X
    Categories: ทดลองอ่านนิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน!มากกว่ารัก

ทดลองอ่าน นิยายเรื่องนี้ข้าไม่ได้เขียน! บทที่ 5

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ห้า

 ท้องฟ้าภายนอกห้องมืดครึ้ม ยามที่สาวใช้ยกม่านหนาหนักสีแดงสดขึ้นนั้น ที่ด้านนอกก็มีประกายระยิบระยับจากหิมะ และหลี่เหวยหยวนก็เดินอยู่บนหิมะ

แม้ร่างกายของเด็กหนุ่มอายุสิบสามจะซูบผอม ทว่ารูปร่างของเขากลับสูงมาก แผ่นหลังก็ตั้งตระหง่านราวกับไผ่เขียวที่ยืนตระหง่านท่ามกลางหิมะตกหนัก แม้อายุยังน้อยแต่กลิ่นอายที่กดข่มผู้คนบนร่างเขากลับเริ่มปรากฏออกมาแล้ว

หลี่หลิงหว่านมองไปที่เขา ในใจพลันบังเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา

ให้ตายสิ นี่เป็นตัวละครที่ข้าเขียนขึ้นมาเองเชียวนะ ข้ารู้สึกราวกับประสบความสำเร็จยิ่งนัก!

หลังจากที่สาวใช้ปล่อยม่านลง แสงสว่างพลันหายไปในชั่วพริบตา นางจึงได้เห็นว่าสายตาประดุจมีดน้ำแข็งของเด็กหนุ่มกำลังมองตรงมาที่นาง

ทั้งที่เจ้าคือตัวละครที่ข้าเขียนขึ้นมาเองแท้ๆ! แต่ดีไม่ดีวันหน้าข้าอาจจะยังถูกตัวละครตัวนี้ฆ่าตายอยู่ดี

ความภาคภูมิใจในอกพลันสลายหายไปในชั่วพริบตา หลี่หลิงหว่านเบ้ปากพลางเบือนหน้าหลบ ไม่มองหลี่เหวยหยวนอีกต่อไป กระนั้นในใจก็คิดว่าหลี่เหวยหยวนในยามนี้ค่อนข้างรับมือได้ง่ายกว่า ยังห่างจากที่ตนบรรยายเขาในภายหลังว่าต้องมีจิตใจบิดเบี้ยวอำมหิต ทว่าฉากหน้าแลดูสุภาพเรียบร้อย เรื่องความหลอกลวงของเขานั้นกระทั่งกิ้งก่าที่พรางตาขั้นสูงยังเทียบไม่ติด

ช่างน่าผิดหวังอยู่บ้าง

สายตาหลักแหลมของหลี่เหวยหยวนเก็บความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนใบหน้าของหลี่หลิงหว่านมาไว้ในความคิดแล้ว ทว่าบนใบหน้าของเขาไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมา เพียงแค่ประสานมือ หลุบสายตา แล้วเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยความเคารพ “หลานคารวะท่านย่าขอรับ”

ตอนที่โจวซื่อคารวะ ฮูหยินผู้เฒ่าเพียงแค่นเสียงรับเบาๆ โดยไม่พูดอะไร ก่อนหน้านี้หลี่หลิงหว่านเคยรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนโจวซื่อมาหนหนึ่งแล้ว ทว่ายามนี้นางกลับรู้สึกว่าสิ่งที่โจวซื่อเจอก่อนหน้านี้ยังไม่นับว่าชวนให้ผู้คนกระอักกระอ่วนเท่าไร

หลังจากหลี่เหวยหยวนคารวะแล้ว ทุกคนก็ได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าดังขึ้นอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่กล้ารับการคารวะจากเจ้าหรอก บางทีหากเจ้าไม่มาคารวะข้า ข้าอาจจะมีชีวิตที่ยืนยาวมากกว่านี้”

ตอนนั้นที่หลี่เหวยหยวนเกิดมา นายท่านผู้เฒ่าสกุลหลี่ก็ตายจากไปอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ในใจฮูหยินผู้เฒ่าล้วนจดจำความแค้นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด ต่อให้ผ่านไปหลายปีแล้วนางก็ยังคงวางไม่ลง

ในเมื่อท่าทีที่ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติต่อหลี่เหวยหยวนเป็นเช่นนี้ คนอื่นๆ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีก ต่างพากันเอ่ยเยาะเย้ยเขาขึ้นมา

หน้าต่างกับประตูฉลุลายในห้องโถงหลักล้วนถูกทาปิดด้วยกระดาษเกาลี่ สีขาว ทำให้แสงจากข้างนอกทะลุผ่านเข้ามาได้ หลี่หลิงหว่านจึงอาศัยแสงที่ผ่านเข้ามานี้มองดูคนอื่นๆ ในห้องซึ่งล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์ชั้นดี มีเพียงหลี่เหวยหยวนที่สวมอาภรณ์เก่าขาด เป็นแค่ชุดจื๋อตัวบางๆ ที่ถูกซักจนสีน้ำเงินกลายเป็นสีขาวไปแล้ว ซึ่งเป็นตัวเดียวกับที่นางได้เห็นเมื่อวาน รองเท้าที่สวมใส่ก็เป็นรองเท้าผ้าคู่เดิม

วันนี้เส้นทางถูกหิมะปกคลุมจนทำให้เดินลำบากยิ่งกว่าเดิม รองเท้าของเขาล้วนมีแต่หิมะกับโคลนอันชื้นแฉะ เป็นเพราะภายในห้องมีกระถางไฟ หลังจากที่เขาเข้ามาในห้องแล้ว หิมะบนรองเท้าก็ละลายไป พื้นที่เขายืนอยู่ยามนี้จึงกลายเป็นแอ่งน้ำเล็กๆ ตลอดเส้นทางที่เขาเดินผ่านมา รวมไปถึงบนพื้นกระเบื้องล้วนปรากฏรอยเท้าชื้นแฉะซึ่งปนไปด้วยดินโคลน

ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหลี่เหวยหลิงเอ่ยถามเขาอย่างขบขัน “พี่ใหญ่ ท่านเพิ่งจะคลานขึ้นมาจากในน้ำหรือ”

หลี่หลิงเจียวได้ยินแล้วก็ปรบมือหัวเราะก่อนเอ่ย “จากที่ข้าเห็น พี่ใหญ่ไม่น่าจะคลานขึ้นจากน้ำ แต่น่าจะเกลือกกลิ้งในดินโคลนเสียมากกว่า มิเช่นนั้นยามที่พี่ใหญ่เดินมา บนพื้นจะเต็มไปด้วยรอยโคลนได้อย่างไร”

คนทั้งห้องพูดเพียงว่าหลี่หลิงเจียวใสซื่อไร้เดียงสาแล้วพากันหัวเราะขึ้นมา ทว่าท่ามกลางเสียงหัวเราะเหล่านี้ ใบหน้าของหลี่เหวยหยวนยังคงเฉยเมยเช่นเดิม เขาในตอนนี้ไม่มีความสามารถพอจะแสดงอารมณ์ของตนเองออกมาต่อหน้าคนเหล่านี้ได้

หลี่หลิงหว่านมองหลี่เหวยหยวนที่เป็นเช่นนี้ และหูได้ฟังคำพูดพวกนั้นของคนรอบข้างแล้วพลันรู้สึกละอายใจขึ้นมาเป็นอย่างยิ่ง

สาเหตุที่ทำให้เกิดสถานการณ์อันน่ารันทดเช่นนี้กับหลี่เหวยหยวนล้วนมาจากนางที่เป็น ‘เทพผู้สร้าง’ คนนี้

หลี่หลิงหว่านรู้สึกหดหู่ นางไม่อยากได้ยินทุกคนเอ่ยสบประมาทหลี่เหวยหยวนเช่นนี้อีก จึงหันหน้าไปดึงชายแขนเสื้อของฮูหยินผู้เฒ่าพร้อมเอ่ยเสียงเบา “ท่านย่า หลานหิวแล้วเจ้าค่ะ”

ทุกๆ วันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้าของเดือน ในสองวันนี้หลังจากที่ทุกคนมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็จะอยู่กินอาหารร่วมกับนางหนึ่งมื้อ

พอฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินหลี่หลิงหว่านเอ่ยเช่นนี้จึงหันไปเอ่ยกับซวงหงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “คุณหนูสามหิวแล้ว ยกอาหารเข้ามาเถิด”

อย่างไรก็จะยกอาหารเข้ามาแล้ว ทุกคนย่อมไม่พูดจาเยาะเย้ยเสียดสีหลี่เหวยหยวนอีก

ห้องรองปีกตะวันตกมีโต๊ะกลมใหญ่อยู่โต๊ะหนึ่ง ทุกคนล้วนกินอาหารร่วมกันที่นั่น

ยามนี้ทุกคนพากันลุกเดินไปทางห้องรองปีกตะวันตก มีเพียงหลี่เหวยหยวนที่ยังยืนอยู่เงียบๆ ตรงกลางห้องโถงหลักเพียงลำพัง

แม้ทุกๆ วันที่หนึ่งกับวันที่สิบห้าของเดือนเขาจะมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่าที่นี่เสมอ แต่ผู้เป็นย่าก็ไม่เคยให้เขาอยู่ร่วมกินอาหารด้วยกันมาก่อน ทุกครั้งล้วนไล่ให้เขากลับไปหลังคารวะเสร็จเรียบร้อยแล้ว ในใจเขาคิดว่าวันนี้ก็ย่อมเป็นเช่นนั้น เพียงแต่ยามนี้ฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่ออกปากไล่ให้เขากลับไป เขาก็ไม่อาจหุนหันออกไปเองได้

หลี่เหวยหยวนก้มหน้าลงมองปลายเท้าตนเอง ที่หว่างคิ้วขมวดตึงแฝงการรอคอยให้ฮูหยินผู้เฒ่าเปิดปากบอกให้เขากลับไป ความจริงเขาเองก็อยากจากไปแล้วเช่นกัน ทุกคนในที่แห่งนี้ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ทว่าในสายตาพวกเขานั้น เขากลับไม่ใช่ครอบครัวของพวกเขา และในสายตาของหลี่เหวยหยวน คนพวกนั้นก็ไม่ใช่ครอบครัวของเขาเหมือนกัน

ขณะที่หลี่หลิงหว่านกำลังช่วยประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปยังห้องรองปีกตะวันตก พอฮูหยินผู้เฒ่าหันหน้ามาเห็นหลี่เหวยหยวน นางกำลังจะบอกให้เขาจากไปเช่นทุกที แต่กลับคิดถึงคำพูดที่หลี่หลิงหว่านบอกว่าเขาเคยช่วยตนเองไว้ขึ้นมาได้เสียก่อน ดังนั้นนางจึงเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าได้ยินน้องสามของเจ้าบอกว่าก่อนหน้านี้ที่นางหกล้มโชคดีที่มีเจ้าช่วยพันแผลที่ศีรษะให้ นางถึงได้ไม่เสียเลือดมากไป สุดท้ายจึงช่วยนางกลับมาได้ เห็นแก่ที่ในใจเจ้ายังมีน้องสามของเจ้าอยู่ วันนี้เจ้าเองก็อยู่กินอาหารเช้าด้วยกันเถอะ”

หลี่เหวยหยวนพลันเงยหน้ามองไปทางหลี่หลิงหว่านทันที แววตาเต็มไปด้วยความตกใจและไม่อยากจะเชื่อ

ทั้งๆ ที่วันนั้นเป็นเขาที่ลงมือผลักนาง และตั้งใจจะทำให้นางตาย ก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าวันนี้นางจะต้องมาฟ้องฮูหยินผู้เฒ่าเรื่องของเขาอย่างแน่นอน แต่ไม่คิดเลยว่านางกลับพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่าเขาเป็นคนช่วยนางเอาไว้

เหตุใดหลี่หลิงหว่านจึงต้องทำเช่นนี้ แท้จริงแล้วในใจนางกำลังคิดและตั้งใจจะทำสิ่งใดกันแน่

เกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ในใจหลี่หลิงหว่านก็คิดว่า ข้าตั้งใจจะเอาใจเจ้าอย่างไรเล่า เจ้าไม่เห็นเลยหรือ ข้าแค่ไม่อยากถูกเจ้าฆ่าตายตั้งแต่อายุยังน้อย แค่อยากจะมีชีวิตอยู่ถึงวันที่แก่ตายไปเท่านั้นเอง ดังนั้นขอร้องเจ้าล่ะ อย่าได้ใช้สายตาน่ากลัวเช่นนี้มองข้าเลย ขาข้าแทบจะไม่มีแรงอยู่แล้ว!

หลี่หลิงหว่านถอนสายตาที่สบกับหลี่เหวยหยวนกลับมา แล้วก้มหน้ามองไปยังลายดอกเบญจมาศสีทองบนเสื้อคลุมผ่าหน้าแขนยาวของฮูหยินผู้เฒ่า

หลี่เหวยหยวนเองก็เก็บความตกใจกับความแปลกใจในสายตาไปหมดแล้วเช่นกัน ที่หว่างคิ้วกลับมาเรียบเฉยเหมือนก่อนหน้า เขาก้มศีรษะเอ่ยอย่างนอบน้อม “ขอบคุณขอรับท่านย่า”

ทุกคนไม่มีใครคาดคิดว่าวันนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจะให้หลี่เหวยหยวนอยู่ร่วมกินอาหารด้วย

เดิมทีหลี่เหวยหยวนก็เป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยออกไปที่ใดอยู่แล้ว ทั้งยังสวมอาภรณ์เก่าขาด มองดูเป็นคนเย็นชาอำมหิตคนหนึ่ง ดังนั้นจึงไม่มีใครยินยอมนั่งใกล้เขา สุดท้ายเพราะไร้ทางเลือก หลี่หลิงหว่านจึงต้องนั่งอยู่ข้างกายเขา

นั่งอยู่ข้างขุนนางกังฉินที่อำมหิตที่สุดในนิยาย มิหนำซ้ำวันข้างหน้ายังถูกกำหนดว่าจะเป็นคนที่สังหารตนเอง หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกว่ากระทั่งลมหายใจที่เข้าไปในปอดยังแฝงไว้ซึ่งความหวาดกลัวอยู่บางส่วน แม้แต่มือนางที่ถือตะเกียบยังสั่นระริก หากพูดกันอย่างจริงจังแล้ว นี่ถือเป็นความใกล้ชิดครั้งแรกระหว่างนางกับหลี่เหวยหยวนก็ว่าได้

ยามนี้บนโต๊ะกลมมีอาหารอันอุดมสมบูรณ์วางอยู่เต็มโต๊ะจนละลานตา

นอกจากจะมีอาหารจำพวกข้าวต้มและของว่างอย่างโจ๊กไก่ฉีก ชาเมล็ดซิ่ง ขนมเปี๊ยะหน้างา ขนมเปี๊ยะทอดไส้หัวไช้เท้าหั่นฝอย เกี๊ยวไส้หวาน ขนมเปี๊ยะหวาน รากบัวเชื่อมน้ำตาลดอกกุ้ย และขนมหร่วนเซียง แล้ว ก็ยังมีกับข้าวที่กินคู่กับข้าวต้มอย่างพวกตับเป็ดพะโล้ อกไก่พะโล้ และฟองเต้าหู้ปรุงรส

แม้ในตระกูลจะมีมารยาทเรื่องไม่พูดคุยกันเวลาที่กินอาหาร ทว่าสมาชิกส่วนใหญ่ยังคงเป็นเด็ก ทั้งยังเป็นเด็กที่เย่อหยิ่งเสียส่วนมากด้วย ดังนั้นยามที่กินอาหารจึงยากจะหลีกเลี่ยงการใช้อำนาจสั่งบรรดาสาวใช้จำพวก ‘เติมโจ๊กให้ข้า’ ‘เติมชาเมล็ดซิ่งให้ข้า’ ‘คีบฟองเต้าหู้ให้ข้า’ ไปได้

หลี่หลิงหว่านแทบอยากจะลงไปคุกเข่าให้พวกเขาอยู่แล้ว คำสั่งจำพวกเติมโจ๊ก เติมชาเมล็ดซิ่งพวกนี้ก็แล้วไปเถอะ ข้ายังพอจะเข้าใจได้ แต่พวกคำสั่งให้คีบขนมหร่วนเซียงหรือฟองเต้าหู้นั้นออกจะเกินไปแล้วกระมัง ตะเกียบในมือพวกเจ้าเป็นแค่ของประดับหรือไร เหตุใดไม่ให้สาวใช้ช่วยกินอาหารเช้าแทนเสียเลยเล่า!

ต่อให้ในใจหลี่หลิงหว่านจะคอยเหน็บแนมมากแค่ไหน ทว่าเบื้องหน้ากลับไม่สามารถพูดออกมาได้จริงๆ นางทำได้เพียงตักโจ๊กไก่ฉีกในชามตนเองกินต่อไปเงียบๆ เท่านั้น ก่อนที่หางตานางจะเหลือบไปเห็นหลี่เหวยหยวน

เขากำลังกินโจ๊กไก่ฉีกในชามตนเองไปอย่างนิ่งเงียบ ไม่เรียกสาวใช้มาเติมโจ๊กหรือชาเมล็ดซิ่งให้ตนเอง และก็ไม่ยื่นตะเกียบออกไปคีบของว่างหรือกับข้าว เขาเพียงแค่ทำตัวนิ่งเงียบไปเช่นนั้น นั่งกินโจ๊กในชามของเขาด้วยท่าทีที่เหินห่างซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะตัวของเขา ราวกับว่าเขาจะอยู่ตามลำพังเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีใครที่จะเป็นห่วง รักถนอม หรือคิดปกป้องเขา

หลี่หลิงหว่านมองหลี่เหวยหยวนที่เป็นเช่นนี้แล้วพลันรู้สึกปวดใจขึ้นมา

คิดเช่นนี้แล้วหลี่หลิงหว่านจึงยื่นตะเกียบไปคีบเกี๊ยวไส้หวานมาวางบนจานกระเบื้องเล็กสีขาวลายดอกไม้ซึ่งอยู่ด้านหน้าเขา

หลี่เหวยหยวนเห็นแล้วก็หันหน้ามามองนาง แววตาเขานิ่งเฉย ไม่แสดงออกถึงอารมณ์ใดๆ

หลี่เหวยหยวนที่อยู่ในระยะใกล้เช่นนี้…ในชั่วพริบตานั้นสมองของหลี่หลิงหว่านก็นึกไปถึงจุดจบอันน่าอนาถของเจ้าของร่างเดิมที่นางบรรยายไว้ในนิยาย

ช่วงตงจื้อ หิมะตกหนัก ภายในวัดร้างมีบุรุษแววตาเย็นชาอำมหิตยืนอยู่ ส่วนเจ้าของร่างเดิมก็นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้น

หลี่หลิงหว่านรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา ยามนี้ ‘หลี่เหวยหยวน’ สามคำนี้ได้กลายเป็นฝันร้ายสำหรับนางไปแล้ว ทว่านางยังคงจำเป็นต้องทุ่มเทแรงกายทั้งหมดเพื่อประจบเอาใจเขา นั่นก็เพราะว่านางยังอยากจะมีชีวิตอยู่ นางยังไม่อยากตาย โดยเฉพาะไม่อยากตายอย่างน่าอนาถแบบนั้นอีก

นางจึงพยายามข่มกลั้นความหวาดกลัวในใจเอาไว้ ใบหน้าส่งยิ้มฝืดเฝื่อนไปให้หลี่เหวยหยวน “พี่ใหญ่ พี่ลองชิมดูเจ้าค่ะ เกี๊ยวไส้หวานนี้อร่อยยิ่งนัก”

โกหก! หลี่เหวยหยวนตัดสินอยู่ในใจเงียบๆ เช่นนี้

นับตั้งแต่หลี่เหวยหยวนได้นั่งลงที่นี่ แม้เขาจะเอาแต่กินโจ๊กไก่ฉีกของตนเองอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด ทว่าเขาก็ยังลอบสังเกตคนอื่นๆ ว่ากินอะไรไปบ้างเช่นกัน

หลี่หลิงหว่านกินโจ๊กไก่ฉีกหนึ่งชาม ดื่มชาเมล็ดซิ่งหนึ่งถ้วย กินขนมเปี๊ยะหน้างาและขนมหร่วนเซียงไปอย่างละหนึ่งชิ้น คีบตับเป็ดพะโล้สองครั้ง ฟองเต้าหู้ปรุงรสสี่ครั้ง ทั้งยังกินรากบัวเชื่อมน้ำตาลดอกกุ้ยไปอีกชิ้นหนึ่ง มีเพียงเกี๊ยวไส้หวานเท่านั้นที่นางไม่ได้กินมาก่อน แล้วนางรู้ได้อย่างไรว่าเกี๊ยวไส้หวานนี้รสชาติดี เห็นได้ชัดว่านางพูดโกหก

เหตุใดหลี่หลิงหว่านถึงต้องโกหก จู่ๆ นางมาทำดีกับเขาเช่นนี้เกิดจากอะไรกันแน่ มิหนำซ้ำนางยังดูหวาดกลัวเขาอย่างเห็นได้ชัด ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่รอยยิ้มบนใบหน้านางคงไม่ดูฝืดฝืนถึงเพียงนั้นหรอก และถ้านางกลัวเขา เหตุใดถึงยังต้องทำดีกับเขาด้วย

ความรู้สึกในใจหลี่เหวยหยวนเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็วในชั่วพริบตา

ทว่าหลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้กล่าวอะไร ทั้งไม่ได้สนใจหลี่หลิงหว่านแล้วด้วย เขาเพียงแค่หันกลับมากินโจ๊กไก่ฉีกในชามของตนเองต่อไปเงียบๆ

จวบจนกระทั่งมื้ออาหารนี้สิ้นสุดลง หลี่เหวยหยวนก็ไม่ได้แตะต้องเกี๊ยวไส้หวานชิ้นนั้นที่หลี่หลิงหว่านคีบมาวางบนจานแต่อย่างใด

อาหารเช้าเพียงมื้อเดียวนี้ทำให้หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าตนเองใกล้จะเป็นโรคหัวใจแล้ว

รอจนหลี่หลิงหว่านกลับจากเรือนซื่ออันมาถึงเรือนอี๋เหอของตนเองแล้ว นางก็มิต่างจากดินโคลนเละๆ ที่กองอยู่บนตั่งไม้ข้างหน้าต่าง ไม่อยากขยับเขยื้อนไปที่ใดอยู่ถึงครึ่งค่อนวัน

นางรู้สึกว่าหลี่เหวยหยวนจะต้องฝึกวิชาระฆังทองคุ้มกายและวิชาภูษาเหล็กบรรลุแล้วเป็นแน่ ให้ตายเถอะ นี่มันคนมีกำลังภายในคุ้มกันร่างกาย มีดดาบฟันแทงไม่เข้าโดยแท้ ไม่ว่านางจะใช้วิธีการใดก็ล้วนประจบเอาใจเขาไม่สำเร็จเสียที

แต่ถึงเอาใจยากกว่านี้นางก็ยังต้องเอาใจเขาอยู่ดี มิเช่นนั้นนางก็ต้องตายแน่แล้ว

หลี่หลิงหว่านถอนใจยาวออกมาคำรบหนึ่ง จากนั้นจึงหมุนตัวนอนตะแคง มือขวารองอยู่ใต้ศีรษะพลางขมวดคิ้วครุ่นคิดถึงเรื่องราวในภายภาคหน้า ในที่สุดนางก็คิดหนทางหนึ่งขึ้นมาได้จริงๆ

ก่อนหน้านี้ยามอยู่ที่เรือนซื่ออัน หลี่เหวยหยวนมิใช่สวมอาภรณ์เก่าขาดหรอกหรือ โดยเฉพาะรองเท้าผ้าคู่นั้นของเขาก็เปียกชื้นไปหมดแล้วด้วย สำหรับคนอื่นๆ ในช่วงหิมะตกเช่นนี้อย่างน้อยก็ต้องมีรองเท้าหุ้มข้ออยู่คู่หนึ่ง เพื่อที่ยามเดินออกไปข้างนอกเท้าจะได้ไม่ชื้นแฉะ

แม้หลี่เหวยหยวนจะไม่พูดอะไร ทั้งแผ่นหลังของเขาก็ยังตั้งตระหง่านเช่นนั้นตลอดเวลา บนใบหน้าไม่แสดงอาการเหน็บหนาวแต่อย่างใดด้วย กระนั้นนางก็รู้ดีว่าเขาจะต้องรู้สึกหนาวมากแน่นอน

ในตอนที่นางนั่งกินอาหารอยู่ข้างเขาก็เห็นแล้วว่ามือทั้งสองของเขาถูกความเย็นกัดจนแดงราวกับหูหลัวปอ เฉกเช่นคำกล่าวที่ว่าส่งถ่านกลางหิมะ ครั้งนี้นางก็ส่งชุดกันหนาวชุดหนึ่งกับรองเท้าหุ้มข้ออย่างดีคู่หนึ่งให้เขาเสียเลยแล้วกัน

ในใจหลี่หลิงหว่านคิดเช่นนี้จึงขยับลุกขึ้นนั่งให้ดี ก่อนเอ่ยเรียกเสี่ยวซานให้มาหา “ข้าจำได้ว่าเจ้ามีพี่ชายคนหนึ่งทำงานอยู่ที่ประตูชั้นใน คอยดูแลพวกคุณชายยามออกไปนอกจวนโดยเฉพาะใช่หรือไม่”

เสี่ยวซานผงกศีรษะ “นั่นคือพี่รองของบ่าวเองเจ้าค่ะ”

เช่นนั้นก็จัดการง่ายแล้ว

ในวันที่อากาศหนาวหิมะตกหนักเช่นนี้ คาดว่าบรรดาคุณชายของจวนคงไม่ออกไปข้างนอกกันแล้ว พี่รองของเสี่ยวซานก็ย่อมอยู่ว่าง เช่นนั้นนางก็ฝากให้เขาออกไปยังร้านอาภรณ์ข้างนอกแล้วซื้อชุดกันหนาวดีๆ ชุดหนึ่งกับรองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่งกลับมาได้แล้ว

หลี่หลิงหว่านจึงสั่งเสี่ยวซานว่า “เจ้าทำเช่นนี้เถอะ ยามนี้หาหนทางไปสืบเรื่องส่วนสูงกับขนาดรองเท้าของคุณชายใหญ่มาให้ได้ จากนั้นก็ให้กลับมาบอกข้า ข้าอยากรบกวนพี่รองของเจ้าให้ไปที่ร้านอาภรณ์ข้างนอก ซื้อชุดกันหนาวชุดหนึ่งกับรองเท้าหุ้มข้อคู่หนึ่งให้เสียหน่อย”

เสี่ยวซานรับปากแล้ว ทว่ายังอดถามขึ้นมาอย่างสงสัยไม่ได้ “คุณหนูต้องการซื้อชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อให้คุณชายใหญ่หรือเจ้าคะ”

หลี่หลิงหว่านผงกศีรษะ “ใช่แล้ว”

บนใบหน้าเสี่ยวซานมีความไม่เข้าใจ นางลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนจะถามสิ่งที่สงสัยในใจออกมา “แต่คุณหนูเจ้าคะ ที่ผ่านมามิใช่ท่านไม่เห็นคุณชายใหญ่อยู่ในสายตาที่สุดหรอกหรือ มิหนำซ้ำคุณชายใหญ่เองก็มีท่าทางที่เย็นชากับท่านมาโดยตลอด นอกจากจะไม่เคยคุยด้วยแล้ว กระทั่งมองท่านตรงๆ สักครั้งยังไม่มองเลย ทว่ายามนี้ท่านกลับจะซื้อชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อให้คุณชายใหญ่หรือเจ้าคะ”

เสี่ยวซานรู้สึกว่าไม่กี่วันก่อนคุณหนูของนางใช่ถูกก้อนหินกระแทกจนความนึกคิดเปลี่ยนไปแล้วใช่หรือไม่

หลี่หลิงหว่านเองก็รับรู้ถึงความสงสัยในใจเสี่ยวซาน ในเมื่อความแตกต่างระหว่างท่าทีของนางที่มีต่อหลี่เหวยหยวนเมื่อก่อนกับในตอนนี้แตกต่างกันมากเกินไปแล้วจริงๆ

ทว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด นางคิดเหตุผลได้ตั้งนานแล้ว

“เป็นเพราะตอนที่ศีรษะของข้ากระแทกกับก้อนหิน พี่ใหญ่ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ยามนั้นข้าถึงได้รู้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไรมา ข้ากับเขาก็ล้วนเป็นพี่น้องที่มีสายเลือดใกล้ชิดกัน ข้าควรจะปฏิบัติตัวดีๆ ต่อเขามิใช่หรือ”

หลี่หลิงหว่านพูดประโยคเหล่านี้ออกมาอย่างเต็มปากเต็มคำยิ่ง เนื่องจากคำโกหกที่ว่าหลี่เหวยหยวนเป็นคนช่วยนางนี้ก็ได้เอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อนหน้าแล้ว วันหน้าหากมีคนรอบข้างสงสัยขึ้นมาอีกว่าเหตุใดนางถึงทำดีกับหลี่เหวยหยวน นางก็จะอาศัยเหตุผลดังกล่าวนี้ตอบไป ในเมื่อเรื่องนี้ผ่านการยืนยันจากฮูหยินผู้เฒ่ามาก่อนแล้ว ยังจะมีใครกล้าสงสัยนางอีกเล่า นับเป็นการปิดปากทุกคนได้ดี ทั้งยังช่วยให้ในวันหน้านางไม่ต้องเปลืองแรงมานั่งคิดหาเหตุผลที่น่าเชื่อถืออีก

ใบหน้าเสี่ยวซานมีสีหน้ากระจ่างแจ้งขึ้นมา “คิดไม่ถึงว่าคุณชายใหญ่ที่ภายนอกดูเย็นชาไม่น่าเข้าใกล้นั้น แท้จริงภายในจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้นะเจ้าคะ”

เอ่ยจบนางก็ย่อตัวคารวะหลี่หลิงหว่าน จากนั้นจึงหมุนตัวออกไปสืบข่าวเรื่องที่หลี่หลิงหว่านฝากฝังไว้ทันที

ระหว่างสาวใช้ด้วยกันย่อมมีสายข่าวเป็นของตนเอง ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันเสี่ยวซานก็กลับมาแล้ว นางรายงานเรื่องที่สืบมาได้ให้หลี่หลิงหว่านฟังอย่างละเอียด

หลี่หลิงหว่านก็คิดไม่ถึงว่าความสามารถของเสี่ยวซานจะสูงขนาดนี้

ทันทีที่รู้ว่าควรจะซื้อชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อขนาดเท่าไรแล้ว ยามนี้ก็เหลือแค่หยิบเงินให้เสี่ยวซานนำไปให้พี่รองของนางก็เป็นอันเรียบร้อย

ทว่าเงินอยู่ที่ใดกันเล่า หลี่หลิงหว่านไม่รู้จริงๆ

นางถามเสี่ยวซานแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ส่ายศีรษะบอกว่าไม่รู้เช่นกัน พอไปถามเสี่ยวอวี้ นางจึงได้รู้ว่า “เงินรายเดือนของคุณหนูล้วนเก็บอยู่ที่พี่ฮว่าผิงเจ้าค่ะ”

หลี่หลิงหว่านให้เสี่ยวอวี้ไปเรียกฮว่าผิงมา ก่อนจะถามนาง “เงินรายเดือนที่ผ่านมาของข้าเจ้าเก็บเอาไว้ที่ใดกัน”

ฮว่าผิงกำลังหงุดหงิดอยู่พอดี ด้วยเมื่อครู่พ่อบ้านผู้ดูแลจวนเพิ่งส่งคนมาบอกนางว่าเป็นเพราะนางไม่รับใช้คุณหนูให้ดี ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตัดเงินเดือนนางเป็นเวลาสามเดือน

เงินเดือนสามเดือนเชียวนะ นับว่าเป็นเงินไม่น้อยเลย ที่สำคัญที่สุดก็คือนางต้องเสียหน้า ดังนั้นก่อนหน้านี้ฮว่าผิงจึงไม่อยากจะทำอะไรเลย นางยังคงรู้สึกไม่สบอารมณ์มาโดยตลอด

ยามนี้เมื่อได้ยินหลี่หลิงหว่านถามถึงเงิน ฮว่าผิงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงหันร่างแล้วเดินกลับไปที่ด้านหลังฉากบังลมเงียบๆ

ฉากบังลมทอลายดอกอวี้หลันนี้เป็นผ้าโปร่งสีขาว สามารถมองเห็นเงาคนที่อยู่ด้านในได้อย่างเลือนราง

หลี่หลิงหว่านเห็นฮว่าผิงเดินตรงไปยังตู้ที่วางอยู่มุมเตียง ยื่นมือไปหยิบกล่องเล็กประดับมุกเคลือบเงาซึ่งวางอยู่บนสุดแล้วอุ้มเดินออกมา

นางวางกล่องเล็กลงบนโต๊ะ หลังจากเปิดออกดูแล้วก็เห็นว่าที่ด้านล่างกล่องยังมีลิ้นชักเล็กๆ อยู่อีกสองอันซ้ายขวา เมื่อดึงลิ้นชักด้านขวาออกมา ภายในนั้นก็มีเงินแค่ไม่กี่พวงกับเศษเงินไม่กี่ก้อน

“น้อยเพียงนี้?” หลี่หลิงหว่านไม่อยากจะเชื่อเท่าไรนัก

เงินรายเดือนของคุณหนูทุกคนในจวนสกุลหลี่คือหนึ่งตำลึง ทว่าพวกเสื้อผ้าอาภรณ์ เครื่องประทินโฉม หรือของว่างทั้งหลายนั้นล้วนเป็นเงินที่ส่วนกลางจ่ายมาให้ ดังนั้นเงินจำนวนหนึ่งตำลึงนี้จึงเปรียบได้กับค่าขนมของบรรดาคุณหนู ทว่ายามปกติคุณหนูในตระกูลใหญ่ก็ไม่ค่อยออกจากจวนเท่าไรนัก จำเป็นต้องใช้เงินเสียที่ไหนกัน มิหนำซ้ำโจวซื่อเองก็มักให้หลี่หลิงหว่านเพิ่มอยู่ตลอด จริงๆ แล้วเงินที่เจ้าของร่างเดิมเก็บสะสมไว้ไม่ควรมีน้อยถึงเพียงนี้

เดิมทีฮว่าผิงก็อารมณ์ไม่ดีอยู่แล้ว ทั้งคิดว่าอย่างไรหลี่หลิงหว่านก็เป็นแค่เด็กแปดขวบคนหนึ่งจะไปรู้เรื่องอะไร ดังนั้นนางจึงเอ่ยว่า “มีเพียงเท่านี้แหละเจ้าค่ะ คุณหนูชอบกินของว่างกับขนมหวานของหออู่เซียง สมัยก่อนมักหยิบเงินออกมาแล้วใช้พวกบ่าวออกไปซื้อมาให้ บางทีเงินหนึ่งตำลึงต่อเดือนยังไม่พอให้ท่านใช้เลยนะเจ้าคะ”

หลี่หลิงหว่านไม่ได้เอ่ยอะไร

ในยามนี้บัญชีก่อนหน้าของเจ้าของร่างเดิมมีเท่าไรนั้นนางเองก็คำนวณไม่ถูก ใครจะรู้ว่าที่สุดแล้วเงินพวกนี้หายไปที่ใดกันแน่ แต่ก็ช่างเถอะ นับจากนี้ขอแค่นางรู้จำนวนเงินรายเดือนว่ามีเท่าไรก็พอแล้ว

เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของฮว่าผิง หลี่หลิงหว่านก็รู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องทราบเรื่องที่ตนเองถูกตัดเงินเดือนสามเดือนแล้วเป็นแน่ หลี่หลิงหว่านคิดไปมาแล้ว สุดท้ายจึงเอ่ยถามฮว่าผิง “เรื่องที่ท่านย่าลงโทษเจ้า เจ้ารู้หมดแล้วใช่หรือไม่”

ฮว่าผิงผงกศีรษะด้วยความรู้สึกตกต่ำอย่างถึงที่สุด “บ่าวทราบเรื่องแล้วเจ้าค่ะ”

ในใจฮว่าผิงย่อมรู้สึกขัดเคืองหลี่หลิงหว่านอยู่บ้าง เมื่อคิดดูให้ถ้วนถี่แล้ว เรื่องนี้จะต้องเป็นหลี่หลิงหว่านที่ไปบอกกับฮูหยินผู้เฒ่าเป็นแน่

หลี่หลิงหว่านไม่ได้กลัวว่าฮว่าผิงจะเคืองตนเองแต่อย่างใด เพราะเรื่องราวในวันนี้นางต้องการให้ฮว่าผิงรับรู้ว่าแม้ยามนี้นางจะอายุยังน้อยอยู่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ใครมาหลอกลวงได้โดยง่าย ดังนั้นภายภาคหน้าเมื่ออยู่ต่อหน้านางแล้วจะต้องทำตัวให้ดีกว่านี้

ครั้นใช้บทลงโทษแล้ว ความเมตตาก็ต้องให้

หลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยต่อ “หลังท่านย่ารู้เรื่องที่เกิดในสวนดอกเหมยวันนั้นแล้วก็โกรธอย่างมาก จากความตั้งใจของนางแล้ว เดิมทีไม่เพียงแต่จะตัดเงินเดือนเจ้าสามเดือนเท่านั้น ซ้ำยังจะโบยเจ้าอีกยี่สิบไม้ด้วย แต่เป็นข้าที่เอ่ยเกลี้ยกล่อม สุดท้ายท่านย่าก็ตัดแค่เงินเดือนเจ้าเท่านั้น ส่วนการโบยยี่สิบไม้นั้นก็ไม่ต้องแล้ว” นางยื่นมือออกไปหยิบเงินในลิ้นชักหนักราวๆ หนึ่งตำลึงกว่าส่งให้ฮว่าผิง “ท่านย่าต้องการจะลงโทษเจ้า ข้าเองก็ค้านไม่ได้ เห็นแก่ที่เจ้าอยู่รับใช้ข้างกายข้ามานานหลายปี นับว่ามีความภักดีไม่น้อย เงินก้อนนี้ถือเสียว่าข้าชดเชยให้กับเงินเดือนสามเดือนของเจ้าก็แล้วกัน”

แม้ฮว่าผิงจะเป็นสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายของหลี่หลิงหว่าน ทว่านางก็มิอาจเทียบกับสาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่า เงินเดือนทุกเดือนนางได้มาเพียงห้าเฉียน เท่านั้น เพราะฉะนั้นเงินจำนวนหนึ่งตำลึงกว่าๆ นี้จึงสามารถแทนเงินเดือนสามเดือนของนางได้เพียงพอ

ฮว่าผิงดีใจจนออกนอกหน้า นางรีบยื่นสองมือออกมารับเงิน ทั้งยังคุกเข่าและโขกศีรษะให้กับหลี่หลิงหว่านพร้อมเอ่ย “บ่าวขอบคุณคุณหนูที่เมตตา และขอบคุณที่คุณหนูช่วยพูดขอร้องให้บ่าวต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าค่ะ ในวันหน้าบ่าวจะทุ่มเทใจรับใช้คุณหนูให้มากยิ่งขึ้นแน่นอน”

ขอเพียงฮว่าผิงอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัวไม่หาเรื่องให้นาง หลี่หลิงหว่านเองก็ยินดีที่จะไม่ต้องมาเปลืองสมองคิดหาหนทางขับไล่อีกฝ่ายออกไป ประการแรกคือยุ่งยาก ประการที่สองคือหากไล่สาวใช้รุ่นใหญ่ข้างกายตนเองออกไป แล้วเรื่องนี้ไปถึงหูคนรอบข้างล่ะก็ เกรงว่าคนอื่นจะพูดว่านางเรื่องมาก ดังนั้นขอเพียงฮว่าผิงไม่ทำตัวออกนอกลู่นอกทาง นางเองก็สามารถยอมรับอีกฝ่ายได้

หลี่หลิงหว่านบอกให้ฮว่าผิงลุกขึ้น ทั้งเอ่ยสั่งนาง “เจ้าไปบอกทางห้องครัวหน่อยเถอะว่าอาหารเย็นวันนี้ข้าอยากกินรากบัวเชื่อมน้ำตาลดอกกุ้ย ให้พวกนางทำส่งมาให้ด้วย”

เดิมทีเรื่องนี้เพียงสั่งให้สาวใช้ธรรมดาสักคนวิ่งไปจัดการก็พอแล้ว ทว่าในใจหลี่หลิงหว่านยามนี้ยังคงกีดกันฮว่าผิงอยู่ไม่น้อย เรื่องที่นางจะซื้อชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อให้หลี่เหวยหยวนนี้จึงไม่อยากให้ฮว่าผิงรับรู้

ฮว่าผิงเพิ่งรับเงินมาจากหลี่หลิงหว่าน สภาพจิตใจที่เพิ่งฟื้นฟูกลับมาทำให้ใบหน้าของนางเต็มไปด้วยรอยยิ้ม พอได้ยินคำสั่งนี้ของหลี่หลิงหว่านนางจึงตอบรับเสียงใส จากนั้นก็เลิกม่านแล้วเดินมุ่งหน้าไปยังห้องครัวเล็กทันที

รอจนฮว่าผิงจากไปไกลแล้ว หลี่หลิงหว่านจึงนำเศษเงินกับพวงเงินจำนวนหนึ่งที่เหลืออยู่ในกล่องเล็กส่งให้กับเสี่ยวซานทั้งหมด ก่อนจะเอ่ยกำชับนางว่า “เจ้าไปหาพี่รองของเจ้าที่ประตูชั้นในตอนนี้เลย บอกเขาว่าชุดกันหนาวกับรองเท้าหุ้มข้อต้องซื้ออย่างดีที่สุดมา”

เสี่ยวซานรับคำ พอรับเงินมาแล้วก็รีบจากไปทันที

ทั้งวันผ่านไปอย่างเงียบสงบ ทว่าพอถึงช่วงเวลาจุดโคม บนท้องฟ้าก็เริ่มมีเกล็ดหิมะโปรยปรายลงมาอีกครั้ง

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 11 มิ.ย. 62

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

Jamsai Editor: