X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 4

หน้าที่แล้ว1 of 4

           บทที่ 4

“ตอนบ่ายซีเอ๋อร์มิได้มาเข้าร่วมประชัน ป้ายไม้สลักศาสตร์เขียนอักษรนี้ เห็นทีว่าคงตกเป็นของคุณหนูหลูโดยไม่ต้องเปลืองแรงแล้ว หรือว่าอย่างนี้ยังไม่คู่ควรแสดงความยินดี”

ฉู่เสี่ยวซือเป็นบุตรสาวสายเลือดภรรยาเอกของตระกูล ก่อนหน้านี้บิดาของนางเป็นอาจารย์ตำแหน่งป๋อซื่อของสำนักลวี่เสวีย สองปีที่แล้วถูกโยกย้ายไปสำนักราชมนตรีฝ่ายอักษรสาร จู่ๆ ก็ได้ดิบได้ดี จากขั้นห้าเลื่อนยศรวดเดียวสามขั้นเป็นขุนนางลำดับหลักขั้นสี่ รั้งตำแหน่งรองราชมนตรีฝ่ายอักษรสารขึ้นตรงต่อฝางเฉียว ทั้งได้รับความไว้วางใจพอดู

ตำแหน่งรองราชมนตรีฝ่ายอักษรสารนี้เป็นที่จับจ้องตาเป็นมันโดยเหล่าขุนนางเสมอมา มักถูกมองว่าเป็นผู้ที่จะได้สืบทอดตำแหน่งราชมนตรีคนต่อไป ขุนนางชั้นยศเดียวกันยังต้องให้เกียรติสามส่วน นี่จึงเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรฉู่เสี่ยวซือซึ่งเคยโดนอาจารย์ใหญ่ของสำนักศึกษาหลวงลงโทษกักบริเวณ และถูกจ่างซุนเสียนถีบหัวส่งไปเป็นแพะรับบาป ถึงกลับมาผยองพองขนได้

ตอนเที่ยงอี๋อวี้เพิ่งสอบถามจากเฉิงเสี่ยวเฟิ่ง ขณะเดียวกับที่แจ่มแจ้งในบัดดล นางยังรู้สึกจนปัญญา ราวกับว่าขอแค่เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับฝางเฉียว ล้วนมิใช่เรื่องดีของนาง ฉู่เสี่ยวซือกล่าวคำนี้จะชี้เป็นนัยๆ ว่าในการประชันศาสตร์เขียนอักษรคราวนี้ ถึงนางเป็นผู้ชนะ นั่นก็เพราะจ่างซุนซีมิได้มาร่วมแข่งขัน

ลูกศิษย์ทั้งสี่ทิศบ้างนั่งบ้างยืน แต่จริงๆ แล้วกำลังชมเรื่องสนุกนี้กันอย่างเพลิดเพลิน อี๋อวี้ลอบคับใจ นางไม่ชอบให้ใครมองดูเหมือนเป็นละครลิงเป็นที่สุด เผอิญว่ามีคนชมชอบก่อความวุ่นวายขึ้นเองแล้วยังดึงนางเข้าไปร่วมด้วย

“คำกล่าวของคุณหนูฉู่ไร้เหตุผลเหลือเกิน คุณหนูจ่างซุนไม่มาลงแข่งเกี่ยวอะไรกับใคร ใช่ว่าคุณหนูหลูไม่ให้นางมาเสียหน่อย” จิ้นลู่อันจะพูดตะกุกตะกักก็แต่กับอี๋อวี้เท่านั้น ยามโต้คารมกับคนอื่นไม่เคยติดขัด

ฉู่เสี่ยวซือไม่คาดว่าจะมีคนนอกพูดแทรกขึ้น นางผินหน้าไปเห็นจิ้นลู่อัน จำได้ว่าเป็นหลานสาวของอาจารย์ในสำนักตน แววดูแคลนจุดวาบในดวงตา นางแค่นเสียงฮึแล้วกล่าว

“ข้าพูดกับคุณหนูหลู เจ้ามีสิทธิ์ใดสอดปากขึ้น”

บิดาของนางเป็นแค่รองราชมนตรีจริงๆ หรือ นี่แทบจะวางท่าเทียบเคียงกับองค์หญิงแล้ว อี๋อวี้ลอบนึกขัน ปรายตามองฉู่เสี่ยวซือที่ทำหน้าเชิดแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปพูดกับเด็กสาวหน้ากลม

“ยังมิได้ถามเลยว่าคุณหนูท่านนี้แซ่ว่าอะไร”

จิ้นลู่อันกำลังครุ่นคิดว่าจะพูดโต้ฉู่เสี่ยวซือกลับเช่นใด พอถูกอี๋อวี้ถาม นางเบือนศีรษะไปแล้วหน้าแดงเป็นคำรบที่สอง ก่อนจะยกมือขึ้นจับๆ สาบเสื้อพลางกล่าว “ขะ…ข้าแซ่จิ้น นามลู่อัน…ลู่เขียนแบบนี้…ส่วนอันเขียนแบบนี้เจ้าค่ะ”

อี๋อวี้มองดูนางวาดไม้วาดมือเขียนตัวอักษรกลางอากาศด้วยท่าทางซื่อๆ บอกกระทั่งชื่อเสียงเรียงนามเสร็จสรรพ นางดึงพู่กันเปียกในกระบอกไม้ไผ่พร้อมกับหยิบกระดาษขาวมาแผ่นหนึ่งแล้วก้มตัวเขียนอักษรสามตัวด้วยน้ำ

“เขียนอย่างนี้ใช่ไหม”

น้ำผสมหมึกเจือจางซึมผ่านกระดาษปรากฏรอยเป็นชื่อของนางพอดี จิ้นลู่อันจ้องมองอักษรสามตัวบนนั้นตาเขม็ง นางอึ้งไปชั่วครู่แล้วเบิ่งตาโตอย่างประหลาดใจแกมยินดี ยื่นมือชี้กระดาษด้วยความตื่นเต้นจนพูดไม่ออก

ฉู่เสี่ยวซือถูกปล่อยให้ยืนเก้ออยู่ด้านข้าง รู้สึกกระอักกระอ่วนเหลือหลาย ทว่านางมิได้โง่เขลาถึงขึ้นงัดข้อกับอี๋อวี้ซึ่งๆ หน้า เมื่อเห็นทั้งคู่ไม่สนใจตน นางจึงเบือนหน้าไปเอ่ยกับคนอื่นๆ อย่างเสียดาย

“ตอนแรกซีเอ๋อร์มาดหมายว่าจะดวลฝีมือกับคุณหนูหลูวันนี้ สุดท้ายกลับไม่สามารถแข่งขันได้ เฮ้อ…ดูทีว่าจะคว้าป้ายไม้สลักในการประชันศาสตร์ ยังต้องอาศัยโชคดวงด้วย”

ทุกคนมิได้หูหนวก แล้วคนที่นั่งอยู่ที่นี่เข้าร่วมการประชันศาสตร์ห้าสำนักได้ก็ต้องเป็นผู้มีสติปัญญาลำดับต้นๆ ของที่นี่ ใครเล่าจะจับความนัยในคำพูดซ้ำแล้วซ้ำอีกของนางไม่ได้ อีกทั้งบารมีของจ่างซุนซีในสำนักศึกษาหลวงมิใช่แค่มากธรรมดาๆ ในห้าสิบคนที่นั่งอยู่กลางสนามนี้ มีครึ่งหนึ่งล้วนเป็นผู้ชื่นชอบนาง ได้ยินวาจานี้ก็พยักหน้าเห็นด้วยยกใหญ่ มีบางคนถึงกับเบ้ปากใส่อี๋อวี้อย่างโจ่งแจ้ง แน่นอนว่ามีอีกส่วนหนึ่งเพียงเหยียดยิ้มแล้วไม่เปล่งเสียง

เดิมทีการแสดงละครฉากนี้ควรจบลงตรงนี้ก็พอ แต่ฉู่เสี่ยวซือกล่าวจบแล้วยังต้องหมุนกายไปถามอี๋อวี้อีกคำหนึ่ง “คุณหนูหลู เจ้าว่าข้าพูดถูกหรือไม่”

หนนี้อี๋อวี้ชิงตัดหน้าก่อนจิ้นลู่อันจะอ้าปากพูด นางเงยหน้ามองฉู่เสี่ยวซือพร้อมเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าข้าฟังไม่ผิด นี่ท่านจะร้องทุกข์แทนคุณหนูจ่างซุนหรือ”

“เอ๊ะ?”

“โชคดวงเป็นสิ่งเลื่อนลอยเกินไป ตอนนี้พวกเราอย่าเพิ่งพูดถึงมัน…” อี๋อวี้กวาดตามองผู้คน ใบหน้านางเผยรอยเคร่งขรึม “ข้ารู้แค่ว่าหากคุณหนูจ่างซุนให้ความสำคัญต่อการประชันศาสตร์ครั้งนี้จริงๆ เช่นนั้นนางก็จะไม่พลาดการแข่ง มิไยว่านางล้มป่วยก็ดี หรือมีเรื่องเร่งด่วนก็ช่าง ความเป็นจริงมิใช่ใครแพ้ใครชนะ หากแต่ข้ามาแข่งขัน ส่วนนางมิได้มา”

วาจาสั้นๆ ไม่กี่คำก็ทำให้ใครๆ เริ่มต้นขบคิด เปรียบกับถ้อยคำเสียดสีเยาะหยันทั้งทางตรงทางอ้อมของฉู่เสี่ยวซือ อี๋อวี้ชี้ให้เห็นชัดๆ ว่าจ่างซุนซีไม่ได้มาปรากฏตัว ทว่าไม่มีคำใดพูดถึงจ่างซุนซีในทางเสียหาย เฉกเช่นที่นางบอกว่านางเพียงพูดถึง ‘ความเป็นจริง’ เท่านั้น

“นั่นน่ะสิ ทั้งที่ไม่มาเข้าร่วมการแข่งขัน ยังมีหน้าพูดราวกับว่าเปิดทางให้คนอื่นก็ไม่ปาน…”

บนที่นั่งผู้ชมมีเสียงพึมพำดังขึ้น แต่ถูกเพื่อนพ้องปรามไว้ทันใด แต่ภาพคุณหนูจ่างซุนผู้เพียบพร้อมไร้ที่ติในใจคนส่วนใหญ่เริ่มปริแตกเป็นรอยร้าวเล็กๆ

ถึงที่สุดฉู่เสี่ยวซือยังพอมีหัวคิดอยู่ นางเหลียวมองรอบด้าน อีกทั้งหูไวได้ยินเสียงซุบซิบนินทา ก็รู้ว่าขโมยไก่ไม่สำเร็จยังเสียข้าวสารล่อแล้ว นางฉุกใจได้ก็แสร้งกล่าวยิ้มๆ กับอี๋อวี้อย่างเป็นกันเอง

“เอาล่ะ ถือว่าข้าปากมาก แต่ว่ากันตามสัตย์จริง แม้นคุณหนูหลูเขียนอักษรแบบใหม่ได้ดี แต่ซีเอ๋อร์ได้ร่ำเรียนวิชาจากยอดฝีมือมามากกว่า คุณหนูหลูก็อย่าติติงว่าข้าพูดจาตรงไปตรงมาเลยนะ ตัวข้าเองเห็นว่าอักษรของเจ้าขาดความลุ่มลึกไปสักหน่อย เลยด้อยกว่าชั้นหนึ่ง” เมื่อด่าว่าทางอ้อมไม่สำเร็จก็เปลี่ยนเป็นปรามาสตรงๆ

สิ้นเสียงนางไม่ทันไร ทุกคนเห็นอี๋อวี้ใช้นิ้วสองนิ้วคีบกระดาษขาวที่เขียนอักษรด้วยน้ำแผ่นนั้นยื่นไปตรงหน้าฉู่เสี่ยวซือ นางโคลงศีรษะ กล่าววาจาแฝงนัยลึกล้ำ

“เมื่อใดที่คุณหนูฉู่ทำได้ถึงขั้นนี้ ค่อยมาตัดสินตัวอักษรของผู้อื่นเถอะ”

ฉู่เสี่ยวซือรับกระดาษขาวแผ่นนั้นไว้อย่างอิดเอื้อน นางเห็นว่ารอยคราบน้ำสีเทาเป็นอักษรสามตัวนั้นนอกจากสวยงามอยู่บ้างแล้วปราศจากจุดพิเศษอื่นจริงๆ กระนั้นดีชั่วนางก็อยู่สำนักซูเสวียมานานสามปีกลับดูอะไรไม่ออก ครั้นจะเอ่ยปากถามคงไม่เป็นการดี นางได้แต่ล้มเลิกความคิด พูดตอบอี๋อวี้สองคำแล้วถือกระดาษกลับที่นั่ง

ทุกคนเห็นว่าเรื่องสนุกจบแล้วต่างแยกย้ายกันไปเอง เด็กสาวหลายคนที่คุ้นเคยกับจิ้นลู่อันเข้ามาห้อมล้อมอี๋อวี้ไว้อย่างว่องไว ตอนแรกพวกนางยังเคอะๆ เขินๆ อยู่สักหน่อย จวบจนพบว่านางเป็นคนอัธยาศัยดีก็พากันพูดคุยกันจ้อกแจ้กไม่หยุดปาก อี๋อวี้ทำความรู้จักไปทีละคน ถึงรู้ว่าเด็กสาวเหล่านี้มิได้อยู่สำนักเดียวกัน ซ้ำเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่เมื่อปีกลาย

จิ้นลู่อันถูกสหายเบียดออกไปด้านข้างก็ไม่โมโหโกรธา นางยิ้มหน้าบาน เหลียวไปมองฉู่เสี่ยวซือที่ยังดูกระดาษที่ถือในมือแล้วแสดงสีหน้าดูแคลน

กระดาษทำด้วยกรรมวิธีพิเศษของสำนักศึกษาหลวง มิใช่ว่าใครคนใดก็สามารถใช้น้ำเปล่าเขียนแล้วตัวอักษรไม่เลอะเลือน ผู้ที่ทำได้สบายๆ จะต้องลงน้ำหนักได้ช่ำชองและแม่นยำสักเพียงไหน อย่าว่าแต่ฉู่เสี่ยวซือเลย ต่อให้เป็นคุณหนูจ่างซุนซีผู้นั้น ณ ขณะนี้ก็ใช่ว่าจะทำได้เสมอไป

 

“ผลการประชันศาสตร์เขียนอักษร ผู้ได้ที่หนึ่ง…สำนักซูเสวีย หลูอี๋อวี้”

“เฮ! ชนะแล้วๆ สำนักเราชนะแล้ว”

“ฮ่าๆ มีป้ายไม้สลักป้ายหนึ่งก็ไม่ต้องรั้งท้ายแล้ว…”

ยามได้ยินตงฟางโย่วยืนประกาศผลอยู่ชั้นบน อี๋อวี้พูดได้โดยไม่กระดากปากว่านางไม่ประหลาดใจสักกระผีก มิใช่เพราะทะนงตนจนไม่เห็นผู้ใดในสายตา หากแต่เทียบกับลูกศิษย์กลุ่มนี้แล้ว การเข้าถึงแก่นแห่งศาสตร์การเขียนอักษรของนางล้ำหน้าไปไกลหลายขุมจึงไม่มีอะไรน่าแข่งขันกัน กลับรู้สึกคล้ายผู้ใหญ่รังแกเด็กเสียด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้ในใจอี๋อวี้ซึ่งเดินไปทางเรือนเหมยท่ามกลางเสียงโห่ร้องดีใจอื้ออึงของศิษย์สำนักซูเสวียนั้นหาได้ยินดีเท่าใดนัก ใบหน้าก็ปราศจากรอยยิ้ม เพราะว่ามีคนสองคนตรงที่นั่งผู้ตัดสินที่นางไม่อยากเผชิญหน้าตอนนี้ คนหนึ่งคือหลี่ไท่อย่างไร้ข้อกังขา ส่วนอีกคนคือตงฟางโย่ว

ตงฟางหมิงจูตายไปแล้ว เมื่อแรกได้ยินข่าวนี้จากปากเหยาอีตี๋ นางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถึงขั้นมองมันเป็นเรื่องล้อเล่นด้วยเจตนาร้าย แต่หลังได้รับการยืนยัน นางยังรู้สึกลึกๆ ว่ามันมิใช่ความจริง นับดูแล้วนางกับตงฟางหมิงจูเคยพบกับแค่สองสามครั้ง ในฐานะสตรีที่เกือบต้องมีสามีคนเดียวกัน เดิมทีอี๋อวี้สมควรจดจำอีกฝ่ายได้ฝังใจ แต่ในความเป็นจริงนางกลับจำแม้แต่รูปร่างหน้าตาของตงฟางหมิงจูไม่ได้แล้ว

อี๋อวี้ย่ำเท้าขึ้นบันไดขั้นสุดท้ายแล้วหยุดยืนอยู่ที่หัวบันไดรอทุกคนหันหน้ามา ค่อยแสดงคารวะง่ายๆ ในคราเดียว เมื่อเสียงชมเชยดังระงมขึ้น จิ้นฉี่เต๋อพยักหน้ากับนางอย่างดีใจเป็นอันมาก ก่อนจะหันตัวกลับไปคุยจ้อกับอาจารย์สำนักลวี่เสวียข้างกายต่อ

หญิงสาวสบสายตาที่มองมาของหลี่ไท่โดยไม่หลบหลีก ดวงตาสองคู่ล้วนสงบนิ่ง นางค้อมกายคำนับเขาทีหนึ่งแล้วเดินไปหาตงฟางโย่วที่อมยิ้มอยู่ตรงข้างราวระเบียง

“ตอบคำถามได้ดีมาก ตัวอักษรก็งดงาม”

อี๋อวี้รับป้ายไม้สลักเคลือบทองป้ายนี้จากมือเขาเป็นครั้งที่สาม พยายามไม่คิดไปถึงเรื่องของตงฟางหมิงจู หลังกล่าวขอบคุณเขาอย่างถ่อมตน นางยืนเป็น ‘เป้าสายตา’ อยู่ชั้นบนตามธรรมเนียม แลมองศีรษะคนเรียงรายเป็นพืดที่เบื้องล่าง พลางฟังเสียงพูดเอ็ดอึงสับสนวุ่นวาย ต่อให้มีคนด่าทอสองคำ ดูทีว่าคงแยกแยะไม่ออก ขณะอี๋อวี้คิดอย่างใจลอย จู่ๆ ได้ยินเสียงตะโกนดังลั่น นางมองไปทางต้นเสียงเห็นเฉิงเสี่ยวเฟิ่งโบกไม้โบกมือให้นางเป็นพัลวันบนชั้นสองของเรือนไผ่แล้ว บนหน้าอดคลายยิ้มไม่ได้ ครั้นมองป้ายไม้ในมือซ้ำอีกครา เพลานี้ถึงบังเกิดความยินดี…

นางรวบรวมได้สามป้ายแล้ว!

อี๋อวี้ชูป้ายไม้สีทองวิบวับไปทางที่พวกจิ้นลู่อันยืนอยู่ข้างล่างพร้อมรอยยิ้มละไม จากนั้นกล่าวลากับเหล่าผู้ตัดสิน นางตั้งท่าจะเก็บป้ายขึ้นแล้วจากไป กลับถูกเรียกเอาไว้

“คุณหนูหลู” อวี๋ซื่อหนานยังถือม้วนกระดาษสี่แผ่นนั้นของอี๋อวี้ไว้ในมือพร้อมกับลูบเครา เขานั่งอยู่ที่เดิม เงยหน้ามองนางด้วยท่าทางใจดีมีเมตตา “ฝีพู่กันกลมกลืนอ่อนช้อย ตัวอักษรสละสลวยรูปทรงสมบูรณ์ ข้าสนใจในแบบอักษรนี้ของเจ้าอย่างมาก หากไม่ติดขัด ประเดี๋ยวไปนั่งในร้านน้ำชากับข้าสิ”

คนอื่นๆ ด้านข้างต่างประหลาดใจ จิ้นฉี่เต๋อเป็นคนแรกที่คิดตามทัน ไม่ว่าด้วยศักดิ์ฐานะในอดีตหรือบัดนี้ของอวี๋ซื่อหนาน การบอกว่าสนใจตัวอักษรของอี๋อวี้ มีคำอธิบายหนึ่งเดียวไม่มีสอง เขาก็เลยขยิบตาส่งสัญญาณให้อี๋อวี้รีบพยักหน้ารับ ไหนเลยจะรู้ว่าแม่เด็กน้อยจะเม้มปากยิ้มกับเขาแล้วกล่าวอย่างขอลุแก่โทษท่ามกลางความตกตะลึงรอบด้าน

“อาจารย์อวี๋ชมเกินไปแล้ว ข้ายังมีจุดบกพร่องอีกมาก จำเป็นต้องพากเพียรฝึกปรือเพิ่มขึ้นจึงจะได้ เรื่องดื่มน้ำชากับท่าน ข้ามิบังอาจจริงๆ”

หลี่ไท่เห็นนางบอกปัดคำชวนของอวี๋ซื่อหนานแล้วขมวดคิ้วในทีแรก นี่น่าจะโอกาสที่ดีครั้งหนึ่ง นางปล่อยให้หลุดมือไปแบบนี้ออกจะน่าเสียดายเกินไป แต่เมื่อแลเห็นแววยืนกรานในดวงตานางได้รำไร หัวคิ้วของเขาก็คลายออก

“ฮ่าๆ ไม่เลว เด็กคนนี้ไม่เลวเลย” อวี๋ซื่อหนานโดนอี๋อวี้ปฏิเสธทางอ้อมกลับส่งเสียงหัวร่อ เขาโบกมือเป็นเชิงบอกให้นางลงไปได้ แล้วก็ก้มหน้าดูตัวอักษรหลายแผ่นนั่นอีก คล้ายว่าในดวงตาฝ้าฟางของชายชราซุกซ่อนแววเสียดายไว้จางๆ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะใคร

อี๋อวี้เพิ่งลงบันไดมา ขันทีผู้ติดตามของหลี่ไท่ก็ร้องเรียกไว้

“คุณหนูหลู ท่านอ๋องทรงให้ท่านไปนั่งบนรถม้าที่ประตูหน้าก่อน รอกลับกับพระองค์ขอรับ”

“กงกงท่านนี้ ฝากท่านช่วยทูลท่านอ๋องให้ข้าทีว่า…” อี๋อวี้สอดป้ายไม้เข้าแขนเสื้ออย่างระมัดระวังแล้วปัดเบาๆ “หลายวันนี้ข้ามีเรื่องต้องคิดให้กระจ่าง เลยจะกลับตำบลหลงเฉวียนก่อน รบกวนท่านอ๋องทรงคิดวิธีถอนชื่อข้าจากการประชันศาสตร์ต่างๆ หลังจากนี้ด้วย ขอบคุณมากเจ้าค่ะ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 เม.ย. 63

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: