X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน ม้วนที่ 2 บทที่ 5-6

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 5 โรงจำนำใต้ดิน

พริบตาเดียวก็ถึงรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบสองแห่งแคว้นฉิน รัชศกไท่หยวนปีที่หนึ่งแห่งราชวงศ์จิ้น

ปลายปียังคงมีหิมะปลิวว่อน

ในหนึ่งปีหลังจากหวังเหมิ่งสิ้นใจฝูเจียนได้ปฏิบัติตามความปรารถนาก่อนตายของเขา เอาใจใส่ความทุกข์ร้อนของราษฎร ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมชาวฮั่นและสำนักหรู ราษฎรแคว้นฉินอยู่เย็นเป็นสุข

ปีนี้ฝูเจียนอ้างเหตุว่าจางเทียนซี ‘แม้นสืบบัลลังก์ในฐานะเมืองขึ้น ทว่าคุณธรรมขุนนางไม่บริสุทธิ์’ ยกพลแสนสามหมื่นบุกโจมตีแคว้นเหลียง ทัพฉินข้ามแม่น้ำหวงเหอไปทางตะวันตก บุกยึดเมืองฉานซัว ไล่ต้อนจางเทียนซีไปถึงกูจาง จางเทียนซียอมจำนน แคว้นเหลียงถึงกาลอวสาน

แคว้นเยียน โฉวฉือ และแคว้นเหลียงถูกทำลายลงแล้ว ทางเหนือเหลือเพียงแคว้นไต้ของสกุลทั่วป๋า

หรือหมายความว่าในปีนี้ฝูเจียนจะยกทัพไปตีวังหลวงเมืองเซิ่งเล่อในอวิ๋นจง ซึ่งเป็นไปตามคาด เขากลับมาพร้อมกับชัยชนะครั้งใหญ่

นับแต่บัดนี้แคว้นฉินรวบรวมทางเหนือเป็นหนึ่ง ชนเผ่าตะวันออก ดินแดนตะวันตกหลายสิบแคว้น และชนเผ่าตะวันตกเฉียงใต้ล้วนส่งทูตมาถวายบรรณาการ

สถานที่ที่เขายังไม่เคยสอดมือแตะต้องในใต้หล้านี้เหลือเพียงราชวงศ์จิ้นที่ปกครองบริเวณเจียงหนานแล้ว

ความแข็งแกร่งของแคว้นฉิน ความอ่อนแอของราชวงศ์จิ้นเป็นที่ประจักษ์ชัด

อีกเพียงก้าวเดียวก็จะถึงวันที่ใต้หล้ารวมเป็นหนึ่ง

ในวันครบรอบวันตายของหวังเหมิ่ง ฝูเจียนได้ไปเยี่ยมหลุมศพด้วยตนเอง ดื่มสุราลงไปสองสามจอก ในอกยิ่งปั่นป่วนยากจะสงบได้

“วันเดือนเรืองโรจน์ โชติช่วงนานทิวา…จิ่งเลวี่ย ท่านจะได้เห็นวันนั้นจากบนฟ้า” เขานึกถึงบทเพลงโบราณที่มู่หรงชงบรรเลงในงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของเขาขึ้นได้ ในใจเปี่ยมล้นด้วยความมุ่งมาดของพระเจ้าเหยาและพระเจ้าซุ่น เขามองม่านดำทางด้านหน้าพลางกล่าวเชื่องช้า “หากชะตากรรมปล่อยข้าไปไม่ได้ ข้าก็จะพลิกมือเป็นเมฆ* ทะลุฟ้าทะลวงดิน! ต้องมีสักวันที่คีรีขาวนทีดำทอดยาวหมื่นหลี่นี้จะสยบอยู่ใต้เท้าข้า ข้าต้องการให้คำพูดและการกระทำของข้าถูกเขียนไว้ใต้พู่กันของอาลักษณ์ทุกยุคทุกสมัย ข้าต้องการให้พระราชโองการจากข้าเป็นที่ถือปฏิบัติไปทุกซอกทุกมุมในใต้หล้า ขึ้นไปบุกสวรรค์ ลงไปกวนบาดาล ทำปณิธานกว้างไกลให้สำเร็จ เริ่มต้นความยืนยงนับหมื่นปี ข้าจะต้องทำได้แน่นอน!”

ท่าทางเขาเหมือนกับในสมัยหนุ่ม แม้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ข้างกายจะมิใช่หวังเหมิ่งแล้วก็ตามที

ฝูหรงและฝูฮุยยืนอยู่ข้างหนึ่ง จิ่งสิงยืนอยู่อีกข้าง ล้วนพากันค้อมตัวลง

ฝูเจียนพลันเอ่ยถาม “คนสกุลมู่หรงบัดนี้กำลังทำอะไร”

ฝูหรงตอบ “มู่หรงเหว่ยกับมู่หรงผิงใช้ชีวิตอย่างสงบเสงี่ยมเจียมตน เจ้าเมืองนครหลวงมู่หรงฉุยยุ่งอยู่กับกองทัพดังเช่นที่แล้วมา เสนาธิการแดนเหนือมู่หรงหงได้ข่าวว่าหาอาจารย์ชาวฮั่นมาสอนเดินหมาก ส่วนเจ้าเมืองผิงหยางมู่หรงชง…คล้ายว่าจะกำลังซ่อมแซมจวนเจ้าเมือง”

ฝูเจียนหัวเราะ “เขาช่างเลอค่าเสียจริง”

คนทั้งหลายไม่รู้ว่าฝูเจียนหมายความเยี่ยงไร จึงล้วนไม่ส่งเสียงใดๆ ในชั่วขณะ

เป็นครู่ใหญ่ฝูเจียนถึงได้กล่าวช้าๆ “ก้าวต่อไป…เซียงหยาง ให้มู่หรงฉุยกับเหยาฉางนำทัพบุกทางใต้ พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร”

จิ่งสิงสบตากับฝูเจียนก่อนตอบ “ฝ่าบาท เรื่องปราบจิ้นเกรงว่าจะยังเร็วไปพ่ะย่ะค่ะ”

“ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้พวกเจ้าก็จะบอกว่าเร็วไป” ฝูเจียนพูดเพียงประโยคนี้เสร็จก็โบกมือ “ออกไปกันให้หมด เราจะพูดกับจิ่งเลวี่ยตามลำพังสักหน่อย”

จิ่งสิงยังอยากพูดอะไร กลับถูกฝูฮุยดึงแขนเสื้อไว้

รอมาถึงด้านนอกจิ่งสิงก็ถามว่า “องค์ชายทรงมีคำชี้แนะใดต่อเรื่องเมื่อครู่”

ฝูฮุยกล่าว “พูดโน้มน้าวเสด็จพ่อเพียงอย่างเดียวเกรงว่าคงไม่ได้ผล ให้เขาลองดูเถอะ”

จิ่งสิงจึงว่า “การรบลองได้ด้วยหรือพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูฮุยตอบ “เซียงหยางมีผู้ลี้ภัยอยู่มาก ซ้ำยังรักษาเมืองไม่เข้มงวด หากยึดได้กำลังทหารก็จะเพิ่มขึ้นด้วย”

จิ่งสิงมุ่นคิ้วเล็กน้อย “ใช้ผู้ลี้ภัยชาวฮั่นมาเสริมกองทัพฉินเกรงว่าจะไม่เหมาะสม”

“เหมาะไม่เหมาะพี่ใหญ่ข้ากระจ่างแจ้งดีที่สุดแล้ว” ฝูฮุยพูดด้วยสีหน้าดูแคลน “ตอนนั้นเขาไปตั้งมั่นรักษาเมืองเยี่ยเฉิงก็มิใช่ใช้ผู้ลี้ภัยจำนวนมากเช่นกันหรือไร เมืองเยี่ยเฉิงนี้มิใช่รักษาไว้ได้เป็นอย่างดีเช่นเดิมหรือ หากต้องการตีเซียงหยาง เสด็จพ่อคงจะทรงเรียกพี่ใหญ่กลับมากระมัง ข้าไม่ได้พบเขามาหลายปีแล้ว…”

จิ่งสิงยืนอยู่ท่ามกลางสายลมพลางถอนหายใจน้อยๆ

ปีนี้เป็นปีที่อากาศหนาวเย็น ใกล้ถึงสิ้นปีตั้งแต่ฟ้าจรดดินมีแต่สภาพไร้ชีวิตชีวา ต้นไม้ใบหญ้าล้วนเหี่ยวแห้ง ทุกอย่างขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา

ในเมืองผิงหยางวุ่นวายอยู่บ้าง นับตั้งแต่ทัพฉินยกพลไปตีเซิ่งเล่อในปีนี้ แถบอวิ๋นจงก็มีผู้ลี้ภัยอพยพลงใต้ไม่ขาดสาย นอกเมืองผิงหยางเองก็มีคนมารวมตัวกันไม่น้อย

ทว่าจวนเจ้าเมืองที่อยู่ในเมืองมีเพียงความสงบ หลังผ่านการบูรณะก็เป็นระเบียบเรียบร้อย บนขื่อประตูใหญ่แขวนป้ายคำว่า ‘จวนเจ้าเมือง’ ที่มู่หรงชงเขียนด้วยตนเองเอาไว้ เมื่อเดินเข้าไปจะเป็นห้องโถงใหญ่ซึ่งแขวนป้ายไว้ป้ายหนึ่งเช่นกัน เป็นลายมือของมู่เฉิน

การวางตำแหน่งต่างๆ ในจวนหลักๆ แล้วเป็นไปตามความคิดของมู่เฉิน จึงค่อนข้างมีรูปแบบฮั่นอยู่พอสมควร ด้านหน้ามีสระน้ำ มีภูเขาหิน ด้านหลังมีศาลาริมน้ำ มีเรือนเล็กๆ ตรงกลาง มีห้องหนังสือ ห้องพิณ และห้องชงชา นอกห้องชงชาทำตามความชอบของมู่หรงชง สร้างศาลาเล็กหลังหนึ่งเตรียมไว้สำหรับใช้ชมหิมะในฤดูหนาว

เรือนใหญ่อันเป็นที่พักของมู่หรงชงมีชื่อว่า ‘เรือนอู๋ถง’ มู่หรงหย่งได้เปลืองความคิดความอ่านย้ายต้นอู๋ถงจำนวนมากมาจากที่อื่น ดูเติบโตได้ดีเป็นที่สุด มู่เฉินพักในเรือนเฉี่ยนจิ้งซึ่งอยู่ด้านขวาของเรือนใหญ่ ส่วนด้านซ้ายที่อยู่เยื้องฝั่งตรงข้ามเป็นหอชิ่นเสวี่ยของฝูเป่า สองที่นี้อยู่ห่างจากเรือนใหญ่พอๆ กัน ทว่าตอนแรกฝูเป่าดึงดันจะเดินทีละก้าว ใช้รองเท้าของตนเองวัดระยะทางสั้นยาวออกมา สุดท้ายก็ได้เลือกหอชิ่นเสวี่ยที่อยู่ใกล้กว่าสามก้าว

เดิมทีมู่เฉินคิดว่าฝูเป่าเป็นองค์หญิงที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างประคบประหงม แต่เมื่อเวลาผ่านไปนานวันเข้านางกลับยิ่งรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นคนที่น่าสนใจ ลำพังแค่ความยึดติดที่ขนาดวัดระยะทางไปๆ กลับๆ สามรอบนี้ก็ทำให้นางเกิดความนับถือแล้ว

ตอนแรกมู่หรงชงให้เซวียจิ่นเหยียนกับเซวียเซิ่นสิงเลือกว่าใครจะไปรับใช้ฝูเป่า แต่พวกนางล้วนอยากอยู่ข้างกายมู่เฉิน ฝูเป่ารู้เรื่องก็มิได้โกรธ และยิ่งไม่ได้เรียกร้องให้มู่หรงชงหาสาวใช้คนอื่นให้ หนึ่งปีมานี้เรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ล้วนจัดการด้วยตนเอง ใช้ชีวิตได้ผ่อนคลายเรียบง่ายยิ่งยวด

ฝูเป่าชอบเกาะติดมู่หรงชง ไม่เคยโศกสลดแม้มู่หรงชงจะใช้สายตาเย็นชามองใส่มาเป็นเวลานาน

 

วันสิ้นปีมู่หรงชงเปรยขึ้นว่าจะแขวนยันต์ไม้ท้อที่หน้าประตู ฝูเป่าจึงวิ่งไปซื้อที่ตลาดด้วยตนเองโดยไม่สนว่าวันสิ้นปีเหล่าพ่อค้าแม่ค้าจะล้วนเฝ้าปีอยู่ที่บ้าน

มู่เฉินเลี้ยงพิราบขาวน้อยตัวนั้นอยู่ในเรือนเฉี่ยนจิ้ง หนึ่งปีมานี้ไม่เพียงดูแลจนมันหายดีแล้ว ยังขุนเสียจนอ้วนตุ้บ ทั้งยังอาศัยอยู่ในเรือนนางไม่ยอมจากไปแล้ว มู่เฉินจึงเลี้ยงมันไว้เป็นสัตว์เลี้ยงเสียเลย และตั้งชื่อให้ว่า ‘เสี่ยวไป๋’

เสี่ยวไป๋กินอะไรไม่เรียบร้อย เมล็ดข้าวร่วงเต็มพื้น มันกระพือปีกสองทีอย่างเกียจคร้าน กินพลางเล่นพลาง

มู่เฉินคุกเข่าลง ใช้นิ้วดีดหัวมันเบาๆ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ไยเจ้าจึงดื้อปานนี้หนอ”

เสี่ยวไป๋ส่งเสียงร้องสองทีพลางเอาหัวถูไถกับมือนาง ก่อนก้มหน้ากินต่อ

มู่เฉินยื่นมือไปเกามัน พูดกับตนเองว่า “รู้จักแต่กินดื่มเที่ยวเล่น ความประพฤติของวงศ์ตระกูลของเราออกจะดี ไยจึงเลี้ยงลูกผู้สูงศักดิ์ไม่เป็นโล้เป็นพายอย่างเจ้าออกมาได้นะ รีบยืนตัวตรง ว่าง่ายๆ หน่อย ยืนตัวตรง”

จากนั้นมีเสียงหัวเราะในลำคอจากด้านหลัง มู่เฉินหันหน้าไปก็เห็นมู่หรงชงยืนอยู่ใกล้นางยิ่ง

“ท่านมาตั้งแต่เมื่อไร ข้าไม่ได้ยินเสียงเลยสักนิด”

“มาได้สักครู่แล้ว เห็นเจ้ากำลังใช้กฎบ้านทำโทษเจ้าเด็กอกตัญญูนี่อยู่จึงมิกล้าส่งเสียง”

คนทั้งสองล้วนเป็นคนพูดเล่นไม่เก่ง แต่โต้ตอบกันไปมาเช่นนี้กลับไม่รู้สึกห่างเหิน ทว่าคำอย่าง ‘ของเรา’ ‘กฎบ้าน’ ‘เด็ก’ นี้ เมื่อคิดดูดีๆ กลับมีความหมายต่างไปอยู่บ้าง

มู่เฉินย่อตัวนั่งนาน รู้สึกว่าขาชา หลังลุกขึ้นยืนถึงได้พบว่าขาทั้งสองข้างชาจนขยับไม่ได้แล้ว ได้แต่ยืนหายใจเข้าออกอยู่กับที่

มู่หรงชงยื่นมือไปหาแล้วกล่าวว่า “ข้าจะประคองเจ้า”

มู่เฉินส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว ประเดี๋ยวก็หาย”

เสี่ยวไป๋อยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสอง กินพลางร้องพลาง “กรู๊วๆๆ กรู๊วๆๆๆ กรู๊วๆๆ…”

คนทั้งสองอยู่ห่างกันด้วยระยะเท่านี้ มู่เฉินใช้สองมือทุบน่องเบาๆ มู่หรงชงตั้งอกตั้งใจมองอยู่ด้านข้าง

เขากำลังมองอย่างตั้งใจจริงๆ สายตาจับจ้องแน่วนิ่งอยู่บนหน้ามู่เฉิน แสงแดดยามบ่ายส่องเฉียงมาจากด้านหลัง บนดวงหน้านางคล้ายว่าทอแสงอ่อนๆ แม้แต่เส้นผมก็ยังถูกย้อมเป็นสีทอง

มู่หรงชงส่องคันฉ่องบ่อยแล้ว ตั้งแต่เล็กก็ไม่รู้ว่าคนงามคือสิ่งใด แต่ชั่วเสี้ยวเวลานี้ในสมองเขาพลันมีคำนี้ผุดขึ้นมา คิดอย่างรู้สึกช้าว่าอาเฉิน…อาเฉินของเราอันที่จริงก็ดูดียิ่ง

ของเรา…คำที่มู่เฉินเผลอพูดออกมาก่อนนี้วนอยู่ในใจมู่หรงชงได้รอบหนึ่ง เขาถึงกับรู้สึกว่าเหมาะเจาะยิ่งยวด ความเหมาะเจาะนี้ทำให้ในใจเขาร้อนผ่าวขึ้นมาน้อยๆ

อาเฉิน…ของเรา

มู่เฉินขาหายชาแล้ว ในที่สุดก็กลับมาเดินได้ แต่ครั้นเงยหน้าขึ้นกลับสบเข้ากับสายตาลึกล้ำของมู่หรงชงที่จับจ้องอยู่พอดี แววตาของเขาต่างจากที่ผ่านมาเหลือเกิน อารมณ์ที่บอกได้ไม่ชัดเหล่านั้นโหมซัดอยู่ในที่มืด ชวนให้คนขบคิด

มู่หรงชงเห็นสีหน้าของนางเปลี่ยนจากประหลาดใจเป็นนิ่งอึ้ง ก่อนเปลี่ยนจากขาวผ่องเป็นแดงเรื่อก็อดจะยกยิ้มมุมปากไม่ได้

ฝูเป่าไปซื้อยันต์ไม้ท้อ พอไปทีก็ไปเป็นครึ่งค่อนวัน

เดิมมู่หรงชงนึกว่านางห่วงเที่ยวเล่นจนลืมเวลา แต่เมื่อถึงยามตะวันตกดินมู่หรงหย่งมารายงานว่าคนยังไม่กลับมา มู่หรงชงถึงได้ให้คนออกไปตามหา ทว่าหาจนฟ้ามืดแล้ว กระทั่งบนถนนทั้งสายไม่มีคนอยู่แล้วก็ยังคงไม่เห็นเงาของฝูเป่า

มู่เฉินเสนอว่า “มิสู้ให้พวกเจ็ดสายไปหาจะดีกว่า หงจูด้วย นางมีลูกน้องจำนวนมาก”

หนึ่งปีมานี้พวกเขากับหงจูร่วมงานกันได้มีความสุขยิ่งยวด ห้องใต้ดินของหอบุปผชาติอีผิ่นกลายเป็นโรงจำนำลับ พร้อมกับที่หงจูได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ทรัพยากรกองทัพของมู่หรงชงก็เพิ่มพูนขึ้นเช่นกัน เขาถึงขนาดเริ่มเพาะเลี้ยงองครักษ์ลับ แต่ละคนมีวรยุทธ์เหนือผู้อื่น อีกทั้งจงรักภักดี เจ็ดคนนี้ไม่มีชื่อ เพียงใช้สายพิณทั้งเจ็ดเส้นเรียกแทนชื่อ

มู่หรงชงกล่าว “ข้าสั่งให้องครักษ์ลับไปตามหาแล้ว ส่วนทางหงจูเจ้าไปกับข้า สิ้นปีแล้ว ควรไปสะสางบัญชีสักหน่อยเช่นกัน”

มู่เฉินพยักหน้า “ตกลง”

 

หอบุปผชาติอีผิ่นเป็นดั่งที่แล้วมา ด้านนอกประตูมีรถม้าวิ่งขวักไขว่ ด้านในประตูหรูหราโอ่อ่าถึงขีดสุด

หลังมู่หรงชงกับมู่เฉินเดินเข้าไปจากประตูใหญ่ก็มีคนนำทางไปถึงห้องธรรมดาห้องหนึ่ง จากนั้นก็เดินลงจากทางลับใต้เตียงไปยังโรงจำนำใต้ดิน

ทางลับนี้ทำได้ลับยิ่งยวด ทุกๆ สองสามวันจะเปลี่ยนทางเข้าใหม่ แม้จะเป็นมู่หรงชงกับมู่เฉิน หากไร้ผู้นำทางก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะหาทางนี้เจอได้อย่างไร

มู่เฉินนึกขึ้นได้ว่าขณะมายังหอบุปผชาติครั้งแรกนางเคยหลงทางอยู่ที่นี่ เวลานั้นนางก็รู้สึกแปลกๆ แล้ว บัดนี้เห็นทางลับที่เปลี่ยนไปต่างๆ นานานี้ยิ่งลงข้อสรุปได้ว่าภายในหอบุปผชาติอีผิ่นนี้มีผู้วิเศษที่แตกฉานด้านฉีเหมินตุ้นจย่า

สองข้างทางเดินแคบยาวที่มืดและชื้นมีตะเกียงน้ำมันจุดอยู่ ทำให้ทั้งห้องใต้ดินยิ่งดูหนาวเย็นอึมครึม หลังพวกเขาเดินเลี้ยวได้สองสามหนก็มาถึงห้องที่กว้างและสว่างในที่สุด

เนื่องจากเป็นการค้าลับผู้มาค้าขายยังโรงจำนำจึงล้วนใช้ผ้าดำคลุมหน้า เผยเพียงดวงตาสองข้าง เป็นเหตุให้ใครก็จำใครไม่ได้

สองข้างของห้องโถงนี้เป็นห้องเล็กๆ สองห้อง ที่ปิดอยู่แสดงว่ามีคนอยู่ วันนี้มีแขกมาค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงมีอยู่สองสามคนที่กำลังรออยู่ในโถง

มู่หรงชงเปลี่ยนมาสวมชุดลำลอง มู่เฉินเองก็แต่งกายในชุดบุรุษ ฉะนั้นขณะพวกเขาเข้ามาจึงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของผู้อื่น กลับเป็นในหมู่แขกเสียอีก มีสองกลุ่มที่ดูสะดุดตายิ่งยวด คนหนึ่งเป็นบุรุษที่ดูคล้ายตกอับ จูงเด็กอายุราวหกเจ็ดขวบคนหนึ่งมาด้วย อีกคนเป็นหญิงสาวแต่งกายหรูหรางดงาม ศีรษะประดับเครื่องทอง

มู่เฉินประหลาดใจเล็กน้อย เห็นทีผู้ที่เข้าออกโรงจำนำใต้ดินนี้จะมีคนทุกประเภทปะปนกันตามคาดจริงๆ

บ่าวรับใช้พาพวกเขามาถึงห้องหนึ่งทางด้านหลังซึ่งเร้นลับยิ่งกว่า หงจูรออยู่ที่นั่นแล้ว เบื้องหน้านางมีสมุดบัญชีเล่มหนาวางไว้ตั้งหนึ่ง เห็นพวกมู่หรงชงเข้ามานางก็ผลักสมุดบัญชีไปหา มือหนึ่งเท้าคาง แล้วกล่าวยิ้มๆ “ปีนี้มีรายได้ดีพอสมควร ท่านเจ้าเมืองเตรียมจะขอบคุณข้าอย่างไร”

มู่หรงชงตอบ “แบ่งกำไรกัน”

“ยังคงไม่เข้าใจเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ถึงเพียงนี้” หงจูชำเลืองมองมู่เฉิน “ปกติเขาก็เป็นเช่นนี้กับเจ้า?”

มู่เฉินหน้าแดงแทบจะทันที ก่อนพูดอ้ำอึ้ง “พวกข้าไม่ได้เป็นอย่างที่ท่านคิด”

หงจูพูดด้วยท่าทีดูแคลนยิ่งยวด “เสแสร้งไปเถอะ เสแสร้งต่อไป”

มู่หรงชงเปิดดูสมุดบัญชีอยู่ตรงนั้นคล้ายว่าหูไม่ได้ยินที่พวกนางคุยกัน มู่เฉินจึงเลื่อนสายตาไปอยู่ที่บัญชีทันที ขณะมองเห็นบรรทัดสุดท้ายใจก็ยิ่งเต้นเร็ว ตัวเลขนี้มากกว่าที่ตนเองประเมินไว้ก่อนหน้านี้มากโข

มู่หรงชงปิดสมุดบัญชีก่อนว่า “เรื่องโรงจำนำ ขอบคุณมากที่เปลืองสมองช่วยเหลือ พวกข้ามาครั้งนี้ยังมีอีกเรื่องใคร่รบกวน”

“รบกวนๆ ท่านรู้จักแต่รบกวนข้า คิดว่าหน้าตาดีแล้วกินแทนข้าวได้จริงๆ สินะ…” หงจูนั่งเล่นผมอยู่ตรงนั้น เงยหน้ามองมู่หรงชงปราดหนึ่ง “ก็ได้ หน้าตาดีกินแทนข้าวได้จริงๆ เห็นหน้าท่านแวบเดียวข้าก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ว่ามาเถิด เรื่องอะไร”

มู่หรงชงชินกับคำพูดเจ้าชู้กรุ้มกริ่มของหงจูแล้วจึงเพียงทำเป็นไม่ได้ยิน “อาเป่าน้องสาวข้าวันนี้ออกมาซื้อยันต์ไม้ท้อ จนป่านนี้ยังไม่กลับ…”

“เหอะๆๆ…” หงจูเริ่มป้องปากหัวเราะ “เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังต้องมาหาข้า? ย่อมจะหนีตามบุรุษไปแล้วน่ะสิ!”

มู่เฉินกล่าว “ไม่มีทาง ปกตินางเพียงแต่ซุกซน แต่ไม่ถึงขั้นนั้นอย่างเด็ดขาด ยิ่งกว่านั้น…นางก็ไม่มีคนที่พึงใจ”

“ไม่มีคนที่พึงใจ?” หงจูแค่นเสียงออกจมูก “คุณหนูที่โตปานนี้ยังไม่มีคนในใจ ข้าไม่เชื่อหรอก หรือว่านางจะปักใจในตัวพี่ชายเจ้าเมืองผู้นี้แล้ว?”

มู่หรงชงหน้าแข็งค้างน้อยๆ “แม่นางหงจูอย่าได้ล้อเล่น”

หงจูเปิดสมุดบัญชี นิ้วชี้เคาะลงไปด้านบนเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ตอนแรกพวกเราตกลงกันเรียบร้อยว่าท่านต้องการข่าวจากข้า ข้าคิดราคาท่านเพียงครึ่งเดียว บัดนี้หากต้องการตามหาคน…นำรายได้สามส่วนของบัญชีเล่มนี้มาแลกแล้วกัน”

มู่หรงชงหน้าเปลี่ยนสี ตะลึงงันอยู่กับที่ไปชั่วครู่หนึ่ง

กลับเป็นมู่เฉินชิงพูดว่า “ตกลง!”

มู่หรงชงมองนางปราดหนึ่ง มู่เฉินจึงว่า “การตามหาคนสำคัญกว่า”

“เด็กๆ!” หงจูเห็นจำนวนเงินมหาศาลเข้าบัญชีอีกแล้วจึงยิ้มแฉ่งพลางเรียกลูกน้องมาสั่งว่า “ถ่ายทอดคำสั่งลงไป จงไปตามหาคุณหนูที่มีนามว่าอาเป่าผู้นั้นจากจวนท่านเจ้าเมือง”

ลูกน้องที่ถูกนางเรียกมาผู้นั้นอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนก้มลงกระซิบไม่กี่คำข้างหูหงจู

หงจูหัวเราะขึ้นมาในทันที “ช่างเถอะ เงินนี้หาได้ง่ายเกินไปแล้ว กลับจะดูเหมือนว่าข้าไม่มีน้ำใจ ท่านเจ้าเมือง ไปเถิด น้องอาเป่าของท่านอยู่ข้างนอกนี้เอง คนหน้าตาดีนี้ช่างมีน้องสาวเยอะเสียจริง ประเดี๋ยวก็น้องอาเฉิน ประเดี๋ยวก็น้องอาเป่า…”

บทที่ 6 อุ่นสุราคืนหิมะตก

มู่หรงชงกับมู่เฉินเดินตามหงจูออกจากห้องเล็กมาถึงในโถง พอจะได้เห็นสภาพโกลาหลอยู่บ้าง

เริ่มจากสตรีในชุดหรูหรานางนั้นรั้งตัวบุรุษตกอับที่พาเด็กมาด้วยผู้นั้นไว้เพื่อถกกันว่าใครมาก่อนหลัง ด้วยคิดจะไปทำการค้าก่อนหน้าฝ่ายบุรุษ

ส่วนด้านบุรุษผู้นั้นก็ต้องการนำบุตรชายของตนเองมาจำนำเพื่อยืมเงิน เด็กชายได้ยินแล้วก็ร้องไห้โฮออกมาทันที

ถัดจากนั้นก็มีชายฉกรรจ์เพิ่งถลันเข้ามาอีกคน ลากหญิงสาวนางหนึ่งตามหลังมาด้วย ร่ำร้องว่าต้องการใช้นางแลกเงิน สตรีนางนั้นก็คือฝูเป่า

ฝูเป่าเห็นมู่หรงชงกับมู่เฉินก็ร้องขึ้นด้วยความดีใจอย่างมากทันที “พี่เฟิ่ง รีบช่วยข้าด้วย! เจ้าคนเสียสตินี่ต้องการจะขายข้า!”

สตรีในชุดหรูหรามองฝูเป่าปราดหนึ่งด้วยสายตาพิกล ก่อนจะมองไปยังมู่หรงชงและมู่เฉิน

เด็กชายคนนั้นเองก็ร้องไห้พลางพูด “พี่เฟิ่ง ข้าไม่อยากถูกขาย! ไม่เอาที่นี่!”

ฝูเป่าหันไปมองเด็กชายพลางว่า “เจ้าเรียกอะไรส่งเดช นี่คือพี่เฟิ่งของข้า!”

เด็กชายยิ่งร้องไห้หนัก “ข้าเองก็มี…อื้อ…”

บุรุษผู้นั้นรีบปิดปากเด็กชายไว้ “อากุ้ย หยุดร้องไห้ พ่อได้ยินแล้วรำคาญ”

อากุ้ยหยุดเสียงทันควัน เพียงใช้ดวงตาเล็กถลึงมองฝูเป่า

ฝูเป่าพูดด้วยอารามโมโห “เจ้าถลึงตามองข้าด้วยเหตุใด! ไม่ใช่ข้าที่ต้องการขายเจ้าเสียหน่อย!”

สตรีในชุดหรูหราเห็นที่แห่งนี้โกลาหลไปหมดจึงพูดเสียงดัง “พวกเจ้ายังจะทำการค้ากันอยู่หรือไม่! ไหนว่าเป็นโรงจำนำอันดับต้นๆ ของแคว้นฉิน แม้แต่ทองคำหกสิบชั่งของข้ายังไม่กล้ารับฝาก?!”

โครม! สตรีนางนั้นโยนห่อสิ่งของที่แบกติดตัวไว้ลงพื้น

รอบข้างเงียบลงในทันใด

ทองคำหกสิบชั่ง!

หงจูมองตาค้างไปแล้ว ยิ้มได้เปี่ยมเสน่ห์ชวนหลงใหล ก่อนจะกล่าวว่า “ตายจริง เรียนถามแม่นางท่านนี้ ได้ทองคำมากมายปานนี้มาจากที่ใด”

สตรีนางนั้นมีผ้าดำคลุมหน้าอยู่ มองเห็นหน้าตาไม่ชัด แต่ดวงตาทั้งสองกลับจ้องหงจูไม่ละสายตา “คนทำอาชีพนี้มิใช่ควรรับฝากโดยไม่ถามที่มาของทรัพย์สินเงินทองหรือไร”

หงจูยิ้มเอาใจ “จำนวนเล็กน้อยย่อมจะไม่สอบถาม ทว่าจำนวนมากเท่านี้ ถ้าเกิดท่านปล้นมาจากที่ใด…”

“บ้านข้ามีเงินมาก นี่เป็นสินเจ้าสาว ข้านำออกมาเตรียมจะหนีตามคน มิได้หรือ”

หงจูอึ้งงันไป คิดว่าตนเองฝีปากไม่เป็นรองใครแล้ว ไม่คาดว่าจะมีคนที่ลับฝีปากเก่งปานนี้โผล่มา นางเลิกสนใจที่มาของทรัพย์สินนี้ในทันใด เก็บไว้ที่นี่อย่างไรก็ดีกว่าไปเก็บไว้ที่อื่น ด้วยเหตุนี้จึงพูดด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ย่อมได้อยู่แล้ว นี่…ข้าถึงบอกอย่างไร คุณหนูจากตระกูลมีเงินน่ะหนีตามบุรุษได้ง่าย…ใช่หรือไม่ คุณชายท่านนี้?”

หงจูพูดพลางมองไปยังมู่หรงชง คนทั้งหลายจึงเลื่อนสายตาตามไปมองเขา

มู่หรงชงกล่าวกับชายฉกรรจ์ผู้นั้นว่า “มิทราบว่าน้องสาวข้าทำสิ่งใดล่วงเกินเจ้า”

“นี่คือน้องสาวเจ้า?” ชายฉกรรจ์พูดด้วยโทสะ “สั่งสอนกันมาอย่างไร! ข้าอุตส่าห์บอกไปแล้วว่าวันนี้ไม่ขายยันต์ไม้ท้อ นางก็ยังจะพุ่งเข้าบ้านข้าให้จงได้! ตีภรรยาข้าไม่พอ ยังจุดไฟเผาบ้านข้าเสียวอดไปครึ่งหลัง!”

มู่หรงชงกล่าวด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน “น้องสาวผู้นี้ของข้าชอบวางเพลิงมาตั้งแต่เยาว์วัย…”

สตรีในชุดหรูหราที่อยู่ด้านข้างหัวเราะพรืด

มู่หรงชงกล่าวด้วยสีหน้าอ่อนอกอ่อนใจ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าลองคำนวณค่าเสียหายมาดู ข้าจะชดใช้ให้เป็นสองเท่า”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นรู้สึกว่าเงินจำนวนเท่านี้คุ้มค่าจึงไม่มัวดันทุรัง รับเงินเสร็จก็กลับบ้านไปฉลองปีใหม่แล้ว

คนของโรงจำนำนำทองคำของสตรีนางนั้นไปวางไว้เรียบร้อยแล้วก็มอบหนังสือสัญญาให้นาง

คนหนุ่มที่เหลืออยู่ผู้นั้นถึงกับไม่พูดว่าจะขายเด็กแล้ว เพียงจูงมือเด็กชายเดินออกไปเงียบๆ

หงจูเรียกเขาไว้ “คุณชายท่านนี้ ท่านไม่ยืมเงินแล้วหรือ”

คนผู้นั้นตอบ “บุตรชายมีเพียงคนเดียว คิดแล้วยังคงตัดใจไม่ลง”

อากุ้ยเช็ดน้ำตาจนแห้ง จับมือบิดาไว้แน่น

คนทั้งคณะเดินมาถึงปากประตูก็ค้นพบว่าที่ด้านนอกถึงกับเริ่มมีหิมะตกหนัก

ก่อนพวกเขาจะเข้าไปท้องฟ้ายังปลอดโปร่งอยู่ เป็นเหตุให้มิได้พกสิ่งกำบังมาด้วย เว้นแต่ชายฉกรรจ์ที่รีบเร่งกลับไปหาภรรยา คนที่เหลือล้วนแต่หยุดฝีเท้า

หงจูเสนอให้ไปนั่งที่หอบุปผชาติสักครู่หนึ่ง รอหิมะหยุดแล้วค่อยออกไป

มีเพียงชายหนุ่มผู้นั้นที่แสดงสีหน้าสองจิตสองใจ แต่เมื่อมองดูอากุ้ยที่หลังมือเย็นจนเป็นสีแดงเถือกแล้วก็ยังคงตอบตกลง

เนื่องด้วยเป็นวันสิ้นปีหอบุปผชาติจึงไม่มีแขกแม้แต่คนเดียวอย่างหาได้ยาก หงจูพาพวกเขาเข้าไปในห้องชงชาก่อนชงชาให้ด้วยตนเอง

เอะอะวุ่นวายกันมาเกือบครึ่งวัน คนทั้งหลายฟังกันออกแล้วว่าต่างมีสำเนียงต่างกัน จึงหมดอารมณ์จะปกปิดหน้าตา สตรีในชุดหรูหรานางนั้นปลดผ้าคลุมศีรษะลงคนแรก โยนไปไว้ด้านข้าง ก่อนกล่าวว่า “ได้พบกันในวันสิ้นปีก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ผู้น้อยหานเหยียน ขอคารวะทุกท่าน พวกท่านเรียกข้าว่าอาจิ่วก็ได้!” นางพูดจบก็ขยิบตาให้มู่หรงชง

มู่หรงชงรู้สึกว่าคนผู้นี้ดูคุ้นตาอยู่บ้าง แต่กลับนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใด ยามนี้นางบอกชื่อแซ่มาแล้วถึงค่อยระลึกได้ “เฟิ่งจิ่วเทียน?”

หานเหยียนกล่าวยิ้มๆ “ท่านจำฉายาของข้าได้?”

มู่เฉินมองอีกทีก็จำได้แล้วเช่นกัน วันนั้นขณะล่าสัตว์ที่อุทยานซั่งหลินนางแต่งตัวเป็นบุรุษอยู่ข้างหลังเหยาฉาง ซ้ำยังได้ช่วยชีวิตของมู่หรงชงไว้อย่างมีคุณธรรมน้ำใจยิ่งยวด

ฝูเป่าจำคนผู้นี้ไม่ได้โดยสิ้นเชิง มองนางไม่กี่อึดใจแล้วก็ก้มหน้าก้มตาดื่มน้ำชากับตนเองเงียบๆ

หานเหยียนประสานมือกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองไม่ต้องปิดหน้าแล้ว ที่นี่นอกจากพ่อลูกคู่นี้ก็ไม่มีคนนอกแล้ว”

มู่เฉินมองพ่อลูกคู่นั้นเล็กน้อยก่อนปลดผ้าคลุมหน้าลง

มู่หรงชงปลดผ้าคลุมหน้าตามก่อนว่า “วันนั้นขอบคุณมากที่ให้การช่วยเหลือ มิทันได้กล่าวขอบคุณมาโดยตลอด”

จะอย่างไรก็มีคนนอกอยู่ด้วย พวกเขาจึงคุยกันอย่างคลุมเครือ ไม่สะดวกจะระบุชัดแจ้ง

หานเหยียนกล่าว “มิต้องเกรงใจ ข้าเห็นเขาขัดหูขัดตาอยู่แต่เดิมแล้ว” พูดจบก็มองไปยังฝูเป่า

คราวนี้หน้าของฝูเป่าอดไม่ได้ที่จะซีดลงเล็กน้อย

พ่อลูกคู่ที่เหลือนั้นดึงผ้าคลุมหน้าลงในที่สุดท่ามกลางสายตาของคนทั้งหลาย

บุรุษผู้นั้นดูหนุ่มกว่าที่คิดไว้ ท่าทางมีอายุราวยี่สิบต้นๆ แม้จะแต่งกายซอมซ่อ แต่หน้าตาดูสุภาพหมดจด บุคลิกลักษณะไม่สามัญ เด็กคนนั้นก็หน้าตาหล่อเหลาพริ้มเพรายิ่งยวด เครื่องหน้าเด่นชัด มองแวบแรกกลับคล้ายคลึงมู่หรงชงอยู่หลายส่วน

บุรุษผู้นั้นประสานมือกล่าวว่า “ผู้น้อยเยียนเฟิ่ง นามรองว่าจื่อจาง นี่คืออากุ้ยบุตรชายข้า ขอคารวะท่านเจ้าเมือง”

มู่หรงชงผงกศีรษะน้อยๆ “เด็กคนนี้หน้าตาคล้ายชาวเซียนเปยอย่างพวกข้าอยู่บ้าง”

เยียนเฟิ่งจึงว่า “ใต้เท้าสายตาเฉียบแหลม มารดาของเขาเป็นชาวเซียนเปย”

คนทั้งหลายดื่มชาร้อนๆ กันแล้วก็ร่างกายอุ่นขึ้นมาก ยามสนทนาจึงมิได้ระมัดระวังตัวถึงเพียงนั้นอีก หงจูกล่าวยิ้มๆ “ชาวเซียนเปยหน้าตาดี เด็กคนนี้เติบใหญ่แล้วจะต้องเป็นคุณชายรูปงาม!”

เยียนเฟิ่งกล่าวเนิบๆ “ขอบคุณในวาจาอันเป็นมงคล เกิดมาในยุคสมัยบ้านเมืองปั่นป่วน ข้าเพียงหวังให้เขาเติบโตขึ้นอย่างราบรื่น”

หงจูพูดยิ้มๆ “ช่างจิตใจกว้างขวางนัก”

ระหว่างที่คุยกันมู่หรงหย่งได้วิ่งเหยาะๆ จากด้านนอกเข้ามาพูดกับมู่หรงชง “นายท่าน ใต้เท้าจิ่งมาแล้วขอรับ”

มู่หรงชงถามด้วยความฉงน “ใต้เท้าจิ่งคนใด”

“ก็คนที่…” มู่หรงหย่งมองคนแปลกหน้าที่อยู่ด้วยเล็กน้อย จงใจตอบคลุมเครือ “ใต้เท้าจิ่งที่มาเยี่ยมคุณหนูอาเป่าขอรับ”

มู่หรงชงยังไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ฝูเป่าก็ยืนขึ้นถามด้วยความตื่นเต้นดีใจแล้ว “เขาอยู่ที่ใด รีบพาข้าไป!”

นอกห้อง หิมะหยุดตกแล้ว กลางลานเรือนขาวโพลน จิ่งสิงลงจากหลังม้า สะบัดเสื้อคลุมกันลมเล็กน้อย เกล็ดหิมะร่วงกราว

“จิ่งสิง!”

ห้องที่เบื้องหน้าถูกเปิดออกกะทันหัน ฝูเป่าวิ่งออกมาจากด้านใน ตรงดิ่งมาถึงตรงหน้าจิ่งสิงแล้วก็ถึงกับกอดแขนเขาไว้โดยไม่ให้ตั้งตัว

ไม่ได้พบกันหนึ่งปีนางสูงขึ้นแล้ว เมื่อก่อนเพียงถึงไหล่ บัดนี้แตะถึงคางเขาได้แล้ว จิ่งสิงเงยหน้า กางสองมือออก แล้วพูดจากระอักกระอ่วน ไม่รู้ควรทำอย่างไรดี “องค์…องค์หญิง!”

“ชู่!” ฝูเป่าปล่อยเขา “ที่นี่ไม่มีองค์หญิง เรียกข้าว่าอาเป่าก็พอ”

เขาพยักหน้าน้อยๆ กล่าวว่า “อาเป่า”

“เจ้าบอกแล้วว่าจะกลับมาเยี่ยมข้าทุกปี เห็นว่านี่เป็นวันสุดท้ายของปีนี้แล้ว ยังนึกว่าเจ้าหลอกข้า จะไม่มาแล้วเสียอีก!”

จิ่งสิงมองนางอย่างอ่อนโยน “รับปากองค์หญิงแล้ว มิกล้าไม่ปฏิบัติตาม”

“เอาอีกแล้ว บอกให้เรียกอาเป่า”

“ตกลง อาเป่า”

ที่ด้านหลังพวกมู่หรงชงพากันเดินออกมา ผู้ที่รู้จักจิ่งสิงล้วนกล่าวทักทายเขาอย่างไม่เอิกเกริก

หงจูมองขอบฟ้า ม่านดำมาเยือนแล้ว ดวงดาวเต็มฟ้า พลันเปรยขึ้นด้วยอารามเกิดความคิดแผลงๆ “โลกมนุษย์เงียบเหงา ได้พบกันทั้งที คืนนี้เป็นวันสิ้นปี ท้องฟ้านี้ดูคล้ายจะไม่มีหิมะตกแล้ว พวกท่านอยู่เฝ้าปีด้วยกันเถิด”

มู่หรงชงมองมู่เฉิน เห็นนางพยักหน้าก็มิได้คัดค้าน

หงจูเองก็ไม่ให้โอกาสผู้อื่นได้คัดค้าน สั่งให้ลูกน้องปิดประตูใหญ่แล้วให้บ่าวไพร่มากวาดหิมะให้มีพื้นที่ว่างสำหรับจัดวางฟืนและภาชนะหุงต้ม ก่อนจะขนอาหารและสุราออกมาจากในครัว

ไม่นานไฟก็ลุกโชน ขับไล่ไอหนาวให้สลายไป คนทั้งหลายนั่งล้อมรอบกองไฟ ไม่รู้สึกหนาวเย็นแม้เพียงกระผีก

หงจูเก็บประกายแหลมคมลงอย่างหาได้ยาก คอยดูแลเตาอุ่นไหสุราที่อยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าอ่อนโยน “คนรุ่นก่อนร่ำสุราแกล้มบ๊วยเขียว* กลายเป็นเรื่องราวอันดีงาม มิสู้พวกเราก็ใช้เรื่องนี้เป็นหัวข้อ มาคุยกันถึงทิศทางสถานการณ์ในใต้หล้านี้ดูเถิด”

หานเหยียนกล่าวนำขึ้นว่า “บัดนี้ยังมีทิศทางสถานการณ์อะไรได้อีก ฝ่าบาทเพิ่งทรงปราบสกุลทั่วป๋าไป นอกจากพื้นที่เท่ากระเบียดนิ้วแถบเจียงจั่วนั่น ใต้หล้าก็อยู่ใต้อาณัติเขาหมดแล้ว”

หงจูยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาจริงแท้ แต่ผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสายจะอย่างไรก็เป็นราชวงศ์จิ้น”

หานเหยียนจึงว่า “รอฝ่าบาททรงยกทัพใหญ่ลงใต้ก่อนเถอะ ราชวงศ์จิ้นจะอยู่หรือไปเป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น!”

ฝูเป่าเอ่ยถึงข่าวที่ได้ยินมาจากในหมู่ราษฎรเมื่อหลายวันก่อน “ได้ยินว่าองค์ชายน้อยทั่วป๋ากุยผู้นั้นถูกไทเฮาพาหนีออกจากวังหลวงเซิ่งเล่อไปหาเผ่าอื่นแล้ว?”

จิ่งสิงพึมพำอย่างลังเล “แม้แคว้นไต้ของสกุลทั่วป๋าจะถูกทำลายแล้ว แต่เผ่าต่างๆ ที่กระจัดกระจายกันไปยังกุมกำลังทหารอยู่ อีกทั้งชาวเซียนเปยก็ชำนาญการรบ แม้ทั่วป๋ากุยจะยังเยาว์วัย แต่ข้างกายย่อมจะมีผู้มากความสามารถ หากแอบซ่อนความสามารถไว้ได้ ภายภาคหน้าก็ไม่แน่ว่าจะไม่สามารถผงาดขึ้นมาอีกครั้ง”

ฝูเป่าพูดอย่างไม่ชอบใจ “พี่จิ่ง ท่านพูดเยี่ยงนี้ช่างเป็นการยกยอความน่าเกรงขามของผู้อื่นเสียนี่กระไร!”

จิ่งสิงตอบ “ได้ข่าวว่าเดิมทีฝ่าบาทมีพระราชประสงค์จะให้ทั่วป๋ากุยมาเป็นตัวประกันที่เมืองฉางอัน แต่สุดท้ายกลับทรงปล่อยผ่านไป พวกเขาทำให้ฝ่าบาททรงละทิ้งแผนการนี้ได้ จากนั้นก็เปลี่ยนมาเสาะหาการคุ้มครองจากชนเผ่า ช่างฉลาดโดยแท้ มิอาจดูถูกได้”

มู่เฉินมองดวงดาวบนฟากฟ้าพลางกล่าวว่า “หวังว่าสวรรค์จะคุ้มครองเด็กคนนี้”

ฝูเป่าแค่นเสียงในลำคอ “คุ้มครองเขาไปไย เพื่อให้วันหน้ามาบุกต้าฉินเราอีกกระนั้นหรือ”

“คุ้มครองให้เขาเติบใหญ่มาโดยปลอดภัย เปิดเผยบริสุทธิ์ จิตใจกว้างขวาง โอบอ้อมอารี” มู่เฉินเม้มปากเบาๆ ก่อนยิ้มด้วยอารามจนใจ “หากเด็กทุกคนเป็นเช่นนี้ได้จะดีมากเพียงไรหนอ”

ข้างไฟเตาที่เดี๋ยวติดเดี๋ยวดับไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่ามือที่ไพล่อยู่ด้านหลังของอากุ้ยกำแขนเสื้อของเยียนเฟิ่งไว้แน่น เยียนเฟิ่งรู้สึกถึงแรงนี้ก็กุมมือเล็กที่อ่อนนุ่มข้างนั้นไว้ในฝ่ามือโดยไม่กระโตกกระตาก เขามองมู่เฉินปราดหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ นางมีสีหน้าสงบราบเรียบและจริงใจ

จิ่งสิงถือชามสุราไว้ในมือ พลันถามขึ้นว่า “แม่นางเฉินดื่มสุราเป็นหรือไม่”

มู่เฉินตอบ “ดื่มได้ แต่คอไม่แข็งนัก”

จิ่งสิงยื่นชามสุราไปข้างหน้า “ขอคารวะหมดจอก แด่ความเปิดเผยบริสุทธิ์ของคนหนุ่มสาว แด่ความโอบอ้อมอารี”

เขาพูดจบก็ดื่มสุราจนหมด

มู่เฉินยกจอกสุราขึ้นมาดื่มหมดรวดเดียวเช่นกัน

ความร้อนระอุไหลจากคอลงไปที่อวัยวะภายใน ความเผ็ดร้อนพวยพุ่งจากอวัยวะภายในขึ้นมาถึงคอ มู่เฉินมีอาการเมากรึ่มในทันที นางหลับตาลง รู้สึกว่ากองไฟร้อนอยู่บ้าง

มู่หรงชงจับมือนางมาถามว่า “รู้สึกไม่สบายหรือ”

มู่เฉินส่ายหน้า “เพียงแค่ร้อนอยู่บ้าง”

“เช่นนั้นพวกเราไปรับลมสักหน่อย”

เขาดึงมู่เฉินให้ลุกขึ้นเดินไปด้านนอกโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้ทักท้วง

ฝูเป่าร้อนใจลุกขึ้นยืนตาม “พวกท่านจะไปที่ใด…”

หงจูดึงนางนั่งลง “ผู้อื่นจะไปทำให้สร่างเมา เจ้าจะไปร่วมวงอะไร นั่งลงกินข้าวเป็นเพื่อนพี่จิ่งเสีย คนเขาอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้าจากแดนไกล…”

ใกล้ถึงยามจื่อที่ไกลๆ มีเสียงคนจ้อกแจ้กจอแจคล้ายว่ากำลังเตรียมใช้ไฟเผาไม้ไผ่เพื่อบอกลาปีเก่าต้อนรับปีใหม่และขับไล่สิ่งชั่วร้ายป้องกันภัย

มู่หรงชงจูงมือมู่เฉินเดินนำอยู่ข้างหน้า บนพื้นมีหิมะกองเป็นชั้นหนา มู่เฉินเดินจนเหนื่อยอยู่บ้าง นางรู้สึกแปลกยิ่ง เมื่อครู่เพียงแต่ร้อนอยู่บ้าง แต่ยามนี้ทั้งตัวคนเริ่มจะวิงเวียนแล้ว

มู่หรงชงพลันหยุดเดิน หันหน้ามามองนาง สองตาสว่างจ้าประหนึ่งว่ากำลังเปล่งแสง เขาก้มหน้าน้อยๆ มองมู่เฉิน “อาเฉิน นี่เป็นวันสิ้นปีครั้งที่สองที่พวกเราข้ามผ่านไปด้วยกัน”

มู่เฉินมองเขาพลางพยักหน้า พูดด้วยท่าทางใจลอย “เฟิ่งหวง ข้าเหมือนจะเวียนศีรษะอยู่บ้าง”

มู่หรงชงใช้สองมือกอบประคองใบหน้าของมู่เฉินไว้ ก่อนพูดต่ออีกว่า “หลังจากนี้ก็ข้ามผ่านไปด้วยกันเถิด”

“อะ…อะไร” มู่เฉินยังคงวิงเวียน ทั้งๆ ที่มือของเขาประคองศีรษะนางไว้ แต่ศีรษะนี้กลับคล้ายว่ายังสามารถโงนเงนอยู่ในฝ่ามือเขาได้…

ทว่าความโงนเงนนี้หาได้คงอยู่นานนัก เนื่องจากคนตรงหน้าพลันก้มตัวลงมา ใบหน้าปานหยกเจียระไนขยายใหญ่ขึ้นไม่หยุด หลังจากนั้นก็สัมผัสได้ถึงความเย็นบนริมฝีปาก ถัดมานางก็ไม่รู้สึกถึงการดำรงอยู่ของตนเองแล้ว

เสียงปริแตกของไม้ไผ่ดังขึ้นในเวลานี้ เสียงโห่ร้องยินดีของผู้คนดังต่อกันเป็นระลอก ประเดี๋ยวไกล ประเดี๋ยวใกล้

พวกเขาบอกลารัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบสองกันภายใต้ท้องฟ้าราตรีและดวงดาวเช่นนี้ รัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบสามที่ตามมาติดๆ มาเยือนอย่างเงียบเชียบ

มู่เฉินรู้สึกว่าความเย็นน้อยๆ บนริมฝีปากค่อยๆ ร้อนขึ้น ไม่ง่ายเลยที่นางจะดึงตนเองกลับมาจากความวูบโหวง ค่อยๆ พยายามประสานภาพตรงหน้าจนได้คำตอบที่ชวนให้นางหน้าแดงใจเต้น

อ้อ ไม่สิ เดิมทีนางก็หน้าแดงใจเต้นเพราะฤทธิ์สุราอยู่แล้ว บัดนี้เพียงแต่รุนแรงขึ้นเท่านั้นเอง

เขาถึงกับ…ยังคิดได้คืบจะเอาศอก!

มู่เฉินกัดลงไปตามจิตใต้สำนึก

มู่หรงชงพลันเบิกตาโต เขาเจ็บจนต้องนิ่วหน้า ทว่าหาได้ยอมแพ้ด้วยเหตุนี้ไม่ กลับยิ่งดึงดัน

มู่เฉินแทบจะสร่างเมาเต็มที่แล้วจึงไม่กล้ากัดเขาอีก ในชั่วขณะนี้นางรู้สึกเพียงว่าฟ้าดินได้เปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว ในใจนางประเดี๋ยวฝาดเฝื่อน ประเดี๋ยวก็หวานชื่น

ในที่สุดเขาก็หยุดลง เพียงแต่สองมือที่กอดนางมิได้คลายออก เขามองนางในระยะใกล้เท่านี้ ใบหน้าก็เป็นสีแดงเช่นกัน พูดพร้อมกับหอบหายใจน้อยๆ “รับปากหรือไม่”

มู่เฉินถามอย่างไม่เข้าใจ “รับปากเรื่องอะไร”

มู่หรงชงกอบใบหน้านางพลางว่า “เมื่อครู่ข้าบอกว่าทุกคืนสิ้นปีหลังจากนี้พวกเราก็ข้ามผ่านไปด้วยกัน”

มู่เฉินมองเขา กำเสื้อด้านหลังเขาไว้อย่างทำอะไรไม่ใคร่ถูก เนิ่นนานจึงค่อยพูดเบาๆ “ท่านกดทับไว้เยี่ยงนี้ ข้าจะพยักหน้าอย่างไร…”

มู่หรงชงคลี่ยิ้ม สองตาที่มองนางสว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวเต็มฟ้า

ปลายรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบสอง ต้นรัชศกเจี้ยนหยวนปีที่สิบสาม ภายใต้ท้องฟ้าราตรีที่มีหิมะทับถมเต็มสวนนี้มู่เฉินได้รับปากมู่หรงชงว่าวันสิ้นปีของทุกปีหลังจากนี้จะข้ามผ่านไปด้วยกัน

หวังเพียงได้อยู่เคียงข้างกันนับแต่บัดนี้เป็นต้นไป

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 6 .. 67 

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: