X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 9-10

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่เก้า

ในตอนที่หลี่หลิงหว่านตั้งใจจะเปิดปากเอ่ยถามนามของภิกษุรูปนี้ นางก็เห็นอีกฝ่ายยกมือขึ้นทักทายนาง จากนั้นก็เปิดปากเอ่ยถามอย่างนอบน้อม “เรียนถาม อาคันตุกะมาเยือนจากที่ใดหรือ”

หลี่หลิงหว่านมองอย่างไร้คำพูด

ปริศนาธรรมเช่นนี้ข้าเองก็ตอบเป็น

นางจึงแสดงท่าทีสุขุมลุ่มลึกออกมา แล้วตอบกลับอย่างลึกซึ้งเช่นเดียวกัน “มาจากที่ที่ข้าจากมา”

ต่อจากนั้นเขาคงไม่ถามว่า ‘อาคันตุกะต้องการไปที่ใด’ ใช่หรือไม่ นางเตรียมประโยคต่อไปที่ต้องตอบไว้ที่ริมฝีปากเรียบร้อยแล้ว

แต่นางกลับเห็นภิกษุรูปนั้นยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็เอ่ยถามต่อ “มาจากดินแดนภายนอกหรือ”

แม้จะเป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงกลับมั่นใจยิ่ง

สีหน้าของหลี่หลิงหว่านเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย

คำว่า ‘ดินแดนภายนอก’ นี้ แล้วแต่ว่าจะตีความอย่างไรกระมัง สามารถเข้าใจว่าเป็น ‘นอกเหนือจากความวุ่นวายทางโลก’ แล้วก็สามารถเข้าใจว่าเป็น ‘นอกอาณาเขตนี้’ ก็ได้กระมัง

นอกอาณาเขตโลกใบนี้?…

หลี่หลิงหว่านไม่ตอบ สีหน้าแฝงแววจริงจังอยู่หลายส่วน ก่อนเอ่ยปากถามอย่างลังเล “ต้าซือ ท่านคือท่านเจ้าอาวาสหรือเจ้าคะ”

นางเห็นภิกษุตรงหน้าผงกศีรษะ บนใบหน้าประดับรอยยิ้มน้อยๆ ไม่เคยเลือนหาย “มิกล้า อาตมาเป็นผู้ใด ไม่มีผู้ใดกระจ่างดียิ่งกว่าท่านแล้ว”

หลี่หลิงหว่านไม่ได้เอ่ยอะไรอีก ขณะที่หัวใจของนางก็เย็นวาบขึ้นมา

ในนิยายนางวางให้ท่านเจ้าอาวาสเป็นบุคคลผู้มีสติปัญญาสูงส่งมากผู้หนึ่ง ในขอบเขตที่แน่นอนสามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงอดีตและอนาคต เขาจึงสามารถทำนายได้ว่าหลี่หลิงเยี่ยนมีชะตาหงส์ ทำนายว่าหลี่เหวยหยวนมีชะตาพิฆาต ในอนาคตไม่ว่ากับครอบครัวหรือแผ่นดินล้วนเป็นกาลกิณี แต่ยามนี้เมื่อได้พบท่านเจ้าอาวาสผู้นี้ ทุกประโยคของเขาล้วนซ่อนปริศนาธรรมและแฝงความนัยเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ามองออกถึงสถานะที่แท้จริงของนางแล้ว

นี่เป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวมากจริงๆ

ท่านเจ้าอาวาสเห็นหลี่หลิงหว่านไม่กล่าวอะไร เขาจึงยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย “หากไม่มีท่าน ย่อมไร้อาตมา บุญคุณดุจบิดามารดา อาตมาย่อมรู้สึกเคารพนอบน้อมต่อท่านเป็นที่สุด เหตุใดท่านจึงต้องหวาดกลัวอาตมาด้วยเล่า”

หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าท่านเจ้าอาวาสผู้นี้เป็นกระจกบานหนึ่งโดยแท้ สามารถมองทะลุปรุโปร่งถึงความคิดทุกอย่างในใจนางจนหมดสิ้น นางรู้สึกว่าตนเองยามอยู่ต่อหน้าเขาราวกับไม่ได้สวมอาภรณ์อย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกเช่นนี้นับว่าไม่สบายใจเท่าไรนักจริงๆ

ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือเหตุใดนางจึงรู้สึกว่าทุกคนที่อยู่รอบกายนางล้วนเป็นยอดคน มีเพียงนางคนเดียวที่เป็นคนโง่งม เหตุใดตอนแรกนางถึงต้องออกแบบให้ทุกคนฉลาดเฉลียวกันเช่นนี้ด้วยเล่า

นางนิ่งเงียบไม่เอ่ยอะไร

ในขณะที่ยังไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรดีนั้น การนิ่งเงียบย่อมเป็นวิธีที่ดีที่สุด อย่างน้อยการนิ่งเงียบเช่นนี้ก็ไม่ทำให้นางดูโง่เขลาเกินไปนัก กลับกันยังให้ความรู้สึกสุขุมลุ่มลึกกับผู้คนอยู่หลายส่วน

ท่านเจ้าอาวาสใช้สายตาสงบเยือกเย็นดุจผู้มองทะลุปรุโปร่งซึ่งทุกสรรพสิ่งในใต้หล้ามองนาง แต่จู่ๆ เขาก็ยิ้มแล้วหันหน้ามองไปยังอุโบสถแห่งหนึ่งด้านหลังหลี่หลิงหว่าน ก่อนจะเปิดปากเอ่ย “อมิตาภพุทธ! ในเมื่อประสกมาแล้ว เหตุใดจึงต้องหลบซ่อนตัวด้วย เชิญออกมาเถิด”

ประโยคนี้ของเขาบอกชัดเจนว่าที่อุโบสถด้านหลังมีคนอยู่

หลี่หลิงหว่านรู้สึกเย็นวาบเล็กน้อย นางรีบหันหน้าไปมอง

ที่ประดิษฐานอยู่ภายในอุโบสถแห่งนี้คือเจ้าแม่กวนอินผู้เมตตากรุณาช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก ในมือถือแจกัน สองข้างมีกุมารทองกุมารีหยก ภายในนั้นมีควันธูปลอยอ้อยอิ่ง ชามก้นลึกบนโต๊ะบูชาวางผลไม้สดใหม่อยู่จำนวนหนึ่ง

ทว่าต่อจากนั้นหลี่หลิงหว่านก็ได้เห็นคนเดินข้ามธรณีประตูมาอย่างช้าๆ เดินออกมานอกประตูอย่างไม่เร่งร้อน เขาสวมอาภรณ์หลันซัน สีฟ้านวล มีบุคลิกงามสง่า นั่นก็คือฉุนอวี๋ฉี

เป็นยอดคนผู้หนึ่งอีกแล้ว!

หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่ายามนี้ตนเองไร้หนทางรับมือโดยแท้

มารดาเถอะ ทั้งสองคนนี้ล้วนเป็นผู้มีสติปัญญาสูงส่งทั้งสิ้น สนทนากับพวกเขาทีข้าล้วนต้องครุ่นคิดอยู่ครึ่งค่อนวัน หวาดกลัวอย่างลึกซึ้งว่าหากพูดอะไรผิดขึ้นมาจะถูกพวกเขาจับสังเกตอะไรได้

ทว่าสำหรับประโยคสนทนาระหว่างนางกับท่านเจ้าอาวาสเมื่อครู่นี้ หลี่หลิงหว่านคิดดูแล้ว ต่อให้ฉุนอวี๋ฉีได้ยินทั้งหมด นางก็ไม่รู้สึกกลัวแต่อย่างใด

ประโยคปริศนาธรรมนั้น ก็ต้องดูว่าแต่ละคนจะตีความออกมาอย่างไร อีกทั้งนางรู้สึกว่าต่อให้ฉุนอวี๋ฉีฉลาดเฉลียวกว่านี้ เขาก็ไม่มีทางจะนึกไปได้ว่าโลกใบนี้เป็นแค่เพียงโลกมายาที่เกิดมาจากนิยายเรื่องหนึ่ง ส่วนนางก็คือผู้เขียนนิยายเรื่องนี้

นางย่อกายลงคารวะฉุนอวี๋ฉีอย่างใจเย็น “คุณชายฉุนอวี๋”

ฉุนอวี๋ฉีเองก็ประสานมือคารวะนางกลับ เผยรอยยิ้มมุมปากสง่างาม “คุณหนูหลี่ พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”

มุมปากหลี่หลิงหว่านกระตุก

เหตุใดทุกครั้งที่ได้พบกับเจ้า เจ้าต้องพูดคำว่า ‘อีกแล้ว’ ขึ้นมาด้วย เจ้าทำเช่นนี้ช่างชวนให้ข้านึกสงสัยจริงๆ ว่าพวกเราใช่บังเอิญพบกันจริงๆ หรือไม่

ฉุนอวี๋ฉีคารวะท่านเจ้าอาวาสด้วยเช่นกัน แล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านเจ้าอาวาสมานานแล้ว วันนี้ได้พบพานนับเป็นวาสนาจริงๆ ขอรับ”

หลี่หลิงหว่านมองฟ้าอย่างไร้วาจา

เกรงว่าประโยคสนทนาระหว่างนางกับท่านเจ้าอาวาสเมื่อครู่นี้จะถูกฉุนอวี๋ฉีได้ยินเข้าแล้วจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะฉลาดถึงขั้นไหน จะสามารถคาดเดาจากประโยคสนทนาระหว่างนางกับท่านเจ้าอาวาสได้มากน้อยเพียงใด

แต่นางก็ยังรู้สึกว่าฉุนอวี๋ฉีนั้นคาดเดาอะไรไม่ได้แน่

แม้แต่นางยังรู้สึกว่าเรื่องที่นางมาจากอีกโลกนั้นเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเลย สำหรับคนอื่นยิ่งไม่ต้องพูดถึงแล้ว

เหมือนว่าคนผู้หนึ่งอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ดีๆ แต่วันหนึ่งก็มีคนมาบอกเขาว่าความจริงแล้วทุกสิ่งที่เขาเห็นตรงหน้านั้นเป็นเพียงของปลอม ความจริงเขาไม่ใช่มนุษย์ เป็นแค่หูหลัวปอหัวหนึ่ง โลกที่เขาอาศัยอยู่ใบนี้ หรือแม้แต่อารมณ์ความรู้สึกทั้งหมดที่เขามีล้วนเป็นสิ่งที่เขาจินตนาการออกมาเองทั้งนั้น เช่นนั้นเขาจะต้องรู้สึกว่าอีกฝ่ายป่วย ทั้งไม่ใช่แค่ป่วยธรรมดา แต่ควรถูกส่งตัวไปรักษาเสีย

นอกจากนี้ระหว่างอัจฉริยะกับคนบ้ายังอยู่ห่างกันด้วยระยะห่างเพียงก้าวเดียวเสมอ

ยามนี้หลี่หลิงหว่านกำลังคิดอย่างเบื่อหน่ายว่าบางทีตอนนี้นางอาจกำลังฝันอยู่ ฝันว่าตนเองข้ามมิติมาอยู่ในนิยายที่ยังเขียนไม่จบเรื่องนี้ จากนั้นรอจนนางสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน นางก็จะเห็นว่าที่ใต้นิยายมีความเห็นเร่งให้ลงตอนใหม่จากนักอ่านจำนวนนับไม่ถ้วนอยู่

นางจะต้องจมจ่อมอยู่กับนิยายที่ตนเองเขียนเรื่องนี้มากเกินไปแล้วแน่ๆ

ปลายหางตาพลันเห็นหลี่เหวยหยวนเดินออกมาจากอุโบสถเล็กที่อยู่ไกลออกไปแห่งนั้น หลี่หลิงหว่านมองฉุนอวี๋ฉีคราหนึ่ง จากนั้นก็เลือกจะไปต้อนรับหลี่เหวยหยวน

เมื่อเทียบกันแล้วนางเชื่อใจหลี่เหวยหยวนมากกว่า ในเมื่อนางกับเขามีสายสัมพันธ์อยู่ด้วยกันมาหลายปีขนาดนี้ ในหลายปีที่ผ่านมาความดีที่หลี่เหวยหยวนมีต่อนางก็เป็นสิ่งที่นางสามารถสัมผัสได้ ดังนั้นต่อให้นางรู้ว่าสุดท้ายฉุนอวี๋ฉีจะเป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะไป แต่นางก็ไม่อยากทิ้งหลี่เหวยหยวนไปหาฉุนอวี๋ฉีอยู่ดี

“พี่ชาย” นางทนต่อแดดร้อนเดินไปรับหลี่เหวยหยวน “พี่จัดการธุระเสร็จแล้วหรือเจ้าคะ”

ทันทีที่หลี่เหวยหยวนออกจากประตูมาก็มองเห็นร่างของหลี่หลิงหว่านแล้ว ต่อจากนั้นก็มองเห็นร่างของบุรุษสองคนที่ยืนอยู่กับนางเช่นเดียวกัน ถึงเขาจะไม่รู้จักภิกษุรูปนั้น แต่อีกคนนั้นเขามองออกตั้งแต่แวบแรกแล้วว่าเป็นฉุนอวี๋ฉี

เหตุใดฉุนอวี๋ฉีจึงมาอยู่ที่นี่ ทั้งยังอยู่ด้วยกันกับหลี่หลิงหว่าน

หลี่เหวยหยวนรู้สึกตึงเครียดจึงรีบก้าวเข้าไปหาหลี่หลิงหว่าน แต่ตอนที่เดินไปได้ครึ่งทางนางก็เดินมาหาเขาแล้ว

ภายใต้ดวงอาทิตย์กลมโต ยามที่นางเงยหน้ามองมานั้น เขาก็สามารถมองเห็นเม็ดเหงื่อบนหน้าผากนางได้อย่างชัดเจน

เมื่อเห็นหลี่หลิงหว่านทิ้งฉุนอวี๋ฉีมาต้อนรับตนเองทันทีเช่นนี้ หลี่เหวยหยวนก็รู้สึกอารมณ์ดียิ่ง กลางหว่างคิ้วปรากฏความอ่อนโยนขึ้นมาไม่น้อย

“ทำไมไม่รอข้าอยู่ในที่ร่ม” เขาเอ่ยถามอย่างอบอุ่น ขณะเดียวกันก็ยื่นมือออกไปกุมมือซ้ายของนาง ก่อนจะจับจูงนางเดินไปที่ใต้ต้นอิ๋นซิ่งอย่างช้าๆ

ในการสอบเตี้ยนซื่อ ฮ่องเต้พระราชทานตำแหน่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งลำดับสองให้ฉุนอวี๋ฉี ตอนนี้อีกฝ่ายรับตำแหน่งอยู่ในสำนักราชบัณฑิตเช่นเดียวกันกับหลี่เหวยหยวน ทั้งสองคนถือเป็นเพื่อนร่วมงาน ดังนั้นต่อให้ในใจจะไม่ลงรอยกันมากเพียงใด แต่เมื่อได้พบกันย่อมยังต้องพูดคุยกันตามมารยาท

“ใต้เท้าฉุนอวี๋” หลี่เหวยหยวนประสานมือคารวะ เอ่ยทักทายเขาตามมารยาทอย่างห่างเหิน “วันนี้เป็นเทศกาลตวนอู่ ไม่นึกเลยว่าจะได้พบกับท่านที่วัดเฉิงเอินแห่งนี้ ใต้เท้าฉุนอวี๋เองก็มาจุดธูปไหว้พระเช่นกันหรือ”

ฉุนอวี๋ฉีไม่ได้ตอบกลับมา สายตาของเขามองไปยังหลี่หลิงหว่าน

วันนี้อากาศร้อน หลี่หลิงหว่านจึงสวมอาภรณ์อย่างเรียบง่าย เสื้อตัวสั้นสีชมพูอ่อนปักลายกิ่งท้อ กระโปรงหลัวฉวินสีขาว แต่สายคาดเอวสีแดงสดปักลายผีเสื้อสีทองกับดอกทับทิมสีแดงบนมวยผมนางดอกนั้นกลับสะดุดตาผู้คนได้ในชั่วพริบตา

ฉุนอวี๋ฉีเพิ่งพบว่าทุกครั้งที่เขาได้พบกับหลี่หลิงหว่าน ไม่รู้เป็นเพราะอะไรสายตาของเขาจึงเอาแต่รั้งอยู่บนร่างนางโดยไม่ละจากไปไหน ทว่าทุกครั้งนางล้วนแสดงออกว่าอาลัยอาวรณ์หลี่เหวยหยวนมากกว่าเล็กน้อยเสมอ

ดั่งเช่นในยามนี้ เมื่อหลี่หลิงหว่านเห็นหลี่เหวยหยวนออกมา ปฏิกิริยาแรกของนางคือการวิ่งไปหาเขา ต่อมายังได้เห็นหลี่เหวยหยวนปฏิบัติต่อนางอย่างใกล้ชิดสนิทสนม สายตาที่มองนางก็อ่อนโยนลุ่มหลง ต่อให้รู้อยู่แก่ใจว่าพวกเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แต่เมื่อเห็นพวกเขาสนิทสนมกันเช่นนี้ ในใจฉุนอวี๋ฉียังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง

หลี่เหวยหยวนย่อมมีความคิดความอ่านที่ลึกซึ้ง เขาสัมผัสได้ว่าสายตาที่ฉุนอวี๋ฉีมองหลี่หลิงหว่านมีความรู้สึกพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ ใบหน้าเขาพลันเคร่งขรึมลง พริบตาต่อมาก็ขยับตัวน้อยๆ มาบดบังที่เบื้องหน้าหลี่หลิงหว่าน บดบังสายตาของฉุนอวี๋ฉีในทันที ขณะเดียวกันยังยื่นมือออกไปจับมือหลี่หลิงหว่านราวกับต้องการประกาศสิทธิ์ในการครอบครองอย่างไรอย่างนั้น

ฉุนอวี๋ฉีเห็นเช่นนั้นดวงตาก็หรี่ลงน้อยๆ

ที่ผ่านมาความรู้สึกยามปกติที่ฉุนอวี๋ฉีมอบให้ผู้คนล้วนอบอุ่นอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ แต่ยามนี้เมื่อเขาหรี่ตาลง แววตากลับทอประกายเย็นชาออกมาเล็กน้อย

ทว่าขอแค่เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับหลี่หลิงหว่าน หลี่เหวยหยวนไม่เคยยอมถอยให้สักครึ่งก้าว ยามนั้นแววตาที่เขามองฉุนอวี๋ฉีเองก็เย็นชาเฉียบขาดขึ้นมาเช่นกัน

ผ่านไปครู่หนึ่ง สุดท้ายยังคงเป็นฉุนอวี๋ฉีที่สอดมือในแขนเสื้อ เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “ใช่แล้ว ผู้น้อยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของท่านเจ้าอาวาสมานาน วันนี้ตั้งใจมาขอคำชี้แนะ ไม่คิดว่าจะบังเอิญพบใต้เท้าหลี่กับคุณหนูหลี่ที่นี่ด้วย”

ยามนี้หลี่เหวยหยวนจึงได้รู้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ด้านข้างคือท่านเจ้าอาวาส

ตอนที่เขาเป็นเด็กเคยพบท่านเจ้าอาวาสมาก่อน ยามนั้นก็เป็นเพราะคำทำนายไม่กี่ประโยคของท่านเจ้าอาวาสที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกรังเกียจเขานับแต่นั้น และยังปล่อยให้ผู้คนในจวนสกุลหลี่ดูถูกเหยียบย่ำเขาเช่นนั้น

พูดได้ว่าความยากลำบากในหลายปีที่ผ่านมาของเขานั้น ท่านเจ้าอาวาสผู้นี้ก็เป็นคนที่ต้องรับผิดชอบเป็นส่วนมาก สายตาที่หลี่เหวยหยวนมองท่านเจ้าอาวาสจึงประสงค์ร้ายเป็นอย่างยิ่ง

ท่านเจ้าอาวาสสัมผัสความรู้สึกของหลี่เหวยหยวนได้เช่นกัน ทว่าฉากหน้ายังคงสงบเยือกเย็น สายตาของเขามองหลี่เหวยหยวน ฉุนอวี๋ฉี และหลี่หลิงหว่าน จากนั้นเขาก็ก้มหน้าหลุบตา สองมือประกบ ก่อนพึมพำนามพระพุทธองค์คำหนึ่ง

ชั่วขณะนั้นในใจหลี่หลิงหว่านรู้สึกตื่นเต้นมากจริงๆ นางเกรงว่าท่านเจ้าอาวาสจะเอ่ยคำพูดชี้นำอะไรออกมา หลี่เหวยหยวนกับฉุนอวี๋ฉีล้วนเป็นยอดคน หากให้ทั้งสองคนจับสังเกตอะไรขึ้นมาได้จริงๆ ล่ะก็ เช่นนั้นทุกคนย่อมมีปัญหาใหญ่แล้ว

โชคยังดีที่หลังจากท่านเจ้าอาวาสพึมพำนามพระพุทธองค์ออกมาคำหนึ่งแล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก เพียงแค่กล่าวลาพวกเขาทั้งสามคนอย่างมีมารยาท จากนั้นจึงกลับตัวเดินจากไป

หลี่หลิงหว่านมองส่งท่านเจ้าอาวาสเดินจากไปไกล หัวใจที่เอาแต่กระวนกระวายมาโดยตลอดพลันสงบลงได้บ้างในที่สุด

และอย่างรวดเร็ว หัวใจที่เพิ่งสงบลงได้ก็กระดอนขึ้นสูงอีกครั้ง เพราะนางได้ยินฉุนอวี๋ฉีเอ่ยถามนางว่า “คุณหนูหลี่เคยพบท่านเจ้าอาวาสมาก่อนหรือ”

หลี่หลิงหว่านรู้ว่าเป็นเพราะเมื่อครู่เขาได้ยินบทสนทนาระหว่างนางกับท่านเจ้าอาวาส ในใจเกิดความสงสัยจึงได้ถามประโยคนี้ออกมา

ความจริงหากไม่มีหลี่เหวยหยวนอยู่ข้างกายเช่นนี้ นางคงสามารถกล่าวโป้ปดออกไปได้เลย บอกว่าตนเองเคยรู้จักท่านเจ้าอาวาสมาก่อน ประโยคสนทนาระหว่างทั้งสองคนเมื่อครู่นี้คงมีแต่จะทำให้ฉุนอวี๋ฉีรู้สึกว่านางเคยมีบุญคุณต่อท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าอาวาสจึงได้เอ่ยคำพูดอย่าง ‘บุญคุณดุจบิดามารดา’ ออกมา แต่ยามนี้มีหลี่เหวยหยวนอยู่ข้างกาย…

หลี่หลิงหว่านรู้สึกอยากกุมขมับจริงๆ ตบตาคนนี้ไปได้ กลับตบตาอีกคนไม่รอด หรือตบตาคนนั้นไปได้ ก็ย่อมตบตาอีกคนไม่รอดเช่นเดียวกัน

สุดท้ายนางทำได้เพียงตอบกลับอย่างสัตย์ซื่อ “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ยังดีที่จากนั้นนางยังเอ่ยต่ออย่างมีไหวพริบว่า “เพียงแต่ดูเหมือนว่าท่านเจ้าอาวาสผู้นี้จะจำคนผิดเสียแล้วเจ้าค่ะ เขาถึงกับคิดว่าข้ามีบุญคุณต่อเขา”

ฉุนอวี๋ฉีไม่ได้กล่าววาจา สายตาที่มองนางยังแฝงแววครุ่นคิด

ท่านเจ้าอาวาสเป็นภิกษุชั้นสูง กระทั่งฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยามได้พบเขายังต้องเคารพนอบน้อม แต่เมื่อครู่ท่านเจ้าอาวาสอยู่ต่อหน้าหลี่หลิงหว่านกลับเรียกขานนางทุกคำว่า ‘ท่าน’ และเรียกตนเองอย่างถ่อมตนว่า ‘อาตมา’ เมื่อคิดถึงประโยคสนทนาระหว่างพวกเขาเมื่อครู่นี้อย่างละเอียด ฉุนอวี๋ฉีก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าล้วนเต็มไปด้วยหมอกหนาทึบ

หรือจะเป็นเช่นที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยจริงๆ ก่อนหน้านี้นางไม่เคยรู้จักท่านเจ้าอาวาสมาก่อน และท่านเจ้าอาวาสก็แค่เข้าใจผิดคิดว่านางเป็นบุคคลที่เคยมีบุญคุณต่อเขาเท่านั้น ทว่าเมื่อครู่นางได้เอ่ยถามออกมาประโยคหนึ่งว่าอีกฝ่ายคือท่านเจ้าอาวาสใช่หรือไม่ หากนางไม่เคยพบท่านเจ้าอาวาสมาก่อนจริงๆ เหตุใดเมื่อครู่นางจึงได้เอ่ยปากถามเช่นนั้น หรือในใจนางรู้แต่แรกแล้วว่าท่านเจ้าอาวาสมีหน้าตาเช่นนี้อยู่ก่อน เมื่อครู่นางจึงจดจำได้ในทันทีที่พบ

ฉุนอวี๋ฉีครุ่นคิดจนในตอนท้ายคิ้วเรียวยาวขมวดเข้าหากัน เขารู้สึกเหมือนยืนอยู่ท่ามกลางหมอกควัน ในสมองมีความคิดมากมายนับไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าความคิดไหนก็ล้วนไม่เข้าท่า ไม่ว่าเขาจะคาดเดาอย่างไรหรือหาคำชี้แจงอย่างไรก็ล้วนมีจุดที่ไม่กระจ่าง

เมื่อหลี่เหวยหยวนได้ยินบทสนทนาระหว่างฉุนอวี๋ฉีกับหลี่หลิงหว่านแล้ว ทั้งยังมองเห็นท่าทางขมวดคิ้วไม่กระจ่างของฉุนอวี๋ฉี เขาก็รับรู้ว่าเมื่อครู่ระหว่างหลี่หลิงหว่านกับท่านเจ้าอาวาสจะต้องเอ่ยวาจาบางอย่างที่ทำให้ฉุนอวี๋ฉีสงสัยขึ้นมาแล้วแน่นอน

ผู้คนต่างพูดว่าท่านเจ้าอาวาสรับรู้เรื่องในอดีตและอนาคต และที่หลี่หลิงหว่านรู้ก็ย่อมไม่น้อยไปกว่าที่ท่านเจ้าอาวาสรู้แน่นอน ขณะที่นางกับท่านเจ้าอาวาสอยู่ด้วยกัน วาจาที่เอ่ยออกมาจะต้องมีข้อความชี้นำบางอย่างเป็นแน่ ฉุนอวี๋ฉีซึ่งเป็นคนที่ฉลาดเฉลียวมากคนหนึ่ง ต่อให้ได้ฟังเพียงครึ่งๆ กลางๆ ก็สามารถเกิดความสงสัยได้แล้ว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็คงไม่มีทางนึกถึงตัวตนของหลี่หลิงหว่านได้แน่ การที่ฉุนอวี๋ฉียากจะเข้าใจเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ปกติยิ่งนัก

หลี่เหวยหยวนไม่กังวลว่าฉุนอวี๋ฉีจะมองทะลุปรุโปร่งเรื่องหลี่หลิงหว่านเลยสักนิด ในเมื่อต่อให้ฉุนอวี๋ฉีฉลาดยิ่งกว่านี้ แต่หากไม่ได้ทำความรู้จักกับหลี่หลิงหว่านอย่างลึกซึ้ง เรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างนั้นไม่ว่าอย่างไรฉุนอวี๋ฉีก็คาดเดาไม่ได้แน่

เพียงแต่… หลี่เหวยหยวนหยักยกมุมปากน้อยๆ ก่อนจะมองหลี่หลิงหว่านอย่างจนใจคราหนึ่งพลางคิดว่า หว่านวานของข้าช่างโง่งมเสียจริง เผชิญหน้ากับท่านเจ้าอาวาสและฉุนอวี๋ฉีเช่นนี้ ย่อมต้องถูกพวกเขาเอ่ยวาจาล่อหลอกได้อย่างง่ายดาย

แต่เขากลับนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ หัวใจพลันกระตุก สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย สายตาที่มองหลี่หลิงหว่านก็ค่อยๆ ลุ่มลึกยิ่งขึ้น

หากเป็นเช่นที่ผู้อื่นเอ่ย ท่านเจ้าอาวาสสามารถรับรู้เรื่องราวในอดีตและอนาคตได้จริงๆ อีกทั้งเมื่อครู่มองดูสถานการณ์แล้วท่านเจ้าอาวาสจะต้องเป็นผู้ที่เข้ามาเอ่ยสนทนากับหลี่หลิงหว่านก่อน ท่านเจ้าอาวาสเป็นภิกษุชั้นสูง จะต้องไม่ถูกรูปโฉมของหลี่หลิงหว่านดึงดูดจนเดินมาสนทนากับนางอย่างแน่นอน เช่นนั้นมิใช่เป็นการบอกว่าท่านเจ้าอาวาสรู้ถึงที่มาของหลี่หลิงหว่าน ดังนั้นถึงได้เดินมาสนทนา ถึงขั้นเอ่ยปากถามนางหรือ

คิดมาถึงตรงนี้หลี่เหวยหยวนรู้สึกว่าหัวใจในอกตนเองกำลังเต้นกระหน่ำขึ้นมาอย่างสับสน

ความจริงหลายปีมานี้บางครั้งเขาเองก็สงสัยว่าหลี่หลิงหว่านมีความเป็นมาเช่นไรกันแน่ เหตุใดนางจึงรับรู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้ กระทั่งรู้ถึงจุดจบของแต่ละคน ยามนี้ไม่นึกเลยว่าจะมีผู้ที่รู้ถึงความเป็นมาของหลี่หลิงหว่าน เป็นคนผู้หนึ่งที่เขาสามารถเอื้อมมือไปถึงได้…

มือที่กุมมือหลี่หลิงหว่านพลันบีบแน่น ชั่วขณะนั้นเขามีความคิดหุนหันอยากตามท่านเจ้าอาวาสไปอย่างยิ่ง ต่อให้ท่านเจ้าอาวาสไม่เต็มใจบอก เขาก็จะหาวิธีไล่ต้อนจนกว่าจะซักถามออกมาได้

หลี่หลิงหว่านยังไม่รู้ตัวว่า ‘สถานะจอมปลอม’ ของตนเองกำลังจะรักษาเอาไว้ไม่อยู่แล้ว จู่ๆ ถูกหลี่เหวยหยวนออกแรงบีบมือจนเจ็บขึ้นมา นางจึงรีบเปิดปากเรียกเขา “พี่ชาย”

หลี่เหวยหยวนจึงได้สติกลับมา เขาหันหน้ามามองนาง

เป็นเพราะอากาศร้อน สองแก้มของเด็กสาวจึงแดงระเรื่อ ขณะที่คิ้วงามกลับกำลังขมวดแน่น ทั้งยังกัดริมฝีปากล่าง ท่าทางราวกับกำลังข่มกลั้นต่อความเจ็บปวด

หลี่เหวยหยวนสะดุ้งตกใจ รีบร้อนเอ่ยถาม “หว่านวาน เจ้าเป็นอะไรไป”

เป็นเพราะฉุนอวี๋ฉียังอยู่ใกล้ๆ หลี่หลิงหว่านจึงไม่เอ่ยอะไร นางเพียงแค่เขย่ามือของหลี่เหวยหยวนที่กุมมือนางอยู่

หลี่เหวยหยวนเข้าใจในพริบตา เขารีบคลายมือออก ทั้งยังยกมือนางขึ้นมาดูอย่างละเอียดพร้อมถาม “หว่านวาน เจ็บหรือไม่”

หลี่หลิงหว่านไม่ได้เอ่ยอะไร แต่กลับดึงมือตนเองออกมาจากฝ่ามือของเขาแล้วนำไปซ่อนไว้ด้านหลัง

ฉุนอวี๋ฉียังยืนอยู่ตรงนั้นอยู่เลยนะ

ทว่าฉุนอวี๋ฉีได้เห็นภาพทั้งหมดนี้แล้ว ในใจเขาพลันเกิดความคิดที่กระทั่งตัวเขาเองยังไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา

ความใส่ใจและความปรารถนาอยากครอบครองที่หลี่เหวยหยวนมีต่อหลี่หลิงหว่านนั้นเกินขอบเขตที่ลูกพี่ลูกน้องชายมีต่อลูกพี่ลูกน้องหญิงไปนานแล้ว พวกเขาสองคนเป็นลูกพี่ลูกน้องกันจริงๆ หรือ แต่ดูจากท่าทีที่หลี่หลิงหว่านมีต่อหลี่เหวยหยวนแล้ว แม้จะมีท่าทีดูพึ่งพิง ทว่าบางครั้งก็มีความหวาดกลัวด้วยเช่นกัน ระหว่างพวกเขาทั้งสองคนที่สุดแล้วเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ฉุนอวี๋ฉีรู้สึกว่าตนเองคิดมากเกินไปแล้วจริงๆ หรือหลังจากที่เขากลับไปแล้วควรสั่งให้คนไปตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดของหลี่เหวยหยวนกับหลี่หลิงหว่านดีๆ สักหน กระนั้นสายตาที่ฉุนอวี๋ฉีมองไปยังหลี่เหวยหยวนกับหลี่หลิงหว่านกลับแฝงไปด้วยความสนใจตามเดิม

หลี่เหวยหยวนย่อมไม่พอใจที่ได้เห็นฉุนอวี๋ฉีใช้สายตาสนใจเช่นนี้มองหลี่หลิงหว่าน เขาจึงเปิดปากกล่าวลาฉุนอวี๋ฉีอย่างมีมารยาท “ทุกคนในครอบครัวกำลังรอข้ากับน้องสาวกลับไปที่เรือนพักด้านหลัง ต้องขอตัวก่อนแล้ว วันหน้าค่อยพบกันใหม่”

ฉุนอวี๋ฉีผงกศีรษะให้เขา สีหน้ากลับมาเปี่ยมด้วยความสง่างามเฉกเช่นยามปกติอีกครั้ง “ใต้เท้าหลี่ คุณหนูหลี่ ไว้พบกันใหม่”

จากนั้นเขาก็มองส่งแผ่นหลังของหลี่เหวยหยวนกับหลี่หลิงหว่านไปจนลับสายตา

ฉุนอวี๋ฉีมองออกว่าหลี่เหวยหยวนยังคงเป็นห่วงเรื่องที่มือของหลี่หลิงหว่านถูกเขาทำให้บาดเจ็บหรือไม่ ดังนั้นขณะที่เขาเดินไปจึงคว้ามือของนางขึ้นมาสำรวจอย่างละเอียด จากนั้นไม่รู้ว่าพวกเขาเอ่ยถึงอะไรกัน จึงได้เห็นหลี่หลิงหว่านหันหน้ามายิ้มสดใสให้เขา ส่วนหลี่เหวยหยวนก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะนางเบาๆ

ความรู้สึกไม่สบายใจผุดขึ้นมาอีกครั้ง สีหน้าฉุนอวี๋ฉีค่อยๆ เคร่งขรึมลง

ฉางชิงผู้ติดตามข้างกายที่คอยยืนอยู่ข้างหลังฉุนอวี๋ฉีมาตลอดยามนี้ได้เดินขึ้นมาข้างหน้าแล้วเอ่ยถามอย่างนอบน้อม “ซื่อจื่อ ยามนี้พวกเราจะกลับกันเลยหรือไม่”

วันนี้ตอนเช้าฉุนอวี๋ฉีเอ่ยขึ้นมาว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนได้ยินคนพูดว่าที่วัดเฉิงเอินมีต้นพุดซ้อนออกดอกอย่างงดงามอยู่หลายต้น จึงอยากมาชื่นชมดูสักหน ส่วนเรื่องเกี่ยวกับพระพุทธองค์ ฉุนอวี๋ฉีไม่ได้ศรัทธาสักเท่าไรนัก ดังนั้นหลังจากที่ชื่นชมดอกพุดซ้อนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเดินสำรวจอยู่ในอุโบสถต่างๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ได้มีเจตนาจะคุกเข่าโขกศีรษะให้แก่พระโพธิสัตว์องค์ใดทั้งนั้น แต่เมื่อครู่จู่ๆ เขาก็ได้เห็นหลี่หลิงหว่านอยู่ด้านนอกอุโบสถ ยามนั้นฉุนอวี๋ฉีก็อยากจะออกไปสนทนากับหลี่หลิงหว่านตั้งแต่แรกแล้ว คิดไม่ถึงว่าท่านเจ้าอาวาสจะเข้ามาพูดคุยกับหลี่หลิงหว่านเสียก่อน

อย่างไรยามนี้ก็ได้ชมดอกพุดซ้อนแล้ว หลี่หลิงหว่านก็ไปแล้ว ฉางชิงคิดว่าซื่อจื่อเองก็ควรจะกลับได้แล้วเช่นกัน

คิดไม่ถึงว่าฉุนอวี๋ฉีกลับสอดมืออยู่ในแขนเสื้อ สายตาทอดมองไปยังทิศที่หลี่เหวยหยวนกับหลี่หลิงหว่านเดินไปโดยไม่เอ่ยอะไร

ขณะที่ฉางชิงคิดอยากถามขึ้นมาอีกหน เขาก็ได้ยินเสียงเนิบช้าของฉุนอวี๋ฉีดังขึ้นมากะทันหัน “ไม่ พวกเราจะยังไม่กลับไปตอนนี้” ชะงักไปเล็กน้อยก่อนเอ่ยสั่งเขา “เจ้าไปตามหาภิกษุในวัด บอกเขาว่าต้องการเรือนพัก คืนนี้ข้าจะพักผ่อนอยู่ในวัดเฉิงเอินแห่งนี้”

ดูจากท่าทางของหลี่เหวยหยวนและหลี่หลิงหว่านแล้ว วันนี้สกุลหลี่ของพวกเขาน่าจะออกมาจุดธูปไหว้พระด้วยกันทั้งหมด แต่วันนี้อากาศร้อน พวกเขายังไม่น่าจะจากไปในทันที เกรงว่าจะค้างคืนอยู่ที่วัดเฉิงเอินแห่งนี้คืนหนึ่งเสียมากกว่า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาเองก็จะรั้งอยู่ด้วย บางทีอาจมีโอกาสได้พบกับหลี่หลิงหว่านอีกครั้งก็ได้

บทที่สิบ

 หลังหลี่เหวยหยวนกับหลี่หลิงหว่านกลับไปที่เรือนพักด้านหลังแล้วก็แยกย้ายกันเข้าห้องไปพักผ่อน จวบจนช่วงใกล้พลบค่ำ อากาศร้อนน้อยลง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงส่งสาวใช้มาตามพวกเขา บอกให้รวมตัวกันไปไหว้พระยังอุโบสถใหญ่ด้วยกัน

เดิมทีหลี่เหวยหยวนที่อยู่ในเรือนพักก็รู้สึกจิตใจไม่สงบมาโดยตลอด เอาแต่คิดว่าที่สุดแล้วควรไปหาท่านเจ้าอาวาสแล้วสอบถามความเป็นมาของหลี่หลิงหว่านดีหรือไม่ แต่ในชั่วขณะนั้นเมื่อเขาได้เห็นหลี่หลิงหว่านกำลังเดินพูดคุยหัวเราะกับหลี่หลิงเจียว หางตาปลายคิ้วล้วนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขาพลันรู้สึกว่านางมีที่มาอย่างไรกันแน่นั้นมีอะไรสำคัญกันเล่า

ไม่ว่าในอดีตนางจะเป็นใครล้วนไม่สำคัญ ขอเพียงในตอนนี้และในวันข้างหน้านางล้วนอยู่เคียงข้างเขาเช่นนี้ เท่านั้นก็เพียงพอแล้ว เหตุใดยังจะต้องไปสนใจว่านางมีความเป็นมาอย่างไรด้วย

เขาผงกศีรษะส่งยิ้มให้หลี่หลิงหว่าน ก่อนจะเดินตามหลี่ซิวป๋อกับคนอื่นๆ เข้าไปยังอุโบสถใหญ่

หลี่หลิงเจียวมองเห็นแล้วจึงเบ้ปากใส่หลี่หลิงหว่าน “พี่ใหญ่เป็นคนที่ไม่ว่ากับผู้ใดก็ล้วนเย็นชาด้วย มีเพียงกับเจ้าเท่านั้นที่นับว่าใส่ใจยิ่งนัก”

เป็นเพราะหลี่หลิงเยี่ยน หลายวันมานี้ท่าทีที่หลี่หลิงเจียวมีต่อหลี่หลิงหว่านจึงเปลี่ยนไปอย่างมาก พูดไปแล้วหลี่หลิงเจียวก็แค่เป็นคนที่อาจจะดูเย่อหยิ่งจองหองไปบ้างเท่านั้น ความจริงเนื้อแท้ของนางก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น

หลี่หลิงหว่านได้ฟังแล้วก็เม้มปากยิ้มก่อนเอ่ย “ความจริงหากเจ้าได้ทำความรู้จักพี่ใหญ่ไปนานๆ ก็จะรู้เองว่าเขาเป็นคนที่ดีมากคนหนึ่ง ไม่ได้เย็นชาเหมือนที่เจ้าคิดไว้”

“ช่างเถอะ” หลี่หลิงเจียวส่ายศีรษะ “พี่ใหญ่ดูเป็นคนเย็นชาจริงๆ ข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้เขาหรอก กลัวว่ายังไม่ทันจะเข้าใกล้ก็ถูกเขาแช่แข็งตายเสียก่อนมากกว่า”

พูดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงเจียวก็ยื่นศอกไปกระทุ้งหลี่หลิงหว่าน กระตุ้นให้นางมองไปยังหลี่หลิงเยี่ยนที่อยู่ข้างหน้าซึ่งกำลังคล้องแขนและพูดจาสนิทสนมกับหลี่หลิงเจวียน ก่อนเอ่ยอย่างลึกลับ “ก่อนหน้านี้ในสวนดอกไม้ ข้าเห็นนางกำลังเอ่ยสนทนากับพี่ใหญ่ ในมือยังถือปลอกพัดอยู่อันหนึ่ง บอกว่านี่เป็นของที่นางปักด้วยตนเอง อยากจะมอบให้พี่ใหญ่เป็นการแสดงความยินดีที่พี่ใหญ่สอบได้เป็นซานหยวนจี๋ตี้ แต่พี่ใหญ่ไม่แม้แต่จะสนใจนางเลย เขาเดินจากไปทันที เจ้าไม่เห็นว่ายามนั้นนางยืนอยู่ที่เดิม ใบหน้าเปลี่ยนสีอยู่สักพัก สุดท้ายก็หมุนตัวเดินกลับไปอย่างกรุ่นโกรธ จากนั้นเจ้าลองเดาดูสิว่าเกิดอะไรขึ้น

ผ่านไปอีกสองวัน ไม่นึกเลยว่าข้าจะได้เห็นปลอกพัดอันนั้นอยู่กับพี่รอง คงมิใช่ว่านางปักปลอกพัดที่เหมือนกันสองอัน อยากจะมอบให้พี่ใหญ่กับพี่รองคนละอันหรอกนะ จะต้องเป็นเพราะนางเห็นว่าตอนนี้พี่ใหญ่ได้เข้าไปอยู่ในสำนักราชบัณฑิต อนาคตรุ่งโรจน์ ดังนั้นจึงอยากประจบพี่ใหญ่ แต่พี่ใหญ่ไม่คล้อยตาม นางเลยลอยไปตามน้ำ เปลี่ยนไปมอบปลอกพัดอันนั้นให้พี่รองแทน พี่รองผู้น่าสงสารต้องมารับของที่ผู้อื่นเขาไม่เอา แล้วยังหลงคิดว่าในใจน้องสามของเขามีพี่ชายผู้นี้อยู่อีกด้วย ข้ารู้สึกขัดตานางที่เป็นเช่นนั้น วันถัดมาข้าจึงไปหาพี่รอง บอกเรื่องราวเหล่านี้กับเขา พี่รองยังไม่เชื่อ บอกว่าข้าเห็นนางทำดีต่อเขาไม่ได้ ยามนั้นทำเอาข้าโกรธไม่น้อยเลย ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่สนใจพี่รองอีกต่อไปแล้ว ข้าจะรอดูว่าน้องสามผู้แสนดีของเขาจะดีกับเขาเช่นนี้ไปได้ตลอดหรือไม่”

หลี่หลิงหว่านไม่รู้แม้แต่น้อยว่ายังมีเรื่องราวเช่นนี้เกิดขึ้นด้วย ยามที่ได้ยินหลี่หลิงเจียวเอ่ยขึ้นนางจึงรู้สึกแปลกใจไม่น้อย แม้นางจะรู้สึกไม่ชอบหลี่หลิงเยี่ยน เพราะหากพูดไปแล้วนางกับหลี่หลิงเยี่ยนก็อยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ขอเพียงในใจฮูหยินผู้เฒ่ากับหลี่ซิวป๋อยังมีความคิดที่จะอุ้มชูซุนหลันอีขึ้นเป็นภรรยาเอก หลี่หลิงเยี่ยนกับซุนหลันอีย่อมต้องเป็นศัตรูของนางกับโจวซื่อ ทว่าหากพูดตามความจริง นับตั้งแต่หลี่หลิงเยี่ยนกลับจวนสกุลหลี่มาเมื่อปลายปีก่อน อีกฝ่ายก็มักจะมานั่งเล่นอยู่กับนาง มอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้นางอยู่บ่อยครั้ง ในน้ำเสียงยามที่พูดกับนางเต็มไปด้วยความใส่ใจมากเพียงใดไม่พูดถึง แต่ทุกครั้งที่ได้พบหน้ากัน หลี่หลิงเยี่ยนก็จะเข้ามาจับแขนนาง เอ่ยกับนางอย่างสนิทสนม แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าหลี่หลิงเยี่ยนเป็นคนฉลาดยิ่ง ความปรารถนาดีเหล่านี้ที่อีกฝ่ายปฏิบัติต่อนางก็เป็นเพียงการแสดงออกในฉากหน้าเท่านั้น กระนั้นหลี่หลิงหว่านก็ยังคงคาดไม่ถึงว่าหลี่หลิงเยี่ยนจะทำเรื่องเช่นนี้ออกมา

“พี่ใหญ่ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับข้ามาก่อน” หลี่หลิงหว่านเอ่ยเสียงเบา “แต่ว่าน้องหก เรื่องเช่นนี้เจ้าไปบอกพี่รองตรงๆ พี่รองย่อมไม่มีทางเชื่ออยู่แล้ว”

ผู้ใดจะเชื่อกัน ในเมื่อไม่ว่าอย่างไรใบหน้าของหลี่หลิงเยี่ยนก็ดูเป็นคนที่กระทำต่อทุกคนอย่างจริงใจเช่นนั้น

หลี่หลิงเจียวเบ้ปากอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ว่าเขาจะเชื่อหรือไม่ แต่ข้าตาสว่างแล้ว จะรอดูว่าน้องสามผู้แสนดีในใจเขาวันหน้าจะกลายเป็นเช่นไร”

จะกลายเป็นเช่นไรอย่างนั้นหรือ หลี่หลิงเยี่ยนเป็นคนมีชะตาหงส์ วันหน้าก็จะได้กลายเป็นฮองเฮา เป็นมารดาของแผ่นดินน่ะสิ

คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลี่หลิงเจียว “ช่างเถอะ น้องหก ต่อให้ในใจเจ้าจะไม่ชอบพี่สามเพียงใด แต่ฉากหน้าอย่างน้อยก็ต้องประคับประคองให้ผ่านไปให้จงได้ อย่าให้ในใจนางรู้สึกเกลียดชังเจ้าขึ้นมาเลย”

ในนิยายช่วงแรกหลี่หลิงหว่านวางให้หลี่หลิงเยี่ยนเป็นเหมือนกับดอกชาเขียวดอกหนึ่งที่ภายนอกดูบริสุทธิ์วางตัวดี แต่ยามที่ลงมือทุกครั้งล้วนมีเป้าหมายชัดเจน รู้จักแก่งแย่ง ทั้งยังรู้จักพูด คนที่อยู่รอบกายนางไม่มีผู้ใดไม่รู้สึกว่าสบายใจ ทว่าช่วงหลังหลี่หลิงเยี่ยนก็จะเปลี่ยนไปสู่ด้านมืดบ้างแล้ว รู้จักใช้หลี่เหวยหยวน ฉุนอวี๋ฉี เหลียงเฟิงอวี่ และคนอื่นๆ ไปกำจัดอุปสรรคที่กำลังขวางทางนางได้อย่างแนบเนียน ดังนั้นจุดจบของการล่วงเกินหลี่หลิงเยี่ยนจึงไม่ดีนัก หลี่หลิงหว่านในนิยายเดิมก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง

ส่วนหลี่หลิงเจียวในนิยายนั้น นางกับหลี่หลิงหว่านเป็นพี่น้องที่ร่วมมือกันทำเรื่องชั่ว มีหน้าที่หาเรื่องหลี่หลิงเยี่ยนตอนที่อีกฝ่ายยังอยู่ในจวนสกุลหลี่โดยเฉพาะ แน่นอนว่าสุดท้ายจุดจบของหลี่หลิงเจียวย่อมไม่ดีนัก ทว่ากลับไม่ได้ตาย หลี่หลิงเยี่ยนใช้ลูกไม้เล็กน้อยให้หลี่หลิงเจียวได้แต่งกับสามีที่นิสัยไม่ดี ทำให้นางต้องได้รับความทรมานไปทั้งชีวิต

ยามนี้หลี่หลิงหว่านได้ยินหลี่หลิงเจียวเอ่ยถึงหลี่หลิงเยี่ยนเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกสลับซับซ้อนอยู่บ้าง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ควรพยายามไม่สร้างความแค้นกับหลี่หลิงเยี่ยนจึงจะดีที่สุด อย่างน้อยฉากหน้าก็ต้องประคับประคองไปให้รอด แม้หลี่หลิงเยี่ยนจะน่ากลัว แต่ตำหนักในของนางน่ากลัวกว่า คนในตำหนักในของนางเหล่านั้นไม่ว่าเป็นผู้ใด เพียงลงมือแค่เล็กน้อยก็เพียงพอที่จะทำให้ตนเองกับหลี่หลิงเจียวไม่อาจยืนหยัดต่อไปได้แล้ว

แต่หลี่หลิงเจียวไม่รู้เรื่องพวกนี้ นางยังคงเอ่ยต่ออย่างสะใจ “ฮ่าๆ ข้ากลัวนางแค้นข้า? นางก็แค่ลูกอนุคนหนึ่งเท่านั้น นางจะสูงส่งไปกว่าบุตรภรรยาเอกเช่นข้าได้หรือ”

หลี่หลิงหว่านถอนหายใจโดยไม่กล่าวอะไรอีก

หลี่หลิงเจียวช่างหาเรื่องตายโดยไม่รู้ตัวจริงๆ

หลังจากที่เอ่ยสนทนาเสียงเบาตลอดเส้นทาง พวกนางก็มาถึงอุโบสถใหญ่แล้ว

 

แม้จะใกล้พลบค่ำ ท้องฟ้าเริ่มมืดมิด แต่ในอุโบสถใหญ่ยังคงจุดเทียนส่องสว่างไปทั่วราวกับเป็นยามกลางวัน ทั้งยังมีภิกษุกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง หลับตาท่องบท ‘ปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร’ ที่หน้าสุดยังมีภิกษุอีกรูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะรอง มือหนึ่งถือลูกประคำ ขณะที่ท่องบทสวดก็ขยับนิ้วเลื่อนลูกประคำในมือตนเองตามจังหวะอย่างช้าๆ ไปด้วย

ภิกษุผู้นี้ก็คือท่านเจ้าอาวาส เขาไม่ได้แต่งกายเช่นภิกษุพเนจรที่สวมชุดจื๋อตัวสีน้ำตาลแดงเก่าขาด สวมงอบบนศีรษะ มือถือกระบองไม้ เท้าใส่รองเท้าสานเหมือนกับที่หลี่หลิงหว่านได้เห็นยามกลางวันอีกแล้ว หากแต่ห่มจีวรครบชุด ใบหน้าสงบนิ่งเปี่ยมด้วยเมตตาอารีดั่งภิกษุชั้นสูง

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าคาดไม่ถึงว่าจะได้มาพบท่านเจ้าอาวาสในอุโบสถใหญ่แห่งนี้ นางจึงรีบร้อนให้ซวงหงประคองตนเดินขึ้นหน้าไป ก่อนจะค้อมกายลงคารวะท่านเจ้าอาวาสพร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อม “คารวะท่านเจ้าอาวาสเจ้าค่ะ”

ท่านเจ้าอาวาสลืมตาขึ้น บนใบหน้าแฝงรอยยิ้ม ผงกศีรษะให้นาง หลังจากทักทายกันแล้วเขาก็หลับตาลงอีกครั้งพลางเลื่อนลูกประคำในมือตนเองอย่างช้าๆ พร้อมกับท่องบทสวด

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กล้ารบกวนเขาทำวัตรเย็น จึงนำทุกคนในครอบครัวเดินไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ ภายในอุโบสถใหญ่ก่อน

ภาพกลุ่มภิกษุที่กำลังท่องบทสวดมนต์ช่างจริงจังเปี่ยมด้วยความขลังจริงๆ ต่อให้ครั้งก่อนที่มาวัดเฉิงเอินหลี่หลิงหว่านจะไม่ได้กราบไหว้พระโพธิสัตว์จริงจังอะไร แต่ยามนี้นางก็คุกเข่าก้มกราบพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ในอุโบสถใหญ่แห่งนี้อย่างอดไม่ได้

รอจนหลี่หลิงหว่านลุกขึ้นหลังกราบไหว้พระโพธิสัตว์องค์สุดท้ายในอุโบสถใหญ่แล้ว นางก็มองเห็นฉุนอวี๋ฉี ไม่รู้ว่าเขาเข้ามาอยู่ในอุโบสถตั้งแต่ยามใด สองมือสอดอยู่ในแขนเสื้อ ยืนอยู่ข้างบานประตูสีแดงชาด

เบื้องหลังเขาคือผืนฟ้ายามพลบค่ำ สายลมกลางคืนของฤดูร้อนพัดผ่าน ทำให้เปลวเทียนภายในอุโบสถวูบไหวไปมา และโบกสะบัดชายเสื้อสีฟ้านวลของเขา

“คิดไม่ถึงว่าใต้เท้าหลี่เองก็ศรัทธาในพระพุทธองค์เช่นกัน” แม้บนใบหน้าของฉุนอวี๋ฉีจะประดับด้วยรอยยิ้ม ทว่าน้ำเสียงกลับเอ่ยคล้ายไม่ใส่ใจ

หลี่เหวยหยวนกำลังจะกราบไหว้พระเมตไตรยโพธิสัตว์ที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินก็ทำราวกับไม่รู้สึกว่าถูกรบกวนอย่างไรอย่างนั้น เขายังคงสะบัดชายเสื้อคุกเข่าลงบนเบาะรอง รอจนโขกศีรษะอย่างนอบน้อมไปสามครั้งแล้วถึงได้ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะบูชาที่ทำจากไม้พะยูงหอมเบื้องหน้า

“เมื่อหัวใจมีความปรารถนา ย่อมมีคำอธิษฐาน” หลี่เหวยหยวนหยิบธูปเส้นสามดอกขึ้นมาจากกระบอกธูป แล้วเคลื่อนเข้าใกล้ตะเกียงแก้วบนโต๊ะบูชาด้านหน้าพระโพธิสัตว์เพื่อจุดไฟ พร้อมเอ่ยอย่างราบเรียบ “ไม่เหมือนใต้เท้าฉุนอวี๋ หัวใจไร้ความปรารถนา ย่อมไม่เชื่อว่าใต้หล้านี้มีเทพเซียนอยู่”

“ใต้เท้าหลี่รู้จักประโยคหนึ่งหรือไม่ ‘ขอร้องผู้อื่นมิสู้ลงมือทำเอง’ ”

“ใต้หล้านี้มีเรื่องที่ช่วยไม่ได้อยู่มากมาย ใช่ว่าแค่ลงมือทำเองแล้วจะทำได้” หลี่เหวยหยวนนำธูปเส้นในมือปักลงในกระถางธูปทองแดง ก่อนจะหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้ากับฉุนอวี๋ฉีแล้วยิ้มน้อยๆ “ข้ามีความปรารถนาหนึ่ง หากเป็นจริงได้จะยินดีเข้าวัดไหว้พระไปตลอดชีวิต”

เพียงขอให้หว่านวานสามารถอยู่ข้างกายข้าอย่างสงบสุขได้ทุกวัน มีเพียงความปรารถนาเดียวนี้เท่านั้น

ฉุนอวี๋ฉีหัวเราะเบาๆ “เดิมทีแก่นแท้ของทุกคนล้วนเป็นเซียน เพียงแต่ถูกกิเลสบดบังจึงเข้าไม่ถึง ความปรารถนาในใจทั้งหมดก็เป็นแค่กิเลสเท่านั้น เหตุใดใต้เท้าหลี่จึงไม่ปล่อยวางกิเลสในใจลงเล่า ท่านย่อมสามารถกลายเป็นเซียน จิตใจใสกระจ่างได้”

ท่ามกลางเปลวเทียนวูบไหว หลี่เหวยหยวนยิ้มบางๆ พลางเหลือบมองหลี่หลิงหว่านคราหนึ่ง

หลี่หลิงหว่านมีสีหน้าวิตกกังวล ด้วยไม่เข้าใจว่าเหตุใดฉุนอวี๋ฉีจึงกล่าวคำพูดยกตนข่มท่านเช่นนี้ ดังนั้นสายตาที่นางมองไปยังเขาจึงเต็มไปด้วยความกังวล

หลี่เหวยหยวนยิ้มปลอบโยนนาง จากนั้นจึงหันหน้ามาทางฉุนอวี๋ฉี ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เร่งไม่ร้อน “กิเลสนี้จนวันตายข้าก็ไม่ยอมปล่อยวาง”

ข้าไม่ยอมปล่อยวาง ไม่ยอมกลายเป็นเซียน ไม่ยอมให้จิตใจใสกระจ่าง เพียงปรารถนาจะจับมือหว่านวานไปทั้งชีวิต

แววตาฉุนอวี๋ฉีพลันดำมืดลง สองมือที่อยู่ในแขนเสื้อบีบกันแน่น

ยามนั้นหลี่เหวยหยวนไม่สนใจฉุนอวี๋ฉีอีกต่อไป เขาเดินไปข้างกายหลี่หลิงหว่านแล้วก้มหน้าอมยิ้มเอ่ยเสียงเบากับนาง

ตอนนี้เองฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซิวป๋อ และคนอื่นๆ ก็ได้เข้ามาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับฉุนอวี๋ฉีแล้ว

แม้การสอบเตี้ยนซื่อฉุนอวี๋ฉีจะสอบได้เป็นบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งลำดับสอง และได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต ขุนนางลำดับหลักขั้นเจ็ดเท่านั้น ตำแหน่งขั้นต่ำกว่าหลี่เหวยหยวนไม่พูดถึง กระทั่งยังต่ำกว่าหลี่ซิวป๋อหลายส่วน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็เป็นหย่งฮวนโหวซื่อจื่อ เส้นทางขุนนางในวันหน้าย่อมมีแต่ขยับเลื่อนขึ้น อนาคตกว้างไกลไร้ขอบเขต ฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซิวป๋อ และคนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าดูแคลน

หลังต่างฝ่ายต่างไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว ภิกษุทางด้านนั้นก็ทำวัตรเย็นเสร็จพอดี ฮูหยินผู้เฒ่าจึงนำบุตรหลานทุกคนไปขอพบท่านเจ้าอาวาส ด้วยคิดอยากให้ท่านเจ้าอาวาสช่วยทำนายชะตาชีวิตให้พวกเขา

หลี่หลิงหว่านเห็นดังนั้นในใจพลันรู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันที

หากท่านเจ้าอาวาสบอกว่าหลี่หลิงเยี่ยนมีชะตาหงส์ก็แล้วไป แต่นางกลัวจริงๆ ว่าท่านเจ้าอาวาสจะเอ่ยว่าหลี่เหวยหยวนมีชะตาพิฆาต ในอนาคตไม่ว่ากับครอบครัวหรือแผ่นดินล้วนเป็นกาลกิณี เช่นนั้นฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซิวป๋อ และคนอื่นๆ จะมองหลี่เหวยหยวนเป็นเช่นไรอีก

ทว่านางยังคิดในอีกมุม ตอนนี้หลี่เหวยหยวนไม่เหมือนแต่ก่อน เขามีตำแหน่งขุนนางแล้ว ไม่ว่าอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่กล้าทำอะไรเขา มิหนำซ้ำเขาเองก็โตแล้ว เด็กหนุ่มอายุยี่สิบปีได้รับตำแหน่งขุนนางลำดับรองขั้นหก เส้นทางขุนนางในอนาคตย่อมสว่างไสว ต่อให้ฮูหยินผู้เฒ่าดูถูกเขาเพียงไร แต่จากความสามารถของเขาในตอนนี้ก็เพียงพอให้เขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้ด้วยตนเองแล้ว

ก่อนที่หลี่หลิงหว่านจะเปลี่ยนมาวิตกกับอีกเรื่องหนึ่งแทน

ท่านเจ้าอาวาสจะต้องรู้ถึงความเป็นมาของนางเป็นแน่ เขาคงไม่เอ่ยเปิดโปงเรื่องนี้ขึ้นมาจนทำให้ฮูหยินผู้เฒ่า หลี่ซิวป๋อ และคนอื่นๆ ต่างมองนางเป็นปีศาจร้ายกันไปหมดใช่หรือไม่ ถ้าเช่นนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่จริงๆ แล้ว

เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านเจ้าอาวาสเอ่ยคำพูดที่ชวนให้ผู้คนสงสัยออกมา หลี่หลิงหว่านจึงเปิดปากเอ่ยขึ้นก่อน “ต้าซือ ผู้น้อยมีเรื่องหนึ่งอยากขอคำชี้แนะเจ้าค่ะ”

แต่นางเพิ่งเอ่ยประโยคนี้ออกมาก็ถูกหลี่ซิวป๋อต่อว่าทันที “โอหัง! ต่อหน้าต้าซือ ไฉนเลยจะมีที่ให้เด็กสาวเช่นเจ้าเอ่ยวาจา ยังไม่รีบถอยไปอีก!”

โจวซื่อได้ยินแล้วก็รู้สึกโกรธจนสองมือสั่นสะท้านน้อยๆ หลี่เหวยหยวนมีใบหน้าเคร่งขรึมลง กระทั่งคิ้วเรียวของฉุนอวี๋ฉียังเลิกขึ้นมาน้อยๆ

เขารู้ว่าหลี่ซิวป๋อเป็นบิดาแท้ๆ ของหลี่หลิงหว่าน แต่ในฐานะบิดาคนหนึ่งกลับเอ่ยตำหนิบุตรสาวแท้ๆ ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ไฉนเลยจะเห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างบิดากับบุตรสาวได้อีก

หลี่หลิงหว่านเองก็เม้มปากไม่เอ่ยวาจา

ปกติแล้วเจ้าไม่ได้ละเลยข้าอยู่บ่อยๆ หรอกหรือ นับตั้งแต่กลับมาเมื่อปลายปีก่อนก็ไม่เคยมาพบข้าก่อนเลย เอาแต่ทำราวกับว่าไม่มีบุตรสาวเช่นข้าคนนี้ เหตุใดยามนี้กลับออกมาแสดงอำนาจของบิดากันเล่า

แต่ไม่ว่าอย่างไรหลี่ซิวป๋อก็เป็นบิดา ต่อให้ในใจหลี่หลิงหว่านจะไม่สบอารมณ์เพียงใด ทว่าก็ไม่มีเหตุผลให้บุตรสาวออกมาล่วงเกินบิดา ในเมื่อพูดอะไรไม่ได้นางก็ทำได้เพียงยอมรับอย่างเงียบๆ เท่านั้น

ขณะนั้นก็ได้เห็นท่านเจ้าอาวาสลุกขึ้นยืนจากเบาะรอง

เดิมทีตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่ากับคนอื่นๆ เดินเข้าไปคารวะเขาอย่างนอบน้อมและอยากเชิญเขามาทำนายชะตาชีวิตให้ทุกคนในจวนสกุลหลี่ ท่านเจ้าอาวาสเองก็เอาแต่นั่งอยู่บนเบาะรอง ไม่ได้มีความคิดจะลุกขึ้นยืนแต่อย่างใด

เนื่องจากฮ่องเต้องค์ปัจจุบันพระราชทานแต่งตั้งสมณศักดิ์ท่านเจ้าอาวาสด้วยพระองค์เอง ต่อให้พบกับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพ ทว่ายามนี้หลังเขาได้ยินประโยคนั้นของหลี่หลิงหว่านแล้วกลับลุกขึ้นยืนจากเบาะรองในทันที เดินเข้าใกล้มาสองก้าว หยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลี่หลิงหว่าน จากนั้นยกสองมือพนมค้อมกายลงคารวะให้นางอย่างใหญ่โต ทั้งยังเอ่ยอย่างเคารพนอบน้อมว่า “เชิญท่านว่ามา”

ทุกคนในที่นั้นต่างตกตะลึง

ทั่วทุกหนแห่งต่างเล่าลือว่าแม้แต่ยามที่ท่านเจ้าอาวาสเข้าเฝ้าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังทำแค่คารวะอย่างเรียบง่ายเท่านั้น เหตุใดตอนนี้เมื่อเขาเผชิญหน้ากับหลี่หลิงหว่านจึงต้องแสดงความเคารพอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ ทั้งในน้ำเสียงยังแฝงไปด้วยความนอบน้อมขนาดนี้ หรือว่าตำแหน่งของหลี่หลิงหว่านในใจท่านเจ้าอาวาสจะสูงส่งกว่าฮ่องเต้อีกอย่างนั้นหรือ

ชั่วขณะนั้นสายตาที่ทุกคนมองหลี่หลิงหว่านล้วนแปลกประหลาด มีทั้งตกตะลึง ไม่อยากจะเชื่อ ถึงขั้นคาดเดาไปต่างๆ นานาก็มี

เมื่อตอนกลางวันฉุนอวี๋ฉีได้เห็นท่าทางเคารพนอบน้อมของท่านเจ้าอาวาสต่อหลี่หลิงหว่านมาก่อนแล้ว ดังนั้นเหตุการณ์ในตอนนี้จึงไม่ทำให้เขาแสดงท่าทีผิดปกติใดออกมา ทั้งในใจเขายังยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อย

นั่นก็คือ…คำพูดที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยบอกกับเขาเกี่ยวกับท่านเจ้าอาวาสก่อนหน้านี้จะต้องโป้ปดอย่างแน่นอน

หากยามกลางวันท่านเจ้าอาวาสจำคนผิดจริง เหตุใดตอนนี้เขาถึงยังคงจดจำคนผิดต่อไปเล่า ท่านเจ้าอาวาสจะต้องรู้จักหลี่หลิงหว่านแน่นอน แต่เมื่อคิดถึงประโยคที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยเมื่อยามกลางวันแล้ว เหมือนว่านางไม่รู้จักท่านเจ้าอาวาสมาก่อนเลย ที่สุดแล้วเรื่องนี้เป็นมาอย่างไรกันแน่

ฉุนอวี๋ฉีขมวดคิ้ว

หลี่เหวยหยวนเองก็ขมวดคิ้ว

หลี่หลิงหว่านมีความเป็นมาอย่างไร เหตุใดท่าทีที่ท่านเจ้าอาวาสปฏิบัติต่อนางจึงได้เคารพนอบน้อมขนาดนี้ ราวกับเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่หลิงหว่าน ท่านเจ้าอาวาสเองก็เป็นเพียงผู้น้อยที่มีท่าทีอ่อนน้อมเท่านั้น

หลี่หลิงหว่านที่อยู่ใจกลางพายุของเรื่องราวก็คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเพียงแค่เหม่อลอยไปพริบตาเดียวนางจะกลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนเช่นนี้แล้ว แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต่อให้มีสายตามากกว่านี้จับจ้อง นางก็ยังต้องพูดประโยคนั้น

ดังนั้นหลี่หลิงหว่านจึงฝืนแสดงท่าทีคารวะท่านเจ้าอาวาสกลับอย่างสงบนิ่ง

คิดไม่ถึงว่าท่านเจ้าอาวาสกลับขยับตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย ไม่ยอมรับการคารวะจากนางโดยสิ้นเชิง “การคารวะของท่าน อาตมารับไม่ไหว”

หลี่หลิงหว่านจึงกลายเป็นจุดรวมสายตาของทุกคนอีกครั้ง

ขอร้อง ต้าซือ ท่านอย่าได้เป็นเช่นนี้เลย หากท่านยังเป็นเช่นนี้อีกล่ะก็ คนเหล่านั้นจะมองข้าอย่างไรเล่า

นางไม่กล้าคารวะท่านเจ้าอาวาสอีก จึงเอ่ยประโยคที่ก่อนหน้านี้นางอยากจะพูดออกมาอย่างระมัดระวัง “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าอ่านตำรา อ่านเจอประโยคหนึ่งเข้า ‘รู้แจ้งไม่กล่าวแจ้ง’ เรียนถามต้าซือ ประโยคนี้ควรจะอธิบายเช่นไรหรือเจ้าคะ”

ท่านเจ้าอาวาสเป็นคนฉลาดเฉลียวและมีสายตากว้างไกลผู้หนึ่ง ประโยคนี้ของหลี่หลิงหว่านเขาจะไม่เข้าใจได้อย่างไร ยามนั้นเขายิ้มน้อยๆ พร้อมผงกศีรษะ หันกลับไปชี้ที่พระพุทธรูปโดยไม่เอ่ยอะไรสักคำ

หลี่หลิงหว่านเงยหน้ามองไปก็เห็นพระพุทธรูปองค์นั้นสองมือประสาน ดวงตาหลุบลง สีหน้าเมตตากรุณา

พระองค์มีความเมตตาอารี มองทะลุปรุโปร่งในทุกสรรพสิ่ง ชีวิตมนุษย์แตกต่างหลากหลาย แต่กลับไม่ได้เอ่ยสิ่งใดทั้งนั้น แล้วก็ไม่จำเป็นต้องเอ่ย

ไม่ว่าจะเป็นการเกิดแก่เจ็บตาย ความรักหรือความแค้น ล้วนร้องขอไม่ได้ ปล่อยวางไม่ลง หากมองกระจ่างแล้วก็เป็นแค่เรื่องเท่านี้ เพียงแค่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติก็พอ

หลี่หลิงหว่านยกสองมือพนม นางไม่กล้าคารวะท่านเจ้าอาวาสอีก เพียงแค่ผงกศีรษะเล็กน้อย ทว่าในน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความจริงใจ “ขอบพระคุณต้าซือมากเจ้าค่ะ”

จากนั้นนางก็ถอยกลับไปเงียบๆ

หลี่เหวยหยวนที่อยู่ด้านหลังแววตาเปล่งประกายวูบหนึ่ง ก่อนที่ในใจเขาจะนิ่งสงบ เขาเคยพูดแล้วว่าจะไม่สนใจอีกต่อไปว่าหลี่หลิงหว่านมีความเป็นมาอย่างไร จากนี้เขาก็จะไม่ไปสนใจที่มานั้นอีก เขาเพียงแต่ต้องปกป้องนางให้ดี ให้วันข้างหน้านางสามารถอยู่ข้างกายเขาอย่างสงบสุขและมีความสุขได้ก็พอ

ทว่าในใจฉุนอวี๋ฉีกลับมีข้อสงสัยมากมายผุดขึ้นมาอีกระลอก

เมื่อรวมเข้ากับประโยคที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยกับท่านเจ้าอาวาสในตอนกลางวันแล้ว ‘รู้แจ้งไม่กล่าวแจ้ง’ ห้าคำนี้ที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยบ่งบอกชัดเจนว่าต้องการให้ท่านเจ้าอาวาสช่วยปิดบังเรื่องบางอย่าง

ท่านเจ้าอาวาสมองเห็นเรื่องใดของนางกระจ่างแจ้งกันแน่ และนางที่เป็นสตรีซึ่งออกจากจวนไม่บ่อยนัก ที่สุดแล้วมีเรื่องราวต้องห้ามใดที่ไม่อาจให้คนรอบข้างรับรู้ได้เล่า เหตุใดท่าทีที่ท่านเจ้าอาวาสปฏิบัติต่อนางจึงเคารพนอบน้อมถึงเพียงนี้

ฉุนอวี๋ฉีรู้สึกว่าเบื้องหน้ามีหมอกหนารายล้อม เมื่อมองหลี่หลิงหว่านผ่านชั้นหมอกหนานี้ เขาก็ยิ่งมองนางไม่กระจ่างมากขึ้นเท่านั้น กระทั่งรู้สึกว่านางลึกลับมากขึ้นไปอีก

ทว่าคนอื่นๆ ภายในอุโบสถต่างไม่รับรู้เรื่องที่ท่านเจ้าอาวาสกับหลี่หลิงหว่านเคยพบกันเมื่อตอนกลางวัน แม้จะเห็นท่านเจ้าอาวาสมีท่าทีอ่อนน้อมต่อหลี่หลิงหว่าน ในใจตกตะลึงอยู่ก็จริง แต่กับประโยค ‘รู้แจ้งไม่กล่าวแจ้ง’ ที่หลี่หลิงหว่านเอ่ยถามนี้กลับไม่ได้เกิดความสงสัยขึ้นมาแต่อย่างใด

บางทีตอนที่นางอ่านตำรา พอเห็นประโยคนี้แล้วในใจก็ไม่กระจ่างจริงๆ ในเมื่อเห็นท่านเจ้าอาวาสเป็นยอดคนซึ่งรอบรู้ไปทุกสิ่ง ดังนั้นจึงได้ขอคำชี้แนะจากเขา

ทว่าหลี่ซิวป๋อกลับมีสีหน้าค่อนข้างจืดเจื่อน

เมื่อชั่วขณะก่อนหน้าเขาเพิ่งต่อว่าหลี่หลิงหว่านไปเช่นนั้น แต่ต่อมาท่านเจ้าอาวาสกลับเคารพนอบน้อมต่อหลี่หลิงหว่านทันที ถึงขั้นก่อนหน้านี้ตอนที่เขาเอ่ยสนทนากับท่านเจ้าอาวาสอย่างนอบน้อม ฝ่ายหลังก็เพียงแค่เหลือบตาขึ้นมองเขาอย่างเฉยชาที่สุดเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยวาจาอะไรกับเขาแม้แต่คำเดียว

ในใจหลี่ซิวป๋อรู้สึกเสียหน้าต่อหน้าทุกคนอยู่บ้างอย่างช่วยไม่ได้ ทว่าตอนนี้เขาเองก็ไม่กล้าอาละวาด เพียงแค่ยืนอย่างสงบเรียบร้อยอยู่ข้างหลังฮูหยินผู้เฒ่า ฟังฮูหยินผู้เฒ่าสนทนากับท่านเจ้าอาวาสต่อไป

ฮูหยินผู้เฒ่าศรัทธาในพระพุทธองค์ ทั้งยังรู้สึกว่าชะตาชีวิตคนถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิดแล้ว ยามใดจะรุ่งโรจน์ ยามใดจะพบคนชั้นต่ำ ล้วนถูกกำหนดมาแต่แรกแล้วเช่นเดียวกัน ดังนั้นหากให้ยอดคนช่วยทำนายชะตาชีวิตให้ ก็จะสามารถหลีกเลี่ยงเคราะห์กรรมในชีวิตได้ทั้งหมดแล้ว

และท่านเจ้าอาวาสก็เป็นยอดคนในหมู่ยอดคนพอดี ตลอดมาฮูหยินผู้เฒ่าจึงอยากจะให้เขาทำนายชะตาชีวิตให้คนในครอบครัวมาโดยตลอด

ในนิยายท่านเจ้าอาวาสเคยทำนายชะตาชีวิตให้คนสกุลหลี่เพียงแค่สองคนเท่านั้น หนึ่งคือหลี่หลิงเยี่ยน อีกหนึ่งคือหลี่เหวยหยวน เนื่องจากยามที่มองเห็นพวกเขาทั้งสองคนแล้วล้วนตกตะลึงยิ่ง ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายทำนายชะตาชีวิตออกมาเองก่อน แต่วันนี้หลังจากท่านเจ้าอาวาสมองหลี่หลิงเยี่ยน หลี่เหวยหยวน และหลี่หลิงหว่านแล้ว สำหรับคำร้องขอของฮูหยินผู้เฒ่าที่ให้ทำนายชะตาชีวิตนั้น เขาทำเพียงส่ายศีรษะ ทั้งยังถอนหายใจแล้วปิดตาลง ไม่ยอมพูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว

ฮูหยินผู้เฒ่าไม่กล้าบังคับท่านเจ้าอาวาส นางจึงทำได้เพียงเอ่ยอย่างนอบน้อม “รบกวนท่านเจ้าอาวาสแล้ว”

จากนั้นจึงนำทุกคนในครอบครัวลากลับเข้าไปในเรือนพักด้านหลัง ก่อนจากไปฮูหยินผู้เฒ่ายังเชื้อเชิญฉุนอวี๋ฉีให้ไปนั่งสนทนาด้วยกันสักพักหนึ่ง ทว่าฉุนอวี๋ฉีย่อมมองออกว่านางเพียงแค่เอ่ยตามมารยาทเท่านั้น เขาจึงยิ้มน้อยๆ เอ่ยปฏิเสธ พาฉางชิงหมุนกายจากไป

 

(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ก.ค. 62)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

Jamsai Editor: