X
    Categories: ทดลองอ่านบุปผารัตติกาลแห่งฉางอันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน บุปผารัตติกาลแห่งฉางอัน บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 13

บทที่ 2

เด็กสาวขอให้พวกฉางหรงช่วยนำโครงกระดูกสีขาวภายในถ้ำฝังลงดิน ทำพิธีส่งวิญญาณอย่างเรียบง่ายเพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณผู้เคราะห์ร้ายที่โดนปีศาจงูสังหาร

นอกถ้ำท้องฟ้ายังไม่สว่างจ้ามากเท่าใด มีเพียงกลุ่มเงาสีเทาดำมองเห็นได้รางๆ

พวกเขาทั้งหมู่คณะเดินออกมานอกถ้ำ มองเห็นดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณโผล่พ้นขอบฟ้าทางทิศตะวันออกแล้ว บรรยากาศอึดอัดเย็นเยียบกลางภูเขาจางหายไปโดยสิ้นเชิง มีความรู้สึกเหมือนห่างกันคนละภพกระนั้น

เด็กสาวสูดอากาศจากหมอกเย็นสดชื่นเข้าปอดหลายครั้งอย่างพึงพอใจพลางเอ่ยรำพันออกมา

“ในที่สุดภารกิจก็ลุล่วง”

ลิ่นเซี่ยวที่ยืนเคียงไหล่เด็กสาวมาแต่แรก ได้ยินคำพูดนี้ก็หันไปมองนาง

แสงอาทิตย์สีทองอาบไล้ใบหน้าของนางอย่างอ่อนโยน ขับเน้นผิวขาวหมดจดนวลเนียนราวกับหยกชั้นดี ลิ่นเซี่ยวมองเห็นกระทั่งเส้นขนละเอียดอ่อนบนใบหน้างามนั้น เมื่อเทียบกับการมองเห็นใต้แสงจันทร์แล้วกลับมีความงามที่เจิดจ้าอย่างอธิบายไม่ถูกมากกว่าหลายส่วน

เพียงแต่ยังมีเลือดฝาดน้อยไปอยู่บ้าง ทำให้ดูไม่เปล่งปลั่งอย่างคนมีสุขภาพดี

ลิ่นเซี่ยวเฝ้ามองจากด้านข้าง ลอบคิดในใจว่าหรือสตรีนางนี้อาจมีโรคประจำตัวมาแต่กำเนิด ถ้าหากมีโรคแอบแฝงอยู่จริงแล้วเหตุใดยังเสียเวลาไปมาหาสู่กับภูตผีปีศาจได้อีกเล่า

เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนปีศาจงูนั่นหลอกล่อพวกเราให้ลงเขา กว่าจะเดินไปถึงหินก้อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เห็นหนทางอยู่ตรงหน้าแล้วแท้ๆ แต่ทำอย่างไรก็เดินอ้อมไม่พ้นเสียที เป็นเพราะแม่นางน้อยใช้อุบายอะไรหรือ”

เด็กสาวพยักหน้าแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตอนข้าขึ้นเขาวางผนึกข่ายอาคมตรงทางออกเพื่อป้องกันปีศาจบนเขาหลบหนี ข้าได้ยินลูกน้องของท่านเล่าว่าตอนพวกท่านขึ้นเขา ปีศาจพวกนั้นเคยใช้อาคมพรางตาเพื่อหาทางเข้าใกล้ ข้าก็แค่เลือกวิธีการเดียวกันสนองคืนผู้ใช้กลับไปเท่านั้น”

ฉะนั้นเมื่อนางพบคณะของพวกลิ่นเซี่ยวที่ริมลำธารจึงไม่ขัดขวางที่พวกเขาจะเดินลงเขา ถ้าหากพวกลิ่นเซี่ยวไม่มีใครเป็นปีศาจย่อมลงเขาได้อย่างสะดวกราบรื่น แต่ถ้าหากโดนข่ายอาคมสกัดเอาไว้ นั่นหมายความว่าในกลุ่มพวกเขาอย่างน้อยต้องมีใครสักคนเป็นปีศาจ นางเพียงแค่นั่งรอดูสถานการณ์อยู่เงียบๆ ก็พอแล้ว

ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้ว “ปีศาจตนนี้แผลงฤทธิ์มานานหลายปี ไม่รู้ว่าทำร้ายราษฎรผู้บริสุทธิ์ไปมากมายเท่าใดแล้ว”

“นั่นน่ะสิ” เด็กสาวเอ่ยต่อคำ “ครึ่งเดือนก่อนข้าติดตามอาจารย์ผ่านมาทางนี้ อาจารย์ข้าเห็นภูเขาลูกนี้มีไอปีศาจแน่นหนา คาดเดาว่าบนภูเขาจะต้องมีสิ่งชั่วร้ายออกอาละวาดอยู่แน่ แต่ว่าตอนนั้นเขายุ่งอยู่กับการรับมือปีศาจตนอื่น ไม่อาจปลีกเวลามาสืบหาต้นสายปลายเหตุ หลายวันมานี้นึกขึ้นได้ รู้สึกไม่สบายใจไม่หายจึงให้ข้านำของวิเศษในอารามของพวกเรามาสืบหาความจริง”

ลิ่นเซี่ยวมองไปที่กระดิ่งสีทองตรงหน้าอกของเด็กสาว ของวิเศษเช่นนี้เป็นของล้ำค่าหายากอย่างแท้จริง เมื่อคืนถ้าหากไม่ได้มันคอยช่วยเหลือ เขากับพวกฉางหรงคงไม่แคล้วต้องฝังร่างตนเองในท้องงู และแม้กระทั่งนักพรตน้อยก็คงยากจะหนีพ้นเคราะห์กรรมไปได้

แต่ว่าในเมื่ออาจารย์ของนางยอมมอบของวิเศษประจำอารามให้ หมายความว่านางเป็นลูกศิษย์ที่เขารักใคร่โปรดปรานอย่างที่สุด แล้วเพราะเหตุใดถึงตัดใจให้นางมาเสี่ยงอันตรายลำพังกัน

เด็กสาวไม่ทันสังเกตเห็นแววตาครุ่นคิดของลิ่นเซี่ยว แต่เหลือบมองกระบี่วิเศษข้างเอวของเขาด้วยความสนใจ “คุณชาย ขอบังอาจถามว่ากระบี่ของท่านมีที่มาเช่นไร เหตุใดถึงได้มีพลังร้ายกาจถึงเพียงนี้”

ลิ่นเซี่ยวลังเลอยู่ชั่วครู่จึงปลดกระบี่ออกจากเอว ส่งให้เด็กสาวพินิจดูอย่างละเอียดพลางเอ่ยขึ้น “นี่เป็นกระบี่ที่ท่านปู่มอบให้ข้าก่อนจากโลกนี้ไป ข้ารู้แค่ว่ามันชื่อ ‘ชื่อเซียว’* ตอนท่านปู่ยังมีชีวิตอยู่หวงแหนกระบี่เล่มนี้ยิ่งนัก แทบไม่เคยปล่อยให้ห่างตัว แต่กลับไม่รู้ว่ามันยังมีอานุภาพกำจัดปีศาจได้”

พอเห็นว่าเด็กสาวรับกระบี่ไปดูเล่นด้วยความสนใจเต็มเปี่ยม ในใจลิ่นเซี่ยวพลันเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมา เหตุใดสถานการณ์ตรงหน้าดูคล้ายเด็กน้อยสองคนกำลังโอ้อวดของเล่นที่ต่างฝ่ายต่างภาคภูมิใจอยู่นะ ทว่าอย่างไรก็มีความแตกต่างระหว่างบุรุษสตรี เด็กสาวสามารถขอกระบี่ของเขาไปชื่นชมอย่างเปิดเผย แต่เขากลับไม่สะดวกใจที่จะขอเครื่องประดับติดตัวนางมาดูใกล้ๆ

เขากระแอมกระไอแผ่วเบาแล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “หลังจากขึ้นเขาเมื่อวาน ข้าเคยพบปีศาจที่หมู่บ้านร้างแห่งนั้น มันเป็นปีศาจที่ไปมาไร้ร่องรอย ถูกกระบี่ชื่อเซียวฟันเตลิดหนีไปก็ไม่เคยโผล่มาอีก คิดว่าคงจะหวาดกลัวกระบี่เล่มนี้”

เด็กสาวได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าเหลียวมองรอบกาย “สิ่งที่ท่านเจอน่าจะเป็นวิญญาณเร่ร่อนของชาวบ้านที่โดนปีศาจงูฆ่าตาย เพราะว่าตายอย่างไม่เป็นธรรม ยังมีความอาลัยอาวรณ์ต่อโลกใบนี้ ไม่อาจตัดใจไปเกิดใหม่ ตอนนี้ปีศาจงูถูกกำจัด เมื่อครู่ข้าก็ทำพิธีปลดปล่อยพวกเขาไปแล้ว คิดว่าไม่นานพวกเขาคงจะปล่อยวางสิ่งที่ยึดมั่น ยอมกลับเข้าสู่วัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดอีกครั้ง”

เวลานี้ฉางหรงนำพวกเว่ยปอแบกร่างคนแซ่ถานและแซ่หวังที่ยังสลบไสล เดินไปตามเส้นทางเดิมกลับสู่ที่ตั้งกระโจมริมลำธาร เด็กสาวเหมือนจะรู้สึกลังเล นางคิดไปคิดมา สุดท้ายก็หยิบขวดยาขวดเล็กในถุงเงินออกมาอีกแล้วเทยาสองเม็ดมอบให้ลิ่นเซี่ยว

นางมีสีหน้าเจ็บปวดอยู่บ้างขณะกล่าวว่า “ยาชนิดนี้อาจารย์ข้าเป็นคนหลอมเอง วัตถุดิบที่ใช้ล้วนล้ำค่าหายาก ปกติหนึ่งเม็ดให้เงินเหรียญสำริดสิบพวงยังไม่ขายเลย…เห็นแก่ที่คุณชายช่วยข้ากำจัดปีศาจ ให้ท่านเพิ่มอีกสองเม็ดแล้วกัน กินยานี่แล้วคนที่บาดเจ็บสองคนนั้นจะได้หายเร็วขึ้น”

ลิ่นเซี่ยวรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แม่นางน้อยผู้นี้มองดูเป็นคนเปิดเผยจริงใจ ทำอะไรก็เฉียบขาดปานนั้น ไม่คิดว่าจะเป็นคนเห็นแก่เงินเหมือนกัน

เขาลอบหัวเราะอยู่ในใจ ภายนอกกลับแสดงสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ขอบคุณมาก…แม่นางน้อย แต่ยาล้ำค่าปานนี้ข้าได้มาแล้วสองเม็ด จะปล่อยให้แม่นางมอบให้เปล่าๆ อีกไม่ได้เด็ดขาด” กล่าวพลางส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามข้างกายหยิบเงินออกมาแล้วส่งให้เด็กสาว

เด็กสาวมองเห็นเงินจำนวนมากโดยไม่ทันตั้งตัวก็ตกอกตกใจเสียยกใหญ่ นางไม่คิดว่าลิ่นเซี่ยวจะมอบเงินให้อย่างใจกว้างถึงเพียงนี้

เดิมทีนางเห็นลิ่นเซี่ยวแม้จะสวมเสื้อผ้าอาภรณ์เรียบง่ายสะอาดสะอ้าน แต่ว่าแฝงด้วยกลิ่นอายสูงศักดิ์ กิริยาวาจาหาใช่ธรรมดาสามัญ อีกทั้งผู้ติดตามเป็นคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งกลุ่มหนึ่ง ก็คาดเดาได้อย่างเลือนรางว่าลิ่นเซี่ยวคงไม่ใช่ราษฎรทั่วไป ตอนนี้ดูท่าคงจะมีฐานะร่ำรวยไม่เบาด้วย

นางออกเดินทางมาคราวนี้ไม่อยากให้เกิดเรื่องวุ่นวายที่คาดไม่ถึงตามมา โดยเฉพาะนางไม่อยากจะเข้าไปพัวพันกับชนชั้นสูงในเมืองฉางอัน

แม้ว่านางจะเสียดายยาสี่เม็ดนั้นมากเพียงใด แต่ก็ยังยืนกรานปฏิเสธ “การกำจัดปีศาจปราบมารเป็นหน้าที่ของนักพรตอย่างเราต้องรับผิดชอบมาแต่ไหนแต่ไร…ยิ่งไปกว่านั้นถ้าเมื่อครู่ไม่ได้คุณชายช่วยเหลือ ตอนนี้ข้าก็คงโดนงูยักษ์กลืนลงท้องไปนานแล้ว จะถือว่ามอบยาให้เปล่าๆ ได้หรือ คุณชายอย่าได้เกรงใจเช่นนี้เลย”

ไม่รอให้ลิ่นเซี่ยวเอ่ยปากอีกครั้ง นางก็กล่าวอำลาอย่างตรงไปตรงมาทันที “ตอนข้ามาถึงฉางอันว่าจ้างรถม้าไว้คันหนึ่ง ก่อนจะขึ้นเขาก็เคยกำชับว่าให้คนขับรถม้ารออยู่ที่โรงเตี๊ยม คิดว่าป่านนี้เขาคงจะรอจนร้อนใจแย่แล้ว เมื่อสิ่งชั่วร้ายบนเขาถูกกำจัดหมดสิ้น ข้าคงต้องลงเขาสักที ขอลาตรงนี้เลยแล้วกัน”

กล่าวจบก็หันหลังกลับ ก้าวยาวๆ เดินลงเขาไป

ช่างเป็นสตรีที่แปลกประหลาดเสียจริง ดูเหมือนกลัวว่าจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับเขากระนั้น ลิ่นเซี่ยวเฝ้ามองเงาแผ่นหลังเล็กบอบบางเดินห่างไปไกล เขาหรี่ตามองแล้วกดเสียงลงต่ำสั่งการผู้ติดตามหลายประโยค คนผู้นั้นพยักหน้ารับคำสั่งแล้วเดินจากไป

ฉางหรงจัดเตรียมที่ทางให้คนแซ่ถานและคนแซ่หวังพักผ่อนแล้ว เขาก็รีบวิ่งปรี่มาอยู่ข้างกายลิ่นเซี่ยว “เอ๊ะ! แม่นางนักพรตคนนั้นเหตุใดจู่ๆ ก็จากไปเล่า”

พอเห็นลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย เขาก็กลัวว่าคุณชายยังคิดสืบหาร่องรอยของสตรีนางนั้น จึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ข้านำถานฉีกับหวังสิงไปนอนในกระโจมเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าบนเขาอากาศหนาวเย็น เกรงว่าไม่เหมาะจะรั้งอยู่นาน คุณชาย จะให้ข้าลงเขาไปจ้างรถม้าขึ้นมาสักสองสามคันเพื่อนำพวกเขาสองคนกลับเมืองฉางอันหรือไม่”

ก็คงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว

ลิ่นเซี่ยวเงยหน้ามองดูท้องฟ้า เอ่ยสั่งการอย่างชัดเจนว่า “รีบลงเขาโดยเร็วเถอะ”

 

ระหว่างเดินทางกลับฉางอัน ฉางหรงเอ่ยถามลิ่นเซี่ยวขึ้น

“คุณชายรู้ได้อย่างไรว่านักพรตนั่นเป็นปีศาจ”

ลิ่นเซี่ยวคิดทบทวนก่อนเอ่ย “เมื่อคืนตอนดื่มสุราอยู่ริมลำธาร ไม่ทันระวังไปแตะโดนมือซ้ายของนักพรตนั่น มือข้างนั้นเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง ไม่มีไออุ่นเลยแม้แต่นิดเดียว ร่างกายก็แผ่กลิ่นเหม็นสาบออกมาจางๆ ข้าถึงสงสัยนักพรตคนนั้นเข้า”

ฉางหรงนึกได้ว่าลิ่นเซี่ยวมีประสาทรับกลิ่นเฉียบคมมาแต่เล็กและยังรักความสะอาดเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจทนกับกลิ่นอายความสกปรกโสโครกได้เลย เขาจะได้กลิ่นแปลกๆ จากร่างของนักพรตก็ไม่น่าประหลาดใจ

ฉางหรงยังลอบขบขันนักพรตนั่น คิดจะเข้าใกล้ใครไม่เลือกให้ดี กลับไปเข้าใกล้คุณชายของเขา สมควรแล้วที่เผยธาตุแท้ตนเองออกมา!

“แต่ว่าคืนนั้นแม่นางนักพรตก็มีท่าทางน่าสงสัย ทั้งตอนเกิดเรื่องยังหายตัวไปพร้อมกับถานฉีและหวังสิง เหตุใดคุณชายถึงมั่นใจว่าไม่ใช่นางล่ะขอรับ”

“เจ้ายังจำตอนที่พวกเขาสองคนเกิดเรื่องได้หรือไม่ ใครปรากฏตัวเป็นคนสุดท้าย แล้วใครกันที่พูดว่า ‘องครักษ์แซ่ถานผู้นั้น’ ” ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้วพลางเอ่ย

ฉางหรงเค้นสมองทบทวนอย่างจริงจังครู่หนึ่ง พอเข้าใจกระจ่างแจ้งพลันเอ่ยว่า “ข้านึกออกแล้ว เป็นเจ้านักพรตนั่น!” เขาตบขาตนเองฉาดใหญ่ด้วยความตื่นเต้น “ข้าจำได้ ตอนนั้นเขายังพูดว่า ‘ข้าได้ยินอย่างชัดเจน ไม่ผิดแน่นอน’ ใช่แล้ว! เรื่องเมื่อคืนเกิดขึ้นกะทันหัน แม้แต่พวกเราที่อยู่ด้วยกันมาทั้งวันทั้งคืนยังฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงตะโกนของใคร แล้วนักพรตนั่นจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเป็นถานฉี”

ฉางหรงกล่าวแล้วก็รู้สึกละอายแก่ใจเหลือเกิน ดูท่าอย่างไรนักพรตนั่นก็เป็นปีศาจ แม้ว่าจะแปลงกายมีรูปร่างเช่นมนุษย์ ทว่ากลับเผยพิรุธให้เห็นหลายครั้ง แต่ว่ารายละเอียดเหล่านี้กลับโดนคนสะเพร่าเลินเล่ออย่างเขามองข้ามไป

เฮ้อ…ถ้าเมื่อใดมีความคิดละเอียดรอบคอบเหมือนคุณชายก็คงดีหรอก

เขามองลิ่นเซี่ยวด้วยความเลื่อมใส

 

เมื่อพวกเขาทั้งหมู่คณะกลับมาถึงฉางอันก็เป็นช่วงโพล้เพล้ของวันต่อมา

พ่อบ้านใหญ่อู๋แห่งวังหลันอ๋องทราบข่าวมาก่อนหน้านี้แล้ว จึงมายืนรอรับอยู่ที่หน้าประตูวัง

ลิ่นเซี่ยวเดินทางมาถึงหน้าประตูก็พยักหน้าให้พ่อบ้านใหญ่อู๋แล้วลงจากรถม้า ก้าวยาวๆ เดินเข้าไปในวัง

พ่อบ้านใหญ่อู๋เร่งฝีเท้าเดินตามหลังลิ่นเซี่ยวไปทีละก้าว ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ท่านอ๋องเป็นห่วงซื่อจื่อ อยู่ตลอด ได้ยินว่าวันนี้ซื่อจื่อกลับมาแล้วก็สั่งกำชับให้ห้องครัวจัดเตรียมสุราอาหารที่ซื่อจื่อโปรดปราน คืนนี้ตั้งใจว่าจะจัดเลี้ยงต้อนรับการกลับมาของซื่อจื่อด้วยนะขอรับ”

ฝีเท้าของลิ่นเซี่ยวชะงักไป เผยรอยยิ้มแลดูคลุมเครือ “ข้ารู้แล้ว ออกไปได้”

พ่อบ้านใหญ่อู๋รีบพยักหน้าอย่างยินดี ก่อนจะถอยออกไปด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

ลิ่นเซี่ยวมุ่งหน้ามาเรื่อยๆ จนถึงเรือนซือหรู เพิ่งจะย่างเท้าเข้าประตู แม่นมเวินกูก็นำทิงเฟิงและผินเสวี่ย รวมถึงสาวใช้กลุ่มหนึ่งมารอต้อนรับ

นางเห็นลิ่นเซี่ยวดูดำคล้ำและผ่ายผอมไปก็อดปวดใจขึ้นมาไม่ได้ รีบก้าวเข้าไปคารวะพลางเอ่ย “กลับมาเสียทีนะเจ้าคะ หลายวันมานี้ต้องเดินทางระหกระเหิน คงลำบากมามิใช่น้อย” น้ำเสียงของนางแสดงความทุกข์ใจอย่างยิ่ง

ลิ่นเซี่ยวก้าวเข้ามาประคองให้เวินกูลุกขึ้นพร้อมเอ่ยยิ้มๆ “ทำให้แม่นมต้องกังวลแล้ว ข้าไม่ได้ลำบากอะไร งานตามหน้าที่ก็จัดการได้ราบรื่นดี”

เด็กคนนี้ชอบแจ้งแต่ข่าวดี ไม่แจ้งข่าวร้ายอยู่เรื่อย

เวินกูถอนหายใจด้วยความรักใคร่เอ็นดู บิดผ้าหมาดแล้วช่วยลิ่นเซี่ยวเช็ดหน้าให้สะอาด ก่อนจะยกน้ำชาที่ชงรอเอาไว้แล้วมาให้ “หลายวันมานี้อยู่ข้างนอกคงไม่ได้กินอาหารดีๆ กระมัง ข้าทำขนมเปี๊ยะน้ำผึ้งกรอบที่ท่านชอบที่สุดไว้ให้แล้ว ก่อนอาหารเย็นก็กินรองท้องสักหน่อยเถอะเจ้าค่ะ”

ลิ่นเซี่ยวยิ้มแล้วเอ่ยปากรับคำ ระหว่างที่แม่นมพูดคุยกับเขาอยู่ นางเหลือบมองข้างนอกอยู่บ่อยครั้ง เข้าใจว่านางเป็นห่วงฉางหรงจึงอธิบายว่า “ฉางหรงกลับวังมาพร้อมกับข้า ตอนนี้ไปที่คอกม้า ประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว”

เวินกูถึงได้วางใจ ช่วยลิ่นเซี่ยวจัดคอเสื้อให้เรียบร้อย ถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “ช่วงที่พวกท่านไม่อยู่ ข้าไม่เคยนอนหลับสนิทเลยสักคืน กังวลอยู่ตลอดว่าระหว่างทางพวกท่านจะเจออันตรายอะไรบ้าง วันนี้คงจะได้นอนหลับได้สนิทใจ ถ้าหากพวกท่านยังไม่มีข่าวคราว ข้าคงต้องไปกราบไหว้พระโพธิสัตว์ที่วัดต้าอิ่นแล้วเจ้าค่ะ”

ขณะที่นางพร่ำรำพันฉางหรงก็กลับมาพอดี สองแม่ลูกได้พบหน้ากันก็อดจะถามไถ่สารทุกข์สุกดิบตามประสาอีกครั้งไม่ได้

ลิ่นเซี่ยวเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว หันมากล่าวกับฉางหรงว่า “อีกเดี๋ยวเจ้าส่งจดหมายไปให้ซานหลางจวนหลูกั๋วกง ฉบับหนึ่ง บอกว่าข้ากลับมาฉางอันแล้ว ตอนค่ำจะไปหาเขาที่จวน”

ฉางหรงรีบเอ่ยรับคำทันที ก่อนจะมีท่าทีเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงกดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “ได้ยินว่าวังของพวกเรามีแขกมาหรือ”

เวินกูได้ยินดังนั้นก็รีบบอกให้พวกทิงเฟิงออกไป รอจนกระทั่งในห้องไม่มีใครแล้วจึงหันไปกล่าวกับลิ่นเซี่ยว

“ผู้มาเป็นหลานสาวทางบ้านเดิมของพระชายาชุยซื่อ เดินทางมาจากโยวโจว อายุน้อยกว่าพระชายาแค่สองปี เพิ่งเข้าวังมาก็ได้พระชายาจัดให้พักที่เรือนอี่หง หลายวันนี้พระชายาเที่ยวพานางเดินทางไปนั่นไปนี่อยู่บ่อยๆ อีกทั้งยังหาซื้อเสื้อผ้าเครื่องประดับให้ไม่น้อย บอกว่าวันหน้าจะต้องมาอยู่ที่วังของเราเป็นการถาวรแล้วเจ้าค่ะ”

ลิ่นเซี่ยวขมวดคิ้ว บ้านเดิม ‘มารดาเลี้ยง’ ของเขาผู้นี้ แม้ว่าจะมีชื่อเสียงและความดีความชอบอยู่บ้าง แต่ว่าฐานะก็ตกต่ำมานานหลายปีแล้ว ญาติที่ยังพอจะเอ่ยอ้างถึงได้ก็เหลืออยู่ไม่กี่คน แล้วจะมีหลานสาวมาจากที่ใดกัน

ฉางหรงกล่าวด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “นางคิดจะทำอะไรอีก อยากยัดเยียดคนเข้าห้องซื่อจื่อหรือ ขนาดหลานสาวบ้านเดิมก็ยังลากตัวออกมาได้ นางไม่กลัวขายขี้หน้าคนอื่นบ้างหรือไร”

เวินกูส่ายหน้า “นั่นก็ไม่แน่หรอก แม่นางน้อยคนนั้นข้าก็เคยเห็นหน้ามาหลายครั้ง กิริยามารยาทเรียบร้อยเหมาะสม ไม่เหมือนสตรีช่างยั่วยวนไม่สำรวมพวกนั้น ไม่แน่ว่าอาจเป็นพระชายาที่กระตือรือร้นไปเองฝ่ายเดียวก็ได้”

นางกล่าวแล้วก็ถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าพระชายาคิดจะทำอะไรกันแน่ นับตั้งแต่วันที่เข้าวังมาก็ไม่เคยหยุดมือ ไม่ต้องพูดถึงซื่อจื่อที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งเป็นซื่อจื่อมานานแล้ว ต่อให้ยังไม่ได้รับการแต่งตั้ง แต่สองคนพี่น้องอายุห่างกันสิบกว่าปี หรือหวังให้วันหน้าบุตรชายของนางขึ้นมามีอำนาจปกครองวังอ๋อง?”

ฉางหรงเอ่ยถามขึ้น “แล้วท่านอ๋องว่าอย่างไร ปล่อยให้พระชายาก่อเรื่องตามใจเช่นนี้หรือ”

เวินกูส่ายหน้า “นิสัยท่านอ๋องใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ วันๆ เอาแต่สนใจเครื่องดนตรี เรื่องราวทั้งหลายในวังไม่เคยเข้ามายุ่งเกี่ยวอะไรทั้งนั้น ช่วงที่พวกเจ้าไม่อยู่บ้านท่านอ๋องก็ไปซื้อตัวนักขับร้องบทลำนำชาวบ้านเลื่องชื่อจากเจียงหนาน มากลุ่มหนึ่ง ได้ยินว่าหลายวันที่ผ่านมาฟังเพลงอยู่ที่ศาลาเยียนปอ หมกมุ่นลุ่มหลงไม่ยอมไปที่ใดเลย”

ลิ่นเซี่ยวนิ่งเงียบไป

บิดาเป็นหนึ่งในบรรดาพระโอรสของเสด็จปู่ที่ไม่มีใจฝักใฝ่การเมืองมากที่สุด เพราะโปรดปรานการบรรเลงเครื่องสายเครื่องเป่า การประพันธ์กลอนกวีมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ดูเหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าบัณฑิตคนใดเสียอีก ผู้คนในเมืองฉางอันพากันมอบฉายาล้อเลียนเขาว่า ‘ท่านอ๋องเซียนกวี’ แต่ก็โชคดีที่เป็นเช่นนี้ เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่กำจัดฝ่ายตรงข้ามพระองค์อย่างขุดรากถอนโคนหลังขึ้นครองราชย์ บิดาถึงสามารถรักษาตัวรอดมาได้โดยไร้รอยขีดข่วน

เพียงแต่หลายปีมานี้นับวันบิดาจะยิ่งหลงใหลกับการหาความสำราญมากขึ้น ค่อยๆ แสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็น ส่วนชุยซื่อก็ยินดีปรีดาที่เรื่องราวเป็นเช่นนั้น พอเห็นว่าบิดาไม่สนใจเรื่องในวังก็ยิ่งกำเริบเสิบสาน ยิ่งยื่นมือเข้ามายุ่มย่ามไม่จบ…

ขณะกำลังใช้ความคิด ชุ่ยหนูสาวใช้ข้างกายบิดาก็มายืนยิ้มกว้างขอเข้าพบอยู่ด้านนอก รายงานว่าท่านอ๋องและพระชายาจัดเตรียมสุราอาหารไว้ที่ศาลาเยียนปอแล้ว ขอเชิญคุณชายไปร่วมกินดื่มด้วย

 

ศาลาเยียนปอเป็นศาลานั่งเล่นในวังหลันอ๋องที่มีน้ำล้อมรอบทั้งสี่ด้าน ในทะเลสาบปลูกดอกบัวเอาไว้เต็มไปหมด ทุกคราเมื่อถึงฤดูร้อนดอกบัวสีชมพูงดงามและใบบัวสูงใหญ่จะชูช่อบานสะพรั่ง การเปิดหน้าต่างชมทิวทัศน์เช่นนี้ เป็นความงดงามเหนือสามัญอย่างที่สุดแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ อย่าเพิ่งกล่าวถึงดอกบัวเลย แม้กระทั่งก้านเหี่ยวๆ สักก้านก็ไม่มีให้เห็น

วันนี้ศาลาเยียนปอไร้เสียงดนตรีบรรเลงขับกล่อมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน บรรยากาศโดยรอบศาลากลางน้ำเงียบสนิท ท่ามกลางความเงียบนี้มีความผิดปกติอยู่หลายส่วน

บ่าวไพร่ยืนเรียงแถวสองฝั่งอย่างไร้สุ้มเสียงตรงระเบียงทางเดิน ในมือทุกคนถือโคมชาววัง ไว้คนละดวง พวกเขายืนนิ่งปานรูปสลัก ราวกับว่าแม้กระทั่งสายลมก็ไม่อาจพัดชายชุดให้ปลิวไสว

ลิ่นเซี่ยวมองจากมุมไกลๆ ก็เห็นใบหน้าของบ่าวไพร่ซึ่งโดนแสงสีแดงจากโคมส่องสะท้อนจนน่าสะพรึงกลัว ไม่ทราบเพราะเหตุใดถึงเกิดความรู้สึกผิดแปลกขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง

เมื่อลิ่นเซี่ยวเดินเข้าไปในศาลากลางน้ำ บิดาของเขากำลังอุ้มหมิ่นหลาง น้องชายต่างมารดาอายุไม่ถึงหนึ่งขวบปีเอาไว้พร้อมกับป้อนขนมเปี๊ยะกรอบให้ หมิ่นหลางตัวน้อยท่าทางดีอกดีใจ น้ำลายใสวาววับไหลย้อยลงมา กระโดดโลดเต้นเริงร่าอยู่บนตักของบิดา ส่งเสียงอ้อแอ้พูดอะไรบางอย่าง

ชุยซื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ กระซิบกระซาบหยอกเย้าอย่างอ่อนโยน กล่อมให้หมิ่นหลางยอมเรียกคำว่า ‘พ่อ’

ลิ่นเซี่ยวมองดูบรรยากาศสุขสันต์ปรองดองตรงหน้า แล้วไม่ทราบเพราะเหตุใดกลับนึกถึงภาพเมื่อครั้งยังเด็กที่บิดามารดาหยอกล้อกัน บิดาในความทรงจำสง่างามอบอุ่น มารดาอ่อนเยาว์สดใส ครอบครัวที่มีเพียงสามคนสงบสุขและอิ่มเอมใจสักเพียงใดกัน

วันนี้มารดากลายเป็นดินเหลืองกองหนึ่งไปนานแล้ว บิดาก็รับคนใหม่เข้ามารวดเร็วเหลือเกิน นอกจากเขาผู้เป็นบุตรชาย ยังมีใครจดจำพระชายาหลันอ๋องผู้เพียบพร้อมเลื่องลือทั่วฉางอันในวันวานได้อีกเล่า

หลันอ๋องหันมาเห็นลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าหม่นหมองก็คิดว่าเขาเร่งเดินทางข้ามวันข้ามคืนกลับฉางอัน ร่างกายย่อมเหนื่อยล้า จึงเอ่ยขึ้นว่า “ลูกพ่อกลับมาแล้ว รีบนั่งลงเร็วเข้า ดื่มสุราบรรเทาความเหนื่อยล้าสักหน่อย”

ชุยซื่อเก็บรอยยิ้มแล้วหันไปมองลิ่นเซี่ยว

ชุดคลุมยาวผ้าไหมสีน้ำเงินเข้มเกือบดำปักลายเมฆมงคล สายคาดเอวทำจากหินฮั่นไป๋อวี้ การแต่งกายอย่างประณีตหรูหรา ใบหน้าสงบเยือกเย็นราวกับหยกขาวบริสุทธิ์ก็ไม่ปาน

นี่คือคนหนุ่มที่ความเยาว์วัยจางหายไปอย่างช้าๆ ดุจดั่งหยกล้ำค่าผ่านการเจียระไน กำลังเปล่งประกายเจิดจ้าขึ้นทีละนิด ทำให้ผู้คนไม่อาจมองข้ามไปได้

ทันใดนั้นชุยซื่อก็รู้สึกว่าภาพตรงหน้าบาดตาอยู่บ้าง นางกุมมือของหมิ่นหลางเอาไว้ กล่าวกับลิ่นเซี่ยวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ต้าหลางกลับมาแล้ว หลายวันนี้ท่านพ่อของเจ้าเป็นห่วงไม่น้อยเลย ไม่สิ พอได้ยินว่าวันนี้เจ้ามาก็บอกปัดเทียบเชิญของจวนอื่นไปหมด ตั้งใจจัดเตรียมอาหารเพื่อต้อนรับเจ้าเลยเชียว”

ลิ่นเซี่ยวยิ้มตอบ “ขอบคุณท่านพ่อและพระชายาที่ห่วงใย” พอคารวะแล้วเขาก็เดินมานั่งลง ไม่กล่าวอะไรให้มากความอีก

หลันอ๋องสัมผัสได้ว่าบุตรชายเกรงใจห่างเหิน สีหน้าก็หดหู่ลงโดยพลัน ทว่าชุยซื่อกลับไม่แยแสเลยสักนิด กวักมือเรียกเด็กสาวคนหนึ่งที่ตรงตำแหน่งระดับเดียวกับลิ่นเซี่ยวพลางเอ่ยยิ้มๆ ว่า “หลิงหลง รีบมาคารวะซื่อจื่อเร็วเข้า”

ตั้งแต่ตอนแรกที่เดินเข้ามาในศาลา ลิ่นเซี่ยวสังเกตเห็นว่ามีสตรีแปลกหน้าเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง คิดว่าคงจะเป็นหลานสาวจากบ้านเดิมของชุยซื่อผู้นั้น ในใจก็เกิดความชิงชังรังเกียจ จึงไม่ได้มองอีกฝ่ายโดยละเอียด

เวลานี้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งก้าวออกมาคารวะตนเอง ดูแล้วอายุประมาณสิบสี่สิบห้าปี รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น ใบหน้าเป็นรูปผลแตง มีดวงตาใสกระจ่างงดงาม เทียบกับสตรีทั่วไปแล้วมีความเย้ายวนยิ่งกว่า

ลิ่นเซี่ยวยิ้มอย่างเย็นชา ต้องลำบากชุยซื่อแล้ว ไม่รู้ว่าไปตามหา ‘หลานสาวบ้านเดิม’ ที่มีรูปโฉมงามหยาดเยิ้มปานนี้มาจากที่ใด

สตรีนางนี้ก็ลอบประเมินลิ่นเซี่ยวอย่างเงียบๆ เห็นใบหน้าเขาหล่อเหลาคมคายปานงานแกะสลักชิ้นเอกแต่ไม่มีรอยยิ้มจริงใจประดับอยู่เลยสักนิด กลับเปี่ยมด้วยความเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง นางเม้มปากยิ้มพลางเอ่ยว่า “หลิงหลงคารวะซื่อจื่อ ก่อนหน้านี้ได้ยินท่านอาหญิงบอกว่าซื่อจื่อกับท่านอ๋องใบหน้าช่างเหมือนราวแกะสลักจากพิมพ์เดียวกัน วันนี้ได้มาเห็นกับตาจะว่าเหมือนก็เหมือนอยู่ แต่ใบหน้าท่านอ๋องประดับรอยยิ้มอยู่เสมอ ดูอ่อนโยนเป็นมิตรกว่าซื่อจื่อเยอะเลยเจ้าค่ะ”

นี่นางกำลังล้อเล่นกับเขาหรือ ลิ่นเซี่ยวเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งอย่างเฉยชา พินิจพิเคราะห์สตรีตรงหน้าใหม่อีกครั้ง นางมีรูปโฉมงดงาม ท่าทางเฉลียวฉลาด แต่กลับแสดงสีหน้าไร้เดียงสา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดทำให้เขานึกถึงเด็กสาวที่เจอบนเขาคนนั้น

หลันอ๋องเห็นลิ่นเซี่ยวมีสีหน้าเย็นชาก็ช่วยแก้สถานการณ์ให้หลิงหลง “หลิงหลง เจ้านี่นะ ข้านึกว่าเจ้าเจอหน้าซื่อจื่อแล้วจะสำรวมกิริยา ไม่คิดว่าแม้แต่เขาเจ้าก็กล้าเอามาล้อเล่น”

จากนั้นเขาก็หันมองลิ่นเซี่ยวอีกครั้ง “ต้าหลาง หลิงหลงมีนิสัยชอบพูดจาล้อเล่น ทำอะไรตามใจตัวเองจนเคยชินแล้ว เจ้าก็อย่าได้ถือสาเลย…ว่าตามฐานะแล้วเจ้าควรจะเรียกหลิงหลงว่าน้องสาว นางเป็นหลานสาวจากบ้านเดิมของมารดาเจ้า เดิมทีอาศัยอยู่ที่เมืองโยวโจว เมื่อสองปีก่อนบิดามารดาของนางจากไปทั้งคู่ พี่ชายพี่สะใภ้ก็ใจร้ายกับนาง ทำให้ต้องหนีมาพึ่งมารดาเจ้า วันหน้าพวกเจ้าก็ดีต่อกันไว้นะ”

มารดา?

ลิ่นเซี่ยวถูกสองคำนี้เสียดแทงใจจนขมปร่า มารดาของเขามีแค่คนเดียว เวลานี้ร่างกายถูกฝังอยู่กลางสุสานเปลี่ยวร้างนอกเมืองฉางอัน พอบิดามีคนใหม่แล้ว แม้กระทั่งร่องรอยการมีตัวตนของมารดาก็ต้องลบออกไปจนหมดหรือ

เรื่องน่าขบขันที่สุดคือบิดาไม่ถามเขาสักคำว่างานที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างไร พบอุปสรรคบ้างหรือไม่ ทันทีที่กลับมาถึงก็เรียกหาให้มานับญาติ ความมุ่งมั่นกระตือรือร้นมีมากจนทำให้เขาเกิดความสงสัย ราวกับว่าสตรีผู้มีที่มาที่ไปไม่ชัดเจนนี้ต่างหากเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่าน เขาก็แค่คนที่ไม่มีความสำคัญอะไรเลย

เขายิ่งคิดหัวใจก็ยิ่งเหน็บหนาว ผิดหวังถึงขีดสุด ทว่าสีหน้ากลับแสดงรอยยิ้มเบาบางออกมา

ตอนนี้ชุยซื่อก็ยิ้มออก “ในเมื่อท่านอ๋องพูดเช่นนี้แล้ว หลิงหลง เจ้าก็อย่าเรียกซื่อจื่ออีกเลย เรียกว่าพี่ชายเถอะ ไม่ต้องห่างเหินกันปานนั้น”

“เหมาะที่สุดแล้ว” หลันอ๋องดีอกดีใจยิ่งนัก “ต้าหลาง จากนี้ไปหลิงหลงก็เป็นน้องเจ้าแล้ว เด็กคนนี้เฉลียวฉลาดน่าเอ็นดู ชาติกำเนิดของนางก็น่าเวทนา เจ้าจะต้องดีต่อนางให้มากล่ะ”

หลิงหลงได้ยินเช่นนี้ก็รีบคารวะลิ่นเซี่ยวอีกครั้งโดยไม่เคอะเขิน เผยรอยยิ้มกว้างพลางเอ่ยว่า “หลิงหลงคารวะพี่ชาย”

ลิ่นเซี่ยวมองสตรีที่ปรับตัวตามสถานการณ์อย่างคล่องแคล่วด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ นางเพิ่งจะเข้าวังมากี่วัน นอกจากแม่นมของเขายังมั่นอกมั่นใจในตัวนาง แม้กระทั่งบิดาที่ไม่เคยคิดจะสนใจใครยังปฏิบัติต่อนางอย่างสนิทสนมราวกับเป็นบุตรสาวแท้ๆ…

งานเลี้ยงนับญาติที่เตรียมการมาเป็นอย่างดีเช่นนี้ ถ้าหากเขาเอ่ยคำว่า ‘ไม่’ อย่างเบื่อหน่าย ยังจะเล่นละครกันต่อไปได้อย่างไรเล่า

จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา มองหน้าหลิงหลงแล้วเอ่ยว่า “น้อง…หลิงหลง”

แปะๆ

หมิ่นหลางตัวน้อยดูเหมือนจะดีใจกับเรื่องอะไรบางอย่าง จึงร้องเสียงดังพลางตบมือแปะๆ

ฉวีชิ่นเหยาเดินทางลงจากเขาหมั่งซาน ตามหาคนขับรถม้าที่รอนางอยู่นอกโรงเตี๊ยมตรงเชิงเขาพบ นางก็กระโดดขึ้นรถม้ามุ่งหน้ากลับฉางอัน

เมื่อเดินทางมาได้ครึ่งทาง ฉวีชิ่นเหยาที่สวมหมวกม่านแพรก็ร้องเรียกคนขับรถม้า “นี่ อาจารย์ ท่านจะปลอมตัวไปถึงเมื่อใด”

คนขับรถม้าสะดุ้งตกใจจนคิ้วยาวสีขาวโพลนสองข้างเลิกขึ้นสูง “เจ้า…มองออกได้อย่างไรกัน วิชาแปลงโฉมของอาจารย์ล้ำเลิศปานนี้…”

ฉวีชิ่นเหยาขัดจังหวะเขาด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “กลิ่นสุราจากร่างผู้อาวุโสอย่างท่านเข้มข้นเช่นนี้ ทั้งยังเป็นสุราลวี่อี่ ที่ข้าหมักเองกับมือ ข้าจะแยกแยะไม่ออกได้อย่างไร ข้าถามท่านหน่อย ก่อนจะออกจากฉางอัน เหตุใดท่านต้องหลอกข้าด้วยว่าปีศาจบนเขาหมั่งซานเป็นปีศาจตัวเล็กๆ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้าเกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่นแล้ว ไยต้องทำร้ายลูกศิษย์ตัวเองเช่นนี้ด้วย”

ท่านผู้เฒ่าไม่แสดงสีหน้าละอายใจออกมาสักนิด เอ่ยตอบอย่างมีเหตุผลหนักแน่นว่า “ถ้าเกิดข้าไม่พูดเช่นนั้น เจ้าจะยอมขึ้นเขาหมั่งซานหรือ อีกอย่างนะ ยามนี้เจ้าก็ยังอยู่ดีมีสุขไม่ใช่หรือไร ปีศาจเจ้าก็ปราบได้แล้ว ลูกกลอนปราณเจ้าก็ได้มาแล้ว แต่นี่กลับมากล่าวโทษอาจารย์อีก”

คิ้วเรียวงามของฉวีชิ่นเหยาเลิกขึ้น “พวกเราตกลงกันแล้วนะ ลูกกลอนปราณข้าจะเอากลับบ้าน ผู้อาวุโสอย่างท่านห้ามใช้อุบายหลอกลวงข้าอีก”

“ให้ก็ได้ ให้เจ้าก็ได้!” ท่านผู้เฒ่าตอบด้วยความหงุดหงิด “ก็แค่ลูกกลอนปราณของปีศาจงูไม่ใช่รึ”

พอเขานึกอะไรขึ้นได้ ก็มองฉวีชิ่นเหยาด้วยแววตาถมึงทึง “อาจารย์ขอถามเจ้า คุณชายที่เจอบนเขาคนนั้นจะให้เงินเจ้า เพราะอะไรเจ้าถึงแสร้งใจกว้าง ยืนกรานไม่ยอมรับมาเล่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่หลอมยาลูกกลอนคืนวิญญาณเม็ดหนึ่งต้องใช้เงินเท่าไร มีอย่างที่ไหนมอบให้ผู้อื่นเปล่าๆ เช่นนั้น”

เห็นฉวีชิ่นเหยาเผยสีหน้าไม่แยแส เขาก็โมโหฟืดฟาดจนหนวดกระดิกหลายครั้ง “ได้! ไม่พูดเรื่องอื่นแล้ว เจ้าคงรู้ว่าสมุนไพรยาหลายชนิดที่ใช้หลอมยาลูกกลอนคืนวิญญาณราคาแพงเพียงใดกระมัง อย่างตู๋หัว หนักหนึ่งตำลึง ในตลาดตะวันออกก็เป็นเงินเหรียญสำริดหนึ่งพวงแล้ว…”

ตาเฒ่าเห็นแก่เงิน!

ฉวีชิ่นเหยาขัดจังหวะอาจารย์ของนางด้วยน้ำเสียงดูแคลน “วิญญูชนย่อมรู้การควรไม่ควร! อย่างไรคุณชายท่านนั้นก็นับว่าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ครั้งหนึ่ง ข้าจะกล้าเรียกร้องขอเงินจากเขาโดยไม่เกรงใจได้อย่างไร”

ท่านผู้เฒ่ารู้สึกแค้นใจเหล็กที่ไม่อาจหลอมเป็นเหล็กกล้า เขาเอ่ยขึ้นว่า “ไม่น่าแปลกใจที่เป็นคุณหนูตระกูลขุนนาง ช่างไม่รู้จักคุณค่าของเงินเอาเสียเลย! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ยามบ้านเมืองสงบรุ่งเรือง อาจารย์ดูแลอารามชิงอวิ๋นอย่างยากลำบากเพียงใด ไม่ต้องพูดถึงว่าสิบวันครึ่งเดือนยังทำการค้าไม่ได้สักครั้ง แม้กระทั่งคนที่ต้องการยันต์คุ้มครองบ้านเรือนก็น้อยลงกว่าปีก่อน เฮ้อ…เป็นเช่นนี้ต่อไปจะทำอย่างไรดีเล่า อาจารย์ก็อยากจะ ‘รู้การควรไม่ควร’ อยู่หรอก แต่ว่าคนในอารามทั้งบนล่างหลายสิบชีวิตจะยอมหรือ”

ฉวีชิ่นเหยากลัวอาจารย์พร่ำพรรณนาความยากลำบากในการดูแลอารามที่สุด ลองอีกฝ่ายได้หลุดปากบ่นแล้วสามวันสามคืนก็ยังไม่จบสิ้น นางจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที

“นี่มันอะไรกัน! ที่แท้อาจารย์ลอบขึ้นเขาอยู่ก่อนแล้ว แล้วเพราะอะไรตอนข้ากำจัดปีศาจถึงไม่ออกมาช่วย”

ท่านผู้เฒ่าแค่นเสียงขึ้นจมูก “เจ้ามีของวิเศษพิทักษ์อารามอย่างกระดิ่งกลืนวิญญาณ อีกทั้งได้รับการอบรมสั่งสอนจากข้ามาหลายปีถึงเพียงนี้ ถ้ายังสยบปีศาจตนนั้นไม่ได้ก็ไม่ต้องพูดว่าเป็นศิษย์ข้านักพรตชิงซวีจื่อแล้ว”

ฉวีชิ่นเหยาใบหน้าพลันแดงก่ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงความออดอ้อน “แต่ปีศาจตนนั้นร้ายกาจมากเลยนะเจ้าคะ” นางแสร้งทำท่าทำทางคว้าแขนอาจารย์เอาไว้ แล้วบิดไปมาเหมือนบิดน้ำตาลปั้น ในใจมีความรู้สึกละอายใจระคนซาบซึ้ง รู้แก่ใจดีว่าอาจารย์จะต้องเป็นห่วงแน่ถึงได้ติดตามนางจากฉางอันขึ้นเขาหมั่งซานโดยไม่แยแสความลำบากตรากตรำ

พอนางนึกถึงลิ่นเซี่ยวขึ้นมาได้ นางก็ถามอาจารย์ด้วยความอยากรู้ “อาจารย์ ท่านรู้หรือไม่ว่ากระบี่วิเศษของคุณชายท่านนั้นมีที่มาอย่างไร เหตุใดถึงร้ายกาจนัก พอเทียบกับกระดิ่งกลืนวิญญาณของพวกเราแล้วไม่ได้ห่างชั้นกันสักเท่าใดเลย”

ท่านผู้เฒ่าก็มีสีหน้าเคลิบเคลิ้มเพ้อฝัน “กระบี่เล่มนั้นเป็นของราชวงศ์ ย่อมไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ”

พอเห็นว่าฉวีชิ่นเหยายังไม่เข้าใจ เขาก็อธิบายเพิ่มอีก

“ถ้าหากอาจารย์ดูไม่ผิด กระบี่เล่มนั้นเป็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ยุคโบราณกาล ในสมัยฮ่องเต้เกาจู่ ทรงเก็บได้โดยบังเอิญขณะออกรบ มีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น สามารถเลือกนายได้เอง ใช่ว่าคนธรรมดาจะบังคับควบคุมได้ ได้ยินว่าเมื่อตกทอดมาถึงราชวงศ์ปัจจุบัน อดีตฮ่องเต้ทรงเคยให้บรรดาลูกหลานเชื้อพระวงศ์มาชมกระบี่เล่มนี้ เด็กสิบกว่าคนผลัดกันมาทดสอบดู มีแค่หลันอ๋องซื่อจื่อที่ชักกระบี่เล่มนี้ออกมาได้ เดิมทีอดีตฮ่องเต้ทรงรักใคร่เอ็นดูหลันอ๋องซื่อจื่ออยู่แล้ว จึงพระราชทานกระบี่เล่มนี้ให้เขา”

ที่แท้คุณชายที่พบบนเขาคือหลันอ๋องซื่อจื่อ มิน่าเล่าถึงได้มีผู้ติดตามข้างกายมากมายเช่นนั้น ฉวีชิ่นเหยาเดาะลิ้นเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวอย่างประจบประแจงอาจารย์ว่า “อาจารย์ เหตุใดท่านถึงได้รอบรู้ไปเสียทุกอย่างเลย ช่างร้ายกาจยิ่งนัก”

ผู้คนชอบฟังคำหวานไม่ว่าจะมาจากความจริงใจหรือไม่ แม้ชิงซวีจื่อจะรู้ดีว่าลูกศิษย์เลือกวาจารื่นหูเพื่อหลอกให้ตนเองดีใจ แต่ก็ยังเผยสีหน้าแช่มชื่น

“คิดถึงตอนที่อาจารย์ชื่อเสียงโด่งดังสุดขีดในเมืองฉางอัน เคยเก็บกวาดปัญหาเละเทะให้ตระกูลใหญ่โตมาไม่น้อย ขอยกเรื่องคดีจวนฝู่หย่วนโหว เป็นตัวอย่างแล้วกัน ฮูหยินของฝู่หย่วนโหวสั่งโบยตีสาวใช้ห้องข้าง ของท่านโหวคนหนึ่งจนตาย สาวใช้คนนั้นกลายเป็นวิญญาณอาฆาต ออกอาละวาดในจวนฝู่หย่วนโหวจนโกลาหลวุ่นวาย คนทั้งหลายในจวนโหวต่างพร้อมใจกันเชิญนักพรตชื่อเสียงจอมปลอมหลายคนมา แต่ว่าต่างก็โดนวิญญาณอาฆาตหลอกหลอนจนเตลิดหนีไปหมด ผลสุดท้ายก็ต้องให้อาจารย์ออกโรงปราบวิญญาณอาฆาตดวงนั้น หึๆ พอเล่าขึ้นมาแล้ว ความลับของตระกูลใหญ่ในเมืองฉางอันไม่มีเรื่องใดที่ข้าไม่รู้ อย่ามองแต่ว่าภายนอกดูหรูหราฟุ่มเฟือย ภายในมีเรื่องสกปรกโสมมนับไม่ถ้วนเชียวล่ะ”

บิดาของฉวีชิ่นเหยาเป็นแค่ขุนนางตำแหน่งไท่สื่อลิ่ง ขุนนางขั้นเจ็ดที่แสนจะธรรมดา ปกติผู้ที่ไปมาหาสู่ก็เป็นขุนนางบุ๋นที่มีลำดับขั้นไม่ต่างกันมากเท่าไร แทบไม่เคยรู้จักมักจี่กับเชื้อพระวงศ์บรรดาศักดิ์สูงส่ง ได้ฟังอาจารย์เล่าเรื่องได้น่าสนใจเช่นนี้จะยอมเลิกราโดยง่ายได้อย่างไร นางรีบเอ่ยถามว่า “ยังมีเรื่องน่าสนุกอะไรอีกบ้าง อาจารย์ ท่านเล่าให้ข้าฟังหน่อยไม่ได้หรือไร”

จากนั้น อาจารย์และศิษย์ทั้งสองก็พูดคุยเรื่องข่าวลือของตระกูลใหญ่มาตลอดทางจนถึงฉางอัน

หลังชิงซวีจื่อนำรถม้าจอดที่หน้าประตูใหญ่จวนสกุลฉวีแล้ว จึงกล่าวกับฉวีชิ่นเหยาว่า “เข้าไปเถอะ เจ้าออกเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ท่านพ่อท่านแม่เจ้าคงกังวลจนกระทั่งนอนหลับไม่สนิท โดยเฉพาะท่านแม่นิสัยดุร้ายของเจ้า ไม่รู้จะด่าว่าอาจารย์อย่างไรเลย รีบเข้าไปเร็วๆ สิ อย่าให้พวกเขารอนาน”

พอเห็นฉวีชิ่นเหยาสวมหมวกม่านแพรลงจากรถ เขาก็ทำสีหน้าไม่พอใจ “ตอนนี้รู้จักสวมหมวกม่านแพรแล้วรึ ตอนขึ้นเขาเหตุใดไม่รู้จักสวม ปล่อยให้หนุ่มน้อยพวกนั้นชมโฉมไปเปล่าๆ เขินอายบ้างหรือไม่”

ฉวีชิ่นเหยาทำปากย่นยู่ เอ่ยแก้ต่างว่า “เดิมทีนึกว่าขึ้นภูเขาอาถรรพ์จะไม่เจอคน ใครจะไปรู้ว่าคนของวังหลันอ๋องกลุ่มนั้นจะโผล่มาจากที่ใด”

นางเล่าไปก็กลัวอาจารย์จะบ่นยืดยาว จึงรีบผลุบหายเข้าจวนไปทันที

 

ฉวีชิ่นเหยาเพิ่งจะเดินเข้าห้องโถงบุปผา ก็มีเงาร่างหนึ่งพุ่งพรวดเข้ามาหา

“อาเหยาเอ๋ย ลูกรักของแม่ กลับมาเสียทีนะ มา…มาให้แม่ดูหน่อยเร็ว คงลำบากไม่น้อยกระมัง เจ้าวางใจได้ พรุ่งนี้แม่จะไปหาชิงซวีจื่อ นักพรตอะไรนั่นไม่ต้องเป็นแล้ว!”

สตรีที่มีท่าทางโมโหวู่วามผู้นี้ก็คือมารดาของฉวีชิ่นเหยา ภรรยาเอกคนแรกของฉวีเอินเจ๋อ ฮูหยินผู้ดูแลจวนสกุลฉวี…ฉวีเฉินซื่อ

นางอายุประมาณสามสิบสี่สิบปี ผิวขาวผุดผ่องอวบอิ่ม รูปร่างสูงใหญ่แข็งแรง แม้ไม่นับว่าเป็นหญิงงามได้อย่างถูกต้องตามความหมาย แต่กลับสอดคล้องกับมุมมองเรื่องความงามของผู้คนในเวลานี้

ฉวีชิ่นเหยารับมรดกผิวงดงามขาวเนียนจากมารดา แต่โครงหน้ากลับประณีตชวนมองไม่รู้เบื่อยิ่งกว่า นับว่าสีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มยิ่งกว่าต้นคราม แล้ว

เมื่อได้ยินมารดาต่อว่าอาจารย์ด้วยน้ำเสียงโมโหดุดัน ฉวีชิ่นเหยาก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

“ท่านแม่ ข้ามิใช่สบายดีอยู่หรือ ทำอะไรนิดหน่อยก็พาลไม่อยากให้ข้าเป็นนักพรตแล้ว ท่านลืมแล้วหรือว่าปีนั้นข้าฝากตัวเป็นศิษย์ท่านอาจารย์ได้อย่างไร”

จะลืมลงได้อย่างไรกัน สีหน้าฉวีฮูหยินพลันเศร้าสลดลง

เดิมทีนางเป็นคุณหนูบุตรสาวเจ้าของร้านผ้าไหมในตลาดตะวันออกของเมืองฉางอัน บ้านเดิมของนางใช้แซ่เฉิน ตั้งแต่รุ่นท่านทวดเป็นต้นมาก็เปิดกิจการร้านขายผ้าไหมมาตลอด จนกระทั่งเมื่อร้านผ้าไหมตกทอดมาถึงบิดาของนางก็มีชื่อเสียงในเมืองฉางอันไม่น้อยแล้ว แต่ละวันมีลูกค้าเดินเข้าร้านไม่ขาดสาย ครอบครัวไม่นับว่าร่ำรวยมหาศาล แต่การกินอยู่ไม่เคยขาดแคลน

เมื่อนางอายุได้สิบสามปี พี่สาวทางบ้านเดิมของมารดาเสียชีวิตลง บุตรชายเพียงคนเดียวจึงเดินทางมาขอพึ่งพาอาศัยพวกเขา

ครั้งแรกที่ได้พบหน้าพี่ชายสกุลฉวีที่มีผิวขาวสะอาด กิริยาสุภาพมีมารยาท หัวใจของนางก็ผูกพันกับตัวเขาอย่างเหนียวแน่นเสียแล้ว ตลอดเวลาที่คนทั้งสองอยู่ร่วมกันมา นอกจากความรักที่นางมีต่อพี่ชายผู้นี้จะลึกซึ้งมากขึ้นทุกวัน พี่ฉวีของนางก็ค่อยๆ เกิดความรู้สึกดีต่อนาง

ใครจะรู้ว่านายท่านตระกูลเฉินบิดาของนางเห็นสกุลฉวีตกต่ำ บ้านของฉวีเอินเจ๋อไม่มีสมบัติติดตัวสักชิ้นก็ไม่อยากให้บุตรสาวแต่งงานไปแล้วต้องตกระกำลำบาก จึงยืนกรานไม่ยอมเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้

ฉวีเอินเจ๋อมาสู่ขอแล้วโดนปฏิเสธก็ไม่ท้อใจ นับจากวันนั้นก็มุมานะพากเพียร ทุ่มเทจิตใจให้กับการศึกษาเล่าเรียน เอ่ยสาบานว่าจะต้องสอบเคอจวี่ให้ผ่าน จะได้ส่งเกี้ยวเจ้าสาวมารับคุณหนูสกุลเฉิน

สวรรค์ไม่ทำให้คนที่มีใจต่อกันต้องผิดหวัง ปีถัดมาฉวีเอินเจ๋อก็สอบผ่านจนได้

แม้ว่ายังไม่ได้เป็นขุนนางเต็มตัว ยังไม่ได้เงินเดือนหลวง แต่ว่าเปลี่ยนสถานะกลายเป็นศิษย์ของโอรสสวรรค์ ในพริบตา

นายท่านเฉินผู้เป็นบิดาไหนเลยจะว่ากล่าวได้อีก เห็นบุตรสาวยืนยันหนักแน่นไม่ใช่บุรุษผู้นี้จะไม่ขอแต่งออกไป อีกทั้งฉวีเอินเจ๋อก็มาสู่ขอด้วยความจริงใจ จึงตัดสินใจเด็ดขาด มอบสินเจ้าสาวสิบหีบพร้อมยกบุตรสาวให้แต่งกับฉวีเอินเจ๋อ

คนหนุ่มสาวทั้งสองแต่งงานกันแล้วก็ใช้ชีวิตคู่ร่วมกันอย่างหวานชื่นกลมเกลียว และไม่นานเฉินซื่อก็ตั้งครรภ์

หลังจากตั้งครรภ์นานสิบเดือนก็ถึงกำหนดคลอด คู่สามีภรรยาได้ทายาทคนแรก ซ้ำยังเป็นบุตรชายเสียด้วย พวกเขาดีอกดีใจและตั้งชื่อไพเราะน่าฟังว่า ‘จื่ออวี้’

ใครจะรู้ว่าพอฉวีจื่ออวี้เกิดมาก็ร่างกายอ่อนแอ มีโรคภัยรุมเร้า ในหนึ่งปีใช้เวลาครึ่งหนึ่งหมดไปกับการเจ็บไข้ได้ป่วย คู่สามีภรรยากลัดกลุ้มระทมทุกข์เป็นอย่างยิ่ง

ฉวีจื่ออวี้เติบโตอย่างยากลำบากจนอายุครบสองขวบ ฉวีฮูหยินก็ตั้งครรภ์ขึ้นมาอีก คู่สามีภรรยาดีใจระคนกังวล ให้ความสำคัญกับการตั้งครรภ์ครั้งนี้มากกว่าปกติ แม้ฐานะจะไม่ร่ำรวยมั่งมี แต่ว่ารังนกตุ๋นโสมก็มีกินบำรุงเสริมไม่น้อย อีกทั้งยังเชิญหมอหญิงหัตถ์เทวดาที่มีชื่อเสียงมาตรวจชีพจรที่บ้านทุกเดือน เรียกว่าระมัดระวังรอบคอบจนไม่อาจทำได้มากกว่านี้แล้ว

พอถึงวันครบกำหนดคลอด ฉวีฮูหยินมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม คิดว่าสวรรค์คงจะมีเมตตา นางกับสามีต้องทุกข์ใจมามาก ครั้งนี้นางจะต้องคลอดบุตรที่แข็งแรงสมบูรณ์คนหนึ่งได้แน่

ใครจะรู้ว่าเด็กทารกหญิงที่คลอดออกมา ใบหน้าน้อยๆ จะบวมคล้ำเป็นสีม่วง แม้กระทั่งเสียงร้องไห้ก็ไม่มีสักแอะ ถูกหมอตำแยตบก้นซ้ำแล้วซ้ำอีกถึงได้ส่งเสียงร้องเหมือนลูกแมวน้อยออกมาสองคำ

แม้ว่าบุตรชายคนโตจะร่างกายอ่อนแอ อย่างไรก็เฝ้าประคบประหงมจนเติบโตขึ้นมาได้ ส่วนบุตรสาวคนเล็กกลับมีทีท่าว่าจะไม่รอดแน่ สองสามีภรรยารู้สึกดั่งมีสายฟ้าฟาดเปรี้ยง เริ่มออกตามหาหมอถามหายาไปทั่วสารทิศ จนกระทั่งบุตรสาวอายุครบเดือน สกุลฉวีที่ตามหาหมอทั่วฉางอันก็เชิญหมอที่พอมีชื่อเสียงมาได้คนหนึ่ง แต่ร่างกายของทารกน้อยกลับอ่อนแอลงไปทุกวันจนเหลือเพียงลมหายใจเบาบางดุจเส้นไหมแล้ว

วันนี้สองสามีภรรยาโอบกอดความหวังสุดท้ายไปจุดธูปไหว้พระที่อารามชิงอวิ๋น บังเอิญพบกับนักพรตชิงซวีจื่อที่กลับจากการเดินทางปลีกวิเวก เขาสังเกตเห็นทารกหญิงในอ้อมแขนฉวีเอินเจ๋อโดยไม่ได้ตั้งใจ สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ประกาศนามองค์เทพที่เคารพ ‘ฝูเซิงอู๋เลี่ยงเทียนจุน ผู้มีศรัทธาท่านนี้ ทารกหญิงในอ้อมแขนชะตามีเคราะห์ร้ายอย่างหนัก วิญญาณชั่วร้ายรุมเร้าพัวพัน ชาวบ้านธรรมดาจะเลี้ยงดูรอดได้อย่างไร ตัดใจยกนางให้เป็นศิษย์ของข้าเถอะ ข้าสามารถปกป้องชีวิตของนางได้ ไม่อย่างนั้นภายในเจ็ดวันจะต้องมีอันตรายร้ายแรงแน่’

ฉวีเอินเจ๋อเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ฉวีฮูหยินกลับมีอาการดั่งคนป่วยหนักวิ่งวุ่นหาหมอ กระโดดพรวดเดียวลงจากรถม้า ก้มศีรษะกราบไหว้นักพรตชิงซวีจื่อ

‘ขอร้องท่านนักพรตช่วยชีวิตด้วย! ขอร้องท่านนักพรตช่วยชีวิตลูกข้าด้วย!’ นางฝืนกลั้นหยดน้ำตาไว้ไม่อยู่ราวสร้อยไข่มุกที่ขาดสะบั้น

ฉวีเอินเจ๋อเห็นภรรยาทุกข์ทรมานปานนี้ หัวใจก็ปวดร้าวคล้ายโดนควักเนื้อออกไปก้อนหนึ่ง ไหนเลยจะเอ่ยคำห้ามปรามนางได้

ฉวีชิ่นเหยาจึงกลายเป็นศิษย์ของนักพรตชิงซวีจื่อด้วยเหตุผลเช่นนี้เอง

หลังกราบอาจารย์วันแรก ฉวีชิ่นเหยาซึ่งเดิมทีไม่ยอมกินอะไรจู่ๆ ก็เริ่มดื่มนมคำโต ผ่านไปไม่กี่วันดวงตาที่ปิดสนิทก็เปิดออก มองดูผู้คนอย่างมีชีวิตชีวา แขนก็อวบใหญ่ขึ้น ใบหน้าน้อยๆ ก็กลมอิ่ม ปลายคางเรียวแหลมก็มีเนื้อนุ่มนิ่มอย่างเด็กทารกทั่วไป

สามีภรรยาสกุลฉวีถึงค่อยวางใจ กล่าวขอบคุณนักพรตชิงซวีจื่ออย่างจริงจังอีกครั้ง

ชิงซวีจื่อเห็นสองสามีภรรยาไม่อาจตัดใจ เด็กน้อยก็ยังอยู่ในช่วงต้องให้น้ำนม จึงทำสัญญากับสามีภรรยาสกุลฉวี พวกเขาสามารถนำบุตรสาวกลับบ้านก่อนได้ รอให้นางอายุครบสามขวบแล้วค่อยส่งกลับมาเรียนวิชาที่อารามชิงอวิ๋น

เมื่อฉวีชิ่นเหยาอายุครบสามขวบ นางเติบโตเป็นเด็กน้อยน่ารักปานตุ๊กตาหยกแกะสลัก นอกจากสีหน้าที่ยังซีดขาวอยู่เล็กน้อยก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากเด็กทั่วไปเลย

สองสามีภรรยาทั้งปลาบปลื้มยินดีและเศร้าเสียใจ คิดถึงสัญญาที่ให้ไว้กับนักพรตชิงซวีจื่อ เห็นว่าไม่อาจถ่วงเวลาให้ยืดยาวออกไปได้อีก จำต้องกัดฟันนำฉวีชิ่นเหยาไปส่งที่อารามชิงอวิ๋น

หลังจากนั้นทุกเจ็ดวัน สามีภรรยาสกุลฉวีก็จะนำฉวีชิ่นเหยากลับมาอยู่ด้วยหนึ่งวัน สลับกันไปมาสองทางเช่นนี้ ฉวีชิ่นเหยาก็เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

หลายปีมานี้ชิงซวีจื่อรับลูกศิษย์แค่สองคน ศิษย์คนโตเป็นทารกที่เขาเก็บได้จากข้างทาง เด็กคนนี้ดวงชะตาแข็งกล้าอย่างประหลาด เพราะขณะที่ถูกพบในวันหิมะตกหนักปกคลุมทั่วผืนดิน เดิมทีนึกว่าจะหมดลมหายใจไปแล้ว ใครจะรู้ว่าพอเปิดห่อผ้าอ้อมดูกลับยังมีชีวิตอยู่ ชิงซวีจื่อลอบอุทานด้วยความแปลกใจ อีกทั้งยังนับว่าเด็กคนนี้กับตนเองมีวาสนาเป็นศิษย์อาจารย์กัน จึงอุ้มเขากลับอารามชิงอวิ๋น ตั้งชื่อให้ว่าอาหาน

ศิษย์คนที่สองก็คือฉวีชิ่นเหยานี่เอง เขาเห็นชะตาของนางแขวนอยู่บนเส้นด้าย สามีภรรยาสกุลฉวีรูปลักษณ์ผอมแห้งซีดเซียว อดรู้สึกสงสารขึ้นมาไม่ได้ จึงเอ่ยปากเรื่องจะขอรับเป็นศิษย์ออกไป แต่กลับมีความมั่นใจเพียงสามส่วน เขาคิดเพียงว่าจะต้องรักษาม้าตายเยี่ยงม้าเป็น ถ้าหากช่วยชีวิตได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นการสร้างบุญกุศลเรื่องหนึ่ง ถ้าหากช่วยไม่สำเร็จก็ถือว่าชะตาของนางต้องเป็นเช่นนี้

ไม่คาดคิดว่าฉวีชิ่นเหยาถูกกำหนดให้มีดวงชะตากล้าแข็ง หลังจากกราบเขาเป็นอาจารย์แล้วชีวิตดูเหมือนดีขึ้นไปทุกวันอย่างแท้จริง เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเดือนก็ไม่มีอะไรต่างจากทารกปกติแล้ว เขาจำต้องรับศิษย์คนที่สองด้วยความจำใจ แต่ว่าเพราะนางเป็นเด็กหญิง จึงให้นางใช้ฐานะของศิษย์นอกสำนัก มากราบตนเองเป็นอาจารย์

เขาให้ความสำคัญกับอาหานลูกศิษย์คนโต ปกติเฝ้าอบรมสั่งสอนอย่างเอาใจใส่ เสียดายไม่อาจถ่ายทอดสรรพความรู้ที่มีให้กับลูกศิษย์ได้ ใครจะรู้ว่าอาหานที่มองผิวเผินดูเฉลียวฉลาด แท้จริงแล้วกลับโง่งมดุจโค เขาคอยกระซิบกระซาบข้างหูเพียรสั่งสอนมาสิบกว่าปี ทุกวันนี้ก็ยังทึ่มๆ ทื่อๆ รับภาระหน้าที่แต่เพียงผู้เดียวไม่ได้

สำหรับฉวีชิ่นเหยาที่เขาไม่ค่อยให้ความสำคัญสักเท่าใดกลับเฉลียวฉลาดเกินคนธรรมดา เวลาเรียนรู้สิ่งใดกวาดสายตาอ่านคราวเดียวสิบบรรทัด ก้าวหน้าไปไกลกว่าอาหานศิษย์พี่ของนางมากทีเดียว

เขาเห็นว่าฉวีชิ่นเหยามีสติปัญญาเช่นนี้ก็ค่อยๆ เลิกสั่งสอนนางแบบขอไปที เริ่มตั้งใจชี้แนะอย่างจริงจัง ไม่กี่ปีผ่านไปเห็นฉวีชิ่นเหยาเรียนรู้จนสำเร็จวิชาในระดับหนึ่งแล้ว ก็คิดจะส่งนางไปรับมือปีศาจอยู่ที่เขาหมั่งซานเพื่อลองหยั่งเชิงว่ามีความสามารถเท่าใด

ใครจะรู้ว่าพอเขามาหารือสามีภรรยาสกุลฉวี สองคนนี้กลับปฏิเสธโดยไม่เสียเวลาคิด บอกว่าตอนแรกตกลงกันแล้วว่าให้กราบเขาเป็นอาจารย์ ไม่เคยบอกว่าจะให้ไปกำจัดปีศาจปราบผี โดยเฉพาะฉวีชิ่นเหยาปีนี้อายุแค่สิบสี่ จะไปกำจัดปีศาจตามลำพังได้อย่างไร ท่านนักพรตไม่ใช่ว่ายังมีลูกศิษย์คนโตอีกคนหรอกหรือ เพราะเหตุใดถึงไม่ให้ลูกศิษย์คนนี้ไปเขาหมั่งซานแทนเล่า

นักพรตชิงซวีจื่อไม่ยอมท้อถอยโดยง่าย บอกว่าในเมื่อฉวีชิ่นเหยากราบเขาเป็นอาจารย์ก็ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของอารามชิงอวิ๋น ร่ำเรียนวิชามานานหลายปี สมควรออกโรงแสดงความสามารถนานแล้ว ส่วนจะเดินทางไปจับปีศาจเมื่อใดนั้น อาจารย์อย่างเขาคนนี้มีแผนการของตนเอง ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้สามีภรรยาสกุลฉวีฟังให้มากความ

กล่าวโดยสรุปก็คือฉวีชิ่นเหยาจะต้องไปแน่ ไม่อยากให้ไปก็ต้องไป

หลังจากยืนกรานไม่ยอมอ่อนข้อมาหลายวัน สุดท้ายก็เป็นฝ่ายสามีภรรยาสกุลฉวียอมแพ้จนได้ พวกเขาเป็นบิดามารดาบังเกิดเกล้าไม่ผิด แต่ว่าชีวิตของฉวีชิ่นเหยานักพรตชิงซวีจื่อเป็นคนช่วยเอาไว้

บุญคุณใหญ่หลวงเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงว่าแค่ให้ฉวีชิ่นเหยาไปจับปีศาจเลย ต่อให้ต้องลุยขึ้นขุนเขาดาบลงทะเลเพลิง พวกเขาก็ไม่กล้าบอกว่า ‘ไม่’ ออกมาแล้ว

ฉวีเฉินซื่อระลึกถึงเรื่องราวก่อนหน้านี้ไปพลางมองสำรวจบุตรสาวที่เหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางไปพลาง หลายวันที่ไม่ได้พบหน้า บุตรสาวนางต้องใช้ชีวิตเหมือนดอกไม้งามต้องลมฝนจนเหี่ยวเฉา ผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่ได้ผลัดเปลี่ยนมาหลายวัน แม้กระทั่งใบหน้าก็ดำคล้ำลงไปมาก จะไม่ให้รู้สึกปวดใจได้อย่างไร

“มัวยืนนิ่งทำอะไร” นางถลึงตาใส่บ่าวหญิงสูงวัยที่ยืนสำรวมอย่างขลาดกลัวอยู่หน้าประตู “รีบไปบอกที่ห้องครัวว่าคุณหนูกลับมาแล้ว ให้สี่กุ้ยเร่งมือเตรียมกับข้าวหลายอย่างที่คุณหนูชอบ” เห็นบ่าวหญิงรับคำสั่งจะเดินจากไปก็กล่าวเสริมอีกว่า “ไปอุ่นโจ๊กสาลี่ตุ๋นรังนกชามหนึ่งมาให้คุณหนูกินกลั้วคอก่อน”

เมื่อสั่งกำชับเสร็จสิ้นก็หันกลับมาบอกฉวีชิ่นเหยาว่า “เดี๋ยวเจ้ากินโจ๊กแล้วก็กลับห้องไปอาบน้ำแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ถึงเวลาอาหารค่ำแล้วพวกเราค่อยมานั่งกินอาหารกัน”

“อื้อ” ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง นางนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “ท่านแม่ เหตุใดไม่เห็นพี่ชายล่ะเจ้าคะ”

สีหน้าฉวีเฉินซื่อปรากฏความกลัดกลุ้มทันที นางถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ล้มป่วยอีกแล้ว คืนที่เจ้าออกจากบ้านไปคืนนั้นก็มีอาการไอเล็กน้อย หลายวันมานี้ยิ่งหนักหนาขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเจ้าจะไม่รู้ ทุกปีช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ พี่ชายเจ้าเลี่ยงอาการเจ็บป่วยเช่นนี้ไม่พ้นหรอก”

ฉวีชิ่นเหยาได้ยินดังนั้นก็หันขวับกลับไปเปิดค้นห่อผ้าขนาดเล็กที่พกติดตัว หยิบห่อผ้าไหมที่ห่อของชิ้นหนึ่งออกมาก่อน แล้วก็เผลอมองในห่อผ้าโดยไม่ได้ตั้งใจ จึงเห็นว่าก้นห่อผ้ามี ‘ตั๋วเงิน’ ปึกใหญ่วางอยู่

ตั๋วเงินปึกนี้มีจำนวนสูงมากอย่างเห็นได้ชัด บนนั้นประทับอักษรพร้อมแลกเงินได้ทุกที่อย่างถูกต้อง ดูท่าไม่ต่างอะไรกับเงินปึกนั้นที่นางเห็นบนเขาหมั่งซาน

เอ๊ะ! ตกลงนี่มันเรื่องอะไรกันแน่ นางขอบคุณและปฏิเสธคุณชายท่านนั้นไปแล้วชัดๆ

นางขมวดคิ้วคิดทบทวน ใช่แล้ว ตอนเดินทางกลับจากเขาหมั่งซาน นางกับอาจารย์ไปเดินซื้ออาหารจากร้านสุราข้างทางหลายครั้งจึงต้องจอดรถม้าทิ้งเอาไว้ ไม่มีใครคอยดูแลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ดูท่าคงจะเป็นช่วงเวลานั้นแน่

แต่ว่าอาจารย์กับนางก็ไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ โดยเฉพาะอาจารย์ที่เป็นคนปราดเปรื่องและขี้ระแวง สามารถนำตั๋วเงินมาวางในห่อผ้าใต้จมูกอาจารย์กับนางได้ ฝีมือของฝ่ายตรงข้ามแค่คิดก็รู้ว่าเป็นเช่นไร

ฉวีเฉินซื่อเห็นว่าในห่อผ้าของบุตรสาวมีตั๋วเงินปึกใหญ่เช่นนั้น ทั้งสีหน้าของบุตรสาวยิ่งเผยความไม่สบายใจเบาบาง จึงถามด้วยความร้อนใจ “อาเหยา เงินพวกนี้มาจากที่ใดกัน เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่”

ฉวีชิ่นเหยาหัวใจกระตุกวูบ มารดาไม่เคยสนับสนุนให้บุตรสาวอย่างนางไปเป็นนักพรตอะไรนั่น ถ้าหากรู้ว่าตนเองไปเจอบุรุษแปลกหน้ากลุ่มใหญ่บนเขาหมั่งซานเข้าอีก น่ากลัวว่ามารดาจะต้องโมโหเดือดดาลจนตรงดิ่งไปคิดบัญชีกับอาจารย์เลยกระมัง

“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ” นางตอบโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี หัวใจก็ไม่เต้นรัว “เงินพวกนี้อาจารย์เตรียมนำกลับอาราม คิดว่าตอนกลับไปคงจะรีบร้อนนักถึงได้มาหลงอยู่ที่ห่อผ้าของข้า”

ฉวีเฉินซื่อจ้องมองใบหน้าบุตรสาวครู่หนึ่งด้วยความสงสัย เห็นว่านางมีสีหน้าเปิดเผย ท่าทางดูไม่เหมือนการเสแสร้งก็เก็บหัวใจที่เต็มไปด้วยความกังวลกลับลงไป

“เงินจำนวนมากถึงเพียงนี้ไม่ใช่เล่นๆ ระวังอย่าทำหล่นหายไปล่ะ เจ้ามาฝากไว้ที่แม่ก่อน เอาไว้วันที่เจ้าจะกลับอารามชิงอวิ๋น แม่จะคืนให้เจ้าแล้วกัน”

ฉวีชิ่นเหยาคาดเดาได้ว่ามารดาจะต้องกล่าวเช่นนี้ นางทำปากจู๋ขณะประคองปึกตั๋วเงินส่งให้มารดา แต่แล้วก็พลันนึกอะไรขึ้นได้ จึงเอามือตบหน้าผากเอ่ย

“ดูข้าสิ เกือบลืมเรื่องสำคัญไปแล้ว” นางรีบหันไปหยิบลูกกลอนปราณของปีศาจงูที่อยู่ในห่อผ้าไหมส่งให้มารดา ดวงตามีประกายความยินดีฉายออกมาเลือนราง “ท่านแม่ ข้ามีทางรักษาอาการของพี่ชายแล้ว”

 

ช่วงเวลาอาหารเย็นฉวีเอินเจ๋อก็กลับมา พอเห็นหน้าฉวีชิ่นเหยา หัวใจที่มีแต่ความกลัดกลุ้มมาหลายวันจึงสงบลงได้เสียที พอได้ยินว่าฉวีชิ่นเหยานำลูกกลอนปราณของปีศาจงูกลับมาเพื่อช่วยรักษาอาการของบุตรชายคนโต เขาก็ยิ่งดีใจจนไม่รู้จะเอ่ยออกมาอย่างไรดี บุตรสาวของเขาเติบใหญ่แล้ว นอกจากจะร่ำเรียนจนมีฝีมือติดตัว ยังช่วยแบ่งเบาเรื่องทุกข์ร้อนใจของคนในครอบครัวได้อีกด้วย

สมาชิกครอบครัวสามคนกินอาหารเย็นจนหมดด้วยความตื่นเต้นยินดี จากนั้นก็นำลูกกลอนปราณไปหาฉวีจื่ออวี้

ทั้งสามเพิ่งจะเดินเข้าเขตเรือนพักก็ได้ยินเสียงไอดังบาดหูลอยมาจากในห้องนอน

ฉวีชิ่นเหยาได้ยินเสียงไอโขลกนี้แล้วรู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในจะหลุดออกมาด้วยเสียอย่างนั้น ในใจพลันเศร้าหมอง รีบก้าวเดินเข้าไปในห้อง เห็นฉวีจื่ออวี้พี่ชายของนางกำลังนั่งอยู่หน้าเตียงไอจนหายใจไม่ทัน ต้องสะกดกลั้นอาการจนหน้าเขียวหน้าแดง

ไห่ถังสาวใช้รุ่นใหญ่ยืนถือกระโถนบ้วนน้ำลายอยู่ข้างๆ คอยช่วยฉวีจื่ออวี้ลูบแผ่นหลังพลางเอ่ยเกลี้ยกล่อมด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ไม่ใช่ว่าบ่าวพยายามเกลี้ยกล่อมท่าน แต่ว่าตอนนี้ท่านไม่สบายอยู่นะเจ้าคะ เป็นช่วงที่ต้องพักฟื้นสงบจิตใจ เหตุใดต้องมาลำบากฝืนร่างกายอ่านตำราเช่นนี้อีกเล่า ท่านก็เคยพูดอยู่บ่อยครั้งไม่ใช่หรือว่าความขยันหมั่นเพียรไม่อาจเห็นผลสำเร็จในช่วงเวลาอันสั้น”

สายตาของฉวีชิ่นเหยาทอดมองไปที่ม้านั่งยาวข้างเตียง เห็นว่ามีตำราคัมภีร์กองสุมดังคาด นางลอบถอนหายใจ

ฉวีจื่ออวี้พี่ชายของนางสืบทอดพรสวรรค์ในการร่ำเรียนมาจากบิดา ตั้งแต่เล็กมาก็มีความมุมานะบากบั่น ท่านอาจารย์อวี๋ที่สอนความรู้พื้นฐานคนแรกเคยกล่าวถึงพี่ชายไว้ว่า ‘อายุยังน้อยแค่นี้ก็เรียบเรียงความคิดได้ดี อนาคตสดใสไร้ขอบเขตแน่’ เขาเป็นเด็กอัจฉริยะหาตัวจับยากคนหนึ่ง แต่น่าเสียดายเกิดมาก็มีร่างกายอ่อนแอขี้โรค เสียเวลามากกว่าครึ่งในหนึ่งปีไปกับการเจ็บป่วย

เมื่ออายุได้สิบหกปีพี่ชายเคยฝืนไปลงสนามสอบ ทุ่มเทหมดพลังไปครึ่งชีวิตจนสอบได้จวี่เหริน แต่ว่าภายหลังร่างกายย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ไม่ต้องเอ่ยถึงการเข้าสอบเคอจวี่ แม้กระทั่งการเดินออกนอกจวนก็ฝืนทำได้ยากยิ่ง

บิดาเห็นพี่ชายร่างกายอ่อนแอปานนี้จึงล้มเลิกความคิดจะให้พี่ชายเป็นขุนนางไปนานแล้ว แต่ว่าพี่ชายเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง จะยอมอยู่บ้านเฉยๆ เป็นคนไร้ค่าหลบซ่อนอยู่ใต้เงาของบิดาหรือ ปกติเขาเคยทุ่มเทสุดกำลังลับหลังบิดามารดาหลายครั้ง เฝ้ารอว่าเมื่อเติบโตขึ้นร่างกายคงจะได้ความกว่านี้ ต้องมีสักวันที่สร้างผลงานและคว้าตำแหน่งขุนนางมาได้

พอมองดูสถานการณ์ตรงหน้า พี่ชายคงลอบเตรียมตัวสำหรับการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิ อีกแล้วเป็นแน่

นางคิดแล้วในใจก็รู้สึกข่มปร่าจางๆ จึงเอ่ยเรียกเขา “พี่ชาย”

ฉวีจื่ออวี้ได้ยินเสียงก็เงยหน้าขึ้น ใบหน้าซีดขาวปรากฏความยินดีในทันใด “อาเหยา เจ้ากลับมาแล้ว”

ไห่ถังเองก็เผยสีหน้ายินดีไม่แพ้กัน “คุณหนู”

ตอนนี้คู่สามีภรรยาสกุลฉวีก็เข้ามาด้วย พอสังเกตเห็นสภาพในห้องแล้วดวงตาก็พากันแดงเรื่อ ฉวีเฉินซื่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับน้ำตา “ลูกแม่ เหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้อีกเล่า”

ฉวีจื่ออวี้ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา กวักมือเรียกฉวีชิ่นเหยา “อาเหยา เข้ามาให้พี่ชายดูหน่อยซิ ปีศาจตนนั้นรับมือยากหรือไม่ คงไม่ได้บาดเจ็บกระมัง”

ฉวีจื่ออวี้มีรูปโฉมหล่อเหลาสง่างามโดยกำเนิด ถ้าหากไม่ใช่เพราะอาการเจ็บป่วย มั่นใจได้เลยว่าจะต้องนับเป็นบุรุษงามแห่งเมืองฉางอันคนหนึ่งแน่ เวลานี้แม้ว่าใบหน้าแลดูซีดเซียว แต่เพียงแค่รอยยิ้มเดียวก็ยังพอมองเห็นเงาความหล่อเหลาไร้ที่ติได้

ฉวีชิ่นเหยาอดรู้สึกเจ็บปวดในใจขึ้นมาไม่ได้ นางรีบก้าวเข้าไปนั่งข้างกายพี่ชายอย่างสนิทสนม ยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ครั้งนี้นอกจากข้าจะไปปราบปีศาจบนเขาหมั่งซานแล้ว ยังได้ลูกกลอนปราณของปีศาจงูกลับมาด้วย อาจารย์บอกว่าปีศาจงูตนนี้มีพลังตบะพันปี เป็นของล้ำค่าหายากยิ่ง มีฤทธิ์ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง พี่ชาย อีกเดี๋ยวท่านกินลูกกลอนปราณเม็ดนี้เข้าไป ร่างกายจะต้องฟื้นฟูขึ้นมากแน่”

ปีศาจงูพันปี?!

ฉวีจื่ออวี้มองใบหน้าประดับรอยยิ้มไร้เดียงสาของน้องสาวอย่างเงียบงัน ในใจกลับเกิดความตื่นตระหนกราวคลื่นโหมซัด เดินทางไปเขาหมั่งซานครั้งนี้ไม่รู้ว่าน้องสาวพบเจอสถานการณ์เสี่ยงอันตรายเช่นไร ลองคิดดูว่าแม้นางจะฝึกวิชามาหลายปี แต่ความจริงก็อายุแค่สิบสี่เท่านั้น แล้วจะเป็นคู่ต่อสู้ของปีศาจที่มีตบะพันปีได้หรือ ไม่แน่ว่าคงเกิดการต่อสู้ดุเดือดเฉียดตายกระมัง ทว่าเวลานี้กลับไม่เอ่ยถึงเลยสักคำ เอาแต่ห่วงร่างกายของเขา…

ขอบตาเขาพลันร้อนผ่าวเล็กน้อย กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “น้องรัก…”

 

เมื่อลิ่นเซี่ยวออกจากศาลาเยียนปอกลับเรือนซือหรูก็เป็นเวลามืดค่ำพอสมควรแล้ว

ยามค่ำคืนช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิมักจะหนาวเย็นยาวนาน ในเรือนซือหรูกำลังจุดกระถางไฟอุ่นสบาย เวินกูนำทิงเฟิงกับสาวใช้อีกหลายคนนั่งผิงไฟไปพลางทำงานเย็บปักไปพลาง ส่วนฉางหรงก็นั่งอยู่ข้างหนึ่ง คอยกระเซ้าเย้าแหย่

พอลิ่นเซี่ยวเดินเข้าเรือนมาก็พบกับบรรยากาศสุขสันต์กลมเกลียว ในใจรู้สึกอุ่นวาบขึ้นมาทันใด ความไม่สบายใจขณะที่อยู่กับบิดาก่อนหน้านี้ดั่งมีสายลมพัดพาหมอกจางหายไปในชั่วพริบตา

ฉางหรงเงยหน้าขึ้นมาเห็นลิ่นเซี่ยวก็รีบลุกขึ้นกล่าวทักทาย “ซื่อจื่อกลับมาแล้ว”

ลิ่นเซี่ยวส่งสัญญาณให้พวกทิงเฟิงกับผินเสวี่ยถอยออกไป ก่อนจะรับน้ำชาที่เวินกูชงให้มาจิบสองคำแล้วเอ่ยถามนาง

“แม่นม ช่วงนี้ในวังอ๋องมีอะไรผิดปกติบ้างหรือไม่”

เวินกูตอบด้วยความสับสนงุนงง “ก็ไม่มีอะไรผิดปกตินะเจ้าคะ”

ลิ่นเซี่ยวมีความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างผุดขึ้นมา คิดทบทวนดูแล้วก็สั่งการฉางหรง

“ส่งคนไปโยวโจวสืบเรื่องบ้านเดิมของชุยซื่อ โดยเฉพาะแม่นางที่ชื่อหลิงหลงผู้นั้น ถ้าเกิดสืบได้ความแล้วให้รีบมารายงานข้าทันที”

ฉางหรงได้ยินคำสั่งนี้ก็เข้าใจว่าสตรีที่ชื่อหลิงหลงผู้นี้คือหลานสาวจากบ้านเดิมที่พระชายาพาเข้าวัง คาดว่าคงมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลัง เขาจึงรีบเอ่ยปากรับคำทันที

จากนั้นฉางหรงนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยรายงานอย่างไม่เต็มใจนัก “เว่ยปอกลับมาแล้วขอรับ บอกว่าทำตามที่คุณชายสั่ง แอบนำเงินมอบให้แม่นางนักพรตคนนั้น เขายังบอกอีกว่านางเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของฉวีเอินเจ๋อไท่สื่อลิ่งแห่งเมืองฉางอัน ส่วนเพราะอะไรถึงมาเป็นนักพรต เขายังสืบหาต้นสายปลายเหตุไม่พบ รออีกสักระยะสืบได้ละเอียดแล้วจะกลับมารายงานคุณชายอีกครั้ง”

ลิ่นเซี่ยวเห็นฉางหรงเผยสีหน้าไม่แยแสสนใจ ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง เขากระแอมกระไอแผ่วเบา ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข้ารู้แล้ว”

เวินกูที่ยืนอยู่ข้างกันฟังจนสับสนงุนงงไปหมด

นักพรตหญิง? เงิน?

นางมองลิ่นเซี่ยวอย่างตกตะลึง “ซื่อจื่อ พวกท่านไปรู้จักนักพรตหญิงตั้งแต่เมื่อใดกัน”

คงไม่ใช่โดนสตรีสามคำสอนเก้าสำนัก พวกนั้นหลอกกระมัง

ลิ่นเซี่ยวเห็นสีหน้าเวินกูก็รู้ว่านางคงกำลังเข้าใจผิด เขาเผยรอยยิ้มบางๆ ขณะกำลังจะอธิบายเรื่องราวเห็นว่าท้องฟ้ามืดสนิทเวลาไม่คอยท่า จึงลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย

“แม่นม วันนี้ข้ายังต้องไปที่จวนหลูกั๋วกง เอาไว้วันหน้าพวกเราค่อยมาคุยเรื่องนี้อย่างละเอียดกัน”

จวนหลูกั๋วกงห่างจากวังหลันอ๋องเพียงหนึ่งช่วงถนนใหญ่ ขี่ม้าไปก็ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งก้านธูป

เวลานี้ค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ตอนที่บ่าวไพร่มาเปิดประตูต้อนรับ พกพาความขุ่นเคืองมาเต็มท้อง แต่ทันทีที่เห็นว่าแขกที่มาเยือนเป็นลิ่นเซี่ยวกับผู้ติดตาม ไหนเลยจะกล้าชักสีหน้าใส่ ทว่ารีบตั้งสติให้แจ่มใสมากกว่าเดิมก่อนจะเดินนำคนทั้งสองเข้าไปด้านใน

ไม่จำเป็นต้องถามให้มากความก็รู้ว่าลิ่นเซี่ยวมาพบคุณชายสามของจวนนี้ บ่าวไพร่จึงเดินนำทางคนทั้งสองไปยังเรือนที่พักด้วยตนเอง

คุณชายสามท่านนี้ของจวนหลูกั๋วกงมีชื่อว่าเจี่ยงฮุยเยวี่ย เป็นบุตรชายคนที่สามซึ่งเกิดจากภรรยาเอกของหลูกั๋วกง มารดาของเขาหรือฮูหยินของหลูกั๋วกงเป็นพี่สาวแท้ๆ ของมารดาลิ่นเซี่ยว คนทั้งสองจึงเป็นลูกพี่ลูกน้องฝั่งมารดาอย่างแท้จริง และเนื่องจากมีอายุไล่เลี่ยกัน ความชอบคล้ายคลึงกัน จึงเล่นด้วยกันอย่างสนิทสนมมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกผูกพันจึงลึกซึ้งแน่นแฟ้นกว่าญาติพี่น้องทั่วไปหลายเท่า

ลิ่นเซี่ยวกับฉางหรงเดินมาถึงเรือนจู่ชิ่นของเจี่ยงฮุยเยวี่ย เพิ่งจะมานั่งในห้องโถงกลางไม่นานก็ได้ยินเสียงบุรุษและสตรีหยอกเย้ากันลอยมาจากห้องด้านใน

ลิ่นเซี่ยวพบเจอเป็นประจำจนชินชาไปนานแล้ว จึงแสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินไปเสีย แต่ฉางหรงกลับกลอกตาด้วยความรำคาญ จากสภาพการณ์เช่นนี้เจี่ยงซานหลางคงได้หญิงบำเรอโฉมงามมาอีกแน่ ถึงได้มีอารมณ์สุนทรีย์ขนาดนี้

เสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้ทุกขณะ ม่านประตูถูกเลิกขึ้น มีชายหนุ่มอายุประมาณสิบหกสิบเจ็ดปีคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีริมฝีปากแดง ฟันขาวสะอาด ใบหน้ารูปดอกท้อทรงเสน่ห์ ช่างคมคายไปทุกส่วน อีกทั้งหางคิ้วและดวงตาแฝงความเกียจคร้าน ทุกอากัปกิริยาสะท้อนคำว่า ‘เจ้าสำราญ’ สามคำนี้ออกมาอย่างชัดเจน

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ลิ่นเซี่ยวดูเหมือนหยกขาวที่ผ่านการเจียระไนอย่างประณีต งดงามโดดเด่น แต่แฝงความเย็นชาห่างเหิน แตกต่างจากเจี่ยงซานหลางผู้นี้ที่เป็นมิตรและเข้าถึงได้ง่ายกว่า

เจี่ยงซานหลางยิ้มแย้มพลางเหลือบมองลิ่นเซี่ยว เลิกชายชุดขึ้นเล็กน้อยแล้วนั่งด้วยท่าทีสบายๆ ไม่มีการวางมาดแต่อย่างใด “เพิ่งกลับมาวันนี้หรือ ครั้งนี้ออกนอกฉางอันราบรื่นดีหรือไม่”

ใครจะรู้ว่าเมื่อลิ่นเซี่ยวและฉางหรงเงยหน้ามองแวบแรกต่างก็รู้สึกตื่นตระหนกในใจ เหตุใดไม่พบหน้ากันแค่ครึ่งเดือน สีหน้าของเจี่ยงซานหลางถึงได้ย่ำแย่ลงไปมากถึงเพียงนี้

ฉางหรงหลุดปากถามออกไปว่า “คุณชายสาม ท่านเป็นอะไรไป ช่วงนี้ร่างกายท่านไม่สบายตรงที่ใดบ้างหรือไม่ขอรับ”

เจี่ยงซานหลางลูบปลายคางอย่างประหลาดใจแล้วเอ่ยถามว่า “ก็สบายดีอยู่นะ เพราะอะไรใครต่อใครถึงบอกว่าข้าสีหน้าย่ำแย่ ร่างกายข้ายังสบายดีอยู่ชัดๆ เลย”

พอเขานึกอะไรขึ้นมาได้อีกอย่าง ริมฝีปากจึงยกโค้งยิ้มร่า “จริงสิ ไม่นานนี้ข้าได้หญิงงามมาคนหนึ่ง เรื่องดีๆ เช่นนี้ไม่คู่ควรแพร่งพรายให้ผู้อื่นรับรู้ ข้าไม่อาจตัดใจปล่อยให้หลุดมือไปชั่วขณะ อาจทำให้ร่างกายทรุดโทรมไปบ้างก็ไม่แปลก”

เขาเงยหน้ามองเห็นลิ่นเซี่ยวทำสีหน้าไม่แยแสก็เลิกคิ้วขึ้นเอ่ย “เจ้าก็อย่ามัววางมาดอยู่เลย เจ้ายังไม่เคยลิ้มลองรสชาติ ถ้าหากวันใดได้ลองกินเนื้อแล้ว กลัวว่าจะไม่ยอมปล่อยมือยิ่งกว่าข้าน่ะสิ”

ฉางหรงลอบแค่นเสียงขึ้นจมูกเย้ยหยัน ซื่อจื่อไม่ใช่คนประเภทนั้น เขาเป็นคนที่มีวินัยและควบคุมตนเองได้ดีอย่างยิ่ง ไม่เคยลุ่มหลงมัวเมากับสตรี ไหนเลยจะเหมือนเจี่ยงซานหลาง ทั้งที่เกิดปีเดียวกันกับซื่อจื่อ แต่กลับรับหญิงบำเรอเข้าห้องมากถึงเจ็ดแปดคนแล้ว ยังไม่นับรวมสตรีที่มีความสัมพันธ์ฉาบฉวย ไม่จดจำชื่อเสียงเรียงนามในร้านสุราโกวหลันอีกนะ

“หญิงงามคนนี้ของเจ้าได้ตัวมาจากที่ใด หอหมู่ตันหรือเรือนเทียนซิน” ลิ่นเซี่ยวยกถ้วยชาขึ้น ถามด้วยท่าทีคล้ายจะไม่สนใจอะไร

เจี่ยงซานหลางนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย วันนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลิ่นเซี่ยวถึงเป็นห่วงเรื่อง ‘คนในมุ้ง’ ของเขาได้

“ไม่ได้พากลับมาจากหอหรือเรือนอะไรอย่างที่เจ้าว่าหรอก” เขามองหน้าลิ่นเซี่ยวด้วยความสงสัยแล้วเอ่ยตอบ “เมื่อเดือนก่อนข้าไปจุดธูปไหว้พระที่วัดต้าอิ่นกับท่านแม่ ระหว่างทางบังเอิญเห็นนางโดนคนถ่อยตามตอแย รู้สึกทนดูไม่ได้จึงเข้าช่วยเหลือ ต่อมาถึงรู้ว่าพ่อแม่นางตายหมดแล้ว ในบ้านเหลือแค่นางกับน้องชายสองคน นางต้องเลี้ยงดูน้องชายที่ยังเล็กถึงได้ทำดอกไม้ผ้ามาขาย ข้าเห็นชีวิตของนางน่าเวทนาปานนี้ก็เลยเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจขึ้นมา”

“ดังนั้นเจ้าจึงรับนางเข้ามาอยู่ในจวน?”

เมื่อเห็นอีกฝ่ายถึงกับวางมาดซักไซ้ไล่เลียงอย่างจริงจังเช่นนี้ เจี่ยงซานหลางก็จ้องหน้าลิ่นเซี่ยว ความสงสัยในใจยิ่งลึกล้ำมากขึ้น “ไม่ใช่ นางบอกว่าแม้ตัวเองจะฐานะยากจนต่ำต้อย แต่ไม่มีทางยอมเป็นหญิงบำเรอไร้ฐานะของใคร ข้าเห็นนางดื้อรั้นได้น่าเอ็นดู มีความหยิ่งทะนงอยู่หลายส่วน จึงเขียนหนังสือแต่งตั้งฉบับหนึ่งขึ้นมา ยอมรับนางเข้ามาเป็นอนุภรรยา”

ครั้งนี้ไม่ใช่แค่ลิ่นเซี่ยว แม้แต่ฉางหรงก็ประหลาดใจจนเลิกคิ้วขึ้นสูง ต้องรู้เอาไว้ว่าแม้คุณชายสามจะมีสตรีข้างกายหลายนาง แต่คนที่ได้ชื่อว่าเป็นอนุภรรยาอย่างแท้จริงมีแค่คนเดียว ในเมืองฉางอันผู้คนมากมายคิดจะใช้เส้นทางนี้มาสานสัมพันธ์กับจวนหลูกั๋วกง แต่…แต่กลับรับสตรีขายดอกไม้คนหนึ่งเข้ามาเนี่ยนะ?

ถ้วยชาในมือที่ลิ่นเซี่ยวยกจรดริมฝีปากนิ่งค้างอยู่ชั่วครู่ เขาถึงได้จิบคำหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านป้าไม่ว่าอะไรหรือ ปล่อยให้เจ้าทำเรื่องเหลวไหลตามใจเช่นนี้”

เจี่ยงซานหลางหรี่ตาลง มองประเมินลิ่นเซี่ยวอย่างจริงจัง ดูเหมือนอยากจะมองอีกฝ่ายให้ทะลุปรุโปร่ง “วันนี้เจ้าเป็นอะไรไป ถึงได้สนใจเรื่องในมุ้งของข้าถึงเพียงนี้ จะว่าไปแล้วก็แปลกนัก เมื่อก่อนท่านแม่ไม่เคยมองสตรีคนใดของข้าเข้าตาสักคน ชอบบอกว่าพวกนางเสแสร้งแกล้งทำอยู่บ่อยๆ แต่กับอาเมี่ยวนั้น เอ่อ…นี่คือชื่อหญิงงามคนนี้ของข้า ท่านแม่กลับถูกใจอาเมี่ยวมากเชียวล่ะ ไม่ถือสาชาติกำเนิดต่ำต้อยของนาง ได้แต่บอกว่านางอ่อนหวานรู้จารีต ให้ข้าดีต่อนางมากๆ”

อ่อนหวานรู้จารีต?

ลิ่นเซี่ยวมองเจี่ยงซานหลางด้วยแววตาแปลกพิกล เสียงหัวเราะยั่วยวนปานนั้นที่ลอยมาจากห้องด้านในเมื่อครู่สะท้อนคำว่า ‘รู้จารีต’ ด้วยหรือ

เขาอดเบนสายตากลับไปมองที่ม่านประตูไม่ได้ คล้ายว่าจะมองผ่านผ้าม่านผืนหนาให้ทะลุไปจนเห็นโฉมหน้าของสตรีที่ชื่ออาเมี่ยวชัดเจน

เจี่ยงซานหลางเริ่มโมโหพลุ่งพล่าน “วันนี้เจ้ามายั่วโทสะข้าใช่หรือไม่ กลับมาถึงไม่พูดอะไรเป็นการเป็นงานสักคำ ทำเหมือนกับข้าเป็นคนเคราะห์ร้ายโดนมารเข้าสิง ข้าเป็นคนหมกมุ่นจนสติเลอะเลือนอย่างนั้นหรือ ก่อนจะรับอาเมี่ยวเข้ามาข้าส่งคนไปสืบเรื่องราวที่บ้านนางอย่างละเอียดแล้ว ครอบครัวของนางตั้งแต่ต้นตระกูลก็อาศัยอยู่ที่ตรอกฝูเล่อวัดต้าอิ่น รอบข้างเป็นเพื่อนบ้านเก่าแก่ที่รู้จักกันมานานหลายสิบปี แม้แต่หยวนเจวี๋ยเจ้าอาวาสวัดต้าอิ่นก็เคยพบหน้าอาเมี่ยวกับน้องชายหลายครั้ง ตอนนี้พ่อแม่ของนางจากไป ท่านเจ้าอาวาสเห็นพวกนางพี่น้องโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ยังสั่งให้ลูกศิษย์ในวัดมอบเงินช่วยงานศพและช่วยฝังศพให้พ่อแม่ของนางอยู่เลย”

กล่าวจบก็ทำท่ายักคิ้วข่มลิ่นเซี่ยวราวกับกำลังท้าทายว่า ‘ดูซิเจ้าจะโต้แย้งอะไรได้อีก’

ฉางหรงอยากหัวเราะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ จะว่าไปแล้วคุณชายทั้งสองท่านนี้ก็เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถโดดเด่น วาจาหนักแน่นน่าเชื่อถือในเมืองฉางอัน แต่ว่าขอเพียงให้อยู่ด้วยกันจะต้องมีเรื่องทะเลาะวิวาทปะทะคารมกันเป็นประจำ

เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ ลิ่นเซี่ยวเบ้ปากดูแคลน “ข้าแค่เห็นสีหน้าเจ้าไม่สู้ดีก็เลยถามเพิ่มสักหลายคำ เจ้ากลับใจร้อนดั่งไฟลน รีบเอ่ยปากแก้ต่างให้หญิงงามคนนั้นของเจ้า ไม่ใช่หมกมุ่นจนเลอะเลือนจะเรียกว่าอะไร ถ้าเกิดข้าพูดต่อไปเรื่อยๆ เจ้ากลัวว่าพวกเราจะต้องชักดาบเข้าใส่กันกระมัง”

เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ในห้วงความคิดลิ่นเซี่ยวมีความคิดแปลกประหลาดผุดวาบขึ้นมาโดยพลัน ตอนเขาพบปีศาจงูที่เขาหมั่งซานกระบี่วิเศษข้างเอวเคยส่งเสียงร้องเตือนอยู่หลายครั้ง คิดว่ามันจะต้องมีฤทธิ์แยกแยะปีศาจได้แน่ แล้วเหตุใดเขาไม่ยั่วยุเจี่ยงซานหลางให้เรียกอาเมี่ยวออกมาแล้วใช้กระบี่วิเศษทดสอบนางดูเล่า

เขาคิดเช่นนี้แต่แสร้งทำสีหน้าเหยียดหยาม “ก็แค่สตรีขายดอกไม้คนหนึ่ง ทะนุถนอมเป็นสมบัติล้ำค่า เหมือนได้เจอนางฟ้านางสวรรค์มาอย่างนั้น คิดว่าต่อให้รูปโฉมคงพอโดดเด่นอยู่บ้าง กิริยาท่าทางคงไม่ได้สุภาพเรียบร้อยอะไร เจ้าจะชมชอบของแปลกใหม่ก็สมควรรู้จักขอบเขตบ้าง!”

เจี่ยงซานหลางมองลิ่นเซี่ยวด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เจ้าก็ไม่ต้องยั่วยุข้าหรอก ข้ารู้ว่าเจ้ามีแผนการอะไรอยู่ วันนี้ข้าจะให้อาเมี่ยวออกมาพบเจ้าสักหน่อย ถ้าหากเจ้าเห็นหน้าอาเมี่ยวแล้วตกตะลึงพูดอะไรไม่ออกสักคำ ก็ต้องยอมเรียกนางว่าพี่สะใภ้เล็กด้วยความนอบน้อม ตกลงหรือไม่”

ลิ่นเซี่ยวเลิกคิ้วพร้อมรับคำท้าทาย “วันนี้ข้าก็อยากจะเปิดหูเปิดตาเหมือนกัน เอาสิ ทำตามที่เจ้าว่ามาก็ได้”

เจี่ยงซานหลางจึงลุกขึ้นแล้วเดินจากไป ไม่นานก็มีเสียงของเขาดังลอยมาจากห้องด้านใน น้ำเสียงมีเค้าของการปรึกษาหารือ มีความอ่อนโยนเอาใจใส่ที่บรรยายไม่ถูก

ลิ่นเซี่ยวกับฉางหรงหันมาสบตากันด้วยความประหลาดใจ ก็แค่อนุภรรยา สำหรับคุณชายสามแห่งจวนหลูกั๋วกงแล้วก็เป็นแค่ของเล่นชิ้นหนึ่ง จำเป็นต้องระมัดระวังกันถึงเพียงนี้เลยหรือ

เพียงชั่วครู่ม่านประตูก็ถูกเลิกขึ้น เจี่ยงซานหลางจูงมือแม่นางน้อยรูปร่างสะโอดสะองเดินออกมา

สตรีนางนั้นใช้พัดกลมปิดบังใบหน้าเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ทว่าก็ยังเผยให้เห็นดวงหน้างามพริ้มเพราดุจภาพวาดบางส่วนออกมา เรื่องรูปโฉมนับว่าเป็นหนึ่งในหมื่นอย่างแท้จริง ท่วงทีกิริยาก็พลิ้วไหวนุ่มนวล เปรียบเทียบกับสตรีในตระกูลใหญ่ที่เวลานี้ชมชอบรูปร่างอวบอิ่มยิ่งทำให้นางดูงดงามสะท้านใจคน

เจี่ยงซานหลางพาอาเมี่ยวเดินมาหยุดตรงหน้าลิ่นเซี่ยว กระซิบบอกข้างหูนางว่า “ท่านนี้คือหลันอ๋องซื่อจื่อ” พลางแสดงกิริยาปกป้องคุ้มครองเต็มที่

อาเมี่ยวพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะย่อกายลงคารวะลิ่นเซี่ยวอย่างอ่อนช้อยพร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “คารวะซื่อจื่อเจ้าค่ะ” ปิ่นระย้าที่เสียบอยู่กับผมของนางกระทบกันตามจังหวะการเคลื่อนไหว ส่งเสียงไพเราะรื่นหู

ฉางหรงที่ยืนอยู่ด้านหลังลิ่นเซี่ยวมองเห็นปิ่นปักผมและต่างหูของสตรีนางนี้ชัดเจน อดอุทานชื่นชมในใจไม่ได้ มรกตและไข่มุกงามล้ำค่าระดับนี้ต่อให้เป็นเชื้อพระวงศ์หญิงก็มีในครอบครองไม่มากนัก ดูท่าคุณชายสามจะให้ความสำคัญกับอนุภรรยาคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

ลิ่นเซี่ยวมองหน้าอาเมี่ยว แต่ความสนใจกลับไปอยู่ที่กระบี่ข้างเอวเล่มนั้น ดีนักเชียว กระบี่เงียบงันไร้การตอบสนอง ไม่ไว้หน้าเจ้านายของมันเลยสักนิด

เขาสูญเสียความมั่นใจไปพอสมควร ในขณะเดียวกันก็ลอบถอนหายใจโล่งอก เงยหน้าเห็นเจี่ยงซานหลางเลิกคิ้วมองอยู่ก็หัวเราะเยาะตนเอง ลุกขึ้นคารวะตอบอาเมี่ยวอย่างนอบน้อม อมยิ้มเล็กน้อยพลางเอ่ย

“ลิ่นเซี่ยวคารวะพี่สะใภ้เล็ก”

หลายวันมานี้ฉวีชิ่นเหยาก็ยุ่งจนมือเป็นระวิงกับเรื่องในบ้าน นับตั้งแต่วันที่นางให้พี่ชายกินลูกกลอนปราณของปีศาจงู พี่ชายก็มีไข้สูงกว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม กว่าไข้จะลดลงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็มีตุ่มพุพองขึ้นทั่วร่างกายตามมาอีก นางร้อนใจดั่งไฟลน เร่งเดินทางข้ามคืนไปหาอาจารย์ที่อารามชิงอวิ๋น

ไม่คาดคิดว่าพออาจารย์ของนางทราบเรื่องแล้วจะไม่ประหลาดใจเลย บอกเพียงแค่ลูกกลอนปราณนั้นมาจากร่างของปีศาจงูพันปีจึงมีพิษร้ายแรงเป็นธรรมดา กระทั่งคนที่มีร่างกายแข็งแรงกินเข้าไปแล้วยังสลายพิษไปได้อย่างยากเย็น ไม่ต้องเอ่ยถึงพี่ชายของฉวีชิ่นเหยาที่มีร่างกายอ่อนแอปานนี้

เขาบอกให้ฉวีชิ่นเหยากลับบ้านแล้ววาดยันต์ขึ้นมาแผ่นหนึ่ง นำยันต์ไปละลายในสุราสยงหวง ให้พี่ชายของนางดื่ม แล้วพิษงูจะค่อยๆ สลายหายไปเอง

ฉวีชิ่นเหยากลับบ้านทำตามคำแนะนำของอาจารย์ หลังจากนั้นหนึ่งชั่วยามตุ่มพุพองตามร่างกายพี่ชายก็ยุบหายไปหมด แล้วเขาก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา ผ่านไปไม่กี่วันอาการไอก็หายเป็นปลิดทิ้ง ยิ่งไปกว่านั้นยังรู้สึกเจริญอาหารมากกว่าปกติหลายเท่า

พอได้เห็นฉวีจื่ออวี้แข็งแรงขึ้นทุกวัน สามีภรรยาสกุลฉวีและฉวีชิ่นเหยาก็ดีใจจนบรรยายไม่ถูก โดยเฉพาะสามีภรรยาสกุลฉวีที่ไม่เคยกระทำเรื่องชั่วร้ายใดมาก่อน กลับต้องมีทายาทที่ร่างกายอ่อนแอสองคน จึงรู้สึกว่าชีวิตช่างสิ้นหวังเสียเหลือเกินมาโดยตลอด ไม่เคยคิดว่าสิบกว่าปีต่อมาครอบครัวจะโชคดีเช่นนี้

ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณพลังตบะอันแก่กล้าของนักพรตชิงซวีจื่อ!

พอสามีภรรยาสกุลฉวีเฉลิมฉลองเรื่องน่ายินดีนี้แล้ว ก็ปรึกษาหารือกันว่าจะต้องขอบคุณนักพรตชิงซวีจื่ออย่างจริงใจสักครั้ง บังเอิญว่าวันนี้ฉวีชิ่นเหยาต้องเดินทางกลับอารามชิงอวิ๋นไปฝึกวิชาพอดี พวกเขาจึงนั่งรถม้าเดินทางไปด้วยกันกับฉวีชิ่นเหยา บนรถม้ามีของขวัญตอบแทนที่ตั้งใจเตรียมให้นักพรตชิงซวีจื่อมากมาย

ฉวีชิ่นเหยาเห็นบิดามารดากระตือรือร้นถึงเพียงนี้ก็ไม่อยากจะสาดน้ำเย็นเข้าใส่ ได้แต่คิดในใจ

ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย แทนที่จะมอบของขวัญพวกนี้ให้อาจารย์ ไม่สู้มอบเงินทองให้โดยตรง เพราะว่าตาเฒ่าอย่างเขาน่ะหลงใหลเงิน! เงิน! และเงิน! ที่สุดแล้ว

ในที่สุดคนในครอบครัวนี้ที่ต่างคนต่างมีความในใจก็เดินทางมาถึงอารามชิงอวิ๋น เพิ่งจะเดินลงจากรถม้าก็เห็นนักพรตชิงซวีจื่อพานักพรตคิ้วเข้มคนหนึ่งรีบร้อนเดินออกมา ดูท่าทางเหมือนมีเรื่องเร่งด่วนต้องไปจัดการ

ฉวีชิ่นเหยารีบก้าวออกไปเรียกพวกเขาไว้ “อาจารย์! ศิษย์พี่ใหญ่! พวกท่านจะไปที่ใดกัน”

นักพรตที่มีดวงตากลมโต คิ้วเข้มดกดำ หน้าตาดูใสซื่อไร้เดียงสาคนนี้ก็คืออาหานลูกศิษย์คนโตของนักพรตชิงซวีจื่อ เป็นเด็กทารกถูกทิ้งที่ท่านนักพรตเก็บได้จากกองหิมะ มาวันนี้เขาเติบโตเป็นชายหนุ่มร่างกายแข็งแรงบึกบึนอายุได้สิบเจ็ดสิบแปดปีแล้ว

เขามองเห็นฉวีชิ่นเหยาก็อ้าปากกว้าง เผยสีหน้าแช่มชื่นยินดี “อาเหยา เจ้ากลับมาแล้ว!”

นักพรตชิงซวีจื่อมองเห็นสามีภรรยาสกุลฉวีก็ร่ำร้องในใจว่าท่าจะไม่ดี รีบหันกลับไปทำท่าจะปิดปากอาหานเอาไว้ ใครจะคาดคิดว่าช้าไปก้าวหนึ่ง ได้ยินอาหานตะโกนเสียงดังขึ้นว่า “หอหมู่ตันมีผีร้ายอาละวาด เถ้าแก่เนี้ยมาเชิญอาจารย์ไปจับผี พวกเรากำลังจะไปเดี๋ยวนี้แล้ว”

สามีภรรยาสกุลฉวีได้ยินคำว่า ‘หอหมู่ตัน’ สามคำนี้ พวกเขารู้สึกตกตะลึง ตามด้วยนิ่งเงียบไปชั่วขณะ

ฉวีเอินเจ๋อคลุกคลีอยู่ในแวดวงขุนนางมาหลายปี ไหวพริบปฏิภาณอย่างไรก็มากกว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ เขาหัวเราะแห้งๆ ออกมาพร้อมหันหน้ามองนักพรตชิงซวีจื่อ ซึ่งใบหน้าแก่ชรากลายเป็นสีแดงก่ำแล้วเอ่ยว่า “เหอะๆๆ คือว่า คือ…ดูท่าวันนี้พวกเราบังเอิญมาได้จังหวะพอดี ทันเวลาก่อนท่านนักพรตจะออกไปข้างนอก”

แม้ฉวีชิ่นเหยาจะไม่เคยได้ยินชื่อหอหมู่ตันมาก่อน แต่สังเกตอาการตอบสนองของบิดามารดากับอาจารย์แล้วก็คาดเดาได้ไม่ยากว่าจะต้องเป็นสถานที่จำพวกหอนางโลมโคมเขียวแน่ นางไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย มีแต่จะมองอาจารย์ด้วยความแค้นใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กเป็นเหล็กกล้า

‘ท่านอาจารย์หนอ ท่านอาจารย์ เพื่อเงินแล้วงานที่ใดก็กล้ารับทั้งนั้นจริงๆ ด้วย’

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 13

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: