บทที่ 169 สายเกินการณ์
“ขอรับ” คนสนิทนำคำสั่งไปถ่ายทอด
ยามไปถึงยังย้ำนักย้ำหนากับเสิ่นกุยอู่และอวี่เหวินฉางชิงว่า “จะต้องยกทัพนะขอรับ ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าได้เชื่อข่าวใดอีก”
แม่ทัพหนุ่มทั้งสองรับคำอย่างแข็งขัน
ทว่าในคืนนั้นเหวินโซ่วซานก็ได้รับข่าวว่ากองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงขุดสนามเพลาะอยู่ทางฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือและฝั่งตะวันตก จัดทัพขนาดใหญ่และค่ายกลแปดทิศ* ทั้งคืน เตรียมรอรับศึกอย่างพรักพร้อม
“หากบุกโจมตีในวันพรุ่งนี้ ทางท่านแม่ทัพอวี่เหวินและท่านแม่ทัพเสิ่นมิได้เตรียมการรับมือ ไปแจ้งให้เปลี่ยนกระบวนทัพเอาตอนนี้เกรงว่าจะไม่ทันกาล” ที่ปรึกษาฝ่ายยุทธ์แนะ “ให้รั้งทัพไว้ก่อน รอปรึกษาหารือกันให้เรียบร้อยค่อยโจมตีดีกว่าขอรับ”
เหวินโซ่วซานเม้มปากก่อนจะถอนหายใจพร้อมพยักหน้า “เช่นนั้นก็ส่งข่าวไปแจ้งเสีย”
“ขอรับ”
เหวินโซ่วซานสั่งรั้งทัพชั่วคราวแล้วอ่านรายงานข่าวต่างๆ ที่ได้รับมา กองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงมีเพียงเจ็ดแปดหมื่นนาย หากฝ่ายเขาโอบตีพร้อมกันสามทาง รวมกับทัพหนุนทางด้านหลัง น่าจะตีเมืองหลวงแตกได้ไม่ยาก ขอเพียงชิงจับหมิงอวี่ขึ้นนั่งบัลลังก์และฆ่าฮ่องเต้เสียก่อนที่เหล่าชินอ๋องจะยกทัพมาช่วย ทุกอย่างก็จะเข้าที่เข้าทาง
แม้จะคิดเช่นนี้ แต่วันรุ่งขึ้นเมื่อเขาเรียกอวี่เหวินฉางชิงกับเสิ่นกุยอู่มาหารือเรื่องปรับเปลี่ยนเส้นทางโจมตี กลับได้ยินว่าทัพทั้งสองบุกเข้าตีเมืองหลวงแล้ว
“นี่มันอะไรกัน!” พระอัยกาเหวินตะโกนลั่นอย่างเดือดดาล “บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้หารือกันก่อนค่อยบุกตี!”
คนสนิทรายงานตัวสั่นงันงก “ก่อนหน้านั้นท่านแม่ทัพสั่งไว้ ไม่ว่าทั้งสองทัพได้ยินข่าวให้ยับยั้งการบุกตีจากที่ใดก็ห้ามเชื่อเด็ดขาด ดังนั้นเมื่อมีคนส่งข่าวใหม่ไปแจ้งเมื่อคืนแม่ทัพทั้งสองจึงไม่ฟังขอรับ”
เหวินโซ่วซานเกรี้ยวกราดสุดขีด รีบยกทัพไปยังเมืองหลวงทันที
สมรภูมิอาบย้อมไปด้วยเลือด ทหารที่ใส่เสื้อต่างสีเงื้อดาบเข้าห้ำหั่นกันเมื่อเห็น บางคนขาขาดคลานทุรนทุรายอยู่บนพื้นแล้วถูกทหารฝ่ายตรงข้ามฟันคอในฉับเดียว บางคนเหลือเพียงลมหายใจรวยริน เอาแต่มองไปทางเมืองหลวงเป็นครั้งสุดท้าย
ไม่ว่าวางกลยุทธ์การศึกมาดีสักเท่าไร เมื่อออกศึกจริงก็ยังพบอุปสรรคอื่นได้อีกมากมาย หลังสงครามผ่านพ้นไปทุกครั้ง แม้ฝนจะสาดซัดดุจสายธารก็ไม่อาจล้างสีแดงฉานที่ฝังอยู่ในดินออกไปได้
กองทัพทักษิณตะลุยฝ่าเข้าไปในทัพข้าศึก แม้จะเตรียมกับดักและจัดกระบวนทัพมาอย่างดี แต่ไพร่พลก็ยังบาดเจ็บล้มตายนับไม่ถ้วน ประตูหลักของเมืองหลวงปิดสนิท ทว่าประตูเล็กกลับมีช่องสุนัขลอด เด็กน้อยผู้หนึ่งไม่รู้วิ่งจากที่ใด มานั่งร้องไห้จ้ากลางสมรภูมิที่เต็มไปด้วยศพ
เสียงร้องไห้สั่นสะท้านสะเทือนขึ้นไปถึงชั้นฟ้า ทหารกองทหารรักษาการณ์เมืองหลวงล้วนแต่กู่ร้องคำรามนัยน์ตาแดงฉาน เสียงอาวุธกระทบกันและเสียงม้าเหยียบกระดูกแตกดังไม่ขาดสาย กังวานความโศกตรมแผ่ตัวสูงจนแม้แต่สวรรค์ยังได้ยิน
แม้นเมาเกลือกกลางศึกขออย่าขัน เหลือชีวันกลับบ้านหรือไม่มิรู้ได้
กู้เจาเป่ยยืนอยู่บนกำแพงเมือง มิได้ออกรบด้วยตนเอง เขาหารือกับอวี่เหวินฉางชิงและเสิ่นกุยอู่ไว้แต่แรกแล้วว่าในศึกครานี้จะเสียไพร่พลกองทัพทักษิณไปสามพันนาย ส่วนทัพหน้าที่ทั้งสองนำทัพจะบอบช้ำหนึ่งหมื่นนาย
สำหรับผู้ปกครองนั่นเป็นเพียงเลขจำนวน ทว่าภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าคืออเวจีบนดิน ผู้คนนับไม่ถ้วนต้องตายใต้คมอาวุธ กลองศึกดังรัวเป็นระลอก แตรสัญญาณฟังคล้ายเสียงหวนไห้
“น่ากลัวว่าดวงวิญญาณผู้กล้าเหล่านี้จะวนเวียนอยู่ในเมืองหลวงไปอีกหลายปี” เสิ่นกุยเยี่ยนที่ไม่รู้ว่าขึ้นมาบนกำแพงเมืองตั้งแต่เมื่อไรหยุดยืนเคียงข้างฮ่องเต้แล้วปรารภเบาๆ
“เจ้ามาด้วยเหตุใด” สีหน้าที่ยังสงบเยือกเย็นอยู่เมื่อครู่เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทันทีเมื่อเห็นนาง กู้เจาเป่ยรีบดึงนางลงจากกำแพงเมืองพลางขมวดคิ้ว “นี่ไม่ใช่ที่ที่สตรีควรมา ไหนว่าจะรอข้าอยู่ในวังหลวงอย่างไรเล่า”
เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้สวมชุดนางใน หากแต่สวมเสื้อเกราะ ใช้กระด้งปิดครรภ์ไว้ นางไม่คิดจะมาเข่นฆ่าศัตรูในสมรภูมิ กระนั้นก็ยังป้องกันตนเองให้แน่นหนาก่อนถึงกล้าขึ้นมาหาเขา
“อย่ากริ้วสิเพคะ” นางยิ้ม “หม่อมฉันมาส่งข่าว เมื่อคืนนี้มีขุนนางราชสำนักหนีไปเข้ากับอีกฝ่ายทั้งสิ้นสามสิบกว่าคน หม่อมฉันกับท่านอัครเสนาบดีกู้บันทึกทั้งชื่อแซ่และตำแหน่งไว้หมดแล้ว รอให้ฝ่าบาททรงจัดการเพคะ”
กู้เจาเป่ยบีบต้นแขนนางพลางสูดหายใจลึกๆ “เรื่องพวกนี้ทีหลังให้ผู้อื่นมาส่งข่าวก็ได้ เจ้ามาแล้วข้าเสียสมาธิ”
เสิ่นกุยเยี่ยนเอาแต่มองเขาเงียบๆ อยู่พักใหญ่ ถึงค่อยพยักหน้าน้อยๆ “เพคะ”
นางไม่คิดจะกลับเข้าวังหลวงแม้ท้องแก่ถึงแปดเดือนแล้ว นางอยากอยู่ในที่ที่สามารถมองเห็นเขา เช่นนี้หากเกิดอะไรขึ้นจริงๆ นางก็จะเข้าถึงตัวเขาได้ทันกาล…
ไม่มีผู้ใดมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะชนะในศึกสงคราม…นางกลัว
ราษฎรที่ยังตกค้างอยู่ในเมืองหลวงถูกเจ้าหน้าที่ทางการกวาดต้อนมารวมกันเพื่อดูแล ทว่าไม่รู้จะให้ไปอยู่ที่ใด เสิ่นกุยเยี่ยนจึงสั่งว่า “เก็บกวาดคุกหลวง เอาฟางปูพื้นเสียก็พอให้คนเข้าไปอยู่ได้จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็เก็บกวาดจวนขุนนางที่หนีไปแล้วให้ราษฎรเข้าพักอาศัย”
ทั้งคุกหลวงและจวนขุนนางต่างสร้างไว้อย่างแข็งแรงมั่นคง หากข้าศึกตีเมืองเข้ามาได้ อย่างน้อยราษฎรที่พักอยู่ในทั้งสองที่ก็ไม่ถูกฆ่าฟันแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง
“กุ้ยเฟยทรงพระเมตตายิ่งแล้ว”
พวกที่เหลือมีแต่เด็ก คนชรา และคนอ่อนแอ เสบียงในกองทัพเริ่มคับขันแล้ว พวกเขาไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้ เรื่องเสบียงจึงเป็นปัญหาใหญ่
“ทูลฝ่าบาท เมืองข้างเคียงเริ่มส่งเสบียงมาให้แล้วพ่ะย่ะค่ะ เสบียงสำหรับไพร่พลมีเพียงพอแล้ว แต่ราษฎรในเมืองหลวง…” กู้เจาหนานที่สวมชุดเกราะยืนข้างฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “อาจมีให้ไม่เพียงพอ”
“ไม่ได้” กู้เจาเป่ยปฏิเสธเฉียบขาด “หากราษฎรในเมืองหลวงก่อจลาจลขึ้นมาจะน่ากลัวยิ่งกว่าทัพข้าศึกข้างนอกเสียอีก”
“แต่…” กู้เจาหนานแย้งอย่างอ่อนใจ “แค่สำหรับกองทัพก็เต็มกลืนแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
กู้เจาเป่ยนิ่งเงียบไม่เอ่ยคำ
หลังรบกันจบไปศึกหนึ่ง ในตอนที่เหวินโซ่วซานรีบรุดมาถึง อวี่เหวินฉางชิงก็ถอยทัพกลับพร้อมอาการบาดเจ็บ ทัพของเสิ่นกุยอู่เองก็บอบช้ำรุนแรงไม่แพ้กัน
เหวินโซ่วซานยังไม่ทันได้เอาเรื่อง แม่ทัพอวี่เหวินก็ชิงพูดอย่างฉุนๆ ขึ้นมาก่อน “ทหารแยกกันอยู่ไกล แล้วจะให้คำสั่งไปทั่วถึงได้อย่างไร อีกอย่างยามนี้สามทัพกระจายกันโอบล้อมทั้งเมืองหลวงไว้เชียวนะขอรับ คำสั่งเดิมเพิ่งถ่ายทอดมาเมื่อสี่ชั่วยามก่อนเท่านั้น เหตุใดพระอัยกาถึงได้เปลี่ยนใจไปมา เอาแน่เอานอนไม่ได้จนทัพข้าเสียหายสาหัสถึงเพียงนี้”
เสิ่นกุยอู่แสดงความไม่พอใจออกมาเล็กน้อยเช่นกัน “ฟังคำสั่งก็ไม่ถูก ไม่ฟังคำสั่งก็ไม่ถูกอีก เช่นนี้แล้วแม่ทัพนายกองเช่นพวกเราควรปฏิบัติตัวเช่นไรกับคำสั่งของพระอัยกาดีเล่าขอรับ”
ถูกตัดหน้าพูดเสียอย่างนี้เหวินโซ่วซานจะตำหนิทั้งคู่ก็กระไรอยู่ จะว่าไปก็เป็นเพราะกองทัพศัตรูเล่นเล่ห์กล โทษใครไม่ได้ทั้งนั้น อีกอย่างสองคนนี้ก็เป็นแม่ทัพที่เขาไว้วางใจมากที่สุดและมีกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมือ จำต้องเปลี่ยนเป็นปลอบโยนแทน
ดังนั้นเขาจึงบอกว่า “ครานี้ข้าถูกเจ้าเด็กเมื่อวานซืนนั่นปั่นหัว ซ้ำกองทัพยังอยู่ไกลจากกันพอประมาณ เลยกลายเป็นช่องให้มันใช้ประโยชน์ หลังศึกครานี้ให้ระดมพลไปที่ประตูเมืองทิศใต้ ใช้ทัพใหญ่ร่วมแรงร่วมใจตีประตูหลักของเมืองหลวงให้แตก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะไม่มีข้อผิดพลาดเรื่องถ่ายทอดคำสั่งอีกแล้ว”
“จะรวมพลหรือขอรับ” เสิ่นกุยอู่ขมวดคิ้ว “แต่หากทำเช่นนั้นอีกสามด้านของเมืองหลวงก็จะโล่ง หากมีทัพเสริมหรือมีเสบียงส่งมาช่วยจะทำเช่นไร”
“ไม่มีทัพเสริมหรอก” เหวินโซ่วซานตอบอย่างหนักแน่น “ฝ่ายเรามีกำลังทหารหลายแสนนาย เจ้าเด็กฮ่องเต้นั่นมีเพียงไม่กี่หมื่น ผู้ใดมีตาก็ต้องมองสถานการณ์ออกและไม่ช่วยมันรับมือกับข้าอย่างแน่นอน”
พระอัยกาเหวินผู้นี้กรำศึกในสมรภูมิมานานปี จึงไม่แปลกที่เมื่ออายุมากขึ้นจะเย่อหยิ่งทะนงตนและดูถูกกู้เจาเป่ย
เสิ่นกุยอู่ไม่ได้คัดค้านสิ่งใดอีก ฝ่ายอวี่เหวินฉางชิงเองก็ไม่ได้พูดอะไร การจัดทัพเพื่อมารวมพลของทัพทั้งสองต้องใช้เวลากว่าหนึ่งเดือนถึงจะแล้วเสร็จ
สงครามใช้เวลา เสบียง และกำลังคนมากกว่าอะไรทั้งหมดเสมอ หากแต่เหวินโซ่วซานคิดว่าตนมีสิ่งเหล่านี้มากพอที่จะเสียไปได้ เขายึดทุกเมืองและมณฑลที่เคลื่อนทัพผ่าน ให้ส่งเสบียงมาคอยหนุนกองทัพ รอให้ปรับแต่งทัพใหญ่เสร็จเมื่อใดไพร่พลหลายแสนนายก็จะทรงอานุภาพเกินต้านทาน มีหรือยังต้องกลัวจะตีเมืองหลวงไม่แตก
การพักรบชั่วคราวคืนความสงบสุขสู่เมืองหลวง เสบียงกองทัพเตรียมไว้เพียงพอแล้ว ไพร่พลไม่หิวตายเด็ดขาด ทว่าเสบียงสำหรับราษฎรยังไร้ทางออก คนหนุ่มสาวที่พอมีแรงยังออกจากเมืองหลวงไปหาอาหารข้างนอกได้ ทว่าคนแก่มีแต่นั่งรอความตายเท่านั้น
“พระชายา” เป่าซั่นประคองเจ้านายอย่างเป็นห่วงใจแทบขาด “พระครรภ์แก่ออกอย่างนี้ หม่อมฉันเพียงมองยังกลัว อย่าได้เสด็จออกไปอีกเลยนะเพคะ”
“ข้าไม่ไว้ใจผู้อื่น ต้องไปดูด้วยตนเองถึงจะวางใจ” เสิ่นกุยเยี่ยนขึ้นนั่งรถหงส์ออกจากเมืองหลวงไปยังยุ้งฉางทางตอนเหนือของเมือง
เสบียงที่นางตุนไว้ก่อนพระอัยกาเหวินจะก่อกบฏอย่างเป็นทางการเกิดประโยชน์แล้ว ธัญพืชหลายหมื่นตั้นนี้เพียงพอให้คนแก่ที่ติดอยู่ในเมืองหลวงกินได้กว่าหนึ่งปี
การแจกอาหารโดยไม่คิดเงินแม้แต่แดงเดียวทำให้เมืองหลวงที่เงียบเป็นป่าช้ากลับมาคึกคักมีชีวิตชีวาอีกครั้ง พวกชาวบ้านมีโจ๊กกินถ้วนหน้า เสิ่นกุยเยี่ยนยังระดมพวกศิษย์ในสำนักวิชามาดูแลคนแก่และช่วยกู้เจาเป่ยเตรียมการป้องกันรับมือตามตรอกซอกซอยต่างๆ
แม้รักษาเมืองหลวงไว้ได้ไม่นานนักแต่ก็ต้องรักษา
“สวรรค์เบื้องบนโปรดจงเมตตา ปวงชนไพร่ฟ้า เลือดตากระเด็น!” บัณฑิตบางคนแค่นเสียงอย่างขมขื่นแกมเดือดดาล “ต่อให้พวกมันตีเมืองหลวงแตก คนไร้คุณธรรมเยี่ยงนั้นก็นั่งบัลลังก์มังกรไม่ได้หรอก!”
เสิ่นกุยเยี่ยนได้ยินเข้าก็ทอดถอนใจแล้วนั่งเอนร่างอยู่บนรถม้า จัดการดูแลราษฎรตามที่ต่างๆ ให้เรียบร้อย
พอรู้ว่าในเมืองมีเสบียงราษฎรที่หนีภัยสงครามออกไปก็กลับมาบางส่วน เสบียงในเมืองใกล้เคียงรอบๆ เมืองหลวงล้วนแต่ร่อยหรอ บัดนี้เยี่ยนกุ้ยเฟยกลับแจกอาหารโดยไม่ต้องการสิ่งตอบแทน!
“ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าการแจกอาหารในเมืองหลวงสิ้นเปลืองเกินไปพ่ะย่ะค่ะ” อัครเสนาบดีกู้ประสานมือกล่าว “สู้เอามาเสริมเป็นเสบียงกองทัพดีกว่า ไพร่พลของฝ่ายเราจะได้ทำศึกดีขึ้น”
กู้เจาเป่ยลูบถุงเงินสีเขียวที่ห้อยอยู่ตรงเอวพลางหัวเราะเบาๆ “ท่านอัครเสนาบดี เสบียงพวกนั้นเยี่ยนกุ้ยเฟยซื้อมาด้วยทรัพย์ของตนเอง จะจัดการอย่างไรย่อมเป็นสิทธิ์ของนาง หากเรายึดมาจะไม่เผด็จการเกินไปหรือ”
“แต่…” อัครเสนาบดีกู้สังเกตประกายในดวงตาฮ่องเต้ ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
หนึ่งเดือนให้หลังในที่สุดเสิ่นกุยเยี่ยนก็เลิกเคลื่อนไหวเพราะท้องแก่ใกล้คลอดเต็มที นางได้แต่นอนอยู่ในตำหนักหย่งเหอ ฟังเสียงแตรสัญญาณสะท้านฟ้าสะเทือนดินข้างนอก
“พระชายา…” ไม่รู้เพราะเหตุใดวันนี้เป่าซั่นถึงได้เจ้าน้ำตาเป็นพิเศษ แม้แต่เสียงที่เอ่ยออกมายังสั่นเครือ “วันนี้หม่อมฉันได้ยินมาว่าทัพใหญ่สามแสนนายบุกประชิดเมืองหลวง เกรงว่าตำหนักนี้จะรักษาไว้ไม่ได้เพคะ”
เสิ่นกุยเยี่ยนปวดครรภ์ขึ้นมาเล็กน้อย นางสูดหายใจลึกๆ พลางบีบมือคนสนิท “ไม่เป็นไร หากรักษาไว้ไม่ได้ ฝ่าบาทเสด็จที่ใด พวกเราก็ไปที่นั่น ต่อให้เป็นยมโลกก็ตาม”
สงสารก็แต่บุตรในครรภ์ของข้าเท่านั้น
ทัพใหญ่สามแสนนายทรงอานุภาพมหาศาล ไพร่พลมืดฟ้ามัวดิน มากเสียจนจะฆ่าเท่าไรก็ฆ่าไม่หมด จู่ๆ เหวินโซ่วซานก็ถ่ายทอดคำสั่งสายฟ้าแลบให้ทหารปลอมตัวเป็นชาวบ้านลอบปะปนเข้าเมืองหลวง ฉวยโอกาสที่ทัพใหญ่ยกมาตีเปิดประตูเมืองให้
กลยุทธ์นี้อยู่เหนือความคาดหมายโดยสิ้นเชิง ตามแผนเดิมหากต้านศึกวันนี้ไม่อยู่กู้เจาเป่ยจะพาคนถอยร่นไปหลีโจว ที่นั่นมีกงชินอ๋องที่ได้ส่งจดหมายมาแจ้งว่ายินดีให้ความช่วยเหลือ แม้จะต้องเสียเมืองหลวงไปชั่วคราว แต่ตราบใดที่เขาเขียวยังคงอยู่ ไม่ต้องกลัวไร้ฟืนเผา
ทว่าเหวินโซ่วซานบุกโจมตีเร็วเหลือเกิน กระทั่งอวี่เหวินฉางชิงแปรพักตร์กลางคันแล้วก็ยังทำได้เพียงนำไพร่พลแปดหมื่นนายอารักขาฮ่องเต้หนีออกจากเมืองหลวงเท่านั้น
“ช้าก่อน เยี่ยนเอ๋อร์…” กู้เจาเป่ยขมวดคิ้วทำท่าจะหันกลับไป แต่ถูกแม่ทัพหนุ่มรั้งไว้
“เยี่ยนกุ้ยเฟยอยู่ในเมืองหลวงอาจจะทรงปลอดภัย แต่หากฝ่าบาทยังประทับอยู่มีแต่จะจบสิ้นเท่านั้น ไม่มีเวลาแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
บทที่ 170 แผ่นดินไร้ความผิด
กู้เจาเป่ยนัยน์ตาแดงก่ำ กู้เจาหนานที่อยู่ด้านหลังตัดสินใจปุบปับ ก้าวเข้ามาสับหลังมือลงบนท้ายทอยฮ่องเต้แล้วพาขึ้นม้าทันที
หากมัวแต่โอ้เอ้ สิ่งที่เสียไปจะเป็นทหารที่อยู่ด้านหลัง ล้วนแล้วแต่เป็นชีวิตคนเช่นกัน
อวี่เหวินฉางชิงแปรพักตร์ จึงไม่แปลกที่จะหนีออกจากเมืองหลวง กองทหารอันบอบช้ำของกองทัพทักษิณและกองทหารรักษาพระองค์สู้ไปถอยไป มิได้รบยืดเยื้อ ดีที่เมืองหลวงมีตรอกเล็กซอยน้อยมากมาย และเหล่าบัณฑิตได้จัดเตรียมค่ายกลต่างๆ ไว้รอท่าแต่แรกแล้ว ระหว่างถอนทัพจึงไม่สูญเสียไพร่พลไปมากนัก
ฮ่องเต้ส่งเหนียนไทเฮาไปอยู่ในที่ปลอดภัยตั้งแต่ครึ่งเดือนก่อน แต่เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ยอมไป นางเป็นห่วงราษฎรอยู่ตลอดและเลือกจะเฝ้ารอกู้เจาเป่ยที่วังหลวงทุกวัน จะยอมเข้านอนก็ต่อเมื่อเห็นเขากลับมาอย่างปลอดภัย
ดังนั้นวังหลวงในยามนี้จึงเหลือเพียงเสิ่นกุยเยี่ยน
ตอนเกาจิ่นซิ่วถูกเป่าซั่นที่ร้องห่มร้องไห้พามาถึงตำหนักหย่งเหอก็ต้องตกตะลึงจนตาค้าง เสิ่นกุยเยี่ยนนอนเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้าผาก มีของเหลวไหลออกมาจากข้างล่าง
“จะคลอดแล้ว!”
นางกำนัลด้านนอกยังคงเอ่ยเร่งให้เกาจิ่นซิ่วรีบหนีไป เดิมทีนางตั้งใจจะมาพาเยี่ยนเอ๋อร์ไปด้วยกัน แต่สหายรักกลับจำเพาะต้องมาคลอดบุตรในตอนนี้ น้ำคร่ำแตกแล้วเสียด้วย
หากพาระหกระเหินทั้งอย่างนี้จะต้องกลายเป็นหนึ่งศพสองชีวิตอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มีเวลาให้ใคร่ครวญแล้ว เกาจิ่นซิ่วกัดฟันพูดกับคนข้างหลัง “ข้าจะอยู่ต่อ พวกเจ้าจะไปก็รีบไปเสีย!”
เสิ่นกุยเยี่ยนยังมีสติอยู่ แต่ไม่ยอมพูดจาเพราะอยากเก็บแรงไว้ ครรภ์นี้เป็นครรภ์แรก ทั้งบุตรของนางยังจะคลอดในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่ว่าอย่างไรนางก็จะปกป้องเด็กคนนี้เอาไว้ให้ได้
ไม่มีหมอตำแย เป่าซั่นและเกาจิ่นซิ่วก็ไร้ประสบการณ์กันทั้งคู่ กระนั้นเป่าซั่นก็ยังไปเตรียมน้ำร้อนมา ขณะที่เกาจิ่นซิ่วคอยให้กำลังใจเสิ่นกุยเยี่ยน
“ขะ…ข้าไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี แต่เจ้าต้องแข็งใจไว้ให้ได้นะ” นางมองใบหน้าซีดเผือดของสหายพลางน้ำตาร่วงพรู “หากเด็กคนนี้คลอดออกมาได้ จะต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจากสวรรค์แน่นอน”
เสิ่นกุยเยี่ยนสูดหายใจเบาๆ แล้วเอื้อมมือไปหยิบผ้าเช็ดหน้าข้างตัวมากัดไว้เอง พอรู้สึกเจ็บท้องหนักก็ออกแรงเบ่งตามสัญญาณจากเกาจิ่นซิ่ว
เสียงกู่ร้องคำรามดังสะท้านฟ้าอยู่ข้างนอก ประตูเมืองหลวงเปิดอ้า ประตูวังหลวงก็ใกล้จะพังลงเต็มที
เหวินโซ่วซานเข้าเมืองมาฆ่าฟันชาวบ้านเป็นผักปลาพลางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ตีวังหลวงให้แตก เท่านี้แผ่นดินก็เป็นของพวกเราแล้ว!”
ทหารในกองทัพกำลังฮึกเหิมเต็มที่จนลืมไปโดยสิ้นเชิงว่าพวกชาวบ้านในเมืองก็เป็นคนเหมือนอย่างพวกตน ถึงกับฆ่าคนไม่เลือก ทั้งฉุดคร่ากระทำชำเราหญิงชาวบ้านไม่ต่างจากพวกโจรป่าหรือโจรสลัดแต่อย่างใด เสียงร่ำไห้ดังระงมไปทั้งเมืองหลวง ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่ในคุกหลวงกับจวนขุนนางยังแคล้วคลาดจากภัยร้าย ทว่าราษฎรที่อยู่ในบ้านตนเองเจ็บตายกันไม่น้อย
ผ่านไปไม่นานประตูวังหลวงก็ถูกตีแตก ทว่าข้างในไม่มีผู้ใดทั้งสิ้น
โคมชาววังแตกเป็นเสี่ยงๆ สมบัติที่เจ้าของเก็บไปไม่ทันหล่นเกลื่อนกลาดอยู่บนพื้น ทั้งปิ่นปักผมของนางกำนัล รองเท้าหุ้มแข้งของขันที ม่านมุ้งขาดวิ่น แต่คนที่อยู่ข้างในหนีไปกันหมดแล้ว
“ฮ่องเต้อยู่ที่ใด” เหวินโซ่วซานถามหน้าเครียด
เมื่อครู่มัวแต่ห่วงตีเมืองจนไม่ทันสังเกตว่าอวี่เหวินฉางชิงหายไปที่ใดก็ไม่รู้
เสิ่นกุยอู่ที่ได้รับบาดเจ็บก้าวออกมาตอบ “อวี่เหวินฉางชิงนำทหารแปดหมื่นนายแปรพักตร์ พาฮ่องเต้หนีไปหลีโจวแล้วขอรับ”
“อะไรนะ!” เหวินโซ่วซานแผดเสียงดังลั่น “เขาจะได้กินตำแหน่งสูงส่งทรงอำนาจอยู่รอมร่อแล้ว เหตุใดถึงได้แปรพักตร์ในเวลาเช่นนี้”
เสิ่นกุยอู่ส่ายหน้า “ผู้น้อยไม่ทราบขอรับ แต่เขาไปเช่นนี้ทัพใหญ่ของเรามีแต่ทหารบาดเจ็บหลังศึกใหญ่ คงไล่ตามไม่ทัน”
“ไปนานเท่าไรแล้ว”
“คนของแม่ทัพอวี่เหวินบุกเข้าเมืองก่อน คาดเวลาดูน่าจะสองชั่วยามแล้วขอรับ”
เหวินโซ่วซานสบถอย่างเกรี้ยวกราด สงสัยอยู่แล้วเชียวว่าช่วงศึกหลายเดือนที่ผ่านมาเหตุใดถึงได้ถูกฝ่ายตรงข้ามรู้ทันกลยุทธ์และกระบวนทัพตลอด ที่แท้ก็เพราะเจ้าคนทรยศอวี่เหวินฉางชิงนี่เอง
“ตอนนี้พวกเราควรทำอย่างไรกันดีขอรับ” ราชบัณฑิตฟู่ถามอย่างร้อนใจ “ฮ่องเต้หนีไปเสียแล้ว ต่อให้พวกเรายึดเมืองหลวงไว้ได้ก็ไม่ถูกทำนองคลองธรรม แล้วจะผลักดันให้ท่านโหวน้อยหมิงอวี่ขึ้นครองราชย์ได้อย่างไร”
เหวินโซ่วซานเองก็อยากได้คำตอบไม่น้อยไปกว่ากันเลยสักนิด ฮ่องเต้ยังอยู่ ซ้ำไม่ได้สละบัลลังก์ พวกเขามีแต่ต้องไล่ตามไปรบต่อถึงหลีโจว ทว่านั่นก็เป็นอาณาเขตของกงชินอ๋อง
ควรทำเช่นไรดี
เวลานั้นเองเสียงทารกร้องไห้จ้าดังก้องสะท้อนไปทั้งวังหลวง ทุกคนสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ เหวินโซ่วซานขมวดคิ้ว ขณะที่ราชบัณฑิตฟู่อุทาน “เยี่ยนกุ้ยเฟย!”
สตรีหนึ่งเดียวที่ตั้งครรภ์ในตำหนักในของกู้เจาเป่ยมีเพียงเสิ่นกุยเยี่ยนเท่านั้น ทว่าฮ่องเต้รักนางดุจดวงใจ เหตุใดจนวังหลวงถูกตีแตกแล้วนางถึงยังอยู่ที่นี่เล่า
ทุกคนเดินไปตามเสียง
เสียงสตรีหลายคนร้องไห้ดังออกมาจากตำหนักหย่งเหออันโอ่อ่า เมื่อเปิดประตูตำหนักใหญ่เข้าไปก็เห็นนางกำนัลคนหนึ่งกำลังอุ้มทารกแรกเกิดร้องไห้น้ำตารินด้วยความปีติ “ปลอดภัยทั้งมารดาและบุตร…ปลอดภัยทั้งมารดาและบุตร…”
เกาจิ่นซิ่วเหลือบตาขึ้นมาเห็นกลุ่มคนตรงหน้าประตูก็หน้าซีดทันที
เหวินโซ่วซานนำราชบัณฑิตฟู่เดินเข้ามาข้างใน กวาดตามองเสิ่นกุยเยี่ยนที่นอนหลับตาอยู่บนเตียงคล้ายหมดสติแวบหนึ่ง ก่อนจะหยุดสายตาอยู่บนร่างทารกที่กำลังร้องไห้จ้า
“โอรสมังกร?”
เป่าซั่นมองคนเหล่านั้นอย่างตื่นตระหนกพลางอุ้มองค์ชายถอยหลังกรูด “พวกเจ้าจะทำอะไร นี่เป็นห้องพระประสูติของพระชายา พวกเจ้าเข้ามาตามใจชอบได้หรือ!”
“พระชายา?” ราชบัณฑิตฟู่ร้องหึ “จนฮ่องเต้หนีไปแล้ว เจ้ายังเรียกนางว่าพระชายาอีก”
เป่าซั่นผงะ
ฮ่องเต้ทรงหนีไปแล้ว? เป็นไปได้อย่างไรกัน เจ้านายของข้ายังอยู่ที่นี่ ฮ่องเต้จะหนีไปก่อนได้อย่างไร
เหวินโซ่วซานย่างเท้าเข้ามาช้าๆ แล้วเอื้อมมือมาหานาง “ส่งเด็กมาให้ข้าอุ้ม”
“ไม่…” เป่าซั่นสั่นไปทั้งตัว ขณะถอยไปที่เตียงเสิ่นกุยเยี่ยน “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร”
เกาจิ่นซิ่วก็หวาดหวั่นพรั่นพรึงไม่แพ้กัน เสิ่นกุยเยี่ยนคลอดบุตรชายเสียด้วย แย่แล้วทีนี้!
เหวินโซ่วซานเอื้อมมือไปแย่งทารกมาอุ้ม คร้านจะต่อปากต่อคำด้วยให้มากความ
ทว่าเขายังไม่ทันได้แตะถูกผ้าห่อตัวทารกก็ถูกปัดมือทิ้งโดยแรง จากนั้นสตรีผมสยายก็กระโจนเข้ามาผลักเขาออกไปแล้วเอาตัวบังทารกไว้อย่างปกป้อง
“พระชายา!” เป่าซั่นน้ำตาไหลพราก “ยังทรงลงจากแท่นบรรทมไม่ได้นะเพคะ…”
คลอดบุตรแทบจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ไม่อาจเดินเหินได้ แม้ทารกจะคลอดง่าย แต่ก็ใช่ว่าความเจ็บปวดทางกายของมารดาจะลดลง
เสิ่นกุยเยี่ยนเองก็ไม่อยากลุก แต่หากนางไม่ลุก ใครเล่าจะยังเข้ามาช่วยปกป้องบุตรของนาง
“เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า ผู้ใดมันกล้าแตะต้อง” ลมหายใจของเสิ่นกุยเยี่ยนรวยรินเต็มที หากแต่ดวงตายังเป็นประกายวาวโรจน์ นางมองพระอัยกาเหวินที่อยู่ตรงหน้าพลางเอ่ยเสียงเข้ม
เหวินโซ่วซานแม้จะโกรธจัด แต่เมื่อเห็นสตรีดุดันราวกับเสียสติผู้นี้ก็ยังนึกหวาดกลัวเล็กน้อย
“วังหลวงเป็นของพวกเราแล้ว” ทว่าเหวินโซ่วซานจะยอมถูกสตรีกดข่มได้อย่างไร เขายืนเต็มสองเท้าพลางคำรามอย่างกราดเกรี้ยว “อย่านึกว่าตนเองสูงส่งเลิศเลอนักเลย ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงเชลยเท่านั้น”
ลูกน้อยที่อยู่ข้างหลังร้องไห้ไม่หยุด เสิ่นกุยเยี่ยนมองออกไปยังท้องฟ้าด้านนอก
มืดมนอึมครึม แม้แต่ในอากาศยังมีกลิ่นคาวเลือด ที่แท้เมืองหลวงก็ถูกตีแตกแล้ว
“ฝ่าบาทเล่า” นางถามเสียงแผ่ว
ราชบัณฑิตฟู่แค่นหัวเราะ “ฮ่องเต้พาคนของตนเองหนีไปนานแล้ว ไม่สนใจสักนิดว่าเจ้าจะเป็นหรือตาย”
ร่างแบบบางแข็งทื่อไปเล็กน้อย เสิ่นกุยเยี่ยนมองคนพูดนิ่งๆ อยู่สักพัก ก่อนจะหันไปรับบุตรมาอุ้มไว้
กู้เจาเป่ย…มารับข้าไม่ทันสินะ น่าเสียดายเหลือเกินที่เขาไม่ได้เห็นหน้าบุตรคนนี้แต่แรกเกิด ข้าผิดเองที่รั้นจะอยู่ในเมืองหลวงเพราะไม่อยากแยกจากเขา
สุดท้ายตอนนี้ก็ยังต้องแยกจากกันอยู่ดี
เหวินโซ่วซานมองทารกในอ้อมแขนนางแล้วตาเป็นประกาย จากนั้นก็เม้มปาก “พระชายาทรงอยากเลี้ยงดูองค์ชายน้อยให้เติบใหญ่อย่างปลอดภัยหรือไม่ จะทรงเป็นกุ้ยเฟยต่อไปก็ได้ ความเป็นอยู่จะไม่ต่างจากแต่ก่อนแม้แต่น้อย”
เสิ่นกุยเยี่ยนหัวเราะเบาๆ สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลยที่ให้นางคลอดบุตรชายในยามวิกฤต เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ หากไม่ตายไปด้วยกันกับบุตรก็ต้องอาศัยบุตรมีชีวิตอยู่ต่อไป
นางเลือกอย่างหลังเพราะนางยังอยาก…ยังอยากเห็นหน้ากู้เจาเป่ยอีกสักครั้ง
“ท่านมีสิ่งใดจะสั่งก็เชิญพูดมาได้เลย กุยเยี่ยนเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ เมื่อไร้ฝ่าบาทก็ไร้ที่พึ่งพิง กุยเยี่ยนเป็นเพียงมารดาคนหนึ่งเท่านั้น หากสามารถทำให้บุตรมีชีวิตต่อไปจะให้ทำอะไรย่อมเจรจาได้ทั้งหมด”
“วิเศษ!” เหวินโซ่วซานหัวเราะร่า “ข้าชอบคนฉลาดรู้จักยืดหยุ่นเช่นเจ้าที่สุด มา ตามข้าไปที่บัลลังก์มังกรในท้องพระโรง!”
เสิ่นกุยเยี่ยนตาพร่าไปหมด เนื้อตัวอ่อนปวกเปียกจนแทบยืนไม่อยู่ ต้องให้เกาจิ่นซิ่วกับเป่าซั่นช่วยกันพยุงคนละข้างถึงจะพอฝืนเดินออกไปข้างนอกไหว
“ระหว่างอยู่เดือนจะต้องลมไม่ได้นะเพคะ” เป่าซั่นร้องไห้พลางสวมเสื้อคลุมแบบมีหมวกให้เจ้านายอย่างแน่นหนา “จะทรงฟังขุนนางโฉดพวกนั้นไปด้วยเหตุใดกัน ไม่เสด็จก็ได้นี่เพคะ…”
เสิ่นกุยเยี่ยนอุ้มลูกน้อยขึ้นนั่งเกี้ยว จากนั้นก็ฝืนยิ้ม “พวกเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี มัวสนใจเรื่องหยุมหยิมไม่ได้”
เป่าซั่นมองเกี้ยวถูกหามไปไกลขึ้นเรื่อยๆ แล้วทิ้งตัวนั่งอย่างหมดเรี่ยวแรงบนถนนในวังหลวง จากนั้นปล่อยโฮออกมาอย่างสุดกลั้น
นางรู้ว่าในเวลาเช่นนี้เจ้านายนางจะร้องไห้ไม่ได้ เช่นนั้นนางจะระบายความอัดอั้นคับแค้นทั้งหมดออกมาทางน้ำตาให้เอง
เมืองหลวงถูกยึด ฮ่องเต้ลี้ภัย เหวินโซ่วซานยกทารกในห่อผ้าเป็น ‘รัชทายาทรักษาการ’ ประกาศว่าจะรอฮ่องเต้กลับเมืองหลวง
หากกล่าวตามตรงก็เหมือนส่งสารถึงฮ่องเต้ว่า ‘บุตรชายเจ้าอยู่ในมือข้า ตอนนี้ยังแบเบาะ เจ้าจะกลับมาอุ้มบุตรก็ได้ แต่ต้องแลกด้วยชีวิตและราชบัลลังก์ แน่นอนว่าเจ้าจะไม่กลับมาก็ได้ เช่นนั้นข้าก็จะใช้เด็กคนนี้เป็นเครื่องมือ ควบคุมบัลลังก์บัญชาขุนนาง’
กว่ากู้เจาเป่ยจะรู้ข่าวก็อีกสิบวันให้หลัง
อากาศหนาวจับจิต ฮ่องเต้ยืนอยู่บนกำแพงเมืองหลีโจว เหม่อมองไปทางเมืองหลวงด้วยใบหน้าซีดเผือด
“ฝ่าบาท องค์หญิงตวนเหวินทรงนำกองทัพของไหวหนานมาพิทักษ์พระองค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงรักษากำลังหลักของทัพเราได้ การจะหวนกลับไปตีเมืองหลวงคืนไม่ใช่เรื่องยาก” กู้เจาหนานรายงาน
กู้เจาเป่ยยืนนิ่งไม่ขยับ
“ฝ่าบาท?”
“พี่รอง ท่านได้ยินเสียงร่ำไห้หรือไม่” ฮ่องเต้หันมาถามอีกฝ่ายอย่างเหม่อลอย
เสียงร่ำไห้? กู้เจาหนานเหลียวมองไปรอบตัวอย่างงุนงง “ไม่นี่พ่ะย่ะค่ะ”
“เราได้ยิน” กู้เจาเป่ยยิ้มพลางชี้มือไปยังที่ไกล หยดน้ำเป็นประกายอยู่ในดวงตา “เสียงของบุตร…เสียงของนาง…”
เสียงร้องไห้สะท้อนกังวานอยู่ในอากาศเวิ้งว้าง ลอยวนอยู่รอบตัวเขา รุมทึ้งกระชากหัวใจจนปวดร้าวเหมือนถูกฉีกทั้งเป็น
กู้เจาหนานตะลึงงัน แล้วก้มหน้าเงียบไม่พูดไม่จา
นับแต่ทิ้งเยี่ยนกุ้ยเฟยไว้ในเมืองหลวง ฮ่องเต้ก็ไม่เป็นปกติแม้แต่วันเดียว แต่ก่อนเขาไม่เคยคิดเลยว่ากู้เจาเป่ยผู้เสเพลรักสนุกจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
ทว่าภาวะการศึกคับขันนัก
“ตวนเหวินจะมาถึงเมื่อไร” ฮ่องเต้ถาม
กู้เจาหนานตอบเบาๆ “ราวสองเดือนให้หลังพ่ะย่ะค่ะ”
พวกเขาไม่สนใจกลศึก สนใจเพียงกำลังทหารเท่านั้น หากรวบรวมไพร่พลจากทุกฝ่ายเป็นหนึ่งเดียวได้เมื่อไรจะต้องตีเมืองหลวงคืนมาได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่…ต้องใช้เวลา
และสิ่งที่สร้างความทรมานให้กู้เจาเป่ยมากที่สุดในตอนนี้ก็คือเวลา
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 18 ส.ค. 66 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.