X
    Categories: ทดลองอ่านบทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบินมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บทเพลงปณิธาน ตำนานวิหคโผบิน บทที่ 3-4

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 3 มู่หรงแห่งเซียนเปย

วันรุ่งขึ้นชิงหลวนเดินผ่านสะพานแห่งนั้น เห็นโคมดอกบัวบนน้ำลอยไปตามกระแสน้ำหมดแล้ว ในแม่น้ำไม่มีสิ่งใดเหลืออยู่ มีสตรีสองสามคนกำลังซักผ้าอยู่ริมแม่น้ำ พูดคุยกระซิบกระซาบกันสรวลเสเฮฮา

“ใกล้จะถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ได้ยินว่าเจ้าเมืองผิงหยางผู้นั้นเองก็กลับมาแล้ว”

“นั่นน่ะสิ ตอนแรกตามท้องถนนตรอกซอกนั้นล้วนแต่ขับลำนำที่สืบทอดต่อกันมา บัดนี้ก็เริ่มกันอีกแล้ว ‘หนึ่งตัวเมียอีกหนึ่งตัวผู้ ทั้งคู่โบยบินเข้าพระราชวัง’ ”

“ข้ากลับสงสัยยิ่งนักว่าต้องมีรูปโฉมงดงามปานใดถึงสามารถทำให้ฝ่าบาทใส่พระทัยได้ปานนี้”

ชิงหลวนไม่เข้าใจว่าที่พวกนางพูดถึงคือผู้ใด ขณะอยากจะฟังต่อไปในเวลานี้กลับมีคนพูดกลั้วหัวเราะขึ้นอีกว่า “พวกเจ้านี่มันช่างจ้อนัก วิพากษ์วิจารณ์ฝ่าบาท ระวังเถอะจะถูกจับตัวไป!”

ผู้ที่ถูกว่ากลับหัวเราะตอบ “ยังว่างมาว่าพวกข้าได้หรือ เจ้าเองก็ควรดูแลเรื่องในบ้านตนเองให้ดีๆ เมื่อวานยังได้ยินอยู่เลยว่าเหล่าหลิวของเจ้าไปรับโคมดอกบัวของเด็กสาวมา!”

คนผู้นั้นพูดด้วยความร้อนใจ “นี่ไม่นับเสียหน่อย! โคมดอกบัวแทนใจถือเป็นของเล่นของคนหนุ่มสาว!”

หลังจากนั้นพวกนางพูดคุยอะไรกันชิงหลวนก็ฟังไม่เข้าหัวแล้ว ในสมองนางมีเพียงคำว่า ‘โคมดอกบัวแทนใจ’ ดังซ้ำไปซ้ำมา นางพยายามย้อนนึกถึงสีหน้าท่าทางของเฟิ่งหวงยามรับโคมดอกบัวนั้นไว้เมื่อวานนี้ แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก จำได้เพียงว่าใบหน้าที่ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่างภายใต้แสงโคมนั้นงดงามจนดูไม่เหมือนปุถุชนคนธรรมดา

 

ผ่านไปอีกหนึ่งวัน โต้วหวั่นเอ๋อร์มาหาชิงหลวน

ฝูเป่าพูดได้ทำได้ นางไปสืบข่าวยังจวนของฝูหมัวตั้งแต่เมื่อวาน พบว่ามีอนุที่พากลับมาจากแถบเจียงจั่วอยู่นางหนึ่งจริงๆ หมู่นี้เป็นที่โปรดปรานอย่างมาก แต่นางกลับไม่มีพี่สาว มารดาก็มิได้เพิ่งจะลาจากโลกนี้ไป

ชิงหลวนลังเลไม่แน่ใจ รู้สึกว่าในเรื่องนี้ต้องมีสาเหตุบางอย่างอยู่เป็นแน่ จึงลองพูดกับโต้วหวั่นเอ๋อร์ “ข้ายังวางใจไม่ลง มีวิธีใดที่ทำให้ข้าเห็นด้วยตาตนเองได้บ้างหรือไม่”

โต้วหวั่นเอ๋อร์ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยว่า “วิธีน่ะมี แต่ต้องลำบากท่านปลอมตัวเป็นสาวใช้ของข้า วันมะรืนเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ผู้มีอำนาจราชศักดิ์ของตระกูลต่างๆ ล้วนจะพาญาติพี่น้องเข้าวัง คิดว่าฉงเหอโหวคงจะพาคนผู้นั้นไปด้วยเป็นแน่ แต่ท่านทำได้เพียงมองดูจากที่ไกลๆ ห้ามทำอะไรเป็นที่เอิกเกริกเด็ดขาด”

ชิงหลวนยินดีครั้งใหญ่จึงกล่าวว่า “เรื่องนี้แน่นอนอยู่แล้ว ขอให้ข้าได้เห็นเพียงแวบเดียวก็รู้แล้วว่าใช่น้องสาวของข้าหรือไม่ หากใช่…เห็นนางมีชีวิตที่ดี ข้าก็วางใจแล้ว”

โต้วหวั่นเอ๋อร์จับมือของชิงหลวนขึ้นมา “พี่ชิงหลวน ท่านสายตาดี ไปเลือกเสื้อผ้างามๆ เป็นเพื่อนข้าสักสองสามชุดได้หรือไม่”

ชิงหลวนมองชุดกระโปรงสีชมพูอ่อนของอีกฝ่าย ก่อนกล่าวยิ้มๆ “ท่านแต่งกายเยี่ยงนี้ก็ดูดียิ่ง”

“แต่ว่า…” โต้วหวั่นเอ๋อร์หน้าแดง กล่าวเสียงเบา “เขาดูเหมือนจะชอบ…แบบที่ดูโตหน่อย”

ชิงหลวนรู้ว่าเป็นเรื่องความในใจของสาวน้อยจึงจงใจเอ่ยกระเซ้า “เขาคือใคร”

ใบหน้าของโต้วหวั่นเอ๋อร์ยิ่งแดงก่ำ ทว่านางเองก็มิได้ปิดบังซ่อนเร้น เพียงตอบว่า “บัดนี้บอกไปท่านก็ไม่รู้จัก วันที่เข้าวังข้าจะชี้ให้ท่านดู”

 

ตลอดทั้งบ่ายชิงหลวนจึงเดินเที่ยวเป็นเพื่อนโต้วหวั่นเอ๋อร์

เมืองฉางอันเป็นเมืองหลวงเก่ามาตั้งแต่สมัยราชวงศ์โจว แม้ว่าหลังสมัยราชวงศ์ฮั่นจะมิใช่เมืองหลวงอีกต่อไป แต่ก็เป็นเมืองสำคัญทางตะวันตกตลอดมา ชิงหลวนคิดในใจ ฝูเจียนตั้งเมืองหลวงอยู่ที่นี่ คิดว่าคงจะมีปณิธานสร้างคุณูปการให้ได้เยี่ยงปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฉินเช่นกัน

ชิงหลวนมองดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านโดยรอบแล้วอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจพลางว่า “นับตั้งแต่ยุคฮั่นและเว่ย บริเวณกวนจง ประสบความไม่สงบอยู่หลายหน เมืองฉางอันสามารถฟื้นฟูกลับมามีสภาพเยี่ยงปัจจุบันได้เป็นเรื่องไม่ง่ายเลยจริงๆ”

โต้วหวั่นเอ๋อร์กล่าว “ฝ่าบาทมีพระวิริยะอุตสาหะที่จะปกครองบ้านเมือง ต้าฉินจะต้องเป็นราชวงศ์ที่ปรีชาสามารถราชวงศ์หนึ่งได้อย่างแน่นอน”

ชิงหลวนเพียงยิ้ม แต่หาได้พูดอะไรต่อไม่

นับตั้งแต่แคว้นฉินกำจัดสกุลมู่หรงแห่งเซียนเปย การขยายอาณาเขตของฝูเจียนก็รวดเร็วรุนแรงเป็นที่สุด จากทุ่งหญ้าในดินแดนตะวันตกไปจรดทะเลทรายนอกด่านทางเหนือล้วนเป็นความทะเยอทะยานของเขา ประชากรในเมืองฉางอันมีความซับซ้อน นอกจากชาวฮั่นก็ยังมีชาวเซียนเปย ชาวเชียง ชาวเจี๋ย…ชาวตีเช่นฝูเจียนผู้นี้มีความใจกว้างอยู่จริงๆ เขาให้โอกาสที่เท่าเทียมแก่ชนเผ่าที่พ่ายแพ้ภายใต้กองทัพม้าเหล็กของตนเองเหล่านี้ มอบที่อยู่อาศัยและเสบียงอาหาร อีกทั้งบรรดาศักดิ์และอนาคตในเส้นทางการปกครองแก่พวกเขา

ทว่าเท่านี้ก็ทำให้ใต้หล้ามีสันติสุขได้แล้วหรือ ชิงหลวนขมวดคิ้ว ยังไม่กล่าวถึงว่าราชวงศ์จิ้นแห่งเจียงจั่วต่างหากที่เป็นผู้ปกครองใต้หล้าที่ถูกต้องตามเชื้อสาย ต่อให้เป็นภายในอาณาเขตของแคว้นฉินเอง ชนเผ่าที่ไม่กี่ปีก่อนยังยุ่งง่วนกับการรบรากันเองเหล่านี้มีหรือจะสามารถสลายความแตกต่างระหว่างเผ่า ความแค้นจากศึกสงคราม ตลอดจนความโลภต่ออำนาจและผลประโยชน์ได้เร็วปานนี้

ไม่ สลายไม่ได้หรอก

ก้นบึ้งหัวใจของชิงหลวนให้คำตอบเช่นนี้ออกมา

ฉางอัน…ฉางอันนี้เกรงว่าคงเป็นอีกคราที่ไม่สามารถรักษาความสงบได้ยาวนานเยี่ยงชื่อ แล้ว

“พี่ชิงหลวน ท่านกำลังคิดอะไรอยู่”

โต้วหวั่นเอ๋อร์เขย่าแขนชิงหลวน นางถึงได้รู้สึกตัว “ไม่มีอะไร แค่กำลังคิดถึงที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้ ราชวงศ์ที่ปรีชาสามารถ…ฝ่าบาททรงเป็นบุคคลผู้ทรงพระปรีชาสามารถจริงๆ”

“ใช่แล้ว! ชาวฮั่นอย่างพวกท่านอย่าได้ดูถูกชาวตีอย่างพวกข้าเชียว! ฝ่าบาททรงแต่งตั้งมู่หรงเหว่ยอดีตฮ่องเต้แคว้นเยียนเป็นเสนาบดี ซ้ำยังให้มู่หรงฉุยอาของเขาเป็นเจ้าเมืองนครหลวง เหยาฉางหัวหน้าเผ่าเชียงก่อนหน้านี้บัดนี้ก็เป็นผู้นำกองทัพของฝ่าบาทเช่นกัน แม้กระทั่ง…แม้กระทั่งเขาเองก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเสนาธิการแดนเหนือเชียวนะ…” พูดมาถึงตรงนี้โต้วหวั่นเอ๋อร์ก็หน้าแดง ก้มหน้าลงอีก ก่อนพูดอ้อมไปว่า “น้องชายของเขาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าเมืองผิงหยางเช่นกัน แล้วไหนจะหยางติ้งแห่งโฉวฉือ ได้ยินว่าฝ่าบาทยังตั้งพระทัยจะรับเขาเป็นราชบุตรเขย…”

ชิงหลวนกล่าวว่า “มองไม่ออกเลยว่าท่านเป็นอิสตรีนางหนึ่ง ดูใส่ใจเหตุการณ์บ้านเมืองยิ่งนัก”

“พี่ชายข้าบ่นอยู่ในบ้านทั้งวัน ข้าไม่อยากฟังก็ทำไม่ได้นี่!” โต้วหวั่นเอ๋อร์คิดแล้วรู้สึกว่าประเด็นนี้น่าเบื่อยิ่ง จึงรีบลงข้อสรุป “เอาเป็นว่าฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่ง! ตายจริง ลายนี้งามเสียจริง พี่ชิงหลวน ท่านดูเร็วเข้า!”

ชิงหลวนมองไป รู้สึกเพียงเห็นแต่ความงดงามละลานตา แต่ที่แท้แล้วเป็นลวดลายอะไรนั้นกลับมิได้ใส่ใจ ทั้งสมองนางมัวแต่คิดว่าเผ่าตี…จะสามารถกลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของใต้หล้าได้จริงหรือ

 

เวลาหนึ่งวันผ่านไปในชั่วพริบตา วันคล้ายวันเกิดของฝูเจียน โต้วหวั่นเอ๋อร์มาหาชิงหลวนตั้งแต่เช้า ชิงหลวนสวมชุดสาวใช้เสร็จก็ตามโต้วหวั่นเอ๋อร์เข้าวัง

ตำหนักเว่ยยางนั้นสมชื่ออันยิ่งใหญ่ ยังไม่ทันก้าวเข้าไปก็เห็นหมู่เรือนสูงตระหง่าน ห่วงทองแดงรูปสัตว์บนประตูสีชาดมองมาอย่างน่าคร้ามเกรง สายตาดูเกรี้ยวกราดวาวโรจน์ เข้าไปจากประตูทิศตะวันออกเห็นเพียงทางด้านหน้ามีระเบียงยาวกว้างขวางอยู่เส้นหนึ่ง สองข้างทางมีหมู่เรือนวิจิตรโอ่อ่าตั้งเรียงรายอยู่จำนวนมาก

ยังไม่ถึงเวลางานเลี้ยงตอนค่ำ ชิงหลวนเดินตามโต้วหวั่นเอ๋อร์ไปยังอุทยานหลวง เหล่าสตรีจับกลุ่มสนทนาพาทีกันอยู่ไม่กี่คน

ฝูเป่าเห็นพวกโต้วหวั่นเอ๋อร์เดินมาก็ลุกขึ้นต้อนรับ “รอเจ้าอยู่นานแล้ว มาได้เสียที!” นางขยิบตาให้ชิงหลวนเป็นนัยว่ามีคนนอกอยู่ ไม่สะดวกจะคุยด้วย

ชิงหลวนทำความเคารพ บนหน้ามีรอยยิ้ม แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเช่นกัน

ที่สุดแล้วโต้วหวั่นเอ๋อร์ก็ยังมีอุปนิสัยของเด็กสาว ครั้นเห็นว่าผู้อื่นไม่ได้สนใจก็กระซิบถามฝูเป่าว่า “เจ้าเห็นพี่หงแล้วหรือยัง”

ฝูเป่าตอบยิ้มๆ “มู่หรงหงเพิ่งจะมาถึงฉางอันเช้าวันนี้ บัดนี้ไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อพร้อมกับเหล่าขุนนางใหญ่แล้ว เจ้าทำเป็นร้อนใจไปได้”

โต้วหวั่นเอ๋อร์เบะปากพลางกล่าวว่า “เจ้าก็ช่างไม่ร้อนใจเอาเสียเลย ก่อนพี่เฟิ่งกลับมาข้าเห็นเจ้าร้อนใจเสียยิ่งกว่าใครๆ! กังวลว่าเขาจะกลายเป็นหงส์ฟ้าบินหนีหายไปจริงๆ อย่างไรอย่างนั้น”

เห็นคนทั้งสองโต้ตอบกันไปมาชิงหลวนก็นับว่าเข้าใจแล้ว พวกนางต่างพึงใจในตัวอนุชนทั้งสองของสกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปย มู่หรงหงและมู่หรงชง ส่วนคนหนุ่มที่ได้พบเมื่อวันก่อนนั้นน่าจะเป็นมู่หรงชง

ห้าปีก่อนแคว้นฉินทำลายแคว้นเยียน มู่หรงเหว่ยฮ่องเต้แคว้นเยียนถวายตราหยก ขอสวามิภักดิ์ต่อฉินอ๋อง จากนั้นก็พาคนในเผ่าของเขา เหล่าขุนนาง รวมถึงชาวเซียนเปยรวมสี่หมื่นกว่าครัวเรือนอพยพมายังฉางอัน ฝูเจียนสถาปนามู่หรงเหว่ยเป็นซินซิงจวิ้นโหว อดีตผู้ใต้ปกครองในแคว้นเยียนนับตั้งแต่เขาลงไปก็ได้รับราชการในแคว้นฉินด้วยกันทั้งสิ้น

โต้วหวั่นเอ๋อร์พลันเก็บสีหน้าลง ถามขึ้นว่า “อาเป่า เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าในหมู่ราษฎรมีลำนำอยู่บทหนึ่ง” นางชะงักเล็กน้อยก่อนลดเสียงให้เบาลง “หนึ่งตัวเมียอีกหนึ่งตัวผู้ ทั้งคู่โบยบินเข้าพระราชวัง”

ฝูเป่าใบหน้าเปลี่ยนสี พูดด้วยโทสะ “ถ้อยคำบัดซบตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนพรรค์นี้ ใครกล้าเอาออกมาพูดอีก แพร่ข่าวลือเยี่ยงนี้ไม่กลัวถูกบั่นศีรษะหรือไร!”

“เช่นนี้หมายความว่าเจ้ารู้เรื่อง?” โต้วหวั่นเอ๋อร์กล่าว “สองปีก่อนฝ่าบาทได้ทรงแต่งตั้งพี่เฟิ่งไปเป็นเจ้าเมืองผิงหยางเพื่อที่จะสยบข่าวลือนี้ บัดนี้เขากลับมาถวายพระพรฝ่าบาท ในเมืองฉางอันก็มีคำพูดเช่นนี้แพร่ออกมาอีกแล้ว อาเป่า ข้าเพียงแต่เตือนเจ้า วันหน้าจะคิดทำเช่นไรยังต้องคอยดูพระราชประสงค์ของฝ่าบาท”

ฝูเป่ากัดริมฝีปาก พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

ชิงหลวนเชื่อมโยงข่าวคราวที่ได้ยินจากในหมู่ราษฎรสองสามวันมานี้ก็รู้สาเหตุแล้ว

บุรุษชมชอบบุรุษเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางมานับตั้งแต่สมัยราชวงศ์เว่ยราชวงศ์จิ้นแล้ว เชื้อพระวงศ์ชนชั้นสูงมักชอบเลี้ยงเด็กชายรูปงามไว้ข้างกาย…ในปีที่มู่หรงชงเข้ามายังแคว้นฉินเพิ่งจะอายุได้สิบสองปี นางนึกถึงรูปโฉมที่ทั่วทั้งใต้หล้ายังพานพบได้ยากนั้นของมู่หรงชงแล้วก็อดจะหัวใจบีบรัดไม่ได้ คำตอบเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้ง แต่ก็มิกล้าคิดลึกลงไปต่อ เคยได้ยินว่าสกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปยไม่ว่าบุรุษหรือสตรีจะมีดวงตาลึก จมูกโด่ง ใบหน้างดงามพริ้งเพริศ แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางยุคสมัยที่บ้านเมืองปั่นป่วนนี้กลับคล้ายว่าจะหาใช่เรื่องโชคดีไม่

หญิงสาวทั้งสามต่างคนต่างใช้ความคิด ทำให้รอบข้างเงียบสงัดไปชั่วขณะ

ทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าที่แผ่วเบาฉับไวดังมาพร้อมกับเสียงหัวเราะของเด็กหญิงตัวน้อย เงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งโผมาอยู่บนตัวฝูเป่า “พี่หญิงๆ!”

ฝูเป่าประคองเด็กคนนั้นให้มั่นคงแล้วเอ่ยถาม “ไยเจ้าจึงกลับมาเร็วปานนี้”

เด็กหญิงตอบว่า “เสด็จพ่อตรัสว่ามีเรื่องจะคุยกับอัครเสนาบดีหวัง ให้คนอื่นๆ แยกย้ายไปก่อน”

เด็กคนนี้ก็คือฝูจิ่นพระธิดาคนเล็กของฝูเจียน เมื่อครู่นี้ฝูเป่าให้นางไปสืบข่าวมา

ครั้นได้ยินว่าฝูเจียนให้คนทั้งหลายแยกย้ายกันแล้ว ฝูเป่าก็รีบถามว่า “เจ้าเห็นพี่เฟิ่งหรือยัง”

เห็นฝูจิ่นงุนงงอยู่บ้างโต้วหวั่นเอ๋อร์จึงเอ่ยเสริมว่า “ก็คือพี่ชายตัวสูงๆ ผอมๆ ที่หน้าตาดีที่สุดคนนั้น”

พูดเช่นนี้เด็กหญิงก็จำได้แล้วจึงตอบว่า “เห็นแล้ว เขาขอพระราชานุญาตจากเสด็จพ่อเพื่อไปเยี่ยมจิ่นฟูเหริน* โดยเฉพาะ! เสด็จพ่อทรงชอบเขา แต่พี่ฮุยเกลียดเขา!”

“อาจิ่น เรื่องนี้พูดกับพี่หญิงได้ไม่เป็นไร แต่ต่อไปห้ามเที่ยวนำไปพูดส่งเดชอีก!” ฝูเป่ากำชับก่อนให้นางไปเล่นในสวน จากนั้นก็หันมากล่าวกับโต้วหวั่นเอ๋อร์ “บัดนี้เจ้าเองก็ไม่สะดวกจะไปหามู่หรงหงเช่นกัน พวกเราไปหาจิ่นฟูเหรินก็แล้วกัน”

โต้วหวั่นเอ๋อร์หน้าแดงระเรื่อ “ตกลง!”

มู่หรงชงเพิ่งจะมาถึงหน้าประตูตำหนักชีอู๋ก็เห็นคนคณะหนึ่งกำลังเดินออกมาจากด้านใน ผู้ที่เดินนำหน้าซึ่งสวมกระโปรงผ้าโปร่งสีแดงเข้มและเสื้อคลุมผ้าโปร่งผู้นั้นก็คือมู่หรงจิ่น อดีตองค์หญิงชิงเหอแห่งแคว้นเยียน ชายาของฝูเจียนในปัจจุบัน

มู่หรงชงเร่งฝีเท้าเดินไปหา เอ่ยเรียกด้วยความดีใจ “พี่หญิง!”

มู่หรงจิ่นกุมมือเขาไว้ เบ้าตาพลันแดงเรื่อ พูดปนสะอื้นน้อยๆ “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ พี่หญิงนึกว่าจะไม่ได้พบเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

มู่หรงชงเห็นว่าแม้นางจะผัดแป้งแต้มชาดแล้วก็ยังยากจะปิดบังใบหน้าที่ซีดเผือดได้ จึงพูดด้วยความปวดใจ “พี่หญิง มิได้พบกันสองปีท่านผอมลงไปมาก นี่ท่านมีธุระจะออกไปข้างนอก?”

มู่หรงจิ่นตอบ “ข้าออกมารอเจ้าตรงนี้โดยเฉพาะ ได้ยินว่าไม่กี่วันก่อนฝ่าบาทไม่พระราชทานพระราชานุญาตให้เจ้ามาหา วันนี้เจ้าก็ไปกราบทูลขอยังตำหนักใหญ่อีกรอบ พอเขาทรงรับปากก็มีคนมารายงานทันที บัดนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา เฟิ่งหวงเอ๋อร์โตแล้ว ไม่สะดวกจะเข้าออกฝ่ายในนี้จริงๆ”

มู่หรงชงหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ที่นี่คือฝ่ายในของฝูเจียน เขาเองก็เคยอาศัยอยู่เป็นเวลาสามปี

มู่หรงจิ่นมองไปด้านหลัง ไล่ผู้ติดตามให้ถอยไปห่างๆ แล้วถึงได้กระซิบว่า “ข้าอกสั่นขวัญแขวนอยู่ในนี้ทุกวี่วัน อยากได้ยินข่าวคราวของพวกเจ้า แต่ก็กลัวที่จะได้ยิน เรียกว่ากินนอนแทบไม่ได้ด้วยซ้ำ เฟิ่งหวงเอ๋อร์ เจ้าอุตส่าห์ไปจากเมืองฉางอันได้แล้ว ยามนี้กลับมาทำกระไรอีก”

มู่หรงชงเองก็ลดเสียงลงเช่นกัน “ข้าได้รับจดหมายจากพี่หง ชวนให้มาพบกันที่ฉางอันในวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาท”

“เหลวไหล!” มู่หรงจิ่นขมวดคิ้ว กล่าวอีกว่า “เขาใช่จะไม่รู้ว่าฝ่าบาททรง…ทรง…ต่อเจ้า” นางเห็นมู่หรงชงหน้าซีดลงเล็กน้อยก็รีบหยุดปาก เปลี่ยนมาพูดว่า “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ เจ้าไม่ควรกลับมา!”

มู่หรงชงปรับสีหน้าให้กลับคืนเป็นปกติ ก่อนพูดอย่างไร้กังวล “วางใจเถิดพี่หญิง เมืองฉางอันนี้ในเมื่อเข้ามาได้ก็ย่อมจะออกไปได้ วันที่กลับมาข้าก็ได้ให้คนแพร่ข่าวลือเมื่อห้าปีก่อนออกไปแล้ว ขอเพียงหวังเหมิ่งยังมีชีวิตอยู่ก็จะไม่มีวันปล่อยให้ข้าอยู่ในเมืองฉางอันต่อเป็นอันขาด”

มู่หรงจิ่นเผยสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง กล่าวเสียงสั่น “เจ้านี่จริงๆ เชียว ไม่คำนึงถึงชื่อเสียงของตนเองบ้างสักนิดเลยหรือ”

มู่หรงชงมองแววตาสิ้นหวังของผู้เป็นพี่สาวแล้วยิ้มออกมา “ข้าไม่เอ่ยถึงแล้วก็จะไม่มีใครเอ่ยถึงจริงๆ หรือ พี่หญิง เรื่องเยี่ยงนี้เป็นเสมือนตรานาบติดอยู่บนร่าง ทั้งชาตินี้มิอาจล้างออกได้แล้ว! ข้ามู่หรงชงเคยเป็นเด็กหนุ่มบำเรอของฝูเจียน ต้าเยียนของเราต้องกลายเป็นตัวตลกของใต้หล้าเพราะเรื่องนี้ ทำให้ตั้งแต่ฮ่องเต้และเหล่าขุนนางลงไปถึงพี่น้องรุ่นเดียวกันล้วนไม่มองข้าตรงๆ แม้แต่พี่หงที่โตมาด้วยกัน ห้าปีมานี้ก็ไม่เคยพูดกับข้าแม้แต่คำเดียว พี่หญิง เมื่อก่อนตอนอยู่ในวังมีเพียงท่านกับข้าพึ่งพาอาศัยกันก็จริง แต่คนสกุลมู่หรงจะอย่างไรก็ยังไม่ได้ตายกันหมด! ข้าอุตส่าห์รอมาถึงวันที่พี่หงพูดกับข้าแล้ว แล้วจะไม่มาได้อย่างไร”

มู่หรงจิ่นได้ยินเขาบอกเช่นนี้ ในใจก็เจ็บปวดราวกับถูกมีดคว้านในทันที ก่อนจะน้ำตาไหลพราก

นางย้อนนึกถึงคืนหิมะตกในฤดูหนาวปีนั้น เฟิ่งหวงเอ๋อร์ที่อายุสิบสองถือมีดไว้ บนมือและไหล่เต็มไปด้วยคราบเลือด เขาพูดเสียงแหบแห้งด้วยใบหน้าที่เลอะไปด้วยคราบน้ำตาและแววตาที่ว่างเปล่า ‘พี่หญิง รสชาติของการอยู่มิสู้ตายนี้ไม่สบายเอาเสียเลย!’

ไม่สบาย…ไม่สบายดุจเดียวกัน นางเป็นสตรีจากสกุลมู่หรงยังรู้สึกว่าตายไปยังดีเสียกว่า นับประสาอะไรกับเขาที่เป็นบุรุษจากสกุลมู่หรง…สกุลมู่หรงที่เคยขี่ม้าย่ำไปบนทุ่งหญ้า กรีธาทัพม้าเหล็กเข้าสู่กวนจง!

‘หนึ่งตัวเมียอีกหนึ่งตัวผู้ ทั้งคู่โบยบินเข้าพระราชวัง’

นี่คือคำเหน็บแนมที่ชาวฉางอันมีต่อมู่หรงชง และยิ่งเป็นคำเหน็บแนมที่คนในใต้หล้ามีต่อสกุลมู่หรงแห่งเผ่าเซียนเปย หากกล่าวว่าฝูเจียนเป็นดาบยาวที่แทงเข้าขั้วหัวใจสกุลมู่หรง เช่นนั้นข่าวลือนี้ก็คือพิษร้าย ก็คือเกลือที่ทาลงบนดาบ

“พี่หญิง ข้ายังมีอะไรต้องคำนึงถึงอีก ท่านเล่ายังมีอะไรที่อาลัยอาวรณ์อีก ผู้ที่หัวเราะเยาะพวกเราเหล่านั้นแค่ต้องรอดู รอดูข้า…” วาจาท่อนหลังมู่หรงชงมิได้พูดออกมา เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้าไกล

สองปีมานี้รูปโฉมของเขามิได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แม้แต่ท่าทีและแววตายามมองท้องฟ้าก็ยังมิได้เปลี่ยนไปเสียเท่าไร ทว่ามู่หรงจิ่นค้นพบว่าน้องชายที่ชอบร้องไห้ขี้มูกโป่งกับนางมาตั้งแต่เล็กผู้นี้บัดนี้ในดวงตาไม่มีความชุ่มชื้นเหลืออยู่แล้ว และความแห้งอันสุกใสนี้ก็ทำให้นางนึกถึงทุ่งหญ้าทางเหนือในความทรงจำ

…ทุ่งหญ้าที่นางไม่เคยไป แต่คิดถึงยิ่ง ทุ่งหญ้าในตำราประวัติศาสตร์ที่เคยเห็นขณะอยู่ในวังหลวงแคว้นเยียนที่เมืองเยี่ยเฉิงในสมัยเยาว์วัย ทุ่งหญ้าที่บรรพบุรุษหลายรุ่นของสกุลมู่หรงเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น

“เฟิ่งหวง หากวันใดวันหนึ่งข้าสามารถไปจากตำหนักแห่งนี้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เจ้าพาข้าไปดูทุ่งหญ้าทีเถิด”

มู่หรงชงมองนาง เขาใจลอยอยู่บ้าง สนเท่ห์อยู่บ้าง แต่ยังพยักหน้ารับหนักแน่น “เฟิ่งหวงจดจำไว้แล้ว ตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่จะขอทำให้พี่หญิงบรรลุความปรารถนาให้จงได้”

บทที่ 4 บทเพลงเมฆมงคล

คณะของชิงหลวนทั้งสามคนมาถึงตำหนักชีอู๋ก็มองเห็นมู่หรงชงและมู่หรงจิ่นสองพี่น้องเดินมุ่งหน้ามาข้างนอกพอดี

ฝูเป่าและโต้วหวั่นเอ๋อร์อยากจะก้าวไปคารวะ มู่หรงจิ่นกลับรีบบอกว่า “มิต้องมากพิธี ที่นี่ไม่มีคนนอก”

ฝูเป่าให้ยินดีนัก ปกตินางมักจะมาที่นี่อยู่เนืองๆ เนื่องจากชอบพอมู่หรงชงและค่อนข้างสนิทสนมกับมู่หรงจิ่นเป็นการส่วนตัว บัดนี้มู่หรงจิ่นบอกต่อหน้ามู่หรงชงว่านางมิใช่คนนอก นางย่อมจะดีใจ

ชิงหลวนเงยหน้ามองมู่หรงชงปราดหนึ่ง กลับคาดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาทางนางอยู่เช่นกัน นางพลันเกิดอาการกระอักกระอ่วนขึ้นมาชั่วขณะ แต่หากจงใจเลื่อนสายตาหลบในเวลานี้ก็จะดูเหมือนว่าร้อนตัว ด้วยเหตุนี้คนทั้งสองจึงสบตากันเช่นนี้อยู่เป็นนาน

มู่หรงชงยิ้มออกมาด้วยกลั้นไม่ไหวเป็นคนแรก “เจ้าช่างน่าสนใจ มาหาคนถึงในวังเชียว”

ชิงหลวนไม่คาดว่าเขาจะตรงไปตรงมาปานนี้จึงตอบไม่ถูกไปชั่วขณะ

ฝูเป่ากล่าวว่า “นางกังวลว่าท่านอาหมัวจะหลอกคน พวกข้าจึงพานางเข้ามาให้เห็นความจริงเองกับตา”

ชิงหลวนยิ้มน้อยๆ ตอบว่า “องค์หญิงทรงเปี่ยมด้วยคุณธรรม ชิงหลวนซาบซึ้งในพระกรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้เพคะ”

มู่หรงชงไม่กล่าวอะไรให้มากความอีก

มู่หรงจิ่นเอ่ยว่า “ใกล้ถึงเวลางานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพของฝ่าบาทแล้ว พวกเราไปด้วยกันเถิด”

ฝูเป่าเดินไปอยู่ข้างกายมู่หรงชง ยังเผลอลากนางกำนัลที่ข้างกายมาด้วย นางกำนัลผู้นั้นยืนได้ไม่มั่นคงทั้งตัวคนจึงพุ่งล้มเข้าหามู่หรงชง

มู่หรงชงทำหน้าตึง ต้องการจะหลบ แต่ยังคงถูกนางกำนัลผู้นั้นกระแทกเข้ากับแผ่นอกอยู่ดี

นางกำนัลรีบคุกเข่าลง “บ่าวสมควรตาย! ท่านเจ้าเมืองโปรดไว้ชีวิตด้วย!”

ฝูเป่าพูดด้วยโทสะ “พี่เฟิ่งเกลียดการถูกคนสัมผัสตัวมากที่สุดแล้ว เจ้ายังบังอาจไปชนเขา?! ลากออกไปโบยให้ตาย!”

“องค์หญิงทรงไว้ชีวิตด้วย! องค์หญิงทรงไว้ชีวิตด้วยเพคะ…”

สายตาของมู่หรงชงเลื่อนผ่านใบหน้าของชิงหลวน เห็นนางมีท่าทางคล้ายต้องการพูดอะไรก็เอ่ยปากบอกว่า “ช่างเถิด เป็นความผิดโดยไม่ได้ตั้งใจ”

“พี่เฟิ่ง ไยท่านจึงปล่อยผ่านไปง่ายๆ เยี่ยงนี้…”

มู่หรงชงเดินตรงไปข้างหน้าโดยไม่ได้พูดอะไร

ฝูเป่าไม่สนใจนางกำนัลผู้นั้นอีก เดินตามไปถามว่า “พี่เฟิ่ง ท่านกลับฉางอันครานี้จะอยู่นานเท่าไร”

มู่หรงชงตอบ “เดิมอีกสองวันก็ควรออกเดินทางกลับผิงหยางแล้ว แต่ฝ่าบาทเห็นพระทัยว่าข้ากับญาติพี่น้องแยกจากกันเป็นเวลานานแล้ว จึงพระราชทานพระราชานุญาตให้อยู่ต่อได้หนึ่งเดือน”

ฝูเป่าคิดเล็กน้อย คล้ายว่าลังเลอยู่บ้าง แต่ยังคงเอ่ยปากพูดว่า “ผิงหยางเป็นเมืองหลวงสมัยพระเจ้าเหยาคนอัจฉริยะพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ พี่เฟิ่งกลับไปครานี้พาข้าไปเที่ยวด้วยได้หรือไม่”

มู่หรงชงตอบ “องค์หญิงพระวรกายล้ำค่า มิควรเสด็จไกลจากวัง เดินทางไปกับกระหม่อมก็ไม่สมควรแก่เหตุผล”

ฝูเป่าร้อนใจแล้วจึงกล่าวโดยไม่สนใจผู้คนรอบข้างทันที “ข้ามีเจตนาเช่นไรท่านไม่เข้าใจจริงหรือ พี่เฟิ่ง ความรู้สึกที่ข้ามีต่อท่าน…”

ไม่คาดว่ามู่หรงชงจะพลันคุกเข่าลงต่อหน้าฝูเป่าแล้วกล่าวว่า “พี่หวงมิบังอาจ องค์หญิงอย่าตรัสอีกเลย”

ฝูเป่าตาแดง “ท่าน…ท่าน…” นางทั้งโมโหทั้งร้อนใจ มิอาจพูดให้จบประโยคได้

มู่หรงจิ่นรีบก้าวไปจับมือฝูเป่าไว้พลางปลอบใจว่า “องค์หญิงตรัสเยี่ยงนี้จะเป็นการทำให้เฟิ่งหวงอายุสั้นแล้ว พวกข้าล้วนเป็นคนสิ้นแคว้นบ้านเมือง มิบังอาจเคียงเทียบองค์หญิงจริงๆ”

“พวกท่านกลัวเสด็จพ่อข้าทรงพระพิโรธใช่หรือไม่ ข้าจะไปพูดกับเขาเอง!” ฝูเป่าพูดพลางก้าวไปประคองมู่หรงชงให้ลุกขึ้น “พี่เฟิ่ง ท่านอย่าคุกเข่าให้ข้า”

มู่หรงชงลุกขึ้นยืน แต่กลับถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ก่อนกล่าวโดยที่รักษาระยะห่างกับฝูเป่า “หากองค์หญิงยังมีพระประสงค์ให้กระหม่อมมีชีวิตอยู่อีกนานๆ ก็อย่าทรงกราบทูลเรื่องนี้ต่อฝ่าบาท”

ฝูเป่าเม้มปาก มองมู่หรงชงไม่กะพริบ แต่อีกฝ่ายกลับเพียงหลุบตามองพื้น ท่าทางเคารพนบนอบ

มู่หรงจิ่นเอ่ยเร่ง “พวกท่านหยุดทะเลาะกันได้แล้ว หากยังไม่ไปงานเลี้ยงก็จะเริ่มแล้ว”

“ใช่แล้ว อย่าเสียเวลาอีกเลย” โต้วหวั่นเอ๋อร์ดึงฝูเป่ามา “พวกเราไปกันเถอะ”

คนทั้งห้ามุ่งหน้าไปยังตำหนักไท่จี๋ด้วยกันโดยไม่คุยกันอีกตลอดทาง

วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบสามสิบเจ็ดปีของฝูเจียน เขากำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์ แผนการอันยิ่งใหญ่กำลังแผ่ขยายไปทีละก้าวภายใต้เท้าของเขา เขานั่งอยู่บนตำแหน่งสูง มองดูขุนนางจากเผ่าต่างๆ ที่สวามิภักดิ์ต่อเขาอยู่ด้านล่างบัลลังก์ ในใจเกิดความคิดเตลิดขึ้นมาอีก

แต่ยังไม่ถึงเวลา อัครเสนาบดีหวังเหมิ่งมักจะเตือนเขาเยี่ยงนี้

นึกถึงหวังเหมิ่งในใจฝูเจียนก็พลันเป็นทุกข์ ขุนนางคนสนิทที่ช่วยเหลือเขามาร่วมยี่สิบปี ช่วยกวาดล้างปราบปรามกลุ่มอำนาจต่างๆ ช่วยทำให้แว่นแคว้นเจริญรุ่งเรืองผู้นี้เริ่มมีอาการป่วยหนักตั้งแต่เดือนหก จวบจนบัดนี้ยังลุกจากเตียงไม่ขึ้น

ฝูเจียนมองตำแหน่งที่นั่งของอัครเสนาบดีซึ่งอยู่ใกล้เขาที่สุด บัดนี้มันว่างเปล่า บรรยากาศน่าเฉลิมฉลองของงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดจึงหายไปกว่าครึ่งหนึ่ง

ทันใดนั้นที่ล่างบัลลังก์ก็เงียบสงัด คนทั้งหลายล้วนมองไปทางประตูตำหนัก เห็นเพียงตรงนั้นกำลังมีคนเดินเข้ามาห้าคน

ฝูเจียนเพ่งสายตามอง สามคนที่อยู่หน้าสุด หนึ่งคือฝูเป่าบุตรสาวคนโตของเขา อีกหนึ่งคือมู่หรงจิ่นชายาของเขา ส่วนผู้ที่เดินอยู่ริมสุดก็คือมู่หรงชง

“อาเป่าถวายบังคมเสด็จพ่อ ขอเสด็จพ่อมีพระวรกายแข็งแรง ทรงพระเจริญยิ่งยืนนานเคียงคู่ฟ้าดิน”

“หม่อมฉันมู่หรงจิ่น…”

“กระหม่อมมู่หรงชง…”

“ขอฝ่าบาทมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง สวรรค์ทรงคุ้มครองต้าฉินของเรา สี่ทะเลสงบสุข แว่นแคว้นยืนยง”

ฝูเจียนมองไป เห็นคนหนุ่มผู้นั้นยังมีท่าทีโอนอ่อนนอบน้อมเช่นเดิม ภายใต้ชุดอันหรูหราดูเหมือนว่าร่างกายจะบอบบางลงไปบ้าง เขาจำได้ว่าขณะอีกฝ่ายมาฉางอันในคราแรก แม้จะยังเยาว์วัย แต่กลับดูกำยำล่ำสันกว่าในยามนี้ ปัจจุบันทั้งที่ดูตัวสูงขึ้นแล้ว แต่กลับยิ่งดูผ่ายผอม บั้นเอวคล้ายว่ารวบได้ไม่เต็มมือ

มู่หรงชงกลับฉางอันมาได้สามวัน เวลาส่วนใหญ่ล้วนหลบหน้าเขาเสมอ

ฝูเจียนดื่มไปสองสามจอก จู่ๆ ก็รู้สึกครึ้มอกครึ้มใจ ปรบมือพลางกล่าว “เฟิ่งหวงเอ๋อร์ มานั่งตรงนี้!”

วาจานี้ถูกกล่าวออกมาที่ด้านล่างบัลลังก์ก็เงียบกริบประหนึ่งคนตายไปแล้ว สายตานับไม่ถ้วนมองไปยังสองพี่น้องที่หมอบอยู่กับพื้น มีทั้งประหลาดใจ ทั้งเหยียดหยาม ทั้งเดือดดาล…

คนหนุ่มผู้นั้นพลันลุกขึ้นพูดเสียงดัง “เสด็จพ่อ ลูกคิดว่าการทำเยี่ยงนี้มิเหมาะสม!”

คนหนุ่มผู้นี้ดูมีอายุราวสิบแปดสิบเก้า เขาก็คือฝูฮุยบุตรชายของฝูเจียน

รัชทายาทฝูหงเองก็ลุกขึ้นยืนเช่นกัน “ลูกเห็นด้วย!”

ครู่ก่อนฝูเจียนยังอมยิ้ม ครู่ถัดมากลับใช้ฝ่ามือตบลงบนโต๊ะ สองตาจ้องบุตรชายทั้งสอง “เหตุใดจึงไม่เหมาะสม!”

บรรยากาศเยียบเย็นลงทันควัน

ฝูฮุยมองฝูหงปราดหนึ่ง กำลังจะพูดคนผู้หนึ่งที่ด้านข้างกลับลุกขึ้นกล่าวว่า “พี่เจียนโถว วันนี้เป็นงานเลี้ยงวันคล้ายวันพระราชสมภพ อย่าโมโหเด็กๆ เลย น้องขอคารวะท่านหนึ่งจอก!”

คนผู้นี้มีอายุมากกว่าฝูฮุยไม่เท่าไร เขาคือฝูหมัวญาติผู้น้องของฝูเจียน ฝูเจียนมีพี่น้องมากมาย แต่รักใคร่โปรดปรานฉงเหอโหวที่เอาแต่รักสนุกผู้นี้เป็นอย่างมาก

ฝูเจียนดื่มไปจอกหนึ่ง ฝูหมัวเห็นว่าเขาคลายโทสะลงเล็กน้อยแล้วจึงกล่าวว่า “น่าเสียดายที่วันนี้อัครเสนาบดีหวังมาไม่ได้ ประเดี๋ยวเลิกงานเลี้ยงแล้วน้องจะไปเยี่ยมเขา”

ฝูเจียนกล่าวเสียงเข้ม “เราจะไปกับเจ้า” เขาเหลือบมองพี่น้องสกุลมู่หรงที่ยังคุกเข่าอยู่บนพื้นปราดหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นเถอะ”

ชิงหลวนลุกขึ้นตาม นางมองไปทางฝูหมัวเร็วๆ ก็เห็นว่าที่ข้างกายเขามีสาวน้อยในอาภรณ์หรูหรานั่งอยู่ผู้หนึ่งตามคาด กล่าวถึงอายุและรูปโฉมล้วนคล้ายคลึงกับมู่อวิ่นจือ นางใจเต้น ก่อนหักห้ามใจเก็บสายตากลับมา ในใจใคร่ครวญว่าจะหาโอกาสคุยกับอีกฝ่ายเยี่ยงไร

มู่หรงชงลุกขึ้นยืนมองไปสองฟากข้าง ที่ที่คนสกุลมู่หรงนั่งกันอยู่กลับไม่เหลือที่ว่างแล้ว พวกมู่หรงเหว่ยและมู่หรงผิงต่างล้วนก้มหน้า คล้ายว่ากลัวจนตัวสั่นไม่กล้ามองเขา มู่หรงฉุยที่มาเข้ากับแคว้นฉินตั้งแต่ก่อนแคว้นเยียนจะถูกทำลายเป็นปีๆ นั่งอยู่อีกด้านหนึ่งด้วยสีหน้าสงบนิ่ง มู่หรงหงพี่ชายของเขานั่งอยู่ข้างมู่หรงเหว่ย ดื่มจอกแล้วจอกเล่า มิได้ให้ความสนใจสิ่งอื่นใด

มู่หรงชงรู้สึกเพียงว่าหนาวเหน็บในทรวง จมูกรู้สึกแสบร้อน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยังคงเห็นว่าตนเป็นความอัปยศ!

ฝูเป่าอยากให้มู่หรงชงไปนั่งกับนาง แต่มู่หรงชงเอาแต่มองไปข้างหน้า กล่าวกับฝูเจียนว่า “กระหม่อมจะบรรเลงพิณถวายฝ่าบาทหนึ่งบทเพลงเป็นของขวัญวันคล้ายวันพระราชสมภพพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูเจียนได้ยินก็สนใจในทันที “เฟิ่งหวงไปเรียนดนตรีของชาวฮั่นตั้งแต่เมื่อใด ไม่กี่วันก่อนมีคนถวายพิณชั้นดีมาให้คันหนึ่งพอดี เดิมคิดจะมอบให้อัครเสนาบดีหวัง หากเจ้าดีดได้ดีก็มอบให้เจ้าแล้วกัน! เด็กๆ ยกพิณชั้นเลิศคันนั้นมา!”

เพียงครู่เดียวก็มีคนยกพิณและโต๊ะวางพิณมา

มู่หรงชงนั่งลงตรงกลาง ลองเสียงไปหนึ่งที ก่อนกล่าวว่า “เป็นพิณชั้นดีจริงๆ กระหม่อมมิกล้าแย่งของรักของผู้อื่น เพียงต้องการช่วยเสริมบรรยากาศอันสุขเกษมแด่ฝ่าบาท บทเพลงนี้มีชื่อว่า ‘บทเพลงเมฆมงคล’ เมฆมงคลเจิดจ้า เป็นสิริมงคล”

ชิงหลวนให้ความสนใจทางด้านฝูหมัวมาโดยตลอด จวบจนเห็นมู่หรงชงนั่งลงข้างโต๊ะถึงได้รู้ว่าเขาจะบรรเลงพิณ บทเพลงเมฆมงคลนางเองก็เคยฟัง บัดนี้จึงนึกสงสัยว่ามู่หรงชงจะบรรเลงออกมาเป็นเช่นไร

มู่หรงชงมือหนึ่งกดเสียง อีกมือดีดสาย เสียงพิณเริ่มบรรเลงตามมาด้วยเสียงขับร้อง

“เมฆมงคลเจิดจ้า ศุภมังคลาเวียนวน

วันเดือนเรืองโรจน์ โชติช่วงนานทิวา

จะแจ้งบนฟ้า ดาราสุกสกาว

วันเดือนเรืองโรจน์ ปกแผ่อริยชน

วันเดือนผันเปลี่ยน ดาราโคจร

สี่ฤดูหมุนเวียน มหาชนเปี่ยมศรัทธา

มโหรีสอดประสาน อวยพรเทพยดา

บัลลังก์ตกแก่ปราชญ์ ประชาราษฎร์ปรีดา

เสียงกลองดังเสนาะ ระบำงามสง่า

ความสามารถหมดสิ้น เก็บอาภรณ์ไคลคลา”

 

เมื่อเพลงจบชิงหลวนก็เห็นคนในที่นี้ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้างุนงง ในวังหลวงแคว้นฉินมีชาวเผ่าอยู่เป็นส่วนมาก ไม่แตกฉานในเพลงพิณของชาวฮั่น หาได้ยากที่มู่หรงชงซึ่งมีชาติกำเนิดเป็นคนเผ่าเซียนเปยจะบรรเลงพิณได้ดีไม่เป็นรองใคร ชิงหลวนจึงอดจะชื่นชมไม่ได้

ฝูเจียนปรบมือหัวเราะร่า “ดนตรีของชาวฮั่นเราฟังไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ท่อนจะแจ้งบนฟ้า ดาราสุกสกาว เราพอจะฟังเข้าใจแล้ว เฟิ่งหวงมีใจอยากให้เราตกรางวัลเจ้าด้วยอะไร”

มู่หรงชงลุกขึ้นตอบ “กระหม่อมไม่ต้องการสิ่งใด”

ชิงหลวนมองฝูเป่าปราดหนึ่งตามจิตใต้สำนึก เห็นเพียงนางมองมู่หรงชงตาลุกวาว ครั้นได้ยินคำว่า ‘ไม่ต้องการสิ่งใด’ แววตาก็หม่นแสงลง

ฝูเจียนสำราญใจสุดขีด ยังคงตกรางวัลแก่มู่หรงชงเป็นสิ่งของจำนวนมาก มู่หรงชงกล่าวขอบคุณ จากนั้นก็มีบ่าวยกโต๊ะมา แสดงเจตนาให้มู่หรงชงนั่งลงข้างฝูฮุย

ฝูฮุยมีสีหน้าโกรธเกรี้ยว แค่นเสียงเย็น “เจ้าเด็กไป๋หลู่!”

มู่หรงชงตรงไปนั่งลงข้างๆ โดยมิได้นำพา

โต้วหวั่นเอ๋อร์กับชิงหลวนนั่งอยู่ไม่ไกลจากเขา โต้วหวั่นเอ๋อร์ถามชิงหลวนเสียงเบา “ท่านเป็นชาวฮั่น รู้หรือไม่ว่าเมื่อครู่นี้เขาบรรเลงเพลงอะไร”

ชิงหลวนตอบ “ ‘คล้ายควันมิใช่ควัน คล้ายเมฆมิใช่เมฆ ฟุ้งกระจาย ม้วนเคลื่อนเลื่อนลอย เรียกว่าเมฆมงคล เมฆมงคลถูกเห็นว่าเป็นนิมิตหมายอันดี’ เจ้าเมืองมู่หรงกำลังอวยพรต้าฉิน ขอให้บ้านเมืองมั่นคง ราษฎรผาสุก ใต้หล้าเป็นปึกแผ่น”

โต้วหวั่นเอ๋อร์ยังคงคล้ายเข้าใจคล้ายไม่เข้าใจ แต่มู่หรงชงกลับช้อนตามองชิงหลวนก่อนยิ้มน้อยๆ ให้นาง ยามรอยยิ้มนี้อยู่บนใบหน้านั้นช่างงดงามจนน่าตกใจ ชิงหลวนอดจะกำมือเบือนหน้าหนีไม่ได้

หลังดื่มกันได้สามรอบ ทั้งตำหนักปรองดองเกษมศานต์

ชิงหลวนอาศัยจังหวะที่ผู้คนไม่สนใจเดินไปทางฝูหมัวอย่างเงียบเชียบ

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 มี.. 67 เวลา 12.00 .

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: