X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! เล่ม 3 บทที่ 11-12

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่สิบเอ็ด

ฮูหยินผู้เฒ่าพาทุกคนกลับไป เป็นเพราะให้ท่านเจ้าอาวาสทำนายชะตาชีวิตแก่คนในครอบครัวไม่สำเร็จ ในใจฮูหยินผู้เฒ่าย่อมรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง

ขณะนั้นหลี่ซิวป๋อค่อนข้างรู้สึกอับอายจนพาลโกรธอยู่บ้าง เขาจึงเปิดปากตำหนิหลี่หลิงหว่าน “ล้วนเป็นเพราะบุตรสาวอกตัญญูเช่นเจ้า ก่อนหน้านี้เอ่ยคำพูดจำพวกรู้แจ้งไม่กล่าวแจ้งเช่นนั้นกับท่านเจ้าอาวาสออกมา ตอนที่ท่านแม่เรียนเชิญท่านเจ้าอาวาสทำนายชะตาชีวิตให้ ท่านเจ้าอาวาสถึงได้ไม่ยอมเอ่ยอะไรสักคำ การได้หักหน้าท่านย่าเจ้าต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ในใจเจ้ามีความสุขหรือ”

หลี่หลิงหว่านยิ้มเย็น

อะไรคือหักหน้าท่านย่าต่อหน้าทุกคน เห็นๆ กันอยู่ว่าหักหน้าเจ้าหลี่ซิวป๋อต่อหน้าทุกคนต่างหาก เจ้าถึงได้อับอายจนพาลโกรธเพียงนี้

ด้วยความโมโห หลี่หลิงหว่านจึงไม่มีเวลามาสนใจอะไรมาก เพียงเอ่ยปากโต้เถียงออกไป “ท่านพ่อเรียกข้าว่าบุตรสาวอกตัญญู บุตรสาวกลับอยากเรียนถามท่านพ่อ ข้าอกตัญญูต่อท่านด้วยเรื่องใหญ่ใดหรือ”

ถึงแม้หลายเดือนมานี้นับแต่กลับมายังเมืองหลวงหลี่ซิวป๋อจะไม่ได้พบหน้าหลี่หลิงหว่านเท่าไรนัก แต่ในความทรงจำไม่ว่าเขาจะเอ่ยอะไรหลี่หลิงหว่านก็ล้วนแต่ก้มหน้าก้มตายอมรับ ไม่เคยโต้เถียงเขาเลยสักครั้ง ทว่ายามนี้นางถึงกับกล้าโต้เถียงเขาต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้อย่างเปิดเผย เขายังจะรักษาหน้าตาอยู่อีกได้อย่างไร
“ช่างทรพีจริงๆ ในฐานะบุตรสาวถึงกับกล้าโต้เถียงบิดาอย่างเปิดเผยเช่นนี้ เจ้าดูตนเองเสียบ้าง มีความอ่อนหวานสง่างามเฉกเช่นที่สตรีพึงมีบ้างหรือไม่ มีอะไรแตกต่างจากเด็กสาวที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้ากัน!”

พูดด้วยความโมโหจบก็เงื้อมือขึ้น ฝ่ามือนี้ของเขาสะบัดตบลงมาอย่างรวดเร็วยิ่ง

ยามนั้นโจวซื่อหวีดร้องออกมา แต่นางอยู่ไกลเกินไปจึงทำอะไรไม่ทัน โชคดีที่หลี่เหวยหยวนอยู่ด้านหลังหลี่หลิงหว่านมาโดยตลอด ทันทีที่เขาเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดีก็รีบขึ้นมาบังอยู่ด้านหน้าหลี่หลิงหว่าน ปกป้องนางให้อยู่ที่ด้านหลังของตนเองอย่างแน่นหนา

เสียงเพียะดังลั่น ฝ่ามือนี้ของหลี่ซิวป๋อตบลงบนแก้มซีกซ้ายของหลี่เหวยหยวนเต็มๆ

ฝ่ามือนี้ของหลี่ซิวป๋อออกแรงหนักมาก ต่อให้เป็นหลี่เหวยหยวนก็ยังถูกเขาตบจนเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง พลันรู้สึกว่าแก้มซ้ายชา ในปากมีกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจาย สามารถจินตนาการได้ว่าหากฝ่ามือนี้ตบลงบนใบหน้าหลี่หลิงหว่าน นางจะต้องเจ็บปวดมากเป็นแน่

ยามนี้หลี่เหวยหยวนเองก็ไม่พูดจา เขาเพียงกลืนเลือดสดๆ ในปากลงไปเงียบๆ ทว่านัยน์ตาที่หลุบลงกลับเย็นชาเป็นที่สุด

หลังฝ่ามือนี้ ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างนิ่งงันไปอย่างเห็นได้ชัด ทุกสรรพสิ่งล้วนเงียบกริบ มีเพียงเสียงแมลงฤดูร้อนจากพุ่มไม้ทั้งใกล้และไกลดังขึ้น

ผ่านไปครู่ใหญ่ยังคงเป็นหลี่หลิงหว่านที่มีอาการตอบสนองขึ้นมาก่อน นางยื่นมือไปเกี่ยวแขนหลี่เหวยหยวน แล้วกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ ร้องไห้โดยไร้สุ้มเสียง

หลี่หลิงเยี่ยนเองก็ได้สติกลับมา นางรีบเดินขึ้นหน้ามาดูใบหน้าหลี่เหวยหยวน เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง “พี่ใหญ่ ท่านเป็นอะไรหรือไม่ เจ็บหรือไม่”

แต่หลี่เหวยหยวนไม่ได้สนใจหลี่หลิงเยี่ยนแม้แต่น้อย เห็นนางยกมือขึ้นมาเหมือนจะลูบหน้า เขาก็เบี่ยงหลบมือของนางที่ต้องการเอื้อมมาจับแก้มเขาไปอย่างแนบเนียน

หลี่หลิงเยี่ยนชักมือกลับอย่างจืดเจื่อนอยู่บ้าง ก่อนที่นางจะกลับตัวหันไปมองหลี่ซิวป๋อ แล้วตะโกนด้วยน้ำเสียงแฝงแววตำหนิ “ท่านพ่อ!”

หลี่ซิวป๋อเองก็คาดไม่ถึงว่าฝ่ามือนี้สุดท้ายจะตบลงบนใบหน้าของหลี่เหวยหยวน

กับหลี่เหวยหยวนหลานชายผู้นี้หลี่ซิวป๋อให้ความสำคัญค่อนข้างมาก อย่างไรหลี่เหวยหยวนก็เป็นคนที่มีนิสัยหนักแน่น ซ้ำยังฉลาดเฉลียว อายุเพียงยี่สิบปีก็สอบได้เป็นซานหยวนจี๋ตี้ ศิษย์ของโอรสสวรรค์ งานเลี้ยงฉยงหลินในวันนั้นกระทั่งฮ่องเต้ยังตรัสชมเขาด้วยพระองค์เองว่ามีพรสวรรค์และสติปัญญาเป็นเลิศ อนาคตบนเส้นทางขุนนางย่อมไร้ขอบเขต ตนในฐานะอาก็คิดว่าในอนาคตจะต้องได้เลื่อนขั้นดีๆ ด้วยเช่นกัน

การมีสมาชิกในครอบครัวอยู่ในราชสำนักนั้นเป็นเรื่องดีเสมอ จะได้คอยช่วยเหลือพึ่งพากันได้ อีกทั้งจากสถานการณ์เช่นนี้ของหลี่เหวยหยวน ดีไม่ดีวันข้างหน้าในราชสำนักตนเองอาจยังต้องพึ่งพาให้เขาคอยดูแลอีกด้วย

แต่ในฐานะผู้อาวุโสคนหนึ่ง ต่อให้ฝ่ามือนี้พลาดตบหลี่เหวยหยวนไป ทว่าก็ไม่มากพอจะทำให้หลี่ซิวป๋อลดทิฐิลงมาขอโทษได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงสะบัดชายเสื้ออย่างรุนแรง และถลึงตามองหลี่หลิงหว่านด้วยความโกรธ “ทุกเรื่องล้วนต้องอาศัยพี่ใหญ่ของเจ้าคอยออกหน้าแทนเจ้าอย่างนั้นหรือ เจ้าช่างมีความสามารถเสียจริง เจ้ายัง…”

ประโยคที่เหลือไม่ทันได้เอ่ยออกมาก็ถูกฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยตัดบทก่อนแล้ว

เห็นได้ชัดว่าฮูหยินผู้เฒ่าเองก็โกรธแล้ว ไม้เท้าหัวมังกรที่ถืออยู่ในมือกระทุ้งพื้นดังตึงๆ “หว่านเจี่ยเอ๋อร์ทำผิดอะไร เจ้าเป็นบิดา ดุด่านางต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ ทั้งยังจะตบตีนาง เจ้ามีความสามารถมากนักหรือ!”

หลี่ซิวป๋อไม่พอใจกับประโยคนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นเขาจึงพ่นลมออกจากจมูกก่อนเอ่ยว่า “นางเป็นบุตรสาวข้า ข้าในฐานะบิดาต้องการดุด่าตบตีนาง ยังจะต้องเลือกวันเวลาอะไรอีก นางล้วนต้องยอมรับทั้งสิ้น!”

ฮูหยินผู้เฒ่าโมโห มือที่ถือไม้เท้าสั่นระริกขึ้นมา ทว่าที่สุดแล้วนางก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

ตอนนี้หลี่ซิวป๋อเป็นรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอากร นางยังต้องไว้หน้าเขาอยู่สองสามส่วน นางจึงโบกมืออย่างเหนื่อยล้าอยู่บ้างแล้วเอ่ยกับทุกคน “แยกย้ายกันไปเถอะ รีบกลับไปพักผ่อน รอพรุ่งนี้เช้า อาศัยตอนที่อากาศยังเย็นสบายอยู่พวกเราก็รีบกลับจวนกัน”

ทุกคนขานรับก่อนพากันแยกย้ายไป

โจวซื่อกลับไม่ได้จากไป นางกำลังจับมือหลี่หลิงหว่าน ทางหนึ่งยื่นมือออกไปลูบหลังมือของบุตรสาวแผ่วเบา อีกทางก็หลั่งน้ำตาโดยไร้สุ้มเสียง

ฮูหยินผู้เฒ่าหันกลับมาเห็นจึงถลึงตามองโจวซื่อคราหนึ่งแล้วเอ่ยปากตำหนิ “อยู่ดีๆ จะร้องไห้ทำไมกัน อัปมงคล! ยังไม่รีบกลับไปอีก”

ระยะนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามีแต่จะรู้สึกไม่ชอบใจโจวซื่อมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังได้ยินว่ารองข้าหลวงซุนกำลังเดินทางกลับมาเมืองหลวงแล้ว อีกไม่นานก็จะมาถึง มิหนำซ้ำฮ่องเต้ยังมีพระราชดำริเลื่อนขั้นให้เขา ดังนั้นหลายวันมานี้นางจึงเอาแต่ครุ่นคิดว่าควรจะจัดการเรื่องของซุนหลันอีอย่างไรกันแน่

ให้ซุนหลันอีเป็นอนุต่อไปอย่างนั้นหรือ บุตรสาวภรรยาเอกของรองข้าหลวงมาเป็นอนุให้สกุลของพวกนาง ในใจรองข้าหลวงซุนจะไม่คิดตำหนิได้อย่างไร แต่หากยกซุนหลันอีเป็นภรรยาเอก โจวซื่อก็ไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรงอะไร จะหาเหตุผลอะไรมาหย่าโจวซื่อเล่า หากจัดการเรื่องราวได้ไม่ดี ทำให้กลุ่มคนในสำนักตรวจการนครหลวงเหล่านั้นรับรู้ เพียงถวายฎีกาเรื่องหลี่ซิวป๋อสักฉบับหนึ่ง เช่นนั้นหลี่ซิวป๋อย่อมลำบากแน่แล้ว

ด้วยความคิดที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้นี้ ระยะนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจึงปฏิบัติต่อโจวซื่ออย่างไม่สบอารมณ์มากขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นช่วงนี้โจวซื่อเองก็ยิ่งทำตัวยอมทนมากขึ้นเช่นกัน ไม่ว่านางจะพูดอะไร โจวซื่อก็เอาแต่ก้มหน้าหลุบตายอมรับ ไม่เคยเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

เดิมทีโจวซื่ออยากจูงมือหลี่หลิงหว่านพากลับไปด้วยกัน แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับรั้งนางไว้ “หว่านเจี่ยเอ๋อร์อยู่ก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า” ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหลี่เหวยหยวน “หยวนเกอเอ๋อร์เองก็กลับไปก่อน ให้คนนำน้ำแข็งก้อนมาให้ ใช้ผ้าขนหนูห่อเอาไว้แล้วประคบแก้มเสีย”

โจวซื่อกับหลี่เหวยหยวนทำได้เพียงขานรับ ทว่าที่สุดแล้วหลี่เหวยหยวนกับโจวซื่อก็ยังคงเป็นห่วงหลี่หลิงหว่าน ก่อนจากไปทั้งสองคนยังมองนางกันคนละครั้ง

แต่ไม่รู้ว่าหลี่หลิงหว่านกำลังคิดสิ่งใดอยู่ นางยังคงเอาแต่ก้มหน้า ไม่ได้มองมาที่พวกเขา

หลังโจวซื่อกลับมาแล้วก็เอาแต่ร้องไห้ ไฉ่เวยกับไฉ่เยวี่ยอยู่ด้านข้างคอยปลอบโยนนางอยู่นานก็ไร้ประโยชน์

สุดท้ายไฉ่เยวี่ยทนไม่ไหวจึงเอ่ยว่า “วันนี้นายท่านสามช่างทำเกินไปแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นบุตรสาวของเขาเหมือนกัน พูดไปแล้วคุณหนูของพวกเรายังเกิดจากภรรยาเอก แต่นายท่านสามกลับอุ้มชูบุตรสาวที่เกิดจากอนุอย่างซุนอี๋เหนียง เหยียบย่ำคุณหนูของพวกเรา วันนี้ต่อหน้าทุกคนในครอบครัวยังหักหน้าคุณหนูของพวกเราเช่นนี้อีก ช่าง…”

ยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกไฉ่เวยตำหนิเสียงต่ำเข้าให้ก่อน “ไฉ่เยวี่ย!”

ไฉ่เยวี่ยหุบปากไม่กล้าพูดอะไรอีก

ชั่วขณะนั้นโจวซื่อกลับเงยหน้าขึ้นเอ่ย “ไฉ่เยวี่ยล้วนพูดความจริง เหตุใดจึงไม่ให้นางพูดเล่า ท่านพี่เคยมองหว่านวานเป็นบุตรสาวของเขามาก่อนเสียที่ใด ล้วนเป็นความผิดของมารดาเช่นข้า ท่านพี่ไม่ชอบข้า ดังนั้นจึงลำบากไปถึงหว่านวานของข้าที่ต้องมาถูกท่านพี่หมางเมินเช่นนี้ด้วย”

ไฉ่เวยได้ยินแล้วจึงรีบเอ่ยเกลี้ยกล่อม “นายหญิงอย่าเอ่ยเช่นนี้เลย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรท่านก็เป็นนายหญิง คุณหนูของพวกเราเป็นบุตรสาวภรรยาเอก ไม่ว่าซุนอี๋เหนียงกับบุตรสองคนของนางจะเป็นเช่นไรก็ไม่อาจสูงส่งไปกว่าท่านได้ ท่านแค่ทำใจให้กว้างไว้ก็พอเจ้าค่ะ”

โจวซื่อเอาแต่ร้องไห้โดยไม่เอ่ยอะไร

ยามนั้นก็ได้ยินสาวใช้ที่อยู่ด้านนอกส่งเสียงเรียกคุณหนู โจวซื่อรู้ว่าหลี่หลิงหว่านมาแล้วจึงรีบร้อนผุดลุกขึ้นยืนทันควัน

ตอนที่หลี่หลิงหว่านเดินเข้ามาในห้องก็เห็นโจวซื่อมีน้ำตานองหน้า จึงรีบเดินขึ้นหน้ามาประคองแขนนางพลางเอ่ย “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงร้องไห้อีกแล้วเล่า” พร้อมกับหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาช่วยเช็ดน้ำตาบนใบหน้าโจวซื่อ ทั้งยังให้ไฉ่เวยไปยกน้ำมาอ่างหนึ่ง บิดผ้าหมาดๆ มาช่วยเช็ดหน้าให้นายหญิง

ไฉ่เวยขานรับแล้วออกไป โจวซื่อรีบดึงหลี่หลิงหว่านมาสอบถามเรื่องราวอย่างเป็นห่วง “ท่านย่าเรียกลูกไว้ทำไม สร้างความลำบากอะไรให้กับลูกหรือไม่”

หลี่หลิงหว่านแสร้งนั่งลงด้วยท่าทีผ่อนคลายพลางยิ้มเอ่ย “ท่านย่าไม่ได้สร้างความลำบากให้ข้าเลย เพียงเห็นว่าเมื่อครู่ท่านเจ้าอาวาสมีท่าทีนอบน้อมต่อข้าจึงเรียกไปไถ่ถาม ข้าบอกท่านย่าไปว่าวันนี้ข้าก็เพิ่งได้พบท่านเจ้าอาวาสเป็นครั้งแรกเช่นกัน ไฉนเลยจะรู้ว่าเหตุใดเขาถึงเคารพข้าเช่นนั้น จากนั้นท่านย่าก็เอ่ยว่าข้าสามารถไปพูดกับท่านเจ้าอาวาสได้หรือไม่ ให้เขาช่วยทำนายชะตาชีวิตให้กับทุกคนในครอบครัว ข้าตอบตกลง อีกประเดี๋ยวข้าจะไปถามท่านเจ้าอาวาสดูเจ้าค่ะ”

ทว่าความจริงฮูหยินผู้เฒ่ายังตักเตือนนางอีกหลายประโยค ความหมายคือบุตรสาวควรมีหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรม เมื่ออยู่บ้านก็ต้องเชื่อฟังบิดา ดังนั้นภายภาคหน้าให้นางอย่าได้โต้เถียงกับหลี่ซิวป๋อเช่นวันนี้อีก ไม่ว่าหลี่ซิวป๋อจะเอ่ยอะไร นางในฐานะบุตรสาวล้วนแต่ต้องเชื่อฟัง มิฉะนั้นหากวันหน้าเกิดเรื่องโต้เถียงกับหลี่ซิวป๋อเหมือนในวันนี้ขึ้นอีก ฮูหยินผู้เฒ่าก็จะไม่ช่วยนางแล้ว

ตอนนั้นหลี่หลิงหว่านก็คิดในใจอย่างไม่สบอารมณ์ พูดเหมือนกับเจ้าได้ช่วยข้าไว้เสียอย่างนั้น ทว่าฉากหน้านางยังคงตอบรับอย่างนอบน้อม

เพียงแต่คำพูดเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องเอ่ยกับโจวซื่อ หากบอกโจวซื่อแล้ว เกรงว่าจะทำให้นางเสียใจอีกครั้ง

ขนาดฮูหยินผู้เฒ่ายังเป็นเช่นนี้ ไม่คิดควบคุมหลี่ซิวป๋อเลยแม้แต่นิดเดียว นางยังจะหวังให้หลี่ซิวป๋อปฏิบัติต่อพวกนางสองแม่ลูกดีได้อย่างไรเล่า

โจวซื่อยังคงซักถามดังคาด “ท่านย่าไม่ได้พูดเรื่องอื่นอีกหรือ”

“ไม่นี่เจ้าคะ” หลี่หลิงหว่านส่ายศีรษะ ทั้งยังดึงมือโจวซื่อให้นั่งลงบนเก้าอี้อีกตัว ก่อนจะยิ้มเอ่ย “ไม่ว่าจะพูดอย่างไรข้าก็เป็นหลานสาวที่เกิดจากภรรยาเอก ในใจท่านย่ายังคงรู้สึกเอ็นดูข้าอยู่บ้างเจ้าค่ะ”

โจวซื่อไม่ได้เอ่ยอะไร แต่คนตาดีล้วนมองออก นับตั้งแต่หลี่หลิงเยี่ยนกลับมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็รักเอ็นดูหลี่หลิงเยี่ยนมากกว่าใครอย่างเห็นได้ชัด ทว่าก็ไม่แปลก เด็กคนนั้นไม่ว่าจะกิริยาวาจาล้วนเพียบพร้อมจริงๆ ไม่แปลกเลยที่ฮูหยินผู้เฒ่าจะเอ็นดูนาง

โจวซื่อย่อมไม่รู้ว่าที่ฮูหยินผู้เฒ่ารักเอ็นดูหลี่หลิงเยี่ยนถึงเพียงนั้นเป็นเพราะมีสาเหตุมาจากสกุลเดิมของซุนหลันอี หากนางรับรู้แล้ว เกรงว่าจะยิ่งตำหนิว่าตนเองไร้ประโยชน์ ถึงกับไม่มีสกุลเดิมที่พึ่งพาได้มาคอยช่วยสนับสนุนหลี่หลิงหว่าน

“เมื่อครู่แม่กังวลมาโดยตลอดว่าท่านย่าจะดุด่าลูก” โจวซื่อดึงมือหลี่หลิงหว่านมาตบหลังมือเบาๆ นางรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย “ท่านย่าไม่ได้ดุด่าลูกก็ดีแล้ว”

สุดท้ายนางยังคงหลั่งน้ำตาด้วยความเสียใจออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ มองหลี่หลิงหว่านด้วยน้ำตาคลอเบ้าพลางเอ่ย “ท่านพ่อของลูก…เขา… หว่านวาน ความจริงแล้วบางทีแม่ก็คิดว่าหากแม่ยังมีชีวิตเช่นนี้ต่อไปจะมีความหมายอะไร เกรงว่าในใจท่านพ่อกับท่านย่าของลูกคงอยากจะให้แม่รีบตายๆ ไปเสีย แต่แม่ยังอยากเห็นลูกได้หมั้นหมายและแต่งงานออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ได้เห็นลูกออกจากจวนสกุลหลี่แห่งนี้ไป แม่จึงจะวางใจได้ มิเช่นนั้นต่อให้แม่ตายไป แม่ก็คงปิดตาไม่ลง”

หลี่หลิงหว่านลอบถอนหายใจอยู่ในใจ

เหตุใดเจ้าถึงได้อ่อนแอเช่นนี้หนอ ทว่าข้าจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า ยามนี้เจ้าไม่มีสกุลเดิมคอยสนับสนุน ฮูหยินผู้เฒ่ากับหลี่ซิวป๋อต่างไม่ชื่นชอบเจ้า ทั้งเจ้ายังไม่มีบุตรชายอยู่ข้างกาย

คิดถึงเรื่องบุตรชายแล้วหลี่หลิงหว่านพลันหัวใจกระตุก

เดิมทีนางอยากให้ผ่านไปสักพักหนึ่งจึงค่อยเอ่ยเรื่องนี้กับโจวซื่อ แต่ตอนนี้บอกกับโจวซื่อเร็วสักหน่อย ให้อีกฝ่ายได้เตรียมตัวไว้ก่อนดีกว่า

หลี่หลิงหว่านเป็นฝ่ายกลับมากุมมือของโจวซื่อ เงยหน้ามองนางแล้วเอ่ยเสียงเบา “ท่านแม่ มีเรื่องหนึ่งที่ข้าต้องบอกท่าน”

โจวซื่อกำลังยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาบนใบหน้า จู่ๆ ได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยกับนางอย่างจริงจังเช่นนี้ หัวใจพลันเต้นเร็ว เพียงคิดว่าฮูหยินผู้เฒ่าหรือหลี่ซิวป๋อได้สร้างความลำบากให้กับหลี่หลิงหว่าน นางจึงรีบร้อนเอ่ย “เป็นเรื่องใดกัน”

แม้แต่น้ำเสียงยังสั่นน้อยๆ ช่างเป็นวิหคผวาเกาทัณฑ์ ลมครวญกระเรียนร้อง จริงๆ

หลี่หลิงหว่านบีบมือโจวซื่อเบาๆ คล้ายบอกให้นางไม่ต้องกังวล จากนั้นถึงได้เอ่ยช้าๆ “เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าเห็นหมิงเยวี่ยสาวใช้ข้างกายซุนอี๋เหนียง ยามนั้นข้าสังเกตดูอย่างละเอียด เห็นท้องน้อยของนางนูนขึ้นน้อยๆ ทั้งยังคลื่นไส้อาเจียนบ่อยครั้ง สองวันก่อนข้าจึงให้คนไปสืบข่าวมา ถึงได้รู้ว่านางตั้งครรภ์แล้ว”

ในนิยายนางได้วางให้หมิงเยวี่ยตั้งครรภ์จริงๆ ทั้งภายหลังที่คลอดออกมาแล้วยังเป็นบุตรชาย เด็กคนนี้คลอดยากนัก พอคลอดออกมาหมิงเยวี่ยก็ขาดใจตายไป หลี่ซิวป๋อจึงเป็นคนเสนอให้ซุนหลันอีเลี้ยงเด็กคนนี้

โจวซื่อมีท่าทีไม่เข้าใจในความหมายของหลี่หลิงหว่านอยู่บ้าง หลังจากนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วนางถึงได้เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุกข์ระทม “อ้อ ท่านพ่อของลูกมีบุตรอีกคนแล้ว?”

หลี่หลิงหว่านมองโจวซื่อคราหนึ่ง ลอบถอนหายใจ ในใจคิดว่า เห็นทีประโยคนี้จะต้องเอ่ยอย่างชัดเจนหน่อยจึงจะได้ ดังนั้นนางจึงเอ่ยเสียงเบา “ข้าคิดเช่นนี้เจ้าค่ะ ท่านเป็นท่านแม่ใหญ่ ตอนนี้ท่านรู้แล้วว่าในบ้านสามีมีสาวใช้ตั้งครรภ์ ทั้งยังเป็นบุตรของท่านพ่อ ท่านสามารถใจกว้างสักหน่อย ไปเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าต้องการยกสาวใช้คนนี้ขึ้นเป็นอี๋เหนียง ในใจสาวใช้ผู้นี้จะต้องขอบคุณท่านเป็นแน่ และในช่วงที่นางตั้งครรภ์ ท่านก็ให้คนไปปรนนิบัตินางดีๆ รอจนเด็กในท้องนางคลอดออกมา ท่านก็สามารถรับเด็กคนนี้มาไว้ภายใต้ชื่อของท่านได้ หากหมิงเยวี่ยมีวาสนาคลอดบุตรชายออกมา เมื่อเขาเป็นลูกในนามของท่าน เขาก็จะเป็นบุตรชายที่เกิดจากภรรยาเอก ถึงยามนั้นเขาก็จะมีท่านคอยเลี้ยงดูตั้งแต่ยังเล็ก มีท่านอบรมสั่งสอนเขาอย่างตั้งใจ ต่อให้ท่านไม่ได้เป็นผู้ให้กำเนิด แต่ก็ไม่แตกต่างจากเป็นผู้ให้กำเนิดเองสักเท่าไร รอจนเขาเติบใหญ่ คนที่เขาจะกตัญญูด้วยย่อมเป็นท่านแน่ หากเขาสามารถสอบผ่านจนมีตำแหน่งที่ดี พวกเราสองแม่ลูกเองก็มีที่พึ่งแล้ว ท่านว่ามีเหตุผลหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่หลิงหว่านเอ่ยประโยคเหล่านี้จนโจวซื่อกระจ่างแจ้งโดยฉับพลัน ความวิตกกังวลในใจล้วนไม่เหลือแล้ว

เดิมทีโจวซื่อยังคิดว่านางที่ไม่มีบุตรชาย รอจนหลี่หลิงหว่านแต่งออกไปแล้ว ดูจากระดับความรักใคร่ที่หลี่ซิวป๋อมีต่อซุนหลันอีกับบุตรชายบุตรสาวคู่นั้นในยามนี้ ชีวิตในบั้นปลายของนางย่อมอ้างว้างเป็นแน่ แต่หากนางมีบุตรชายอยู่เคียงข้าง ต่อให้พึ่งพาสามีไม่ได้ก็ยังพึ่งพาบุตรชายได้

“ใช่…ใช่แล้ว” โจวซื่อรีบเอ่ย “เป็นเช่นนี้ได้”

หลี่หลิงหว่านเห็นมารดาคิดตกแล้ว ในใจนางก็มีความสุข

หลังสองแม่ลูกพูดคุยถึงรายละเอียดเรื่องนี้อีกรอบแล้ว หลี่หลิงหว่านจึงลุกขึ้นเตรียมจากไป บอกว่าต้องการไปดูหลี่เหวยหยวน

เมื่อครู่หลี่เหวยหยวนรับฝ่ามือนั้นของหลี่ซิวป๋อแทนหลี่หลิงหว่าน นางย่อมรู้สึกเป็นห่วงเขามากจริงๆ และโจวซื่อเองก็ไม่ได้ห้าม

ตอนนี้หลี่เหวยหยวนเดินอยู่บนเส้นทางขุนนางแล้ว อีกทั้งอายุยังน้อย หน้าที่การงานในภายภาคหน้าย่อมไม่แย่ วันนี้เขายอมกระทั่งรับฝ่ามือของหลี่ซิวป๋อแทนหลี่หลิงหว่าน เพียงพอให้เห็นว่าในใจเขามีหลี่หลิงหว่านอยู่ โจวซื่อมีแต่รู้สึกยินดียิ่ง ดังนั้นเมื่อได้ยินหลี่หลิงหว่านบอกเช่นนี้ นางจึงรีบเอ่ย “นี่เป็นเรื่องที่สมควรยิ่ง ลูกรีบไปดูพี่ใหญ่ลูกเถอะ จำไว้ว่าจะต้องขอบคุณเขาให้ดี”

หากมีหลี่เหวยหยวนคอยดูแลเช่นนี้ ชาตินี้ของหลี่หลิงหว่านก็ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว

หลี่หลิงหว่านตอบรับ จากนั้นยังเอ่ยกำชับโจวซื่ออีกหลายประโยค ถึงได้พาเสี่ยวซานหมุนตัวออกจากประตูไปหาหลี่เหวยหยวน

ตอนที่หลี่หลิงหว่านไปหาหลี่เหวยหยวน นางก็เห็นเขากำลังอ่านตำราอยู่ที่ข้างหน้าต่าง

หลี่หลิงหว่านมาถึงก็ไม่จำเป็นต้องให้จิ่นเหยียนเข้าไปแจ้งก่อน นางสามารถเดินเข้าไปได้เลย จากนั้นก็ยื่นมือออกไปจับใบหน้าของหลี่เหวยหยวน แล้วมองสำรวจแก้มซีกซ้ายของเขาอย่างละเอียด

ฝ่ามือนั้นของหลี่ซิวป๋อออกแรงหนักมากจริงๆ ต่อให้ผ่านไปสักพักแล้ว แต่ก็ยังคงมองเห็นรอยประทับของนิ้วทั้งห้าบนแก้มซ้ายของหลี่เหวยหยวนได้อย่างชัดเจน

หลี่หลิงหว่านกัดฟันเอ่ยอย่างเคียดแค้น “เขาคิดจะตบข้าให้ตายในครั้งเดียวเลยใช่หรือไม่” ก่อนจะยื่นมือไปลูบแก้มซ้ายของหลี่เหวยหยวนอย่างแผ่วเบา เอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง “พี่ชาย พี่เจ็บหรือไม่เจ้าคะ”

นิ้วมือของนางเย็นเล็กน้อย ทั้งยังแฝงไปด้วยกลิ่นหอมละมุนของดอกพุดซ้อนที่อยู่นอกเรือนพัก

หลี่เหวยหยวนวางตำราในมือลง แล้วยกมือขึ้นจับมือของนางที่กำลังวางอยู่บนแก้มเขา จากนั้นจึงยิ้มเอ่ย “ใช้น้ำแข็งก้อนประคบไปแล้ว ข้าไม่เจ็บแล้วล่ะ”

หลี่หลิงหว่านถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนนั่งลงบนเก้าอี้ข้างกายเขา

“ท่านย่าต่อว่าเจ้าหรือ” หลี่เหวยหยวนเหลือบมองนาง “ให้วันหน้าเจ้าอย่าได้โต้เถียงท่านอาสามอีก ทั้งยังให้เจ้าไปขอร้องท่านเจ้าอาวาสอีกใช่หรือไม่”

หลี่หลิงหว่านรู้ว่าเขาฉลาด แล้วก็ไม่มีเรื่องใดต้องปิดบังเขา นางจึงตอบรับอย่างเหนื่อยล้าอยู่บ้าง “ใช่แล้วเจ้าค่ะ”

เพื่อไม่ให้โจวซื่อเป็นกังวล ยามที่อยู่กับโจวซื่อบนใบหน้าหลี่หลิงหว่านจึงมีรอยยิ้มอยู่เสมอ และยังแสร้งแสดงท่าทีผ่อนคลายออกมา ทว่ายามอยู่กับหลี่เหวยหยวนเช่นนี้นางคร้านที่จะแสดงแล้ว

เสแสร้งไปก็ไร้ประโยชน์ หลี่เหวยหยวนเป็นคนที่มีความคิดความอ่านละเอียดรอบคอบถึงเพียงนี้ เห็นแค่บางส่วนก็สามารถคาดเดาทั้งหมดได้แล้ว การแสดงละครต่อหน้าเขาถือเป็นการเสียเปล่า ถึงอย่างไรเขาก็มองนางออก อีกทั้งพอผ่านเรื่องราวในวันนี้ไป หลี่หลิงหว่านก็เชื่อมั่นในตัวหลี่เหวยหยวนมากกว่าเดิมแล้ว

มิหนำซ้ำเมื่อครู่หลังจากนางใคร่ครวญดูแล้วก็รู้สึกว่าในภายภาคหน้านางทำได้เพียงพึ่งพาหลี่เหวยหยวนจริงๆ

ฮูหยินผู้เฒ่ากับหลี่ซิวป๋อแสดงออกชัดเจนว่าต้องการให้ซุนหลันอีขึ้นเป็นภรรยาเอก แม้การปกป้องโจวซื่อจะเทียบได้กับนางปกป้องตนเอง ทว่าน่าเสียดายนัก ด้วยสติปัญญาเพียงเท่านี้ของตนเอง นางรู้สึกว่ายังคงมีบางเรื่องที่แม้จะมีใจมุ่งมั่นแต่ไม่มีอำนาจพอ

แล้วเหตุใดนางจะไม่พึ่งพาหลี่เหวยหยวนกันเล่า นางวางให้เขาเป็นคนที่เก่งกาจถึงเพียงนั้น กระทั่งทั้งราชสำนักยังสามารถควบคุมเอาไว้ได้ นับประสาอะไรกับแค่จวนสกุลหลี่

หลี่หลิงหว่านหันหน้าไปมองหลี่เหวยหยวน คิ้วยาวนัยน์ตากระจ่าง จมูกโด่งริมฝีปากบาง เป็นคนที่หล่อเหลาคมคายมากคนหนึ่งจริงๆ เพียงแต่บางครั้งแผ่กลิ่นอายเย็นชามากไปสักหน่อย ทว่าช่วยไม่ได้จริงๆ ตัวตนตอนแรกที่นางออกแบบให้เขาก็คือเป็นคนเย็นชาเช่นนี้

เหลียงเฟิงอวี่รับหน้าที่สดใส ฉุนอวี๋ฉีรับหน้าที่อบอุ่น หลี่เหวยหยวนก็รับหน้าที่เย็นชา มิเช่นนั้นหากให้ทุกคนผสมปนเปนิสัยกันไปหมดจะทำเช่นไร

หลี่เหวยหยวนถูกหลี่หลิงหว่านสังเกตเช่นนี้ก็ไม่รู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด เขาเพียงแต่หยักยกมุมปากแล้วเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหตุใดจู่ๆ เจ้าก็มองข้าเช่นนี้”

ในใจหลี่หลิงหว่านกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น เมื่อได้ยินเขาถามจึงเอ่ยปากตอบอย่างไร้สติ “เพราะว่าพี่ดูงดงามนัก”

บทที่สิบสอง

หลี่เหวยหยวนกำลังจะยื่นมือไปหยิบตำราที่เขาเพิ่งวางลงบนโต๊ะมาอ่าน แต่พอได้ยินประโยคนี้เขาก็ไม่คิดหยิบตำราแล้ว เอาแต่มองหลี่หลิงหว่าน มุมปากหยักโค้งมากขึ้นกว่าเมื่อครู่นี้

บุรุษผู้หนึ่งหากถูกผู้อื่นเอ่ยชมว่าตนเองดูงดงามเช่นนี้ หลี่เหวยหยวนย่อมไม่ดีใจ ด้วยรู้สึกว่าถูกเหยียดหยามเข้าให้แล้ว ในใจย่อมรู้สึกเกลียดชังคนผู้นั้นไม่มากก็น้อย แต่พอได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยชมเช่นนี้ เขามีแต่จะรู้สึกมีความสุข

และยามนี้หลี่หลิงหว่านก็ใคร่ครวญไปไม่น้อยแล้ว ในที่สุดนางจึงตัดสินใจได้ ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยนิ้วทองคำอ้วนๆ อย่างสำนักหวงจี๋วางทิ้งไว้เฉยๆ โดยไม่ใช้เช่นนั้น นี่ไม่เป็นการดูถูกศัตรูเกินไปหรอกหรือ มิหนำซ้ำหลี่เหวยหยวนยังคอยปกป้องนางมาโดยตลอด ต่อให้ภายหลังเขามีอำนาจแล้ว นางก็ยังเชื่อว่าเขาจะไม่มีทางทำร้ายนางเป็นอันขาด

เหตุใดจึงไม่มอบนิ้วทองคำนี้ให้หลี่เหวยหยวนเสียเลยเล่า ถึงอย่างไรสติปัญญาของนางก็ดูแลสำนักหวงจี๋ไม่ไหวแน่นอน แต่หลี่เหวยหยวนจะต้องทำได้แน่ มิหนำซ้ำตอนนี้ตัวตนของนางยังเป็นแค่สตรีคนหนึ่ง ไม่อาจออกจากจวนได้โดยง่าย เรื่องการดูแลสำนักหวงจี๋จะต้องมีข้อจำกัดอย่างมาก ดังนั้นนิ้วทองคำนี้เมื่อคิดไปคิดมาแล้วก็ทำได้เพียงมอบให้หลี่เหวยหยวนเท่านั้น

เมื่อมีนิ้วทองคำนี้แล้ว ภายหลังที่หลี่เหวยหยวนอยู่ในราชสำนักก็จะยิ่งเหมือนปลาได้น้ำ สุดท้ายจะไม่มีทางจบลงด้วยจุดจบเช่นนั้น

เพียงแต่หลี่เหวยหยวนฉลาดถึงเพียงนี้ ที่สุดแล้วเรื่องนี้ควรจะเปิดปากเอ่ยกับเขาเช่นไรถึงจะไม่ทำให้เขาสงสัยนางขึ้นมา

หลี่หลิงหว่านขมวดคิ้วงามและกัดริมฝีปากเอาไว้

หลี่เหวยหยวนเห็นนางขมวดคิ้วและกัดริมฝีปากเช่นนี้ เขาก็รู้ว่าในใจนางมีเรื่องให้ครุ่นคิด ซึ่งเขาไม่ชอบเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้เป็นอย่างมาก

ข้ารู้สึกว่าหว่านวานของข้าควรจะมีความสุขในทุกๆ วัน ไร้ทุกข์ไร้กังวลจึงจะดี จะมีเรื่องราวให้คอยหงุดหงิดใจได้อย่างไร

หลี่เหวยหยวนพลันโน้มตัวเข้าหา ยื่นมือไปกุมมือหลี่หลิงหว่าน แล้วเอ่ยเรียกนางเสียงเบา “หว่านวาน”

หลังเรียกไปสองครั้งหลี่หลิงหว่านถึงได้ส่งเสียงตอบรับ กระนั้นนางก็ไม่ได้หันหน้ามา เพียงแต่ถามเขาอย่างใจลอย “เจ้าค่ะ มีเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ”

หลี่เหวยหยวนไม่ได้ตอบ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาถึงได้ยกมือขึ้นคลึงคิ้วที่ขมวดมุ่นของนาง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไม่ต้องขมวดคิ้วแล้ว มีเรื่องทุกข์ใจอะไรแค่บอกพี่ชายมา พี่ชายจะช่วยจัดการให้เจ้า”

หลี่หลิงหว่านคิดในใจ ข้าไม่ได้มีเรื่องทุกข์ใจเพียงเรื่องเดียวเสียหน่อย เรื่องทุกข์ใจของข้านั้นยังมีอีกมาก มิหนำซ้ำดูท่าแล้วยังต้องอาศัยเจ้าเป็นผู้จัดการเรื่องราวทั้งหมดด้วย

นางเอ่ยปากบอกให้เสี่ยวซานกับจิ่นเหยียนออกไปเฝ้าข้างนอก จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย ข้ามีเรื่องจะพูดกับพี่”

คิดไปคิดมาเรื่องที่เหนือธรรมชาติเช่นนี้ก็ทำได้เพียงอาศัยชื่อของภูตผีวิญญาณมาพูดแล้ว อีกทั้งนางยังเห็นว่าวันนี้ตอนที่หลี่เหวยหยวนไหว้พระก็มีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่ง ไม่แน่เขาอาจจะศรัทธาในพระพุทธองค์เช่นเดียวกับฮูหยินผู้เฒ่าก็เป็นได้ เช่นนั้นการจะทำให้เขาเชื่อคำพูดของนางก็จะยิ่งง่ายขึ้นมาหน่อยแล้ว

หลังจากที่หลี่เหวยหยวนถามมาว่ามีเรื่องอะไร หลี่หลิงหว่านจึงเขยิบเข้าใกล้เขาอย่างมีลับลมคมในก่อนเอ่ยเสียงเบา “พี่ชาย ขอไม่ปิดบังพี่ หลายปีมานี้ข้ามักจะฝันแปลกๆ อยู่เสมอ”

หลี่เหวยหยวนเลิกคิ้วน้อยๆ มือที่กุมมือนางไว้ก็ชะงัก

เจ้าคิดอะไรแปลกๆ ขึ้นมาได้อีกแล้วหรือ

และเพื่อให้หลี่เหวยหยวนยอมเชื่อคำพูดของตนเอง หลี่หลิงหว่านยังเล่าเรื่องจับวิญญาณเมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ออกมา แน่นอนว่าหลักๆ ย่อมพูดถึงบทสนทนาระหว่างนางกับฮูหยินผู้เฒ่าในตอนนั้น

“ภายหลังข้ายังฝันถึงท่านปู่ผู้นั้นอยู่บ่อยๆ บางทีเขาก็มาสนทนาสัพเพเหระกับข้า บางทียังเอ่ยบอกเรื่องบางอย่างกับข้า อย่างเช่นก่อนที่พี่จะเข้าร่วมการสอบเซียงซื่อ เขาบอกข้าว่าพี่จะสามารถสอบได้เป็นเจี้ยหยวน ก่อนสอบฮุ่ยซื่อเขาก็บอกว่าพี่จะสอบได้เป็นฮุ่ยหยวน แม้แต่เรื่องที่พี่ได้เป็นจ้วงหยวนในการสอบเตี้ยนซื่อเขาเองก็บอกข้ามาก่อนนานแล้ว”

หลี่เหวยหยวนเห็นหลี่หลิงหว่านจงใจสร้างเรื่องเหนือธรรมชาติเช่นนี้ขึ้นมา ในใจเขาก็ลอบขัน ทว่าฉากหน้ายังคงแสร้งแสดงท่าทีตกตะลึงออกมา “มีเรื่องอัศจรรย์เช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ”

หลี่หลิงหว่านผงกศีรษะอย่างจริงจัง “เจ้าค่ะ ตอนแรกข้าเองก็ไม่เชื่อเขา แต่ต่อมาข้าเห็นว่าเรื่องที่เขาบอกกับข้าล้วนเกิดขึ้นจริง ข้าจึงไม่อาจไม่เชื่อได้”

“ดังนั้น…” หลี่เหวยหยวนเดาได้ว่านางจะต้องมีเรื่องบางเรื่องที่อยากบอกเขา เกรงว่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่งอีกด้วย เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาก่อนอย่างช่างสังเกตยิ่ง “ระยะนี้ท่านปู่ผู้นั้นพูดเรื่องราวบางอย่างกับเจ้า แต่ในใจเจ้ารู้สึกตัดสินใจไม่ได้ จึงต้องการถามข้าใช่หรือไม่”

“พี่ชายร้ายกาจยิ่งนัก แม้แต่เรื่องนี้พี่ก็ยังเดาออก” ในน้ำเสียงหลี่หลิงหว่านเต็มไปด้วยความชื่นชม

มุมปากหลี่เหวยหยวนหยักยกขึ้น ในแววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ไม่ว่าจะจากใจจริงหรือเสแสร้ง แต่ได้ยินนางกล่าวชมเช่นนี้ ในใจเขาย่อมรู้สึกยินดีเสมอ

เมื่อเห็นว่าปูเรื่องมาไม่น้อยแล้ว หลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยคำพูดที่อยากจะพูดในวันนี้ออกมาอย่างหมดเปลือก “เมื่อไม่กี่วันก่อนท่านปู่ผู้นั้นบอกข้าว่าในราชวงศ์ต้าหนิงมีสำนักแห่งหนึ่งชื่อว่าสำนักหวงจี๋ สำนักนี้ร้ายกาจยิ่งนัก มีสมาชิกครอบคลุมทั่วใต้หล้า กระทั่งขุนนางบางส่วนในราชสำนักและในกองทหารยังล้วนเป็นสมาชิกของสำนักหวงจี๋นี้ มิหนำซ้ำสำนักหวงจี๋นี้ยังทำการค้าขาย คหบดีร่ำรวยในหมู่ราษฎรหลายคนต่างก็เป็นสมาชิกของสำนักนี้ สามารถพูดได้ว่าทำการค้าขายทั่วใต้หล้า ทั้งยังมีหูตาอยู่ในสถานที่ต่างๆ มากมาย หากมีเรื่องที่พี่อยากรู้ ย่อมสามารถสืบออกมาได้อย่างแน่นอน”

ในใจหลี่เหวยหยวนพลันกระตุก

หากใต้หล้ามีสำนักเช่นนี้อยู่จริงๆ มิหนำซ้ำหากสามารถควบคุมทั้งสำนักนี้ได้ นั่นมิใช่ว่า…

ทว่าแม้ในใจเขาจะตกตะลึงมากเพียงใด ฉากหน้าก็ยังไม่แสดงออกชัดเจน กลับกันยังเอ่ยถามด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ใต้หล้าถึงกับมีสำนักเช่นนี้อยู่ สำนักนี้ผู้ใดเป็นผู้ก่อตั้ง แล้วมีเป้าหมายเพื่ออะไร อีกทั้งอำนาจของสำนักนี้ย่อมจะคุกคามไปถึงอำนาจของฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทไม่ทรงทราบเชียวหรือ”

หลี่หลิงหว่านรู้สึกอยากข่วนกำแพงอยู่บ้าง

เจ้าอย่าได้ชี้ถึงแก่นแท้ของปัญหาที่มีอยู่เหล่านี้ออกมาทีละประเด็นในทันทีได้หรือไม่ เจ้าเลอะเลือนหน่อยไม่ได้หรือ ข้าแค่อยากมอบของดีให้เจ้า เจ้าจะต้องเอ่ยถามมากมายขนาดนี้ทำไมกัน

แต่เรื่องพวกนี้ยังไม่อาจบอกเจ้าได้ชั่วคราว เพราะอย่างไรนิ้วทองคำอ้วนๆ นี้แต่เดิมก็มีไว้สำหรับพระเอก หาใช่เรื่องของตัวประกอบชายอันดับสองเช่นเจ้า แต่ตอนนี้…ข้าอยากจะโกงผู้อื่นอย่างไรเล่า

หลี่หลิงหว่านส่ายศีรษะ “เรื่องพวกนี้ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านปู่คนนั้นไม่ได้บอกข้าไว้เจ้าค่ะ”

หลี่เหวยหยวนเหลือบมองนางคราหนึ่งโดยไม่เอ่ยอะไร

เจ้าเด็กคนนี้นี่ ทั้งที่อยากจะมอบสำนักหวงจี๋ให้แก่ข้า แต่เจ้ากลับปิดบังเรื่องราวภายในมากมาย เป็นเพราะเหตุใดกัน ที่สุดแล้วมีเรื่องใดที่เจ้าไม่อยากจะพูดกันแน่

ยามนั้นหลี่หลิงหว่านก็ลอบสังเกตสีหน้าของหลี่เหวยหยวน นางจึงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “พี่ชาย สำนักหวงจี๋นี้ พี่ต้องการมันหรือไม่เจ้าคะ”

สำนักเช่นนี้ใครบ้างจะไม่ต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นหลายปีมานี้หลี่เหวยหยวนก็เคียดแค้นที่ตนเองไม่แกร่งกล้ามากพอ เขาไม่อาจปกป้องหลี่หลิงหว่านได้ มักทำให้นางต้องคอยรองรับอารมณ์โกรธของผู้อื่นอยู่เสมอ หากในมือเขาสามารถครอบครองสำนักเช่นนี้ได้จริง ภายภาคหน้ายังจะต้องกลัวอะไรอีก

หลี่เหวยหยวนจึงผงกศีรษะแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ต้องการ”

หลี่หลิงหว่านได้ยินเขาตอบคำถามอย่างหนักแน่นเช่นนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดจู่ๆ ในใจนางก็เกิดความลังเลขึ้นมา

ในนิยายนั้นภายหลังหลี่เหวยหยวนจะเป็นเหมือนกับที่ท่านเจ้าอาวาสพูดไว้จริงๆ เขาจะพิฆาตแผ่นดิน พิฆาตราษฎร สร้างความวุ่นวายให้ใต้หล้า ราษฎรอยู่อย่างทุกข์เข็ญ หากนางบอกความลับของสำนักหวงจี๋นี้กับเขาไปอีก เขาก็จะเป็นเช่นพยัคฆ์ติดปีกจริงๆ แล้ว ถึงยามนั้นมิใช่ว่านางเป็นผีชางรับใช้เสือ หรอกหรือ

ทว่าหลี่เหวยหยวนดีต่อนางถึงเพียงนี้ ล้วนใส่ใจนางและปกป้องนางทุกเรื่อง มิหนำซ้ำยามนี้แม้ฉากหน้าเขาจะดูเย็นชาอยู่ แต่นางก็รู้ว่านิสัยของเขาสงบนิ่งลงไปไม่น้อยแล้ว ไม่ได้อำมหิตโหดเหี้ยมเหมือนที่ออกแบบไว้ในนิยายเช่นนั้นอีก

ขณะที่ในใจหลี่หลิงหว่านกำลังสับสนวุ่นวายอยู่นั้น มือคู่หนึ่งก็เอื้อมมากุมสองมือของนาง

“หว่านวาน” น้ำเสียงของหลี่เหวยหยวนนุ่มนวล ทั้งยังมีความเอ็นดู “เจ้าไม่เชื่อใจพี่ชายหรือ”

หลี่หลิงหว่านเงยหน้ามองหลี่เหวยหยวน

นัยน์ตาของเขาดำขลับสว่างไสวราวกับหินเฮยเย่า สายตาที่กำลังมองนางอย่างตั้งใจก็เต็มไปด้วยความอ่อนโยนนุ่มนวลแบบที่นางคุ้นเคยยิ่งนัก

หัวใจที่เต้นอย่างสับสนวุ่นวายในอกของหลี่หลิงหว่านพลันสงบนิ่งลง บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มสดใสยิ่งขณะที่มองหลี่เหวยหยวน “พี่เป็นพี่ชายของข้า ข้าจะไม่เชื่อใจพี่ได้อย่างไรเจ้าคะ”

จากนั้นนางก็ขยับนิ้วเพื่อนับวันก่อนบอกเขา “พี่ชาย พี่ยังจำร้านขายเครื่องประดับที่พวกเราบังเอิญเข้าไปหลังจากที่พี่สอบเตี้ยนซื่อเสร็จได้หรือไม่ บนผนังทางด้านขวาของร้านนั้นแขวนพิณเหยาฉินสิบสามสายอยู่คันหนึ่ง รอจนวันที่แปดเดือนห้า ให้พี่ไปยังร้านแห่งนี้แต่เช้า ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น แค่ยื่นมือออกไปดีดสายเส้นที่หนึ่ง สาม เจ็ด และเก้าของพิณคันนั้นตามลำดับ ถึงตอนนั้นจะต้องมีคนเดินมาพูดคุยกับพี่อย่างแน่นอน หากพี่ได้ยินอีกฝ่ายถามว่าลูกค้ามาจากที่ใด พี่ก็ไม่ต้องตอบ เพียงแค่ท่องกวีบทหนึ่งออกไปก็พอแล้ว”

นางชอบบทกวีของหวังเหวย ดังนั้นตอนแรกที่ออกแบบรหัสลับนี้จึงได้ใช้บทกวี ‘ตอบจางเซ่าฝู่’ ของหวังเหวย กวีบทนั้นสัมพันธ์กับพิณ อีกทั้งสองวรรคสุดท้ายอย่าง ‘หากใคร่ถามหลักสำเร็จแลล้มเหลว เชิญฟังบทเพลงคนหาปลาในธารลึก’ ยังให้ความรู้สึกที่ตัดขาดจากทางโลกเป็นอย่างยิ่งด้วย

นางท่องกวีบทนั้นให้หลี่เหวยหยวนฟัง บอกว่าเขาจะต้องจดจำทุกถ้อยคำเหล่านี้โดยไม่ตกหล่น คาดไม่ถึงว่าความจำของหลี่เหวยหยวนจะดีจนน่าตกใจจริงๆ นางเพียงท่องไปรอบหนึ่ง เขาก็ท่องกลับให้นางฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่อักษรเดียวได้แล้ว

…เหตุใดตอนแรกข้าถึงต้องออกแบบตัวละครที่เป็นยอดคนออกมามากมายขนาดนี้ด้วยเล่า ตอนนี้เป็นอย่างไร สะท้อนให้เห็นว่าตัวข้าก็คือคนที่ทึ่มทื่อที่สุดคนนั้นแล้ว

ในใจหลี่หลิงหว่านรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างมากอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะค้นกระดาษหนึ่งแผ่นกับพู่กันหนึ่งด้ามออกมา วาดป้ายหยกชิ้นหนึ่ง ด้านข้างเขียนว่า ‘หวังเพียงคนไกลอายุยืนยาว ร่วมชมจันทร์สกาวแม้ห่างไกล’ สองประโยคนี้แล้ว นางก็วาดลายดอกไม้ประหลาดทรงกลมลงไปอีกรูป

นับว่าเป็นประโยชน์ที่หลี่หลิงหว่านเป็นคนค่อนข้างจริงจังคนหนึ่ง ตอนแรกที่ออกแบบลายดอกไม้กับป้ายหยกนี้นางยังจงใจไปหาข้อมูลและวาดเลียนแบบของที่มีอยู่จริง ยามนี้นางจึงยังสามารถวาดออกมาคร่าวๆ ได้ อีกอย่างวันนั้นนางก็เห็นว่าลายดอกไม้นี้ถูกซ่อนอยู่ตามปกคอและชายเสื้อของคนงานร้านขายเครื่องประดับร้านนั้น ซึ่งลายดอกไม้ที่นางวาดออกมาก็คล้ายกันกับลายดอกไม้บนชุดของเขา นี่จะต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน

หลี่หลิงหว่านยื่นกระดาษแผ่นนั้นส่งให้หลี่เหวยหยวนพร้อมเอ่ยกำชับเขา “พรุ่งนี้พี่ไปตามหาหยกขาวมันแพะไร้ตำหนิก้อนหนึ่ง หาคนทำป้ายหยกตามแบบนี้ออกมาหนึ่งชิ้น ด้านหน้าสลักว่า ‘หวังเพียงคนไกลอายุยืนยาว ร่วมชมจันทร์สกาวแม้ห่างไกล’ ประโยคนี้ อีกด้านให้แกะสลักเป็นลายดอกไม้ รอวันที่แปดเดือนห้าพี่เข้าไปในร้านนั้น หลังเอ่ยตอบรหัสลับของพวกเขาแล้วพี่ก็แสดงป้ายหยกนี้ให้พวกเขาดู หากพวกเขาถามถึงคนที่ชื่อซั่งกวนหงเซิ่ง พี่แค่พูดอย่างเศร้าโศกว่าเมื่อคืนเขาป่วยตายไปแล้วก็พอ ก่อนตายได้บอกเรื่องพวกนี้กับพี่ไว้ ทั้งยังมอบป้ายหยกชิ้นนี้ให้พี่ หากพวกเขาถามเกี่ยวกับเรื่องราวของพี่ พี่แค่บอกว่าซั่งกวนหงเซิ่งได้บอกทุกอย่างแก่พี่แล้วก็พอ”

พูดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็รู้สึกปวดฟันอยู่บ้าง

เรื่องนี้พูดไปแล้วฟังดูเรียบง่ายยิ่ง แต่ลงมือกระทำจริงยังมีความเสี่ยงอยู่เล็กน้อย หากไม่ระวังจนเผยความลับให้คนพวกนั้นรู้ตัว เช่นนั้นก็เป็นการขโมยไก่ไม่สำเร็จยังต้องเสียข้าวสารล่อ ไปจริงๆ

ทั้งในใจนางก็ยังรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย เดิมทีสำนักหวงจี๋นี้ควรจะเป็นของเซี่ยอวิ้น ทว่ายามนี้ถูกนางโยกย้ายให้หลี่เหวยหยวนเช่นนี้ ไม่รู้ว่าหากเซี่ยอวิ้นไร้นิ้วทองคำอ้วนพีนี้แล้วภายหลังจะยังขึ้นเป็นฮ่องเต้ได้อีกหรือไม่…

ยามที่หลี่เหวยหยวนมองกระดาษในมือ ในใจก็มีแต่ความตกตะลึง

เมื่อย้อนคิดไปถึงตอนที่อยู่ในร้านขายเครื่องประดับวันนั้นอย่างละเอียดแล้ว เขาจำได้ว่าบนผนังแขวนพิณคันหนึ่งเอาไว้จริงๆ ยามนั้นเขาก็สังเกตเห็นว่าพิณคันนั้นมีอยู่สิบสามสายเช่นกัน แม้จะรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง ทว่าไม่ได้สนใจนัก ไฉนเลยจะล่วงรู้ว่าภายในนั้นจะมีความลับที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ซ่อนอยู่

ยามนั้นหลี่หลิงหว่านจะต้องพบกลไกลับที่ซ่อนอยู่ในนั้นแล้วอย่างแน่นอน เพราะเขาจำได้ว่าตอนนั้นนางมีช่วงเวลาที่เหม่อลอยไปชั่วขณะหนึ่ง

หลี่เหวยหยวนเงยหน้ามองหลี่หลิงหว่าน คิ้วของนางยังคงขมวดเข้าหากัน ทั้งยังก้มหน้าน้อยๆ กัดริมฝีปากล่างเบาๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

เมื่อคิดว่านับจากวันนั้นจนถึงวันนี้เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว เรื่องนี้อยู่ในใจนางมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ในที่สุดยามนี้นางก็ตัดสินใจบอกเขาเสียที เมื่อเทียบกับการที่กำลังจะได้สำนักหวงจี๋อันแสนร้ายกาจขนาดนี้ เรื่องที่ทำให้เขารู้สึกปีติยินดีอย่างบ้าคลั่งยิ่งกว่าก็คือการที่หลี่หลิงหว่านค่อยๆ เริ่มเชื่อใจเขาแล้ว มิฉะนั้นนางคงไม่บอกความลับเช่นนี้ให้เขารู้

หลี่เหวยหยวนยื่นมือออกไปกุมมือหลี่หลิงหว่านแน่น น้ำเสียงอ่อนโยนและมั่นคง “หว่านวาน ตลอดชีวิตนี้ข้าไม่มีวันทรยศเจ้าเป็นอันขาด”

หลี่หลิงหว่านชะงักงัน เหตุใดถึงรู้สึกว่าประโยคนี้มีบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยู่เล่า ทว่าต่อมานางก็รีบร้อนชี้แจง “นี่เป็นเรื่องที่ท่านปู่ในความฝันบอกให้ข้านำมาถ่ายทอดกับพี่เจ้าค่ะ ไม่เกี่ยวข้องกับข้าเลย ข้าจะรู้เรื่องราวมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร”

หลี่เหวยหยวนเพียงยิ้มไม่เอ่ยวาจา

จะต้องมีสักวันที่นางเชื่อมั่นในตัวเขาทั้งใจ จากนั้นนางก็จะบอกความเป็นมาของนาง เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่นางรู้แก่เขา และก่อนจะถึงวันนั้นเขาก็เลือกที่จะรอ…รอวันที่นางจะเปิดใจให้เขาทั้งหมด

กระนั้นหลี่หลิงหว่านก็ยังไม่วางใจ นางจึงเอ่ยกำชับเรื่องที่ควรระวังอื่นๆ แก่หลี่เหวยหยวนอย่างละเอียด เขาเพียงอมยิ้มและตอบรับในทุกๆ เรื่อง จากนั้นก็พูดกับนาง ให้นางไม่ต้องเชื่อฟังคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่าที่ให้ไปหาท่านเจ้าอาวาส

ชัดเจนยิ่งว่าท่านเจ้าอาวาสกระจ่างแจ้งถึงความเป็นมาของหลี่หลิงหว่าน แม้ฉุนอวี๋ฉีจะยังไม่รู้ถึงที่มาของนาง แต่เมื่อครู่ที่อุโบสถใหญ่ได้เห็นท่าทีที่ท่านเจ้าอาวาสปฏิบัติต่อหลี่หลิงหว่านแล้ว ในใจอีกฝ่ายจะต้องรู้สึกสงสัยนางอย่างแน่นอน หากยามนี้หลี่หลิงหว่านไปหาท่านเจ้าอาวาส ที่หลี่เหวยหยวนนึกกลัวก็คือตั๊กแตนจ้องจับจักจั่น นกขมิ้นอยู่ด้านหลัง* ยามนี้การเคลื่อนไหวย่อมมิสู้อยู่นิ่งเฉย ให้ฉุนอวี๋ฉีคาดเดาไปเองดีกว่า

ความจริงแล้วหลี่หลิงหว่านเองก็ไม่คิดไปหาท่านเจ้าอาวาส

นางรู้สึกว่าตัวตนของท่านเจ้าอาวาสเป็นดั่งกระจกสะท้อนมารอย่างไรอย่างนั้น ความจริงในใจนางรู้สึกหวาดกลัวเขายิ่ง เพียงแต่โชคดีที่ประโยครู้แจ้งไม่กล่าวแจ้งที่นางเอ่ยออกไปก่อนหน้านี้คล้ายว่าท่านเจ้าอาวาสจะรับฟังเข้าไปแล้ว เขาไม่น่าจะเปิดโปงเรื่องราวใดๆ ที่เกี่ยวกับนางเร็วๆ นี้ แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ ในใจนางก็ยังคงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ดี ดังนั้นมิสู้ไม่พบไปเสียเลย ส่วนฮูหยินผู้เฒ่าทางด้านนั้น เพียงคิดหาคำโป้ปดตบตาให้ผ่านไปก็พอแล้ว

หลังได้ยินหลี่หลิงหว่านรับปากว่าจะไม่ไปหาท่านเจ้าอาวาสแล้ว ในใจหลี่เหวยหยวนก็วางใจลงไม่น้อย เมื่อเห็นว่าดึกมากแล้วเขาจึงลุกขึ้นยืนเพื่อจะส่งนางกลับไป

 

แม้วันนี้ทุกคนในสกุลหลี่จะล้วนพักอยู่ในเรือนพักด้านหลังของวัดเฉิงเอิน แต่ก็ยังคงแบ่งแยกบุรุษสตรีอยู่คนละเรือนกัน ขณะที่หลี่เหวยหยวนจูงมือหลี่หลิงหว่านเดินออกจากเรือนแห่งนี้เพื่อจะส่งนางกลับไปยังเรือนที่สตรีพักอยู่ ทว่าเพิ่งออกจากประตูเรือนมาไม่นาน ฉับพลันก็ได้ยินเสียงหวีดร้องดังขึ้นมาในความมืดอันเงียบสงบ ต่อมาก็ได้ยินเสียงบางสิ่งตกกระทบน้ำดังขึ้น และตามมาด้วยเสียงร้อง “ช่วยด้วย! ใครก็ได้รีบมาเร็วเข้า มีคนตกน้ำ!”

หลี่หลิงหว่านฟังออกว่าเป็นเสียงของหลี่หลิงเจียวก็รู้สึกตระหนก ยามนั้นยังได้ยินเสียงหลี่หลิงเจียวตะโกนร่ำไห้ว่า “พี่สาม น้องเจ็ด พวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”

หลี่หลิงเยี่ยนกับหลี่หลิงเจวียน? ดึกดื่นแล้วพวกนางจะวิ่งมาถึงที่นี่ได้อย่างไร ทั้งยังตกน้ำไปทั้งคู่อีกด้วย

หลี่หลิงหว่านรีบร้อนจะไปดู แต่ถูกหลี่เหวยหยวนฉุดรั้งเอาไว้ ทั้งยังส่ายศีรษะให้นาง บอกให้นางไม่ต้องไป

แค่หลี่หลิงเจียวคนเดียวก็ช่างเถอะ แต่หลี่หลิงเยี่ยนเป็นคนที่มีความคิดความอ่านลึกซึ้งคนหนึ่ง ต่อให้ยามปกติจะเสแสร้งทำดีเพียงใด หลี่เหวยหยวนก็ยังมองออกถึงความเป็นอริที่นางมีต่อหลี่หลิงหว่าน บางทีอาจกำลังต้องการหาเรื่องอะไรมาใส่ร้ายหลี่หลิงหว่านอยู่ก็ได้ ยิ่งยามนี้ดึกดื่นค่อนคืน จู่ๆ ก็ตกน้ำโดยไร้สาเหตุเช่นนี้ หากหลี่หลิงหว่านไปแล้ว ผู้ใดจะรู้ว่าหลี่หลิงเยี่ยนจะเอ่ยวาจาเช่นไรบ้าง เพื่อป้องกันอย่างรัดกุมควรจะให้หลี่หลิงหว่านอยู่ห่างจากที่นั่นหน่อยดีกว่า

หลี่หลิงหว่านยังคงเป็นกังวล “พวกนางจะเป็นอะไรหรือไม่”

ไม่ว่าอย่างไรก็เป็นสองชีวิต การมองดูพวกนางตกน้ำแล้วหมุนตัวจากไปโดยไม่ทำอะไรเช่นนี้นางทำไม่ได้จริงๆ

“ไม่ถึงตายหรอก” ยามนี้หลี่เหวยหยวนกลับมองไปข้างหน้า น้ำเสียงเย็นชาเล็กน้อย “มีคนอยู่ตรงนั้น”

หลี่หลิงหว่านก็มองตามสายตาเขาไป ก่อนจะเห็นว่าเบื้องหน้าบริเวณใต้ต้นการบูรมีเงาของคนสองคนยืนอยู่จริงๆ

หนึ่งในนั้นสวมเสื้อหลันซันสีฟ้านวล แม้จะเป็นแค่เงาแผ่นหลัง แต่ก็สูงสง่าดุจต้นไผ่

เป็นฉุนอวี๋ฉีกับผู้ติดตามข้างกายเขา? หลี่หลิงหว่านพลันเกิดความสงสัย ดึกขนาดนี้แล้ว เขามาทำอะไรที่นี่

 

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็ม)

 

 

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

Jamsai Editor: