X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน ม้วนที่ 2 บทที่ 7

บทที่ 7 ผู้ลี้ภัยจากเจียงเป่ย

มู่หรงชงและมู่เฉินกลับมาถึงหอบุปผชาติ คนทั้งหลายก็ดื่มกันไปสามรอบแล้ว ชามวางเต็มพื้น

มู่เฉินรู้สึกว่าที่ด้านหลังมีคนดึงเสื้อตนเอง ครั้นหันหน้าไปก็เห็นว่าเป็นอากุ้ย

นางถามด้วยความประหลาดใจ “มีธุระอะไรหรือ”

ในมืออากุ้ยประคองชามใบหนึ่งไว้ พูดด้วยสีหน้าจริงจังยิ่งยวด “คารวะท่าน”

มู่เฉินเห็นสุราเต็มชามนั้นก็ตกใจจนสะดุ้ง นางยังไม่ทันห้าม อากุ้ยก็ยกชามแหงนหน้าดื่มเอื๊อกๆ แล้ว

“อากุ้ย เจ้าอย่าฝืน…”

อากุ้ยไม่ฟังคำเตือน กลั้นหายใจกรอกสุราลงไปรวดเดียว หลังดื่มหมดใบหน้าเล็กๆ ก็แดงก่ำ หันหน้าเดินหนีไปโดยไม่มองมู่เฉินอีก

มู่เฉินมองร่างเล็กๆ ที่เดินได้อย่างราบรื่นมั่นคงนั้นพลางพึมพำ “เด็กคนนี้…น่าสนใจยิ่งนัก”

มู่หรงชงกล่าวยิ้มๆ “เขาคล้ายข้าตอนเด็กอยู่หน่อยๆ”

“อ้อ? ท่านตอนเด็กก็ดื่มเก่งปานนี้?”

มู่หรงชงพูดด้วยท่าทางเหมือนเด็กๆ “แน่นอน ข้าเป็นถึงจงซานอ๋องเชียวนะ”

“เป็นอ๋องเกี่ยวอะไรกับการดื่มสุรา”

“ไม่เกี่ยวหรือ เช่นนั้นคงเป็นเพราะว่า…ข้าหน้าตาดี…”

“เป็นอ๋องเกี่ยวอะไรกับหน้าตาอีก”

“ไม่เกี่ยวเช่นกันหรือ…”

“ท่านว่าเกี่ยวก็เกี่ยวแล้วกัน”

พวกเขาคุยกันนอกเรื่อง จับจูงมือเดินไปใกล้กองไฟ สายตาคนทั้งหลายต่างมองมาที่มือของพวกเขา มีทั้งผู้ที่แสดงความยินดี มีทั้งผู้ที่หยอกล้อ

มู่เฉินก้มหน้าลง ใบหน้าแดงระเรื่อ มู่หรงชงเองก็ไม่อธิบาย เพียงดึงนางให้นั่งลงข้างๆ

หานเหยียนดื่มไปมาก พูดขึ้นด้วยเสียงอ้อแอ้ “พวกเราที่อยู่กันตรงนี้มีสามคนที่นามมีคำว่า ‘เฟิ่ง’ มิสู้พวกเรามาตั้ง ‘พรรคสกุลเฟิ่ง’ กันเถิด!”

มู่หรงชงอารมณ์ดีมากจึงไม่ถือสาที่จะพูดเล่นกับนาง “เช่นนั้นเจ้าก็เป็นแม่ทัพหน้าของพรรคสกุลเฟิ่ง”

“ไม่ได้! ข้าไม่เป็นคนแรกที่ออกไปเสี่ยงตายหรอก ข้าจะเป็นขุนพลใหญ่! ทุกคนจำไว้ให้จงมั่น ข้าเป็นขุนพลใหญ่แห่งพรรคสกุลเฟิ่ง พวกเจ้าล้วนใช้แซ่ตามข้า!” นางพูดพลางชูชามสุรา “หมดชาม!”

เมื่อครู่หงจูได้อาศัยจังหวะที่หานเหยียนไม่สนใจสลับสุราที่ด้านในเป็นน้ำแล้ว แต่นางสติเลอะเลือนอยู่บ้างแล้ว ถึงกับดื่มแล้วไม่รู้

จิ่งสิงเติมฟืนเข้ากองไฟก่อนว่า “ข้าไม่เข้าใจด้านบู๊ จะเป็นกุนซือให้พวกท่าน”

ฝูเป่ากล่าว “ข้าไม่เข้าใจอะไรเลย ทำได้เพียงเป็นประมุขพรรคแล้ว! พี่เฟิ่งกับเยียนเฟิ่ง พวกท่านมาเป็นผู้พิทักษ์ซ้ายขวาของข้าแล้วกัน!”

หงจูหัวเราะลั่นขึ้นมาอย่างสุดจะกลั้น “พรรคอะไรกัน พวกท่านจะรวมกลุ่มกันไปเป็นโจรกระนั้นหรือ” นางว่าแล้วก็สั่งให้คนยกชาเข้ามา “ดื่มชาให้สร่างกันหน่อยเถิด เมาจนพูดเหลวไหลกันแล้ว”

หานเหยียนกล่าว “มิได้พูดเหลวไหล ข้าจริงจังยิ่ง…เด็กคนนั้น…อากุ้ยใช่หรือไม่ เจ้าเป็นผู้อาวุโสแล้วกัน! ผู้อาวุโสน้อยที่อายุเพียงน้อยนิด…” นางพูดจบก็ฟุบหลับไป

อากุ้ยมองหานเหยียนที่นอนอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้นพลางพูดพึมพำด้วยดวงตาสว่างจ้า “เอาสิ ข้าจะเป็นผู้อาวุโส”

มู่เฉินทอดถอนใจ ผู้อาวุโสคอแข็งโดยแท้!

 

ผ่านพ้นยามจื่อขอบฟ้าก็เริ่มมีเกล็ดหิมะปลิวลงมา เกล็ดหิมะนี้เล็กยิ่ง บางตาดุจผีเสื้อ บางเบาดุจปุยฝ้าย ตกลงบนหน้าก็ไม่รู้สึกหนาวเย็น กลับสุกสกาวเพิ่มขึ้นหลายส่วน

คนทั้งหลายดื่มชาเสร็จ รู้สึกว่าดึกมากแล้ว กำลังจะกล่าวอำลากลับพลันมีเสียงอุทานตกใจดังมาจากด้านนอก ตามติดด้วยเสียงอลหม่านต่างๆ นานา

ระหว่างที่กำลังสงสัยไม่แน่ใจก็มีคนวิ่งตาลีตาเหลือกเข้ามา พูดด้วยท่าทางตึงเครียด “ผู้ลี้ภัยที่นอกเมืองคิดจะบุกเข้ามาขอรับ! ได้ข่าวว่า…เผาทหารรักษาเมืองตายทั้งเป็นไปสองสามนายแล้ว!”

คนทั้งหลายได้ยินดังนี้ก็ล้วนแสดงสีหน้าตื่นตกใจออกมา

นับตั้งแต่ทัพฉินเคลื่อนพลขึ้นเหนือสถานที่ที่ไฟสงครามลุกลามไปถึงจะมีผู้ลี้ภัยหนีตายอย่างไม่ขาดสาย ก่อนปีใหม่ที่นอกเมืองผิงหยางก็มีมารวมตัวกันไม่น้อย มู่หรงชงพิจารณาถึงว่าชาวบ้านในเมืองต้องการฉลองปีใหม่กันอย่างมั่นคงปลอดภัยจึงมิได้เปิดประตูเมือง คิดว่าไว้ค่อยจัดการหลังผ่านปีใหม่ ก่อนหน้านี้เขาให้มู่หรงหย่งไปสืบมาแล้ว ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นล้วนเป็นชาวบ้านธรรมดา ส่วนใหญ่สงบเสงี่ยมและก็มิได้เหี้ยมหาญถึงขนาดปะทะกับทหารรักษาเมือง คืนสิ้นปีกลับมีข่าวเช่นนี้แพร่มา เป็นเรื่องคาดไม่ถึงโดยแท้

 

มู่หรงชงกลับถึงจวนเจ้าเมืองก็ส่งกำลังพลกองหนึ่งไปปราบปรามอย่างฉับไว ก่อนจะให้มู่หรงหย่งไปรวบรวมทหารที่กลับบ้านไปฉลองปีใหม่มา ทว่าเนื่องจากเป็นคืนส่งท้ายปีพอดี เหล่าพลทหารส่วนใหญ่ได้ดื่มสุราลงไป คนไม่น้อยถึงขั้นเมาหัวราน้ำแล้ว กำลังรบจึงลดน้อยถอยลงมาก

มู่หรงชงจ้องมู่หรงหย่งพลางถาม “ใครอนุญาตให้พวกเขาดื่มสุรา”

มู่หรงหย่งคุกเข่า ตำหนิตนเองว่า “ข้าไม่ดีเอง คิดว่าฉลองปีใหม่ทั้งที เหล่าพี่น้องดื่มกันสักจอกสองจอกก็ไม่เป็นไร เผลอแวบเดียวกลับ…ดื่มกันไปมากแล้ว”

เขารอมู่หรงชงบันดาลโทสะ ท่ามกลางความเงียบเป็นเวลาสั้นๆ นี้เขารู้สึกได้ถึงโทสะของมู่หรงชงที่กำลังจะซัดถล่มเหมือนน้ำป่าไหลบ่าจากบนภูเขา แต่มู่หรงชงหาได้ระเบิดโทสะไม่ ถึงขนาดเก็บโทสะทั้งหมดลงก่อนถามว่า “ผู้ลี้ภัยมีประมาณเท่าไร”

มู่หรงหย่งตอบด้วยความกังวล “เรียนนายท่าน มีจำนวนทั้งหมดสามหมื่นคน ในนั้นมีบุรุษวัยฉกรรจ์อยู่แปดพันขอรับ”

“คนที่ใช้งานได้ของพวกเรามีอยู่เท่าไร”

“สอง…ไม่ถึงสองพัน”

มู่หรงชงพูดด้วยใบหน้าดำมืด “แบ่งห้าสิบคนไปแจ้งทุกครัวเรือน บ้านใดมีบุรุษวัยฉกรรจ์ให้ถืออาวุธไปรักษาเมืองทั้งหมด แล้วแบ่งอีกห้าสิบคนไปปลุกพวกที่ดื่มสุราเหล่านั้น คนที่เหลือจงเคลื่อนพลทั้งหมด!”

“ขอรับ!”

 

เกล็ดหิมะเล็กๆ ยังคงปลิวว่อน มู่เฉินยืนอยู่บนหอกำแพงเมือง การเข่นฆ่าและเสียงโห่ร้องที่ด้านล่างดำเนินไปอย่างไม่ขาดตอน

นี่เป็นสงครามนองเลือดครั้งแรกที่มู่เฉินได้เผชิญหน้าตรงๆ แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเพียงผู้ลี้ภัย แต่ด้วยจำนวนคนที่มากและความกล้าหาญในการต่อสู้ล้วนทำให้นางได้เห็นความโหดร้ายของสงครามกับตาตนเอง

ด้านล่างกำแพงเมือง ทหารผิงหยางนายหนึ่งถูกผู้ลี้ภัยลากตัวไป พริบตาเดียวก็มีผู้ลี้ภัยสิบกว่าคนกรูกันไปแย่งดาบในมือเขาแล้วแทงเข้าที่ท้องของเขา รอบเดียวไม่พอ ยังแทงซ้ำอีกรอบ

มู่เฉินถอยหลังไปสองก้าวด้วยความตกใจ กลับถูกคนที่ด้านหลังประคองไว้

“อาเฉิน ข้าจะให้องครักษ์ลับส่งเจ้ากลับไป”

“ไม่” มู่เฉินปฏิเสธโดยไม่ต้องคิด “ข้าจะอยู่ที่นี่”

มู่หรงชงกล่าว “แต่เจ้ากำลังกลัว”

“ทุกเรื่องย่อมมีครั้งแรก วันหน้าข้าจะเผชิญหน้ากับโลหิตและการฆ่าฟันที่มากยิ่งกว่านี้เป็นเพื่อนท่าน หากเท่านี้ยังทนดูไม่ได้ อนาคตจะทำอย่างไร”

มู่หรงชงไม่ยืนกรานอีก เขาถอดเสื้อคลุมลงมาห่อตัวนาง ก่อนเอ่ยถามเสียงเข้ม “นึกเสียใจหรือไม่”

มู่เฉินตอบ “นึกเสียใจเรื่องอะไร”

“หากเจ้าติดตามฝูเจียน เวลานี้คงจะอยู่ในตำหนักเว่ยยาง ได้รับการปรนนิบัติให้กินดีอยู่ดี หากเจ้าไปเจียงจั่ว บางทีที่ข้างกายอาจมีแต่ผู้เลื่องชื่ออย่างเซี่ยอันและหวังถั่นจือร่ำสุราพลางคุยเฟื่องเรื่องชีวิต”

ทว่านางได้เลือกเขาแล้ว เลือกที่จะหลั่งเลือดหลั่งน้ำตา เสี่ยงอันตรายจากคมอาวุธ เหยียบโครงกระดูกและโคลนเลน ปีนป่ายขึ้นไปทีละนิดจากชั้นล่างสุด

มู่เฉินกระชับเสื้อคลุมบนตัวก่อนว่า “หากข้านึกเสียใจ ท่านก็จะปล่อยข้าไปหรือ”

“สายไปแล้ว” มู่หรงชงก้มหน้า ค่อยๆ จับข้อมือนางไว้แน่น “รอข้าตายแล้ว เจ้าค่อยพิจารณาปัญหาว่าจะอยู่หรือไป”

มู่เฉินสบสายตาเขาอย่างไม่หวั่นเกรง “ข้าไม่รอท่านตายหรอก ข้าต้องการมีชีวิตอยู่ด้วยกันกับท่าน”

มู่หรงชงจ้องมองนางได้ครู่หนึ่ง ก่อนพลันโอบนางเข้าสู่อ้อมอก รัดเอวนางไว้แน่น กระซิบด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “เช่นนั้นก็มีชีวิตอยู่ด้วยกัน”

เขาปล่อยนางออกอย่างรวดเร็ว หมุนตัวเดินปราดๆ ไปทางด้านหลัง แล้วพูดเสียงดังฟังชัด “อาหย่ง นำชุดเกราะของข้ามา!”

 

สั่งซื้อนิยายได้ที่ (คลิก)

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: