บทที่ 2
ฝนตกหนักมากขึ้น ถึงไม่มีลมพัดทว่ายืนอยู่ด้านนอกก็รู้สึกหนาวเหน็บ
อี๋อวี้ถือร่มกวาดตามอง ‘เด็กหนุ่ม’ เบื้องหน้าจากหัวจรดเท้า วงหน้าอ่อนใสแจ่มกระจ่างชวนพิศยามคลี่ยิ้ม ผู้ใดเล่าจะคาดเดาออกคนผู้นี้จะสูงวัยกว่าหลี่ไท่เสียอีก
“เหยาอีตี๋ ไฉนเจ้าพูดพล่ามน่ารำคาญอย่างนี้”
นางกล่าววาจาอย่างไร้ความเกรงใจ ภายใต้สีหน้าสงบนิ่งเก็บงำความตื่นตกใจไว้ เพียงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายมองเห็นความหวาดหวั่นของตน การเดินทางสู่เขาต้าหมั่งยังชัดเจนในความทรงจำ นางต้องประสบกับความลำบากเพราะเขาไม่น้อย โดนเขากลั่นแกล้งตลอดทาง จนถึงเมืองผู่ซาหลัวคนผู้นี้ถึงหายไปโดยไร้ร่องรอย ใครจะรู้ว่าผ่านไปเนิ่นนานปานนี้ จู่ๆ จะโผล่มาอีก
ไม่พบกันมานานหนึ่งปี เขาอ้าปากพูดก็เป็นที่รังเกียจรังงอนของหญิงสาว แต่เหยาอีตี๋หาได้โกรธาไม่ เขาขยี้ตาไล่เม็ดฝนที่เกาะบนขนตาออกแล้วเขยิบตัวเข้าไปใกล้ ก้มหน้าเบิ่งตากว้างๆ มองอี๋อวี้ เพื่อให้นางเห็นแววตาเห็นอกเห็นใจในนั้นได้ถนัดถนี่
เห็นอกเห็นใจ?
อี๋อวี้กะพริบตาปริบๆ จนแน่ใจว่ามองไม่ผิด นางบังเกิดความตื่นตัวระวังภัยขึ้นทันที รีบถอยหลังออกห่างครึ่งก้าวโดยไม่ส่อพิรุธพร้อมเอ่ยถาม “เจ้ามาเมืองหลวงทำอะไร”
“ก็บอกแล้วว่ามาหาเจ้า ไม่เชื่อข้าหรือ” พอสุ้มเสียงนุ่มนิ่มดังอยู่ใกล้ๆ ก็มีกระไอเย็นแผ่ซ่านมา
เชื่อเจ้าก็โง่แล้ว
อี๋อวี้เบะปาก นางถอยหลังอีกก้าว มองหาบันไดด้านข้างทางหางตา กำมือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าซุกเข้าใต้แขนเสื้อ และพูดอย่างขอไปที “เจ้ามาหาข้าทำไม”
“มาดูว่าเจ้าอยู่ดีมีสุขหรือไม่” เหยาอีตี๋เช็ดหยดน้ำบนหน้าออกอีกคำรบหนึ่ง จากนั้นก้มหัวจะมุดเข้าใต้ร่มของอี๋อวี้ แต่นางเบี่ยงกายหนี เขายกมือจับปลายแหลมของร่มไว้พลางกล่าวยิ้มๆ “นี่ ดีชั่วพวกเราก็เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมาก่อน มิหนำซ้ำข้ายังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเจ้าไว้ ไม่จำเป็นต้องตีตัวออกหากขนาดนี้กระมัง”
อี๋อวี้ไม่อยากโดนฝนเลยไม่โต้เถียงกับเขาอีก ยอมให้เขาเบียดกายครึ่งซีกเข้ามาอยู่ใต้ร่ม นางเงยหน้ามองชายหนุ่มที่สูงกว่าตนไปครึ่งศีรษะและเลิกคิ้วกล่าว “ผู้มีพระคุณช่วยชีวิต?”
“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าตอนนั้นหลี่ไท่ทอดทิ้งเจ้าไว้ในป่าหมอกพิษไม่ดูดำดูดี เป็นใครช่วยชีวิตเจ้า แล้วตอนอยู่ในหุบเขา เจ้าหนุ่มหลิวกวนนั่นเกือบคร่าชีวิตเจ้า เป็นใครอีกเล่าที่ช่วยเจ้าไว้” เหยาอีตี๋ชูนิ้วโป้งชี้ตนเอง “ก็ข้าอย่างไรเล่า”
เขาไม่พูดก็แล้วกันไป พอพูดขึ้นมากลับย้ำเตือนอี๋อวี้ว่าการเดินทางเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายไปเขาต้าหมั่งอันน่าระทึกขวัญหนนั้น แท้จริงแล้วหลี่ไท่ ‘ตั้งใจ’ จัดเตรียมขึ้นเพื่อนางเป็นพิเศษ แม้จะผ่านมานานแล้ว แต่เรื่องนี้ยังเป็นปมฝังแน่นในใจที่คลายไม่ออก คราใดที่นึกถึงว่าหลี่ไท่ฝึกฝนเคี่ยวกรำนางประหนึ่งเป็นสหายเคียงบ่าเคียงไหล่ นางก็จะรู้สึกคับข้องขัดเคืองใจทุกคราไป
อี๋อวี้แค่นหัวเราะแล้วย้อนถาม “แล้วเป็นใครกันที่เรียกงูพิษเป็นร้อยๆ ตัวเลื้อยมากัดข้า ดึงฝูงหมาป่านอกบึงน้ำมาไล่ล่าข้า เป็นต้นเหตุให้ข้าโดนพิษงู ยังเกือบจบชีวิตใต้คมเขี้ยวหมาป่า”
ครั้นเห็นหน้าอี๋อวี้เริ่มบูดบึ้ง เหยาอีตี๋กลอกตาไปมาแล้วหัวเราะฝืดๆ ไม่เอ่ยถึงเรื่องช่วยชีวิตนั่นต่อ เขาเปลี่ยนเรื่องพูด “ได้ยินว่าพวกเจ้าจะแต่งงานกันเดือนหน้าหรือ”
“เจ้าสืบข่าวได้ละเอียดดีนี่”
“ข้าบอกแล้วว่ามาหาเจ้า ก็ต้องสืบเรื่องเกี่ยวกับเจ้าอย่างแจ่มแจ้งบ้าง”
“เหยาอีตี๋” อี๋อวี้สูดอากาศชื้นๆ เข้าปอดเฮือกหนึ่ง เสียงฝนซู่ซ่าดังข้างหู แผ่นหลังของจ่างซุนซีที่ตามหลี่ไท่ขึ้นไปชั้นบนยังวนเวียนอยู่ในห้วงความคิด นางไม่มีแก่ใจต่อความยาวสาวความยืดกับเขาจริงๆ “ไม่ว่าเจ้ามาเมืองหลวงทำอะไรกันแน่ ทางที่ดีอยู่ห่างๆ ข้าไว้สักหน่อยเป็นดีที่สุด”
“ถ้าข้าไม่ทำล่ะ” เหยาอีตี๋จ้องมองดวงหน้าขาวลออของสตรีตัวน้อยเบื้องหน้าที่เริ่มกรุ่นด้วยไฟโทสะ หวนประหวัดอีกคราถึงความบ้าดีเดือดยามนางปกป้องคนผู้นั้นอย่างปราศจากความพรั่นพรึงแล้วปากคอแห้งผากโดยไร้สาเหตุ แต่เขามักห้ามใจไม่เข้าไปใกล้นางไม่ได้เป็นนิจ
อี๋อวี้ไม่พูดกับเขาให้มากความ มือข้างที่ถือผ้าเช็ดหน้าไว้ปัดนิ้วมือที่กำด้ามร่มของเขาออก จากนั้นเดินไปทางเชิงบันได ผงยาพิษมีพร้อมอยู่ในอุ้งมือ ขอแค่เขามุดเข้ามาอีกที นางจะตกรางวัลให้เขาอย่างจุใจ ได้นอนหลับกลางฝนชะล้างหัวสมองให้สะอาดสักที
เหยาอีตี๋ไม่ตามเซ้าซี้ ยืนอยู่ที่เดิมตะโกนไล่หลังนาง
“เจ้าตรองดูดีแล้วหรือว่าจะออกเรือนกับเขา อย่าโทษว่าข้าไม่เตือนเจ้านะ เจ้าสี่มิใช่คนดิบดีอะไรจริงๆ ส่วนที่เจ้าเห็นจากตัวเขาน้อยกว่าส่วนที่เจ้ามองไม่เห็นเสมอ รอวันใดเจ้าหมดประโยชน์สำหรับเขา เจ้าจะรู้เองว่าเขาเป็นคนใจดำเพียงใด ถึงเวลาค่อยมานั่งนึกเสียใจทีหลังก็สายเกินการแล้ว”
ได้ยินเสียงร้องเรียกทางข้างหลัง อี๋อวี้ไม่รู้ว่าสมควรโมโหหรือขบขันดี นี่มันอะไรกัน คนแล้วคนเล่าล้วนตั้งข้อกังขากับการแต่งงานของนางกับหลี่ไท่ ไม่มีคนเห็นดีด้วยที่เขากับนางจะครองคู่กันขนาดนี้เชียวหรือ ตกลงว่ามันไปขัดนัยน์ตาใครกันแน่
อี๋อวี้คิดไปถึงคำทำนายอย่างมั่นใจของนักพรตที่วัดเทียนเฮ่ออีก นางส่ายหัวสลัดคำกล่าวเหลวไหลที่ว่า ‘เป็นภัยต่อราษฎร’ ทิ้งไปแล้วจะก้าวเท้าขึ้นบันได เสียงทอดถอนใจด้านหลังก็ดังมาเข้าหู คำพูดที่ดังขึ้นหนนี้หยุดฝีเท้านางได้เป็นผลสำเร็จ
“เจ้าดูแม่นางสกุลตงฟางคนนั้นสิ มีจุดจบอย่างน่าอนาถปานใด เวลาไม่ใช้ประโยชน์แล้ว ก็ได้แต่ต้องล้มป่วยลาลับจากไปเป็นบทลงเอย”
“เจ้าว่าอะไรนะ”
“เอ๊ะ? เจ้าไม่รู้เรื่องหรือนี่” เหยาอีตี๋อยู่ใต้สายฝนเปียกโชกไปทั้งร่าง อาภรณ์บางๆ แนบติดเรือนกายผอมเพรียว เขาตวัดตามองมา รูปโฉมที่ธรรมดาสามัญแต่เดิมกลับแฝงความงามกึ่งหญิงกึ่งชายไว้ บนหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยนั่นเผยรอยยิ้มพิกล
“ก็ชายารองที่ยังไม่เข้าพิธีของเจ้าสี่ผู้นั้นอย่างไรเล่า นามว่าตงฟางอะไรจูๆ นั่นนะ มอดม้วยมรณาไปตอนต้นเดือนแล้ว บอกว่าป่วยตาย แต่ข้าขอบอกเจ้าชัดๆ ว่ามีคนไปถอนหมั้นถึงจวน บีบคั้นแม่นางน้อยที่รอคอยอย่างทรมานใจนานสามปีต้องขาดใจตาย”
อี๋อวี้คิดว่านางต้องเลอะเลือนไปแล้วเป็นแน่ พอได้ยินข่าวแบบนี้ ปฏิกิริยาแรกของตนคือมองซ้ายมองขวาจนแน่ใจว่ารอบตัวไม่มีคนได้ยิน ถึงเริ่มขบคิดความหมายของคำพูดตั้งแต่ต้นจนจบของเขา
ตงฟางหมิงจูตายไปแล้ว?!
เหยาอีตี๋เอียงคอหรี่ดวงตาฉ่ำน้ำฝนลง เฝ้ารอสีหน้าเปี่ยมสีสันแห่งอารมณ์ของอี๋อวี้ ไหนเลยจะคาดถึงว่าอึดใจต่อมานางจะสะบัดหน้ากระแทกเท้าขึ้นไปข้างบน เพียงปล่อยให้เขามองตามแผ่นหลังเร่งรีบของตน
ชายหนุ่มยกมือปาดหยดน้ำบนหน้าออก แขนเสื้อเปียกแฉะร่นลงมาถึงข้อศอกเผยให้เห็นแผลเป็นน่าเกลียดรอยหนึ่ง ยามหางตาเหลือบเห็นผิวตะปุ่มตะป่ำบนท่อนแขน นัยน์ตาของเขาเต็มไปด้วยแววนึกสนุก
“เฮอะ ทั้งที่เป็นพวกใจดำ โหดเหี้ยมอำมหิต ทั้งชอบตัดไมตรีไม่รักษาน้ำใจใคร ต่อหน้าเจ้ากลับเสแสร้งเสียเป็นจริงเป็นจังปานนั้น เจ้าตัวเล็ก ข้าน่ะหวังดีต่อเจ้านะ อย่าไม่รับน้ำใจสิ”
การประชันศาสตร์เขียนอักษรตอนเช้าถูกเปลี่ยนเป็นตอนบ่าย อี๋อวี้ไม่หลบฝนอยู่ในหอจวินจื่อกับคนอื่นๆ นางหนีหน้าหลี่ไท่ ชวนเฉิงเสี่ยวเฟิ่งไปนั่งในร้านน้ำชาแห่งหนึ่งบนถนนฉางเหลียงด้านหลังเรือนพักศิษย์
พออี๋อวี้ไต่ถามเรื่องตงฟางหมิงจู เฉิงเสี่ยวเฟิ่งอึกๆ อักๆ ครู่ใหญ่ ถึงเล่าเรื่องที่ตนรู้ทั้งหมดโดยไม่ตกหล่น
นางพูดจบยังวางมือทาบหลังฝ่ามืออี๋อวี้ “เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ ร่างกายของคุณหนูหมิงจูไม่ใคร่แข็งแรงมาแต่ไหนแต่ไร โดยเฉพาะสองปีมานี้ที่พวกเจ้าไปจากเมืองหลวง ยิ่งมิได้พบเห็นนางออกจากเรือน ได้ยินว่าต้องต้มยากินต่อลมหายใจเรื่อยมา นางเพิ่งจากไปพักก่อนก็ไม่นับว่ากะทันหัน”
เฉิงเสี่ยวเฟิ่งคบหาสหายกว้างขวาง อันที่จริงสองวันนี้นางได้ยินข่าวแต่แรกแล้วว่าตงฟางหมิงจูสิ้นชีพก่อนงานเสกสมรสของเว่ยอ๋อง มันมิใช่ลางดีอันใดจริงๆ ซ้ำร้ายมีคนขุดคุ้ยเรื่องอดีตของอี๋อวี้ขึ้นมาพูดทั้งในที่ลับที่แจ้ง กระทั่งสกุลหลูตกอับก็ล้วนโยนความผิดไปที่ตัวนางผู้เดียว มีทีท่าว่าจะมองนางเป็นตัวกาลกิณี
เมื่อคิดถึงว่าใกล้ถึงงานมงคลของอี๋อวี้รอมร่อ ไม่เหมาะที่นางจะรับฟังเรื่องเหล่านี้จริงๆ อีกทั้งเฉิงฮูหยินสำทับไว้ เฉิงเสี่ยวเฟิ่งจึงไม่พูดอะไรกับนางมาก ด้วยหวั่นเกรงว่านางจะคิดฟุ้งซ่าน
หลังพร่ำกล่าววาจาปลุกปลอบอยู่คนเดียว เฉิงเสี่ยวเฟิ่งเห็นใบหน้าอี๋อวี้ฉายอารมณ์ปรวนแปรเลยเงียบเสียงลง นางตบมืออีกฝ่ายเบาๆ พร้อมเอ่ยอย่างเป็นห่วง “เสี่ยวอวี้ เจ้าไม่เป็นไรกระมัง”
“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” อี๋อวี้สั่นศีรษะ สีหน้ากลับเป็นปกติดังเดิม “พี่เสี่ยวเฟิ่ง ท่านกลับเรือนก่อนเถอะ หากตอนบ่ายฝนตกอีกก็ไม่ต้องมาแล้ว พรุ่งนี้พวกเราค่อยพบกันที่เรือนพักศิษย์ตามเดิมนะเจ้าคะ”
“แล้วเจ้าจะไปที่ใด ข้าไปเป็นเพื่อนเจ้า”
“ไม่ต้องเจ้าค่ะ ท่านวางใจได้ เวลานี้ฝนตกอยู่ ข้าจะเถลไถลไปไหนได้เล่า ยามบ่ายยังต้องแข่งขันอีก”
“…เช่นนั้นก็ได้” เฉิงเสี่ยวเฟิ่งเห็นหน้าอีกฝ่ายไม่ผิดปกติ ทั้งนึกขึ้นได้ว่ายังทิ้งม้าตัวโปรดไว้ที่เรือนพักศิษย์ จึงล้วงก้อนเงินเล็กๆ ก้อนหนึ่งวางบนโต๊ะ จากนั้นยืมร่มจากผู้ดูแลร้านแล้วกลับไป
อี๋อวี้นั่งอยู่ในร้านน้ำชาต่ออีกเกือบครึ่งชั่วยาม นางดื่มน้ำชาที่เหลืออยู่ครึ่งกาจนหมดถึงลุกขึ้นออกจากร้านไป
กลับถึงเรือนพักศิษย์ นางพบรถม้าอยู่ตรงหัวถนน อวี๋ทงสวมเสื้อฟางกันฝนรออยู่ที่นั่น พอเขาเห็นนางเดินเข้ามาก็รีบเลิกม่านขึ้น “คุณหนูรีบขึ้นมาขอรับ อย่าตากฝน ฮัดเช้ย!”
อี๋อวี้เห็นชุดใต้เสื้อฟางของเขาเปียกแฉะจึงพูดเอ็ดเสียงเบา “ข้ายังไม่มา ไยเจ้าไม่เข้าไปหลบฝนในรถม้า”
“ทำแบบนั้นไม่ได้ขอรับ” อวี๋ทงเกาท้ายทอยอย่างกระดากใจ เขามองนางก้าวขึ้นรถม้าแล้ว ปิดม่านให้มิดชิดไปถามไป “คุณหนูจะไปไหนขอรับ”
“ไปสำนักอักษรก่อน”
เพลานี้ยังจะไปที่ใดได้อีก เจอหลี่ไท่ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที
ทีแรกอี๋อวี้คิดว่าตอนเช้าไม่ต้องแข่งขัน หลี่ไท่อาจจะกลับสำนักอักษรสะสางงาน แต่คาดไม่ถึงว่าไปถึงที่นั่นจะไม่พบเขา นางกับเฉิงเสี่ยวเฟิ่งสนทนากันในร้านน้ำชาเป็นเวลาไม่สั้น นี่จวนจะเที่ยงตรงแล้ว นางวกกลับไปที่วังเว่ยอ๋องก็ไม่เจอตัวคนดุจเดิม ท้ายที่สุดนางตามไปหาถึงหอเทียนอ่าย
ชั้นล่างมีลูกค้าไม่มาก อี๋อวี้ก้าวเข้าประตูแล้วหุบร่ม ปัดหยดน้ำบนไหล่ออก นางเงยหน้ามองเห็นหลงจู๊หลิวทำหน้าประหลาดใจอยู่หลังโต๊ะยาวก็เดาได้ว่าหลี่ไท่ต้องอยู่ที่นี่
นางมิได้พูดอะไรกับเขามากที่โถงด้านหน้า เดินไปถึงเชิงบันไดชั้นสองรอคอยครู่เดียว หลงจู๊หลิวก็วิ่งเหยาะๆ ขึ้นมา
“คุณหนู ท่านมาแล้วหรือขอรับ”
“ท่านอ๋องประทับอยู่ที่นี่ใช่หรือไม่”
“ทะ…ท่านอ๋อง…” นานทีปีหนหลงจู๊หลิวจะพูดจาตะกุกตะกักกับนางสักหน “ท่านอ๋องประทับอยู่ที่นี่ขอรับ”
ในหัวอี๋อวี้คิดแต่เรื่องของตงฟางหมิงจู ไม่ได้สังเกตท่าทางแปลกพิกลของเขา “ข้างบน?”
“เอ่อ…วันนี้ฝนตกหนัก อาภรณ์ของท่านเปียกหมดแล้ว หรือไม่ข้าเรียกสาวใช้มาพาท่านไปห้องด้านในผลัดเปลี่ยนเสื้อคลุมตัวนอกก่อน จะได้ไม่โดนความเย็นนะขอรับ” ยังนับว่าหลงจู๊หลิวกล่าวอย่างหัวไว
“อีกประเดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีเถอะ” อี๋อวี้หยิบผ้าเช็ดรอยเปียกตรงบ่าอีก ตัวนางสั่นสะท้านน้อยๆ จึงกระชับสาบเสื้อสองที ก่อนจะก้าวขาขึ้นไปทางชั้นบน ด้านหลงจู๊หลิวเดินหน้าม่อยตามอยู่ด้านหลัง
ชั้นสามมีห้องส่วนตัวหกห้องและห้องประจำตัวหลี่ไท่ ปกติอี๋อวี้มาที่นี่ จะนั่งกับเขาในห้องรับรองแขกห้องที่มองเห็นทิวทัศน์ทะเลสาบ นางไม่จำเป็นต้องให้หลงจู๊นำทาง เดินตรงไปยังหน้าห้องที่แขวนป้าย ‘ต้นไม้หยก’ เคาะประตูสองทีพอเป็นพิธี เมื่อได้ยินเสียงขานตอบต่ำๆ ถึงผลักประตูเปิด
ปราดเดียวก็แลเห็นหลี่ไท่นั่งหันหลังให้ เดิมทีหญิงสาวมีคำพูดอัดแน่นในใจ แต่พอมองเห็นร่างเขาสวมแค่เสื้อตัวในบางๆ ตัวเดียว ส่วนเสื้อคลุมยาวสีฟ้าอ่อนเมื่อเช้าหายไปไม่เห็นร่องรอย นางก็มุ่นหัวคิ้วสาวเท้าไปด้านในพลางเอ็ดเบาๆ อย่างอดใจไม่อยู่
“อากาศแบบนี้ไม่กลัวจับไข้หรือเจ้าคะ ไฉนแม้แต่เสื้อคลุมตัวนอกก็ไม่…”
เสียงพูดจากปากขาดหายไปกลางคัน เมื่ออี๋อวี้เดินเข้าไปใกล้แล้วเห็นร่างร่างหนึ่งที่ถูกแผ่นหลังหลี่ไท่บังไว้ นางนิ่งงันไปทันที
ตรงโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่ง ฝั่งนี้เป็นหลี่ไท่ที่ปลายผมชื้นเล็กน้อยกำลังเหลียวหน้ามามองนาง ฝั่งโน้นเป็นจ่างซุนซีที่ปล่อยผมเปียกสยายลงในสภาพไม่เรียบร้อยอยู่บ้าง ทว่ายังคงงดงามชวนให้ละสายตาไม่ได้ดังเก่า นางกุมถ้วยชาร้อนส่งควันฉุยใบหนึ่งไว้รับไออุ่น พลางเงยหน้าขึ้นมองอี๋อวี้เช่นกัน นางยกมือเล็กๆ นุ่มนิ่มราวกับไร้กระดูกขึ้นดึงๆ เสื้อคลุมสีฟ้าอ่อนที่คลุมหัวไหล่ และห่อไหล่เข้าหากันด้วยท่าทางคล้ายไม่ตั้งใจ นัยน์ตาเรียวยาวเปล่งประกายวาวระยับละม้ายตาแมว
“มาได้อย่างไรกัน”
อี๋อวี้รู้ว่าถ้อยคำนี้ของหลี่ไท่มิได้มีความหมายอื่นใด แต่ประโยคต่อมาของจ่างซุนซีทำให้มันแฝงนัยอื่น
“พี่สี่ แค่กๆ อากาศหนาวอย่างนี้ ให้คุณหนูหลูนั่งลงดื่มชาร้อนสักถ้วยให้อุ่นกายก่อนค่อยว่ากันเถอะเจ้าค่ะ” สุ้มเสียงของจ่างซุนซีอ่อนระโหย ดูท่าว่าจะโดนความเย็นแล้ว
หลี่ไท่ย่อมสังเกตเห็นอี๋อวี้หนาวจนริมฝีปากเป็นสีม่วงอยู่บ้าง สีหน้าที่ไม่ดีแต่แรกยิ่งบูดบึ้งลง เขาทอดสายตาข้ามตัวอี๋อวี้มองไปยังร่างบุรุษข้างหลังที่พยายามไม่ให้ตนเด่นสะดุดตาอย่างเต็มที่ พร้อมเอ่ยเสียงเย็น
“มัวยืนทื่ออยู่ทำไม”
ยามอารมณ์ไม่ดี เสียงพูดก็ต้องดังเป็นธรรมดา หลงจู๊หลิวตกใจจนยกตัวขึ้นเหยียดหลังตรงแน่ว ปากก็ขานรับ “พ่ะย่ะค่ะ” จากนั้นหันหลังวิ่งลงไปตระเตรียมเครื่องใช้ขับไล่ความหนาว ด้วยศักดิ์ฐานะของหลี่ไท่ จ่างซุนซีจึงไม่แปลกใจกับอากัปกิริยานี้ของหลงจู๊หลิว เพียงเอามือปิดปากไออยู่ด้านหลังแล้วกล่าวเสียงเบา
“แค่กๆ ท่านทำเช่นนี้ คุณหนูหลูตกอกตกใจหมด แค่ก…มีอะไรก็พูดกันดีๆ สิเจ้าคะ”
อี๋อวี้ยังกำผ้าเช็ดหน้าผืนที่หลี่ไท่ยัดเยียดให้นางตอนเช้าไว้ในมือ นางขยำมันไว้กลางอุ้งมือ ตรงกลางอกเริ่มปั่นป่วน นางมองสีฟ้าอ่อนบาดตาบนหัวไหล่จ่างซุนซีซ้ำอีกครา ก่อนหันไปทางหลี่ไท่ ท่าทางของนางกลับสงบนิ่งขณะอ้าปากพูด
“หม่อมฉันมีธุระมาพบท่านอ๋อง จะขอพูดคุยเป็นการส่วนพระองค์ได้หรือไม่เพคะ”
“แค่กๆ ดูข้าสิ อยู่ในนี้เป็นก้างขวางคอเสียแล้ว” จ่างซุนซีวางถ้วยน้ำชาลงแล้วลุกขึ้นยืน ผมเปียกทั้งศีรษะทำให้นางดูเปราะบางน่าสงสาร “พวกท่านสนทนากันเถอะ แค่กๆ ข้า…ข้าไปอยู่ข้างนอกก่อนแล้วกันเจ้าค่ะ”
อี๋อวี้มองดูนางเดินโผเผไปทางหน้าประตูอย่างเฉยเมย ครุ่นคิดอยู่ว่าจะแสร้งเอ่ยปากห้ามเป็นการผสมโรงไปด้วยหรือไม่ ไหนเลยจะคาดถึงว่าเบื้องหน้าสายตาพลันพร่าลายวูบหนึ่ง จ่างซุนซีซึ่งเดินมาใกล้ๆ ยกมือกุมหน้าผาก เข่าอ่อนตัวเซมาหาตนเอง
ตึง!
อี๋อวี้เหยียดมือไปรับจ่างซุนซีไว้ตามสัญชาตญาณ แต่นางผอมแห้งแรงน้อย รับน้ำหนักอีกฝ่ายไม่ไหวจนต้องถอยหลังสองก้าว ไหล่กระแทกเข้ากับกรอบประตูเต็มแรง นางส่งเสียงครางในลำคอพร้อมกับคลายมือออก จ่างซุนซีก็ลื่นไถลล้มลงบนขานาง ขณะที่ตัวนางพิงขอบประตูอยู่เลยแค่ทรุดลงนั่งกับพื้น
แทบจะในเวลาเดียวกับที่จ่างซุนซีล้มลง หลี่ไท่ก็พลิ้วกายเข้ามาฉุดแขนนาง ดึงตัวขึ้นจากขาของอี๋อวี้ อีกมือหนึ่งจะยื่นไปพยุงอี๋อวี้ แต่คนที่พิงร่างเขาอยู่กลับตัวอ่อนระทดระทวยจะรูดลงไปกองกับพื้นเหมือนไร้กระดูก เขาจำต้องประคองหลังนางไว้ มิให้ล้มลงไปทับอี๋อวี้ข้างหลัง
“ลุกขึ้น” หลี่ไท่เปลี่ยนเป็นใช้มือเดียวจับบั้นเอวของจ่างซุนซี เขาก้มตัวลงไม่ได้ ทำได้แค่ยื่นมืออีกข้างหนึ่งไปหาอี๋อวี้ เห็นนางมองเขาแวบหนึ่งแล้วก้มหน้าลง หัวคิ้วของชายหนุ่มก็ย่นเข้าหากัน เขาหนีบตัวจ่างซุนซีในวงแขน หมุนตัวสาวเท้าก้าวใหญ่ไปวางลงบนพื้นข้างพรม ทว่าหันศีรษะกลับไปอีกที ตรงหน้าประตูยังเหลือวี่แววใครสักคนที่ไหนกัน
“แค่กๆ เจ็บเหลือเกิน”
มือข้างหนึ่งยกขึ้นคว้าชายเสื้อของหลี่ไท่ไว้อย่างถูกจังหวะ เป็นเหตุให้เขาไล่ตามอี๋อวี้ไปไม่ได้ เขาก้มหน้าลงมองตามแรงดึง เห็นจ่างซุนซีบนพื้นกุมท้องขดตัวเป็นก้อนกลม ร่างสั่นเทาไม่หยุด
“พี่…พี่สี่ ซีเอ๋อร์ ซีเอ๋อร์เจ็บเหลือเกิน…”
หลี่ไท่กวาดสายตาไป เห็นรอยเลือดรำไรบนกระโปรงส่วนข้างเอวของนาง เขาเม้มริมฝีปาก แววหงุดหงิดจุดวาบขึ้นในดวงตา เขามองหน้าประตูที่ว่างเปล่าอีกครั้ง เก็บเสื้อคลุมที่หล่นอยู่บนพื้นขึ้นคลุมเอวของนางด้วยสายตาขรึมลง สุดท้ายก็มิได้ตามออกไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 10 เม.ย. 63
Comments
comments
No tags for this post.