X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน ม้วนที่ 2 บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3 องค์หญิงฝูเป่า

ภายในห้องมืดมิด มู่เฉินรู้สึกถึงความลังเลของอีกฝ่ายจึงบอกไปตามตรง “ข้ามีนามว่ามู่เฉิน เป็นสหายของเจ้าเมืองมู่หรง บัดนี้เขาก็อยู่ในหอบุปผชาตินี้ ข้ารับปากว่าจะช่วยพวกเจ้าออกไป แต่หวังว่าเจ้าจะสามารถไขข้อสงสัยของข้าได้”

คนผู้นั้นเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเล็กน้อย “ที่แท้เทวทูตแห่งเขาปี้ลั่วในตำนานก็ถึงกับมาผิงหยางแล้วเช่นกัน” เขาพึมพำลังเลอยู่ชั่วประเดี๋ยวก่อนว่า “แม่นางสายตาแหลมคม ผู้น้อยก็คือจิ่งสิง”

มู่เฉินซักถาม “ในคืนที่ตำหนักเว่ยยางเกิดเพลิงไหม้ องค์หญิงซีชิ่งมิใช่สิ้นพระชนม์ในอยู่ทะเลเพลิงแล้วหรือ เหตุใดพวกเจ้าจึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้”

จิ่งสิงย้อนนึกถึงคืนนั้น…

 

เขามาส่งฝูเจียนกลับวัง พอถึงในวังฝูเป่าพลันปรากฏตัวขวางฝูเจียนไว้ แล้วพูดเรื่องที่ทำให้ฝ่ายหลังไม่พอใจ จิ่งสิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินแล้วให้ตกใจยิ่งนัก

ฝูเจียนคล้ายว่าจากไปด้วยความพิโรธ แต่จากมาได้ครู่ใหญ่อีกฝ่ายก็พลันถอนหายใจยาว เอ่ยถามจิ่งสิงว่า ‘เจ้ากับอาเป่ารู้จักกันมาตั้งแต่เยาว์วัย นับว่าเข้าใจนางกระมัง’

จิ่งสิงตอบ ‘องค์หญิงเพียงแต่มีพระอุปนิสัยไม่โต ฝ่าบาทอย่าทรงเก็บไปคิดมากเลยพ่ะย่ะค่ะ’

‘พวกเจ้านับว่ามีมิตรภาพแน่นแฟ้น เจ้าไปดูนางหน่อยแล้วกัน’

จิ่งสิงรู้สึกเพียงว่าชาน้อยๆ ที่ฝ่ามือ เขาหลุบตาลง แล้วค้อมคำนับพร้อมขานรับยาว ‘พ่ะย่ะค่ะ’

เขารู้นิสัยของฝูเป่าดี คิดว่านางจะต้องรู้สึกน้อยใจเป็นแน่แท้ จึงอดที่จะเร่งฝีเท้าเดินเร็วขึ้นไม่ได้ แต่เพิ่งจะเข้าใกล้ตำหนักก็ได้กลิ่นชวนสำลัก เมื่อมองไป…ถึงกับมีควันหนาลอยออกมาจากภายในตำหนัก

จิ่งสิงพุ่งเข้าตำหนัก เปล่งเสียงร้องเรียกทันที

ฝูเป่าไล่นางกำนัลขันทีในตำหนักออกไปนานแล้ว เหลือเพียงนางคนเดียว ขณะจิ่งสิงหานางพบ นางไม่เพียงไม่บาดเจ็บสักกระผีก กลายเป็นว่าได้เก็บข้าวของไว้เรียบร้อย เตรียมจะจากไปทางด้านหลังแล้ว

จิ่งสิงไม่ทันได้คิดมาก เร่งฝีเท้าไปเรียกฝูเป่าไว้

ฝูเป่ามองเห็นจิ่งสิงก็ยืนตะลึงอยู่กับที่ จากนั้นก็ถามขึ้นทันที ‘เจ้าอยากไปกับข้าหรือไม่’

จิ่งสิงถามด้วยความงงงัน ‘องค์หญิง ฝ่าบาทเพียงแต่ตรัสหนักไปชั่วขณะ ไยท่านต้องทรงทำเยี่ยงนี้’

ฝูเป่าจึงว่า ‘เจ้าพูดมาถึงเพียงนี้แล้ว ข้ายิ่งไม่อาจปล่อยให้เจ้าอยู่ที่นี่ได้ ถ้าเกิดเจ้าไปบอกความลับกับเสด็จพ่อ สิ่งที่ข้าสู้อุตส่าห์ทำมาคงต้องสูญเปล่าไปจนสิ้น…เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้ากำลังขาดคนคุ้มกันไปส่งพอดี ตลอดทางนี้เจ้าก็มาเป็นบ่าวของข้า’ พอเห็นจิ่งสิงมีสีหน้าลำบากใจฝูเป่าก็พูดด้วยความร้อนใจ ‘เมื่อก่อนเจ้ามิใช่เคยบอกว่าไม่ว่าเวลาใดก็จะทำตามที่ข้าบัญชาหรือไร’

‘องค์หญิง เมื่อครู่นี้ท่านอัครเสนาบดีสิ้นใจแล้ว กระหม่อมต้องไว้ทุกข์ให้เขา…’

ฝูเป่าอึ้งตะลึงเล็กน้อย ก่อนจะพูดด้วยอาการใจลอยอยู่บ้าง ‘เช่นนั้นเจ้าก็ไปเถอะ แต่ถ้านำเรื่องในวันนี้ไปทูลฟ้องเสด็จพ่อ ข้าจะ…ข้าจะไม่สนใจท่านตลอดกาล!’

ฝูเป่าพูดจบก็ทำท่าจะจากไป จิ่งสิงซักถามว่า ‘นี่องค์หญิงจะเสด็จไปผิงหยาง?’

‘เจ้ารู้ได้อย่างไร…’ ฝูเป่ารู้ตัวว่าหลุดปากแล้วจึงแค่นเสียง หมุนตัวเดินจากไปทันทีโดยไม่พูดกับเขาอีก

จิ่งสิงยืนอยู่ที่เดิมได้ครู่หนึ่ง มองดูฝูเป่าค่อยๆ จากไปไกลแล้วก็กัดฟันไล่ตามไป ‘กระหม่อมจะคุ้มกันองค์หญิงไปส่ง!’

หลายปีให้หลังยามเขาหวนนึกถึงการตัดสินใจในวันนี้ขึ้นมาก็มักจะอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ ทั้งชีวิตของเขาเดิมทีถูกเขียนไว้เรียบร้อยแล้ว ปฏิบัติตามคำสั่งก่อนตายของหวังเหมิ่ง เป็นผู้วางแผนเบื้องหลังฝูเจียน ขณะเดียวกันก็คอยปกปักรักษาคนในดวงใจผู้นั้นอยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ

ทว่าการเดินทางไปผิงหยางกลับเปลี่ยนแปลงเรื่องต่างๆ ไปมากมายยิ่ง

ในห้องเก็บฟืนอันมืดมิดจิ่งสิงที่นอนอยู่บนพื้นยันตัวลุกขึ้นนั่งแล้วเล่าต่อว่า “ข้าจัดให้องค์หญิงประทับอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองฉางอัน รอคนทั้งหลายคิดว่านางสิ้นพระชนม์แล้ว พวกข้าถึงได้ออกเดินทางมาผิงหยาง ระหว่างทางนี้มิได้มีเรื่องใดเกิดขึ้น แต่คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าเพิ่งมาถึงเมืองผิงหยางก็จะพบเข้ากับปีศาจร้ายพวกนี้”

มู่เฉินกล่าว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าหงจูแห่งหอบุปผชาติอีผิ่นนี้เป็นผู้ใดกันแน่”

จิ่งสิงส่ายหน้า “ไม่รู้”

ประตูห้องเก็บฟืนพลันถูกคนถีบเปิด บ่าวไม่กี่คนถือคบเพลิงเข้ามา ผู้ที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า “ข้าได้ยินเสียงดังออกมาจากตรงนี้ คนผู้นี้หนีมาจากที่ใด”

มู่เฉินกับจิ่งสิงต่างตกใจ แต่เพียงไม่นานมู่เฉินก็กลับมามีท่าทีปกติ ลุกขึ้นยืนพูดเสียงดังฟังชัดว่า “ข้าเป็นแขกของอาหญิงหงจู”

“แขก? แขกจะมาโผล่อยู่ในนี้ได้อย่างไร”

มู่เฉินจึงว่า “พี่ชายข้าถูกอาหญิงหงจูพาตัวกลับมาไว้ในห้อง ข้ามาหาเขา ใครจะไปรู้ว่าที่แห่งนี้ของพวกเจ้าสลับซับซ้อน ข้าจึงเดินหลงทาง”

เหล่าบ่าวไพร่ต่างมองกันเลิ่กลั่ก ไม่รู้ว่าควรจัดการอย่างไรดีไปชั่วขณะ

ทันใดนั้นคนผู้หนึ่งก็ตะโกนว่า “อาหญิง!”

เหล่าบ่าวไพร่พากันทำความเคารพ มู่เฉินเงยหน้ามอง เห็นเพียงหงจูกับมู่หรงชงเดินตามกันมา

มู่หรงชงมองเห็นมู่เฉินก็เดินมาหา “เฉินเอ๋อร์ เจ้าเดินส่งเดชได้อย่างไร ข้าตามหาแทบแย่!”

เขาไม่เคยเรียกข้าสนิทสนมปานนี้ มู่เฉินอึ้งงันไปเล็กน้อย

มู่หรงชงก้าวมากุมมือนางไว้แล้วหันไปพูดกับหงจู “ขออภัยด้วยจริงๆ รบกวนแล้ว”

หงจูมองมู่เฉินอย่างคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มปราดหนึ่ง ก่อนเลื่อนสายตาไปหยุดบนตัวจิ่งสิง “อะไรกัน แม่นางถูกใจคนผู้นี้เสียแล้ว?”

ไม่รอให้จิ่งสิงมีการตอบสนองมู่เฉินก็ชิงพูดว่า “อาหญิงหงจู เขาเป็นสหายข้าจริงๆ หาก…หากก่อนหน้านี้เขาได้ล่วงเกินท่านไป หวังว่าท่านจะให้อภัยแล้วปล่อยสหายร่วมทางของเขามาด้วยกัน”

หงจูมองไปยังมู่หรงชง “พวกท่านมีข้อเรียกร้องกันไม่น้อยเลยนะ”

มู่หรงชงเพียงยิ้ม หาได้ตอบอะไรไม่

“ช่างเถอะ ถึงอย่างไรเห็นสภาพพรรค์นี้ของเจ้าก็ทำข้าหมดอารมณ์แล้ว ไปเถอะๆ ทว่าแม่นางที่ปากร้ายยิ่งผู้นั้นไม่รู้ว่าทันกาลหรือไม่…”

จิ่งสิงพูดด้วยอารามเป็นกังวล “คำพูดนี้หมายความเช่นไร”

“ก็หมายความตามที่เจ้าคิดน่ะสิ” หงจูปิดปากหัวเราะเบาๆ ก่อนหมุนตัวเดินออกนอกประตูไป

 

ขณะพวกมู่เฉินหาฝูเป่าพบนางกำลังนอนอยู่บนเตียงสลักลายปิดทองเตียงใหญ่ บุรุษในห้องถอดเสื้อผ้าออก ส่วนฝูเป่าก็แถบรัดเอวคลายออกแล้วเช่นกัน

จิ่งสิงมองเห็นภาพนี้ก็ดวงตาแทบถลน ไม่มีเวลามัวคำนึงว่าบนขาของตนเองมีบาดแผล และก็ไม่มีเวลามัวคำนึงว่าเขามีมือเพียงข้างเดียว ได้แต่ซัดกำปั้นเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง

บุรุษในห้องผู้นั้นทำท่าจะบันดาลโทสะ มู่หรงชงจึงพูดเสียงเย็น “นับถึงสาม หากเจ้ายังไม่ไป ข้าจะจัดการเจ้าเสียที่นี่”

“เจ้า…พวกเจ้าคอยดูเถอะ!” เขาใบหน้าบวมแดง ฉวยเสื้อผ้าของตนเองขึ้นมาแล้วกุลีกุจอออกจากห้อง

ทางด้านสตรีที่นอนอยู่บนเตียงได้ร่ำไห้จนเครื่องประทินโฉมหลุดนานแล้ว นางจับเสื้อผ้าของตนเองแน่น พอมองเห็นมู่หรงชงแววตาที่เดิมทีสิ้นหวังนั้นก็เผยแววเฝ้ารอออกมา ร้องเรียกว่า “พี่เฟิ่ง…”

คนผู้นี้ก็คือฝูเป่า องค์หญิงซีชิ่งที่ถูกคิดว่าตายไปในทะเลเพลิงที่ตำหนักเว่ยยางแล้ว

จิ่งสิงมองเห็นสายตาของนางที่มองไปยังมู่หรงชงแล้วก็ให้ปวดใจ เขาถอยหลังสองสามก้าว เดินไปอยู่ด้านหลังมู่หรงชง

มู่หรงชงกลับมิได้เดินไปหา

มู่เฉินทนดูต่อไปไม่ได้ ก้าวไปช่วยสวมเสื้อผ้าให้ฝูเป่า แต่ฝูเป่าผลักนางออกพลางพูดปนสะอื้นว่า “เจ้าหยุดเสแสร้งได้แล้ว บอกว่าไปเมืองฉางอันเพื่อตามหาน้องสาว แต่ประเดี๋ยวก็คิดจะเข้าใกล้ท่านอาหมัวของข้า ประเดี๋ยวก็ลักลอบเข้าวัง บัดนี้ยังมาอยู่กับพี่เฟิ่งอีก!”

มู่เฉินกล่าวอย่างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย “องค์หญิง…เรื่องบนโลกยากจะคาดคิด”

จิ่งสิงเห็นฝูเป่าขดตัวไหล่สั่นอยู่ตรงนั้น ท้ายที่สุดก็ทนไม่ไหว “องค์หญิง จิ่งสิงล่วงเกินแล้ว” เขาก้าวไปหาโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้คัดค้าน หลับตาหยิบชุดตัวนอกของฝูเป่ามาคลุมให้แล้วอุ้มนางขึ้น “พวกเราไปจากที่นี่เร็วหน่อย เจ้าเมืองมู่หรง ไปจวนท่านสะดวกหรือไม่”

มู่หรงชงกล่าว “ไปกันเถอะ”

เพิ่งเดินมาถึงปากประตูกลับเห็นหงจูยืนอยู่ตรงนั้น นางยิ้มกว้างมองพวกเขาพลางว่า “แม่นางผู้นี้ไม่บาดเจ็บแม้เพียงปลายผม ดูท่าพวกท่านจะมาทันเวลาอยู่”

มู่หรงชงจึงว่า “วันนี้ขอบคุณอาหญิงหงจูมาก เฟิ่งหวงจะมาเยี่ยมเยียนใหม่วันหน้า วันนี้ขอลาไปก่อน”

“ช้าก่อน เจ้าเมืองมู่หรง วันหน้าหอบุปผชาติของข้าคงต้องอำนวยความสะดวกให้ท่าน แต่ยามนี้ท่านออกไปเยี่ยงนี้ออกจะไร้น้ำใจเกินไป”

“คำพูดนี้หมายความเช่นไร”

หงจูมีสีหน้าลำบากใจ “บัดนี้การค้าทำได้ยาก แต่ไหนแต่ไรมาหอบุปผชาติของเราตั้งแต่ยามจื่อถึงยามอิ๋น ไม่เคยมีแขกเดินออกข้างนอก หากหลังยามจื่อยังมีแขกจากไปได้ลงคอ เรื่องแพร่ออกไปชื่อเสียงที่สร้างมาอย่างยากลำบากนี้คงได้ลดน้อยถอยลงไปมาก ท่านเจ้าเมือง เมื่อครู่พวกเราคุยกันไปมากมายปานนั้น ภายภาคหน้าทุกเรื่องล้วนเป็นไปได้ ท่านคงมิอาจปล่อยให้ข้าหาทางลงมิได้กระมัง”

มู่หรงชงกล่าว “เช่นนั้นรบกวนเตรียมห้องให้พวกข้าด้วยสี่ห้อง”

“สี่ห้อง? พวกท่านรักและห่วงใยกันดีเสียจริง” หงจูโยนป้ายไม้สองป้ายมาให้มู่หรงชง “เหลือแค่สองห้องแล้ว ท่านเจ้าเมืองเพิ่งเคยมาเยือน วันนี้ข้าออกค่าห้องให้แล้วกัน!”

นางพูดจบก็เดินนวยนาดจากไป

ฝูเป่าดิ้นจะลงจากอ้อมแขนของจิ่งสิง “ข้าจะอยู่ห้องเดียวกับพี่เฟิ่ง!”

จิ่งสิงจึงกล่าวว่า “บุรุษสตรีมีความแตกต่างกัน ข้าอยู่ห้องเดียวกับท่านเจ้าเมืองก็แล้วกัน”

มู่หรงชงมองฝูเป่าที่มีคราบน้ำตาเปื้อนเต็มหน้าเล็กน้อย ก่อนมองจิ่งสิงที่เสื้อผ้าสกปรกยุ่งเหยิง จากนั้นก็จูงมือมู่เฉินเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

มู่เฉินรู้แก่ใจดีว่าเขารังเกียจที่สองคนนั้นไม่จัดการตนเองให้สะอาดจึงอดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้

มู่หรงชงหันหน้ามามองนาง “เจ้ามีความสุขมากหรือ”

มู่เฉินหุบยิ้ม เม้มปาก ก่อนพยักหน้าแล้วส่ายหน้า

พวกเขาหาห้องตามอักษรบนป้ายไม้พบแล้วมู่หรงชงก็เปิดประตูแล้วรุนตัวมู่เฉินเข้าไปเบาๆ “พักผ่อนให้เต็มที่”

มู่เฉินหลุดปากถาม “แล้วท่านเล่า”

“เฝ้าประตู”

มู่หรงชงหันหลังเดินออกไป หับประตูปิดเบาๆ

ในห้องมีกลิ่นไม้กฤษณาจางๆ กำจายอยู่ มู่เฉินสูดกลิ่นนี้แล้วก็รู้เพียงว่าเตียงที่ใต้ร่างช่างอ่อนนุ่มยิ่งยวด แต่เหตุใดนอนอยู่เป็นนานกลับไม่ง่วงเลยสักนิด

เทียนบนโต๊ะใกล้จะหมดเล่มแล้ว ไส้ตะเกียงสั้นลงทุกที แสงก็มืดลงเรื่อยๆ เช่นกัน

ในที่สุดก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ เทียนดับมอด ภายในห้องตกอยู่ในความมืด

มู่เฉินพลิกตัว ท้ายที่สุดก็ยังคงลุกขึ้นยืน

นางเปิดประตู มองเห็นเงาร่างที่ยืนอยู่ตรงระเบียงทางเดินนั้น

รูปร่างของมู่หรงชงหาได้ดูสูงใหญ่กำยำไม่ แต่พอเขายืนแล้วกลับดูสูงตระหง่านเสมอ ที่ไม่ไกลกันเป็นต้นไม้ที่ปลูกเรียงกัน เงาของมู่หรงชงปะปนอยู่ท่ามกลางพวกมัน ดูคล้ายเป็นต้นไม้ต้นหนึ่งเช่นกัน

ต้นไม้ที่เติบโตโดยธรรมชาติ ต้นไม้ที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุด

เขารู้สึกถึงการจ้องมองจากคนที่ด้านหลัง พอหันหลังกลับมาก็มองเห็นมู่เฉินยืนอยู่ปากประตู

ภายในห้องมืดมิด กลับเป็นข้างนอกห้องที่มีแสงจันทร์แสงดาวส่องสว่าง

มู่เฉินไม่รู้จะพูดอะไร ได้แต่พูดไปตามสถานการณ์ “เทียนหมดเล่มแล้ว”

มู่หรงชงถาม “เจ้ากลัวความมืด?”

เขายืนอยู่ด้านนอกนานแล้ว เสียงจึงแหบแห้งอยู่บ้าง

มู่เฉินตอบ “มิใช่”

“เช่นนั้นเหตุใดยังไม่นอน”

“ข้างนอกหนาว ท่านไปนอนข้างในเถอะ”

เห็นมู่หรงชงยืนนิ่ง มู่เฉินก็ดันให้เขาเดินเข้าไป “ไปสิ”

“อาเฉิน” มู่หรงชงเรียกนางเบาๆ “ข้าเป็นบุรุษ”

“ในเมื่อข้ายังไม่ถือสา ท่านจะกระบิดกระบวนอยู่ไย” มู่เฉินพูดพลางเดินเข้าข้างในต่อ ที่นี่มืดเกินไป นางมองเห็นธรณีประตูใต้เท้าไม่ชัด ยามเหยียบลงไปก็หวิดจะล้ม

มู่หรงชงกอดนางไว้ทันที แม้มิได้พูดจา แต่เขากอดนางไว้แน่นยิ่ง

ลมหายใจของเขาอยู่ใกล้มาก

“เช่นนี้ก็ยังไม่ถือสาหรือ”

“…อะไร”

“ที่เมื่อครู่เจ้าบอก ‘ไม่ถือสา’ ”

มู่เฉินดันอกเขาพลางว่า “ไยท่านจึงน่าเบื่อปานนี้นะ”

นี่มิใช่ครั้งแรกที่มู่หรงชงกอดนาง นางถึงขั้นคุ้นเคยกับอ้อมกอดของเขาอยู่สักหน่อยด้วยซ้ำ แผ่นอกเขากว้างกว่าที่เห็น บ่าก็แข็งกว่าที่คิด สิ่งที่ไม่เหมือนที่แล้วมาคือนางดันเขาเช่นนี้แล้ว แต่เขามิได้ปล่อยมือ

มู่เฉินชักโมโหแล้วจึงเปล่งเสียงเรียก “เฟิ่งหวง!”

มู่หรงชงปล่อยมือแล้ว เดิมมู่เฉินนึกว่าเขาจะปล่อยตนเองแล้ว ขณะจะเดินไปข้างหน้าทันใดนั้นร่างกายนางก็เบาหวิว กว่าจะรู้สึกตัวทั้งตัวคนก็ลอยขึ้นจากพื้นแล้ว

“ท่านทำอันใด รีบปล่อยข้าลง!”

มู่หรงชงแสร้งทำเป็นเมินไม่ฟัง หลังใช้เท้าปิดประตูก็เร่งฝีเท้าเดินเข้าด้านใน แล้ววางมู่เฉินลงบนเตียง เขาใช้มือหนึ่งรองไว้ข้างหูมู่เฉิน อิริยาบถนี้แทบจะกักขังนางไว้ให้มิอาจขยับเขยื้อนได้

มู่เฉินร้อนใจแล้วจึงพูดด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง “มู่หรงชง ท่านเป็นบ้าหรือ!”

มู่หรงชงมองนางพลางตอบ “ข้าบอกแล้วว่าประเดี๋ยวจะมาคิดบัญชีกับเจ้า”

มู่เฉินนึกขึ้นได้ว่าขณะอยู่ชั้นล่างก่อนหน้านี้มู่หรงชงเคยเอ่ยคำพูดนี้จริงๆ จึงอดจะใจสั่นอยู่บ้างไม่ได้ “ท่าน…ท่านคิดจะทำอย่างไร”

“ตกใจแล้ว?” มู่หรงชงหัวเราะเบาๆ “ตกใจแล้วก็ดี เจ้าจะได้เข็ดหลาบเสียบ้าง วันข้างหน้าห้ามมาล้อเล่นกับข้าอีก”

เขาลุกขึ้น คลำหาเทียนเล่มหนึ่งออกมาจากในตู้แล้วจุดมัน ในห้องสว่างไสวขึ้นอีกครั้ง

“พักผ่อนให้เร็วหน่อย” มู่หรงชงพูดพลางเดินไปนอนลงที่ตั่ง ตั่งนั้นมีความยาวไม่พอ เขาจึงได้แต่นอนตะแคงพลางงอหลังเล็กน้อย

มู่เฉินเอนตัวนอนลงใหม่ มองดูคานห้องพลางเอ่ยปากถาม “ท่านกับหงจูเจรจากันได้ด้วยดีกระมัง”

มู่หรงชงตอบรับเบาๆ “ดีอยู่”

เดิมทีมู่เฉินเตรียมคำถามถัดไปไว้แล้ว แต่ขณะที่มู่หรงชงพูดคำว่า ‘ดี’ นางก็ผล็อยหลับไปแล้ว

มู่หรงชงได้ยินเสียงหายใจเบาๆ จากนาง ร่างกายที่เหนื่อยล้ามาเป็นเวลานานก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง

แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก ฝูเป่าร้องเรียก “พี่เฟิ่ง! ท่านเปิดประตูนะ ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่าน!”

บทที่ 4 พฤติกรรมจิ่งสิง

ฝูเป่าเคาะประตูเสียงดังยิ่ง ขณะมู่หรงชงพลิกตัวลุกขึ้นมู่เฉินก็สะดุ้งตื่นแล้วลุกขึ้นยืนเช่นกัน

มู่หรงชงกล่าว “ข้าจะไปดูหน่อย”

พอเขาเปิดประตูฝูเป่าก็พุ่งปราดเข้ามาจับมือมู่หรงชงพลางว่า “ข้ามีเรื่องสำคัญยิ่งอยากจะพูดกับท่านตามลำพัง” ว่าพลางหางตาก็เหลือบมองมู่เฉิน

มู่เฉินถอยออกไปอย่างรู้ตัวดี

มู่หรงชงเรียกเบาๆ “อาเฉิน”

มู่เฉินจึงว่า “ข้าไม่ไปที่ใดไกลหรอก พวกท่านคุยกันเสร็จแล้วก็เรียกข้า”

มู่หรงชงเม้มปาก “ตกลง”

มู่เฉินปิดประตู รู้สึกว่าไม่สะดวกจะยืนอยู่ที่เดิมจึงเดินช้าๆ ไปตามระเบียงทางเดิน ขณะเดินผ่านห้องก่อนหน้านี้นางเห็นประตูเปิดอยู่ จิ่งสิงยืนอยู่ตรงประตู

เขามองเห็นมู่เฉินก็ยิ้มบางๆ ก่อนว่า “ข้าขออภัยแทนนางด้วย นางเป็นเพียงเด็กยังไม่โต หวังว่าเจ้าจะไม่เก็บไปใส่ใจ”

มู่เฉินกล่าว “ไม่หรอก”

จิ่งสิงมองท้องฟ้าอันไร้ขอบเขต ลังเลเล็กน้อยจู่ๆ ก็ถามว่า “แม่นางมู่ อันที่จริงบนโลกนี้ไม่มีศาสตร์แห่งกษัตริย์กระมัง”

มู่เฉินเย็นสันหลังวาบ นางยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

จิ่งสิงหาได้ซักไซ้ต่อไม่ เพียงถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “ความลึกลับในเรื่องนี้อาจารย์เคยพูดถึงผ่านๆ เพียงแต่ยังไม่ทันได้บอกทั้งหมด มิทราบว่าวันนี้แม่นางจะช่วยตอบคำถามได้หรือไม่”

มู่เฉินหันไปมองท่าทางอ่อนน้อมและสายตาสงบนิ่งของเขาพลางตอบ “ไปคุยกันในห้องเถอะ”

 

ในห้องของมู่หรงชง ฝูเป่ากำลังมองเขาพลางพูดด้วยสองตาแดงก่ำ “พี่เฟิ่ง ท่านไม่ชอบข้าเลยสักนิดจริงๆ หรือ”

มู่หรงชงขมวดคิ้ว “ท่านมาเคาะประตูตอนดึกดื่นเที่ยงคืนเพียงเพื่อพูดเรื่องนี้กับข้า?”

ฝูเป่าขยับเข้าใกล้เขาทีละน้อย มู่หรงชงก็ปล่อยให้นางเข้าใกล้โดยไม่ขยับเขยื้อน ขณะที่ริมฝีปากของนางใกล้จะแนบกับหูของมู่หรงชงเขาก็จับมือนางให้หยุด

ฝูเป่าชะงัก ครั้นแล้วก็พูดข้างหูเขาเบาๆ “ข้าเห็นมู่หรงหย่งฆ่าคน”

มือของมู่หรงชงที่บีบฝูเป่าอยู่พลันกำแน่นขึ้น

“อนุที่ปิดบังใบหน้านางนั้นในจวนท่านอาหมัว มู่หรงหย่งฆ่านาง เรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกับชิงหลวนใช่หรือไม่ ท่านไม่อยากให้ชิงหลวนหาน้องสาวนางพบ?”

แววตามู่หรงชงแปรเปลี่ยนไปสารพัดในชั่วพริบตา มีอยู่ชั่วแวบหนึ่งประกายตาเขาถึงขั้นมีแววสังหารพรั่งพรูออกมา

…ฆ่าฝูเป่ากับจิ่งสิงทิ้งเสียในที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเขาแห่งนี้

ฝูเป่ามองไม่เห็นแววตาของมู่หรงชง นางเพียงวางหน้าผากลงกับบ่าเขาเบาๆ พูดเสียงนุ่มว่า “พี่เฟิ่ง ข้าจะไม่บอกผู้ใด ให้ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านได้หรือไม่”

มือของมู่หรงชงเอื้อมไปที่คอฝูเป่าอย่างช้าๆ

“องค์หญิงซีชิ่งตายไปแล้ว ต่อไปข้าเป็นเพียงอาเป่าที่อยู่ข้างกายท่าน ในคืนนั้นเดิมทีข้าเพียงแต่เคืองใจ กลับไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นฉากนั้น ข้าวางเพลิงก็เพื่อปกป้องมู่หรงหย่ง พี่เฟิ่ง ท่านเชื่อข้าสิ ข้ายินดีทำได้ทุกเรื่องเพื่อท่าน”

มือของมู่หรงชงหยุดชะงักอยู่กลางอากาศ ในดวงตามีแววลังเลเล็กๆ วาบผ่าน แต่ในระหว่างที่ลังเลนี้เองมู่เฉินก็ได้กลับมาแล้ว

ประตูห้องไม่ได้ปิดสนิท เดิมนางคิดจะเคาะประตู ไม่คาดคิดว่าเพิ่งจะแตะถูกประตูก็เปิดออกแล้ว นางมองเห็นฝูเป่าแทบจะตระกองกอดมู่หรงชงอยู่ ส่วนมือที่ยื่นอยู่กลางอากาศของมู่หรงชงก็เหมือนกำลังจะกอดตอบอีกฝ่าย

นางเดินออกมาข้างนอกตามจิตใต้สำนึก

“อาเฉิน!” มู่หรงชงเรียกเบาๆ ดันตัวฝูเป่าออกอย่างรวดเร็ว เขาไม่รู้ว่าความตื่นตระหนกที่จู่ๆ มาเยือนในใจนั้นหมายความว่าอะไร เพียงเร่งฝีเท้าไปจับมู่เฉินไว้ พูดด้วยความร้อนใจ “เจ้าอย่าเข้าใจผิด”

มู่เฉินหลบเลี่ยงมือของเขา “ขออภัยด้วย ข้าไม่รู้ว่าประตูไม่ได้ปิดอยู่”

มู่หรงชงหน้าบึ้งตึง “ข้าบอกว่า ‘เจ้าอย่าเข้าใจผิด’ ”

มู่เฉินมองเขาโดยไม่ตอบอะไร เพียงหันหน้าไปกล่าวกับฝูเป่า “จิ่งสิงให้หม่อมฉันมาบอกว่าเขาขอกลับฉางอันก่อน หลังจากนี้จะมาเยี่ยมองค์หญิงในเดือนนี้ของทุกปี”

ฝูเป่าเดิมทีไม่พอใจที่นางโผล่พรวดเข้ามา แต่ครั้นได้ยินว่าจิ่งสิงไปแล้วก็ย้ายความสนใจในทันที พูดเสียงเบาว่า “ไยเขาจึงไปโดยไม่บอกกล่าวข้าสักคำ”

มู่เฉินตอบ “อาจเพราะมีธุระด่วน”

ฝูเป่ายืนอยู่ตรงนั้น พยักหน้าด้วยท่าทางเซ่อซ่าอยู่บ้าง ตั้งแต่เล็กจนโตจิ่งสิงเป็นสหายที่ดีของนางมาตลอด ดีต่อนางยิ่งกว่าพี่ชายในไส้ทั้งหลายเสียด้วยซ้ำ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจากไปโดยไม่ลาเช่นนี้

นางมองไปที่มู่เฉิน น้ำเสียงดีขึ้นบ้างแล้ว “เขายังบอกอะไรอีกหรือไม่”

มู่เฉินตอบ “เขาว่าฝากฝังองค์หญิงไว้กับเจ้าเมืองมู่หรงแล้ว เขาวางใจยิ่งยวด”

ฝูเป่าหน้าแดงเล็กน้อย มองมู่เฉินปราดหนึ่ง “ข้ารู้แล้ว ทว่าเจ้าจงจำไว้ วันหน้าในเมืองผิงหยางไม่มีองค์หญิง”

“ข้าจำไว้แล้ว” มู่เฉินพูดจบก็เดินออกไปข้างนอก “ไม่รบกวนพวกท่านแล้ว”

มู่หรงชงมองนางเดินออกจากห้องแล้วปิดประตู หัวใจทั้งดวงหล่นวูบ จิ่งสิงจากไปเช่นนี้ เขาจำต้องรับรองว่าจะไม่เกิดเรื่องกับฝูเป่าขณะอยู่ในเมืองผิงหยางแล้ว

เขามองฝูเป่าปราดหนึ่ง “วันพรุ่งนี้ตามข้ากลับจวนเจ้าเมืองแล้วกัน”

ฝูเป่ายิ้มกว้างตอบรับ “ตกลง!”

ความเศร้าใจต่อการที่จิ่งสิงจากไปโดยไม่ลาหายวับไปในทันใด

“เช่นนั้นเจ้าก็พักผ่อนเถอะ” มู่หรงชงพูดจบก็เร่งฝีเท้าเดินออกข้างนอก

ฝูเป่าเดินหน้าไปสองก้าว ต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายยังคงมิได้เอ่ยปาก เพียงยืนหน้าแดงอยู่ที่เดิม

 

มู่เฉินเดินไปถึงห้อง นางกำลังจะปิดประตูมู่หรงชงก็ยันประตูเอาไว้

เขาเดินเข้ามาแล้วปิดประตู ชะงักเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามหยั่งเชิง “เจ้าโมโหหรือ”

มู่เฉินมองเขายิ้มๆ “เหตุใดข้าต้องโมโห”

มู่หรงชงตอบ “ข้าตกลงให้ฝูเป่าอยู่ต่อเพื่อควบคุมฝูเจียนและฝูฮุย…”

“ไม่ต้องมาอธิบายกับข้า” มู่เฉินพลันตัดบทเขา เปลี่ยนมาถามว่า “ท่านทายซิว่าข้ากับจิ่งสิงคุยอะไรกันบ้าง”

มู่หรงชงส่ายหน้า “ข้าทายไม่ถูก”

มู่เฉินจึงว่า “ข้าบอกเขาว่าถ้ายังไม่ไปท่านจะฆ่าเขา”

มู่หรงชงรู้สึกผิดคาดเล็กน้อย ก่อนถามว่า “มองออกได้อย่างไร”

มู่เฉินตอบ “ท่านมิใช่คิดว่าก่อนองค์หญิงชิงเหอจะปลิดชีพตนเองเขาเคยไปที่ตำหนักชีอู๋หรือไร ทว่าเฟิ่งหวง เวลานั้นเขากำลังช่วยฝูเป่าหนีออกจากวังต่างหาก”

มู่หรงชงมองนางโดยที่สีหน้าไม่แสดงอารมณ์ “ดังนั้นเจ้าจึงอยากบอกว่าผู้ที่ทำให้พี่หญิงของข้าตายเป็นผู้อื่น?”

มู่เฉินมองดวงตาที่สงบราบเรียบของเขาพลางนึกถึงวันที่ออกจากฉางอัน ดวงตาลึกล้ำนั้นของมู่หรงหง ชุดตัวยาวสีนิล แล้วไหนจะมือขวาที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ…เทียบกับมู่หรงหงแล้วมู่หรงชงดูอ่อนแอถึงเพียงนี้เชียว

สายตาที่มู่เฉินมองมู่หรงชงมีแววหมดความอดทนอยู่สักหน่อย “เฟิ่งหวง ถ้าหาก…ข้าย้ำว่าถ้าหากคนที่ทำให้พี่หญิงของท่านตายเป็นคนที่ใกล้ชิดกับนางมาก ท่านยังอยากจะแก้แค้นหรือไม่”

มู่หรงชงมองมู่เฉินนิ่งๆ “เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่”

มู่เฉินส่ายหน้า “ข้าเพียงแต่ถามไปอย่างนั้นเอง”

ภายในห้องตกอยู่ในความเงียบงัน

ยามโฉ่วแล้วมู่เฉินรู้สึกง่วงงุน เปลือกตาแทบจะปิดลงมาแล้ว แต่มู่หรงชงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงครุ่นคิดอยู่กับเทียนเช่นเดิม

นางไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไร อาจเป็นเรื่องที่แสดงออกได้หรือต้องเก็บไว้ในใจ เรื่องในอดีตหรือที่จะเกิดในอนาคต จะมีหรือไม่มีก็สุดรู้…

เป็นครู่ใหญ่กว่ามู่หรงชงจะเงยหน้าขึ้นมา ในดวงตามีเส้นเลือดฝอยสีแดง ก่อนพูดค่อยๆ ว่า “เจ้าเองก็สงสัยว่า…เป็นพี่หงกระมัง”

มู่เฉินตระหนกเล็กน้อย ครั้นแล้วก็ฟังออกถึงความปวดใจและสิ้นหวังในวาจาของเขา จึงอดไม่ได้ที่จะทรมานใจขึ้นมาเช่นกัน “เฟิ่งหวง ท่าน…”

นางอยากจะปลอบ แต่กลับหาถ้อยคำมาปลอบโยนไม่ได้

ที่แท้เขาก็รู้อยู่นานแล้ว

มู่หรงชงพลันจับมือมู่เฉินมากดไว้กับหน้าอกตนเอง พูดเชื่องช้าแผ่วเบาว่า “อาเฉิน ข้าเจ็บตรงนี้ เจ็บจริงๆ”

มู่เฉินมองมือของตนเองที่อยู่ในมือเขา ถูกนิ้วซีดขาวเรียวเล็กของเขาจับไว้ คล้ายว่าแค่สัมผัสอันแผ่วเบายังทำให้เขาเจ็บรุนแรงขึ้นได้

“เฟิ่งหวง พวกเขาหารือกันเรียบร้อยแล้วว่าต้องการทำให้ฝูเจียนรู้สึกละอายใจ ต้องการทำให้พวกท่านพี่น้องได้รับโอกาสที่มากขึ้น”

มู่หรงชงพูดเสียงแหบแห้ง “ข้าไม่ต้องการโอกาสเยี่ยงนี้”

“เรื่องมาถึงขั้นนี้ ต้องการหรือไม่ต้องการก็มิใช่เรื่องที่ผู้อื่นสามารถตัดสินใจได้”

มู่เฉินชักมือตนเองออกจากมือเขา กลับถูกเขากุมไว้แน่นขึ้น นางนึกถึงเวลาที่คล้ายคลึงกันในช่วงที่ผ่านมาขึ้นได้ เขาเคยยืมใช้บ่าของนาง นางจึงอดไม่ได้ที่จะยกบ่าขึ้นเล็กน้อย

แต่ครั้งนี้มู่หรงชงเลือกทำต่างจากเดิม เขามองมู่เฉินพลางกล่าวด้วยท่าทางแน่วแน่ “เจ้ามิใช่ผู้อื่น”

มู่เฉินใจสั่น มองดวงตาของเขาแน่วนิ่ง

มู่หรงชงกล่าวว่า “อาเฉิน เจ้ารู้สึกว่าข้าไม่ยินดีรับความจริงเช่นนี้ จึงยอมปล่อยจิ่งสิงไปด้วยต้องการให้ข้าสงสัยเขาต่อไปใช่หรือไม่ อันที่จริงข้ารู้ตั้งแต่วันที่ออกจากฉางอันแล้ว เรื่องที่เจ้ามองออก เหตุใดข้าจะมองไม่ออกเล่า ก่อนหน้านี้ไม่พูดเรื่องนี้เป็นเพราะคิดว่าบางทีเวลาผ่านไปนานแล้ว เมื่อพูดขึ้นมาอีกครั้งก็จะไม่ทรมานใจเพียงนั้นแล้ว”

มู่หรงชงคิดถึงพี่ชายที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมาตั้งแต่เล็กและพี่สาวที่ปฏิบัติต่อเขาอย่างอ่อนโยนผู้นั้น หลายเรื่องประเดประดังในเวลาเพียงชั่วขณะ เขารู้สึกว่ารอบตัวมีเครื่องจองจำอันหนาหนัก ทุกย่างก้าวที่เดินล้วนเหนื่อยยากถึงขีดสุด แต่หากไม่เดินหน้าต่อไปเขาก็จะถูกเครื่องจองจำนี้ทับตาย

มู่เฉินรู้สึกถึงความร้อนใต้ฝ่ามือจึงงอนิ้วเล็กน้อย

แผลหายยังลืมความเจ็บได้ แต่แผลที่อยู่ส่วนลึกในก้นบึ้งหัวใจนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไร้หนทางจะหายดีแล้ว

ฝูเป่าพักอาศัยในจวนเจ้าเมือง

นางเริ่มใช้ชีวิตที่แตกต่างยิ่งยวดจากสมัยก่อนในสถานที่ที่ห่างไกลจากเมืองหลวงแห่งนี้ ขณะอยู่ที่ตำหนักเว่ยยางนางอยู่ดีกินดี มีคนปรนนิบัติเป็นโขยง แต่มีอิสระน้อยกว่าปัจจุบันนี้มากโข อยากจะสวมใส่สิ่งใดก็สวมใส่สิ่งนั้น อยากไปตลาดก็ไปตลาด ที่สำคัญที่สุดคืออยากพบพี่เฟิ่งก็สามารถพบเขาได้ทันที

ตัวอย่างเช่นวันนี้ นางมองเห็นนอกระเบียงเริ่มมีหิมะของฤดูหนาวตกลงมาแล้วจึงวิ่งเป็นระยะทางเล็กๆ ไปยังห้องหนังสือของมู่หรงชงด้วยความดีใจ อยากจะชมหิมะด้วยกันกับเขา

นางเพิ่งจะมาถึงในลานเรือนก็มองเห็นมู่หรงชงกับมู่เฉินนั่งยองๆ หันหน้าเข้าหากันอยู่ที่ระเบียงทางเดิน กำลังดูบางอย่างบนพื้น

เมื่อเดินไปใกล้ถึงได้เห็นชัดว่าเป็นพิราบขาวตัวหนึ่ง คล้ายมันจะได้รับบาดเจ็บ กระพือปีกอยู่บนพื้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็บินไม่ขึ้น

พวกเขาจดจ่อเกินไปจนไม่รู้สึกตัวถึงการมาของฝูเป่าโดยสิ้นเชิง

นี่เป็นภาพที่รบกวนไม่ลง บุรุษผู้มีรูปโฉมคล้ายน้ำแข็งสลักหยกเจียระไน สตรีผู้กำลังแย้มยิ้มบางๆ อย่างอ่อนโยน ทั้งสองก้มหน้าลูบพิราบขาวที่ยังเยาว์วัยตัวนั้น

หิมะนอกระเบียงค่อยๆ ตกหนักขึ้น ปกคลุมพื้นดินอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง

กว่าคนทั้งสองจะพันแผลให้พิราบขาวน้อยเสร็จแล้วมู่เฉินอุ้มมันลุกขึ้นยืน ฝูเป่าก็แทบจะยืนจนกลายเป็นมนุษย์หิมะอยู่ที่ด้านนอกแล้ว

มู่หรงชงตกใจ “อาเป่า เจ้ามาตั้งแต่เมื่อใด”

ฝูเป่าน้ำตาคลอ ยู่ปากอย่างโมโหโกรธา “ข้าจะแข็งตายอยู่แล้ว!”

มู่เฉินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ข้าอุ้มมันกลับไปก่อน”

“เดี๋ยวก่อน” มู่หรงชงเรียกนางไว้ ก่อนไปหยิบเสื้อคลุมกันลมออกมาจากห้องหนังสือแล้วนำมาห่อตัวมู่เฉินไว้

ฝูเป่าเห็นมู่เฉินเดินไปไกลแล้วก็จ้องมู่หรงชง เป็นนานกว่าจะเค้นออกมาได้ประโยคหนึ่ง “หากท่านชอบนางถึงเพียงนั้นจริงก็รับนางเป็นอนุเสียสิ”

มู่หรงชงเบิกตาโต

ฝูเป่าพูดต่อว่า “แต่ภรรยาเอกต้องเป็นข้าเท่านั้น พี่เฟิ่ง ข้าสละทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉางอันแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะมาถึงที่นี่ได้ ท่านห้ามทรยศข้า”

มู่หรงชงถอยหลังสองก้าวด้วยความตกใจ “หากให้ข้าได้ยินคำพูดเช่นนี้อีกจะให้อาหย่งส่งเจ้ากลับไปทันที”

ฝูเป่ามองใบหน้าบึ้งตึงและท่าทางเย็นชาของมู่หรงชง น้ำตาก็ไหลพรากลงมาเป็นสายทันที ก่อนพูดอย่างดื้อรั้น “ต้องมีสักวันที่ท่านจะรับปาก!”

มู่หรงชงมิได้ไยดี เขาหันหลังเดินไปยังห้องหนังสือ

เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดฝูฮุยกับจิ่งสิงถึงได้ชอบเด็กสาวเยี่ยงนี้ ทั้งๆ ที่ยากจะหาข้อดีจากตัวนางได้ หากเทียบกับมู่เฉิน…เขาพลันหยุดคิด เหตุใดข้าต้องนำพวกนางสองคนมาเปรียบเทียบกันด้วย

จวนแห่งนี้ไม่ได้บูรณะมาหลายปีแล้ว ประตูไม้ของห้องหนังสือมีลมลอดผ่านอยู่บ้าง เขาฟังเสียงกระทบอันแผ่วเบาพลางนึกถึงคำแนะนำของมู่เฉินเมื่อครู่นี้ รอฤดูหนาวผ่านไปแล้วจะเริ่มซ่อมแซมจวนเจ้าเมืองนี้ใหม่…นับตั้งแต่จากวังหลวงที่เมืองเยี่ยเฉิงมาเขาก็มิได้ใส่ใจเรื่องที่พักอาศัยเสียเท่าไร ทว่าบัดนี้จู่ๆ ก็เฝ้ารอที่จะได้บูรณะ

บนมือยังมีขนของพิราบขาวตัวนั้นติดอยู่ เขาเป่าเบาๆ ขนก็ร่วงลงพื้น

นอกห้องหิมะตกหนักขึ้นทุกที

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 5 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: