บทที่เจ็ด
เมื่อหลี่เหวยหยวนเห็นใบหน้าขาวกระจ่างของหลี่หลิงหว่านปรากฏสีแดงระเรื่อขึ้นมาจนก่อเกิดเป็นความงดงามเปี่ยมเสน่ห์ที่ไม่อาจบรรยายได้ เขาจึงก้มหน้าลงไปใกล้กว่าเดิมอย่างอดไม่ไหว กระทั่งริมฝีปากแทบจะประทับลงบนแก้มนุ่มของนางอยู่แล้ว
หลี่หลิงหว่านตกใจรีบซุกใบหน้าตนเองซ่อนอยู่ในอ้อมอกของหลี่เหวยหยวน เหลือแค่เพียงท้ายทอยที่โผล่พ้นอยู่ด้านนอก ก่อนที่หูของนางจะได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำ ใบหน้าที่แนบกับหน้าอกสัมผัสได้ถึงความสั่นไหวน้อยๆ หลี่หลิงหว่านรู้สึกว่าหัวใจเต้นรัวเร็วขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล ใบหน้าก็ร้อนผ่าวยิ่งกว่าเมื่อครู่
หลี่เหวยหยวนอุ้มนางมาจนถึงตั่งเตี้ยที่จัดวางเรียบร้อยอยู่กลางลานเรือนก่อนวางร่างนางลง จากนั้นยังคลุมผ้าห่มผืนหนาเนื้อนุ่มผืนหนึ่งไว้ที่เอวของนางเพื่อป้องกันไม่ให้นางหนาว
บนใบหน้าหลี่หลิงหว่านยังคงร้อนผ่าว ยามที่เหลือบตาขึ้นมองหลี่เหวยหยวนแล้วได้เห็นประกายรอยยิ้มในแววตาของเขา นางก็ไม่กล้ามองเขาต่ออีก เอาแต่ก้มหน้าก้มตา สองมือขยำขนอ่อนนุ่มบนผ้าห่มอย่างเหม่อลอยโดยไม่รู้ตัว
ในใจนางรู้สึกว่าวันนี้หลี่เหวยหยวนค่อนข้างแตกต่างจากวันก่อนๆ แต่หากให้พูดอย่างจริงจัง นางก็พูดไม่ได้ว่าเขาแตกต่างตรงที่ใดกันแน่ นางจึงได้แต่ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ตรงนั้น
ขณะกำลังครุ่นคิดอย่างเหม่อลอยก็รู้สึกว่าบริเวณหน้าผากถูกคนยื่นมือมาดีดเบาๆ ครั้งหนึ่ง ทั้งยังได้ยินเสียงกลั้วหัวเราะของหลี่เหวยหยวนดังขึ้น “เจ้ามัวเหม่ออะไร ในใจกำลังคิดเรื่องใดหรือ”
ย่อมไม่อาจพูดออกไปตรงๆ ได้ว่า ‘วันนี้รู้สึกว่าพี่ประหลาดนัก’ แต่ในความร้อนรนนี้หลี่หลิงหว่านก็นึกถึงข้ออ้างที่มีเหตุมีผลอื่นๆ ไม่ออก นางจึงโยนคำถามกลับไป “พี่เดาดูสิเจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนยิ้มมองนาง “ยังจะมีอะไรได้อีก จะต้องเป็นเพราะเด็กน้อยโตแล้ว จึงได้รู้จักเขินอายขึ้นมา แต่ว่าหว่านวาน ยามอยู่ต่อหน้าข้า เจ้าจะต้องเขินอายไปทำไมอีก”
แม้ยามนี้หลี่เหวยหยวนจะกระจ่างดีว่าระหว่างตนเองกับหลี่หลิงหว่านไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดใดๆ อยู่ ทั้งในใจหลี่หลิงหว่านเองก็รู้เรื่องนี้ดี แต่เขาคิดว่าตอนนี้หลี่หลิงหว่านก็แค่ดู ‘เหมือน’ ใกล้ชิดสนิทสนมกับเขาเท่านั้น ความจริงในใจนางยังคงหวาดกลัวเขาอยู่ ทั้งไม่เชื่อมั่นในตัวเขาเสียทีเดียว หากเขาเปิดเผยไปเลยว่าตนเองรับรู้เรื่องที่นางไม่ได้เป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาแล้ว เกรงว่าในภายหลังนางจะเริ่มห่างเหินกับเขา ถึงตอนนั้นย่อมไม่ดีแน่ มิสู้ทำให้นางคิดไปว่าเขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นไปก่อนเป็นการชั่วคราวดีกว่า อย่างน้อยยามที่นางอยู่ต่อหน้าเขาจะได้เป็นธรรมชาติสักหน่อย ส่วนในภายภาคหน้า…
หลี่เหวยหยวนมองหลี่หลิงหว่านคราหนึ่ง ในแววตาเต็มไปด้วยความปรารถนาอยากจะครอบครอง เขาไม่มีวันยอมให้ผู้ใดในใต้หล้านี้มีโอกาสแย่งชิงหัวใจของหลี่หลิงหว่านไปได้แน่ หัวใจของนางจะต้องบรรจุได้เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น หากบรรจุผู้อื่นเมื่อใด เขาก็จะทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นคนตายในทันที
แต่ถึงแม้ในใจจะมีความคิดอันบ้าระห่ำเช่นนี้อยู่ ทว่าฉากหน้าก็ยังคงยิ้มอบอุ่นเอ่ย “หว่านวาน ข้าเป็นพี่ชายของเจ้า”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ พริบตานั้นในใจหลี่หลิงหว่านก็สงบลงไม่น้อย
ใช่แล้ว ในใจหลี่เหวยหยวนมองเห็นนางเป็นน้องสาวมิใช่หรือ พี่ชายเห็นข้อเท้าน้องสาวได้รับบาดเจ็บจึงช่วยนวดข้อเท้าให้ เห็นนางเดินไม่สะดวกจึงอุ้มนางเดินไป นี่มิใช่เรื่องปกติธรรมดาที่สุดหรอกหรือ นางมัวคิดเหลวไหลอะไรอยู่อีก มิหนำซ้ำที่นางวางความคิดไว้ให้ตัวละครหลี่เหวยหยวนตั้งแต่แรกเริ่มนั้นก็มีเงื่อนไขที่สำคัญมากเรื่องหนึ่ง เขาจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงเป็นภาระอย่างหนึ่ง จึงไม่มีความคิดอยากข้องเกี่ยวกับหญิงคนใดในเชิงชู้สาวแม้แต่น้อย
คิดมาถึงตรงนี้หลี่หลิงหว่านก็รู้สึกสบายใจมากขึ้นแล้ว
นางขยับไปมาบนตั่งเตี้ย พยายามหาท่านั่งที่สะดวกสบายที่สุด เมื่อเห็นหลี่เหวยหยวนนั่งลงบนเก้าอี้พนักโค้งที่เสี่ยวซานเพิ่งยกมาให้พร้อมหยิบตำราเล่มหนึ่งจากในแขนเสื้อออกมาอ่าน นางจึงเอ่ยถาม “พี่ชาย พี่จะสอบฮุ่ยซื่อแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
การสอบฮุ่ยซื่อจัดขึ้นในวันที่เก้าเดือนสอง หลี่หลิงหว่านป่วยมาหลายวันเช่นนี้ เทศกาลหยวนเซียวในวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งเพิ่งผ่านพ้นไป นับดูแล้วระยะห่างจากการสอบฮุ่ยซื่อก็เหลือประมาณยี่สิบกว่าวันเท่านั้น
หลี่เหวยหยวนไม่ได้เอ่ยอะไร สายตายังคงอยู่บนตำรา เขาแค่ผงกศีรษะรับเท่านั้น
หลี่หลิงหว่านเห็นว่าระยะนี้หลี่เหวยหยวนทุ่มเทอ่านตำรามากขึ้นไปอีก นางกังวลว่าเขาจะเครียดจึงเอ่ยปลอบเขา “พี่ชาย พี่อย่าได้เครียดเกินไปนัก พี่จะต้องเชื่อมั่นในตนเอง ไม่ว่าอย่างไรพี่ก็ต้องสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้อย่างแน่นอน”
มือที่ถือตำราของหลี่เหวยหยวนชะงัก เขาไม่สงสัยเลยสักนิดเรื่องที่ตนจะสอบผ่านจนได้เป็นจิ้นซื่อ เพราะเขาก็มีความเชื่อมั่นในตนเองอยู่ แต่ที่ทำให้ต้องเคร่งเครียดเช่นนี้เพราะเขาได้ยินมาว่าฉุนอวี๋ฉีเองก็เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อในครั้งนี้ด้วยเช่นกัน เขาจึงเอาแต่คิดอยากให้ชื่อของตนเองเอาชนะฉุนอวี๋ฉีให้ได้
พูดไปแล้วแม้เขากับฉุนอวี๋ฉีจะได้พบหน้ากันเพียงแค่สองครั้ง แต่ในใจเขาก็รับรู้ได้ว่าฉุนอวี๋ฉีเป็นผู้มีความสามารถยิ่งคนหนึ่ง และไม่รู้ด้วยสาเหตุใดเขาจึงไม่อยากแพ้ให้กับฉุนอวี๋ฉีเป็นอย่างยิ่ง
อาจเป็นเพราะหาได้ยากยิ่งที่หลี่หลิงหว่านจะสนิทสนมกับใครสักคนตั้งแต่พบหน้ากันครั้งแรก ครั้งนั้นที่สวนอั้นเซียงกับคำเชิญส่งๆ ประโยคหนึ่งของฉุนอวี๋ฉี นางก็ตอบรับอย่างยินดี ภายหลังตอนอยู่ที่จวนก่วงผิงโหว นางยังถึงขั้นขัดแย้งกับเขาเพื่อฉุนอวี๋ฉีด้วย
มือที่ถือตำราของหลี่เหวยหยวนบีบแน่นขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แววตาก็ดำทะมึน ข้าจะต้องเอาชนะฉุนอวี๋ฉีให้ได้
หลี่หลิงหว่านไม่ได้รู้เรื่องที่ฉุนอวี๋ฉีจะเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อแต่อย่างใด เนื่องจากในนิยายนางไม่ได้วางให้ฉุนอวี๋ฉีเดินไปบนเส้นทางการสอบเคอจวี่ แต่ให้ใช้สถานะหย่งฮวนโหวซื่อจื่อของเขาเข้าไปอยู่ในราชสำนักโดยตรง ในตอนที่หลี่หลิงหว่านรู้ว่าฉุนอวี๋ฉีจะเข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้ด้วยนั้น นางจึงตกใจมากจริงๆ
นางย่อมรู้ถึงความสามารถของฉุนอวี๋ฉีว่าจะต้องไม่ด้อยกว่าหลี่เหวยหยวนอย่างแน่นอน ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เสือสองตัวอยู่ในถ้ำเดียวกันเสียได้ นางกัดริมฝีปากพลางขมวดคิ้วครุ่นคิด เกรงว่าการจะสอบได้เป็นซานหยวนจี๋ตี้ทั้งสามสนามของหลี่เหวยหยวนจะค่อนข้างลำบากแล้ว
ทว่ายังดีที่ยามที่แผ่นป้ายอันดับของการสอบฮุ่ยซื่อถูกประกาศออกมา หลี่เหวยหยวนยังคงได้เป็นฮุ่ยหยวน ส่วนฉุนอวี๋ฉีครองอันดับสอง ขณะที่หลี่หลิงหว่านก็เปลี่ยนมากังวลกับการสอบเตี้ยนซื่อแทนแล้ว
การสอบเตี้ยนซื่อจัดขึ้นในเดือนสี่ ฮ่องเต้จะทรงเป็นผู้ตั้งคำถาม จิ้นซื่อทั้งหมดจะได้เข้าไปในตำหนักใหญ่ของวังหลวงตั้งแต่เช้าตรู่ ฮ่องเต้ทรงเป็นผู้คุมสอบด้วยพระองค์เอง ยามดวงอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้าก็ให้ส่งกระดาษคำตอบขึ้นไป
วันนี้ทุกคนในจวนสกุลหลี่ต่างจิตใจกระวนกระวายตลอดทั้งวัน หลี่หลิงหว่านยิ่งร้อนใจจนรออยู่ที่จวนไม่ไหว หลังบอกกล่าวฮูหยินผู้เฒ่าแล้วก็พาบ่าวรับใช้ของสกุลหลี่ติดตามออกไปด้วย ก่อนจะนั่งรถม้าไปที่บริเวณหน้าวังหลวง หาหอสุราที่ดูดีแห่งหนึ่งนั่งลง สั่งให้บ่าวรับใช้ของจวนเฝ้าอยู่หน้าประตูวัง หากมองเห็นคุณชายใหญ่กับคุณชายรองออกมาแล้วก็ให้รีบมารายงานนางทันที
การสอบฮุ่ยซื่อครั้งนี้หลี่เหวยหลิงเองก็สอบผ่าน เพียงแต่ชื่อของเขาค่อนข้างรั้งไปข้างหลัง ทว่าไม่ว่าอย่างไรการที่อายุเท่าเขาแล้วสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้เช่นนี้ก็สามารถทำให้ผู้คนต้องมองดูเขาแล้ว
ในยามที่ดวงอาทิตย์คล้อยไปถึงขอบฟ้าทางทิศตะวันตก เสี่ยวซานก็วิ่งเข้ามาเอ่ยรายงาน “คุณหนู บ่าวรับใช้แจ้งว่าเห็นคุณชายใหญ่ออกมาจากประตูวังแล้วเจ้าค่ะ”
หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วก็รีบวางถ้วยชาในมือ ก่อนจะวิ่งลงจากชั้นสองออกจากประตูหอสุราไป
บ่าวรับใช้ยืนชี้นิ้วอยู่ด้านหน้า เมื่อหลี่หลิงหว่านมองตามมือของเขาไปก็ได้เห็นหลี่เหวยหยวนกำลังเดินออกมาท่ามกลางฝูงชน
เขาสวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมสีหยก รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม หน้าตาคมคาย ต่อให้มีผู้คนอยู่มากมายกว่านี้นางก็ยังคงมองเห็นเขาได้ในพริบตาเดียว
นางวิ่งเข้าไปหาหลี่เหวยหยวน จากนั้นก็หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา เอ่ยปากเรียกเขาเสียงใส “พี่ชาย”
แสงอาทิตย์อัสดงอาบร่าง สีกุหลาบแดงสะท้อนอยู่บนแก้มขาวกระจ่างดุจหิมะของนาง รูปโฉมงดงามหาใดเปรียบ
รอบด้านเริ่มมีสายตาของผู้เข้าสอบคนอื่นๆ มองมาไม่น้อยแล้ว
ดวงตาหลี่เหวยหยวนดำมืดลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นปิดบังใบหน้าของหลี่หลิงหว่านทันที ทั้งยังดึงตัวนางมากักไว้ในอ้อมกอดของตนเองเสียเลย ฝังใบหน้าของนางลงไปในอ้อมอกของตน ก่อนจะพาตัวนางเดินไปทางด้านข้างอย่างรวดเร็ว
กระทั่งเดินเข้ามาในร้านค้าแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านข้างแล้ว หลี่เหวยหยวนถึงได้ผ่อนแรงที่รั้งตัวนางมา ปล่อยให้นางดิ้นรนออกจากอ้อมกอดเขาได้ในที่สุด ทั้งยังเอ่ยปากตำหนินาง “ที่นี่มีคนมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าจะออกมาทำอะไร”
หลี่หลิงหว่านถูกเขาต่อว่าจนไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้า ทว่าในใจก็ยังรู้สึกไม่ยินยอมอยู่หลายส่วน นางจึงเอ่ยพึมพำเสียงเบา “ก็ไม่ใช่เพราะข้าเป็นห่วงหรือไร”
หลี่เหวยหยวนได้ยินแล้วก็ถอนหายใจ ที่นางเป็นห่วงนั้นเขาย่อมเข้าใจ ทั้งในใจเองก็ยินดีมากด้วย เพียงแต่รูปโฉมของหลี่หลิงหว่านนับว่าโดดเด่นเกินไปแล้วจริงๆ นางออกมาเช่นนี้จะต้องมีสายตาหลงใหลของบุรุษมองมาที่นางเป็นแน่ และเขาก็ไม่ชอบให้มีสายตาของบุรุษคนใดมองมาที่นางเป็นที่สุด ทุกครั้งเขาล้วนเกิดความรู้สึกวู่วามจนอยากจะควักดวงตาของบุรุษที่มองหลี่หลิงหว่านเสมอ
แต่เขาก็ตัดใจดุหลี่หลิงหว่านจริงๆ ไม่ลงเสียที เมื่อเห็นท่าทางที่ยอมลงให้ของนางแล้ว เขาก็ใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ย “อยู่ที่บ้านดีๆ อย่างเชื่อฟัง รอให้ข้ากลับไปไม่ดีกว่าหรือ เจ้าออกมาพบเจอผู้คนมากมายที่ดูวุ่นวายเช่นนี้ พี่ชายเป็นห่วง”
หลี่หลิงหว่านนึกในใจ นี่จะถือว่าเป็นผู้คนมากมายที่ดูวุ่นวายได้อย่างไร นึกถึงในปีนั้นช่วงวันหยุดวันแรงงาน นางได้ไปเที่ยวทะเลสาบซีหูครั้งหนึ่ง เช่นนั้นจึงจะเรียกว่า ‘ผู้คนมากมาย’ ได้จริงๆ ยามที่นางยืนอยู่ข้างทะเลสาบซีหูและมองไปยังสะพานต้วนเฉียวนั้น ทุกหนแห่งก็ล้วนเต็มไปด้วยผู้คน แต่ละย่างก้าวล้วนเดินได้ยากลำบากโดยแท้
แต่คำพูดประเภทนี้ย่อมไม่อาจเอ่ยกับหลี่เหวยหยวนได้ หลี่หลิงหว่านจึงเอ่ยอย่างยอมแพ้อยู่บ้าง “เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว”
พวกเขาเข้ามาในร้านขายเครื่องประดับแห่งหนึ่ง ภายในร้านไม่มีลูกค้าเลยสักคน คนงานในร้านมองเห็นหลี่เหวยหยวนกับหลี่หลิงหว่านสวมอาภรณ์หรูหราแล้วก็รู้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะต้องเป็นคุณหนูคุณชายจากตระกูลใหญ่อย่างแน่นอน เขาจึงรีบร้อนเดินเข้ามาต้อนรับด้วยรอยยิ้มกว้าง “คุณหนู ท่านลองดูเครื่องประดับภายในร้านของข้าน้อยนี้เถิด หากมีที่ท่านชื่นชอบก็สามารถพกกลับไปสักชิ้นสองชิ้นได้” ทั้งยังยิ้มเอ่ยกับหลี่เหวยหยวน “คุณชายผู้นี้ เครื่องประดับภายในร้านของข้าน้อยนับว่าประณีตงดงามยิ่ง หากนำไปมอบให้สตรีในดวงใจย่อมเป็นเรื่องที่ดีเสียยิ่งกว่าดี ท่านลองเลือกดูขอรับ”
เขาเห็นว่าผมของหลี่หลิงหว่านยังคงเกล้าเป็นทรงของสตรีที่ยังไม่แต่งงาน จึงคิดว่าทั้งสองคนจะต้องไม่ใช่สามีภรรยากันแน่ แต่เมื่อเห็นหลี่เหวยหยวนปฏิบัติต่อหลี่หลิงหว่านอย่างใกล้ชิด ทั้งน้ำเสียงที่ใช้ก็สนิทสนม เขาจึงคิดไปว่าทั้งสองคนเป็นคู่รักคู่หนึ่ง
คิดไม่ถึงว่าประโยคนี้ของคนงานเพิ่งกล่าวจบ เขาก็เห็นหลี่หลิงหว่านเอียงศีรษะยิ้มถามหลี่เหวยหยวน “พี่ชาย พี่มีสตรีในดวงใจหรือไม่ เป็นคุณหนูสกุลใดกัน”
คนงานผู้นั้นมองจนอึ้งไปทันที ไม่นึกเลยว่าสองคนนี้จะเป็นพี่น้องกัน มองดูสายตารักใคร่ที่คุณชายมองคุณหนูผู้นี้แล้ว ยังจะมีพี่ชายตระกูลใดที่ปฏิบัติต่อน้องสาวเช่นนี้อีกเล่า
ชั่วขณะนั้นหลี่หลิงหว่านก็นิ่งอึ้งไปแล้วเช่นกัน เพราะเมื่อนางเอียงศีรษะมองขึ้นไปก็เห็นว่าบนผนังแขวนพิณเหยาฉิน เอาไว้คันหนึ่ง
เดิมทีในร้านขายเครื่องประดับจะแขวนพิณเหยาฉินคันหนึ่งเอาไว้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ที่แปลกนั้นอยู่ที่ว่าพิณเหยาฉินโดยทั่วไปจะมีอยู่เจ็ดสาย ทว่าพิณเหยาฉินคันนี้กลับมีอยู่สิบสามสาย ทั้งยังมีฮุย ที่ทำจากทองคำและลูกบิดหยก ประดับด้วยพู่ระย้าสีเขียวเข้ม…
ในใจหลี่หลิงหว่านตกตะลึง นางหันกลับไปมองเครื่องแต่งกายของคนงานผู้นั้นอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนจะเห็นว่าลายดอกไม้บริเวณปกคอและชายเสื้อของเขาค่อนข้างพิเศษอยู่บ้างดังคาด นี่มิใช่เป็นการบอกว่าร้านขายเครื่องประดับที่มองดูไม่โดดเด่นแห่งนี้แท้ที่จริงก็คือสำนักลับที่นางออกแบบเอาไว้หรือ…สำนักหวงจี๋?!
นี่เป็นถึงนิ้วทองคำที่สำคัญยิ่งสำหรับเซี่ยอวิ้น หากไม่มีนิ้วทองคำนี้ สุดท้ายแล้วเขาจะได้เป็นฮ่องเต้หรือไม่ยังพูดยาก แต่ตอนนี้…ฮ่าๆ… หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อนับวันเวลาดูแล้วก็พบว่าเซี่ยอวิ้นยังไม่ทราบชาติกำเนิดของตนเอง เขายังไม่มีโอกาสได้ใช้นิ้วทองคำนี้ นี่มิใช่หมายความว่านางสามารถนำนิ้วทองคำนี้มาใช้ได้หรือ
หลี่เหวยหยวนเห็นหลี่หลิงหว่านเหม่อลอย เขาก็คิดไปว่านางกำลังคิดถึงสตรีในใจเขา ดังนั้นจึงไม่สบายใจขึ้นมา
เขาย่อมชื่นชอบที่ได้เห็นหลี่หลิงหว่านหวงเขา แต่ก็ปวดใจที่นางไม่มีความสุข เขาจึงลูบศีรษะหลี่หลิงหว่านเบาๆ แล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ไม่ต้องคิดเหลวไหลไป ไม่มีผู้ใดสำคัญในใจพี่ชายเท่ากับหว่านวานอีกแล้ว” ก่อนจะจูงมือนางเดินไปด้านข้างชั้นวางสินค้า และมองดูเครื่องประดับเหล่านั้นอย่างละเอียดพร้อมเอ่ย “หว่านวาน เจ้าดูเครื่องประดับเหล่านี้สิ หากมีที่ชอบ พี่ชายจะซื้อให้เจ้า”
หลี่หลิงหว่านได้สติกลับมา ก่อนจะก้มหน้ายิ้มฝืดเฝื่อน
แม้หลี่เหวยหยวนจะเอ่ยประโยคนี้ออกมาอย่างใจป้ำเช่นนี้ก็อย่าได้คิดว่าเขาจะมีเงินมากเลย นางรู้ว่าจริงๆ แล้วเขาไม่ได้มีเงินเท่าไรนัก ทุกๆ เดือนเขาได้เงินรายเดือนเพียงแค่สองตำลึงเท่านั้น ด้วยความที่เขาชื่นชอบการอ่านตำรา ซ้ำยังอ่านได้รวดเร็วยิ่ง เพียงไม่นานเขาก็ต้องไปเลือกตำราหลายเล่มจากร้านหนังสือกลับมาแล้ว เงินรายเดือนเดือนหนึ่งพอให้เขาซื้อตำราได้สักกี่หนกัน หลี่เหวยหยวนก็เป็นคนเช่นนี้ ยินยอมประหยัดในด้านอื่นๆ มากหน่อย แต่ไม่มีทางประหยัดกับเรื่องหนังสือเป็นอันขาด
หลี่หลิงหว่านปฏิเสธในทันที “พี่ชาย ข้ายังมีเครื่องประดับอื่นๆ อีกมากมายนัก หลายๆ ชิ้นก็ยังไม่เคยสวมใส่มาก่อน ไหนเลยจะต้องซื้อของพวกนี้อีก พวกเราไปดูกันเถอะว่าพี่รองออกมาหรือยัง หากเขาออกมาแล้วพวกเราก็ไปรวมตัวกับเขาแล้วกลับบ้านด้วยกันเถอะ ท่านย่ายังรอพวกพี่กลับไปอย่างร้อนใจอยู่นะเจ้าคะ”
แต่หลี่เหวยหยวนกลับไม่ได้เดินออกไป เขามองชั้นวางสินค้าอย่างตั้งใจพักหนึ่ง จากนั้นจึงยื่นมือออกไปหยิบปิ่นระย้าผีเสื้ออันหนึ่งขึ้นมา
วัตถุดิบไม่นับว่าดี เป็นทองคำผสม ทว่ารูปแบบกลับประณีตยิ่ง ตัวปิ่นที่ดัดเป็นลายเมฆาประดับด้วยผีเสื้อสยายปีกสองตัว ใต้ปีกของผีเสื้อแต่ละตัวยังห้อยไว้ด้วยพู่มุก
หลังยกมือขึ้นเสียบปิ่นระย้าผีเสื้ออันนี้ไว้บนมวยผมหลี่หลิงหว่าน หลี่เหวยหยวนก็รู้สึกละอายใจยิ่ง “ตอนนี้พี่ชายสามารถซื้อให้เจ้าได้แค่เท่านี้ แต่วันหน้าพี่ชายจะต้องซื้อที่ดีกว่านี้ให้เจ้าแน่นอน”
หลี่หลิงหว่านยกมือขึ้นลูบพู่ของปิ่นระย้า จากนั้นก็เงยหน้ายิ้มแย้มสดใสให้เขา “ได้เจ้าค่ะ ข้าจะรอนะเจ้าคะ”
หลี่เหวยหยวนผงกศีรษะให้นางอย่างจริงจังก่อนจะเอ่ยสัญญา “วันหน้าข้าจะต้องนำเครื่องประดับทั้งหมดในใต้หล้านี้มาวางไว้ตรงหน้าเจ้า ให้เจ้าเลือกได้ตามใจ”
หลี่หลิงหว่านคิดในใจอย่างมีความสุข มีพี่ชายที่ในอนาคตจะได้เป็นถึงเสนาบดี ทั้งยังรักใคร่เอ็นดูตนเองเช่นนี้ ช่างเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ นางตัดสินใจแล้ว วันหน้าจะต้องกอดท่อนขาทองคำของหลี่เหวยหยวนเอาไว้ไม่ปล่อยมือ
ยามนั้นเองก็ได้ยินเสียงบ่าวรับใช้ดังขึ้นมาจากข้างนอก “คุณชายรอง คุณชายใหญ่กับคุณหนูสี่อยู่ในร้านขอรับ”
เห็นทีหลี่เหวยหลิงจะมาแล้ว หลี่หลิงหว่านรีบออกไปต้อนรับที่ประตู หลี่เหวยหยวนจ่ายเงินแล้วก็ค่อยๆ เดินตามหลังนางไปอย่างช้าๆ
ตอนเด็กๆ หลี่เหวยหลิงมักจะเยาะเย้ยเสียดสีเขาอยู่เสมอ ทว่าต่อมาได้หลี่หลิงหว่านคอยไกล่เกลี่ยอยู่ตรงกลาง รวมกับที่อายุของเขากับหลี่เหวยหลิงค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ต่อให้ในใจต่างฝ่ายจะยังรู้สึกไม่ถูกชะตา แต่อย่างน้อยฉากหน้าก็ยังนับว่าอยู่ร่วมกันได้
รอจนม่านของประตูร้านถูกเลิกขึ้น หลี่เหวยหยวนก็พบว่าผู้ที่เข้ามาไม่ได้มีแต่หลี่เหวยหลิง ยังมีอีกคนหนึ่งอยู่ด้วย คนผู้นั้นสวมเสื้อคลุมยาวสีฟ้าอ่อน เรือนร่างสูงโปร่ง กิริยาสง่างาม…เป็นฉุนอวี๋ฉีนั่นเอง
ฝีเท้าที่เดินไปด้านหน้าของหลี่เหวยหยวนพลันชะงัก แม้แต่สีหน้าก็ทะมึนลง
พอหลี่หลิงหว่านได้เห็นฉุนอวี๋ฉีแล้ว ฝีเท้าของนางก็หยุดลง ในใจคิดว่า เหตุใดแค่ออกมาจากร้านก็สามารถพบเขาได้แล้วเล่า
ทว่าฉุนอวี๋ฉีกำลังหันหน้าไปคุยกับหลี่เหวยหลิง ชั่วขณะนั้นจึงยังไม่เห็นพวกเขา
ฉุนอวี๋ฉีได้พบกับหลี่เหวยหลิงตอนที่อยู่ในจวนก่วงผิงโหว เมื่อครู่ได้เจอกันพอดี หลี่เหวยหลิงจึงเอ่ยชวนเขามาสนทนาร่วมกัน ภายหลังเดินมาถึงประตูของร้านขายเครื่องประดับแห่งนี้ ได้ยินบ่าวรับใช้ของจวนสกุลหลี่เรียกหลี่เหวยหลิง บอกว่าคุณชายใหญ่กับคุณหนูสี่กำลังรอเขาอยู่ข้างในร้าน ฉุนอวี๋ฉีจึงติดตามหลี่เหวยหลิงมาด้วยกัน
เขารู้ว่าในบรรดาบุตรหลานสกุลหลี่ หลี่หลิงหว่านอยู่อันดับสี่ คุณหนูสี่ผู้นี้จะต้องเป็นหลี่หลิงหว่านอย่างแน่นอน และยามที่เขาเงยหน้าก็เห็นหลี่หลิงหว่านจริงดังคาด
ขณะนี้คือเดือนสี่ เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิต้นฤดูร้อน อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้น หลี่หลิงหว่านสวมเสื้อตัวสั้นสีชมพูอ่อน กระโปรงหลัวฉวิน* สีเขียวลายกลุ่มดอกไม้ บริเวณเอวคาดผ้าไหมสีชมพูอ่อน ขับเน้นช่วงเอวบางของนางให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ฉุนอวี๋ฉีชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะประสานมือคารวะแล้วยิ้มอย่างสง่างาม “คุณหนูหลี่ จากกันหลายเดือน พวกเราได้พบกันอีกแล้ว”
หลี่หลิงหว่านดูอกสั่นขวัญแขวนอยู่บ้าง
คำว่า ‘อีกแล้ว’ ของเจ้าช่างพูดออกมาได้ชวนให้ข้าอกสั่นขวัญผวามากนักจริงๆ
หลังคารวะกลับตามมารยาทและส่งเสียงเรียกคุณชายฉุนอวี๋คำหนึ่งแล้ว หลี่หลิงหว่านก็หันไปมองหลี่เหวยหยวนตามจิตใต้สำนึก
แม้บนใบหน้าของหลี่เหวยหยวนจะไม่ได้แสดงอะไรออกมา เพียงแค่ไม่หลงเหลือรอยยิ้มเช่นเมื่อครู่นี้อีก แต่หลี่หลิงหว่านยังคงสัมผัสได้ว่าในใจหลี่เหวยหยวนน่าจะไม่สบอารมณ์ไปนานแล้ว
หลี่หลิงหว่านเริ่มรู้สึกกังวลขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ คล้ายกับว่าหลี่เหวยหยวนไม่ชอบหน้าฉุนอวี๋ฉียิ่ง แต่นั่นก็ใช่ เพราะเสือสองตัวไม่อาจอยู่ถ้ำเดียวกัน ต่อให้ตอนนี้พวกเขาสองคนยังไม่มีความขัดแย้งใหญ่โตอะไร แต่ช่วยไม่ได้ที่ชะตาชีวิตได้กำหนดให้ภายภาคหน้าพวกเขาจะต้องเป็นปรปักษ์กัน เกรงว่ายามนี้พวกเขาคงจะสัมผัสเรื่องที่ว่าต่างฝ่ายต่างเป็นศัตรูของกันและกันได้แล้ว
หลี่หลิงหว่านมองหลี่เหวยหยวนสลับกับมองฉุนอวี๋ฉี คิดแล้วก็รู้สึกเสียดายมากจริงๆ มังกรท่ามกลางกลุ่มคนเช่นนี้ เหตุใดจึงต้องลงมือทำร้ายกันเองด้วยเล่า เหตุใดแต่แรกเริ่มนางถึงได้เป็นนักเขียนนิยายรักหวานแหวว แต่ไม่ใช่นักเขียนนิยายชายรักชายนะ
“น้องสี่” ยามนั้นหลี่หลิงหว่านก็ได้ยินเสียงหลี่เหวยหลิงเอ่ยถามนาง “เจ้าเคยเจอหย่งฮวนโหวซื่อจื่อมาก่อนหรือ”
หลี่หลิงหว่านได้สติกลับมา ก่อนจะยิ้มแย้มผงกศีรษะ “เจ้าค่ะ เคยพบกันอยู่สองสามหน”
เวลาที่หลี่หลิงหว่านยิ้มแย้มช่างชวนให้ผ่อนคลาย ดวงตานางจะเป็นประกาย ข้างแก้มมีลักยิ้มจางๆ ซึ่งชวนให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ได้ กระทั่งอยากจะยิ้มตามไปด้วย
ฉุนอวี๋ฉีมองดูหลี่หลิงหว่านแล้วมุมปากก็หยักโค้งขึ้นน้อยๆ น้ำเสียงอ่อนโยนขึ้น “การที่มีโอกาสได้รู้จักกับคุณหนูหลี่นับเป็นเรื่องที่เป็นเกียรติที่สุดตั้งแต่ข้ากลับเมืองหลวงมา”
คำพูดนี้หากตั้งใจครุ่นคิดก็ค่อนข้างมีความคลุมเครืออยู่บ้าง
หลี่หลิงหว่านอึ้งไปเล็กน้อย หลี่เหวยหลิงเองก็รู้สึกประหลาดใจ ขณะที่หลี่เหวยหยวนปั้นหน้าเย็นชา พูดขึ้นมาอย่างหนักแน่น “หว่านวาน มานี่”
คำพูดของหลี่เหวยหยวนนั้นหลี่หลิงหว่านไม่กล้าไม่ฟัง นางจึงยิ้มขออภัยฉุนอวี๋ฉีก่อนหมุนตัวเดินไปอยู่ข้างกายหลี่เหวยหยวน
หลังจากยื่นมือออกมาจับมือหลี่หลิงหว่านแล้วหลี่เหวยหยวนก็ขยับกายเล็กน้อย บดบังร่างนางเอาไว้ข้างหลังตนเองอย่างแนบเนียน
ฉุนอวี๋ฉีเห็นเช่นนั้น คิ้วเรียวก็เลิกขึ้นเล็กน้อย
การกระทำนี้ของหลี่เหวยหยวนชัดเจนยิ่ง ราวกับประกาศความเป็นเจ้าของที่เขามีต่อหลี่หลิงหว่านอย่างไรอย่างนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นพี่น้องกัน เหตุใดหลี่เหวยหยวนต้องมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะครอบครองหลี่หลิงหว่านให้ได้ขนาดนี้ด้วย หลังจากมองดูแล้วเขาก็ยังนึกสงสัย ไม่รู้เหตุใดหลี่หลิงหว่านต้องเชื่อฟังหลี่เหวยหยวนถึงเพียงนั้น
คิ้วเรียวของฉุนอวี๋ฉีขมวดเล็กน้อย จมอยู่ในความครุ่นคิด
หลี่เหวยหลิงยืนเบ้ปากอยู่ด้านข้าง หลี่เหวยหยวนผู้นี้ยิ่งโต ความปรารถนาที่จะได้ครอบครองน้องสี่ก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นไปอีก แต่ก่อนไม่เคยเห็นเขากุมมือน้องสี่ต่อหน้าคนนอกเช่นนี้ ตอนนี้เป็นอย่างไรเล่า เขาไม่รู้จักหลีกเลี่ยงอีกแล้ว ทำราวกับคนรอบข้างล้วนเป็นคนชั่วที่จะมาแย่งหว่านวานของเขาไปอย่างไรอย่างนั้น
กระนั้นในใจหลี่เหวยหลิงก็ยังรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นอยู่บ้าง รอให้ปีหน้าน้องสี่แต่งออกไปแล้ว ถึงยามนั้นผู้ที่จะปกป้องน้องสี่ทุกเรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นสามีของนาง หลี่เหวยหยวน เจ้าเองก็ทำได้เพียงยืนมองอยู่ที่ด้านข้างเท่านั้น ดูซิว่าเจ้าจะทำอย่างไรได้อีก
จากนั้นพวกเขาก็ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันครู่หนึ่ง ก่อนที่สามพี่น้องสกุลหลี่จะประสานมือกล่าวลาฉุนอวี๋ฉีแล้วกลับจวนไป
ตามกำหนดการ หลังการสอบเตี้ยนซื่อสองวันก็จะมีการประกาศผลสอบ หนึ่งวันก่อนหน้าฮูหยินผู้เฒ่ากับคนอื่นๆ ต่างนอนหลับไม่สนิท รอจนมาถึงวันนั้นก็ได้รับข่าวดี หลี่เหวยหลิงสอบผ่านได้เป็นบัณฑิตเอกขั้นสามถงจิ้นซื่อชูเซิน หลี่เหวยหยวนสอบผ่านเป็นบัณฑิตเอกขั้นหนึ่ง ได้เป็นจ้วงหยวน วันต่อมาในงานเลี้ยงฉยงหลิน หลี่เหวยหยวนได้รับการแต่งตั้งภายในงานให้เป็นราชอาลักษณ์ของสำนักราชบัณฑิต ขุนนางลำดับรองขั้นหก ต่อมาหลี่เหวยหลิงเองก็ได้รับการแต่งตั้งให้ไปเป็นนายอำเภอในสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งของเจียงหนาน
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าทราบก็ปีติยินดีจนเปิดศาลบรรพชน โขกศีรษะและจุดธูปคารวะบรรพบุรุษทุกคนทันที ทั้งยังบอกว่าได้เลือกวันมงคลวันหนึ่งพาทุกคนไปจุดธูปแก้บนที่วัดเฉิงเอินแล้วด้วย
ตั้งแต่หลังปีใหม่มาฮูหยินผู้เฒ่าก็เจ็บป่วยออดๆ แอดๆ มาโดยตลอดไม่หายดีเสียที แม้ภายหลังหลี่ซิวป๋อจะได้รับแต่งตั้งเป็นรองเสนาบดีฝ่ายขวากรมอากรแล้ว แต่การสอบฮุ่ยซื่อและเตี้ยนซื่อกำลังจะมาถึง ฮูหยินผู้เฒ่าเองก็ไม่อยากทำให้หลี่เหวยหยวนกับหลี่เหวยหลิงต้องเสียสมาธิด้วยเรื่องนี้ นางจึงตั้งใจรอให้พวกเขาสองพี่น้องสอบฮุ่ยซื่อและเตี้ยนซื่อเรียบร้อยแล้วค่อยเข้าไปจุดธูปไหว้พระยังวัดเฉิงเอินทีเดียว ตอนนี้ดียิ่งแล้ว ความปรารถนาทั้งหมดของฮูหยินผู้เฒ่าล้วนกลายเป็นจริง ชั่วขณะหนึ่งบนใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความยินดี นางคอยพูดอยู่เสมอว่าต้องการจะไปหล่อพระพุทธรูปทองคำให้แก่วัดเฉิงเอิน
ดังนั้นเมื่อถึงเทศกาลตวนอู่ อาศัยช่วงที่หลี่ซิวป๋อกับคนอื่นๆ ได้วันหยุดพักผ่อน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงได้พาทุกคนในครอบครัวไปยังวัดเฉิงเอินอย่างเอิกเกริก
บทที่แปด
สกุลหลี่ในวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว สองวันก่อนฮูหยินผู้เฒ่าได้ส่งคนล่วงหน้าไปยังวัดเฉิงเอิน หนึ่งเพื่อทำความสะอาดทุกหนแห่งภายในวัดให้สะอาดเอี่ยม สองเพื่อบอกภิกษุในวัดว่าในเทศกาลตวนอู่นี้ห้ามไม่ให้คนนอกเข้ามาในวัดแม้แต่คนเดียว จะได้ให้บรรดาคุณชายคุณหนูของสกุลหลี่สามารถไปทุกหนแห่งภายในวัดได้ตามใจ
ด้วยเพราะต้องการพบท่านเจ้าอาวาสสักครั้งหนึ่ง จะได้ให้เขาช่วยทำนายชะตาชีวิตแก่ผู้เยาว์ของสกุลหลี่ ดังนั้นตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนไปวัดเฉิงเอินจึงตั้งใจกำชับพวกเขาเป็นพิเศษ ให้พวกเขาถามว่าท่านเจ้าอาวาสกลับมาจากการออกแสวงบุญแล้วหรือยัง ก่อนจะได้รู้ว่ายามนี้ท่านเจ้าอาวาสยังไม่กลับมา และตามที่ภิกษุในวัดเอ่ยนั้น วันที่จะกลับวัดก็ยังไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าเมื่อใดจึงจะกลับมา
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินแล้วก็ยากจะปกปิดความผิดหวังในใจ ขณะที่หลี่หลิงหว่านได้ยินแล้วกลับลอบยินดี
ในนิยายตนได้วางให้ตอนที่หลี่หลิงเยี่ยนติดตามฮูหยินผู้เฒ่าไปยังวัดเฉิงเอินครั้งแรกก็ได้พบกับท่านเจ้าอาวาสเลย เขายังทำนายเอาไว้ว่านางมีชะตาหงส์ ทำให้ในภายหลังหลี่หลิงเยี่ยนยิ่งได้รับความเอ็นดูจากฮูหยินผู้เฒ่ามากขึ้น ทั้งปฏิบัติตัวกับนางดีขึ้นกว่าเก่า ภายหลังที่โจวซื่อตายแล้วก็เป็นฮูหยินผู้เฒ่าที่ลงแรงอุ้มชูซุนหลันอีขึ้นมาเป็นภรรยาเอก
ทางหนึ่งฮูหยินผู้เฒ่าย่อมนึกอยากเกี่ยวดองกับตระกูลรองข้าหลวงซุน ส่วนอีกทางก็อยากจะมอบตำแหน่งบุตรสาวที่เกิดจากภรรยาเอกให้แก่หลี่หลิงเยี่ยน
ชะตาหงส์ควรจะมีสถานะเป็นบุตรภรรยาเอกจึงจะดี หากเป็นลูกอนุ ต่อให้ขึ้นไปถึงตำแหน่งนั้นก็ยากจะหลีกเลี่ยงให้ไม่ถูกผู้อื่นครหา
เดิมทีหลี่หลิงหว่านยังคิดอยู่เลยว่าควรจะหาหนทางใดทำให้หลี่หลิงเยี่ยนไม่ไปวัดเฉิงเอินดี ในเมื่อยามนี้ท่านเจ้าอาวาสยังไม่กลับมา เช่นนั้นนางก็ไม่ต้องเปลืองแรงใจไปคิดเรื่องนี้แล้ว
ในใจหลี่หลิงหว่านกำลังคิดอย่างมีความสุข เห็นทีผลกระทบจากทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกของเรื่องนี้จะยังมีอยู่ จะต้องเป็นเพราะนางข้ามมิติมา เรื่องราวหลายอย่างจึงเปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน อย่างเช่นในตอนนี้ท่านเจ้าอาวาสไม่อยู่ที่วัด วันนี้เขาก็ต้องไม่ได้พบกับหลี่หลิงเยี่ยน เช่นนั้นก็จะไม่มีใครทำนายว่าหลี่หลิงเยี่ยนมีชะตาหงส์ ภายหลังฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่เอ็นดูหลี่หลิงเยี่ยนมากขึ้น และไม่พยายามสร้างความลำบากให้โจวซื่ออีก
จากนั้นนางก็เปลี่ยนมาคิดถึงเรื่องสำนักหวงจี๋
หลายวันมานี้นางลองพิจารณาดูอย่างละเอียดแล้ว ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้ม ตอนนี้หลี่เหวยหยวนเพิ่งจะเดินเข้าสู่เส้นทางขุนนาง โดยไม่รู้เลยว่าภายภาคหน้าหลี่เหวยหยวนจะเป็นเช่นที่วางไว้ในนิยายหรือไม่ ที่สุดแล้วเขาจะยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉุนอวี๋ฉีและเซี่ยอวิ้นหรือเปล่า พวกเขาสามคนกับหนึ่งสำนักลับ หากนางมอบสำนักหวงจี๋นี้ให้เซี่ยอวิ้นได้ก็คงมอบให้ไปแล้ว ในเมื่อสำนักหวงจี๋นี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใดคิดอยากสืบทอดก็จะสามารถสืบทอดได้ ต้องเหมาะสมกับเงื่อนไขอีกมากมาย วันหน้ารอให้เซี่ยอวิ้นขึ้นเป็นฮ่องเต้ หลี่เหวยหยวนเป็นขุนนางของเขาแล้ว นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีอะไร แต่หากหลี่เหวยหยวนยังคงเป็นดั่งที่นางวางไว้ในนิยายคือเลือกยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับฉุนอวี๋ฉีและเซี่ยอวิ้น เช่นนั้นต่อให้อันตรายยิ่งกว่านี้นางก็ต้องพยายามจนสุดกำลัง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจให้สำนักหวงจี๋นี้ตกไปอยู่ในกำมือของเซี่ยอวิ้นได้เป็นอันขาด
เมื่อมีนิ้วทองคำอย่างสำนักหวงจี๋นี้แล้ว หากต้องการเงินก็ได้เงิน ต้องการคนก็ได้คน เซี่ยอวิ้นจะไม่เป็นเช่นพยัคฆ์ติดปีกได้อย่างไร ไม่อยากเป็นฮ่องเต้ยังยาก ถึงยามนั้นหากหลี่เหวยหยวนทำตัวเป็นศัตรูกับเขา จะมิใช่เป็นการร่วงหล่นลงสู่จุดจบอันน่าอนาถหรอกหรือ นางไม่มีวันยอมให้หลี่เหวยหยวนต้องร่วงลงสู่จุดจบเช่นนั้นเป็นอันขาด
มิสู้บอกรหัสลับของสำนักหวงจี๋นี้ให้หลี่เหวยหยวนทราบไปเสียเลย จากนั้นก็ใช้กลยุทธ์ปิดฟ้าข้ามทะเล ให้เขาได้สืบทอดสำนักหวงจี๋นี้
กระนั้นในใจหลี่หลิงหว่านก็ยังไม่มั่นใจเท่าไรนัก หากพูดกันตามตรงแล้ว ต่อให้ตอนนี้นางจะใช้ชีวิตอยู่กับหลี่เหวยหยวนทุกวัน แต่นางยังคงรู้สึกว่าตนเองคาดเดาความคิดของเขาไม่กระจ่างเลยแม้แต่นิดเดียว คนที่มีความคิดอ่านลึกซึ้งเช่นนี้ หากมอบนิ้วทองคำให้กับเขาไป กระทั่งเขาเกิดคิดการใหญ่ขึ้นมา ต้องการแย่งชิงตำแหน่งฮ่องเต้นี้ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้…
หลี่หลิงหว่านก้มหน้าพลางกัดริมฝีปากครุ่นคิดมาตลอดทาง สุดท้ายก็ถูกหลี่หลิงเจียวผลักเบาๆ “เจ้าเหม่อลอยอะไรกัน ซุ้มประตูวัดเฉิงเอินอยู่ตรงหน้าแล้ว ยังไม่รีบลงจากรถอีก”
หลี่หลิงหว่านได้สติกลับมา ก่อนจะตามหลังหลี่หลิงเจียวเลิกม่านรถม้าเดินลงไป
หลายวันมานี้อากาศร้อนอบอ้าว ความร้อนในอากาศสูงยิ่ง รอจนลงมาจากรถม้า สิ่งแรกที่รู้สึกได้ก็คือคลื่นความร้อนที่พุ่งมาปะทะใบหน้า หลี่หลิงหว่านอดขมวดคิ้วงามขึ้นมาไม่ได้
เมื่อเหลือบสายตาขึ้นมองก็เห็นหลี่หลิงเยี่ยนกับหลี่หลิงเจวียนลงมาจากรถม้าคันหน้าแล้วเช่นกัน ทั้งสองคนกำลังเกี่ยวแขนและเอ่ยสนทนากันอย่างสนิทสนม ด้านข้างยังมีสาวใช้กางร่มให้พวกนาง ป้องกันแสงอาทิตย์อันร้อนแรงเหนือศีรษะ
หลี่หลิงเจียวทนร้อนไม่ได้ นางวิ่งไปด้านข้างพลางเอ่ยเร่งให้หงอวี้หยิบร่มมากางให้นางนานแล้ว หลี่หลิงหว่านเพียงโบกพัดในมืออยู่ด้านหน้าอย่างช้าๆ ไม่ได้เอ่ยปากให้เสี่ยวซานไปหยิบร่มมากางให้
ถึงอย่างไรซุ้มประตูก็อยู่ห่างจากตัววัดไม่มากเท่าไร เดินไม่นานก็ถึงแล้ว
แต่จู่ๆ บนศีรษะก็มีเงาร่มมาบดบัง ไม่รู้ว่าหลี่เหวยหยวนไปรับร่มมาจากเสี่ยวซานตั้งแต่เมื่อใด ยามนี้เขากำลังถือร่มและยืนอยู่ข้างกายนาง
เมื่อเห็นหลี่หลิงหว่านหันหน้ามามอง หลี่เหวยหยวนก็หลุบตาลงส่งยิ้มให้นางน้อยๆ จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ไปกันเถอะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามีสาวใช้ประคองเดินไปด้านหน้านานแล้ว ด้านหลังมีผู้คนทยอยติดตามไป หลี่หลิงหว่านเองก็เดินไปข้างหน้าพร้อมหลี่เหวยหยวน
ระหว่างซุ้มประตูไปจนถึงอุโบสถใหญ่ของวัดมีขั้นบันไดที่ยาวมากช่วงหนึ่ง หลี่หลิงหว่านเดินขึ้นไปสักพักก็หอบแฮกๆ บนร่างกายมีเหงื่อผุดพราวขึ้นมา แต่ต่อให้ร้อนยิ่งกว่านี้นางก็ไม่มีเรี่ยวแรงขยับโบกพัดในมืออยู่ดี
หลี่เหวยหยวนเหลือบสายตาขึ้นเห็นฮูหยินผู้เฒ่ากับคนอื่นๆ ต่างเดินเข้าไปในวัดภายใต้การประคองของสาวใช้นานแล้ว เขาจึงถือร่มมือหนึ่ง ส่วนอีกมือก็เอื้อมมากุมมือของหลี่หลิงหว่าน
ฝ่ามือของหลี่เหวยหยวนทั้งอบอุ่นและมีพลัง เขากุมมือของหลี่หลิงหว่านจับจูงพาเดินขึ้นไปตลอดทาง ภายหลังก็ยังไม่มีความคิดจะปล่อยมือออก
ยังคงเป็นหลี่หลิงหว่านที่สะบัดมือของหลี่เหวยหยวนหลุด นางยืนอยู่ในสถานที่ร่มเย็นซึ่งมีลมพัด มือเท้าสะเอวพลางหอบหายใจน้อยๆ “ไม่ไหว ข้าต้องขอพักเสียหน่อยก่อนจะไปต่อเจ้าค่ะ”
หลี่เหวยหยวนจึงหยิบพัดกลมในมือนางมาช่วยพัดให้ ทั้งยังสั่งให้เสี่ยวซานไปหยิบน้ำอุ่นมาให้นางดื่ม
หลี่หลิงหว่านรู้ว่าออกจากจวนหนนี้ฮูหยินผู้เฒ่าได้สั่งให้คนเตรียมน้ำบ๊วยเย็นมาด้วยเพื่อให้ทุกคนได้ดื่มคลายร้อน ด้วยเหตุนี้นางจึงโบกมือให้เสี่ยวซาน “เสี่ยวซาน ข้าไม่อยากดื่มน้ำอุ่น ไปหยิบน้ำบ๊วยเย็นถ้วยหนึ่งมาให้ข้าที”
“ไม่ได้” ทว่ากลับถูกหลี่เหวยหยวนเอ่ยปฏิเสธอย่างเด็ดขาด “เสี่ยวซาน ไปหยิบน้ำอุ่นมา”
เสี่ยวซานมองหลี่หลิงหว่านสลับกับมองหลี่เหวยหยวน บนใบหน้ามีสีหน้าลังเลเพียงชั่ววูบ สุดท้ายนางยังคงเอ่ยอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ คุณชายใหญ่”
หลี่หลิงหว่านพูดอันใดไม่ออก
เหตุใดเสี่ยวซานที่เป็นสาวใช้ของข้ากลับไม่ฟังคำพูดข้า แต่ไปฟังคำพูดหลี่เหวยหยวนแทนกันเล่า
ขณะนั้นหลี่เหวยหยวนก็เอ่ยชี้แจงอยู่ข้างกายหลี่หลิงหว่าน “เมื่อครู่เจ้าเพิ่งจะเสียเหงื่อ ตอนที่ร่างกายร้อนมากๆ หากเจ้าดื่มน้ำบ๊วยเย็นลงไปกะทันหัน เจ้าจะรับไหวได้อย่างไร อย่าได้ละโมบความสบายจนทำให้ร่างกายได้รับความเย็นเลย เจ้าดื่มน้ำอุ่นย่อมดีกว่า”
พูดถึงเหตุผลแล้วไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเข้าใจ แต่ความรู้สึกตอนร้อนๆ แล้วได้ดื่มน้ำบ๊วยเย็นๆ ลงไปนั้นช่างเย็นวาบไปถึงขั้วหัวใจจริงๆ เพียงแต่น่าเสียดาย ตอนนี้มีคนควบคุมมือเท้านางเช่นนี้ นางย่อมไม่อาจทำตามใจได้แต่แรกแล้ว
หลี่หลิงหว่านทำได้เพียงดื่มน้ำอุ่นอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นก็เร่งรีบติดตามคนอื่นๆ ไปพร้อมหลี่เหวยหยวน
ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอยู่ดีกินดีมาตลอด ไม่ว่าผู้ใดก็คาดไม่ถึงว่าวันนี้จะร้อนถึงเพียงนี้ ดังนั้นทุกคนจึงมีสภาพที่ห่อเหี่ยวอยู่บ้าง โดยเฉพาะฮูหยินผู้เฒ่าซึ่งอายุหกสิบกว่าปีแล้ว ไฉนเลยจะทนรับไหว นางมีบรรดาสาวใช้ประคองเข้าไปในบริเวณด้านหลังวัดซึ่งมีเรือนพักอันเงียบสงบนานแล้ว
ทุกคนต่างกรูเข้าไปดูอาการฮูหยินผู้เฒ่าสักพักหนึ่ง จากนั้นซวงหงก็ออกมาถ่ายทอดคำพูดของฮูหยินผู้เฒ่า บอกว่ารอจนช่วงพลบค่ำให้อากาศเย็นลงกว่านี้บ้างแล้วค่อยออกมาไหว้พระ ตอนนี้ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อนหรือเดินเล่นอยู่ในวัดก่อน เพียงแต่จำไว้ว่าที่ข้างกายต้องพาผู้อื่นไปด้วย ไม่อาจอยู่เพียงลำพัง
เรือนพักที่อยู่ภายในวัดถูกทำความสะอาดเอาไว้นานแล้ว ยามนั้นหลังทุกคนแยกย้ายก็พากันไปพักผ่อนในเรือนพักกันหมด
เดิมทีหลี่หลิงหว่านก็อยากหาเรือนพักสักแห่งเพื่อพักผ่อน แต่ถูกหลี่เหวยหยวนรั้งตัวไว้ บอกว่าให้นางไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเขา
หลี่หลิงหว่านพลันรู้สึกทุกข์ตรม ต่อให้ในใจนางไม่ยินยอมเพียงใด แต่เหมือนว่านางจะไม่อาจปฏิเสธคำร้องขอที่หลี่เหวยหยวนเสนอขึ้นมานี้ได้แต่แรกแล้ว นางจึงพาเสี่ยวซานเดินไปด้วยกันกับหลี่เหวยหยวน ค่อยๆ เดินเล่นภายในวัดเฉิงเอินแห่งนี้ โชคดีที่พวกเขาตั้งใจเลือกเดินตามสถานที่ที่มีร่มเงาจึงไม่นับว่าร้อนเกินไปนัก
ยามนี้เป็นช่วงฤดูร้อนพอดี นอกจากหลังคากระเบื้องและกำแพงสีชาดแล้ว ที่สายตามองเห็นล้วนเป็นสีเขียวเข้มๆ อ่อนๆ นานาชนิด ก้อนหินบริเวณทางเท้ามีตะไคร่เขียวสดเกาะอยู่ ทั้งยังมีดอกเซวียนเฉ่า แทรกขึ้นมาจากรอยแยก กิ่งเรียวยาวพลิ้วไสวตามแรงลม
เมื่อเห็นดอกเซวียนเฉ่าเหล่านี้ หลี่หลิงหว่านก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงชี้ไปยังดอกเซวียนเฉ่าสีเหลืองทองต้นนั้นพร้อมเอ่ยกับหลี่เหวยหยวนอย่างกระตือรือร้น “พี่ชาย สิ่งนี้เรียกว่าวั่งโยวเฉ่า…หญ้าลืมทุกข์ ชื่อไพเราะมากใช่หรือไม่ แต่ความจริงแล้วมันก็คือหวงฮวาไช่ที่พวกเรากินกัน ช่างน่าอัศจรรย์ใจเหลือเกิน จริงหรือไม่เจ้าคะ”
ไม่ว่าอย่างไรตอนแรกที่หลี่หลิงหว่านได้รู้ว่าหญ้าลืมทุกข์ก็คือหวงฮวาไช่ที่นางเคยกินนั้น นางก็รู้สึกอัศจรรย์ใจมากจริงๆ เหมือนดังเช่น ‘ดอกเรืองมณีพลิ้วพราย’ ที่มีนามอันไพเราะถึงเพียงนี้ แต่เมื่อเรียกเป็น ‘กระเทียมหิน’ ความรู้สึกย่อมเปลี่ยนไปทันที
เมื่อหลี่เหวยหยวนได้ยินก็เพียงยิ้มไม่ได้เอ่ยตอบ ก่อนมองเห็นที่ข้างทางมีต้นทับทิมอยู่ต้นหนึ่ง ดอกทับทิมสีแดงชาดเบ่งบานกำลังดี เขาจึงยื่นมือไปเด็ดดอกทับทิมดอกนั้นลงมาแล้วยกมือขึ้นเสียบลงบนมวยผมของหลี่หลิงหว่าน
สีของดอกทับทิมแดงดั่งเปลวเพลิง แต่ยามเสียบอยู่บนมวยผมของหลี่หลิงหว่าน ดอกทับทิมก็ยังคงถูกรูปโฉมงดงามของนางทำให้ด้อยลงไป
หลี่เหวยหยวนมองไปที่นาง สายตาอบอุ่นอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือนางไว้แล้วจับจูงพาเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ พร้อมฟังเสียงนางที่ยังคงเล่าเรื่องเกี่ยวกับหญ้าลืมทุกข์และหวงฮวาไช่ให้เขาฟังอย่างขบขัน
ชั่วขณะนั้นเขาพลันรู้สึกว่าแค่เพียงได้อยู่กับนางเช่นนี้ ฟังนางพูดเรื่องต่างๆ แค่นั้นก็รู้สึกว่าจิตใจสุขสงบแล้ว
หลังจากเดินผ่านทางเดินเล็กๆ อ้อมอุโบสถใหญ่ ด้านหน้าก็มีอุโบสถเล็กอยู่แห่งหนึ่ง แม้จะเป็นวันที่อากาศร้อนเช่นนี้ แต่ภายในอุโบสถยังคงจุดตะเกียงไว้มากมาย
หลี่เหวยหยวนเงยหน้ามอง ก่อนหันกลับมาเอ่ยกับหลี่หลิงหว่านอย่างกะทันหัน “หว่านวาน ข้ามีธุระเล็กน้อยต้องไปที่นั่น ไม่นานก็กลับมา เจ้าหาสถานที่ร่มเย็นแถวนี้พักก่อนเถอะ แล้วรอข้าออกมาหาเจ้า”
หลี่หลิงหว่านมองเห็นอุโบสถเล็กแห่งนี้แล้วก็รู้ว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่ให้ผู้ศรัทธาจุดตะเกียงฉางหมิง
ในใจนางกระจ่างดี หลี่เหวยหยวนจะต้องไปจุดตะเกียงฉางหมิงให้แก่ตู้ซื่อเป็นแน่ แต่เขาไม่อยากให้นางรับรู้ นางจึงผงกศีรษะแล้วเอ่ยอย่างเชื่อฟังยิ่ง “เจ้าค่ะ พี่ชาย พี่ไปจัดการธุระของพี่เถอะ ข้าจะเดินเล่นอยู่แถวนี้รอพี่กลับมา”
หลี่เหวยหยวนกำชับนางอีกหลายครั้งไม่ให้นางเดินไปไกล จะต้องรอเขากลับมาพวกนี้แล้ว จากนั้นถึงได้ปล่อยมือนางแล้วเดินไปยังอุโบสถเล็กแห่งนั้น
หลี่หลิงหว่านมองแผ่นหลังภายใต้แสงอาทิตย์ร้อนแรงของเขา แม้เขาจะดูเหมือนสูงโปร่งองอาจ แต่ความจริงแล้วกลับซูบผอมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อคิดถึงความทุกข์ยากที่เขาได้รับในหลายปีนั้นแล้ว แม้ยามนี้เขาจะเข้าไปในสำนักราชบัณฑิตได้ ฮูหยินผู้เฒ่ากับคนอื่นๆ ล้วนปฏิบัติต่อเขาเปลี่ยนไปมาก ทว่าสุดท้ายก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น ข้างในมีความจริงใจอยู่มากเพียงใดกัน
ขณะที่ตู้ซื่อเป็นมารดาแท้ๆ ของเขา แม้ในยามที่เขาคิดถึงมารดาจะไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นใจเท่าไรนัก แต่อีกฝ่ายก็เคยสอนสั่งความรู้ให้ ทั้งเขายังเป็นคนพลั้งมือผลักนางกระแทกผนัง…
ถึงหลี่เหวยหยวนจะไม่เคยพูดมาก่อน แต่เกรงว่าในใจเขาจะต้องยังถือสาเรื่องนี้ มิเช่นนั้นยามนี้คงไม่มีทางตั้งใจไปจุดตะเกียงฉางหมิงให้แก่ตู้ซื่อเป็นแน่
หลี่หลิงหว่านถอนหายใจแผ่วเบา ในใจยิ่งรู้สึกสงสารหลี่เหวยหยวนขึ้นมา
หลังมองส่งหลี่เหวยหยวนเข้าไปในอุโบสถเล็กแล้ว หลี่หลิงหว่านก็มองไปรอบๆ เห็นที่ด้านข้างมีต้นอิ๋นซิ่งขนาดหนึ่งคนโอบอยู่ต้นหนึ่ง ที่ใต้ร่มเงามีโต๊ะหินกับเก้าอี้หินอยู่สี่ตัว นางจึงเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้หินตัวหนึ่ง ทั้งยังเรียกเสี่ยวซานให้มานั่งด้วย แต่เสี่ยวซานไม่กล้านั่ง กลับเอาแต่ยืนอยู่ข้างกายนาง
หลี่หลิงหว่านไร้หนทางจึงปล่อยให้เสี่ยวซานทำตามใจ ตัวนางเองนั่งลงบนเก้าอี้หิน ทางหนึ่งโบกพัดกลมในมือ อีกทางก็มองไปรอบๆ
เพียงไม่นานก็เห็นว่าที่ทางเดินหินเส้นเล็กๆ ตรงหน้ามีภิกษุรูปหนึ่งเดินขึ้นมา
ภิกษุรูปนั้นสวมชุดจื๋อตัวสีน้ำตาลแดง ศีรษะสวมงอบไผ่สาน บริเวณขอบที่สานด้วยตอกไม้ไผ่ล้วนพลิกขึ้น ในมือถือกระบองไม้หยาบๆ อันหนึ่ง เท้าสวมรองเท้าสานที่พื้นรองเท้าเสียดสีจนพื้นเกือบเรียบหมดแล้ว ลักษณะเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง กำลังก้าวเท้าพรวดๆ เดินตรงไปข้างหน้า ฉับพลันราวกับสัมผัสได้ถึงบางอย่างกะทันหัน จู่ๆ เขาก็หันหน้ามองมาทางทิศที่หลี่หลิงหว่านนั่งอยู่
ในวันที่อากาศร้อนจัดเช่นนี้ งอบที่เขาสวมอยู่บนศีรษะทอดเป็นเงาขนาดใหญ่บนใบหน้าของเขา หลี่หลิงหว่านมองใบหน้าของเขาไม่ออกโดยสิ้นเชิง รู้สึกแค่เพียงว่าดวงตาของเขาทั้งกระจ่างและสว่างไสวยิ่ง อีกทั้งยังสงบเยือกเย็น เป็นความสงบเยือกเย็นดุจดั่งมองสรรพสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ได้อย่างปรุโปร่ง
มือที่โบกพัดกลมของหลี่หลิงหว่านชะงัก
ยามนี้ภิกษุรูปนั้นก็เปลี่ยนทิศด้วยการเดินมาทางหลี่หลิงหว่านแล้ว รอจนเข้ามาใกล้นางจึงมองเห็นใบหน้าของภิกษุรูปนี้ได้ชัดเจน
ความจริงแล้วก็เป็นใบหน้าที่แสนธรรมดามาก เพียงแต่สีหน้าดำคล้ำน้อยๆ ดูท่าจะเร่งรีบเดินทางมาโดยตลอด จึงได้ตากแดดจนผิวของเขาดำคล้ำเช่นนี้
ขณะเดียวกับที่นางสังเกตภิกษุรูปนี้ ภิกษุรูปนี้ก็สังเกตนางเช่นกัน หลังต่างฝ่ายต่างมองกันอยู่สักพัก ในใจหลี่หลิงหว่านก็เริ่มมีลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา
ภิกษุรูปนี้อายุประมาณห้าสิบปี มองดูแล้วเหมือนเพิ่งกลับมาจากการเดินทางไกล คงไม่บังเอิญถึงขนาดเป็นท่านเจ้าอาวาสหรอกกระมัง
(ติดตามต่อได้วันที่ 23 ก.ค. 62)
Comments
comments