บทที่ 9
นับรวมสองวันนั้นที่สลบไสลไป อี๋อวี้นอนอยู่บนเตียงห้าวันเต็มถึงได้รับอนุญาตให้ลงมาเดินเหินได้ ตามคำกล่าวของหมอท่านหนึ่งคือ นางจับไข้หนนี้เกือบทำให้สมองกระทบกระเทือน หากไม่พักรักษาตัวอย่างระมัดระวังสามารถกลายเป็นคนปัญญาอ่อนได้ดุจเดียวกัน
ไม่มีผู้ใดสะเทือนใจกับคำว่า ‘ปัญญาอ่อน’ เกินหน้าหลูซื่ออีกแล้ว ตอนอี๋อวี้ออกจากท้องมารดาก็เป็นคนปัญญาอ่อนสี่ปีถึงหายดี หลูซื่อจึงคอยดูแลนางไม่ห่าง ทุกวันนอกจากป้อนอาหารอ่อนๆ ให้นางกินแล้วยังกล่อมนางนอน ถ้านอนไม่หลับก็หยิบขวดเล็กๆ ใบหนึ่งออกมาให้ดมทีเดียว นางก็จะหลับเป็นตาย ตื่นอีกทีเป็นเช้าวันที่สองแล้ว
เรือนไม่ใหญ่โตหลังนี้ตั้งอยู่เชิงเขา ภายในรอบรัศมีสิบลี้มีเรือนนี้อยู่หลังเดียวโดดเดี่ยว ตกดึกยังได้ยินเสียงเห่าหอนของหมาป่าชวนให้ขนลุกขนพองอย่างยิ่ง แต่กลางวันกลับเป็นทัศนียภาพแสนงาม ฟ้าสีครามเมฆสีขาวอยู่ใกล้แค่เอื้อม รั้วกำแพงเต็มไปด้วยรอยด่างๆ ดวงๆ สีเหลืองซีดอมเขียว บนชั้นวางไม้วางหนังสัตว์ผึ่งไว้หลายผืน ใต้ต้นหม่อนเก่าแก่มีโต๊ะหินเก่าโทรมตัวหนึ่งตั้งอยู่ กระดานหมากบนนั้นเก่าคร่ำคร่าเห็นรอยสึกหรอตามมุม ทว่าคนที่นั่งอยู่คนละฝั่งของกระดานกลับดวลฝีมือกันอย่างสนุกสนาน
“ไม่…ไม่…อย่าเพิ่งรีบ ข้าเดินผิดไป ท่านอย่าเพิ่งรีบ” บุรุษวัยกลางคนหนวดเครารอบปากคว้าข้อมือบุรุษฝั่งตรงข้ามไว้ไม่ให้วางเม็ดหมาก ทั้งยังเก็บเม็ดที่ตนเองเพิ่งวางลงเมื่อครู่ขึ้นและเลือกหาตำแหน่งใหม่
บุรุษวัยกลางคนหน้าตาสุภาพสง่างามทำไม่รู้ไม่ชี้กับความเฉโกของอีกฝ่าย รอเขาเดินหมากใหม่ค่อยวางเม็ดหมาก แต่ปากไม่ละเว้นคน
“ฝีมืออ่อนด้อย อุปนิสัยก็ย่ำแย่ ตัวท่านมีข้อดีบ้างหรือไม่”
“ปากเสีย จิตใจก็ชั่วร้าย ท่านดีกว่าข้าสักแค่ไหนกัน” บุรุษห่ามห้าวกระดิกหนวดด้วยรอยยิ้มพราย
“ค่อยๆ เดิน ระวังธรณีประตู”
เมื่อได้ยินเสียงนี้ ทั้งคู่หันหน้าไปพร้อมกัน เห็นหลูซื่อประคองอี๋อวี้ก้าวผ่านประตูห้องอย่างเชื่องช้า คนหนึ่งทิ้งเม็ดหมากทันที ลุกขึ้นวิ่งไปยกเก้าอี้เตี้ยสองตัวตรงข้างกำแพงมาวางรอท่า ก่อนจะกล่าวกับหลูซื่ออย่างยิ้มแย้ม
“มาๆ น้องหลัน พวกเจ้านั่งตรงนี้นะ”
หลูซื่อยังไม่ปริปาก หานลี่ก็ส่งเสียงหัวเราะก่อน “เรียกส่งเดชอีกแล้ว อายุซวีซุ่ยของหลันเหนียงยังมากกว่าท่านปีหนึ่งด้วยซ้ำ”
“อย่างนั้นหรือ” บุรุษห่ามห้าวเบิ่งตาโตพลางชี้หลูซื่อ “นี่ดูไม่ออกเลยนะ ข้านึกมาโดยตลอดว่านางเพิ่งย่างสามสิบต้นๆ”
หลูซื่อได้รับคำชมจากเขาทางอ้อมย่อมต้องดีใจ แต่ไร้ความสะเทิ้นอายเฉกสาวน้อย นางประคองบุตรสาวนั่งลงบนเก้าอี้ ชี้ที่หมากกระดานด้วยท่าทางปกติ “เป็นอย่างไร เดินหมากกันแต่เช้า ใครชนะหรือ”
“เล่นกันสนุกๆ ชนะฉิวเฉียดไปสองกระดานเท่านั้นเอง” บุรุษห่ามห้าวกล่าวตอบได้เต็มปากหน้าตาเฉย
หานลี่ผินหน้าดูสถานการณ์บนกระดานหมากที่เห็นผลแพ้ชนะได้อย่างง่ายดายปราดหนึ่ง ยามมองไปทางบุรุษห่ามห้ามอีกครา รอยยิ้มในหน้ากว้างยิ่งขึ้นอย่างขบขัน เขาหันไปเอ่ยกับอี๋อวี้ “ยังเวียนศีรษะหรือไม่”
“ดีขึ้นมากแล้ว แค่เนื้อตัวอ่อนเปลี้ยเพลียแรง” อี๋อวี้บอกเสียงอ่อนๆ มีแต่คนใกล้ชิดจึงฟังออกว่านี่เป็นน้ำเสียงเวลานางพูดกับคนกันเอง
นี่ก็ไม่น่าแปลกแต่อย่างใด ถ้าคราวนี้ไม่มีหานลี่สักคน นางอาจจับไข้สูงจนกลายเป็นคนปัญญาอ่อนจริงๆ หากยังไม่เห็นน้ำใจของเขา นางก็อยู่มาสองชาติอย่างเสียเปล่าแล้ว
อี๋อวี้ชายตามองบุรุษวัยกลางคนที่กุลีกุจอยกถ้วยน้ำชาส่งให้หลูซื่อแล้วลอบสะท้อนใจอย่างสุดระงับ ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึงว่าจะพบบุรุษซึ่งหายตัวไปเนิ่นนานผู้นี้อีกครั้งในสถานการณ์เช่นนี้… เหยาฮ่วง
มิใช่นางคนเดียวที่คิดไม่ถึง เกรงว่าทุกๆ คนที่ตามหาตัวเหยาฮ่วงเพื่อรักษาโรคและถอนพิษทั้งในอดีตและตอนนี้อย่างลำบากแสนเข็ญคงล้วนคิดไม่ถึงว่า ‘หมอเทวดาเหยาปู้จื้อ’ ผู้มีกิตติศัพท์ฉาวโฉ่คนนี้จะลงหลักปักฐานอยู่ในละแวกหมู่บ้านกลางเขาเล็กๆ ใกล้กับเมืองหลวง จำแลงแปลงกายเป็นพรานล่าสัตว์ท่าทางป่าเถื่อนหยาบกระด้างไปแล้ว ทั้งยังมีหนังสัตว์วางผึ่งบนชั้นวางนั่นที่ผ่านการชำแหละขัดล้างอย่างสมจริง
“เพิ่งหายป่วยหนักแรกๆ ร่างกายอ่อนแรงเป็นเรื่องปกติ” หานลี่เบือนหน้ามองเหยาฮ่วงที่เย้าหยอกหลูซื่อให้หัวเราะไม่หยุดก่อนกล่าว “วางใจได้ วิชาแพทย์ของท่านอาเหยาเจ้าล้ำเลิศ ไม่ปล่อยให้เจ้ามีอาการเรื้อรังเหลืออยู่สักน้อยนิดแน่นอน นี่พี่เหยา?”
“รักษาโรคช่วยชีวิตคนเป็นหน้าที่ของผู้เป็นหมอ เหนืออื่นใดข้ากับพวกนางแม่ลูกมีวาสนาต่อกันไม่น้อย พี่หานไม่จำเป็นต้องบอก ข้าก็ทำอยู่แล้ว”
“อย่างนั้นก็รบกวนด้วย”
“มิต้องเกรงใจ”
ใช่ว่าอี๋อวี้จะไม่สังเกตเห็นพวกเขาสองคนต่อสู้ฟาดฟันกันทั้งในที่ลับที่แจ้ง แต่นางมีข้อกังขาต่อเหยาฮ่วงอีกมากเหลือเกิน เช่นว่ากล่องไม้สีดำที่เขาทิ้งไว้ให้ในครั้งนั้น เช่นว่าเพราะเหตุใดต้องสอนวิชาปรุงพิษให้นาง แต่สองสามวันนี้นางไม่อาจขบคิดหนักเกินไป หาไม่แล้วจะเกิดอาการปวดหัวข้างเดียว นางได้แต่เอนพิงพนักเก้าอี้แหงนศีรษะมองท้องฟ้า ปล่อยสมองให้ว่างเปล่าดั่งท้องนภาใสสะอาดผืนนี้ สูดอากาศเย็นสบายบนเขาลูกนี้เฮือกหนึ่งจนเต็มปอด พาให้จิตใจปลอดโปร่งไปหมด นับแต่ออกจากเมืองผู่ซาหลัวกลับถึงเมืองหลวง นางรู้สึกผ่อนคลายแบบนี้เป็นหนแรก คลับคล้ายทุกสิ่งทุกอย่างที่สร้างความกลัดกลุ้มให้นางก่อนหน้าล้วนไม่คงอยู่
แน่นอนว่านี่เป็นเพียง ‘คลับคล้าย’ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่นางจะจดจำสาเหตุที่นางป่วยหนักครานี้ไม่ได้ ความร้อนดุจไฟแผดเผาตัวตลอดเวลาหนึ่งวันเต็มนั่นทำให้นางฟื้นขึ้นแล้วยังหวาดผวาไม่หาย ทว่าในเวลาอย่างนี้ คนผู้นั้นกลับไม่อยู่ข้างกาย แม้รู้ทั้งรู้ว่าเป็นการยากที่เขาจะค้นหาที่นี่พบ นางก็ยังคงซุกซ่อนความผิดหวังขมขื่นในใจไม่อยู่
“ปวดศีรษะอีกแล้วใช่หรือไม่” หลูซื่อเห็นนางขมวดคิ้วจึงเอ่ยขึ้นทันใด “หรือไม่กลับไปนอนบนเตียงดีกว่า เจ้าลูกคนนี้ ตื่นขึ้นมาก็ชอบคิดฟุ้งซ่าน ไม่กลัวจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนจริงๆ หรือไร”
เสียงหัวเราะแผ่วๆ ดังมาจากด้านข้าง อี๋อวี้เหลียวหน้าไปเห็นหญิงสาวนางหนึ่งโผล่จากห้องครัวเล็กๆ ทางทิศตะวันออก นางสวมกระโปรงผ้าลายทางแซมดอกไม้สีฟ้า ถือประคองชามกระเบื้องใบหนึ่งเดินมาหา ใบหน้างามหมดจดประดับรอยยิ้มบางๆ คนผู้นี้คือเหยาจื่อชี บุตรสาวโทนของเหยาฮ่วง
“ฮูหยินไม่ต้องเป็นห่วงเกินไป แม่นางหลูเอาแต่นอนอยู่บนเตียงก็ไม่เหมาะ ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์ข้างนอกจึงจะหายป่วยได้เร็ว” เหยาจื่อชีหยุดยืนข้างๆ อี๋อวี้ หลูซื่อคิดจะรับชามยามา แต่เหยาฮ่วงโบกมือห้ามแล้วหยิบช้อนคนยาต้มในชามหลายที จากนั้นโน้มตัวมาจะป้อนนาง
อี๋อวี้กระดากใจอยู่บ้าง แต่นางไม่มีแม้แต่แรงยกมือแล้วจะดื่มยาเองได้อย่างไร นางอ้าปากกินทีละคำๆ ระหว่างนั้นยังอ้างคำพูดของเหยาฮ่วง บอกกับเหยาจื่อชีเสียงเอื่อยๆ
“ดีชั่วพวกเราเคยเป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน เจ้าเรียกข้าว่าแม่นางๆ ไม่ขาด ข้าจะเรียกเจ้าว่าจื่อชีก็ไม่ถนัดแล้ว”
เหยาจื่อชียังขี้อายดุจเดียวกับสามปีก่อน นางหน้าแดงเรื่อๆ เอ่ยเสียงอ่อย “ข้านึกว่าตอนนั้นท่านพ่อข้าทำแบบนั้นกับพวกเจ้า แล้วเจ้า…เจ้า…”
นางกล่าววาจาครึ่งๆ กลางๆ แล้วเอ่ยปากต่อไม่ออก แต่อี๋อวี้รู้ว่านางหมายถึงเรื่องที่หลี่ไท่ส่งคนมาตำบลหลงเฉวียนจะจับตัวเหยาปู้จื้อไปช่วยถอนพิษให้ เขาอาศัยลานด้านหลังของเรือนพวกนางหลบหนี ซ้ำวางยาสลบพวกนางทั้งครอบครัวจนต้องรับเคราะห์แทน
อี๋อวี้ชำเลืองมองเหยาฮ่วงที่ยังยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาแล้ว ลอบทอดถอนใจที่ไยบิดาพรรค์นี้ให้กำเนิดบุตรสาวแบบนี้ได้ ก่อนจะกล่าวเสียงเบา “นี่เป็นเรื่องอดีตไปแล้ว อย่าเอ่ยถึงอีกเลย ก็ให้เป็นอย่างเมื่อก่อน ข้าเรียกเจ้าว่าจื่อชี เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวอวี้ดีหรือไม่”
“ดี” เหยาจื่อชีตอบคำหนึ่งเสียงค่อยๆ หากความดีใจฉายชัดในดวงตา นางอยู่ในป้อมปราสาทแดงแต่วัยเยาว์ เพราะเป็นธิดาเผ่า นางก็เลยไม่มีเพื่อนเล่น ภายหลังร่อนเร่พเนจรอยู่ในยุทธภพกับเหยาฮ่วง ไร้ที่พำนักเป็นหลักแหล่ง อย่าว่าแต่สหาย กระทั่งคนรุ่นราวคราวเดียวที่พูดคุยกันได้ก็ยังไม่มี เมื่อเห็นอี๋อวี้ไม่ถือสาความผิดในหนหลัง นางจะไม่ยินดีได้เช่นไร
อี๋อวี้ดื่มยาแล้วนั่งอยู่ในลานไม่ถึงครึ่งเค่อ พอยาออกฤทธิ์ก็เริ่มง่วงงุน หลูซื่อประคองนางกลับห้องไปนอน เห็นเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากบุตรสาว หมุนกายไปจะบิดผ้ามาเช็ดให้ กลับถูกนางกระตุกชายเสื้อเบาๆ
“ท่านแม่”
“มีอะไรหรือ” หลูซื่อก้มตัวไปใกล้ๆ
“พวกเราออกมาหลายวันนี้ ได้…ได้ส่งข่าวคราวกลับไปบอกทางสวนผูเจินไหมเจ้าคะ”
พวกนางจากมาโดยไม่บอกไม่กล่าว ถ้าเกิดหลี่ไท่มาหาแล้วไม่เจอใครจะทำอย่างไร แม้นางโกรธเคืองเขา ในอกสุมแน่นไปด้วยความคับข้องใจ แต่ก็ไม่อยากให้เขาเป็นห่วง
ไหนเลยหลูซื่อจะไม่รู้ความหมายในถ้อยคำบุตรสาว สีหน้านางนิ่งขึงไปก่อนนั่งลงข้างเตียง เอื้อมมือลูบกระหม่อมอี๋อวี้ พลางกล่าวอย่างจนปัญญา “ข้าได้ยินลุงหานของเจ้าพูดว่ามีคนข้างนอกมากมายกำลังตามล้างแค้นท่านหมอเหยาอยู่ เรื่องที่เขาอาศัยอยู่ที่นี่จะให้คนอื่นล่วงรู้ไม่ได้ ถ้าพวกเราบุ่มบ่ามส่งสารออกไปจนแพร่งพรายร่องรอยของเขา อย่างนี้จะไม่เป็นการให้ร้ายพวกเขาสองพ่อลูกหรือ เป็นเด็กดีนะ เจ้าพักรักษาตัวอย่างสบายใจ พอหายสนิทแล้วพวกเราค่อยกลับ”
ยามดึกวันนั้นตอนออกจากสวนผูเจิน หานลี่เป็นสารถีควบรถม้าพาพวกนางแม่ลูกสองคนมุ่งหน้ามาที่ป่าเขาไม่ไกลจากเมืองหลวงแห่งนี้อย่างลับๆ ยังไม่เอ่ยถึงว่าเขารู้ว่าเหยาฮ่วงอยู่ที่นี่ได้อย่างไร ด้านเหยาฮ่วงนั้นขโมยม้วนคัมภีร์ยาพิษของป้อมปราสาทแดงมาแล้วหลบหนีซ่อนตัวนานสามปี ทันทีที่ถูกคนพบตัว ผลลัพธ์คงเลวร้ายจนไม่กล้าจะนึกภาพเป็นแน่แท้
อี๋อวี้ครุ่นคิดลึกลงไปถึงชั้นนี้แล้วจำต้องหยุดความคิดไว้ ตั้งหน้าตั้งตาพักฟื้นอยากรีบหายโดยไวจึงจะกลับไปได้ นางหาได้รู้ไม่ว่าเพราะตนป่วยหนักในครั้งนี้ พวกหลูซื่อกับหานลี่นั้นต่างคนต่างคิดอ่านบางอย่างในใจไว้
“เฮ้อ…” หลูซื่อเห็นบุตรสาวหลับตาลงไม่นานก็หลับไป นางถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่งแล้วนั่งอยู่ตรงหัวเตียงเป็นเวลานานถึงลุกขึ้นไปบิดผ้า
การประชันศาสตร์ห้าสำนักดำเนินมาถึงวันสุดท้ายก็ตกอยู่ในสถานการณ์ตื่นเต้นดุเดือดเต็มที่ ป้ายไม้ในการแข่งขันศาสตร์แปดแขนงก่อนหน้า สำนักไท่เสวียคว้าไปสามป้าย สำนักซื่อเหมินเสวียสองป้าย สามสำนักที่เหลือได้ไปคนละป้าย เหลือป้ายสุดท้ายนี้อีกป้ายเดียว บรรดาลูกศิษย์ที่ลงแข่งย่อมหมายมั่นปั้นมือจะชิงมาให้ได้เป็นธรรมดา อย่าลืมว่าในการแข่งขันนี้มีคำกล่าวหนึ่งเป็นที่รับรู้กันเองว่าป้ายไม้ศาสตร์จารีตคือรางวัลใหญ่ที่สุดในศาสตร์ทั้งเก้า ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ใครก็ตามเคยได้รับป้ายไม้ป้ายนี้ ไม่มีคนใดไม่อยู่ในเส้นทางการเป็นขุนนางได้อย่างราบรื่นเสมือนมัจฉาได้น้ำ
เพียงทว่าพอหัวข้อการประชันศาสตร์จารีตของวันนี้เผยออกมา ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนตกตะลึงตาค้างไปตามๆ กันอย่างช่วยไม่ได้…
‘เสาะหาสุราเลิศรสกาหนึ่ง สุราชั้นดีทั้งไม่ซ้ำใครถือเป็นชั้นยอด’
ลูกศิษย์ทั้งกลุ่มเดินถือแผ่นกระดาษบอกหัวข้อออกไปอย่างงุนงง ตรงที่นั่งผู้ตัดสินเริ่มพูดถกกันจากสุรารสเลิศไปถึงอาหารชั้นดี สุดท้ายยังเอ่ยถึงสุราดีงูในงานเลี้ยงต้อนรับหลี่ไท่ที่โจษขานกันว่าช่วยบำรุงสายตา
อวี๋ซื่อหนานกับตงฟางโย่วล้วนไปร่วมงานวันนั้น พอเอ่ยถึงสุรานี้ พวกเขาต่างรำลึกรสชาติ และยืนยันในสรรพคุณดังกล่าวของมันท่ามกลางสายตากังขาของคนอื่นๆ ครานี้ฉาจี้เหวินนั่งไม่ติดแล้ว เขาโปรดปรานสุราเป็นที่หนึ่ง หัวข้อการประชันวันนี้ก็เป็นเขาเสนอขึ้นเป็นพิเศษ ตงฟางโย่วถึงพยักหน้าตกลงเห็นชอบโดยไม่ติติงว่าเป็นการอ้างงานบังหน้าเพื่อประโยชน์ส่วนตน
“น่าเสียดายๆ ไฉนวันนั้นข้าต้องปวดข้อเข่าจนไปไม่ไหวด้วยนะ น่าเสียดายสุราดีๆ นั่น ดูทีว่าพลาดจากหนนั้นไปคงหมดโอกาสลิ้มรสแล้ว”
ใครๆ ก็ฟังออกว่าเขาตั้งใจขอสุราจากหลี่ไท่แต่จะพูดตรงๆ ก็ไม่ดี หลายวันนี้หลี่ไท่ทำหน้าเคร่งเครียดตลอด เขานั่งอยู่ทั้งเช้ายอมกล่าววาจาสักคำก็นับว่ามากแล้ว เลยไม่มีคนช่วยพูดต่อความให้โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ ด้านเหยียนเหิงยังปรายตามองฉาจี้เหวินพร้อมแค่นหัวเราะเสียงหนึ่ง กระนั้นยังคงเป็นจิ้นฉี่เต๋อเอ่ยปากขึ้นอย่างปรารถนาดี
“ได้ยินว่าพักก่อนหอขุยซิงขายไปแล้วสองไห ไม่รู้ว่ายังมีเหลืออีกหรือไม่”
“เอ๊ะ? จริงหรือ”
“ถึงมีแล้วเจ้าหักใจซื้อได้หรือ” เหยียนเหิงยกมือข้างหนึ่งชูนิ้วบอกราคา “ไหละหกร้อยตำลึงเงิน”
“แค่กๆ” ฉาจี้เหวินสำลักน้ำชาในปากจนพ่นเศษใบชาออกมา เขากลอกตาไปมา แม้จะฉงนใจว่าสุราในงานเลี้ยงเว่ยอ๋องมีขายในหอขุยซิงได้เช่นไร แต่เขารู้เช่นกันว่าคำนี้ถามออกจากปากไม่ได้ ทว่าเขาไม่พูด มิได้หมายถึงว่าจะไม่มีคนเอ่ยขึ้น
“การค้าของหอขุยซิงนับวันยิ่งใหญ่โต ขอแค่บอกชื่อได้ ดูเหมือนไม่มีอะไรที่คนกลุ่มนั้นหามาไม่ได้” อวี๋ซื่อหนานสูงวัยมากแล้ว พูดเสียงเนิบๆ นาบๆ แต่ไม่มีใครไม่ตั้งใจฟัง “คุยกันถึงเรื่องนี้ หลายวันก่อนข้าสั่งจองกระดาษจากตำบลปี้ซีสองชุดกับที่นั่น เมื่อวานไปรับของ ได้รับคำบอกกล่าวว่าคืนนี้มีงานประมูล หากทุกท่านสนใจลองไปดูก็ไม่เสียหาย ไม่แน่ว่าอาจได้ของดีๆ มาก็ได้”
คนยุคนี้นิยมบทกวี สุรา และหญิงงาม ถ้าไม่รู้จักสำเริงสำราญเสพความสุนทรีย์ กลับถูกมองเป็นคนชั้นต่ำ อีกทั้งหอขุยซิงมิใช่สถานเริงรมย์ชั้นสามัญ อวี๋ซื่อหนานออกปากพูดถึงจึงมิใช่เรื่องแปลกประหลาด แต่พวกเขาเหล่านี้จะมีกี่คนเล่ามีเงินทองเหลือเฟือไปหว่านเป็นเบี้ยที่นั่น ฟังเขาพูดแล้วได้แต่ยิ้มรับและเออออสองสามคำ
การแข่งขันจะสิ้นสุดตอนพลบค่ำเช่นเคย หลี่ไท่ไม่สนใจจะอยู่ที่นี่นานนัก นั่งอยู่ครึ่งเค่อก็อำลากลับไปสำนักอักษรรอคอยผู้อยู่ใต้อาณัติที่ส่งไปตามหาคนกลุ่มนั้นกลับมารายงาน ไหนเลยจะรู้ว่าพอเขาย้อนกลับไปยามหัวค่ำ ตอนเปิดเผยผลแพ้ชนะจะได้ยินเรื่องอย่างนี้
หลังจากออกไปเมื่อเช้า ลูกศิษย์อวดฉลาดกลุ่มหนึ่งตัดสินใจไปหอขุยซิง ครั้นได้ยินว่าตอนค่ำมีงานประมูล ถามไถ่ได้ความว่าหนึ่งในของประมูลเป็นสุราชั้นเลิศของซีอวี้ จนใจที่เถ้าแก่หอไม่อยู่ ผู้ดูแลไม่กล้าตอบตกลงขายให้พวกเขาล่วงหน้า ลูกศิษย์กลุ่มนั้นจึงรออยู่ที่นั่นถึงบ่ายแก่ คิดว่าจะทำให้เถ้าแก่หอเห็นแก่หน้าพวกตน ค่อยประมูลสู้ด้วยราคาสูง ไม่คาดว่าใกล้จะพลบค่ำยังไม่เห็นสุรา กลับมองเห็นคนล้อมวงมองชมภาพวาดสองภาพแขวนไว้ใต้แสงโคมสว่างไสวเด่นสะดุดตาในโถงใหญ่ประดับประดาอย่างหรูหรา
หนึ่งคือภาพคืนจันทราบุปผาธาราวสันต์ พื้นนทีบรรจบผืนนภา แสงจันทราฉายส่องคน อีกหนึ่งคือภาพหญิงงามใต้แสงจันทร์เหนือลำน้ำ เป็นเงาร่างเลือนรางกลางงานเลี้ยงราตรี สิ่งที่สองภาพซึ่งแตกต่างกันนี้ทำให้ผู้คนอัศจรรย์ใจมิใช่เพราะฝีมือวาดภาพอันยอดเยี่ยมล้ำเลิศดุจเดียวกัน หรือตะลึงลานจากตราประทับท้ายภาพเท่านั้น แต่เป็นคำกลอนเคียงภาพเขียนด้วยตัวอักษรบรรจงเล็กสละสลวยแปลกตาสองบทนั่น หนึ่งคำกลอนหนึ่งคำร้อง ถึงกับเป็นลายมือคนคนเดียวกัน!
จนใจที่บนภาพวาดทั้งสองล้วนไม่มีชื่อเสียงเรียงนามของผู้เขียนคำกลอนบอกไว้ ส่งผลให้ไร้ร่องรอยให้สืบเสาะได้ แต่นี่เป็นแค่เริ่มต้น จวบจนคนล้อมวงชมดูมากขึ้นทุกที จึงมีผู้รู้เหตุการณ์ช่วยไขความกระจ่างให้ทุกคนด้วยเสียงตกใจ
ภาพแสงจันทร์กลางสายน้ำยามค่ำคืนนั้นคือภาพ ‘คืนจันทราบุปผาธาราวสันต์’ ผลงานสร้างชื่อชั่วข้ามคืนในหมู่จิตรกรเอกที่งานเลี้ยงมหาบัณฑิตเมื่อสองปีก่อนของตู้รั่วจิ่นหรือไหลกั๋วกงคนปัจจุบัน ส่วนภาพหญิงงามใต้แสงจันทร์เหนือลำน้ำอีกภาพหนึ่ง ดูจากคำร้อง ‘กุมหัวใจท่าน’ ที่สัมผัสคล้องจองบทนั้น กลับเป็นภาพวาดที่ไม่มีใครได้ยลเป็นบุญตาในงานเลี้ยงต้อนรับเว่ยอ๋องกลับเมืองหลวง!
เมื่อเป็นเช่นนี้ คำร้องสองบทด้วยลายมือสละสลวยแปลกตานั่นก็มีเจ้าของแล้ว…เป็นว่าที่ชายาเว่ยอ๋อง คุณหนูรองสกุลหลู…หลูอี๋อวี้อย่างมิต้องสงสัย
“นะ…นี่เป็นจริงหรือเท็จ คงมิใช่พวกเจ้าตาฝาดกระมัง”
ได้ฟังลูกศิษย์หลายคนตรงหน้าที่ซื้อสุรารสเลิศจากหอขุยซิงแล้วถูกเรียกตัวขึ้นมาซักถามที่มาของสุราผลัดกันบอกเล่าเก้าสิบ เหล่าผู้ตัดสินก็หันไปมองหลี่ไท่โดยไม่รู้ตัว จึงไม่พลาดได้เห็นแววประหลาดใจวาบผ่านหน้าเขาไป ต่างรู้สึกว่าใบหน้าที่บูดบึ้งมาหลายวันของเว่ยอ๋องเผยรอยถมึงทึงเพิ่มมากขึ้น
พวกเขาลอบฉงนใจ ภาพวาดสองภาพที่วางแสดงอยู่ในหอขุยซิงนั่นเตรียมจะขายออกแน่นอน ภาพของตู้รั่วจิ่นยังพอทำเนา แต่ภาพของหลี่ไท่ซึ่งไม่เคยให้คนในงานเลี้ยงได้ชมสักแวบ มีหรือจะหักใจนำออกมาขายได้!
เสี้ยวเวลานี้หลี่ไท่หมดแก่ใจอยู่ที่นี่ให้คนมองอย่างแคลงใจ เลือกสุราซีอวี้กาหนึ่งบนโต๊ะตามใจชอบถือเป็นคำตัดสินของเขา จากนั้นกล่าวอำลาคนอื่นสั้นๆ แล้วเดินอาดๆ ออกไปโดยไม่รอให้การแข่งขันสิ้นสุด ทิ้งให้ผู้คนมองหน้ากันไปมาอยู่ที่เดิม
จ่างซุนซียืนอยู่กลางหมู่ลูกศิษย์มองตามแผ่นหลังชายหนุ่มแล้วก้มหัวลง บนหน้านางค่อยๆ ปรากฏแววครุ่นคิด
ติดตามตอนต่อไป…
Comments
comments
No tags for this post.