X
    Categories: ทดลองอ่านนางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้องมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง เล่ม 4 บทที่ 133-134

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 133 พยาน

เรื่องราวชักไปกันใหญ่ กระทบไปถึงคนในครอบครัวเลยหรือ เสิ่นกุยเยี่ยนอยากรู้ต้นสายปลายเหตุเป็นอย่างยิ่งจึงโบกมือสั่งให้เป่าซั่นพาคนอื่นออกไป จากนั้นจึงมองเด็กน้อย “เวลานายเจ้าเห็นข้ายังต้องคำนับให้ ดังนั้นเจ้ามีอะไรก็บอกข้าได้ทุกอย่าง ข้าจะช่วยออกหน้าให้เอง”

ชิงจู๋ทรุดตัวฮวบลงหน้าเตียง หลังจากมองเสิ่นกุยเยี่ยนอยู่นานก็กัดฟันบอก “หม่อมฉันเป็นคนปล่อยงูตัวนั้นเองเพคะ แต่หม่อมฉันไม่ทราบจริงๆ ตอนพี่สาวในวังหลวงเอางูตัวนั้นมาให้ยังบอกว่าเป็นของดี หากแอบเอามาปล่อยในห้องพระชายาให้แปลกพระทัยเล่น พระชายาจะประทานรางวัลให้เจ้านายหม่อมฉันอย่างงาม หม่อมฉันเห็นงูสีสันสดสวย เข้ากับอ่างปลาไนของพระชายายิ่งนัก เลยกล้าปล่อยมันลงในอ่างเพคะ”

เด็กน้อยไม่รู้ความจริงเสียด้วย ถูกหลอกง่ายดายเหลือเกิน พวกนั้นคงไม่ทันคิดสินะว่าในเมื่อเด็กถูกหลอกง่าย จะปะเหลาะให้พูดความจริงก็ทำได้ง่ายเช่นกัน ที่เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ต้องการให้จับชิงจู๋ไปขังไว้ด้วยกันกับฟู่กุ้ยเหรินก็เพราะไม่อยากให้เด็กหญิงถูกเจ้านายสอนว่าต้องพูดอย่างไร เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะสืบหาความจริงลำบากยิ่งขึ้น

“พี่สาวคนใดในวังหลวงให้มา” เสิ่นกุยเยี่ยนถามต่อ

ชิงจู๋ตอบตามตรง “พี่เหอหรงที่รับใช้อยู่ที่ตำหนักชั้นในของตำหนักเหอฮวนเพคะ นางออกจากสกุลฟู่มาพร้อมหม่อมฉัน แต่เมื่อไม่นานมานี้ทำผิด จึงถูกฟู่กุ้ยเหรินลงโทษให้ไปทำงานหลังตำหนัก หม่อมฉันเลยได้เลื่อนมารับใช้ฟู่กุ้ยเหรินแทน”

ไม่เช่นนั้นเด็กหญิงอายุเพียงเท่านี้จะกลายเป็นคนสนิทที่ติดสอยห้อยตามเจ้านายไปทุกที่ได้อย่างไร

เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า “ไปหาพี่เป่าซั่นของเจ้า เล่าเรื่องมารดากับน้องชายเจ้าให้นางฟัง นางจะหาทางจัดการให้เจ้าเอง ประเดี๋ยวตอนค่ำเมื่อข้าให้เจ้ามาพูด เจ้าต้องเล่าเรื่องอย่างที่เล่าให้ข้าฟังถวายฮ่องเต้อีกครั้ง เข้าใจหรือไม่”

ชิงจู๋พรูลมหายใจยาวเหยียดแล้วหมอบคำนับ “ขอบพระทัยพระชายาที่ทรงเมตตาเพคะ!”

วังหลวงแห่งนี้เกิดเรื่องได้ไม่หยุดหย่อน คนที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งยังกล้าทำร้ายผู้อื่น วันนี้นางเกือบถูกเล่นงานอยู่แล้ว

เสิ่นกุยเยี่ยนถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นเป่าซั่นก็เข้ามารายงาน “พระชายา อีกประเดี๋ยวเกาซื่อจะมาแล้ว จะทรงเปลี่ยนฉลองพระองค์หรือไม่เพคะ”

ในใจเสิ่นกุยเยี่ยนพลันปลอดโปร่งขึ้นเมื่อนึกถึงเกาจิ่นซิ่ว นางอมยิ้ม “ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหรอก ให้พบทั้งอย่างนี้ล่ะ ไม่ว่าข้าอยู่ในสภาพน่าอนาถเพียงใดนางก็เคยเห็นมาหมดแล้ว”

สมัยเด็กๆ เมื่อถูกทุบตี นางจะมุดช่องสุนัขลอดด้านหลังจวนไปจวนสกุลเกา จวนของทั้งสองอยู่ไม่ไกลกัน ทั้งอูซื่อยังเอ็นดูนางเสมอ คอยใส่ยาให้ จากนั้นก็ให้เกาจิ่นซิ่วมาเล่นกับนาง พออาการดีขึ้นบ้างแล้วถึงค่อยกล้ากลับจวนไปให้ฉินอี๋เหนียงเห็น

ไม่ว่าจะตอนที่นางมีแผลเต็มตัวหรือตอนที่นางร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลอย่างเจ็บช้ำ เกาจิ่นซิ่วก็เคยเห็นมาหมดแล้ว พวกนางเติบโตมาด้วยกันหลายปี ยังต้องทำเป็นคนอื่นคนไกลไปไยเล่า

“ถวายพระพรเยี่ยนกุ้ยเฟยเพคะ” เกาจิ่นซิ่วเดินเข้ามาแล้วทำท่าจะย่อกายคารวะ แต่เสิ่นกุยเยี่ยนปรามไว้อย่างหัวเราะไม่ได้ร่ำไห้ไม่ออก “ไม่ได้เจอกันเพียงปีสองปีก็ห่างเหินกันเสียแล้ว จิ่นซิ่ว ข้าเคลื่อนไหวมากนักไม่ได้ เจ้าอย่าถือโอกาสแกล้งข้าสิ มานั่งข้างข้านี่มา”

อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งด้วยสีหน้าอมทุกข์ “ข้าเข้ามาอยู่ในวังหลวงได้ครึ่งเดือนแล้ว ไม่ได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้หรือได้เจอเจ้าเสียทีจนแทบสิ้นหวังอยู่รอมร่อ เพิ่งจะได้เลื่อนตำแหน่งก็ตอนที่มีการปูนบำเหน็จในตำหนักในนี่เอง”

แรกเริ่มเดิมทีสตรีตำหนักในล้วนเป็นสตรีที่เหวินไทเฮาหามาใส่ทั้งนั้น ฮ่องเต้ยุ่งตัวเป็นเกลียว ไม่มีเวลาเรียกมารับใช้ จะเลือกค้างคืนในตำหนักสนมชายาที่ตนเองคุ้นเคยเท่านั้น เกาซื่อจึงไม่มีโอกาสได้พบเสิ่นกุยเยี่ยนเลย

เสิ่นกุยเยี่ยนได้แต่ยิ้มเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ได้มาอยู่ดูแลกันในวังหลวงย่อมดีอยู่แล้ว ทว่า…ก็เป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่งยวดด้วยเช่นกัน

เกาซื่อเฉลียวฉลาดอ่อนโยน ติดจะซุกซนเล็กน้อย ทว่าก็รอบรู้ในธรรมเนียมมารยาท สตรีเช่นนี้น่าจะต้องใจกู้เจาเป่ยอย่างยิ่ง

เกาจิ่นซิ่วเห็นสีหน้าสหายก็รู้แล้วว่าคิดอะไรอยู่ จึงเม้มปากเอ่ยขึ้น “ในที่สุดก็ได้เจอเจ้าเสียที ข้ามีเรื่องอยากขอร้องอยู่พอดี”

“เรื่องอะไรหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนเลิกคิ้ว

“ตอนนี้เจ้าเป็นกุ้ยเฟยแล้ว มีอำนาจจัดสรรให้สตรีฝ่ายในผลัดกันถวายงานบนพระแท่น” คนพูดกัดฟัน “เอาป้ายชื่อข้าออกจากสำนักพระราชวังเถิด ไว้ให้ข้าอายุครบสิบแปดเมื่อไร ข้าก็จะไปจากที่นี่”

เสิ่นกุยเยี่ยนผงะ “เพราะเหตุใดกัน”

เกาจิ่นซิ่วถามอย่างไม่พอใจ “เจ้านึกว่าข้าอยากเข้ามาอยู่ในวังหลวงนักหรือ ที่นี่มีอะไรดีกัน สตรีพวกนั้นจ้องแต่จะไต่เต้าขึ้นไปข้างบนทุกคน ไม่มีผู้ใดคบหากันอย่างจริงใจทั้งนั้น ซ้ำฮ่องเต้ยังไม่ทรงรักใครจริงสักคน เพียงเมตตาเจ้าเป็นพิเศษเท่านั้น แล้วจะแก่งแย่งชิงดีไปให้ได้อะไรขึ้นมา อีกอย่างข้าก็แย่งกับเจ้าไม่ลงด้วย”

เห็นนางอาภัพน่าเวทนามาตั้งแต่เด็ก ใครจะรังแกนางลงอีกเล่า

“แต่ท่านพ่อของเจ้าน่าจะอยากให้เจ้าได้ดีอยู่ในวังหลวงกระมัง” เสิ่นกุยเยี่ยนท้วง “ใต้เท้าเกามีปณิธานยิ่งใหญ่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

“ปณิธานอะไรกัน ขายบุตรสาวตนเองเสียมากกว่า” คู่สนทนาพลันตาแดงเรื่อ “ข้าคัดค้านแทบตาย เขาก็ยังไม่สนใจ บังคับจับข้ายัดเข้ามาในวังหลวงจนได้ ขนาดพยายามอ้อนวอนยังไม่ใจอ่อน ข้าอยู่นอกวังหลวงใช่ว่าจะแต่งไม่ออกเสียหน่อย…”

นอกจากจะแต่งออกยังมีคนที่อยากแต่งงานด้วยมานานแล้ว ติดที่ท่านพ่อไม่ยินยอม!

เสิ่นกุยเยี่ยนเข้าใจแจ่มแจ้ง เกาจิ่นซิ่วมีชายในดวงใจจึงไม่อยากเข้าวังหลวง

“เช่นนั้นก็ไม่ยาก” เสิ่นกุยเยี่ยนใช้ความคิด “ถึงอย่างไรตำหนักในก็เหมือนตลาดสดอยู่แล้ว อยากได้หัวผักกาด ผักกวางตุ้ง หรือผักอะไรก็มีทั้งนั้น ขาดผักกาดขาวอย่างเจ้าไปสักหัวก็ไม่เป็นไร อีกประเดี๋ยวข้าจะไปจัดการที่สำนักพระราชวังให้”

“ยิ่งใหญ่จริงเชียว” เกาจิ่นซิ่วถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อนางรับปาก ก่อนจะมองนางพลางหัวเราะคิก “สตรีพวกนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าในตำหนักในต้องเป็นสนมชายาคนโปรดจึงจะยิ่งใหญ่เช่นนี้ ข้าเห็นเจ้าได้ดีก็เบาใจแล้ว เพียงแต่เจ้าในตอนนี้อยู่ในฐานะยิ่งสูงยิ่งหนาว จะทำอะไรก็ต้องระวังตัวให้มากๆ เข้าไว้ เหตุการณ์เช่นที่เกิดขึ้นวันนี้นับว่าอันตรายน่ากลัวมากพอแล้ว”

เสิ่นกุยเยี่ยนเม้มปาก “เรื่องวันนี้ประเดี๋ยวพอทูลฝ่าบาทในตอนค่ำก็จะได้บทสรุปเอง ผู้ใดควรได้รับโทษย่อมหนีไม่พ้น”

เกาจิ่นซิ่วถามอย่างฉงนสงสัย “เจ้ารู้แล้วหรือว่าเป็นฝีมือของผู้ใด”

บอกสหายคนนี้คงไม่เป็นไร เสิ่นกุยเยี่ยนตอบเบาๆ “ชิงจู๋สารภาพแล้ว”

เกาจิ่นซิ่วชะงักไปก่อนจะทำท่าเข้าใจกระจ่างแจ้ง “เป็นฟู่กุ้ยเหรินจริงด้วย ตอนฝึกธรรมเนียมมารยาทกับหมัวมัวคนเดียวกัน ข้าตระหนักถึงพิษสงของนางมาแล้ว”

“มีเหตุใดหรือ” เสิ่นกุยเยี่ยนถามอย่างสนใจใคร่รู้

ประเด็นที่สหายสนิทชอบหยิบยกมาสนทนายามอยู่ด้วยกันมากที่สุดก็คือเรื่องของผู้อื่น ดังนั้นเกาจิ่นซิ่วที่นั่งข้างเสิ่นกุยเยี่ยนจึงพรั่งพรูออกมาโดยไม่รอช้า “ตอนที่ทุกคนยังเป็นนางกำนัลไม่อาจพาสาวใช้เข้ามาปรนนิบัติ แต่นางกลับพามา เวลานี้ได้รับแต่งตั้งเป็นกุ้ยเหริน ตำหนักคนอื่นอยู่ไกลและมีสาวใช้น้อย แต่นางกลับได้อยู่ตำหนักเหอฮวน มีสาวใช้ปรนนิบัติมากมาย ชิงจู๋ก็คนหนึ่งแล้ว ข้าจำได้ว่ายังมีอีกคนชื่อเหอหรง”

เสิ่นกุยเยี่ยนพูดอย่างนึกสนุก “มีคนหนุนหลังนี่นะ”

“ก็ใช่น่ะสิ” เกาจิ่นซิ่วร้องหึเบาๆ “คนเขาเป็นหลานสาวสายตรงของราชบัณฑิตฟู่ เห็นว่าสมัยเด็กๆ ถึงกับเคยได้เข้าเฝ้าเหวินไทเฮาด้วย เวลานี้ไทเฮาตำหนักบูรพาสิ้นอำนาจแล้ว แต่นางยังเชิดหน้าชูคอได้เหมือนเก่า ไปที่ใดก็คอยวางท่าจนผิดใจกับคนไปทั่ว มิหนำซ้ำยังพูดจาใหญ่โตอย่างหน้าไม่อายว่าตำแหน่งที่ว่างอยู่ของตำหนักในน่ะ ผู้ใดก็ประมาทกันไม่ได้ทั้งนั้น”

ตำแหน่งที่ว่างอยู่ของตำหนักใน…นางอยากขึ้นไปนั่งอย่างนั้นหรือ

“เจ้าสืบเรื่องนี้ได้ก็ดีแล้ว มีแต่คนรอดูสภาพนางตอนล้ม ได้ยินว่าวันนี้พอนางถูกจับไปขังในศาลราชวงศ์ ราชบัณฑิตฟู่ก็รีบเข้าวังหลวงทันที ไม่รู้ว่าจะพูดกับฮ่องเต้จนทำให้รูปการณ์เปลี่ยนหรือไม่”

“จะเปลี่ยนได้อย่างไรเล่า” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้ม “พยานยังอยู่ทั้งคน มีพยานมัดตัวแน่นหนา นางอยากบิดพลิ้วก็ทำไม่ได้หรอก”

“วิเศษ” เกาจิ่นซิ่วปรบมือก่อนจะพรูลมหายใจยาวเหยียดแล้วมองนาง “ตอนแรกที่ได้ยินว่าเจ้าจะแต่งเข้าจวนอัครเสนาบดี ข้ายังอิจฉาเจ้าอยู่เลย ภายหลังกลับเกิดเรื่องขึ้นมากมาย ตอนนี้เจ้านึกเสียใจบ้างหรือไม่ที่จับพลัดจับผลูมาแต่งงานกับฮ่องเต้”

เสิ่นกุยเยี่ยนเอียงคอครุ่นคิดสักพักก็ตอบ “มีอะไรต้องเสียใจกันเล่า มาถึงขั้นนี้แล้ว ไว้จบชาตินี้เมื่อไรข้าถึงมีสิทธิ์มองย้อนกลับมาว่านึกเสียใจหรือไม่”

“นั่นสินะ” อีกฝ่ายเล่าเบาๆ “ก่อนเข้ามาอยู่ในวังหลวง ข้าได้ยินว่ากู้ฮูหยินผู้นั้นตั้งใจจะหาภรรยาใหม่ให้คุณชายใหญ่สกุลกู้ แต่ดูเหมือนคุณชายใหญ่จะไม่ชอบใจนัก เอาแต่ปล่อยให้ตำแหน่งภรรยาเอกว่างมาจนป่านนี้”

เสิ่นกุยเยี่ยนอมยิ้ม เกี่ยวอะไรกับข้าด้วยเล่า หัวใจนางไม่เกิดความรู้สึกใดๆ แม้แต่น้อยเมื่อได้ฟังข่าวนี้

“เฮ้อ เอาแต่พล่ามเรื่องไร้สาระกันอยู่ได้ เมื่อครู่ตอนมาหาเจ้ามีคนอิจฉาข้าไม่น้อยเชียวล่ะ หาว่าหากข้าเกาะเจ้าต้องได้เลื่อนตำแหน่งอย่างแน่นอน” เกาจิ่นซิ่วบอกเบาๆ “ทีหลังเจ้าอย่าเรียกข้ามาพบอีกเลย ข้าจะได้ไม่มีปัญหา ไว้อีกสักสองปีค่อยให้ข้าออกจากวังหลวงไปแต่งงาน”

“อืม” เสิ่นกุยเยี่ยนรับคำแล้วดึงมืออีกฝ่ายมาจับไว้ “หากต้องการความช่วยเหลือก็ให้กุ้ยหลันมาบอกข้าแล้วกัน”

“ได้” เกาจิ่นซิ่วลุกขึ้นย่อกายคารวะเช่นที่กุ้ยเหรินควรทำ จากนั้นก็กลับออกไป

เป่าซั่นเดินเข้ามา เห็นเจ้านายระบายยิ้มบนใบหน้าก็รู้แล้วว่าอารมณ์คงปลอดโปร่งไม่น้อย จึงยิ้มระรื่นแล้วมาทวงรางวัล “พระชายา วันนี้หม่อมฉันหัวไวถึงเพียงนี้ ทรงมีรางวัลให้หรือไม่เจ้าคะ”

เสิ่นกุยเยี่ยนถามกระเซ้า “เจ้าก็ไม่ใช่เด็กแล้วมิใช่หรือ ถ้าอย่างไรข้าจะทูลฝ่าบาทให้ยกเจ้าให้จุยอวิ๋นดีหรือไม่ หลังออกเรือนแล้วจะมาเป็นหมัวมัวรับใช้ข้าต่อก็ได้”

คนสนิทหน้าแดงก่ำ แสร้งทำเป็นโกรธขึ้ง “พระชายานี่เหลือเกินจริงๆ ทรงกลั่นแกล้งกระทั่งสาวใช้หัวไวทำงานดีอย่างหม่อมฉัน หากส่งหม่อมฉันออกเรือนไปจริง พระชายาก็จะไม่มีคนรู้พระทัยคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกาย ดูซิว่าทีนี้จะไปร่ำไห้ที่ใด”

“เอาล่ะ ข้าไม่แหย่เจ้าแล้วก็ได้ ดูแลชิงจู๋เรียบร้อยหรือไม่” เสิ่นกุยเยี่ยนเปลี่ยนมาถามด้วยสีหน้าจริงจัง

เป่าซั่นตอบ “อยู่ในห้องหม่อมฉันเพคะ หม่อมฉันให้นางรอเฉยๆ ไม่ต้องออกมาทำงาน เรื่องมารดากับน้องชายที่นางบอก หม่อมฉันได้ไหว้วานจุยอวิ๋น…”

เพียงเอ่ยนามนั้นก็นึกถึงคำสัพยอกเมื่อครู่ของเจ้านายขึ้นมา เป่าซั่นหน้าแดงวาบ กระนั้นก็ยังทำหน้าขึงขังพูดต่อ “ไหว้วานคนให้ไปจัดการแล้ว”

เสิ่นกุยเยี่ยนนึกขำในใจ เจ้าเด็กคนนี้กำลังมีความรักแล้วยังทำเป็นไม่ยอมรับอีก

“ดี เช่นนั้นก็เหลือเพียงรอตอนค่ำ” นางอ้าปากหาว ชักง่วงขึ้นมาอีกแล้วจึงลูบครรภ์ตนเองพลางเดินไปนอนที่เตียง

เป็นสนมชายานี่ดีแท้ วันๆ มีแต่กินแล้วนอน นอนแล้วกิน อย่างกับหมูก็มิปาน

 

ครั้นพอย่ำค่ำ กู้เจาเป่ยก็กลับตำหนักพร้อมความเหนื่อยล้า มาถึงแล้วก็ล้มลงนอนตัวอ่อนปวกเปียกบนเตียง “พรุ่งนี้ข้าอยากพัก”

เสิ่นกุยเยี่ยนช่วยนวดไหล่ให้ “ทรงเหนื่อยมากเลยหรือเพคะ”

“แน่นอนสิ” เขาเล่าฉุนๆ “ราชบัณฑิตฟู่เข้าวังหลวงมาพูดจาไร้สาระให้ข้าฟังตั้งสองชั่วยาม คนแก่นี่นะ พูดเพียงสั้นๆ ว่า ‘กระหม่อมเป็นขุนนางที่มีคุณงามความดี และฟู่กุ้ยเหรินก็เป็นหลานสาวของขุนนางที่มีคุณงามความดี’ ก็จบแล้วไม่ใช่หรือ นี่กลับอ้างไปถึงอดีตฮ่องเต้ อ้างไปถึงไทเฮา”

ถึงอย่างไรก็เป็นหลานสาวสายตรง ราชบัณฑิตฟู่จึงให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวด เสิ่นกุยเยี่ยนนิ่งคิดเล็กน้อยก็เอ่ยขึ้น “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ พยานอยู่กับหม่อมฉันแล้วเพคะ ฝ่าบาทจะทรงให้เข้าเฝ้าหรือไม่”

กู้เจาเป่ยชะงักแล้วหันมามอง “คนของกรมอาญาสืบได้ความแล้วหรือ”

“เปล่าเพคะ” นางตอบ “วันนี้คนของกรมอาญามาดู แต่กลับไปเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ หม่อมฉันเป็นคนหาพยานได้เอง ไม่ได้ส่งตัวไปให้กรมอาญาเพคะ”

บทที่ 134 อุบายปกป้องบุตร

กู้เจาเป่ยหันมามองนาง ดวงตาเป็นประกายขึ้นเล็กน้อย “เหตุใดถึงไม่ส่งตัวให้กรมอาญาตัดสินโทษ”

นางยกยิ้มตรงมุมปาก “หากคำให้การของพยานสามารถเอาผิดฟู่กุ้ยเหรินได้ ฝ่าบาทจะทรงจัดการเช่นไรเพคะ”

หากเป็นสตรีตำหนักในธรรมดาๆ นางคงไม่ต้องทำอะไรอ้อมค้อมเช่นนี้ แต่นี่อีกฝ่ายเป็นหลานสาวสายตรงของราชบัณฑิตฟู่ และสาเหตุสำคัญที่สร้างความปวดหัวให้ฮ่องเต้อยู่ในตอนนี้ก็คือราชบัณฑิตฟู่นี่ล่ะ

ถ้าฉวยโอกาสนี้เล่นงานขุนนางสูงวัยไปพร้อมกัน ย่อมวิเศษกว่าลงโทษฟู่กุ้ยเหรินเพียงคนเดียวมากนัก

กู้เจาเป่ยตอบหลังจากลูบคางใช้ความคิดอยู่พักใหญ่ “หากสามารถเอาผิดฟู่กุ้ยเหรินได้จริง ข้าจะส่งนางไปขังไว้ในตำหนักเย็น แล้วรอให้ราชบัณฑิตฟู่มาอ้อนวอนขอร้อง”

วันนี้ราชบัณฑิตฟู่กล้าพล่ามยาวเหยียดถึงเพียงนั้นก็เพราะยังไม่มีการตัดสินความผิดของฟู่กุ้ยเหริน เมื่อใดที่ตัดสินขุนนางสูงวัยมีแต่ต้องยอมถอยก้าวแล้วก้าวเล่าได้อย่างเดียว

เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า แล้วลุกไปเรียกเป่าซั่น “ไปพาชิงจู๋มาได้”

คนสนิทรับคำสั่งยิ้มๆ

กู้เจาเป่ยพลิกตัวลุกขึ้นแล้วเดินมาจับมือนางไว้ “เยี่ยนเอ๋อร์ เจ้าช่วยข้าไว้ครั้งใหญ่อีกแล้ว”

เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้ม “หม่อมฉันอยู่ในตำหนักในว่างๆ ไม่มีอะไรทำ หากช่วยฝ่าบาทได้ก็ดีใจยิ่งนัก”

เขาแนบจุมพิตบนแก้มเนียนเบาๆ เสียงที่เอ่ยออกมาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “ถึงอย่างไรเจ้าก็ดีที่สุดจริงๆ”

ดวงหน้างามแดงซ่าน เสิ่นกุยเยี่ยนอ่อนละมุนอยู่ในใจ นางผินหน้ามองใบหน้าด้านข้างของสามี พอจะขยับปากพูดอะไรบางอย่างก็ได้ยินเป่าซั่นกรีดร้องสุดเสียงเสียก่อน

เสียงหวีดร้องก้องสะท้อนไปทั้งตำหนักหย่งเหอ เสิ่นกุยเยี่ยนฟังแล้วใจหายวาบ เมื่อใดที่ได้ยินเสียงกรีดร้องเช่นนี้ก็ไม่จำเป็นต้องคิดเลย จะต้องมีใครตายอย่างแน่นอน

ชิงจู๋…

เสิ่นกุยเยี่ยนหน้าเครียด ลากกู้เจาเป่ยวิ่งไปทางเรือนปีกด้านข้าง

เป่าซั่นนั่งจ้ำเบ้าอยู่ตรงประตูเรือนปีก จุยอวิ๋นที่ได้ยินเสียงรออยู่ตรงนั้นแล้ว กำลังจะช่วยประคองเป่าซั่นขึ้นมาก็ได้ยินเสียงกู้เจาเป่ยถามขึ้นข้างหลัง “เกิดอะไรขึ้น”

จุยอวิ๋นชะงัก ก่อนจะเงยหน้าชี้เข้าไปในเรือน

เสิ่นกุยเยี่ยนวิ่งมาดูที่ประตู

ร่างเล็กๆ ของชิงจู๋ถูกแขวนไว้กับคานเรือน ไม่อาจขยับเขยื้อนอีกต่อไป

กู้เจาเป่ยผงะ จากนั้นก็นัยน์ตาแดงก่ำ

ตายเช่นนี้อีกแล้ว เหมือนคราวจวงเฟยไม่ผิดเพี้ยน

จุยอวิ๋นเข้าไปแกะเชือก ร่างของชิงจู๋แข็งทื่อแล้ว เด็กหญิงนั่งรออยู่ในห้องสองชั่วยาม ระหว่างนั้นไม่ได้ยินเสียงกรีดร้องใดๆ ทั้งสิ้น แสดงว่ามีคนลอบเข้ามาข้างในแล้วรัดคอนางจนตายอย่างเงียบเชียบ

เสิ่นกุยเยี่ยนเบิกตาโพลง นางไม่ได้เห็นศพกับตาตนเองมานานแล้ว ใบหน้าขาวซีดของชิงจู๋ที่จุยอวิ๋นอุ้มอยู่ทำเอานางตื้อในอก ก่อนจะหันไปโก่งคออาเจียน

“พระชายา” เป่าซั่นรีบลุกไปพยุงเจ้านายทั้งที่เนื้อตัวสั่นเทา “ถนอมพระวรกายด้วยเพคะ อย่าทอดพระเนตรอีกเลย”

กู้เจาเป่ยยืนตัวแข็งอยู่ตรงประตูพักใหญ่ก่อนจะหลุบตาลง “นำศพนางไปจัดการ ถือเสียว่าฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด ไม่ต้องสืบคดีนี้ต่อแล้ว”

พูดจบก็หันไปมองเสิ่นกุยเยี่ยน “กลับตำหนักยงไหวกับข้า ตำหนักนี้ของเจ้าไว้ข้าตรวจสอบดีแล้วค่อยกลับมา”

เสิ่นกุยเยี่ยนเอาแต่อาเจียนปานโลกจะดับ ไม่มีจังหวะให้ขอบคุณเขาด้วยซ้ำ นางยังอาเจียนไม่ทันเสร็จ กู้เจาเป่ยก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าของตนเองออกมาเช็ดปากให้อย่างไม่รังเกียจ จากนั้นก็จูงมือนางออกจากตำหนักหย่งเหอ

ชิงจู๋เป็นพยาน หากมีอีกฝ่ายอยู่ย่อมสามารถเอาผิดฟู่กุ้ยเหรินได้ แต่นี่เด็กหญิงมาตายเสียแล้ว จึงไม่อาจลงโทษฟู่กุ้ยเหรินทั้งที่ไม่มีความผิด

แต่ก็น่าจะชัดเจนแล้วเช่นกันว่าผู้ใดเป็นคนฆ่าชิงจู๋

เสิ่นกุยเยี่ยนหัวใจหนักอึ้งตลอดทาง มีคนตายอีกแล้ว เหตุใดชีวิตของคนรอบตัวนางถึงได้มีค่าน้อยราวกับเป็นเพียงหัวผักกาด บทจะตายก็ตายไปง่ายๆ

วันใดถึงคราวนางตายบ้าง ในยมโลกจะมีกลุ่มคนรอขว้างหัวผักกาดใส่นางหรือไม่

“อย่าคิดมาก” กู้เจาเป่ยบอกเบาๆ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า เจ้าคอยบำรุงร่างกายให้ดีในตำหนักยงไหวก็พอ”

มือที่มองไม่เห็นในวังหลวงยื่นออกมาจากตรงมุมใดก็ไม่รู้ จะไม่เกี่ยวข้องกับนางได้อย่างไร เสิ่นกุยเยี่ยนหลุบตาลงใช้ความคิดซ้ำไปซ้ำมา พอถึงตำหนักยงไหวก็หยิบเครื่องเขียนออกมาวาดรูปเล่น

กู้เจาเป่ยเห็นรูปที่นางวาดคือชุดกระโปรงก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงหันไปสั่งให้จุยอวิ๋นตรวจสอบประวัติข้ารับใช้ทั้งหมดของตำหนักหย่งเหอ แล้วเปลี่ยนคนที่ไว้ใจไม่ได้ออกไปให้หมด

“อยู่ที่นี่ก่อนสักสองวันแล้วกัน” หลังสั่งการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ฮ่องเต้ก็เดินเข้ามายืนข้างหลังนางพร้อมบอกเบาๆ “ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”

“เพคะ” เสิ่นกุยเยี่ยนยิ้มน้อยๆ หลังก้มหน้าลงก็ยังคงวาดรูปต่อเช่นเดิม

 

ชิงจู๋ตายไปได้สองวัน เมื่อไร้หลักฐานเอาผิด ฟู่กุ้ยเหรินจึงถูกปล่อยตัวกลับตำหนักโดยมีฮ่องเต้ไปรับด้วยตนเอง เสิ่นกุยเยี่ยนอยู่ในตำหนัก มีแต่เป่าซั่นที่ไปดู พอกลับมาถึงก็ยืนกระซิบกระซาบข้างกายนางอยู่ครึ่งชั่วยาม

“ฟู่กุ้ยเหรินผู้นั้นจองหองจนตาแทบจะลอยขึ้นไปอยู่บนฟ้าแล้วเพคะ ไม่รู้จักสำเหนียกสถานะตนเองบ้างเลย ขนาดฝ่าบาททรงขออภัยยังกล้าสะบัดหน้าใส่ หม่อมฉันว่าดูท่าสมองนางคงมีปัญหา แต่ว่าไปพระมาตุลาเหวินก็มาด้วยนะเจ้าคะ เจ้าคนที่บังคับรถม้าแกล้งผู้อพยพนั่นล่ะ รูปร่างอ้วนฉุพ่วงพี ใครไม่รู้คงนึกว่าเป็นพวกคหบดีเจ้าของที่ดิน แต่ฮ่องเต้ทรงนอบน้อมกับเขายิ่งนัก

ฟู่กุ้ยเหรินกลับตำหนักเหอฮวนแล้วได้รับของพระราชทานจากฝ่าบาทด้วย สตรีใจคอเฉกเช่นอสรพิษเช่นนั้น ต่อไปพระชายาต้องทรงอยู่ให้ห่างจากนางเข้าไว้นะเพคะ”

เสิ่นกุยเยี่ยนนั่งฟังพลางถือพู่กันลากเส้นสุดท้ายของภาพชุดกระโปรงที่ตนเองวาดไว้

“ฟู่กุ้ยเหรินมาจากตระกูลใหญ่ทรงอำนาจ อยากไต่เต้าขึ้นมาครองตำแหน่งสูงๆ ในตำหนักในไม่ใช่เรื่องยากสักนิด” เสิ่นกุยเยี่ยนเอ่ยเบาๆ “ข้าอยากรู้มากกว่าว่าเหตุใดนางถึงได้จ้องจะเล่นงานข้า หากทำร้ายข้าสำเร็จ นางจะได้ประโยชน์อันใด”

คนสนิทเม้มปาก “เวลานี้มีผู้ใดในตำหนักในไม่จับจ้องครรภ์ของพระชายาบ้างเล่าเพคะ เด็กในครรภ์คือเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงหนึ่งเดียวของฝ่าบาท ตราบใดที่ตำหนักอื่นยังไร้วี่แวว พระชายาก็ทรงยืนอยู่บนปากเหวนั่นล่ะเพคะ”

เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า ข้อนี้นางก็รู้เช่นกัน นางหยิบภาพชุดกระโปรงที่วาดเสร็จแล้วลุกขึ้นเตรียมออกจากตำหนัก “ไปถวายพระพรเหนียนไทเฮากันดีกว่า ผ่านมาหลายวันน่าจะทรงดีขึ้นบ้างแล้ว”

“เพคะ” เป่าซั่นออกไปเตรียมเกี้ยว

เหนียนไทเฮาไม่เพียงดีขึ้น แต่ยังทำตัวเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยต่างหาก ใช้หางตามองนางเดินเข้ามา จากนั้นก็จุปาก “เยี่ยนกุ้ยเฟยหนอเยี่ยนกุ้ยเฟย ท้องโตอยู่แท้ๆ เหตุใดถึงได้กระฉับกระเฉงนัก”

เสิ่นกุยเยี่ยนคุ้นชินเสียแล้วกับคำพูดคำจาของอีกฝ่าย ได้แต่ย่อกายคารวะพลางเอ่ยยิ้มๆ “เพราะหม่อมฉันอยากให้กำเนิดองค์ชายน้อยที่แสนกระฉับกระเฉงเพคะ”

เหนียนไทเฮาร้องหึ แล้วชี้ที่ว่างบนตั่งนุ่มที่ตนนั่งอยู่ เสิ่นกุยเยี่ยนเดินเข้าไปนั่งอย่างเข้าใจ

“อย่าเพิ่งพูดเลยว่าจะให้กำเนิดองค์ชายหรือองค์หญิง ขอให้คลอดออกมาได้ก่อนค่อยว่ากัน ตำหนักเจ้าเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้วใช่หรือไม่”

“ไทเฮาพระเนตรพระกรรณฉับไวเหลือเกิน” นางตอบด้วยรอยยิ้ม “เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อยจริงๆ เพคะ แต่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งแล้วว่าไม่ต้องสืบสาวราวเรื่องต่อ”

คู่สนทนาพยักหน้า “ฮ่องเต้ใช้กลยุทธ์สร้างเขื่อนขวางน้ำเชี่ยว รู้ว่าควรยั้งมือเมื่อไร ข้าไม่ห่วงเขาเลย”

สะใภ้ที่ดูนุ่มนิ่มบอบบางผู้นี้สิที่น่าเป็นห่วงอยู่บ้าง เหนียนไทเฮาคิด ทว่ากระดากใจเกินกว่าจะเอ่ยวาจาหวานน่าขนลุกออกจากปาก

เสิ่นกุยเยี่ยนอมยิ้มพลางล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ “หม่อมฉันโง่เขลา ไม่รู้จักเจียมตัว ใคร่ทูลขอให้ไทเฮาทรงช่วยอะไรสักอย่างเพคะ”

เหนียนไทเฮาปรายตามอง กระดาษที่ลูกสะใภ้นำออกมาเป็นภาพวาดชุดกระโปรงชุดหนึ่ง ลักษณะคล้ายชุดกระโปรงหรูฉวินเพียงแต่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยให้ดูสวยงามตามความนิยมในช่วงเวลานี้

เห็นเพียงเท่านี้เหนียนไทเฮาก็เข้าใจเจตนาของเสิ่นกุยเยี่ยนอย่างแจ่มแจ้ง นางรับกระดาษแผ่นนั้นมาพลางหัวเราะเบาๆ “มอบเสื้อผ้าให้ข้าหรือ คราวหน้าถึงอย่างไรก็ควรตัดเป็นชุดจริงออกมาก่อน อย่าให้ข้าเสียเวลารออีก”

นางตอบเบาๆ “ไทเฮาโปรดทรงอภัย เสื้อผ้าชุดนี้ต้องให้ไทเฮาทรงสั่งตัดเองเพคะ”

ในอดีตเหนียนไทเฮาเคยรักษาบุตรในครรภ์ไว้เช่นไร เสิ่นกุยเยี่ยนก็อยากทำเช่นนั้น แต่จะใช้วิธีเดิมซ้ำกันสองครั้งย่อมไม่ได้ จำต้องปรับเปลี่ยนขั้นตอนบ้าง

“เข้าใจแล้ว” เหนียนไทเฮาเลิกเปลือกตาเหลือบมองครรภ์เสิ่นกุยเยี่ยน “วางแผนป้องกันไว้ก่อนก็ดี”

เสิ่นกุยเยี่ยนพยักหน้า นางตั้งตารอบุตรคนนี้มานาน ย่อมตั้งใจปกป้องให้สุดความสามารถ

 

สองวันให้หลังเหนียนไทเฮาจึงเริ่มแต่งชุดกระโปรงหรูฉวินแบบในอดีตอีกครั้ง จะต่างกันก็เพียงชุดกระโปรงรอบนี้งดงามกว่าเก่าทั้งสีสันและรูปแบบ เหล่าสนมชายาที่ไปถวายพระพรล้วนเอ่ยชมไม่ขาดปาก

“หวาเฟยชอบชุดที่ข้าใส่อยู่หรือไม่” เหนียนไทเฮามองหวาเฟย

ฝ่ายนั้นชะงักก่อนจะพยักหน้า “ไทเฮาทรงฉลองพระองค์ชุดนี้ได้งดงามยิ่งเพคะ”

“เช่นนั้นข้าจะให้เจ้าชุดหนึ่ง บังเอิญทำเกินไว้สองชุด ชุดหนึ่งให้เจ้า ส่วนอีกชุดให้เยี่ยนกุ้ยเฟยก็แล้วกัน” เหนียนไทเฮายิ้มละไม “ข้าเห็นชุดนี้แล้วนึกถึงวันวานตอนได้รับความโปรดปรานอย่างท่วมท้นจากอดีตฮ่องเต้…”

สนมชายาในที่นั้นมีบางคนรู้ความเป็นมาเบื้องหลัง แต่บางคนก็ไม่รู้ ระหว่างทางขากลับจึงซักถามกัน เมื่อได้ทราบเรื่องราวในอดีตทุกคนต่างอิจฉาเหนียนไทเฮากันทั้งสิ้น ไม่รู้ใครเป็นคนพูดขึ้นมาว่าชุดกระโปรงเช่นนี้จะนำความโปรดปรานของฮ่องเต้มาให้ผู้สวมใส่ แต่ละคนจึงเริ่มหมายมั่นปั้นมือกันเงียบๆ

ทว่าหวาเฟยกลับมีสีหน้าเรียบเฉยขณะนำชุดไปส่งที่ตำหนักยงไหว

สองวันมานี้เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้ออกไปที่ใด ได้แต่จัดนั่นจัดนี่อยู่ในตำหนัก บัดนี้ครรภ์ของนางเริ่มใหญ่ถนัดตาจนแม้แต่เป่าซั่นยังอุทานอย่างอัศจรรย์ใจ “หากไม่รู้ยังนึกว่าพระชายาทรงพระครรภ์แฝดนะเพคะ”

หวาเฟยเดินเข้ามาหลังให้คนมารายงานก่อน เสิ่นกุยเยี่ยนรีบไปนอนบนเตียง

“พระชายาทรงเดินเหินไม่สะดวก หม่อมฉันเลยนำฉลองพระองค์ที่ไทเฮาพระราชทานมาส่งให้เพคะ” ฝ่ายนั้นมองนางยิ้มๆ “อีกไม่กี่วันก็จะถึงกำหนดที่คณะทูตจากต่างแคว้นเข้าราชสำนักมาถวายเครื่องราชบรรณาการ พระชายาจะได้ทรงชุดนี้เสด็จร่วมงานเลี้ยงได้พอดี”

เสิ่นกุยเยี่ยนแสร้งรับชุดมาดูด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “เหมาะจริง ตั้งแต่มีครรภ์มา สวมชุดกระโปรงแบบอื่นข้ารู้สึกอึดอัดไปหมด ชุดนี้กำลังดีเลย”

หวาเฟยยิ้มเนือยๆ “ไม่แน่ว่าไทเฮาอาจทรงทำชุดนี้เพื่อพระชายาโดยเฉพาะก็ได้ พระชายาทรงเป็นที่โปรดปรานของไทเฮาโดยแท้”

ประโยคนี้ฟังดูแปร่งหูชอบกล เสิ่นกุยเยี่ยนเงยหน้าขึ้นมองคนพูดอย่างประหลาดใจ

ปรากฏว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่สะท้อนความรู้สึกใดทั้งสิ้น ราวกับว่าน้ำเสียงเมื่อครู่เป็นเพราะนางหูฝาดไปเอง

“ข้ารับชุดไว้แล้ว น้องหญิงหวาเฟยกลับไปได้แล้วล่ะ” นางเม้มปาก

“เพคะ” หวาเฟยลุกเดินออกจากตำหนัก แล้วไปยืนรอตรงลานในตำหนัก

เวลานี้ฮ่องเต้ควรกลับจากราชสำนักแล้ว หากนางรออยู่สักพักก็จะได้เจอกู้เจาเป่ยพอดี

“เหตุใดเจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้เล่า” ดูเหมือนวันนี้กู้เจาเป่ยจะปลอดโปร่งใจ พอเห็นหวาเฟยก็ยกมือขึ้นโอบไหล่อย่างอารมณ์ดีเหมือนที่เคยทำเมื่อก่อน “มาหาเยี่ยนเอ๋อร์หรือ”

หวาเฟยผงกศีรษะด้วยผิวหน้าแดงเรื่อ “นำฉลองพระองค์มาส่งให้เยี่ยนกุ้ยเฟยเพคะ”

กู้เจาเป่ยยิ้มตาหยี “แสดงว่าเราจะมีอาหารตาให้ดูแล้วสิ”

“ฝ่าบาทยังทรงทะเล้นเหมือนเดิม” หวาเฟยจุปาก แล้วถามหลังจากนิ่งคิดเล็กน้อย “ไม่ทราบว่าวันนี้ฝ่าบาททรงว่างหรือไม่”

“มีเหตุใดหรือ” เขาเลิกคิ้ว

“หม่อมฉันเตรียมบทเพลงไว้บรรเลงในงานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตจากต่างแคว้น อยากเล่นถวายให้ฝ่าบาททรงลองฟังดูก่อนเพคะ”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 8 .. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: