X
    Categories: ทดลองอ่านนวลหยกงามมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นวลหยกงาม เล่ม 10 บทที่ 6

หน้าที่แล้ว1 of 4

          บทที่ 6

ดึกสงัด บนถนนในตำบลหลงเฉวียนที่ยามกลางวันยังนับว่าครึกครื้น เวลานี้ว่างโหรงเหรงมีแต่นกฮูกบินโฉบผ่านสันกำแพงมุมถนนเป็นครั้งคราว ขณะที่สวนผูเจินตรงเชิงเขาทิศใต้กลับไม่มีผู้ใดข่มตาหลับ

หลังพลิกตัวกระสับกระส่ายมาทั้งวัน อี๋อวี้ก็หลับใหลไม่ได้สติไปตอนหัวค่ำ ไม่พูดเพ้องึมงำด้วยสุ้มเสียงแหบพร่าอีก แต่ก็ปลุกไม่ตื่น ตลอดวันนี้นางถูกกรอกยาต้มไปแล้วสองชาม แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีใครมาจากเมืองหลวง สุดท้ายหมอในตัวตำบลโดน ‘กักตัว’ ไว้ในคฤหาสน์ ถึงอย่างไรมีก็ดีกว่าไม่มีเลย

“ท่านหมอซ่ง ไหนท่านบอกว่าไม่มีอาการของโรคธาตุร้อนกำเริบมิใช่หรือ นี่ก็วันหนึ่งแล้วเพราะอะไรนางยังตัวร้อนเหมือนไฟเผาเล่า” หลูซื่อก้มตัวเกาะขอบเตียงมาหนึ่งวันเต็ม คนในห้องนี้นอกจากอี๋อวี้ที่นอนบนเตียง ผู้ที่สีหน้าบึ้งตึงที่สุดต้องยกให้นางแล้ว สองตาบวมเป่ง ใบหน้าซีดเผือดจนน่าตกใจ ทุกๆ ชั่วครู่ก็ต้องหันศีรษะถามหมอครั้งหนึ่ง

“เอ่อ…หลูฮูหยินอย่าเพิ่งใจร้อน” ผู้เป็นหมอยืนจับเจ่าอยู่ด้านข้าง หวนนึกถึงคำกำชับกำชาเมื่อครู่ของบุรุษด้านนอกคนนั้น เขาแสร้งทำเยือกเย็นกล่าวตอบ “อาการของคุณหนูเกิดจากธาตุไฟกำเริบ ถึงจับไข้สูงไม่ยอมสร่าง เจ้าไข้นี้นึกจะมาก็มา แต่พอลดลงก็ไม่เป็นอะไรแล้ว” เขานิ่งคิดแล้วพูดต่อท้ายอีกคำ “ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต”

ถึงปากเขาบอกอย่างนี้ ในใจกลับไม่ใคร่มั่นใจนัก เมื่อตอนกลางวันเขาเขียนใบสั่งยาอย่างมั่นอกมั่นใจ ไหนเลยจะคิดถึงว่าอาการป่วยของนางกลับทรุดลง เป็นหานลี่อาศัยจังหวะหลูซื่อเช็ดเหงื่อตามตัวให้อี๋อวี้เรียกเขาไปพูดกำชับอย่างรอบคอบ เขาถึงกล่าวถ้อยคำปลุกปลอบทุกครั้งที่หลูซื่อไต่ถาม แต่พอเขาตวัดตามองร่างบนเตียงก็ลอบคิดอย่างจนใจว่าหากไข้ไม่ลด ปล่อยให้ตัวร้อนไปเรื่อยๆ เช่นนี้ ต่อให้คุณหนูท่านนี้ทนผ่านไปได้ เกรงว่าก็ต้องเป็นโรคเรื้อรังติดตัว

หานลี่เดินวนไปวนอยู่ในโถงด้านนอกที่กว้างขวาง คราใดได้ยินเสียงสนทนาในห้องก็จะหยุดฝีเท้าครู่หนึ่ง ใบหน้าเขาเดี๋ยวตึงเครียดเดี๋ยวผ่อนคลาย บุรุษซึ่งแต่ไรมานอกจากตนเองกับหลูซื่อแล้วไม่เห็นคนที่สามอยู่ในสายตา นึกพิศวงเมื่อพบว่าพอแม่นางน้อยผู้นั้นล้มป่วยแบบนี้ เขาถึงกับทรมานใจไปด้วย อย่าลืมว่านางคือบุตรสาวของฝางเฉียว ถึงเกิดอะไรขึ้นกับนางจริงๆ เขาสมควรสำราญใจต่างหาก จะทรมานใจได้อย่างไร

หานลี่อยู่มาจนอายุปูนนี้แน่ใจเป็นอันมากว่านี่มิใช่เป็นดั่งคำกล่าวว่า ‘เมื่อรักเรือนย่อมรักอีกาบนหลังคาเรือน’ ถ้าจะ ‘เผื่อแผ่’ เขาคง ‘เผื่อแผ่’ ไปนานแล้ว หนึ่งปีก่อนเขายังปฏิบัติต่อพวกลูกๆ ของหลูซื่อกับฝางเฉียวด้วยท่าทีที่ไม่แยแสความเป็นความตายของพวกเขาได้ แต่ความรู้สึกใจคอไม่ดีตอนนี้มันคืออะไรกัน

หานลี่กดหน้าอกที่แน่นอึดอัดอยู่บ้าง เขาเงยหน้ามองสาวใช้ประคองถาดอาหารมื้อดึกเข้ามา ก่อนจะเบือนหน้าไปเรียกหานสืออวี้ให้ยกเข้าไปในห้อง ยังกระซิบสอนนางให้พูดกล่อมหลูซื่อให้กินอะไรบ้างเช่นไร แต่ไม่คิดว่าตนเองก็ท้องว่างมาทั้งวัน

หลูซื่อหิวจนหายหิวแต่แรก จิตใจของนางจดจ่ออยู่ที่ตัวบุตรสาวจนหมดสิ้น ไหนเลยจะมีความอยากอาหาร ทว่านางยังคงถูกคะยั้นคะยอให้ฝืนใจกินไปหลายคำ ครั้นเห็นผิงถงยกยาต้มมาอีก นางก็วางชามกับตะเกียบลง พยุงอี๋อวี้ลุกขึ้น หยิบช้อนคันเล็ก ให้ผิงฮุ่ยงัดปากอี๋อวี้แล้วป้อนทีละคำ

นางมองบุตรสาวพิงอกตนโดยไม่รู้สึกตัวสักนิด ยาต้มสีเหลืองอมน้ำตาลไหลลงมาตามมุมปาก ในที่สุดก็อดกลั้นไม่อยู่อีก ถือชามยากอดอี๋อวี้ไว้แล้วเริ่มร่ำไห้เสียงเบาๆ

“อวี้เอ๋อร์…นี่เจ้าเป็นอะไรไป ในใจเจ้าคับแค้นด้วยเรื่องใด บอกกับแม่สิ ใครให้เจ้าเก็บไว้คนเดียวอยู่ร่ำไป ทนตรอมใจจนกลายเป็นอย่างนี้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าจะให้แม่ทำอย่างไร อวี้เอ๋อร์…แม่ไม่ดีเอง หลายวันนี้แม่งานยุ่งจนเลอะเลือน มัวแต่จัดเตรียมสินเจ้าสาวให้เจ้า ทั้งที่รู้ว่าเจ้ามีความในใจกลับไม่เอาใจใส่…”

หานลี่ด้านนอกคอยสังเกตความเคลื่อนไหวข้างในอยู่ ได้ยินหลูซื่อร้องไห้เสียใจ เขาแหวกม่านก้าวเข้าไป มองดูคนทั้งห้องทำหน้าตาระทมหม่นหมอง ดวงหน้าสุภาพนุ่มนวลเป็นนิจฉายแววขึงขังดุดันเป็นคราแรก เขาไม่ปลอบใจหลูซื่อกลับย่นหัวคิ้วเข้าหากัน พูดแทรกเสียงร้องไห้ของนางด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด

“เลิกร้องไห้ได้แล้ว คนยังไม่เป็นอะไรก็ต้องเป็นอะไรไปเพราะเจ้าร้องไห้นี่ล่ะ”

ดูทีว่านี่เป็นคราครั้งแรกในรอบยี่สิบกว่าปีที่หลูซื่อได้ยินเขาพูดอย่างดุร้าย นางอึ้งงันไปชั่วครู่ เสียงร้องไห้ก็หยุดลง

หานสืออวี้รีบเร่งเข้าไปพูดเกลี้ยกล่อม “นั่นสิ ท่านแม่ ท่านหยุดร้องไห้ก่อน พวกเราคิดหาวิธีกันดู อืม…ส่งคนไปเชิญหมอหลวงที่วังเว่ยอ๋องแล้วไม่ใช่หรือ คะเนว่าคงอยู่ระหว่างทางจวนมาถึงแล้ว พวกเรารออีกสักครู่นะเจ้าคะ”

“ฮึ!” เสียงแค่นเยาะนี้มิใช่ของหลูซื่อ หานลี่เดินเอามือไพล่หลังไปตรงหน้าเตียง เอ่ยด้วยใบหน้าขรึม “ผ่านพ้นยามสาม ประตูเมืองปิดไปตั้งนานแล้ว ถ้าจะมาก็สมควรมาถึงแล้ว ตอนนี้ไม่มา ยังจะรออะไร นี่เป็นเพราะนางเข้าเมืองหลวงถึงล้มป่วย ไม่แน่ว่าอาจถูกใครบางคนรังแกมาจนกลายเป็นเช่นนี้”

หานลี่ไม่อยากยอมรับว่ายามเขากล่าวคำนี้ ไม่สามารถข่มไฟโทสะในอกได้ อารมณ์โกรธนี้มีอำนาจเหนือสติ เขาย่ำเท้าไปมาอยู่ที่เดิมหลายก้าว ก่อนจะเหลียวไปมองหลูซื่อที่หน้าตาซีดเซียวนิ่งๆ แล้วถอนใจเฮือกอย่างจนใจ จากนั้นตกลงปลงใจทำบางอย่างที่เขาจะนึกเสียใจทีหลังก็ไม่ทันการณ์แล้ว

“เจ้ารีบจัดสัมภาระซะ สวมอาภรณ์ให้อวี้เอ๋อร์หลายๆ ชั้น และให้คนเตรียมรถม้า ข้าพาพวกเจ้าไปหาคนผู้หนึ่ง”

พระพิรุณเทกระหน่ำลงมาเมื่อวาน บันดาลให้วันรุ่งขึ้นเย็นสบายมาก ความร้อนอบอ้าวหลายวันก่อนอันตรธานไปสิ้น อากาศยามเช้าแสนสดชื่นจนชวนให้สูดลมหายใจบ่อยครั้งขึ้น

ราตรีก่อนหลี่ไท่อยู่ที่สำนักอักษรกับบัณฑิตทั้งหลายจนดึกดื่นจึงค้างคืนอยู่ที่นั่นไม่กลับวัง ตอนเช้าเขาผลัดอาภรณ์เป็นชุดประจำตำแหน่งตัวใหม่ในหอเฟิงจู้ ล้างหน้าสางผมแล้วนั่งรถม้าไปสำนักศึกษาหลวง วันนี้วันที่สิบห้าเป็นการประชันศาสตร์ดนตรี

ตอนเขาไปถึงลานแข่งขัน ด้านในหอจวินจื่อมีคนนั่งอยู่เต็มแล้ว บนที่นั่งผู้ตัดสินใจนอกจากอวี๋ซื่อหนานยังไม่มา คนอื่นๆ กำลังสนทนากันอยู่ เห็นเขาขึ้นมาก็แสดงคารวะ บรรยากาศรอบด้านเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบขึ้น

เมื่อวานหลี่ไท่ช่วยถอนชื่อจากการประชันศาสตร์ที่เหลือให้อี๋อวี้แล้ว คำพูดคำจาแฝงน้ำเสียงไม่ชอบใจนักทั้งทางตรงทางอ้อม ประหนึ่งว่าไม่อยากให้อี๋อวี้ “ปรากฏตัวต่อหน้าธารกำนัล” อีกก่อนงานเสกสมรส ทำให้อาจารย์หลายคนซึ่งไม่ค่อยพอใจกับพฤติกรรมของอี๋อวี้ที่ได้ป้ายไม้สลักแล้วหายหน้าหายตาไป ล้มเลิกความคิดที่จะไล่เลียงตำหนิ

จ่างซุนซีจะไม่เข้าร่วมการแข่งขันอีกสองศาสตร์เช่นเดียวกัน วันนี้นางมาถึงแล้วตั้งใจขึ้นไปบนเรือนเหมยโดยเฉพาะ พวกอาจารย์เห็นสีหน้าอิดโรยของนาง กลับเป็นฝ่ายพูดปลอบหลายคำ หากแต่ในใจลอบยินดี เพราะศาสตร์ดนตรีนี้เป็นความถนัดของจ่างซุนซี หากนางแสดงฝีมือไม่ดีสำนักอื่นๆ ก็มีโอกาส ทว่าพวกเขาคิดไปในทางดีเกินไป ท้ายที่สุดผลปรากฏว่าป้ายไม้ของศาสตร์ดนตรีนี้ยังคงถูกจ่างซุนซีคว้าไปได้

เมื่อวานนางไม่ได้มา แต่ได้ยินเรื่องอี๋อวี้ถอนตัวจากคนอื่นแล้ว เมื่อการแข่งขันยุติ ผู้คนในสนามแยกย้ายกันกลับ นางพบกับหลี่ไท่ที่ด้านนอกหอจวินจื่อโดยบังเอิญแล้วตามเขาไปเช่นเคย นางไม่ขยับไปใกล้ๆ แต่รักษาระยะห่างสามก้าวอย่างพอเหมาะพองาม นางรู้นิสัยไม่ชมชอบให้ใครเข้าใกล้ของหลี่ไท่ดี ทั้งยังแจ่มแจ้งอีกว่าตราบเท่าที่ไม่เกินขอบเขตนี้ ส่วนใหญ่เขาจะค่อนข้าง ‘ผ่อนปรนให้’

“วันนี้คุณหนูหลูไม่มา เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่าเจ้าคะ”

เขากับนางออกจากสนามก่อนใครๆ แล้วสาวเท้าอยู่เบื้องหน้าลูกศิษย์กลุ่มหนึ่ง ตามทางเดิมมีคนบางตา นางถามจบไปครู่ใหญ่ถึงเห็นหลี่ไท่สั่นศีรษะนับเป็นคำตอบ

“ไม่เป็นไรก็ดีเจ้าค่ะ” สุ้มเสียงของจ่างซุนซีฟังดูคล้ายโล่งอก ต่อจากนั้นนางอ้าปากพูดอย่างรู้สึกผิดน้อยๆ “ข้าได้ยินได้ฟังมาว่าเพราะวันก่อนข้าไม่มาร่วมประชันศาสตร์เขียนพู่กัน คุณหนูหลูจึงมีปากเสียงกับคนอื่นตอนแข่งขัน เรื่องเกิดขึ้นจากข้า ข้าไม่สบายใจเลย หรือไม่สองวันนี้พี่สี่หาเวลาช่วยเชิญนางออกมาแทนข้า ข้าจะจัดโต๊ะเลี้ยงสุราขอขมาต่อนางดีหรือไม่”

สิ้นเสียงนางผ่านไปครู่ใหญ่ หลี่ไท่ถึงสั่นศีรษะดังเก่า จ่างซุนซีกลับเปล่งเสียงพูดอย่างเศร้าสร้อยอยู่บ้าง

“ข้าอยากขอขมานางจริงๆ นะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าเพราะ…เพราะเรื่องพี่ชายคนรองของข้าทำให้คุณหนูหลูขุ่นข้องหมองใจต่อครอบครัวข้า เดือนที่แล้วพี่ใหญ่ข้ายังพาคนไปก่อกวนในพิธีปักปิ่นของนางอีก ถ้าข้ารู้แต่แรกว่านางจะทำอย่างนั้น ต้องทัดทานไม่ให้นางไปแน่ พูดตามตรงคนก็จากไปแล้วยังจะถือสากันไปอีกทำไม ข้าชื่นชมในความสามารถและอุปนิสัยของคุณหนูหลูอย่างยิ่ง อยากผูกมิตรกับนางเสมอมา อันว่าความอาฆาตแค้นพึงสลายไม่พึงสานต่อ ยิ่งกว่านั้นนางจวนจะแต่งงานกับท่านแล้ว จะมึนตึงกับสกุลจ่างซุนไปเรื่อยๆ ก็มิใช่ทางออกที่ดี”

นางกัดริมฝีปากนุ่มดุจกลีบดอกไม้ พูดเสียงแกมวิงวอน “ก็ถือ…ถือเสียว่าข้าขอโทษนางแทนพี่ใหญ่แล้วกัน พี่สี่ช่วยเชิญคุณหนูหลูมาได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่จำเป็น” หลี่ไท่ปริปากในที่สุด เขาทอดสายตามองพวกลูกศิษย์ที่เดินห่างไปไกลถึงทางแยกข้างหน้าโน้นแล้ว “นางไม่ใช่คนใจคอคับแคบ”

จ่างซุนซีกัดริมฝีปากอีกคำรบหนึ่ง ก้มหน้าเก็บงำแววตาผิดแปลกไป ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้ว่านางไม่ใช่ ถึงคิดจะพูดคุยกับนาง”

หลี่ไท่เหมือนไม่ได้ยินเสียงนาง สืบเท้าเดินไปข้างหน้าต่อโดยไม่สนใจ และไม่ส่งเสียงพูดตลอดทางจนถึงหน้าประตู ส่วนจ่างซุนซีก็ติดตามไปอย่างเงียบๆ ไม่เอ่ยว่าอะไรอีก

หลังจากมีโจรขึ้นวังเว่ยอ๋อง การเฝ้ายามระวังภัยรัดกุมแน่นหนาเพิ่มขึ้นอีกมาก ผู้คนในวังนี้มิใช่แค่หลายร้อย เรื่องราวก็มากมายสลับซับซ้อน เหตุการณ์ที่มีคนบุกรุกโดนโยนเข้าห้องเก็บฟืนเมื่อวานก็ถูกลืมเลือนสนิทใจในชั่วข้ามราตรี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะมีคนเอ่ยต่อหน้าหลี่ไท่

ด้วยเหตุนี้หลังอี๋อวี้ล้มป่วยในเช้าวันนั้นผ่านไปสามวันเต็ม หลี่ไท่ก็อดรนทนไม่ไหว ส่งผู้ดูแลอีกคนนามซุนเสวียไปตามตัวที่ตำบลหลงเฉวียน ยามเที่ยงวันเดียวกันซุนเสวียเดินทางกลับมาคนเดียว หลี่ไท่ถึงเพิ่งรู้ข่าวอย่างล่าช้าในเพลานี้

“กระหม่อมไปรับคนที่สวนผูเจิน แต่ฮูหยินกับคุณหนูล้วนไม่อยู่เรือน ได้ยินบ่าวที่นั่นพูดว่าวันก่อนพวกนางออกไปแล้วยังไม่กลับมาอีกพ่ะย่ะค่ะ”

ออกจากเรือนไปวันก่อนจนบัดนี้ยังไม่กลับมา พูดอีกนัยหนึ่งก็คือหายตัวไปแล้ว

ความ ‘น่าประหลาดใจ’ นี้มากจนเกินไป หลี่ไท่สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทันที เขาอ่านหนังสือในมือไม่รู้เรื่องอีกจึงวางมันลงแล้วเอ่ยถาม “แล้วไปไหน”

ซุนเสวียหวนประหวัดถึงสายตาบ่าวไพร่ที่มองเขาตอนอยู่ในสวนผูเจินเมื่อเช้า ชำเลืองมองสีหน้าหลี่ไท่อย่างระมัดระวังก่อนกล่าวเสียงนอบน้อม “ทูลท่านอ๋อง กระหม่อมสอบถามดูแล้ว พวกคนรับใช้ในคฤหาสน์ดูเหมือนจะได้รับคำสั่งจากเจ้านาย เพียงอ้ำๆ อึ้งๆ บอกว่าพวกเขาออกไปสะสางธุระข้างนอก ไม่มีสักคนบอกได้แน่ชัดว่าไปที่ใดพ่ะย่ะค่ะ”

หลี่ไท่เริ่มกระวนกระวายใจอยู่ลึกๆ เขาลุกขึ้นยืนจนเก้าอี้ขยับเลื่อนเกิดเสียงครืดคราด ซุนเสวียถอยหลังครึ่งก้าว เขากลั้นใจพูดต่อ

“แต่ว่ากระหม่อมพาแม่นางผิงถงกลับมาด้วย นางรออยู่ในลานด้านนอก องค์ชายจะทรงให้เข้าพบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“ให้นางเข้ามา” หลี่ไท่เห็นเขาถอยออกไปเรียกคนก็นั่งกลับลงบนเก้าอี้ มือซ้ายบีบม้วนตำรา ในดวงตาเผยรอยกังขา

อีกครึ่งเดือนก็จะถึงงานเสกสมรสแล้ว ไม่มีเหตุผลที่ครอบครัวนางจะออกจากเรือนสองสามวันแล้วไม่กลับมาโดยไร้สาเหตุ จะไม่บอกเล่าเก้าสิบบ่าวไพร่ก็ช่าง แต่กลับทำเหมือนกับเจตนากำชับไม่ให้แพร่งพรายเบาะแสของพวกนาง

“ถวายคำนับท่านอ๋องเพคะ”

หลี่ไท่ได้ยินเสียงก็เงยหน้ามองสาวใช้ที่ก้มกายคารวะเบื้องหน้าตรงๆ ครั้นจับความผิดปกติในน้ำเสียงนางไม่ได้ เขาก็เอ่ยเสียงเย็น

“พูด เกิดเรื่องใดขึ้น”

 

ติดตามตอนต่อไป…

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: