X
    Categories: ทดลองอ่านนางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้องมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นางแอ่นขับขาน สกุณาแซ่ซ้อง บทที่ 7-8

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 7 แช่มชื่นคืนแต่งงาน

คนเรามักเคราะห์ร้ายเพราะสมบัติที่มี เสิ่นกุยเยี่ยนเข้าใจสัจธรรมข้อนี้อย่างแจ่มแจ้ง ดังนั้นนางจึงอดทนมาตลอด หลังจากอายุแปดขวบก็ไม่เคยแสดงสติปัญญาอีกเลย ทั้งยังไม่เคยแย่งชิงสิ่งใดกับพี่ๆ น้องๆ

แต่ใครช่วยบอกนางที ทั้งที่นางอดทนจนถึงขั้นไม่ตอบโต้เมื่อถูกตบตีแล้ว เหตุใดนางถึงได้ถูกแย่งการแต่งงานที่ตั้งตารอมาปีแล้วปีเล่า ถูกคนพรากมารดาบังเกิดเกล้าที่รักนางมาตั้งแต่เกิด ซ้ำยังหาคนมาช่วยออกหน้าทวงความเป็นธรรมให้ไม่ได้สักคน?

ฉินอี๋เหนียงเอาแต่นอนนิ่ง ไม่อาจตอบคำถามของนางได้อีกแล้ว

ฝนลงเม็ดหนักขึ้นทุกที เสิ่นกุยเยี่ยนเฝ้าศพมารดานิ่งๆ ทั้งคืน นายผู้เฒ่าเสิ่นสั่งให้คนมาพานางกลับไปพักผ่อนที่หอนางแอ่น หากแต่นางส่ายหน้า “ถือว่าข้าอยู่ส่งฉินอี๋เหนียงเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน”

เป่าซั่นสะอึกสะอื้นอยู่ข้างหลัง ทว่าเสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้ร้องไห้อีกแล้ว นางเอาแต่เหม่อมองดวงหน้านิ่งสงบของมารดาเงียบๆ

 

แน่นอนว่าทางจวนอัครเสนาบดีย่อมต้องประดับตกแต่งจวนอย่างคึกคักงดงาม อัครเสนาบดีกู้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของกษัตริย์แคว้นฝาน สามสิบปีที่อยู่ในราชสำนักก็เป็นขุนนางมือสะอาด อ่อนน้อม และจงรักภักดีต่อฮ่องเต้มาโดยตลอด เป็นที่ชื่นชมของขุนนางทุกระดับในราชสำนัก เมื่อบุตรคนโตเข้าพิธีแต่งงานในวันนี้จึงมีคนมาร่วมงานคับคั่ง

อัครเสนาบดีกู้มีบุตรชายสามคนและบุตรสาวหนึ่งคน คนที่โดดเด่นที่สุดย่อมต้องเป็นบุตรชายคนโตที่เกิดกับภรรยาเอกเช่นกู้เจาตงอย่างไม่ต้องสงสัย เขาแตกฉานในความรู้ สุภาพอ่อนน้อม เรียกว่าได้รับสืบทอดจากบิดามาทั้งหมด กู้เจาหนานบุตรชายคนรองแม้ไม่เก่งกาจเท่าบุตรชายคนโต แต่ก็เข้าสำนักการศึกษาได้ตั้งแต่อายุยี่สิบ กู้เจาซีบุตรสาวคนที่สามออกเรือนไปกับพ่อค้าก็จริง แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็น ‘กุลสตรีผู้ทรงภูมิ’ หากจวนอัครเสนาบดีไม่มีบุตรคนที่สี่อย่างกู้เจาเป่ยสักคนก็คงจะถูกใครต่อใครกล่าวขานว่า ‘พยัคฆ์ไม่ออกลูกเป็นสุนัข’* ได้อย่างเต็มภาคภูมิ

เสียดายที่มีกู้เจาเป่ย

กู้เจาเป่ยเป็นบุตรคนที่สี่ของจวนอัครเสนาบดี เห็นว่ามารดาจากไปนานแล้ว คนผู้นี้ขึ้นชื่อว่าเสเพลเอาแต่ใจ วันๆ ดีแต่เตร็ดเตร่ตามย่านหอคณิกาในเมืองหลวงกับกลุ่มสหายผู้ไม่เป็นโล้เป็นพาย ทั้งที่เป็นคนหนุ่มอายุสิบเจ็ดเข้าไปแล้วก็ยังไม่รู้จักสำรวมตน กับคนสูงกว่ากล้าปะทะอัครเสนาบดี กับคนต่ำกว่าชอบดุด่าทุบตีบ่าวไพร่ เรียกว่าเป็นบุตรชายที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้อัครเสนาบดีกู้อย่างยิ่ง

หากเอ่ยถึงคุณชายสกุลกู้ ทุกคนล้วนแต่พยักหน้าชื่นชมกู้เจาตงและกู้เจาหนาน มีเพียงกู้เจาเป่ยคนเดียวที่แม้กระทั่งป้าขายผักในตลาดยังไม่อยากยกบุตรสาวให้แต่งงานด้วย

ขณะนี้คุณชายสี่แห่งสกุลกู้ที่ทำให้ใครต่อใครปวดหัวกำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ในโถงพิธีที่จัดงานแต่งงาน มองเจ้าสาวถูกประคองเข้ามาจากข้างนอก

“คุณชายใหญ่ช่างวาสนาดีโดยแท้ ได้ยินว่าคุณหนูสามสกุลเสิ่นที่แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้ที่ท่านอัครเสนาบดีเลือกไว้หลายปีแล้ว ทั้งฉลาดเฉลียวมีความรู้ กิริยามารยาทงามพร้อม สุภาพอ่อนหวาน เป็นการจับคู่ที่วิเศษจริงๆ”

“นั่นสิ ชายเพียบพร้อมย่อมต้องคู่กับหญิงงาม ทั้งรูปโฉมและกิริยามารยาทของคุณหนูสามสกุลเสิ่น ผู้น้อยมีวาสนาได้เห็นมาแล้ว ได้มาลงเอยกับคุณชายใหญ่สกุลกู้ถือเป็นคู่สวรรค์สร้างแท้ๆ”

ถ้อยคำยกยอตามมารยาทเช่นนี้ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก กู้เจาเป่ยหาวทีหนึ่งพลางมองเจ้าสาวที่ค่อยๆ เยื้องย่างอย่างระมัดระวัง เขาไม่เห็นว่านางจะแช่มช้อยสง่างามตรงที่ใด

หลังผ่านขั้นตอนต่างๆ เจ้าสาวถูกประคองเข้ามาในโถงพิธี กู้เจาเป่ยเดาะลิ้น ‘จิ๊’ แล้วหยิบเหอเถา* เม็ดหนึ่งโยนลงไปตรงเท้าเจ้าสาวอย่างนึกครึ้ม

เสิ่นกุยหย่าเหยียบเหอเถาเข้าอย่างจังจนหวิดเจียนจะล้ม ทว่านางเป็นคนปราดเปรียวว่องไว สามารถใช้มือข้างหนึ่งยันพื้น แล้วย่อตัวลงไปนั่งยองๆ ได้อย่างมั่นคง

แม่นมมงคลที่อยู่ข้างๆ สะดุ้งเฮือก ผวาเข้าไปประคองนาง ปรากฏว่าเสิ่นกุยหย่าลุกขึ้นยืนเองก่อน ซ้ำยังดึงผ้าคลุมศีรษะขึ้นเผยให้เห็นใบหน้า “หน้าไหนมันเล่นงานข้า!”

เสียงฮือฮาดังไปทั้งห้องโถงกลบเสียงประทัดด้านนอกให้เบาลงไปทันใด อัครเสนาบดีกู้กับฮูหยินนั่งตรงตำแหน่งประมุข โถงพิธีพร้อมพรั่งด้วยญาติผู้ใหญ่สกุลกู้ เหล่าคุณชาย และคุณหนูสาม เสิ่นกุยหย่ายังไม่ทันได้เข้าห้องหอก็ดึงผ้าคลุมศีรษะออกเองก่อนแล้ว

กู้เจาเป่ยก็ตกใจเช่นกัน จากนั้นเขาก็พิจารณาใบหน้าเจ้าสาว ก่อนจะแค่นหัวเราะ “ไหนว่าใครต่อใครต่างชื่นชมว่าคุณหนูสามสกุลเสิ่นงามหยาดฟ้ามาดิน เหตุใดถึงรูปโฉมเช่นนี้ได้เล่า”

กู้เจาตงเหลียวมองนางแล้วให้หน้าถอดสีทันที “คุณหนูห้า?”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในโถงพิธี คนที่รู้จักเสิ่นกุยหย่ามีไม่มาก ทว่าคนที่รู้ว่าเสิ่นกุยเยี่ยนรูปโฉมอย่างไรนั้นมีล้นเหลือ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนว่าสตรีผู้นี้ไม่ใช่เสิ่นกุยเยี่ยน สกุลเสิ่นต้องบ้าบิ่นสักเพียงใดถึงได้กล้าย้อมแมวหลอกจวนอัครเสนาบดีถึงขั้นนี้

“นี่มันเรื่องอะไรกัน” อัครเสนาบดีกู้ลุกขึ้น

เสิ่นกุยหย่าหันไปถลึงตาใส่คนที่หัวเราะเยาะตน แต่ภาพที่ได้เห็นคือเด็กหนุ่มปากแดงฟันขาว มุ่นผมรัดเกี้ยวหยก ท่านั่งไม่สำรวม ทว่ากลับดูมีเสน่ห์สะดุดตา ใบหน้าประดับรอยยิ้มร้ายๆ ที่นางเห็นแล้วแทบเคลิ้มจนไม่รู้เหนือรู้ใต้ กระทั่งอัครเสนาบดีกู้เดินเข้ามายืนตรงหน้า นางยังไม่หลุดจากภวังค์

“คุณหนูห้า!” กู้เจาตงร้องเรียกด้วยสีหน้าบูดบึ้ง ครั้นกระชากเงื่อนคล้องใจ** ออกอย่างแรงถึงค่อยดึงสายตาเสิ่นกุยหย่ากลับมาได้

“…หา? อ้อ ข้าคือเสิ่นกุยหย่า บุตรสาวคนที่ห้าของสกุลเสิ่น แม่แท้ๆ ของพี่สามป่วยตายกะทันหัน อีกทั้งตัวข้าก็ตั้งครรภ์บุตรของคุณชายกู้ วันนี้เลยขึ้นเกี้ยวเจ้าสาวมาก่อน” เสิ่นกุยหย่ายังไม่หายเคลิบเคลิ้ม ระหว่างชี้แจงก็เหลียวมองชายหนุ่มรูปงามไปด้วย

เสิ่นกุยหย่าไม่ได้ตระหนักว่าคนโบราณไม่ชื่นชมความโผงผางตรงไปตรงมาเช่นนี้แม้แต่นิดเดียว พวกเขาแต่ละคนมีแต่คิดว่าเด็กสาวผู้นี้ไร้ยางอาย ไม่มีมารยาท ไม่รู้จักใช้คำถ่อมตนคำยกย่อง กลับพูดปาวๆ ได้หน้าตาเฉยว่าตั้งครรภ์บุตรของฝ่ายชาย

ทั้งที่ยังไม่ทันได้แต่งงานกันเสียด้วยซ้ำ

อัครเสนาบดีกู้ก็มีสีหน้าขรึมเครียดเช่นกัน งานมงคลที่เตรียมการมาเนิ่นนานต้องกลายเป็นเรื่องขำขันของราชสำนักเพราะเหตุนี้ เขาเลือกลูกสะใภ้เอาไว้แล้ว สกุลเสิ่นอยากเปลี่ยนตัวก็เปลี่ยนได้ตามใจชอบอย่างนั้นหรือ

“ช้าก่อน เจ้าบอกว่าเจ้าตั้งครรภ์บุตรของคุณชายใหญ่?” กู้ฮูหยินจับประเด็นสำคัญได้ “เป็นไปได้อย่างไร…เจ้ากับคุณชายใหญ่…”

“ท่านแม่ บุตรในครรภ์คุณหนูห้าเป็นของลูกจริงๆ ขอรับ” กู้เจาตงกำมือแน่นพร้อมหลุบตาลง “ลูกไม่ได้ต้องการให้เป็นเช่นนี้ แต่ในเมื่อเด็กเกิดมาแล้ว ลูกก็ต้องยอมรับ”

ไม่ว่าอย่างไรทายาทก็สำคัญที่สุด

อัครเสนาบดีกู้ขมวดคิ้วแน่น จากนั้นก็แค่นหัวเราะ “เจ้าหมายความว่าวันนี้จะแต่งคุณหนูห้าสกุลเสิ่นคนนี้เข้าจวน?”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว…” บุตรชายคนโตสูดหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่ง “ก็ต้องเป็นไปตามนี้ล่ะขอรับ”

“แล้วทางคุณหนูสามจะทำอย่างไรเล่า!” ผู้เป็นบิดาถามอย่างเดือดดาล “ข้าสอนเจ้าว่าลูกผู้ชายกล้าทำต้องกล้ารับ แต่ไม่ได้ให้เจ้ากล้ารับผิดชอบคนหนึ่ง แล้วทำผิดต่ออีกคนหนึ่ง!”

กู้เจาตงหายใจลำบาก เขาเป็นคนที่รู้สึกว่าเรื่องวันนี้เหลือเชื่อกว่าใครทั้งนั้น เสิ่นกุยหย่าตั้งครรภ์บุตรของเขา เขาชอบเยี่ยนเอ๋อร์จากใจจริง ทว่าบุตร…

กู้เจาหนานที่ยืนมองละครฉากนี้อยู่อีกทางหัวเราะเบาๆ พลางลูบแหวนหยกวงหนาที่สวมอยู่ ด้านหลังเขาคืออี๋เหนียงคนหนึ่งที่ครรภ์นูนออกมาน้อยๆ

“ลูกจะต้องไปขอขมาคุณหนูสามที่จวนสกุลเสิ่นด้วยตนเองอย่างแน่นอน”

เสียงวิจารณ์พลันดังโดยรอบ แต่เสิ่นกุยหย่ายังอุตส่าห์มีแก่ใจมองกู้เจาเป่ย เมื่อครู่จะต้องเป็นคนผู้นี้แน่ๆ ที่แอบแกล้งนาง อยากเรียกร้องความสนใจจากนางอย่างนั้นหรือ นางใคร่ครวญอยู่ในใจ บุรุษผู้นี้หล่อเหลาสะดุดตา หรือจะเป็นพระรองของข้ากันนะ

ขณะที่กู้เจาเป่ยกำลังสำราญใจที่ได้เห็นพี่ชายคนโตผู้ได้รับความสำคัญจากบิดามากที่สุดถูกดุด่า ก็รับรู้ได้ถึงสายตาที่จ้องมองมา จึงมองกลับไปบ้าง

สายตาของสตรีผู้นี้ไม่บริสุทธิ์เอาเสียเลย เห็นแล้วน่าสะอิดสะเอียนยิ่งกว่าสายตาสตรีที่ร่ายรำในหอคณิกาเสียด้วยซ้ำ กู้เจาเป่ยแค่นหัวเราะดังหึ ก่อนจะผิวปากรับสายตาของนางเบาๆ

เขาชิงชังสตรีประเภทนี้เป็นที่สุด และชอบเห็นพวกนางทึกทักเข้าข้างตนเองอย่างยิ่งยวดเช่นกัน นี่ล่ะนิสัยเสียของคุณชายสี่แห่งสกุลกู้

ทว่าเสิ่นกุยหย่ากลับทำหน้าเขินอาย เพราะคิดว่าท่าทีที่เขาแสดงออกมาเช่นนี้หมายความว่าถูกใจนางแน่แล้ว เจ้าของร่างที่นางทะลุมิติมาสิงมีรูปโฉมพอๆ กับตัวนางในยุคปัจจุบัน แต่ถึงอย่างไรนางก็พอใจมากอยู่ดี ขอเพียงแต่งหน้าแต่งตัวสักหน่อย รับรองจะต้องงามล่มเมืองได้แน่นอน ถึงอย่างไรมาตรฐานความงามของคนโบราณก็ไม่ได้เรื่องเท่าไรอยู่แล้ว

“ถ้าเช่นนั้นก็ทำพิธีต่อแล้วกัน” อัครเสนาบดีกู้สูดหายใจเข้าออกลึกๆ อยู่หลายครั้งถึงสะกดกลั้นโทสะไว้ได้ ตอนแรกเขาหมายนั่งลงดังเดิม แต่ก็นึกกระอักกระอ่วนใจที่ผู้ใหญ่อย่างตนต้องมาเสียหน้า สุดท้ายเลยสะบัดแขนเสื้อเดินออกไปก่อนโดยไม่อยู่รับการคำนับจากบ่าวสาว

ขณะที่กู้ฮูหยินรู้สึกสับสนในใจ แม้จะนั่งลงรับการคำนับและรับน้ำชาจากเสิ่นกุยหย่า ทว่าก็รับมาวางไว้เฉยๆ ไม่ได้ดื่ม เพียงแค่ยื่นเงินรับขวัญให้เท่านั้น

รอบตัวมีแต่คนวิพากษ์วิจารณ์เรื่องสกุลเสิ่นย้อมแมวสับเปลี่ยนเจ้าสาว มีเพียงเสิ่นกุยหย่าที่รออยู่ในห้องหอคิดเองเออเองอยู่คนเดียวว่าผลที่ออกมาช่างงดงามนัก

 

“มารดาแท้ๆ ของนางตาย?”

กู้เจาเป่ยดื่มไปมากโข ระหว่างเดินอยู่ในสวนก็ได้ยินเสียงร้อนรนของพี่ชายตนเองถามขึ้น

ถัดจากนั้นคือเสียงนอบน้อมของเฟิ่งเซี่ยว “ได้ยินว่าสิ้นลมตอนคุณหนูสามกำลังจะออกเรือนพอดีขอรับ”

น่าสนุกแท้ เจ้าสาวเข้าไปรอในห้องหอแล้ว เจ้าบ่าวยังมัวถามไถ่เรื่องคุณหนูสามสกุลเสิ่นอยู่อีก? กู้เจาเป่ยเลิกคิ้วแล้วหลบไปยืนแอบฟังหลังเสาตรงเฉลียง

“เยี่ยนเอ๋อร์จะต้องเสียใจและต้องการข้ามากเป็นแน่” กู้เจาตงใช้ความคิด เขาสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อีกสองวันข้าจะไปจวนสกุลกู้เพื่อช่วยนางจัดการงานศพ นางจะได้ยอมอภัยให้ข้าง่ายขึ้นด้วย”

บทที่ 8 ข้าจะแต่งกับนาง

กู้เจาเป่ยยืนพิงเสากรอกสุราลงคออึกหนึ่งแล้วอดหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ ที่ผ่านมามีแต่คนชื่นชมพี่ใหญ่ของเขาว่าเป็นบุรุษแน่วแน่ซื่อตรง ไม่นึกเลยว่าพอเป็นเรื่องสตรีเข้าหน่อยก็ทำตัวต่ำทรามได้เหมือนกัน

สวี่เมิ่งเตี๋ยของพี่รองตั้งครรภ์แล้ว เวลานี้หลิ่วอี๋เหนียงกำลังถือไพ่เหนือกว่า เชื่อว่าพี่ใหญ่ตัดสินใจแต่งงานกับคุณหนูห้าสกุลเสิ่นเพราะหมายจะใช้เด็กในครรภ์มารับรองสถานะของตนก่อน แล้วค่อยไปตามเกลี้ยกล่อมคุณหนูสามสกุลเสิ่นภายหลัง

แต่เขาอยากรู้นัก หากคุณหนูสามสกุลเสิ่นไม่ยอมถูกหลอกแล้วยกโทษให้ง่ายๆ เล่า กู้เจาตงจะเป็นเช่นไร

“สองสามวันนี้เจ้าช่วยปลอบทางสกุลเสิ่นให้ข้าไปพลางๆ ก่อน อย่าให้ใครกดขี่รังแกเยี่ยนเอ๋อร์ได้” กู้เจาตงสั่งเฟิ่งเซี่ยว พอเห็นคนสนิทรับคำแล้ว เขาถึงค่อยหมุนตัวเดินไปทางห้องหอ

เฟิ่งเซี่ยวเป็นบ่าวมีไหวพริบคล่องงาน แม้ฟ้าจะมืดแล้วก็ยังรีบจูงม้าออกจากจวนด้วยตนเอง สกุลเสิ่นอาศัยอยู่ในจวนขุนนางทางตอนเหนือของเมือง จากที่นี่ใช้เวลาขี่ม้าไม่กี่ถ้วยชา* เท่านั้น

กู้เจาเป่ยก้าวออกจากหลังเสาเมื่อเฟิ่งเซี่ยวลับสายตาไปแล้ว หลังจากคิดอะไรอยู่เล็กน้อยเขาก็โยนกาสุราในมือทิ้งลงไปในพุ่มไม้ข้างๆ แล้วตามเฟิ่งเซี่ยวออกจากจวนบ้าง โดยขี่ม้าไปยังทิศที่ม้าตัวแรกมุ่งไป

 

เสิ่นกุยเยี่ยนจัดห้องตั้งป้ายวิญญาณให้มารดา เนื่องจากฉินอี๋เหนียงเป็นเพียงอนุ แม้ตายไปก็ไม่ได้จัดงานศพในห้องโถงใหญ่และจะตั้งศพไว้ในจวนไม่ได้ ศพถูกส่งออกไปเก็บที่โรงทึมแต่แรกแล้ว นางจึงทำได้เพียงห้อยผ้าขาวตั้งป้ายวิญญาณอยู่ในเรือน

ฝนยังไม่ขาดเม็ด ไม่รู้ว่าป่านนี้สกุลกู้จะครึกครื้นวุ่นวายสักเพียงใด เสิ่นกุยเยี่ยนคุกเข่าตัวตรงแหน็วพลางค่อยๆ หย่อนกระดาษเงินกระดาษทองลงในกองไฟ ดวงหน้าสะอาดเกลี้ยงเกลาไร้คราบน้ำตา ทว่าดวงตาแดงก่ำจนน่าตกใจ

“ฮือ…” เป่าซั่นยืนยกมือปิดปากสะอื้นไห้อยู่นอกเรือน แม้ชายกระโปรงเปียกฝนก็ไม่กล้าเข้าไปข้างใน

เฟิ่งเซี่ยวสวมเสื้อฟางกันฝนเดินลิ่วๆ อย่างรีบเร่ง พอมาถึงที่หมายแล้วเห็นเป่าซั่นในสภาพนั้นก็ถามอย่างร้อนรน “แม่นางเป็นอะไรไป คุณหนูสามเล่า”

เสิ่นกุยเยี่ยนกับกู้เจาตงไม่อาจพบกันได้บ่อยๆ เพราะผิดธรรมเนียม ทว่าบ่าวรับใช้คนสนิทของทั้งคู่นับว่าคุ้นเคยกันอย่างยิ่ง เป่าซั่นดึงอีกฝ่ายหลบออกมาไกลๆ แล้วกระซิบ “ข้าอยากร้องไห้ยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ แต่คุณหนูบอกว่าห้ามร้องเพราะจะทำให้ดวงวิญญาณของอี๋เหนียงไม่เป็นสุข แต่ข้าทนไม่ไหว เลยไม่กล้าเข้าไป…คุณหนูยังอยู่ข้างในนั่นล่ะ”

เฟิ่งเซี่ยวถอนหายใจเบาๆ แล้วเหลือบตามองสาวใช้ “เอาเถิด นิ่งเสีย ตามข้าไปคุยกันตรงมุมปลอดคนก่อน อยู่ตรงนี้หากคุณหนูของเจ้ามาเห็นข้าเข้าอาจเศร้าเสียใจยิ่งกว่าเดิม”

เป่าซั่นพยักหน้าแล้วปล่อยให้อีกฝ่ายดึงตัวไปอีกทาง

สาวใช้และหญิงรับใช้สูงวัยในเรือนถูกสั่งให้ไปเฝ้าศพที่โรงทึมทั้งหมด รอจนกว่าฉินอี๋เหนียงจะถูกบรรจุโลงฝังดินในวันพรุ่งนี้ ยามนี้เมื่อเป่าซั่นไปอีกคน ในเรือนจึงเหลือเพียงเสิ่นกุยเยี่ยนคนเดียว

กู้เจาเป่ยที่ดื่มสุราจนเมากรึ่มตรงดิ่งเข้ามาในเรือนอย่างเปิดเผย เสื้อผ้าเปรอะขี้ดินตอนปีนกำแพงเข้ามา แล้วถูกฝนชะซ้ำจนเลอะเป็นปื้น สกปรกมอมแมมไปทั้งตัว ทว่าเขายังคงลอบเข้าไปยืนแอบตรงมุมห้องตั้งป้ายวิญญาณโดยไม่สนใจแม้แต่น้อย

เฮ้อ ใช่ว่าข้าจะเข้ามาทำอะไรมิดีมิงามเสียหน่อย แค่ได้ยินผู้คนชื่นชมคุณหนูสามสกุลเสิ่นมานานปี เลยอยากมาดูว่านางรูปร่างหน้าตาอย่างไรเท่านั้นเอง

เสิ่นกุยเยี่ยนไม่ได้สนใจความเป็นไปรอบตัว พอนางเผากระดาษเงินกระดาษทองเสร็จก็โขกศีรษะคำนับ แล้วคุกเข่าอยู่บนเบาะรองเงียบๆ อย่างเหม่อลอย

ลมพัดกรูเข้ามาจากประตูจนธูปเทียนบนโต๊ะเกือบดับ พาให้เสิ่นกุยเยี่ยนได้สติ นางลุกขึ้นหมายจะไปปิดประตู ปรากฏว่าเพียงหมุนตัวนางก็ชนกู้เจาเป่ยที่แอบย่องเข้ามาจากทางด้านหลังเพื่อยลโฉมนางเข้าอย่างจัง

“หวา!”

นี่ไม่ใช่เสียงร้องของเสิ่นกุยเยี่ยน แต่เป็นเสียงของกู้เจาเป่ย เขาไม่ร้องอย่างเดียว ยังถอยหลังกรูดสามก้าวแล้วตะโกนโหวกเหวกออกไปนอกประตูอย่างตื่นตระหนก “มาช่วยกันจับขโมยหน่อย!”

เสิ่นกุยเยี่ยนเบิกตามองเขานิ่งด้วยความอึ้งงัน

ความเศร้าโศกอันเข้มข้นพาให้ท่าทีตอบสนองต่อทุกสิ่งเชื่องช้าลง หากเป็นเวลาปกติ จู่ๆ มีบุรุษหน้าตามอมแมมโผล่พรวดเข้ามาทางด้านหลังเช่นนี้ รับรองว่าเสิ่นกุยเยี่ยนจะร้องดังกว่ากู้เจาเป่ยเสียอีก

พอตะโกนเสร็จกู้เจาเป่ยถึงเพิ่งรู้สึกตัว ดูเหมือนที่นี่จะไม่ใช่จวนอัครเสนาบดีแต่เป็นจวนสกุลเสิ่น และ ‘เจ้าหัวขโมย’ นั่นก็คือเขาเอง พลาดเสียแล้วสิ

เขาหัวเราะแห้งๆ สองที รู้สึกว่าคืนนี้ตนเองดื่มหนักน่าดู ดังนั้นจึงค้อมกายให้เสิ่นกุยเยี่ยนทีหนึ่ง “ผู้น้อยเพียงผ่านทางมาเท่านั้น ต้องขออภัยที่ล่วงเกิน คุณหนูโปรดอย่าได้ถือโทษ”

พูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วตะลึงงันอยู่ตรงนั้น

“ขโมยขึ้นเรือนทางนั้นหรือ!” เสียงบ่าวร้องถามกันเริ่มลอยแว่วมาจากด้านนอก รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเสียงใกล้เข้ามาทุกที กู้เจาเป่ยควรหนีไปเสีย ทว่าดวงหน้าที่เขาจับจ้องอยู่ในยามนี้ทำให้คนไม่อาจถอนสายตาได้อย่างน่าประหลาด

เขาเป็นหนึ่งในสี่คุณชายเจ้าสำราญแห่งเมืองหลวง สามารถจดจำสตรีได้จากกลิ่น ถึงขั้นเคยปิดตาท่องชื่อหญิงสาวในหอคณิกาทั้งหมดของเมืองหลวงไม่ผิดแม้แต่ชื่อเดียวมาแล้ว สตรีที่เขาเคยพบเจอสามารถจับมายืนเรียงแถวกันขั้นต่ำยังยาวจากหัวถนนไปสุดถนน แต่ไม่เคยมีคนใดที่ทำให้เขาตะลึงลานได้เช่นนี้มาก่อน

ช่างเป็นใบหน้าที่รื่นตาเสียนี่กระไร กลีบปากแดงเรื่อ คิ้วโก่งเรียว ดวงตารูปเมล็ดซิ่ง พวงแก้มสีชมพู แววตาใสกระจ่างดุจธารน้ำอย่างหาได้ยาก น่าเสียดายที่ติดจะดูเลื่อนลอย ตรงกลางหว่างคิ้วเป็นปื้นแดงจางๆ แต่งแต้มความฉูดฉาดให้ใบหน้า แต่โดยรวมก็ยังดูงดงามสุขุมอยู่ดี

พอเพ่งพิศอีกทีก็พบว่านางไม่ได้งดงามบาดตาอะไรนัก เพียงงดงามกว่าสตรีทั่วไปอยู่บ้างเท่านั้น แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเมื่อครู่นางถึงได้ดึงดูดสายตาเขาอย่างอยู่หมัด กู้เจาเป่ยยกมือขยี้ตา หรือจะเป็นเพราะข้าดื่มจนเห็นภาพหลอน?

บ่าวมายืนตรงประตูเรือนแล้ว เสิ่นกุยเยี่ยนมองคนตรงหน้าโดยไม่มีท่าทีตอบสนองมากนัก นางเพียงสั่งบ่าวที่เพิ่งเข้ามา “คุมตัวไปให้พ่อบ้านจัดการ”

เมื่อถูกกดบ่าเอาไว้กู้เจาเป่ยถึงได้สติกลับมา เขาถามพลางขมวดคิ้ว “เจ้านึกว่าข้าเป็นหัวขโมยหรือ”

ซ้ำยังจะส่งตัวให้พ่อบ้านจัดการอีก?

เสิ่นกุยเยี่ยนกวาดตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ก่อนจะหมุนตัวเดินกลับไปคุกเข่าบนเบาะรองอีกครั้ง “ต่อให้เป็นจอมโจรยิ่งใหญ่จากที่ใดก็มาทำลายความสงบของมารดาข้าไม่ได้”

ทุกข์หนักจนความเป็นเหตุเป็นผลไม่ทำงานแล้วจริงๆ คุณชายรูปงามเช่นเขามายืนอยู่ตรงหน้า นางกลับเฉยชาใส่ หมายความว่านางจมอยู่กับความโศกเศร้ามากเกินไปแล้ว

กู้เจาเป่ยมองสตรีตรงหน้าด้วยความสงสัย จากนั้นก็สลัดตัวจากการควบคุมของบ่าวที่อยู่ด้านหลัง ก้าวมาคุกเข่าดังตุ้บลงข้างๆ เสิ่นกุยเยี่ยน

“ท่านป้าใช่หรือไม่ ผู้น้อยกู้เจาเป่ย ประสงค์จะแต่งคุณหนูสามสกุลเสิ่นมาเป็นภรรยา ขอให้ท่านป้าได้โปรดติดตามไปดูด้วย” คนพูดตาปรือครึ่งหนึ่งด้วยความมึนเมา แต่ก็ยังโขกศีรษะสามครั้งให้ป้ายวิญญาณฉินอี๋เหนียงที่อยู่บนโต๊ะอย่างคล่องแคล่วเรียบร้อย

เสิ่นกุยเยี่ยนตัวแข็งทื่อ บ่าวที่อยู่ด้านหลังก็อึ้งไปด้วยความตกตะลึงเช่นกัน

กู้เจาเป่ย? นี่มันคุณชายสี่สกุลกู้ผู้มีชื่อเสียงลือกระฉ่อนไปทั้งเมืองหลวงไม่ใช่หรือ

เป่าซั่นกับเฟิ่งเซี่ยวได้ยินเสียงเอะอะก็รีบรุดกลับมา เห็นคนกิริยาไม่สำรวมผู้หนึ่งลากเสิ่นกุยเยี่ยนออกจากเรือนพอดี

“คุณชายสี่?” เฟิ่งเซี่ยวหน้าถอดสี มือก็กำแน่นขึ้นเมื่อเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรขอรับ”

บ่าวไพร่สกุลเสิ่นกำลังละล้าละลังว่าจะเข้าไปดึงผู้บุกรุกออกมาดีหรือไม่ พอได้ยินเฟิ่งเซี่ยวร้องเรียกแล้ว จึงไม่มีใครกล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า กู้เจาเป่ยเดินตุปัดตุเป๋ไปทางเรือนใหญ่อย่างไม่สนใจใครทั้งนั้นโดยลากเสิ่นกุยเยี่ยนไปด้วยตลอดทาง

ฝนยังไม่หยุดตก ทั้งสองเดินออกมาเพียงครู่เดียวเสื้อผ้าก็เปียกปอน เสิ่นกุยเยี่ยนขมวดคิ้วมองคนตรงหน้า “ท่านเมาหรือ”

“ไม่ได้เมา!” กู้เจาเป่ยตอบพลางหัวเราะร่า “อยากให้ข้าเดินตรงๆ ให้ดูหรือไม่เล่า”

เสิ่นกุยเยี่ยน “…”

ยามนี้เป็นเวลาดึกสงัด คนสกุลเสิ่นที่เหนื่อยมาทั้งวันล้วนแต่เข้านอนหมดแล้ว แต่กลับต้องตื่นเพราะคนผู้นี้ นายผู้เฒ่าเสิ่นสวมเสื้อคลุมเดินออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น

“ข้าจะแต่งงานกับคุณหนูสามของท่าน” กู้เจาเป่ยจับแขนเสิ่นกุยเยี่ยนร้องพลางบอกเจ้าของจวนอยู่กลางลานเรือนใหญ่ “ยกบุตรสาวคนที่สามของท่านให้แต่งงานกับข้าเถอะ!”

นายผู้เฒ่าเสิ่นหน้าซีดเผือด ผู้ใดก็รู้กันทั้งนั้นว่าคุณชายสี่สกุลกู้เป็นบุรุษที่แต่งงานด้วยไม่ได้ เรือนหลังเลี้ยงอนุไว้เป็นโขยงยังพอทำเนา แต่เรื่องการเรื่องงานยังไม่เอาไหน ไร้ซึ่งผลงานใดๆ ทั้งสิ้น เป็นตัวล้างผลาญที่ดีแต่กินเที่ยวไปวันๆ เท่านั้น หากยกเสิ่นกุยเยี่ยนให้แต่งงานด้วย ชีวิตนางจะมีความสุขได้อีกหรือ

ทว่าเสิ่นฮูหยินกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก ฉินอี๋เหนียงตายลง เสิ่นกุยหย่าออกเรือนแล้ว ใจนางไม่มีอะไรต้องห่วงพะวงอีก หากเสิ่นกุยเยี่ยนแต่งงานกับคุณชายเสเพลคนนี้ได้ นางจะรื่นเริงใจอย่างยิ่งทีเดียว

“คุณชายกู้ เรื่องนี้…” นายผู้เฒ่าเสิ่นไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ได้แต่หันไปมองบุตรสาว

เสิ่นกุยเยี่ยนพยายามดึงแขนหนีตลอดเวลา มายื้อยุดฉุดกระชากกันต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ น่าเกลียดน้อยเสียเมื่อไร ทว่ามือของอีกฝ่ายทั้งร้อนทั้งทรงพลังเหลือแสน นางพยายามเท่าไรก็สลัดไม่หลุด

“ข้าไม่แต่ง” นางว่า “มารดาแท้ๆ ของข้าเพิ่งตาย ตามหลักข้าต้องครองตัวไว้ทุกข์”

กู้เจาเป่ยยิ้มอย่างหน้าไม่อาย แล้วถามด้วยน้ำเสียงทะเล้น “เจ้าต้องครองตัวไว้ทุกข์ให้ท่านป้านานเท่าไรกันเชียว ข้ารอได้ ถึงอย่างไรข้าก็หมายตาเจ้าแล้ว เจ้าอยากแต่งก็แต่งอย่างยินดี ไม่อยากแต่งก็แต่งอย่างไม่ยินดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องแต่งงานกับข้า”

เสิ่นกุยเยี่ยนถลึงตามอง แล้วเงื้อเท้ากระทืบหลังเท้าอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้ ภายในอกยังแน่นไปด้วยความคับแค้นไร้ที่ระบาย ใครนึกอยากโผล่มารังแกนางก็จะรังแกได้อย่างนั้นหรือ

กู้เจาเป่ยเจ็บจนหน้าเขียว กัดฟันพูดกับนาง “หากกระทืบเท้าข้าหัก สามีเจ้าจะเดินขาเป๋เอานะ!”

 

* พยัคฆ์ไม่ออกลูกเป็นสุนัข เป็นสำนวนที่ใช้เป็นคำชม หมายถึงบิดาที่โดดเด่นย่อมมีบุตรที่ไม่ธรรมดา

* เหอเถา หมายถึงวอลนัท

** เงื่อนคล้องใจ เป็นสัญลักษณ์ของความรักระหว่างชายหญิง ใช้เส้นไหมถักร้อยพันเกี่ยวเป็นลวดลายซับซ้อน ในบางครั้งยังมีรูปทรงคล้ายหัวใจ

* ถ้วยชา เป็นการนับเวลาแบบหนึ่งของจีน โดยหนึ่งถ้วยชาใช้เปรียบเวลาที่สั้นมาก เทียบเวลาประมาณ 10-15 นาที

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 15 มิ.. 66 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: