ม้วนที่ 2 ผิงหยาง
หิมะตกปลายสารท แรกเหยียบเมืองผิงหยาง
หอบุปผชาติอีผิ่น
ที่ให้ความเริงรมย์ในยุคบ้านเมืองปั่นป่วน
บทที่ 1 เมืองแห่งอิสระ
ครึ่งค่อนเดือนให้หลังคณะของมู่เฉินกับมู่หรงชงก็มาถึงเมืองผิงหยางในที่สุด
ผิงหยางเป็นสถานที่สำคัญด้านการทหาร ตะวันออกติดซั่งตั่ง ตะวันตกติดแม่น้ำหวงเหอ ทางใต้เชื่อมลั่วหยาง ทางเหนือชนกับไท่หยวนซึ่งในรัชศกหย่งจยาปีที่สามเคยเป็นเมืองหลวงของแคว้นฮั่นจ้าวของหลิวยวน
ระหว่างทางมู่เฉินเคยได้ยินมู่หรงชงบอกว่าผิงหยางมีคนแปลกคนพิเศษอยู่มาก เขาตั้งปณิธานจะเริ่มต้นที่นี่ รวบรวมบุคคลทรงความรู้ความสามารถ เกณฑ์ทหาร สะสมเสบียง
เมื่อมาถึงจวนเจ้าเมืองมู่หรงชงก็ให้คนจัดห้องให้มู่เฉิน อีกทั้งส่งชุนหยามาปรนนิบัตินาง เพราะเหน็ดเหนื่อยมาตลอดทางหลังมู่เฉินถึงห้องก็อาบน้ำ หัวถึงหมอนก็หลับไป
นอนหลับครานี้นางมีอาการป่วย
ถึงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว กลางคืนอากาศหนาวเย็น อีกทั้งช่วงหลายวันก่อนก็เหนื่อยเกินไป คืนหนึ่งผ่านไป มู่เฉินรู้สึกเพียงว่าปวดศีรษะวิงเวียน ทั้งยังหายใจลำบาก
นางได้ยินเสียงมู่หรงหย่งตำหนิชุนหยาแว่วๆ “ไยเจ้าจึงชะล่าใจเพียงนี้ นายท่านให้เจ้าดูแลนางให้ดี เพิ่งจะดูแลได้คืนเดียวก็กลายเป็นเยี่ยงนี้แล้ว…”
ชุนหยาสะอื้นเบาๆ อยู่ด้านข้าง
มู่เฉินหมายออกปากห้ามมู่หรงหย่ง แต่ก็รู้สึกไม่สบายคอ ได้แต่สูดหายใจลึกๆ ทีหนึ่งก่อน
แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหนึ่งพูดขึ้นด้านข้าง “อาหย่ง เจ้าออกไป อย่ารบกวนคนป่วยพักผ่อน”
มู่หรงชง? เขาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร มาเพื่อเยี่ยมข้า? มู่เฉินกำลังคิดเช่นนี้ ครั้นแล้วก็รู้สึกเย็นน้อยๆ บนหน้าผาก ความรู้สึกปวดศีรษะวิงเวียนนั้นสลายไปครึ่งหนึ่ง สบายตัวเหลือเกิน
นางลืมตาเล็กน้อย มองเห็นแขนเสื้อลายเมฆมงคลอยู่ตรงหน้า เมื่อมองตามแขนเสื้อขึ้นไปก็เห็นใบหน้าที่อยู่ใกล้มากของมู่หรงชง เขากำลังยื่นฝ่ามือมาอังบนหน้าผากมู่เฉิน
มู่เฉินอยากจะขยับศีรษะหนี แต่ก็ติดที่ไม่มีแรง เพียงเอียงศีรษะเล็กน้อยก็สบเข้ากับดวงตาของมู่หรงชงพอดี
เขากล่าวเรียบๆ “ข้ามือเย็น จะช่วยลดความร้อนให้เจ้า”
มู่เฉินรู้สึกว่าเขาพูดได้สมเหตุสมผลยิ่งยวด นางจึงกล่าวขอบคุณเบาๆ
มู่หรงชงกล่าวอย่างโทษตนเองอยู่บ้าง “ข้าเชิญเจ้ามาผิงหยาง กลับไม่ได้ดูแลเจ้าให้ดี มาถึงวันแรกก็ล้มป่วยเสียแล้ว”
มู่เฉินถามว่า “ชุนหยาเล่า”
นางเห็นในห้องมีเพียงมู่หรงชงคนเดียวจึงนึกแปลกใจ ด้วยเมื่อครู่ยังได้ยินเสียงของชุนหยาอยู่
มู่หรงชงตอบ “อาหย่งพาออกไปแล้ว”
มู่เฉินจึงว่า “อย่าให้อาหย่งว่านาง เป็นข้าไม่ได้ห่มผ้าให้ดีเอง ไม่ใช่ความผิดนาง”
“ได้” มู่หรงชงพูดพลางเก็บมือกลับมา ก่อนจะกำฝ่ามืออย่างคล้ายคิดอะไรบางอย่าง “ดูเหมือนจะอุ่นขึ้นหน่อยแล้ว”
“หือ?”
“ไม่มีอะไร เจ้าพักผ่อนให้ดี ข้าจะให้ชุนหยาเข้ามาปรนนิบัติ”
หลังมู่หรงชงออกไปแล้วมู่เฉินถึงตระหนักได้ถึงความหมายของคำพูดเมื่อครู่นี้ของเขา เจ้าคนผู้นี้ถึงกับใช้หน้าผากข้าอุ่นมือ!
มู่เฉินเป็นไข้อยู่สองวันถึงได้อาการดีขึ้น ยามลงจากเตียงมานางก็รู้สึกเบาไปทั้งร่าง จึงเรียกชุนหยามาทันที บอกว่าจะไปเดินเล่นในลานเรือน
บัดนี้บรรยากาศฤดูใบไม้ร่วงกำลังเข้มข้น ดอกไม้ใบหญ้าก็ล้วนปรากฏความเหี่ยวเฉา ทั่วทั้งลานเรือนดูไร้ชีวิตชีวาอยู่บ้าง จวนเจ้าเมืองนี้ไม่นับว่าใหญ่นัก การตกแต่งก็ถูกต้องตามกฎระเบียบ ไม่มีจุดใดพิเศษ โดยเรือนที่นางพักแห่งนี้อยู่ตรงข้ามกับเรือนนอนของมู่หรงชงพอดี ถือเป็นที่พักที่ดีลำดับต้นๆ ในจวน
มู่หรงชงใส่ใจนางมากจริงๆ พอได้ยินว่านางลงจากเตียงมาเดินเหินได้แล้วก็ให้มู่หรงหย่งมาถามว่าอยากออกไปดูทิวทัศน์เมืองผิงหยางนี้สักหน่อยหรือไม่
คราวนี้ชุนหยาระมัดระวังยิ่ง “แม่นางยังไม่หายดี ออกไปข้างนอกจะเหมาะหรือเจ้าคะ”
มู่เฉินกลับไม่ใส่ใจ “ไม่เป็นไร ออกไปเดินสักหน่อยจะได้มีกำลังวังชามากขึ้น”
มู่หรงหย่งไปรายงานมู่หรงชง เสร็จแล้วก็ไปเตรียมรถม้าให้คนทั้งสองออกจากจวน
มู่เฉินและมู่หรงชงนั่งอยู่ด้านในรถม้าคันเดียวกัน มุ่งหน้าไปยังทางใต้ของเมืองอย่างช้าๆ
ชุนหยานั่งอยู่ด้านนอกรถม้า มู่หรงหย่งนั่งอยู่บนม้าด้านหน้า เสียงคนทั้งสองโต้คารมกันดังมาเป็นระยะ
มู่เฉินแหวกม่านมองไปข้างนอก เห็นผู้คนสัญจรไปมาในตลาดสองข้างทางคึกคักยิ่งยวด ดูมีสภาพผาสุกยิ่ง นางเคยเดินทางผ่านเมืองหลายเมือง แม้ที่นี่จะไม่กว้างใหญ่เท่าฉางอันและไม่ประณีตเท่าเจี้ยนคัง แต่ก็เป็นสถานที่ที่อุดมสมบูรณ์อย่างหาได้ยาก
รถม้าวิ่งผ่านตลาดและย่านพักอาศัย สองข้างทางเริ่มดูเปล่าเปลี่ยว
มู่เฉินเอ่ยถาม “นี่กำลังจะไปที่ใดหรือ”
มู่หรงชงตอบ “ศาลพระเจ้าเหยา”
มู่เฉินอึ้งไปเล็กน้อยก่อนถามว่า “ท่านบูชาพระเจ้าเหยา?”
“สมัยเยาว์วัยชื่นชมในผลงานของราชวงศ์ฉินและฮั่น คิดว่าจุดสูงสุดของใต้หล้าควรเป็นเช่นนั้น จวบจนเมื่อสามปีก่อนได้ไปถึงฉางอัน ได้สำรวจร่องรอยประวัติศาสตร์ ถึงได้เริ่มคิดพิจารณาถึงความปราดเปรื่องในยุคโบราณ” มู่หรงชงนั่งตัวตรงพลางกล่าวช้าๆ “ในศาลบันทึกเกียรติประวัติของพระเจ้าเหยาไว้ว่าได้ย้ายเมืองหลวงมายังผิงหยาง คิดค้นการนับวันเดือนปี เสาะหาและรับผู้ทรงคุณธรรมความสามารถมาทำงาน สุดท้ายใต้หล้าจึงสมานฉันท์ ชาวบ้านไม่เดือดร้อน”
มู่เฉินถอนหายใจ “ทว่าใต้หล้าในปัจจุบันมีเพียงใช้สงครามยุติสงคราม”
“สามปีที่ข้าอยู่ที่นี่ก็คิดเยี่ยงนี้” มู่หรงชงเงียบอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวเสียงค่อย “น่าเสียดายที่ทั่วทั้งใต้หล้าไม่มีบุคคลเยี่ยงนี้ จึงได้แต่ก้มหน้าศึกษาแนวทางโบราณ”
“บัดนี้คิดได้แล้วหรือว่าควรทำเช่นไร”
“คิดได้ตั้งแต่ยามได้พบคนในตระกูลที่ฉางอันแล้ว”
ขณะที่พูดศาลพระเจ้าเหยาก็อยู่ใกล้เพียงตรงหน้า พวกเขาลงรถม้าเดินเท้าต่อ
ระหว่างทางขรุขระอยู่บ้าง มู่หรงชงประคองมู่เฉินพลางกล่าว “ระวัง”
มู่เฉินตอบ “ขอบคุณ”
มู่หรงชงจึงว่า “ไม่ต้องเกรงใจข้าปานนั้น หนทางในวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล”
หนทางในวันข้างหน้ายังอีกยาวไกล พวกเขาตกลงกันแล้วว่าจะเดินไปด้วยกัน
มู่เฉินนิ่งงันไปเล็กน้อย “โชคชะตาบนโลกนี้เป็นสิ่งที่พูดได้ยากโดยแท้ เดิมทีข้า…คิดจะพาอวิ่นจือจากไป”
มู่หรงชงเพียงจับมือมู่เฉินแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยสีหน้าราบเรียบ
มู่เฉินกล่าว “ท่านวางใจได้ ตอนนี้ข้าไม่ไปแล้ว”
ขณะยังไม่ได้พบมู่อวิ่นจือนางลังเลอยู่ตลอดว่าจะพามู่อวิ่นจือกลับหนานเหยาตามความปรารถนาของมารดา หรือจะรั้งอยู่กับสกุลมู่หรงตามคำสั่งของอาจารย์ดี ต่อมาได้รู้ว่ามู่อวิ่นจือไม่ได้มีชีวิตดั่งใจหวัง ในใจก็คิดแล้วว่าจะเลือกประการแรก ไม่คาดคิดว่าไฟไหม้ที่ตำหนักเว่ยยางจะบีบให้นางทำได้เพียงเลือกติดตามมู่หรงชงมายังผิงหยาง
นางไม่มีญาติพี่น้องเหลืออยู่แล้ว ไม่มีห่วงใด ยามเห็นชาวบ้านตกทุกข์ได้ยากก็อดจะคิดไม่ได้ว่าหากใต้หล้ามีสันติสุขคนสายเลือดเดียวกันก็จะไม่ถึงขั้นต้องพลัดพรากจากกันแล้ว
มู่เฉินปักธูปสามดอกเบื้องหน้ารูปปั้นบุคคลทรงคุณธรรมความสามารถผู้ล่วงลับอย่างเคารพนบนอบ พลางกล่าวในใจว่าเช่นนั้นก็ขอให้ใต้หล้านี้มีสันติสุขด้วยเถิด
ระหว่างทางกลับพวกเขาผ่านตลาดแห่งนั้นอีกครั้ง คนมีจำนวนมากกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก เป็นเหตุให้รถม้าแล่นได้ช้าลง
มู่หรงชงเอ่ยถาม “อาเฉิน ตามความเห็นของเจ้า ต่อไปพวกเราควรทำอะไร”
มู่เฉินตอบ “ทหารหาญ แม่ทัพเก่ง ยุทโธปกรณ์ เสบียง…รวมถึงชื่อเสียงส่วนตัวของท่าน”
มู่หรงชงกล่าว “ฝูเจียนหละหลวมต่อทางนี้ยิ่ง หากพวกเราวางแผนและเตรียมการอย่างลับๆ เขาน่าจะไม่ค้นพบ”
มู่เฉินเอ่ยว่า “ทหารหาญฝึกยาก แม่ทัพเก่งยากจะได้ตัวมา อีกประการหนึ่งบัดนี้ในมือท่านไม่มีกำลังทหารใดๆ เริ่มตั้งแต่ต้นอย่างน้อยต้องใช้เวลาสามปี รับรองได้หรือไม่ว่าจะไม่ถูกค้นพบ”
“ได้” มู่หรงชงตอบยิ้มๆ “พี่หงขนานนามเมืองผิงหยางว่าเมืองแห่งอิสระ ไม่เพียงตำแหน่งทางภูมิศาสตร์ดี ยังเป็นเพราะว่ามีคนแปลกคนพิเศษผ่านไปมามากยิ่ง…”
มู่หรงชงกำลังพูดก็พลันมีเสียงเอ็ดตะโรร้องห่มร้องไห้ดังมาจากด้านนอก ตามติดมาด้วยเสียงดังโครมและเสียงกรีดร้อง ก่อนจะเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ขึ้นท่ามกลางฝูงชน
มู่เฉินแหวกม่านออกดู หน้าเปลี่ยนสีทันควัน แล้วพูดด้วยอารามตะลึงพรึงเพริด “นี่ก็ออกจะ…อิสระเกินไป”
นางพูดจบก็ปล่อยม่านลง รีบกระโดดลงจากรถม้า
มู่หรงชงตามหลังไปติดๆ
ในตลาดชายฉกรรจ์ร่างอ้วนผู้หนึ่งที่ท่อนบนเปลือยเปล่าชี้ศพสตรีบนพื้นที่เพิ่งวิ่งชนกำแพงตายพลางกล่าว “นางตายแล้วอย่างไร เงินที่ติดข้าก็ยังไม่คืนเหมือนเดิม! มีใครต้องการซื้อนางเด็กสองคนนี้หรือไม่”
ศพสตรียังคงอุ่นอยู่ เด็กสาวอายุสิบกว่าปีสองคนกอดนางไว้หนึ่งซ้ายหนึ่งขวาพลางร้องเรียก “ท่านแม่”
คนทั้งหลายพากันติเตียนเจ้าอ้วนที่ทำให้คนตาย แต่เขากลับพูดด้วยท่าทางเหมือนบอกว่าติดหนี้แล้วใช้คืนเป็นเรื่องสมควรแล้ว “ไม่มีใครซื้อ ข้าก็จะไปขายให้หอบุปผชาติแล้ว!” พูดพลางย่อตัวลงบีบคางเด็กสาวคนหนึ่ง “นางเด็กนี่หน้าตาดีเสียจริง น่าจะขายได้เงินไม่น้อยทีเดียว!”
เด็กสาวหายตกใจแล้วก็พลันกัดมือเจ้าอ้วน
“อ๊าก!” เจ้าอ้วนร้องด้วยความเจ็บ สะบัดมือตบหน้าเด็กสาวอย่างแรง “นางเด็กหน้าเหม็น! รนหาที่ตาย!”
เขากำลังคิดจะยกเท้าถีบ มู่เฉินก็มองมู่หรงหย่ง
มู่หรงหย่งเข้าใจ ใช้ฝักกระบี่ฟาดไปที่ขาของเจ้าอ้วน
ชายฉกรรจ์ร่างอ้วนเจ็บ พูดด้วยอารามเดือดดาลจัด “ใครบังอาจมายุ่งเรื่องของข้า!”
มู่หรงหย่งตอบ “นายท่านของข้ามีฐานะสูงส่ง กะพริบตาทีเดียวก็ใช้ห้าม้าแยกร่างเจ้าได้แล้ว เจ้าว่ายุ่งได้หรือไม่เล่า”
เจ้าอ้วนผู้นั้นมองมู่หรงชงปราดหนึ่ง เห็นเขาแต่งกายหรูหราไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไปก็มีท่าทีอ่อนลงมากในทันที พูดเสียงอ่อนว่า “ติดหนี้แล้วใช้คืนมิใช่เป็นเรื่องที่ถูกต้องหรือไร นางติดหนี้ข้าเป็นเงินสิบสองจู ตายไปเยี่ยงนี้แล้วข้าจะไปทวงกับผู้ใด”
มู่เฉินจึงว่า “เจ้าบีบคั้นคนจนตายแล้ว ยังจะหน้าหนาไร้ยางอายปานนี้อีก?!”
เด็กสาวที่ถูกตบเมื่อครู่นี้มองออกว่าคนไม่กี่คนนี้สามารถช่วยตนเองได้ ด้วยกลัวจะพลาดโอกาสนี้ไป เห็นมู่หรงชงมีท่าทางไม่สามัญนางจึงคลานเข่าไปจับชุดของเขาไว้แล้วพูดทั้งน้ำตาว่า “คุณชายได้โปรดช่วยพวกข้าด้วย! น้องสาวข้าไม่ได้กินอะไรมาสองวันแล้ว คุณชายได้โปรดช่วยนางด้วย! ข้ายอมเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ท่าน!”
มู่เฉินเห็นมู่หรงชงมองมือเล็กสกปรกของเด็กสาวนางนั้นพลางเริ่มมุ่นคิ้ว
นางกลัวว่าเขาจะรังเกียจ กำลังคิดจะก้าวไปอุ้มเด็กสาวออก ไม่คาดว่ามู่หรงชงกลับยื่นมือไปลูบศีรษะเด็กสาว แม้หัวคิ้วยังมุ่นอยู่ แต่มิได้แสดงท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์
มู่เฉินโล่งใจก่อนเดินไปประคองเด็กสาวอีกคนให้ลุกขึ้น
มู่หรงชงออกคำสั่ง “ใช้เงินคืนแล้วพาคนไป”
มู่หรงหย่งตอบ “ขอรับ!”
มู่หรงชงพูดจบก็จูงเด็กทั้งสองเดินตามกันกลับรถม้า
มู่หรงหย่งหยิบเงินจำนวนสิบสองจูออกมาให้เจ้าอ้วน เจ้าอ้วนรับไปด้วยหน้าตาเบิกบาน ไม่คาดว่าเขาเพิ่งจะเก็บเงินเรียบร้อยกระบี่ของมู่หรงหย่งก็พาดอยู่บนคอเขาแล้ว
เจ้าอ้วนหดคอพลางถามอย่างตกประหม่า “เจ้า…เจ้าทำอะไร มิใช่ใช้หนี้หมดสิ้นกันแล้วหรือ”
มู่หรงหย่งตอบ “เรื่องเงินจบแล้ว แต่เรื่องชีวิตคนยังไม่หายกัน เจ้านายของข้าบอกไว้ชัดเจนยิ่ง ‘ใช้เงินคืนแล้วพาคนไป’ ”
เจ้าอ้วนพูดด้วยท่าทางประหม่า “คน?…คนเขาก็พาไปแล้วนี่”
“เขาหมายถึงเจ้า”
“ข้า? เจ้าจะพาข้าไปที่ใด”
“แน่นอนว่าเป็นที่ว่าการ” มู่หรงหย่งมองเขายิ้มๆ “ตามกฎหมายผู้ที่สังหารคนต้องชดใช้ด้วยชีวิต”
มู่หรงชงและมู่เฉินพาเด็กทั้งสองกลับถึงจวน ชุนหยาให้พวกนางกินอาหาร หลังจากนั้นถึงล้างเนื้อล้างตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ต่อมาก็ให้มู่หรงหย่งพาไปนอกเมืองเพื่อฝังมารดาของพวกนาง
ขณะกลับมาเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว มู่เฉินเห็นแก่ที่พวกนางยังอายุน้อย ทั้งยังได้รับความตกใจ จึงให้ชุนหยาจัดการให้พวกนางพักอยู่ในเรือนของตนเอง
มู่หรงชงกล่าวยิ้มๆ “พาพวกนางกลับมา เดิมคิดว่าจะมีคนมาปรนนิบัติเจ้าเพิ่มสองคน กลับกลายเป็นว่าต้องมาดูแลพวกนางแทน”
มู่เฉินมองพวกนางพลางถาม “พวกเจ้ามีนามว่าอะไร”
เด็กสาวที่อายุมากกว่าตอบอย่างขลาดกลัว “ข้ามีนามว่าเซวียจิ่นเหยียน น้องสาวมีนามว่าเซวียเซิ่นสิง ท่านพ่อของพวกเราเป็นบัณฑิต เนื่องจากเขาป่วยหนัก ท่านแม่ถึงได้ไปยืมเงิน” นางรีบพิสูจน์ตัวว่าพวกนางสองพี่น้องมาจากครอบครัวบริสุทธิ์จริงๆ
มู่หรงชงกล่าว “ระวังวาจาระวังกิริยาเป็นชื่อที่ดี”
เซวียจิ่นเหยียนเงยหน้ามองมู่หรงชงพลางว่า “ท่านพ่อเคยบอกว่ารูปโฉมภายนอกเป็นผลมาจากจิตใจ ท่านเจ้าเมืองหน้าตาน่ามองเพียงนี้จะต้องเป็นคนดีมากแน่นอน”
มู่หรงชงไม่ชอบให้ผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์รูปโฉมของเขาเสมอมา แต่เซวียจิ่นเหยียนพูดได้มีจังหวะจะโคน ท่าทางจริงจังยิ่งยวด ทำให้เขาถึงกับไร้วาจาจะโต้ตอบ
มู่เฉินพลันหัวเราะออกมา
เซวียเซิ่นสิงที่ยืนอยู่ด้านหลังพี่สาวมาโดยตลอดมองมู่หรงชงก่อนมองมู่เฉิน แล้วเอ่ยถามขึ้นเสียงเล็กว่า “พวกเราจะไม่ถูกขายไปหอบุปผชาติแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
มู่เฉินหยอกพวกนาง “จวนเจ้าเมืองยังไม่ได้ขาดแคลนเงินถึงเพียงนั้น วันใดไม่มีจะกินแล้วค่อยพิจารณาว่าจะขายพวกเจ้าดีหรือไม่” ว่าแล้วก็หันไปถามมู่หรงชง “หอบุปผชาติคือสถานที่ใดหรือ”
มู่หรงชงตอบ “หอคณิกา หากสนใจวันหน้าจะพาเจ้าไปดู”
มู่เฉินเข้าใจในทันทีจึงไม่ถามให้มากความอีก สถานที่แห่งนั้นเป็นที่ที่สตรีไปได้เสียที่ใดกัน
เซวียจิ่นเหยียนและเซวียเซิ่นสิงมองกันและกันแล้วก็ไม่มีสิ่งใดจะกล่าวเช่นกัน
นับแต่บัดนี้จวนเจ้าเมืองผิงหยางก็มีเด็กที่ตั้งจิตอธิษฐานทุกวันเพิ่มมาสองคน
หวังให้ท่านเจ้าเมืองที่มีหน้าตาน่ามองยิ่งยวดผู้นี้นับวันยิ่งมีเงิน ทางที่ดีต้องร่ำรวยล้นฟ้า เช่นนี้พวกข้าจะได้ไม่ต้องถูกขายทิ้งไป…
บทที่ 2 หอบุปผชาติอีผิ่น
อากาศปีนี้พิลึกพิลั่นเป็นที่สุด ปลายฤดูใบไม้ร่วงถึงกับมีหิมะตก เกล็ดหิมะกองใหญ่ปกคลุมทั่วทั้งเมืองผิงหยางแทบจะทันที คล้ายเป็นสัญญาณบอกว่านับแต่บัดนี้เป็นต้นไปเรื่องบางเรื่องจะเปลี่ยนไปในอีกทิศทางหนึ่ง
มู่หรงชงนั่งอยู่ที่ระเบียงทางเดิน บนโต๊ะเล็กทางด้านหน้ามีกระดานหมากที่ค้างมาจากเมื่อวานวางอยู่
มู่หรงหย่งมองทางเล็กที่ด้านหน้าพลางกล่าวว่า “วันนี้แม่นางมาสายแล้ว”
เพิ่งจะพูดจบก็มีเงาร่างหลายร่างปรากฏขึ้นที่ทางเลี้ยว มู่เฉินห่อตัวด้วยเสื้อคลุมตัวหนา ที่ด้านหลังคือชุนหยากับจิ่นเหยียนเซิ่นสิงเด็กสาวทั้งสอง สี่นายบ่าวเดินมาบนทางเล็กที่มีหิมะสะสมเป็นชั้นหนาพร้อมกับปลอกอุ่นมือดุจเดียวกัน
มู่หรงชงพลันกล่าวขึ้นว่า “อาหย่ง เจ้าเองก็ย้ายไปฉางอันในปีเดียวกับข้าเช่นกันกระมัง”
มู่หรงหย่งไม่รู้ว่าไฉนเขาจึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา ปีนั้นก็เป็นฤดูหนาวเหมือนเช่นนี้ เผ่าเซียนเปยสี่หมื่นกว่าครัวเรือนย้ายไปยังฉางอัน เขาตอบเสียงค่อย “ใช่แล้วขอรับ จำได้ว่าปีนั้นหิมะตกหนักมาก ยังนึกว่าจะตายไประหว่างทางแล้วด้วยซ้ำ”
ท่านปู่ของเขาคือท่านอาของฮ่องเต้เหวินหมิงมู่หรงฮ่วง นับว่าเป็นเชื้อสายสาขาหนึ่งของราชวงศ์ รัชศกเจี้ยนหยวนปีที่หก หลังชาวเซียนเปยถูกย้ายไปฉางอัน คนส่วนใหญ่ล้วนตกเป็นทาส มีเพียงราชวงศ์สายตรงอย่างมู่หรงชงจึงจะได้รับการปฏิบัติที่ค่อนข้างดี
มู่หรงชงกล่าว “เจ้าคิดว่าชุนหยาเป็นอย่างไร”
มู่หรงหย่งเบิกตาโต “หือ?”
มู่หรงชงมองเขาปราดหนึ่ง “ข้ายกชุนหยาให้เจ้าดีหรือไม่”
มู่หรงหย่งอึ้งงันไป “นายท่าน ข้ามีภรรยาแล้ว”
มู่หรงชงเผยความข้องใจเล็กๆ “อ้อ?”
มู่หรงหย่งพลันตาแดง “ระหว่างทางไปฉางอันนั่นล่ะ ท่านพ่อข้าป่วยหนัก ก่อนจากไปได้ให้ข้าแต่งงาน”
พอบอกเช่นนี้มู่หรงชงก็พอจะจำได้แล้ว
มู่หรงหย่งเล่าต่อว่า “ข้ากับนางเดิมทีไม่คุ้นเคยกัน เวลานั้นอายุยังน้อยจึงไม่รู้ว่าควรใช้ชีวิตกันอย่างไร เมื่อถึงฉางอันนางก็ขายรองเท้าด้วยกันกับข้า ฤดูหนาวมักจะมือเย็นจนแตก ต่อมารวบรวมเงินได้จึงซื้อปลอกอุ่นมือให้นาง แต่ใช้ได้ไม่กี่วันนางก็จากโลกนี้ไปแล้ว” เขาพูดถึงตรงนี้เสียงก็เจือสะอื้น “ข้าจำได้เสมอว่าก่อนจากไปนางกอดปลอกอุ่นมือนั้นไว้พร้อมกับบอกว่าชอบมากๆ…”
พอเห็นพวกมู่เฉินเดินมาใกล้มู่หรงหย่งก็หยุดพูด
บนหน้ามู่หรงชงปรากฏแววงุนงงเล็กๆ เขามองมู่หรงหย่งที่ดวงตาแดงก่ำ ไร้คำใดจะกล่าวไปชั่วขณะ
มู่หรงหย่งรีบทำความเคารพแล้วหมุนตัวเดินจากไป
มู่เฉินถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “อาหย่งเป็นอะไรไป”
“นึกถึงเรื่องเสียใจบางเรื่อง ปล่อยเขาไปเถอะ” สายตามู่หรงชงเลื่อนไปอยู่บนกระดานหมาก “คิดไปคิดมา ไม่รู้จะเดินตาถัดไปอย่างไร ข้าแพ้แล้ว”
มู่เฉินยิ้มพลางก้าวมาหยิบหมากดำเม็ดหนึ่งวางลงไปก่อนว่า “อย่าเอาแต่คิดจะตัดทางข้าสิ ทำให้ด้านหลังของตนเองมั่นคงแล้ว ข้ามิใช่จะไม่มีที่ให้แทรกแล้วหรือไร”
มู่หรงชงพูดอย่างแจ้งใจ “เป็นเช่นนี้นี่เอง หากกล่าวถึงความเฉียบแหลมสุดท้ายแล้วชาวฮั่นอย่างพวกเจ้าก็ยังชนะอยู่ก้าวหนึ่ง”
มู่เฉินกล่าว “เป็นท่านมีฝีมือสู้ข้าไม่ได้เองแท้ๆ กลับโทษสายเลือดเสียนี่ เล่นอีกกระดานหรือไม่”
“ไม่แล้ว วันนี้ยังมีธุระ” มู่หรงชงลุกขึ้นยืน “เจ้าออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนข้าที ชุนหยาพวกเจ้าสามคนไม่ต้องตามไป”
“เจ้าค่ะ!”
“ไปที่ใดหรือ” มู่เฉินถามมู่หรงชง
“หอบุปผชาติอีผิ่น”
หอบุปผชาติอีผิ่น ที่ให้ความเริงรมย์ในยุคบ้านเมืองปั่นป่วน
เดิมทีมู่เฉินนึกว่าที่นี่เป็นสถานที่ให้ความรื่นรมย์ธรรมดา แต่เมื่อไปถึงจึงได้รู้ว่ามันต่างจากหอคณิกาทั่วไป เพราะที่นี่ต้อนรับแขกโดยไม่มีการแบ่งแยกเพศ ไม่ปฏิเสธผู้มาเยือน ดังนั้นขณะมู่เฉินที่อยู่ในชุดสตรีก้าวเข้าไปจึงมิได้ดึงดูดความสนใจใดๆ
นางตามหลังมู่หรงชง มองดูบุรุษสตรีรอบข้างที่แต่งกายกันอย่างไม่อยู่ในกฎเกณฑ์แล้วก็ให้อึดอัดใจยิ่งยวด จึงกระตุกแขนเสื้อมู่หรงชง “ท่านพาข้ามาที่นี่ด้วยเหตุใด”
มู่หรงชงจูงนางไปนั่งลงยังที่หนึ่งก่อนตอบ “เจ้าดูสิว่าที่นี่สุรานารีคละเคล้าเกลื่อนกลาด คนดีคนเลวอยู่ปะปนกัน ใช่เป็นที่ที่ดีสำหรับสืบข่าวหรือไม่”
มู่เฉินครุ่นคิดเล็กน้อยก็รู้ความคิดของเขาแล้วจึงว่า “หากท่านใช้ประโยชน์ได้ย่อมจะดี”
มู่หรงชงเอ่ยว่า “ข้าจึงอยากให้เจ้ามาดูว่าสามารถซื้อที่แห่งนี้ได้หรือไม่”
มู่เฉินส่ายหน้าทันที “ยังไม่กล่าวถึงว่าท่านไม่มีเงินมากเพียงนั้น ต่อให้มีเจ้าของของที่นี่ก็ไม่แน่ว่าจะยอมขาย ตามความเห็นข้า สู้ร่วมมือกันจะดีกว่า”
“ร่วมมือ?”
มู่เฉินตอบ “ใช่แล้ว พอคิดถึงข้อได้เปรียบซึ่งมีเฉพาะท่านที่สามารถนำมาใช้แลกเปลี่ยนได้แล้ว ต่างฝ่ายก็ต่างมีกำลังช่วยเหลือ”
มู่หรงชงกล่าว “ข้อได้เปรียบที่มีเฉพาะข้าคือตำแหน่งเจ้าเมืองนี้…ขุนนางและพ่อค้าร่วมมือกัน…เป็นวิธีที่ดีจริงๆ”
มู่เฉินจึงว่า “ปัจจุบันราษฎรยืมเงินจะคิดดอกเบี้ยค่อนข้างสูง คิดว่าเจ้าของหอบุปผชาตินี้ก็น่าจะเป็นคนชอบผลประโยชน์ มิสู้ลองเริ่มจากตรงนี้ดู”
เสียงหัวเราะใสเสนาะดังมาจากชั้นบน สตรีชุดแดงนางหนึ่งพาเด็กสาวสองนางเดินออกมาจากด้านใน นำพากลิ่นหอมออกมาอบอวลห้อง สตรีนางนั้นมีอายุราวสามสิบต้นๆ รูปโฉมงดงาม ท่าทางชดช้อยเปี่ยมเสน่ห์ นางพิงราวพลางกล่าวยิ้มๆ “วันนี้เป็นวันซวงเจี้ยงยังไม่เข้าฤดูหนาวก็เริ่มมีหิมะตกแล้ว แขกทุกท่านยังคงให้ความสนใจไม่น้อยลง ถึงขั้นฝ่าหิมะมาเยือนเช่นนี้ ทำให้หงจูซาบซึ้งใจโดยแท้!”
คนผู้นี้คือเจ้าของหอบุปผชาติ มีนามว่าหงจู ผู้คนต่างเรียกนางว่า ‘อาหญิงหงจู’
มู่หรงชงกล่าวว่า “หอบุปผชาตินี้อยู่มาตั้งแต่ก่อนข้ามารับตำแหน่ง นางเป็นเพียงอิสตรี อาจจะมีคนหนุนหลัง”
มู่เฉินจึงว่า “ลองดูเดี๋ยวก็รู้”
นางพูดจบก็พลันลุกขึ้นยืนกล่าวเสียงดัง “อาหญิงหงจู พี่ชายข้าบอกว่าเขาไม่ถูกใจเหล่าแม่นางในวันนี้ อยากดื่มกับท่านตามลำพังสักสองจอก”
ไม่ว่าแม่นางแห่งหอบุปผชาติอีผิ่นจะไปอยู่ที่ใดก็จัดอยู่ในชั้นยอด นี่ถึงกับมีคนบอกว่า ‘ไม่พอใจ’? ทางชั้นล่างครึกครื้นยิ่งยวดในทันใด มีทั้งคนโห่ร้องโวยวาย มีทั้งคนวิพากษ์วิจารณ์
หงจูแรกได้ยินวาจานี้ก็ไม่ใคร่พอใจ แต่ครั้นสายตาเลื่อนไปตกอยู่บนหน้ามู่หรงชง ใบหน้าก็แฝงด้วยรอยยิ้มทันที “ในเมื่อแขกผู้มีเกียรติกล่าวเยี่ยงนี้แล้ว ข้าไหนเลยจะมีเหตุผลให้ไม่ทำตาม เชิญคุณชายขึ้นมาข้างบนเถิด!”
คนที่ด้านข้างพูดขึ้นว่า “ข้าเป็นแขกประจำของที่นี่ แต่ไม่เคยเห็นใครกลายเป็นแขกใกล้ชิดแม่นางหงจูได้สำเร็จมาก่อน คุณชายท่านนี้ช่างโชคดีเสียจริง!”
มู่หรงชงเม้มปาก สีหน้าแข็งทื่ออยู่บ้าง สายตาตวัดเร็วๆ ผ่านใบหน้ามู่เฉิน มีแววโกรธขึ้งอยู่พอสมควร
มู่เฉินเผยสีหน้าเอาอกเอาใจ ขยิบตาให้เขาก่อนว่า “พี่ชาย นางเชิญท่านเพียงคนเดียว ข้าจะรอท่านอยู่ชั้นล่างนะเจ้าคะ”
สุดท้ายนางยังทำท่าโบกมือให้ด้วย
มู่หรงชงลุกขึ้นยืน ลูบชุดตัวยาว ก่อนกล่าวกับมู่เฉิน “กลับไปจะคิดบัญชีกับเจ้า”
มู่หรงชงไปแล้วก็มีบุรุษหน้าตางามพริ้งเพริศมานั่งลงข้างกายมู่เฉิน เขาเปลือยหน้าอกเกือบครึ่ง ขยับมาพูดใกล้ๆ นาง “แม่นางมาครั้งแรกหรือ”
มู่เฉินถอยหลัง “ข้ากำลังรอพี่ชายข้า”
บุรุษผู้นั้นแย้มยิ้มอ่อนโยน “พี่ชายท่านขึ้นไปชั้นบนแล้ว เกรงว่าคงไม่ลงมาในเร็วๆ นี้แล้ว มิสู้ให้ข้ามาคลายเบื่อให้แม่นาง?”
มู่เฉินตอบ “ข้าไม่เบื่อ”
“มีข้าอยู่เป็นเพื่อน แม่นางจะยิ่งไม่มีทางเบื่อ” เขาพูดพลางทำท่าจะจับมือมู่เฉิน
มู่เฉินลุกขึ้นด้วยความตกใจพลางถอยกรูดไปสองสามก้าว “ข้ารู้สึกว่าที่นี่แปลกใหม่ยิ่ง จะไปเดินดูด้วยตนเองก่อน หากเบื่อค่อยมาหาเจ้า” นางพูดจบก็กระวีกระวาดเดินไปตรงที่คนน้อย
หอบุปผชาติใหญ่กว่าที่คิดไว้ เดิมทีมู่เฉินคิดจะสืบดูสถานการณ์ด้านในสักหน่อย แต่หลังจากเดินทะลุระเบียงทางเดินหลายเส้นก็ค้นพบว่าตนเองหลงทางเข้าเสียแล้ว สถานที่ที่นางอยู่ในยามนี้ไม่มีผู้ใด สองข้างก็ล้วนเป็นห้องแบบเดียวกัน ระเบียงทางเดินไขว้กันไปมาปราศจากแบบแผน
มู่เฉินพลันตระหนักได้ นี่เป็นวิธีพรางตาที่เจ้าของสถานที่จงใจทำไว้
อาหญิงหงจูผู้นี้ไม่ธรรมดาอย่างที่คิดไว้จริงๆ
มู่เฉินชักเริ่มเป็นห่วงมู่หรงชงขึ้นมาแล้ว เดิมคิดว่าให้เขาเจรจากับหงจูตามลำพังอีกฝ่ายจะคลายความระแวดระวังลง แต่บัดนี้เกรงว่าเขาคงจะล่วงเกินอีกฝ่ายเข้าโดยมิได้ตั้งใจแล้ว…มู่เฉินโคลงศีรษะพลางคิดในใจ เป็นห่วงเขาไปไย เทียนแดงมุ้งอุ่น อย่างมากก็แค่ถูกรวบหัวรวบหาง ข้าควรห่วงตนเองสักหน่อยจึงจะถูก จะออกไปอย่างไรดีเล่า…
ทางฝั่ง ‘เทียนแดงมุ้งอุ่น’ นั้นมู่หรงชงนั่งดื่มชาอย่างเรียบร้อย ยังไม่มีความสุ่มเสี่ยงว่าจะถูกจับกิน
หงจูนั่งฝั่งตรงข้ามเขา รินชาพร้อมยิ้มกว้าง “สามปีกว่าแล้ว ในที่สุดท่านเจ้าเมืองก็ยอมให้เกียรติมาเยือนสถานที่อันซอมซ่อแห่งนี้ หงจูซาบซึ้งใจอย่างหาที่สุดมิได้”
มู่หรงชงชะงักเล็กน้อย วางถ้วยชาลง ก่อนกล่าวอย่างระแวดระวัง “เจ้ารู้ฐานะของข้าได้อย่างไร”
“ท่านเจ้าเมืองมาถึงที่นี่เพียงเพื่อมาหาความสำราญจริงๆ หรือ ในเมื่อท่านทราบประโยชน์ของสถานที่นี้ของข้าแล้ว ยังจะแสร้งทำเลอะเลือนอันใดอีก” หงจูพูดพลางเดินแช่มช้ามาหามู่หรงชง “ข้าทราบรูปร่างหน้าตาของท่านตั้งแต่สามปีก่อนแล้ว ยามนี้ได้เห็นเองกับตายิ่งชวนให้คนใจเต้น วันหน้าใต้เท้าต้องมาบ่อยๆ นะเจ้าคะ มิเช่นนั้นข้าคงได้คิดถึงท่านเจียนคลั่ง…”
หงจูพูดพลางแทบจะล้มเข้าสู่อ้อมอกมู่หรงชง
มู่หรงชงพูดเสียงเย็น “อย่าสัมผัสถูกข้า อาวุธไม่มีตาหรอกนะ”
“ช่างไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างชายหญิงเสียจริงๆ เดิมคิดจะให้ท่านเป็นหนึ่งในชายยาใจสามพันคนของข้า ในเมื่อดุปานนี้ก็ช่างเถอะ ข้าชอบคนที่อ่อนโยนมากกว่า” หงจูบ่นกระเง้ากระงอดพลางบิดเอว ทว่าก็สงวนท่าทีลงไม่น้อย นางเพียงเล่นผมตนเองอยู่ด้านข้าง “แม่นางผู้นั้นที่ชั้นล่างเรียกท่านว่า ‘พี่ชาย’ ข้าดูแล้วนางใช่น้องสาวท่านเสียที่ใดกัน เป็นคนรักกระมัง เห็นทีเรื่องที่ข้างนอกเล่าลือกันคงผิดไป ท่านชอบสตรีจริงๆ? ข้าไม่ด้อยกว่านางเลยสักนิด…”
มู่หรงชงพยายามอดทนให้ถึงที่สุด เขานึกเสียใจอยู่บ้างแล้วที่มาสถานที่แห่งนี้ ด้วยไม่เคยคิดเลยว่าใต้หล้าจะยังมีสตรีที่ไม่รู้จักอายเช่นนี้อยู่ด้วย
“อาหญิงหงจู คุยเรื่องเป็นงานเป็นการกันได้หรือไม่”
“สิ่งที่ข้าพูดล้วนเป็นงานเป็นการมาตลอด สิ่งที่ทำก็คือการค้านี้ ไหนเลยจะเหมือนคนบางคน พี่ชายน้องสาว จุๆ ไม่ซื่อตรงเอาเสียเลย” หงจูเอนร่างไปกับโต๊ะประหนึ่งงูเลื้อย เผยหน้าอกเกือบครึ่งออกมาใส่มู่หรงชง “ท่าทางไม่พอใจของท่านก็น่ามองมาก เฟิ่งหวง…นามนี้ก็ไพเราะเช่นกัน ข้าขอแตะจมูกของท่านหน่อยได้หรือไม่…ก็ได้ อย่าไม่พอใจเลย มา พี่สาวจะคุยเรื่องเป็นงานเป็นการกับท่าน”
มู่หรงชงเบือนหน้าหนี “ข้าจะเปิดโรงจำนำที่หอของเจ้าเป็นอย่างไร”
หงจูเป็นคนฉลาด บอกเพียงนิดเดียวก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง สองตาคล้ายมีประกายแสงพุ่งออกมาทันที นางรวบเสื้อผ้าปิดมิดชิด ก่อนกล่าวด้วยสีหน้าเป็นงานเป็นการ “ยินดีรับฟังรายละเอียด”
กิริยาวาจาราวกับกลายเป็นคนละคนในทันใด
มู่เฉินเดินไปเรื่อยๆ ก็ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบลอยมาจากทางด้านหน้า นางตั้งใจฟัง พบว่าเป็นบ่าวไพร่ไม่กี่คนกำลังคุยกัน
“สลบไปนานเพียงนี้ข้าว่าคงไม่ไหวแล้ว โยนทิ้งไปให้สิ้นเรื่องเถอะ”
“ไม่ได้ อาหญิงหงจูบอกแล้วว่าจะเก็บคนผู้นี้ไว้เป็นชายยาใจ มิเช่นนั้นคราวนี้คงได้ขาดทุนเหลือเกิน พวกเราเสียพี่น้องไปถึงหกคนเชียวนะ!”
“สภาพอย่างเขายังเป็นชายยาใจได้อีก? มือพิการแต่กำเนิด ไม่แน่ว่ายังเป็นแค่ไก่อ่อน! ข้าว่าแม่นางคนนั้นมีค่ามากกว่า!”
“มีค่า? ไม่ให้ความร่วมมือจะมีประโยชน์อันใด พอฟื้นมาก็คลุ้มคลั่ง…”
“นี่ๆ เจ้าเด็กนี่ฟื้นแล้ว กำลังพูดอะไร พ่อหมู? พ่อหมู…หรือว่าแม่หมูกันเล่า!”
“หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว หามออกไปๆ”
มู่เฉินลอบตามไป ในใจครุ่นคิด มือพิการแต่กำเนิด? พ่อหมูแม่หมู? ในความคิดของนางรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างแวบผ่านไป…แต่ก็นึกไม่ออก
เหล่าบ่าวไพร่โยนคนเข้าไปในห้องห้องหนึ่งเสร็จก็ออกไป ปรึกษากันว่าจะหาหมอมาตรวจดู
มู่เฉินเห็นรอบข้างไม่มีใครจึงเข้าไปในห้องอย่างเงียบเชียบ
ภายในห้องมีแสงตะเกียงสลัว นางมองเห็นหน้าตาของคนผู้นั้นไม่ชัด มองเห็นเพียงเงาร่างเลือนรางของบุรุษผู้หนึ่งนอนอยู่บนเตียง ปากพึมพำอยู่จริงๆ “พ่อหมู…พ่อหมู…”
มู่เฉินพลันตัวสะท้าน เขาพึมพำว่า ‘พ่อหมู’ เสียที่ใด! เป็นคำว่า ‘องค์หญิง’ ต่างหาก!
นางคลำแตะมือคนผู้นั้นตามจิตใต้สำนึก เป็นไปตามคาด มือข้างที่พิการก็คือข้างนี้
“นี่ รีบตื่นเร็ว ตื่นสิ…”
มู่เฉินไม่มีเวลาให้คำนึงถึงอะไรมากมายแล้ว นางยื่นมือไปกดร่องใต้จมูกของเขาอย่างแรง คนผู้นั้นส่งเสียงครางด้วยความเจ็บปวดขึ้นเสียงหนึ่ง หลังฟื้นคืนสติได้เล็กน้อยก็คว้าจับข้อมือของมู่เฉินไว้แล้วตะโกนว่า “องค์หญิง!”
“ชู่!” มู่เฉินส่งเสียงเตือน “อยากเรียกคนมากันหมดใช่หรือไม่ มีเวลาไม่มากแล้ว บอกข้ามาว่าเจ้าเป็นชาวแคว้นฉินใช่หรือไม่ ที่เมื่อครู่ตะโกนหมายถึงองค์หญิงซีชิ่งหรือองค์หญิงจยาผิง”
มู่เฉินมองเห็นคนไม่ชัด รู้สึกเพียงว่าดวงตาของอีกฝ่ายตรึงอยู่ที่ตนเอง นางจึงพูดเสียงเข้ม “หยุดคิดเล่นงานข้าเสีย หากอยากให้ข้าช่วยคนก็บอกความจริงข้ามา”
คนผู้นั้นหอบหายใจก่อนตอบ “ข้าคุ้มกันองค์หญิงซีชิ่งมาผิงหยาง พอถึงอาณาเขตผิงหยางก็ถูกโจรปล้น ข้าตายไปก็ไม่เสียดาย แต่ขอเจ้าได้โปรดช่วยชีวิตองค์หญิงแล้วส่งไปที่จวนเจ้าเมืองด้วย จะขอบคุณอย่างงามแน่นอน!”
ฝูเป่าถึงกับยังมีชีวิตอยู่! เช่นนั้นอวิ่นจือเล่า ใช่ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีชีวิตอยู่หรือไม่
มู่เฉินรู้สึกเพียงว่าเลือดทั่วทั้งกายเดือดพล่านแล้ว นางคว้ามือคนผู้นั้นไว้ก่อนว่า “หากข้าเดามิผิด เจ้าคือจิ่งสิงศิษย์ของอัครเสนาบดีหวังที่ล่วงลับไปแล้ว? ในคืนที่ตำหนักเว่ยยางเกิดเพลิงไหม้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 4 ก.ค. 67
Comments
comments
No tags for this post.