X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 12-14

หน้าที่แล้ว1 of 10

บทที่ 12 คำสั่งเสียงของจิ่งเลวี่ย

มู่เฉินฟื้นขึ้นมา รู้สึกว่าศีรษะกับบ่าเจ็บอยู่บ้าง นางนวดคอแล้วลุกขึ้นนั่ง พบว่าตนเองอยู่ในห้องของตนในจวนของมู่หรงชง

เสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก คล้ายกังวลว่านางจะยังไม่ฟื้นจึงเจตนาเบาเสียงลง นางลุกขึ้นยืนก่อนเดินไปเปิดประตู

พอเห็นว่าเป็นมู่หรงชงกับมู่หรงหย่งนางก็กระอักกระอ่วนอยู่สักหน่อย ยกมือกระชับเสื้อที่ยับยุ่งให้มิดชิดก่อนว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น ไยข้าจึงสลบไป”

มู่หรงชงตอบ “เวลานั้นสถานการณ์อันตราย ดีที่พวกอาหย่งมาได้ทันกาล เจ้าไม่เป็นไรก็ดี ข้านัดกับฉงเหอโหวแล้ว วันพรุ่งนี้เขาจะจัดงานเลี้ยง พวกเราไปด้วยกัน”

มู่เฉินพูดด้วยความดีใจอย่างมาก “ข้าจะได้พบอวิ่นจือแล้วใช่หรือไม่”

มู่หรงชงตอบ “ข้าจะคิดหาทางทำให้พวกเจ้าได้พบกันตามลำพังให้ได้”

“ขอบคุณเฟิ่งหวงมาก!”

“ไม่ต้องเกรงใจ พวกเราเองก็นับว่าร่วมเป็นร่วมตายกันมาแล้ว” มู่หรงชงยิ้มบางๆ วางแผนว่า “ข้าอยู่ที่ฉางอันนานไม่ได้ คิดจะกลับผิงหยางในสองสามวันนี้ หลังเจ้ากับน้องสาวได้พบปะพูดคุยกันแล้วก็ให้พานางไปกับข้าด้วย”

“หวังว่าจะได้ทำเช่นนั้น”

“หนานเหยา…” มู่หรงชงทวนชื่อนี้เบาๆ “ข้าส่งคนไปถามหาตามที่ต่างๆ แล้ว มีข่าวเมื่อใดจะบอกให้รู้ทันที”

“ดี” มู่เฉินตอบรับเบาๆ ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องพูด “เฟิ่งหวง ท่านจำได้หรือไม่ ขณะฝูฮุยจะฆ่าพวกเราได้พูดอะไรแปลกๆ อยู่ประโยคหนึ่ง”

“พูดอะไรแปลกๆ?”

“มีคนต้องการชีวิตของพวกเจ้าทั้งสองคน”

มู่หรงชงสูดหายใจเข้าลึก “ฝูฮุยต้องการฆ่าข้านั้นเข้าใจได้ แต่ใครต้องการฆ่าเจ้ากันเล่า”

มู่เฉินพยักหน้า “ผู้ที่ต้องการฆ่าพวกเราอย่างแท้จริงเป็นคนคนเดียวกัน”

มู่หรงชงนึกดูอีกทีก่อนเอ่ยว่า “หวังเหมิ่ง?”

“ท่านมาฉางอันนานปานนี้แล้วเขายังไม่ได้มาหาเรื่องท่าน ท่านไม่รู้สึกว่าแปลกหรือ เดิมทีข้าก็ไม่ได้นึกถึงจุดนี้ แต่ฝูฮุยพูดเช่นนั้นข้าจึงพลันกระจ่าง แม้แต่ข้าหวังเหมิ่งยังไม่ปล่อยไป นับประสาอะไรกับท่าน”

ครั้นมู่เฉินพูดเช่นนี้มู่หรงชงก็อดจะสันหลังเย็นวาบไม่ได้ “เช่นนี้หมายความว่าพวกเราต้องทำการป้องกันโดยเร็ว…”

“ไม่ ไม่เพียงพวกเรา แต่เป็นทั้งสกุลมู่หรง”

 

หลังออกจากห้องของมู่เฉิน มู่หรงชงเดินอยู่บนทางเล็กในจวน มู่หรงหย่งที่ตามติดอยู่ด้านหลังก็พึมพำขึ้นเบาๆ “นายท่าน ลูกไม้ในวันนี้ใช้ได้ดีโดยแท้ ทั้งได้รับความเชื่อใจจากแม่นางมู่ ทั้งได้ลูบคมฝูฮุย น่าเสียดายก็ตรงที่มีองค์หญิงโผล่มากะทันหัน ทำให้เขาเก็บชีวิตกลับมาได้”

มู่หรงชงเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าโดยมิได้ตอบอะไร

มู่หรงหย่งพูดต่อ “แต่นายท่านยังคงเสี่ยงอันตรายเกินไปแล้ว แค่แสดงละครให้แม่นางมู่ดู ท่านถึงกับคิดจะต้านทานอาวุธแทนนางจริงๆ ดีที่…”

มู่หรงชงพลันหยุดฝีเท้า มู่หรงหย่งไม่ทันตอบสนองจึงหวิดจะชนผู้เป็นนายเข้า

“นายท่าน?”

มู่หรงชงยืนเหม่ออยู่ชั่วประเดี๋ยว ก่อนจะหลุดวาจาที่ทำให้มู่หรงหย่งต้องครุ่นคิดอยู่เป็นนานออกมา “ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่านางจะวกกลับมาอีก”

การกระทำยามเผชิญอันตรายเมื่อวานนี้ไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดจากสาเหตุใด ส่วนเรื่องที่มู่เฉินไปแล้ววกกลับมาใหม่เขายิ่งไม่อยากจะขบคิดถึงอีก

เดิมทีทั้งสองฝ่ายต่างใช้ประโยชน์จากกันและกันเท่านั้นเอง

เขาคาดไว้มิผิด มู่เฉินสามารถทำหลายเรื่องให้เขาได้จริงๆ หากมิใช่เพราะคำเตือนของนางไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึงว่าอันที่จริงหวังเหมิ่งจับจ้องทั้งสกุลมู่หรงอย่างลับๆ มาโดยตลอด…

คืนวันถัดมามู่หรงชงพามู่เฉินไปที่จวนของฝูหมัวตามนัดหมาย

ในเมืองฉางอันล้วนพูดกันว่าฝูหมัวเป็นท่านโหวเจ้าสำราญที่ไม่สนใจเหตุการณ์บ้านเมือง พูดได้มิผิด คนทั้งสองก้าวเท้าเข้าจวนก็เห็นเพียงภายในลานเรือนมีคนระบำร่ายรำและเสียงเครื่องดนตรีขับคลอ เปี่ยมไปด้วยบรรยากาศผ่อนคลายสงบสุข

ฝูหมัวนั่งอยู่ในศาลา เห็นพวกเขาเดินมาใกล้ก็ลุกขึ้นต้อนรับพร้อมกล่าวยิ้มๆ ว่า “เฟิ่งหวงท่าทางสง่างามเปิดเผย งดงามไร้ที่ติ พอเจ้ามาในจวนก็เรืองรองเลยทีเดียว”

ชาวเผ่าเซียนเปยมีผิวขาวโฉมงาม รูปโฉมของมู่หรงชงยิ่งโดดเด่นกว่าใคร ทว่าเขาไม่ชอบถูกคนวิจารณ์เยี่ยงนี้มาแต่ไหนแต่ไรจึงไม่รับคำ แต่เปลี่ยนมาคารวะอย่างเรียบร้อยทันที

สตรีที่เคยปรากฏตัวขณะล่าสัตว์ที่อุทยานซั่งหลินซึ่งนั่งอยู่ข้างกายฝูหมัวผู้นั้นยังคงคลุมหน้าด้วยผ้าโปร่ง นางอยู่ฝั่งตรงข้ามกับมู่เฉิน จงใจหลบเลี่ยงสายตาของฝ่ายหลัง เรียวคิ้วงามมุ่นน้อยๆ

มู่หรงชงรินสุราด้วยตนเองก่อนกล่าว “ขอบคุณท่านโหวมากที่ช่วยแก้สถานการณ์ในตำหนักใหญ่ให้เมื่อวันก่อน อีกไม่กี่วันเฟิ่งหวงก็จะออกเดินทางกลับผิงหยาง จึงตั้งใจมาลา”

“เฟิ่งหวงกล่าวหนักไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้ทำเพื่อเจ้าคนเดียวเสียหน่อย วันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาททั้งที จะปล่อยให้ฝ่าบาทพระอารมณ์เสียเพราะคำพูดไม่กี่คำของผู้น้อยได้อย่างไร” ฝูหมัวดื่มสุราไปหนึ่งจอกก่อนว่า “เจ้าไปจากฉางอันเร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน กำลังจะเข้าช่วงวุ่นวายเต็มทีแล้ว”

มู่หรงชงส่งเสียงรับรู้เบาๆ ระคนด้วยแววไม่ใคร่เข้าใจ

ฝูหมัวจึงอธิบาย “เช้าวันนี้โหรหลวงได้ทำนายออกมาว่าดาวสัตตเคราะห์โคจรผิดปกติ บังเกิดความสับสนวุ่นวาย ประจวบกับอัครเสนาบดีป่วยหนัก ฝ่าบาทหนักพระทัยยิ่งยวด…”

มู่หรงชงกล่าว “ไม่ว่าอัครเสนาบดีหวังจะเป็นเช่นไรก็นับนิ้วรอวันที่ฝ่าบาทจะทรงรวบรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งได้เลย”

“เจ้าคล้ายจะไม่ค่อยชอบอัครเสนาบดีหวัง?”

“หากข้าบอกว่าชอบ ท่านโหวก็คงไม่เชื่อกระมัง”

“เฟิ่งหวง เจ้าช่างพูดจาเถรตรงไม่กลัวเกรงสิ่งใดโดยแท้” ฝูหมัวหัวเราะ ผินหน้าเล็กน้อยไปหามู่เฉิน “อนุผู้นี้ของเจ้าไยจึงเอาแต่จ้องมองอนุของข้า”

มู่หรงชงกุมมือมู่เฉินไว้ ดึงนางถอยหลังเล็กน้อย “ไยจึงไร้กฎระเบียบปานนี้!” ว่าเสร็จก็หันมาพูดกับฝูหมัว “นางติดตามข้าได้ไม่กี่วัน ไม่ใคร่รู้ความนัก ท่านโหวโปรดอย่าได้ตำหนิ”

ฝูหมัวเห็นว่าแม้มู่หรงชงจะต่อว่านางไปสองสามคำ แต่แววตาและการกระทำกลับให้ท้ายอย่างชัดเจน จึงมั่นใจว่าสตรีนางนี้เป็นคนที่มู่หรงชงชอบ “มิเป็นไร จริงสิเฟิ่งหวง หลายวันก่อนมีคนมอบพิณให้ข้าคันหนึ่ง ในเมื่อเจ้าดีดพิณเป็นก็ช่วยไปตั้งเสียงให้ข้าหน่อยเถอะ”

“ย่อมได้”

ฝูหมัวหันหน้าไปกำชับสตรีที่คลุมหน้านางนั้น “เจ้าอยู่รับรองแขกที่นี่ดีๆ”

“เจ้าค่ะ”

มู่เฉินมองแผ่นหลังของคนทั้งที่จากไปแล้วก็ยิ่งรู้สึกงุ่นง่าน แต่เมื่อมองสตรีตรงหน้าอีกทีก็ข่มความกระวนกระวายในใจลง

 

ในตำหนักเว่ยยางฝูเจียนกำลังอ่านฎีกาจากหวังเหมิ่ง

 

…กระหม่อมได้ยินมาว่าการสนองคุณใดก็มิสู้การพูดหมดเปลือก จึงใคร่ขอใช้ชีวิตที่ใกล้ถึงฝั่งถวายคำสั่งเสียเป็นการส่วนตน กราบทูลฝ่าบาท พระบารมีสะท้านแปดดินแดน พระพลานุภาพกล่อมเกลาหกทิศ เก้านครร้อยอำเภอครอบครองอยู่เจ็ดในสิบ ปราบเยียนกำราบสู่ง่ายดายประดุจเด็ดหญ้า ทำได้ดีไม่แน่ว่าจะทำสำเร็จด้วยดี เริ่มด้วยดีไม่แน่ว่าจะจบลงด้วยดี ด้วยเหตุนี้ยอดนักปราชญ์ยุคโบราณที่ทราบถึงความลำบากของการสร้างผลงานความชอบจึงตัวสั่นงันงกดั่งเผชิญหุบเขาลึก กราบทูลฝ่าบาท ดำเนินตามรอยปราชญ์ ใต้หล้าผาสุก

ฝูเจียนอ่านไปพลางถูดวงตาไปพลาง อ่านจบก็ใคร่ครวญอยู่เป็นนาน แล้วลุกขึ้นกล่าวว่า “ซ่งหยา ไปจวนอัครเสนาบดีอีกรอบ”

พอก้าวออกจากประตูตำหนักก็มองเห็นขอบฟ้ามีแสงอ่อนๆ วาบผ่านไป คล้ายกับว่ามีดาวดวงหนึ่งพุ่งตกมาจากกลางม่านสีดำนั้น

ในใจฝูเจียนให้ประหวั่นยกใหญ่ รีบถามคนที่ข้างกาย “พวกเจ้าเห็นหรือไม่ เมื่อครู่มีแสงสายหนึ่งตกลงมา?”

เหล่าบ่าวรับใช้พากันตอบว่าไม่เห็น

ฝูเจียนเร่งฝีเท้ามาถึงจวนหวังเหมิ่ง ได้ยินหมอหลวงบอกว่าไม่เป็นอะไรมากเขาถึงค่อยวางใจได้

หวังเหมิ่งแม้แต่จะลุกขึ้นยังลำบาก ฝูเจียนจึงให้เขานอนเฉยๆ ไม่ต้องขยับตัว แล้วเป็นฝ่ายเดินไปนั่งลงบนเตียงเอง

เมื่อเห็นใบหน้าซีดเซียวชวนให้สลดใจของหวังเหมิ่งฝูเจียนก็ทรมานใจ “นึกถึงสมัยนั้นที่ข้ายังเยาว์วัย จิ่งเลวี่ย ท่านเร้นกายหลบจากโลกภายนอก แม้แต่หวนเวินยังเชิญท่านออกมาไม่ได้ กลับเป็นเด็กน้อยอย่างข้าที่ทำให้ท่านยินดีช่วยเหลืออย่างสุดกำลัง ปัจจุบันซยงหนู อูหวน เซียนเปยพากันสวามิภักดิ์ต่อต้าฉิน ทางเหนือมั่นคง ชนเผ่ารอบทิศศิโรราบ เห็นอยู่ว่าแผนการใหญ่เหลืออีกแค่ไม่กี่ก้าวสุดท้ายแล้ว ท่านกลับ…”

หวังเหมิ่งฟังฝูเจียนรำลึกความหลังในสมัยก่อนบนหน้าก็อดจะเปล่งประกายแห่งความภาคภูมิใจขึ้นมาไม่ได้ “จำได้ว่าตอนนั้นพวกชาวบ้านยังขับร้องกันว่า ‘ถนนใหญ่ในฉางอัน หยางไหวเขียวชอุ่ม ด้านล่างรถม้าหรูแล่น ด้านบนหงส์ฟ้าเกาะพัก ผู้ทรงปัญญามาชุมนุม อบรมชาวบ้านอย่างข้า’ ”

ฝูเจียนกล่าว “จิ่งเลวี่ย ท่านยังตกไปอีกท่อน ‘ทัพแกร่งแคว้นมั่งคั่ง ด้วยกำลังของเหมิ่ง’ ”

หวังเหมิ่งรู้สึกผิดคาดไปเล็กน้อย กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า “แผนการใหญ่ของฝ่าบาทคือการรวมหกทิศเป็นหนึ่งเดียวเพื่อช่วยประชาราษฎร์ กระหม่อมคิดว่าอันดับแรกฝ่าบาทควรทำให้ทางตะวันตกเฉียงเหนือมั่นคงก่อนเพื่อที่จะได้ไม่ต้องกังวลข้างหลัง จากนั้นค่อยไปชิงชัยกับทางตะวันออกเฉียงใต้…” เขาเริ่มไอ พูดแล้วเหนื่อยยิ่งยวด แต่ยังคงมองฝูเจียนด้วยสองตาวาวโรจน์ “แต่…เวลานี้อย่าเพิ่งทรงยกทัพลงใต้เป็นอันขาด…แค่กๆๆ…”

“จิ่งเลวี่ย ค่อยๆ พูด” ฝูเจียนยื่นน้ำให้ด้วยตนเอง “ข้ารู้ถึงความกังวลของท่าน ย่อมจะไม่กระทำการวู่วาม”

หวังเหมิ่งดื่มน้ำไปสองสามอึกก่อนพูดต่ออีกว่า “รัชศกหนิงคังปีที่สองมีดาวหางปรากฏ โหรหลวงเชื่อว่าเป็นลางไม่ดี ‘ดาวหางเริ่มจากกลุ่มดาวเว่ยกลุ่มดาวจีตกลงมาที่กลุ่มดาวจิ่ง* นี่เป็นลางว่าเยียนทำลายฉิน’ กระหม่อมโน้มน้าวให้ฝ่าบาททรงประหารสกุลมู่หรง ฝ่าบาทมิทรงทำตาม กลับพระราชทานตำแหน่งขุนนางให้ด้วย…เดือนสิบสองในปีเดียวกันนั้นในเมืองฉางอันเกิดข่าวลือขึ้นทั่วสารทิศว่า ‘ปีลิงไม้ไก่ไม้ ปลาแพะ** กินคน’ แม้จะเป็นเช่นนี้ฝ่าบาทก็ยังไม่ทรงฟัง ถวายฎีกาขึ้นไปหลายครั้งถึงได้ทรงส่งมู่หรงชงออกไป” พูดมาถึงตรงนี้หวังเหมิ่งก็แสดงสีหน้าเศร้าสร้อย “บัดนี้กระหม่อมใกล้ตาย…”

“จิ่งเลวี่ย” ฝูเจียนมองเขา แสดงความอาดูรออกมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน “ข้าเคยบอกแล้วว่าอย่าพูดคำนี้ ข้าไม่อยากกลายเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดายจริงๆ…”

หวังเหมิ่งน้ำตาไหลพราก ร้องไห้ไม่มีเสียง พูดปนสะอื้นว่า “กระหม่อมตายไปก็ไม่เสียดาย ขอฝ่าบาทโปรดทรงประหารพวกคนเซียนเปยและซีเชียงด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ พวกเขามีจิตใจคิดชั่ว ตราบใดที่ยังไม่ตาย สักวันก็จะ…กลายเป็นภัย!”

ฝูเจียนกุมมือที่สั่นเทาของหวังเหมิ่งไว้ “จิ่งเลวี่ย ท่านคิดมากไปแล้ว พวกเขาสมัครใจสวามิภักดิ์ต่อต้าฉินเราก็ด้วยระลึกถึงความใจกว้างที่ข้ามีต่อพวกเขา…”

รู้สึกได้ว่ามือของหวังเหมิ่งพลันสั่นอย่างรุนแรง ฝูเจียนก็กลัวอยู่บ้างจึงตะโกนลั่นว่า “หมอหลวง หมอหลวง!”

“ไม่…ไม่จำเป็น…” หวังเหมิ่งกำแขนเสื้อฝูเจียนแน่น กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสร้อยทว่าเด็ดขาด “กระหม่อมทราบว่าฝ่าบาทมีพระเมตตา ต้องไม่ทรงทำเรื่องนี้เป็นอันขาด ด้วยเหตุนี้เมื่อครู่นี้กระหม่อม…ได้ออกคำสั่งสุดท้ายในชีวิตนี้ไปแล้ว คืนนี้ประหารเดนคนแคว้นเยียน!”

ฝูเจียนหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างรุนแรงในทันใด “จิ่งเลวี่ย!”

เขาทั้งโกรธทั้งตกใจ แต่เห็นลมหายใจของหวังเหมิ่งค่อยๆ แผ่วลงโทสะก็หายวับไปในทันที พูดด้วยความเศร้าระทมจนอยากหลั่งน้ำตา “จิ่งเลวี่ย ข้าไม่ตำหนิท่าน ขอเพียงท่านมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น! ข้ายังรอให้ท่านนำทัพลงใต้ให้ข้าอยู่…จิ่งเลวี่ย! จิ่งเลวี่ย!”

ฉับพลันฝูเจียนก็รู้สึกได้ว่ามือที่จับอยู่หมดกำลังไปแล้ว สองตาปิดสนิท หยุดหายใจ ฝูเจียนจึงร้องเรียกพร้อมกับร่ำไห้จนน้ำมูกไหล

 

มู่เฉินกับสตรีนางนั้นจ้องมองกันอยู่เป็นนานสองนาน ในที่สุดก็เอ่ยปากว่า “ถอดผ้าคลุมหน้าได้หรือไม่”

สตรีนางนั้นหลุบตาต่ำพลางตอบเรียบๆ “บนหน้าข้ามีแผลเป็น ท่านโหวไม่อนุญาตให้ถอดผ้าคลุมหน้า”

“มีแผลเป็นได้อย่างไร”

“ในจวนโหวสตรียากจะเลี่ยงการทะเลาะเบาะแว้ง”

นางตอบได้เรียบง่ายไม่ซับซ้อน แต่มู่เฉินฟังแล้วในใจกลับปวดหนึบ สูดหายใจลึกก่อนเอ่ยว่า “เจ้าอยากจากไปหรือไม่”

สตรีนางนั้นไม่ตอบ เพียงหยิบกาขึ้นมารินน้ำและยื่นให้มู่เฉิน “ดื่มสุราแล้วจะกระหายน้ำ ดื่มน้ำชาแก้กระหายสักหน่อยเถิด”

มู่เฉินยิ้มน้อยๆ ในดวงตามีน้ำตาคลอ รับถ้วยมาก่อนเอ่ยว่า “ไม่ต้องห่วง ข้าจะพาเจ้าไปหาหมอ อย่างไรก็ต้องรักษาหาย…เจ้ายังจำหนานเหยาได้หรือไม่ ที่แห่งนี้ดูเหมือนจะหายาก ทว่าไม่เป็นไร วันหน้าพวกเราไปหาด้วยกันได้…”

มู่เฉินยกถ้วยทำท่าจะดื่ม ไม่คาดว่าอีกฝ่ายจะพลันยื่นมือมาปัดถ้วยลงพื้น “จู่ๆ ข้าก็นึกขึ้นได้ว่าน้ำนี้เป็นของเมื่อวาน เจ้าระวังดื่มแล้วท้องร่วง” นางจับแขนมู่เฉิน ดึงให้ฝ่ายหลังลุกขึ้น “ท่านกระโดดลงไปจากตรงนั้น น้ำไม่ลึก เดินลุยน้ำไปจะเจอห้องเรียงกันเป็นแถว มุ่งหน้าไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นกำแพงเตี้ย ตรงนั้นข้ามออกไปได้…”

“เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร” มู่เฉินตัดบทนาง ทันใดนั้นก็เดาบางอย่างได้จึงพูดด้วยความร้อนใจ “ข้าจะไปหามู่หรงชง!”

“ไม่ต้องแล้ว คนผู้นั้น…คิดว่าคงจะตายไปแล้ว”

บทที่ 13 ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้

มู่หรงชงเดินมาถึงห้องหนังสือจู่ๆ ก็รู้สึกอ่อนแรงไปทั้งร่าง หญิงขับร้องและนางระบำที่เดินผ่านไปเมื่อครู่ก่อนดูเป็นภาพเลือนราง แม้แต่ใบหน้าของฝูหมัวก็ยังเห็นไม่ชัดแล้ว

“สุราของฉงเหอโหวฤทธิ์แรงโดยแท้!”

ฝูหมัวยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นพลางกล่าวแช่มช้า “อัครเสนาบดีหวังเกรงว่าคงจะทนได้อีกไม่เกินสองวันนี้แล้ว”

แววตาของมู่หรงชงเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“ข้ารับปากเขาไว้เรื่องหนึ่ง” น้ำเสียงของฝูหมัวกลายเป็นลึกล้ำยากหยั่งถึง เขายืดตัวขึ้นกล่าวว่า “เมื่อวานเขามีคำสั่งให้ประหารคนของเผ่าเซียนเปยทั้งหมด และเป้าหมายของข้าก็คือเจ้า”

เขาพูดจบองครักษ์ที่ด้านข้างก็ชักดาบออกมาขวางมู่หรงหย่งไว้แล้ว มู่หรงหย่งตะโกนลั่น “นายท่าน!”

ความรู้สึกหวาดกลัวอันหนักอึ้งแผ่ลามมาจากก้นบึ้งหัวใจ มู่หรงชงจับมีดที่เหน็บไว้ที่เอวแน่น ก่อนพบว่าแม้แต่นิ้วก็กำลังสั่นจึงถามว่า “เจ้าวางยาในสุรา?”

“เป็นเพียงยาสลบทั่วไป” ฝูหมัวพูดช้าๆ ด้วยเสียงต่ำ “เดิมอยากจะวางยาพิษให้ตายไปให้รู้แล้วรู้รอด แต่ใครใช้ให้เจ้ามีใบหน้าเยี่ยงนี้กันเล่า ข้าจึงอยากจะลิ้มลองดูก่อนสักรอบ…” ฝูหมัวยื่นมือไปบีบคางมู่หรงชง

มู่หรงชงหันหน้าหนีด้วยความเดือดดาล ออกแรงทั้งหมดชักมีดพกออกมาจากตรงเอว แล้วตวัดกรีดไปตรงอก ใบมีดแหลมคมกรีดเสื้อของฝูหมัวขาด

ฝูหมัวยิ้มเย็น ครั้นแล้วก็สะบัดมือตบลงบนหน้าของมู่หรงชงอย่างแรง ก่อนตวาดว่า “เจ้านับเป็นตัวอะไร!”

เขายื่นมือหมายจะแย่งมีดในมือมู่หรงชง กลับได้ยินเสียงเตือนดังมาจากด้านหลัง “อย่าแตะต้องเขา!”

ฝูหมัวหันไปก็เห็นมู่เฉินเดินมาใกล้แล้ว มือหนึ่งจับสตรีคลุมหน้าผู้นั้นไว้ อีกมือใช้มีดจ่อคอนาง “ฉงเหอโหว เจ้าลองแตะต้องเขาดูอีกที ข้าจะแทงมีดนี้ลงไป!”

ฝูหมัวโกรธจัดจนกลับกลายเป็นหัวเราะออกมา “เจ้านึกว่าอนุคนเดียวจะทำให้ข้ายอมอยู่ในการควบคุมได้หรือ”

สตรีนางนั้นได้ยินเขาพูดเช่นนี้ในดวงตาก็เผยแววผิดหวังออกมาทันที…ที่เมื่อครู่นางตอบรับคำขอจากมู่เฉิน สาเหตุกว่าค่อนเป็นเพราะต้องการดูว่าฝูหมัวให้ความสำคัญกับนางจริงหรือไม่

มู่เฉินกล่าว “ท่านโหว ท่านทำเยี่ยงนี้มิกลัวฝ่าบาททรงเอาผิดหรือไร”

“ฝ่าบาททรงเลี้ยงพวกต่างเผ่าเหล่านี้ไว้ ไม่ช้าก็เร็วจะต้องเกิดหายนะ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าฆ่าไป๋หลู่ไปคนหนึ่งจะทำให้พวกข้าพี่น้องแตกหักกันได้!” ฝูหมัวแสดงสีหน้ากระหยิ่มใจ “ไม่เพียงแค่ข้า หยางผิงกงเองก็นำทหารไปหาพวกมู่หรงเหว่ยกับมู่หรงหงแล้วเช่นกัน!”

หยางผิงกงฝูหรง แม่ทัพผู้เลื่องชื่อแห่งแคว้นฉินเป็นน้องชายที่ฝูเจียนไว้วางใจและพึ่งพาอาศัยที่สุด อีกทั้งมีมิตรไมตรีอันดีกับหวังเหมิ่งมาแต่ไหนแต่ไร มู่หรงชงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ก็รู้สึกตาลายหูอื้อในทันที เขาพลันกรีดมีดลงบนข้อมือตนเอง หลังสติแจ่มใสขึ้นบ้างแล้วก็กระโจนเข้าหาฝูหมัว!

ฝูหมัวหลบไม่ทันจึงถูกมีดของมู่หรงชงจ่อคอ

มู่หรงชงกล่าวเสียงดังฟังชัด “ให้คนของเจ้าถอยไปให้หมด! อาหย่ง พวกเจ้าถอยไปก่อน!”

มู่หรงหย่งหลุดพ้นจากองครักษ์แล้วก็กล่าวกับมู่เฉิน “แม่นาง รีบตามข้ามา!”

มู่เฉินผลักคนที่มือจับอยู่ไปให้มู่หรงหย่ง “เจ้าพานางไป!”

เวลานี้เองทางด้านหน้าพลันมีคนกลุ่มหนึ่งพุ่งปราดมา ผู้เป็นหัวหน้าเปล่งเสียงดัง “ผู้น้อยโต้วชงแห่งกองราชองครักษ์ รับพระราชโองการจากฝ่าบาทให้มาขอให้ฉงเหอโหวปล่อยคนบัดเดี๋ยวนี้!”

ฝูหมัวพูดด้วยความโกรธ “โต้วชง เจ้ามองดูให้ชัด ใครควรปล่อยใคร!”

มู่หรงชงผลักฝูหมัวออกก่อนกล่าวว่า “แม่ทัพโต้วมาได้เวลาพอดี รบกวนตามไปเรือนจิ่งผิงด้วยกันกับข้า!”

ในตำหนักเว่ยยาง ฝูเจียนตาแดง เดินเข้าห้องนอนของตนเองด้วยอารมณ์อันหนักอึ้ง พวกซ่งหยาเดินตามหลังเขาเงียบๆ ไม่กล้าหายใจเสียงดัง

ฝูเจียนพลันหยุดลงแล้วถามขึ้นว่า “ทางด้านโต้วชงเป็นอย่างไร”

ซ่งหยาตอบตัวสั่นงันงก “ยังไม่มีข่าวมาพ่ะย่ะค่ะ”

“พอเขากลับมา แจ้งให้มาพบเราทันที” ฝูเจียนบอก ก่อนจะพึมพำคล้ายพูดกับตนเองว่า “เหตุใดก่อนข้ามีคำสั่งเขาก็รู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องกับสกุลมู่หรง”

ซ่งหยาจึงว่า “ฝ่าบาท นี่ก็เป็นเรื่องดีนะพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพโต้วไม่ทันกราบทูลรายงานก็ด้วยรีบร้อนไปช่วยคุณชายเฟิ่งหวง เขารู้ว่าพระองค์ไม่มีพระราชประสงค์จะเห็นคุณชายเป็นอะไรไป…”

วันนี้มิใช่วันที่โต้วชงเข้าเวรจึงมิได้ตามฝูเจียนไปจวนอัครเสนาบดีหวัง ซ่งหยาคิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะเข้าจวนหวังเหมิ่งก็มีขันทีลอบมารายงานทันทีว่าอัครเสนาบดีหวังต้องการสังหารมู่หรงชง โต้วชงพากองราชองครักษ์มุ่งหน้าไปช่วยแล้ว ซ่งหยายังนึกว่าตนเองฟังผิดไป นี่นับเป็นเรื่องอะไรกัน! ทั้งที่อัครเสนาบดีหวังกำลังสนทนากับฝ่าบาทอยู่ที่ด้านในอยู่เลย!

ใครเลยจะรู้ว่าเพียงครู่เดียวก็มีข่าวอัครเสนาบดีหวังสิ้นใจแพร่ออกมา ส่วนคำแรกที่ฝูเจียนพูดกับเขาหลังออกมาก็คือ ‘ให้โต้วชงไปช่วยเฟิ่งหวงออกจากจวนฝูหมัว เร็วเข้า!’

ซ่งหยาตระหนกตกใจในทันใด นี่แม่ทัพน้อยโต้วมีความสามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าตั้งแต่เมื่อใด

บัดนี้ซ่งหยากำลังเค้นสมองเพื่ออธิบาย ไม่คาดว่าระหว่างทางจู่ๆ จะมีคนผู้หนึ่งถลันมาคุกเข่าเบื้องหน้าเขา “เสด็จพ่อ!”

ฝูเจียนเห็นว่าเป็นฝูเป่าก็ถามว่า “อาเป่า เจ้าดึกดื่นไม่หลับไม่นอน มาที่นี่ด้วยเหตุใด”

ฝูเป่ายังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้นถามว่า “เสด็จพ่อ ท่านทรงปล่อยมู่หรงชงไปเถิด! ตราบใดที่เขาอยู่ฉางอันก็ต้องเป็นกังวลต่อชีวิตอย่างเลี่ยงไม่ได้”

ฝูเจียนมีโทสะเล็กๆ “เป็นหวั่นเอ๋อร์บอกเจ้า?”

ฝูเป่าส่ายหน้า “นี่ไม่สำคัญเพคะ”

“เช่นนั้นอะไรถึงสำคัญ”

ซ่งหยาที่ยืนอยู่ข้างหลังฝูเจียนพยายามส่งสัญญาณมือสุดชีวิต แต่ฝูเป่าทำเมิน “ข้าอยากแต่งงานกับมู่หรงชง ไปอยู่ผิงหยางกับเขา”

ฝูเจียนสีหน้าเข้มขึ้นก่อนกล่าวว่า “ข้าเตรียมการให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว ปีหน้าเข้าพิธีแต่งงานกับหยางติ้ง”

“ไม่!” ฝูเป่ายืนกรานเด็ดเดี่ยว “ถึงตายข้าก็จะไม่แต่งงานกับผู้อื่น!”

“เจ้าปฏิเสธไม่ได้!” ฝูเจียนพูดจบด้วยสีหน้าเยียบเย็นก็เดินอ้อมผ่านฝูเป่าไปโดยไม่พูดอะไรให้มากความอีก

ฝูเป่าพลันส่งเสียงขึ้นว่า “ท่านไม่แยแสเลยใช่หรือไม่ ข้าไม่เคยเป็นบุตรสาวของท่าน เป็นเพียงเครื่องมือไว้ให้ท่านมัดใจผู้ใต้บังคับบัญชา!”

ฝีเท้าฝูเจียนหยุดชะงัก “เจ้าพูดอีกรอบซิ”

ฝูเป่ายืดอกพูดว่า “ข้ารู้หมดแล้ว ท่านจะตอบหรือไม่ตอบก็ล้วนเหมือนกัน คือไม่ยอมให้ข้าขัดขืนแม้แต่น้อย”

ฝูเจียนมองนาง รู้สึกเพียงไร้เรี่ยวแรง อีกทั้งเดือดดาล เขามีบุตรสาวเพียงสองคน ให้ความโปรดปรานมาตั้งแต่เล็กจนโต บัดนี้ฝูเป่าถึงขั้นมาต่อรองกับเขาแล้ว ซ้ำยังกล้าใช้ความตายมาบีบบังคับ! ตาย…แม้แต่หวังเหมิ่งที่เขาพึ่งพาและไว้วางใจที่สุดก็ตายไปแล้ว นางถึงกับกล้าพูดคำนี้ต่อหน้าเขา!

“เว้นแต่เจ้าจะตายจริงๆ มิเช่นนั้นก็รอแต่งงานกับหยางติ้งได้เลย!” ฝูเจียนพูดจบก็เดินหน้าต่อโดยไม่แม้แต่จะเหลียวกลับมามอง

ฝูเป่าที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นคล้ายจะอึ้งตะลึงไปแล้ว

พวกมู่หรงชงกับมู่เฉินและโต้วชงมาถึงเรือนจิ่งผิงก็บังเอิญเจอคนของฝูหรงกำลังต่อสู้อยู่กับองครักษ์ในเรือนพอดี โต้วชงเปล่งเสียงพูดว่า “ฝ่าบาทมีพระราชโองการ หยางผิงกงหยุดมือบัดเดี๋ยวนี้!”

ฝูหรงเดิมทีบุกเข้าไปในโถง บีบคอมู่หรงเหว่ยแล้ว แต่เมื่อได้ยินวาจานี้ก็คลายมือออกเล็กน้อย “โต้วชง หากวันนี้ข้าจะฆ่าพวกเขาให้ได้เล่า”

บนใบหน้าอ่อนวัยของโต้วชงมีแววน่าเกรงขามอยู่หลายส่วน “ผู้ใดขัดขืนพระราชโองการฝ่าบาท ต้องตายสถานเดียว!”

ฝูหรงอึ้งงันไป ก่อนจะหัวเราะ “ก็จริง ต้าฉินถึงอย่างไรก็ยังเป็นต้าฉินของพี่เจียนโถว”

เขาสั่งให้คนของตนเองถอยไปจนหมด แล้วก็หันมาพูดกับมู่หรงชง “แผนการของอัครเสนาบดี เห็นทีว่าข้ากับฝูหมัวจะล้วนล้มเหลว…ทางด้านตำหนักชีอู๋กลับไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร”

มู่หรงชงรู้สึกเพียงว่าในสมองราวกับมีสายฟ้าฟาด เนื่องจากฤทธิ์ยาเงาร่างคนตรงหน้าจึงล้วนกลายเป็นเลือนราง แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ของมู่หรงจิ่นเลือดลมก็พลันสูบฉีด เขากัดลิ้นตนเองจนแตก ทำให้ความคิดชัดเจนขึ้นมา มือหนึ่งจับข้อมือมู่เฉินไว้พลางกล่าว “ไปหาพี่สาวข้า!”

เสียงเขาฟังไม่ชัดอยู่บ้าง แต่มู่เฉินยังคงได้ยินชัดเจน นางวิ่งตามหลังมู่หรงชง ยามดึกที่ตำหนักเว่ยยางนี้เวิ้งว้างและเงียบสงัด นางลืมเรื่องมากมายไปชั่วขณะ เหลือเพียงความรู้สึกเย็นเฉียบจากการที่เขากุมมือนาง รวมถึงเสียงลมแผ่วเบาที่ริมโสต

นางอดจะจับมือมู่หรงชงแน่นไม่ได้ “เฟิ่งหวง พี่หญิงของท่านจะต้องไม่เป็นไร”

มู่หรงชงให้หวาดหวั่นในใจ ได้ยินเสียงของนางก็เริ่มคล้ายจะรู้สึกตัวขึ้นมาว่าเหตุใดตนเองถึงลากนางมาด้วยกัน มู่หรงหย่งกับโต้วชงไม่ว่าคนใดก็ล้วนมีความสามารถมากกว่านาง แต่เพราะอะไรเขาถึงจับมือนางโดยไม่แม้แต่จะคิดเล่า คงเป็นเพราะ…เป็นเพราะรู้ว่านางจะไม่จากไป อย่างน้อยในระหว่างที่เขาใกล้ประสบอันตรายและกำลังสิ้นหวังนางจะไม่จากไปแน่ เขากลัวจริงๆ

 

มาถึงตำหนักชีอู๋ พบว่ารอบด้านเงียบสงบ ไม่มีสิ่งใดผิดปกติสักกระผีกมู่หรงชงวางใจลงได้ทันที

แต่เมื่อเดินเข้าไปด้านในต่อเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้แผ่วเบาดังมาจากในห้องของมู่หรงจิ่น

มู่หรงชงพุ่งตัวเข้าไปทันควันพร้อมตะโกนลั่น “พี่หญิง!”

ภายในห้องมู่หรงจิ่นกำลังนั่งอยู่ริมเตียง นางสวมอาภรณ์หรูหรา แต่งชุดงดงามน่าตรึงตราใจเป็นที่สุด แต่ชุนหยากลับคุกเข่าร้องไห้อยู่ข้างกาย

ครั้นเห็นมู่หรงชงพุ่งตัวเข้ามามู่หรงจิ่นก็เงยหน้าน้อยๆ เผยรอยยิ้มบางเบา “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ ก่อนพี่หญิงตายยังสามารถพบหน้าเจ้าได้ ช่างดีเหลือเกิน”

มู่หรงชงรีบก้าวไปคุกเข่าลงเบื้องหน้านาง พูดด้วยความร้อนใจ “พี่หญิง ท่านเป็นอะไรไป อยู่ดีๆ พูดอะไรเหลวไหลเช่นนี้ มีตรงใดไม่สบาย เฟิ่งหวงจะเรียกหมอหลวงมาเดี๋ยวนี้ขอรับ”

มู่หรงจิ่นส่ายหน้า “เรื่องในคืนนี้เจ้าเองก็รู้แล้ว ยังดีที่พวกเจ้าล้วนไม่เป็นไร…ทว่าสกุลมู่หรงไม่เสียหายแม้แต่ปลายเส้นผม ในใจคนพวกนั้นจะต้องยิ่งเคียดแค้นเป็นแน่แท้ อย่างไรพวกเราก็ต้อง…หลั่งเลือดสักหน่อย เลือดของบุรุษสกุลมู่หรงล้ำค่า ข้าเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์ที่สุด พอข้าตายฝ่าบาทจะยิ่งรู้สึกผิดต่อสกุลมู่หรง วันหน้าพวกเจ้าจะทำงานง่ายขึ้นมาก”

มู่หรงชงสำรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง เห็นบนร่างมู่หรงจิ่นมิได้มีบาดแผลก็ถามด้วยความร้อนใจ “พี่หญิง ท่านบาดเจ็บตรงที่ใดกันแน่”

ชุนหยาที่อยู่ด้านข้างตอบทั้งน้ำตา “จงซานอ๋อง องค์หญิงเสวยยาพิษเข้าไปแล้วเพคะ!”

มู่หรงชงจับมือมู่หรงจิ่นไว้ ถามอย่างเร่งร้อน “เป็นพิษอะไร พี่หญิงอยู่ในวังจะมีพิษซ่อนไว้ได้เยี่ยงไร! ชุนหยา รีบไปตามหมอหลวง!”

“ชุนหยา อย่าไป” มู่หรงจิ่นยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ ไม่มีประโยชน์ ช่วยไม่ได้แล้ว พิษนี้ไม่ได้ทรมาน ประเดี๋ยวพี่หญิงจะถือว่าตนเองเพียงแค่หลับไป”

เมื่อครู่นี้มู่หรงชงฝืนทนมาตลอด บัดนี้เท้าอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรงไปด้วยความสิ้นหวัง เขาเพียงออกแรงจับมือของมู่หรงจิ่นไว้สุดกำลังพลางพูดว่า “พี่หญิง…พี่หญิง…”

มู่หรงจิ่นพลันมองไปด้านข้าง แล้วกวักมือเรียกมู่เฉิน

มู่เฉินเดินมาใกล้ตามความต้องการของอีกฝ่าย คุกเข่าลงข้างกายมู่หรงชง “องค์หญิงมีเรื่องใดจะรับสั่ง”

มู่หรงจิ่นยิ้มพลางกุมมือมู่เฉินไว้ ก่อนจับมือมู่หรงชงมาวางลงในฝ่ามือนาง

มือของสองพี่น้องล้วนแต่เย็นเฉียบ

มู่หรงจิ่นเริ่มหายใจไม่ออกแล้ว พูดอย่างเหนื่อยอ่อน “คราวก่อนที่ข้าได้พบเจ้าก็มองออกแล้วว่าเฟิ่งหวงเอ๋อร์ปฏิบัติต่อเจ้าแตกต่างไป เขาเป็นเด็กเอาใจยาก มีนิสัยแย่ๆ อยู่มากมาย แต่พื้นเพเป็นคนดี เจ้าเองก็คงจะมองออกอย่างแน่นอน ดังนั้นถึงได้อยู่ข้างกายเขา ข้าไม่วางใจในตัวน้องชายคนนี้เป็นที่สุด ขอมอบเขาให้เจ้าแล้ว เจ้าช่วยดูแลเขาให้ดีแทนข้าได้หรือไม่”

มู่เฉินรู้แก่ใจดีว่าอีกฝ่ายเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนางกับมู่หรงชงผิดไปแล้ว แต่เห็นมู่หรงจิ่นมีสีหน้าคาดหวัง นางก็ได้แต่กัดฟันพยักหน้า “องค์หญิงทรงวางพระทัย”

มู่หรงจิ่นมองมู่เฉินพลางพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ของพวกข้ามิใช่คนที่อยู่ด้วยยาก เจ้าดีต่อเขา เขารู้อยู่แก่ใจ และย่อมจะดีต่อเจ้าอย่างมากเช่นกัน…”

มู่หรงชงทุบพื้นด้วยความทุกข์ทรมาน

ตุบ! กำปั้นเขาเต็มไปด้วยเลือด มู่หรงชงพึมพำว่า “เพื่ออะไรกัน พี่หญิงทำเยี่ยงนี้เพื่ออะไร! ก่อนหน้านี้ยังคุยกันเป็นมั่นเป็นเหมาะอยู่แท้ๆ วันหน้าข้ายังต้องพาท่านกลับไปที่ทุ่งหญ้า…”

“เฟิ่งหวงเอ๋อร์อย่าปิดตาพี่หญิงนะ” มู่หรงจิ่นหายใจลำบาก นางลืมตาโต ช้อนมองท้องฟ้า แล้วพูดเสียงแผ่วเบา “นี่เป็นศักดิ์ศรีของข้าในฐานะองค์หญิงแคว้นเยียน ข้ามีชีวิตอยู่มิอาจได้เห็นแคว้นเยียนกลับมาเจริญรุ่งเรือง หลังจากตายแล้วก็จะคอยเบิกตารอวันนั้น!”

“พี่หญิง!” มู่หรงชงรู้สึกเพียงทั้งสรรพางค์กายคล้ายไม่มีส่วนใดที่เป็นของตนเอง ยามเห็นมู่หรงจิ่นล้มนอนลงช้าๆ เขาถึงกับไม่มีแรงจะยื่นมือไปประคอง

ตรงหน้าพลันดำมืด เป็นความมืดอันเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุด

เขาได้ยินเสียงเด็กหญิงดังมาจากความว่างเปล่า ‘เฟิ่งหวงเอ๋อร์ เฟิ่งหวงเอ๋อร์ เจ้ารีบไล่ตามพี่หญิงมาสิ!’

นั่นคือพี่หญิงในสมัยเด็ก เขาอยากกอดนางจริงๆ…

กว่ามู่หรงชงจะฟื้นขึ้นมาก็เป็นเวลาฟ้าสางของวันถัดมาแล้ว

พอลืมตาก็ได้ยินเสียงบ่นกระปอดกระแปดของมู่หรงหย่งดังอยู่ริมโสต “นายท่านฟื้นได้เสียที พวกข้าเป็นห่วงแทบตายแล้ว! เมื่อคืนหลังท่านหมดสติไปในวังก็เกิดเพลิงไหม้ครั้งใหญ่…”

“พี่หญิง…” มู่หรงชงไอ “พี่หญิงของข้าเล่า นางเป็นอย่างไรแล้ว”

มู่หรงหย่งสีหน้าหนักอึ้งก่อนจะส่ายศีรษะ

มู่หรงชงเอ่ยเร่ง “บอกมา!”

มู่หรงหย่งตอบเสียงค่อย “องค์หญิงชิงเหอนาง…เสวยยาพิษปลิดชีพตนเองแล้ว เมื่อคืนระหว่างทางไปตำหนักชีอู๋จู่ๆ ก็พบว่าตำหนักข้างๆ เกิดเพลิงไหม้…เพลิงนั้นใหญ่เกินไป ฟ้าใกล้สางแล้วถึงดับลงได้ ต่อมาแม่นางมู่มาหา ข้าถึงได้ทราบว่าท่านถูกนางส่งกลับมาแล้ว ทว่าน้องสาวนางดูเหมือนว่า…จะตายอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง”

ในห้วงความคิดของมู่หรงชงเอาแต่คิดถึงคำว่า ‘เสวยยาพิษปลิดชีพตนเอง’ ซ้ำไปซ้ำมา แทบจะฟังคำบอกเล่าหลังจากนั้นของมู่หรงหย่งไม่เข้าหัว

พี่หญิงตายแล้ว พี่หญิงที่รักใคร่เอ็นดูข้าที่สุดตั้งแต่เล็กจนโตถึงกับปลิดชีพตนเองเยี่ยงนี้

เขาคล้ายว่าเปลี่ยนกลับไปเป็นเด็กที่ขี้ขลาดและดูถูกตนเองเฉกเช่นเมื่อไม่กี่ปีก่อนอีกครั้งในเวลาชั่วข้ามคืน เพียงขดตัวอยู่มุมผนัง รอพี่หญิงมาหาตนเอง แต่ครั้งนี้พี่หญิงไม่มีวันมาหาแล้ว

ไม่นานนักมู่หรงชงที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็มองเห็นมู่เฉินที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวดุจเดียวกัน ข่าวจากในวังบอกว่าเมื่อคืนองค์หญิงฝูเป่าจุดไฟวางเพลิง นอกจากตัวนางเองแล้วยังได้เผาสตรีอีกคนที่พรวดพราดเข้าไปกะทันหันจนตาย น่าจะเป็นคนของจวนฉงเหอโหว

ทั้งสองมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ต้องการปลอบโยนกันและกันสักเล็กน้อย แต่ล้วนคิดถ้อยคำใดๆ ที่ปลอบโยนได้ไม่ออก

“ได้ยินว่าเมื่อคืนโต้วชงออกเดินทางตั้งแต่ก่อนได้รับคำสั่งจากฝ่าบาทแล้ว ดังนั้นจึงได้รุดไปช่วยสกุลมู่หรงของพวกข้าไว้ได้ทันกาล”

“ใช่”

“เจ้าเดาถูกว่าหวังเหมิ่งจะลงมือในเวลานี้ จึงให้โต้วหวั่นเอ๋อร์ไปบอกให้โต้วชงรู้ล่วงหน้า?”

“ใช่”

“เจ้านับว่าเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคนสกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปยเราไว้”

“ใช่”

“พูดอย่างอื่นบ้างได้หรือไม่ ความคิดข้าสับสนยิ่ง…”

“ข้า…ก็เช่นกัน”

“พี่หญิงข้า…เป็นคนที่ดีต่อข้าที่สุดบนโลกนี้ หากมิใช่เพราะนาง ห้าปีก่อนข้าคงตายไปแล้ว”

“ข้ากับน้องสาวไม่ได้พบกันเจ็ดปีแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอได้พบก็จะกลายเป็นจากกันตลอดกาล”

“เดิมทีข้าคิดจะพาพี่หญิงไปชมทุ่งหญ้า”

“ข้าเองก็คิดจะพาอวิ่นจือไปหนานเหยา…”

“ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้”

ท้ายที่สุดเป็นมู่เฉินพูดขึ้นเบาๆ “ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ มิสู้…เอาสุรามาแล้วกัน!”

ด้วยเหตุนี้คืนนี้พวกเขาจึงเมามายอยู่ในที่เก็บสุราใต้ดินของเมืองฉางอันด้วยกัน

ยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วนก็เป็นเช่นนี้ คาดเดาอะไรไม่ได้ ชีวิตคนก็เป็นเช่นนี้ ลุ่มๆ ดอนๆ พวกเขาเคยโดดเดี่ยวเดียวดาย เดินตามลำพัง มิกล้าเมามายแม้ชั่วขณะ มีเพียงคืนนี้ เมามายหมดสภาพไปกับบุปผาและสายลม ดังอีกาหวนคืนรังบนต้นไม้ในยามเย็น ราวกับว่าคลายทุกข์ได้นับพัน

คล้ายว่าคืนนี้ยังคงไม่มีอะไรต่างไปจากทุกคืนที่ผ่านมา ทว่าบรรดาชนชั้นสูงตระกูลขุนนางในแถบเจียงหนานและเหล่าผู้มีอำนาจชั้นนำในแถบเจียงเป่ยในเวลานี้ก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าความเป็นความตายของสกุลมู่หรงในวันนี้จะก่อให้เกิดผลกระทบเช่นไรในอีกหลายปีให้หลัง

บทที่ 14 สัญญาสิบปี

หลังหวังเหมิ่งตายฝูเจียนก็แต่งตั้งเขาเป็นอู่โหว พร้อมทั้งจัดงานศพให้อย่างยิ่งใหญ่ที่สุด กล่าวขานกันว่าเสียงร่ำไห้ดังระงมทั่วทั้งแคว้นฉินเป็นเวลาถึงสามวัน

ในขณะที่จวนของมู่หรงชงนั้นเงียบประดุจป่าช้า

เขาไม่ก้าวออกจากห้องเลยตลอดสามวัน และไม่ให้ผู้ใดเข้าใกล้เช่นเดียวกัน

มู่หรงหย่งร้อนใจอยู่ด้านนอกมาสามวันแล้ว สุดท้ายจึงมาขอร้องมู่เฉินถึงหน้าประตู

สองสามวันมานี้มู่เฉินเองก็มิได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ ใบหน้านางซีดเซียวจนชวนให้ตกใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินคำขอร้องจากมู่หรงหย่งนางก็ยังคงเดินไปที่ห้องของมู่หรงชง

นางใช้เท้าถีบเปิดประตูอย่างไม่ไว้ไมตรี

แม้แต่มู่หรงหย่งยังตกใจ ทว่านอกจากนางแล้วไหนเลยจะยังมีใครกล้าเปิดประตูห้องมู่หรงชงเช่นนี้อีก ก็ใครใช้ให้นางเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคนทั้งสกุลมู่หรงเอาไว้เล่า

มู่หรงชงหาได้มีท่าทางซึมเศร้าเท่าที่คนทั้งหลายคิดไว้ไม่ เขาเพียงแต่นอนอยู่บนเตียงเงียบๆ ตั้งแต่เส้นผมจรดรองเท้าของเขาล้วนสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย

มู่เฉินกล่าวขึ้นว่า “มู่หรงชง ท่านลุกขึ้นมา นอนอยู่เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ท่านอยากนอนให้ตายไปเลยหรือไร”

มู่หรงชงคล้ายว่าไม่ได้ยิน ไม่มีการตอบสนองใดๆ

มู่เฉินเดินไปฉุดเขาให้ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ท่านนึกว่าข้าอยากสนใจท่านหรือ ใครใช้ให้ข้ารับปากคนตายว่าจะช่วยดูแลท่านเล่า!”

มู่หรงชงฟังออกถึงความไม่เคารพในวาจาของนางจึงมองมาด้วยสายตาเยียบเย็น

“มีการตอบสนองแล้วใช่หรือไม่ รู้แล้วใช่หรือไม่ว่าคนได้ตายจากไปแล้ว” มู่เฉินเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเอาเรี่ยวแรงมาจากที่ใด ถึงกับลากมู่หรงชงลงจากเตียงได้จริงๆ “ท่านทำสายตาพรรค์นี้เพราะรู้สึกว่าข้าไม่เคารพนาง? ข้ากับท่านใครไม่เคารพนางมากกว่ากันแน่ อย่างน้อยข้าก็ทำตามความปรารถนาก่อนตายของนาง ทำให้ท่านลุกขึ้นมากินข้าว แล้วท่านเล่า ปล่อยให้ตนเองหิวตายก็จะได้พบนางหรือ ไม่หัดคิดเสียบ้างว่าท่านมีสภาพหมดอาลัยตายอยากเยี่ยงนี้นางจะอับอายเพราะท่านหรือไม่!”

“พอแล้ว!” มู่หรงชงคำรามใส่นาง

มู่เฉินกล่าว “ไม่อย่างนั้นท่านก็ร้องไห้ให้หนำใจไปเลย สภาพหมดอาลัยตายอยากเช่นนี้คิดจะทำให้ใครดู”

มู่หรงชงยืนอยู่ตรงนั้นเป็นนาน มู่เฉินก็ยืนประจันหน้ากับเขาโดยไม่ขยับเขยื้อน

คนทั้งสองยืนจนถึงเวลาเที่ยงวัน

ภายใต้สายตาที่ดุดันร้อนแรงอย่างต่อเนื่องของมู่เฉิน ในที่สุดมู่หรงชงก็พ่ายแพ้ เขาอ้าปากเปล่งถ้อยคำที่ฟังไม่ชัดเจนออกมา “ข้าหิวแล้ว”

มู่เฉินลูบต้นคอที่แข็งทื่อ ก่อนกล่าวกับมู่หรงหย่งที่ชะโงกศีรษะเข้ามา “ได้ยินหรือไม่ เขาบอกว่าหิวแล้ว”

มู่หรงหย่งพูดด้วยความดีใจ “ของกินเตรียมพร้อมไว้ตลอด ข้าจะให้คนไปยกมาเดี๋ยวนี้!”

มู่หรงชงมองมู่เฉินอย่างลึกซึ้งปราดหนึ่ง

เมื่อครู่นี้นางบอกว่าจะดูแลเขา

เขาอยากถามเสียจริงๆ ว่าเจ้าจะดูแลข้าได้นานสักเท่าใด หนึ่งวัน? หนึ่งเดือน? หรือหนึ่งปี

เขาเพียงคิดในใจมิได้ถามออกไป แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ มีคำด่ารอบนี้ในวันนี้แล้ว มู่เฉินก็ยังคล้ายว่าจะมีความหมายบางอย่างที่ต่างออกไปสำหรับเขา

 

วันสุดท้ายในฉางอันเต็มไปด้วยความตายและการพรากจาก

เพียงไม่นานมู่หรงชงกับมู่เฉินก็ออกเดินทางไปผิงหยางด้วยกัน

มู่หรงหงก็จากไปในวันเดียวกับพวกเขาเช่นกัน นอกเมืองฉางอันสองพี่น้องกุมมือบอกลา ต่างไม่กล่าวสิ่งใด แต่เข้าใจกันดี

ล้วนเป็นผู้ที่มีรูปโฉมหล่อเหลางดงาม มู่หรงหงสวมชุดสีนิล มู่หรงชงสวมชุดสีเขียวคราม ยืนปะทะลมชุดส่งเสียงดังพึ่บพั่บ

สกุลมู่หรงหารือกันได้แผนการที่ดีที่สุดออกมานานแล้ว อีกทั้งมู่หรงจิ่นก็ได้ทำการเลือกวิธีการที่เด็ดขาดที่สุดออกมา มู่หรงเหว่ยเป็นตัวประกันอยู่ที่ฉางอันต่อไป ส่วนมู่หรงฉุยเป็นตาเฒ่าเหลี่ยมจัดไปเช่นเดิม…ทางเส้นนี้ในวันข้างหน้ามีเพียงพวกเขาต้องอดทนอดกลั้น แบกรับภาระ และร่วมกันก้าวเดินต่อไป

ย่อมไม่มีใครคิดว่าโต้วหวั่นเอ๋อร์จะมาส่ง ผู้ที่มากับนางยังมีชุนหยาอีกคน

มู่เฉินรู้ว่าโต้วหวั่นเอ๋อร์ชอบมู่หรงหงจึงดึงแขนเสื้อมู่หรงชงเบาๆ “พวกเราไปกันก่อนเถิด”

มู่หรงหย่งเห็นการกระทำของมู่เฉินก็ให้ตกใจเล็กๆ แต่มู่หรงชงกลับไม่มีท่าทางไม่พอใจใดๆ คล้ายว่าเคยชินแล้วโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ชุนหยารีบเดินมาที่ข้างรถม้า ก่อนคุกเข่าต่อมู่หรงชง “ขอท่านอ๋องโปรดรับตัวบ่าวไว้ด้วย องค์หญิงไม่อยู่แล้ว ชุนหยาไม่อยากอยู่ที่วังหลวงแคว้นฉินอีกต่อไป!”

มู่หรงชงมองเห็นนางก็นึกถึงมู่หรงจิ่นขึ้นมาอีก เป็นนานกว่าเขาจะมีอาการตอบสนอง สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นดุดัน ก่อนเอ่ยถามว่า “คืนนั้นใครไปหาพี่หญิง”

ชุนหยาตอบ “มีคนมาหาจริงๆ แต่ตอนที่บ่าวไปคนได้จากไปแล้ว บ่าวมองเห็นเพียงเป็นบุรุษสวมชุดสีเข้ม”

“มีลักษณะพิเศษหรือไม่”

“มือขวาเขาคล้ายจะเคลื่อนไหวไม่สะดวกนัก…อย่างอื่นไม่มีสิ่งใดที่จำได้แล้วเพคะ”

“มือขวาเคลื่อนไหวไม่สะดวก…” มู่หรงชงพลันนึกถึงอะไรได้ “อาหย่ง อัครเสนาบดีหวังมีลูกศิษย์อยู่คนหนึ่ง มือขวาคล้ายว่าจะพิการโดยกำเนิด”

มู่หรงหย่งตบศีรษะ “อา! ใช่แล้วขอรับ! กล่าวกันว่าเป็นลูกศิษย์ที่อัครเสนาบดีหวังให้ความสำคัญที่สุด ชื่อว่าอะไรนะ…จิ่งสิง!”

มู่เฉินฟังบทสนทนาของพวกเขา สายตากลับทอดมองไปยังมู่หรงหงและโต้วหวั่นเอ๋อร์

โต้วหวั่นเอ๋อร์มีท่าทางเอียงอาย คล้ายว่ายื่นของบางอย่างจำพวกถุงหอมให้มู่หรงหง มู่หรงหงยื่นมือซ้ายไปรับ…ส่วนมือขวา…

ครั้นมู่เฉินสังเกตดูอย่างละเอียดก็พบว่ามือขวาของมู่หรงหงคล้ายจะได้รับบาดเจ็บ เขาซุกมือขวาอยู่ในแขนเสื้อไม่ขยับเขยื้อน และก็หลบเลี่ยงโต้วหวั่นเอ๋อร์ตามจิตใต้สำนึก

ในชั่วขณะนั้นนางรู้เพียงว่าความหนาวเหน็บเริ่มผุดขึ้นในใจ…ได้แต่หวังว่าตนเองจะคิดมากไป

หลังบอกลามู่หรงหงแล้วพวกนางก็ออกเดินทาง มู่หรงชง มู่เฉิน และชุนหยานั่งในรถม้าคันเดียวกัน

เดินทางมาได้สองสามวัน มู่หรงชงไม่ค่อยมีชีวิตชีวามาโดยตลอด เขามักจะก้มหน้าพักสายตา ไร้สุ้มเสียง คล้ายว่าหลับไปจริงๆ

จวบจนเวลาเที่ยงวันรถม้าจอดหยุดพัก ชุนหยาถือเสบียงเดินมา ทางหนึ่งไม่กล้าปลุกมู่หรงชง แต่อีกทางก็กลัวเขาจะหิว ให้ลำบากใจยิ่งยวด

มู่เฉินกล่าวว่า “ให้เขานอนอีกสักพักเถอะ”

ทว่ามู่หรงชงได้ยินดังนี้กลับเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย

ชุนหยากล่าวว่า “ที่แท้ท่านอ๋องก็มิได้นอนหลับ รีบกินสักหน่อยนะเจ้าคะ มิได้กินอะไรมาตลอดทั้งเช้าแล้ว”

ในแววตาของมู่หรงชงมีประกายงุนงงคล้ายยังตื่นไม่เต็มตา เขารับอาหารและน้ำจากชุนหยามากินคำเล็กๆ ด้วยท่าทางคล้ายยังไม่ค่อยมีสติ

มู่เฉินถาม “ท่านกำลังคิดอะไร”

มู่หรงชงมองนางปราดหนึ่ง ทว่าก็ตอบตามตรง “สกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปยมิใช่ผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสาย แต่ก็เคยพยายามยึดครองจงหยวน ชูธงมังกร สวมฉลองพระองค์ฮ่องเต้ ย้อนคิดถึงแผ่นดินที่บรรพบุรุษลำบากลำบนยึดมาได้ ชนรุ่นหลังอย่างพวกข้า…กลับรักษาไว้ไม่ได้”

มู่เฉินครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนว่า “ในใจท่านรู้สึกว่าไม่ยุติธรรมอย่างยิ่งยวดกระมัง”

“จะรู้สึกยุติธรรมได้อย่างไร”

มู่เฉินกำลังจะพูดที่ด้านนอกกลับมีเสียงเอะอะดังมา

“ช่วยด้วย! ช่วยด้วย!”

“หากยังหนีพวกข้าจะตัดขาพวกเจ้าให้ขาด!”

“รีบส่งเสบียงมา!”

ชุนหยาแหวกม่านหน้าต่างออกดูก็พูดด้วยความตกใจทันที “โจร!”

มู่หรงหย่งที่อยู่ด้านนอกพูดว่า “นายท่าน ที่ด้านนอกมีคนสองฝ่ายกำลังต่อสู้กัน พวกเราอ้อมไปกันเถิด!”

“ได้”

รถม้ากำลังจะออกตัว มู่เฉินกลับพลันกล่าวว่า “หยุดก่อน!”

มู่หรงชงส่งสายตาข้องใจมา

มู่เฉินจึงว่า “มิใช่การต่อสู้ธรรมดา เป็นโจรปล้นชาวบ้าน!”

นางว่าพลางทำท่าจะลงจากรถม้า กลับถูกมู่หรงชงดึงตัวไว้ “มิใช่โจรกับชาวบ้าน แต่เป็นผู้ประสบภัยกับผู้ประสบภัย ระหว่างทางที่ข้ามาก็ได้ประสบอยู่หลายระลอก เก็บเกี่ยวไม่ได้ผล กินไม่อิ่มท้อง จึงได้แต่ปล้นสะดม”

มู่เฉินถาม “ท่านจึงนิ่งดูดาย?”

“มิใช่เรื่องที่ข้าจะยุ่งได้” มู่หรงชงตอบ “ใต้หล้านี้วุ่นวายมาหลายสิบปีแล้ว คนในเผ่าเข่นฆ่ากันเอง ผู้อ่อนแอเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เห็นบ่อยครั้งจนไม่รู้สึกแปลกแล้ว ใครจะยังมัวสนใจได้ สวรรค์มิได้โหดร้าย ชาวบ้านหาเรื่องใส่ตนเอง!”

มู่เฉินกล่าว “ถึงจะเป็นเช่นนี้ สองตานี้ของข้ามองเห็นแล้วก็มิอาจทำเหมือนว่าไม่เห็นได้!”

นางดิ้นหลุดจากมือของมู่หรงชงแล้วเปิดประตูลงจากรถม้า แต่กลับถูกเขารั้งไว้อีก

“นี่เจ้าทำอันใด จะบีบให้ข้าไปใช่หรือไม่…หมดปัญญากับเจ้าเสียจริงๆ” มู่หรงชงดึงนางขึ้นรถม้า กล่าวกับมู่หรงหย่งว่า “เจ้าไปจัดการที!”

“ขอรับ!”

เพียงครู่เดียวมู่หรงหย่งก็กลับมารายงานว่าแบ่งเสบียงส่วนหนึ่งให้แก่ผู้ประสบภัยแล้วไล่พวกเขาให้กลับไปแล้ว

มู่เฉินค่อยสบายใจได้เล็กน้อย ลอบมองมู่หรงชง นึกว่าเขาจะมีสีหน้าไม่พอใจ แต่มิได้เป็นเช่นนั้น เขาเพียงแต่นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ ใบหน้าไร้ระลอกคลื่นใด

 

ไม่กี่วันให้หลังมู่เฉินก็เข้าใจในที่สุดว่าความเงียบของมู่หรงชงหมายความว่าอะไร ผู้ประสบภัยมีมากเกินไป ปรากฏตัวแทบจะทุกไม่กี่ชั่วยาม เสบียงของพวกนางมีไม่พอแบ่งโดยสิ้นเชิง ถึงจะจ่ายเงินให้ได้ก็ยังซื้อเสบียงไม่ได้…

มู่หรงชงกล่าว “ใต้หล้าเป็นหนึ่งไม่ได้ วันเวลาที่ราษฎรมิอาจอยู่รอดได้นี้ก็ไม่มีทางสิ้นสุดลง ความเห็นใจของเจ้าไม่เพียงพอโดยสิ้นเชิง” เขาพูดจบก็สั่งมู่หรงหย่งให้เก็บเสบียงไว้ให้พอสำหรับวันที่เหลือ แล้วมอบเสบียงที่เหลือทั้งหมดแก่ผู้ประสบภัย

มู่เฉินเหม่อมองฟากฟ้าไกลพลางกล่าว “แล้วที่ท่านทำอยู่นี่นับเป็นอะไรอีก”

“ก็แค่ทำเรื่องที่มนุษย์พึงทำ”

มู่หรงชงพูดจบก็ขึ้นไปนั่งบนรถม้า ห่มผ้าของตนเอง ก่อนหลับตานอน

ในคืนเดียวกันคนทั้งหลายพักผ่อนกันที่จุดพักม้า

ระหว่างที่มู่เฉินกำลังสะลึมสะลือก็พลันได้ยินเสียงเหมือนนกร้องอันคุ้นเคย นางสะดุ้งตื่นทันควัน

มู่เฉินเดินไปข้างหน้าต่างแล้วเปิดหน้าต่างออกดู ที่ด้านนอกมีคนยืนอยู่จริงๆ อีกฝ่ายสวมชุดตัวใหญ่หนาและสวมหมวก ทั้งใบหน้าล้วนซ่อนอยู่ในม่านดำมืด

“ศิษย์พี่ชิงเหริน!”

ชิงเหรินถอดหมวกลง เผยใบหน้าสาวน้อยที่งดงามเหนือสามัญออกมา “ศิษย์น้องมู่เฉิน ไม่ได้พบกันนานทีเดียว”

“ศิษย์พี่ชิงฉือยังสบายดีหรือไม่”

“ไม่รู้สภาพช่วงนี้เลย” ชิงเหรินมองมู่เฉินพลางกล่าวเรียบๆ “เจ้ารับคำสั่งอาจารย์ลงเขามาเลือกผู้มีความสามารถแล้วช่วยเหลือเขา ตอนแรกพูดเสียดิบดีว่าหากไม่ใช่ซือหม่าเย่าก็เป็นฝูเจียน หลังเจ้าได้ไปเยี่ยมมารดาแล้วมิใช่ควรตัดสินใจแล้วหรือไร เหตุใดต้องมุ่งหน้าไปผิงหยางกับมู่หรงชงด้วย”

มู่เฉินเงียบครู่หนึ่งก่อนตอบว่า “ข้าเลือกเขาแล้ว ศิษย์พี่ลืมไปแล้วหรือว่าตอนแรกพวกเราคุยกันว่าราชวงศ์จิ้น แคว้นฉิน และอดีตแคว้นเยียนต่างเป็นฝักเป็นฝ่าย ซึ่งบัดนี้ราชวงศ์จิ้นมีเซี่ยอัน แคว้นฉินมีหวังเหมิ่ง พวกเขาล้วนเป็นคนมีคุณธรรม ไม่ว่าพวกเขาทำอะไรพวกเราล้วนไม่ควรแทรกแซง กลับเป็นแคว้นเยียนเสียอีกที่แม้ว่าบัดนี้แว่นแคว้นจะถูกทำลาย ชนรุ่นหลังแตกฉานซ่านเซ็น แต่ความแค้นในใจพวกเขาไม่เคยลดน้อยถอยลงเลย สกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปยที่เข้มแข็งเช่นนี้ ถ้าเกิดมีวันหนึ่งกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง กลายเป็นกลุ่มอำนาจสามแคว้นร่วมกันกับแคว้นฉินและราชวงศ์จิ้นอีกครั้ง…”

ชิงเหรินตัดบท “เช่นนั้นเจ้าก็ควรเลือกมู่หรงฉุย กล่าวถึงเล่ห์กล กล่าวถึงพิชัยสงคราม กล่าวถึงยุทธวิธี เขามีสิ่งใดเทียบกับมู่หรงฉุยได้บ้าง” เสียงของชิงเหรินยังคงราบเรียบ “หรือเจ้าเชื่อจริงๆ ว่าเขาเห็นแก่ประชาราษฎร์”

มู่เฉินสูดหายใจเข้าลึก หาได้ตอบคำถามไม่

ชิงเหรินถอนหายใจ “เฉินเอ๋อร์ เจ้าชอบคิดเองเออเองมาตั้งแต่เล็ก อาจารย์สั่งเสียให้ช่วยเหลือกษัตริย์ผู้มีปณิธานกว้างไกลท่ามกลางยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วน บัดนี้เจ้าทำตรงข้ามกันแล้ว”

มู่เฉินก้มหน้าลงกล่าวว่า “ศิษย์พี่ ข้าน่าจะ…ไม่ได้มองคนผิด”

ชิงเหรินถอนหายใจ “ช่างเถอะ เจ้าเลือกคนเองก็เดินต่อไปให้ดีแล้วกัน ตอนที่อาจารย์จากไปสถานการณ์หาได้เป็นเช่นปัจจุบันไม่ ในเมื่อบัดนี้มีเหตุพลิกผันแล้วข้ากับชิงฉือจึงลงเขามาด้วยกัน”

“ศิษย์พี่ชิงฉือก็ลงเขามาด้วย?”

“ป่านนี้นางอาจจะไปถึงเจียงจั่วแล้ว และหลังจากข้ามาพบเจ้าก็จะไปฉางอัน” ชิงเหรินตรึกตรองเล็กน้อย “พวกเราสัญญากันเป็นเวลาสิบปีเป็นอย่างไร อีกสิบปีใต้หล้าจะเป็นของผู้ใดย่อมจะได้รู้ชัดกัน”

มู่เฉินพยักหน้า “ตกลง สิบปี”

“เฉินเอ๋อร์ อย่าหาว่าข้าปากมากเลย จำไว้ให้ดี ความจริงของศาสตร์แห่งกษัตริย์…มิอาจบอกให้ผู้ใดล่วงรู้”

“ขอสัญญา”

ครั้นมองดูแผ่นหลังของชิงเหรินหายลับไปท่ามกลางความมืด มู่เฉินก็ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ หลังพิงผนัง ครุ่นคิดอยู่เป็นนานสองนาน

ศาสตร์แห่งกษัตริย์

บนโลกนี้ไม่มีศาสตร์แห่งกษัตริย์โดยสิ้นเชิง

…นั่นเป็นเพียงคำเล่าลือที่มีคนกุขึ้นในระหว่างที่บรรดาชาวบ้านอยู่ท่ามกลางจลาจลและความทุกข์ทรมานมาอย่างยาวนาน

บรรดาชาวบ้านปรารถนาจะได้รับการช่วยเหลือ ในขณะที่บรรดากษัตริย์ปรารถนาจะใช้ประโยชน์ จึงมีผู้ที่คำนึงถึงใต้หล้าคิดยืมกำลังขุมนี้ไปมอบความเชื่อใจ ไปผลักดันอำนาจให้ผู้อื่น

มู่เฉินเมื่อเจ็ดปีก่อนคิดอย่างไร้เดียงสาว่าขอเพียงเล่าเรียนสำเร็จกลับมาก็จะทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนได้

ทว่านางผิดไปแล้ว ผิดไปไกลยิ่งยวด ใต้หล้าที่ไม่เป็นปึกแผ่นนี้ไม่มีผู้ใดสามารถกอบกู้หรือทลายลงได้ มันเดินหน้าอยู่ตลอดด้วยเส้นทางของตัวมันเอง ส่วนสิ่งที่พวกนางควรทำก็คือไปใกล้ชิดผู้ที่อยู่บนปลายยอดอำนาจเหล่านั้น คิดหาวิธีทำให้พวกเขาละทิ้งศาสตร์แห่งกษัตริย์ แล้วจดจำไว้เพียง…ปณิธานกว้างไกล

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 3 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 10

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: