข้ากับดวงหน้าเปื้อนยิ้มขยายใหญ่เบื้องหน้าในระยะประชิด ม่านตาของนางหดแคบลง ปากอ้าออกแล้วหุบลงขบกรามแน่นกลืนเสียงร้องอุทานกลับลงลำคอไป
ทั้งสองประจันหน้ากันใต้ร่มคันเดียวกัน ไม่มีคนใดเปล่งเสียงจวบจนเสียงฟ้าคำรามครืนๆ บนท้องฟ้าดังขึ้นทำลายความเงียบชอบกลนี้ลง
“เฮ้อ…นี่เจอข้าแล้วตะลึงไปด้วยความดีใจหรือไร”
ฝ่ามือเปียกชื้นข้างหนึ่งโบกไปโบกมาตรงหน้านางแล้วจะวางแตะข้างแก้ม ทว่าข้อมือถูกยึดไว้ก่อนจึงสัมผัสไม่โดนผิวกายนางแม้แต่น้อย
อี๋อวี้ดึงมือข้างนั้นออก หันหลังเดินกางร่มกลับไปทางเรือนไผ่ด้วยหน้าตาเรียบเฉย ประหนึ่งไม่เคยพบเห็นใครสักคน
“จุๆ เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ดั้นด้นนับพันลี้มาหาเจ้าถึงเมืองหลวง เจ้ากลับเย็นชาเพียงนี้ ช่างน่าน้อยใจนัก แล้วสตรีที่อยู่กับเจ้าสี่เมื่อครู่นี้เป็นใครหรือ ข้าเห็นเขากับนางไปด้วยกัน ไยทิ้งเจ้ายืนตามลำพังกลางสายฝน จริงๆ เลย เห็นตอนอยู่ต่างเมืองเขาแสนจะทะนุถนอมปกป้องเจ้า…ที่แท้กลับถึงเมืองหลวงแล้วเป็นแบบนี้นี่เอง รู้แต่แรกข้าจะมาหาเจ้าตั้งนานแล้ว…นี่ เจ้าตัวเล็ก เหตุใดเจ้าไม่เหลียวแลข้า ให้ข้าพูดเองเออเอง น่าเบื่อเหลือหลาย…”
อี๋อวี้ถูกยุดแขนเสื้อไว้จนไม่อาจไม่ชะงักเท้าอยู่หน้าเรือนไผ่ สุดท้ายนางยอมหันไปมองลูกสุนัขตกน้ำข้างกายแวบหนึ่ง
“เหยาอีตี๋ ไฉนเจ้าพูดพล่ามน่ารำคาญอย่างนี้”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 เม.ย. 63
Comments
comments
No tags for this post.