บทที่ 2 เปลวไฟในพายุ
งานวันเกิดของมาลินีจัดขึ้นที่ร้านอาหารกึ่งคาราโอเกะย่านถนนนราธิวาสราชนครินทร์ ตัวร้านเป็นอาคารก่ออิฐสไตล์ลอฟต์สูงสองชั้น สร้างเรียงขนานเป็นแนวขวางไปจรดสองฟากฝั่ง แต่ละฝั่งแบ่งเป็นห้องกระจกเก็บเสียงหลากหลายขนาด
ห้องที่จองไว้เป็นห้องใหญ่ที่มีโต๊ะอาหาร โต๊ะเล่นบิลเลียด และมุมโซฟาไว้ร้องคาราโอเกะแยกกันชัดเจน บนโต๊ะมีทั้งอาหาร เหล้า เบียร์ที่ทีมงานสั่งมากันไม่ยั้งเพราะวันนี้เป็นวันศุกร์ บอสเองก็ไม่ได้เรียกประชุมหรือสั่งให้เข้ามาทำงานด่วนทุกคนจึงพร้อมจะเมาปลิ้น โดยมีเจ้าของวันเกิดรับหน้าที่เก็บซากทุกคนส่งขึ้นแท็กซี่
ที่จริงมาลินีชวนกัลยามาด้วยเพราะหญิงสาวรู้จักกับทีมงานของเธอ แต่กัลยาไม่ได้มาเพราะมีนัดกับแฟน งานนี้จึงมีสมาชิกในทีมอย่างวลัยพรมาร์เก็ตติ้งสุดแซ่บ ฤทัยม่ายสาวลูกสองหัวหน้าของเธอ อรวีเซลส์มือทอง ดนุชาเซลส์หนุ่มหน้ามน เพิ่งจบหมาดๆ และพนักงานในทีมมาร์เก็ตติ้งและเซลส์อีกอย่างละคน
ส่วนคนนอกทีมที่มาร่วมแจมมีอยู่สองคนคือ…
หลวงเดชหรือเดชา เมสเซนเจอร์ส่วนกลางของ เจ.ซี.กรุ๊ป แต่ทีมของบอสเจตต์เรียกใช้บ่อยจนกลายเป็นขาประจำ ทุกคนในทีมเรียกเขาว่า ‘หลวงเดช’ เพราะหลวงเดชคืออดีตพระภิกษุสิบกว่าพรรษาแต่สึกออกมาเพราะต้องกลับมาดูแลแม่ที่ป่วยหนัก เขามักจะมีคำพูดตบท้ายที่ให้แง่คิดเสมอเวลาคุยกัน
‘เรื่องดีมันก็ไม่เที่ยง เรื่องไม่ดีมันก็ไม่เที่ยง ไม่มีอะไรแน่นอนสักอย่างหรอกหนูมะลิ’
ส่วนอีกคนคือปรีชาหรือไอ้พี่ป๊อก ขาหื่นประจำจากแผนกไอที ชอบตีเนียนร่วมแจมทุกงานและชอบไถบัตรสมาชิกโคโยตี้คลับจากคนอื่นๆ เสมอเวลาคอมพิวเตอร์ในออฟฟิศเจ๊ง
‘มาที่นี่ก่อนไม่ได้เหรอพี่ป๊อก คอมฯ ฝ่าบาทเจ๊ง ขืนเลตมีหวังถูกเชือดยกชั้น’
‘แหม ของอย่างนี้มันต้องมีอะไรแลกเปลี่ยนรึเปล่าน้องมะลิ’
‘เดี๋ยวมะลิขอบัดเจ็ตต่ออายุบัตรเดอะเลานจ์ให้ รีบไถตัวเองมาด่วนสุดๆ นะพี่ป๊อก’
รายนี้กิเลสหนา นอกจากกินเหล้าเคล้านารีแล้ว ยังขี้เกียจเป็นสันดานจนโดนฝ่ายบุคคลหมายหัว ติดที่ว่าดันเก่งระดับหัวกะทิ ไม่มีคอมพิวเตอร์เครื่องไหนที่ปรีชาซ่อมไม่ได้เลยไม่ถูกไล่ออกสักที
คืนนั้นมาลินีถูกคะยั้นคะยอให้ออกไปโชว์สเต็ปร้องเพลงอยู่หลายเพลง ก่อนถูกบรรดารุ่นพี่แย่งไมค์ไปครอง เธอเลยออกมานั่งรับลมนอกห้อง เจอเข้ากับธิดาที่เพิ่งวางสายจากลูกชายตัวน้อยพอดีจึงได้มีเวลาพูดคุยกัน
“ไม่ร้องเพลงต่อเหรอมะลิ”
“มะลิอยากออกมาสูดอากาศหน่อยค่ะ ไอ้พี่ป๊อกพอเมาแล้วเริ่มเลื้อยทุกที”
“ขาวๆ อย่างมะลิ ป๊อกมันชอบนักล่ะ พี่เห็นนะเวลามันมองมะลิน่ะ ตาเป็นประกายเชียว”
มาลินีนั่งติดกับปรีชาในห้องจัดเลี้ยง พอเห็นหมอนั่นกระดกเหล้าหนักข้อขึ้น แล้วเริ่มตีเนียนเอนตัวมาเกยไหล่เธอ หนักข้อเข้าก็วางแขนพาดไหล่จนเธอต้องรีบกระถดหนี แสร้งเดินออกมาสูดอากาศนอกห้อง
“ไอ้พี่ป๊อกหน้าหม้อไปทั่วแหละค่ะ ขาหื่นแบบนี้ มะลิขอบายดีกว่า”
“แล้วแบบบอสล่ะ ชอบไหม”
คำถามของธิดาทำให้ดวงหน้าใสของมาลินีแดงเรื่อ ไม่มีใครในทีมไม่รู้ว่าเธอหลงรักเจ้านายหัวปักหัวปำ
“ขืนมะลิพูดไป มีหวังมะลิถูกบอสไล่ออกแหง”
“แล้วเมื่อเย็นที่ลงมาช้าเพราะเข้าไปชวนบอสมางานล่ะสิ”
“มะลิเข้าไปหยิบของแล้วบอสออกมาเติมกาแฟพอดี เลยช่วยชงกาแฟแล้วก็สั่งอาหารให้น่ะค่ะ”
“ถ้าไม่ได้มะลิช่วยดูแลบอสพี่คงแย่ ลูกพี่ยังเล็กพี่ก็อยากลาออกไปดูแลลูก ติดที่สามีเพิ่งออกจากงาน พี่เลยเป็นรายได้หลักของบ้าน จะออกก็ไม่ได้ เลิกดึกก็ห่วงลูกอีก”
“พี่ธิดาไม่ต้องกังวลนะคะ ถ้าวันไหนพี่ธิดาไม่สะดวก มะลิช่วยทำงานแทนได้สบายค่ะ”
“นี่ถ้าแม่ผู้ช่วยเลขาฯ ขยันแบบมะลิบ้างคงไม่ต้องเปลี่ยนกันเป็นว่าเล่นแบบนี้ ถ้ามะลิควบสองตำแหน่งไม่ไหวก็บอกพี่นะ พี่จะขอบอสให้หาคนใหม่ บอสมัวยุ่งๆ เธอคงลืมไปบ้าง”
“มะลิไหวค่ะพี่ธิดา”
โอกาสใกล้ชิดเจ้านายทูนหัวใช่ว่าจะหากันได้ง่าย ต่อให้ทำงานหนักกว่านี้มาลินีก็พร้อมลุย
“พี่เองก็เกรงใจ มะลิทำตั้งสองตำแหน่ง เอาไว้พี่จะหาโอกาสพูดกับบอสเรื่องขึ้นเงินเดือนให้นะ”
“ขอบคุณค่ะพี่ธิดา”
มาลินียิ้มแป้น เรื่องเงินเป็นเรื่องใหญ่ เธอมีหนี้ของยายที่ต้องผ่อนชำระกับธนาคารแล้วยังมีค่าเทอมของน้องชาย ไหนจะค่าใช้จ่ายจิปาถะอีกล้วนต้องใช้เงินทั้งนั้น ดังนั้นไหนๆ ต้องทำงานหนักแล้วก็ควรได้ค่าตอบแทนสมน้ำสมเนื้อถึงจะถูก
“แม่พวกนั้นเข้ามาทำงานก็หวังแต่จะอ่อยบอส แต่พอเจอฤทธิ์บอสเหวี่ยงเข้าหน่อยเป็นต้องเผ่นแน่บทุกราย ไม่เหมือนมะลิสักคน”
ธิดาคลี่ยิ้มพลางกุมมือสาวน้อยที่เห็นมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษากระโปรงบาน สวมแว่นสายตา ตัวใหญ่กว่าตอนนี้เป็นเท่าตัว ทว่าตอนนี้มะลิเลิกใส่แว่นตา แถมยังผอมเพรียวจนกลายเป็นสาวน้อยร่างอวบอิ่มหน้าตาน่ารักที่มีหนุ่มๆ แวะมาเมียงมอง แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้เรื่องรู้ราวสักนิด เพราะสองตามีไว้ให้เพียงบอสคนเดียว
“ใช่ว่ามะลิไม่ถูกเหวี่ยงหรอกค่ะ แต่คงเพราะชินแล้วมากกว่า”
“พี่ว่าเป็นเพราะรักมากกว่า พอรักแล้วอะไรที่ว่ายาก ที่ว่ายอมไม่ได้ ก็รับได้หมดแหละ มะลิอยากบอกบอสบ้างไหมล่ะ”
มาลินีส่ายหน้าหวือ
“ถ้าบอกแล้วมะลิถูกไล่ออก มะลิไม่บอกดีกว่าค่ะ ค่าเทอมน้องชายก็ต้องส่ง หนี้แบงก์ของยายก็ต้องจ่าย มะลิไม่ต่างจากพี่ธิดาหรอกค่ะที่เป็นรายได้หลักของที่บ้าน”
“งั้นอย่าบอกเลยดีกว่า กี่รายต่อกี่รายที่มาสารภาพรักกับบอสมีอันต้องหลุดออกจาก เจ.ซี.กรุ๊ป ทุกราย แต่เรื่องไล่ออกนี่ไม่ใช่ฝีมือบอสหรอกนะ เธอออกแนวเย็นชาใส่มากกว่า คนที่ไล่ออกน่ะคุณหญิงจิตรา ท่านรู้ว่ามีสาวๆ ปลื้มหลานของท่านเยอะ ถ้าแค่ปลื้มท่านไม่ว่าอะไรหรอก แต่ข้ามเส้นถึงขั้นสารภาพรักต่อหน้าบอสล่ะก็ เป็นต้องฟันทิ้งทุกราย”
“มะลิรู้มาว่าท่านมีหลานตั้งหลายคนแล้วคนอื่นก็เจอแบบนี้เหมือนกันเหรอคะ”
“ไม่หรอก ท่านมีหลานหลายคนก็จริง แต่ไม่มีใครเหมือนบอสสักคน รายอื่นน่ะดีแต่ใช้เงิน แต่บอสน่ะนอกจากฉลาด หาเงินเก่งแล้วนิสัยยังถอดแบบคุณหญิงท่านมาเลย ท่านถึงหวงนักหวงหนา หวังจะให้แต่งกับคนที่ท่านเลือกให้เท่านั้น”
ดวงหน้าที่เคยอวดรอยยิ้มแจ่มใสกลับหงอยลงทันตาเห็น
“พี่เห็นมะลิมาหลายปี รักเหมือนน้องเหมือนนุ่ง เลยไม่อยากให้มะลิเสียเวลา พี่ทำงานกับบอสมาสิบปีกว่าแล้วนะ บอสไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรหรอก เธอรักลูกน้อง คอยดูแลตามประสาเจ้านายที่น่านับถือปกตินั่นแหละ แต่เรื่องส่วนตัว…เธอไม่ใช่ผู้ชายที่จะทำให้ผู้หญิงมีความสุขได้หรอก ทั้งเย็นชา ทั้งไร้หัวใจ บางทีคงเพราะเหมือนคุณหญิงจนเกินไปล่ะมั้ง”
มาลินีรับฟังธิดาด้วยหัวใจห่อเหี่ยว เปลวไฟแห่งความหวังดวงน้อยถูกพายุคำพูดของธิดาพัดกระหน่ำจนเกือบดับมอด
“พี่เคยได้ยินแม่บ้านที่บ้านคุณหญิงเล่าให้ฟังว่าสมัยมหา’ลัยมีเพื่อนนักศึกษาแวะเวียนไปที่บ้านประจำ หนักข้อเข้าก็ขนเสื้อผ้ามาค้างคืน พอคุณหญิงรู้ท่านเลยสั่งให้บอสเลิก บอสก็ทำตาม สาวคนนั้นเลยบุกไปด่าคุณหญิงถึงบริษัท บอสงี้โกรธมาก บอกผู้หญิงคนนั้นว่าแค่มีอะไรกันไม่ได้แปลว่ารัก หลังจากนั้นบอสก็ลาออกจากมหา’ลัยแล้วบินไปเรียนต่อเมืองนอกหน้าตาเฉย เธอใจร้ายขนาดนั้นเลยนะมะลิ”
“มะลิผิดเองใช่ไหมคะที่หลงรักบอส” มาลินีถามเสียงสั่นเครือ
“ความรักมันมีถูกผิดเสียที่ไหนล่ะ พี่แค่จะบอกว่ามะลิเป็นเด็กน่ารัก ใครอยู่ใกล้ก็อดหลงรักไม่ได้ เพียงแต่บอสน่ะไม่เหมาะกับคนเดินดินแบบพวกเรา ปล่อยให้เธออยู่บนฟ้าของเธอไปเถอะ อย่าไปสอยลงมาเลย”
มาลินีเกือบจะขำกับคำเปรียบเปรยของธิดา แต่ก็หัวเราะไม่ออกจริงๆ
“พี่อยากให้มะลิได้เจอผู้ชายดีๆ ที่เขาจะรักและดูแลมะลิอย่างดีมากกว่า หลายปีมานี้พี่เห็นผู้หญิงมากมายพยายามวิ่งตามบอส แต่สุดท้ายเป็นต้องล่าถอยกันไปหมด เหลือแต่มะลินี่แหละ…”
มาลินีเม้มปาก บีบมือเข้าหากัน จากงานเลี้ยงวันเกิดที่ควรเต็มไปด้วยความสุข สนุกสนาน กลับกลายเป็นงานปลอบขวัญการอกหักรอบที่ร้อยกว่าของเธอ
“บอสไม่เดือดร้อนกับการเป็นโสดหรอกนะมะลิ เธอไม่เหมือนผู้ชายทั่วไปที่อยากแต่งงานมีครอบครัว เธอเคยชินกับความโดดเดี่ยวแบบนี้ แต่ผู้หญิงพวกนั้นคิดว่าจะละลายหัวใจเย็นชาของเธอได้ แต่ลืมไปว่าเธอไม่ได้ต้องการ บอสเป็นคนทะเยอทะยาน ชอบเอาชนะ ถึงได้ทำงานหนัก เพื่อปูทางสู่ตำแหน่งประธานบริษัท เธอไม่ได้ต้องการความรักหรอกมะลิ เธอต้องการอำนาจ”
“…”
“ยิ่งมะลิตัดใจเร็วเท่าไรยิ่งดี เพราะถ้าวันหนึ่งคุณหญิงออกปาก บอสก็พร้อมแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนก็ได้ที่ช่วยให้เธอได้เป็นประธาน เจ.ซี.กรุ๊ป พี่เชื่ออย่างนั้น”
“มะลิไม่อยากเชื่อว่าคนเราจะไม่ต้องการความรักในชีวิตเลย”
“บอสของเรานี่แหละคนหนึ่งที่ไม่ต้องการความรัก เงินต่างหาก เงินต่อเงินน่ะมะลิรู้จักไหม แต่งงานเพื่อเชื่อมธุรกิจ แล้วหลังบ้านจะเละตุ้มเป๊ะ มีชู้กันกี่มากน้อยก็ตามสบาย หลานของคุณหญิงที่แต่งงานไปแล้วเป็นแบบนี้ทั้งนั้น พี่ถึงห่วงมะลิ ไม่อยากให้มะลิต้องมาเสียเวลากับผู้ชายไร้หัวใจแบบนี้”
หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตาที่ร่วงผล็อย จะมีทางใดที่ตัดใจจากเขาโดยไม่ต้องลาออกไหม…มีบ้างไหม!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 พ.ย. 62
Comments
comments
No tags for this post.