บทที่ 5
เมื่อครั้งนั้นตอนอาจารย์อธิบายเรื่อง ‘คัมภีร์ปีศาจ’ เคยกล่าวไว้ว่าถ้าหากมนุษย์โดนปีศาจร้ายเข้าสิงร่าง เส้นลมปราณพิเศษทั้งแปด จะสับสนวุ่นวาย สติเลอะเลือน ไม่อาจควบคุมตนเองได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ถ้าหากต้องการดึงปีศาจออกจากร่าง อย่างแรกต้องใช้ยันต์ลงคาถากำกับ แต่วิธีนี้ใช้ได้ผลกับปีศาจทั่วไปเท่านั้น เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจร้ายที่มีพลังแข็งแกร่งเป็นพิเศษ หากนักพรตผู้ใช้ยันต์ไม่ใช่ผู้มีพลังตบะลึกล้ำไม่ธรรมดา ก็มีโอกาสสูงที่จะใช้ไม่ได้ผล
แต่ยังมีอีกวิธีหนึ่ง…นั่นก็คือจู่โจมจุดเทียนซิง ที่บริเวณท้ายทอยของฝ่ายตรงข้าม
จุดเทียนซิงเป็นตำแหน่งรวมเส้นลมปราณเส่าหยาง ของแขนขาและเส้นลมปราณอินเหวย แม้ว่าจะไม่ได้ควบคุมจิตสำนึกรับรู้เป็นหลัก แต่ว่าเมื่อผู้ที่โดนปีศาจร้ายสิงร่างถูกจู่โจมที่จุดนี้ วิญญาณเจ้าของร่างซึ่งเดิมทีจิตสำนึกยังหลับใหลจะตื่นขึ้นโดยพลัน จากนั้นจะปลดปล่อยพลังที่แข็งแกร่งออกมา ปีศาจร้ายในร่างจะหวาดกลัวพลังสายนี้จนพลั้งเผลอไปชั่วขณะ ถึงตอนนั้นจึงค่อยใช้คาถาชำระจิต ซึ่งส่วนใหญ่จะขับปีศาจออกจากร่างได้สำเร็จ
การทำเช่นนี้เสี่ยงอันตรายใหญ่หลวง ไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้ประชิดตัวกับปีศาจร้าย ไม่เพียงมีเงื่อนไขว่านักพรตต้องมีฝีมือสูงส่ง ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องอาศัยฟ้าบันดาลดินเป็นใจคนประสานด้วย ถ้าหากมีข้อผิดพลาดเล็กน้อย ก็จะโดนปีศาจร้ายที่คลุ้มคลั่งย้อนกลับมาจู่โจม
แต่ว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่ฉวีชิ่นเหยาจะคิดออกได้ในตอนนี้ สถานการณ์คับขันเร่งด่วน ไม่เหลือเวลาให้นางมาไตร่ตรองโดยละเอียดแล้ว
เช่นนั้นก็มาเดิมพันกันสักตั้ง!
เมื่ออาเมี่ยวก้มลงและพุ่งตรงเข้ามาเร็วเกินไปจนทำให้ด้านหลังเผยช่องโหว่ขนาดใหญ่ ฉวีชิ่นเหยาเห็นอย่างชัดเจน จึงรีบจู่โจมที่จุดเทียนซิงตรงท้ายทอยของอีกฝ่ายอย่างฉับไว
อาเมี่ยวร่างกายซวนเซก่อนจะล้มลงกับพื้นและส่งเสียงไอโขลกอย่างรุนแรง ระหว่างที่ไออยู่นั้นแสงสีแดงในร่างส่องแสงวูบไหวคล้ายว่าจะแยกตัวออกมาแล้ว
ฉวีชิ่นเหยารู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น นางไม่อาจหยุดพักหายใจได้ รีบขยับกายพุ่งฉิวไปแปะยันต์ชำระจิตที่แผ่นหลังอาเมี่ยวไวปานลูกธนูทันที
อาเมี่ยวคำรามเสียงต่ำด้วยความเจ็บปวด แสงสีแดงกระเด็นออกมาทันใด แล้วพุ่งไปหาคนอื่นในเรือนด้วยความเร็ว
ฉวีชิ่นเหยาเร่งไล่ตามไปติดๆ ในห้วงความคิดมีแสงสีขาวสว่างวาบ นางรีบเรียกกระดิ่งคืนวิญญาณออกมา แต่สุดท้ายก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง เพียงแค่ชั่วพริบตาแสงสีแดงก็ผลุบหายเข้าร่างหมัวมัวผู้ดูแลเรือนไป
คิดคำนวณเสียมากมายก็ยังพลาดตรงจุดนี้ไปได้! ในเมื่อมันสามารถเข้าสิงร่างอาเมี่ยวได้ ย่อมเข้าสิงร่างของผู้อื่นได้เช่นกัน
ฉวีชิ่นเหยารู้สึกหงุดหงิดเสียเต็มประดา ดวงตาจับจ้องหมัวมัวผู้ดูแลเรือน ปากคำรามสั่งการว่า “คนอื่นในเรือนนี้ รีบออกไปให้หมด!”
คนทั้งหลายเห็นสถานการณ์เมื่อครู่อย่างชัดเจน หลังจากความตกตะลึงผ่านพ้นไป ความหวาดกลัวก็แผ่ขยายปกคลุมอย่างช้าๆ
เริ่มจากอาเมี่ยวตามด้วยหมัวมัวผู้ดูแลเรือน ใครก็ไม่มีทางคาดเดาได้ว่าตนเองจะเป็นผู้เคราะห์ร้ายรายถัดไปหรือไม่
ทุกคนต่างสาวเท้าวิ่งหนีไปทางประตูเรือน ท่ามกลางความสับสนอลหม่านมีสาวใช้หลายคนผลักกันไปมาจนล้มไปกระแทกกับพื้นอย่างแรง ทว่าไม่มีเวลามาร้องไห้คร่ำครวญ พวกนางต่างรีบลุกขึ้นมาวิ่งไปข้างหน้าต่ออย่างไม่คิดชีวิต
คนที่วิ่งอยู่ข้างหน้าสุดก็คือฮูหยินหลูกั๋วกง นางมีสีหน้าเคร่งขรึมน่าเกรงขาม คว้าตัวเจี่ยงซานหลางเอาไว้แน่น เร่งฝีเท้าหนีอย่างคล่องแคล่วว่องไว
เจี่ยงซานหลางอดหันกลับไปมองอาเมี่ยวที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นไม่ได้ เขาดิ้นรนขัดขืนพลางตะโกนว่า “อาเมี่ยว! ท่านแม่ ปล่อยข้าไปหาอาเมี่ยว!”
‘เพียะ!’
ฮูหยินหลูกั๋วกงชะงักฝีเท้า ตบหน้าบุตรชายอย่างดุดันหนึ่งฝ่ามือ “ลูกไม่รักดี! ข้าไม่น่าคลอดลูกอย่างเจ้าออกมาเลยจริงๆ!”
ไม่รอให้เขาตอบอะไร ก็คว้าตัววิ่งไปข้างหน้าต่อ
ชั่วอึดใจเดียวในเรือนก็เหลือเพียงสามคนกับหนึ่งตน
ลิ่นเซี่ยวค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ ชักกระบี่ออกมายืนปกป้องอยู่หน้าฉวีชิ่นเหยา กดเสียงลงต่ำเอ่ยว่า “ข้าจะสู้ไปกับเจ้าด้วย”
เขาไม่ได้หันกลับมา น้ำเสียงยังคงกระจ่างชัดเรียบนิ่งเช่นในวันวาน พอมายืนขวางหน้าฉวีชิ่นเหยาท่าทางองอาจมั่นคงดั่งขุนเขา ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกสบายใจขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
ฉวีชิ่นเหยาถอนหายใจแผ่วเบาด้วยความโล่งอก ไม่ว่าเมื่อใดมีคนอยู่เคียงข้างย่อมดีกว่าเสมอ โดยเฉพาะคนผู้นี้มองดูแล้ว…พึ่งพาได้อย่างยิ่ง
หมัวมัวผู้ดูแลเรือนจ้องมองคนทั้งสองด้วยแววตาอาฆาตแค้น ก่อนจะสะบัดกรงเล็บกระโจนเข้าใส่ลิ่นเซี่ยวทันใด
ลิ่นเซี่ยวมองมันเข้ามาใกล้อย่างเย็นชา กระบี่เตรียมพร้อมจู่โจม เขาไม่ใช่ผู้ฝึกตนในวิถีเต๋า ไม่มีหลักคุณธรรมมาเหนี่ยวรั้งมากมายปานนั้น เพียงแค่รอให้ปีศาจกระโจนเข้ามาใกล้ตัว ก็จะเสือกแทงกระบี่เข้าจุดตายของมันโดยไม่ลังเล
หมัวมัวผู้ดูแลเรือนขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ เมื่อเห็นว่าอยู่ห่างจากลิ่นเซี่ยวแค่ครึ่งจั้ง กลับหมุนตัวไปอีกทางทันควัน ทะยานตัวเหาะเหินออกไปนอกเรือน
ที่แท้เป้าหมายของมันไม่ใช่พวกเขามาตั้งแต่แรก!
ลิ่นเซี่ยวตอบสนองฉับพลัน ถือกระบี่ไล่ตามไปในทันที ฉวีชิ่นเหยาก็รีบตามหลังไปไม่ห่าง
การเคลื่อนไหวของหมัวมัวผู้ดูแลรวดเร็วเหนือคนธรรมดา กระโดดขึ้นลงไม่กี่ครั้งเท่านั้นก็ทะยานออกไปนอกเรือนแล้ว
ได้ยินเพียงเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นระลอกหนึ่ง มีคนคำรามอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าปีศาจ! เก่งนักก็เข้ามาหาข้าสิ!”
เป็นเสียงฮูหยินหลูกั๋วกง!
ลิ่นเซี่ยวกับฉวีชิ่นเหยาหยุดฝีเท้าอย่างกะทันหัน ช้อนสายตาขึ้นมองข้างบนก็เห็นหมัวมัวผู้นั้นคว้าตัวเจี่ยงซานหลางลอยขึ้นกลางอากาศ เหาะเหินออกไปนอกจวน
“แย่แล้ว! ปีศาจตนนั้นกำลังจะหนี” ฉวีชิ่นเหยาร้อนใจอย่างที่สุด เร่งฝีเท้าห้อตะบึงไล่ตาม
ลิ่นเซี่ยววิชาตัวเบายอดเยี่ยมกว่าฉวีชิ่นเหยา เขาไล่ตามออกนอกเรือนก็ทะยานตัวแผ่วเบาก้าวขึ้นมายืนอยู่บนกำแพง มือขวายกกระบี่ขึ้น หรี่ตาเล็งเป้าหมายที่หมัวมัวผู้นั้น เตรียมจะซัดกระบี่ใส่แผ่นหลังของนาง
ทันใดนั้นบังเอิญมีลมพายุกระโชกดังขึ้นกลางอากาศ ของสิ่งหนึ่งลักษณะคล้ายเชือกพุ่งไปรัดลำคอหมัวมัวผู้ดูแลเรือนเอาไว้ว่องไวปานสายฟ้า พอรัดแน่นหนาก็กระชากร่างนั้นให้ร่วงลงมา
“ปีศาจจิ้งจอก! ยังคิดจะหนีไปที่ใดอีก”
บุรุษสองคนท่าทางคล้ายนักพรตก้าวเหยียบพื้นดินอย่างมั่นคง มองดูหมัวมัวผู้ดูแลเรือนที่ร่วงลงมากระแทกพื้นอย่างหนักหน่วง และยังดิ้นรนสุดชีวิตอยู่ที่ปลายเท้าด้วยแววตาดุดัน
“อาจารย์! ศิษย์พี่ใหญ่!” ฉวีชิ่นเหยาทั้งประหลาดใจและดีใจยิ่งนัก นางเร่งสาวเท้าวิ่งเข้าไปทางชิงซวีจื่อ
“อาเหยา!” อาหานก็กวักมือเรียกฉวีชิ่นเหยาอย่างเริงร่า
มือชิงซวีจื่อยังจับเชือกเอาไว้แน่น รอจนกระทั่งฉวีชิ่นเหยาวิ่งมาหยุดตรงหน้าก็ตำหนินางเสียงดังลั่นก่อนว่า “เจ้าเด็กบ้า! แอบขโมยคันฉ่องไร้ขอบเขตของอาจารย์มาแต่กลับไม่รู้วิธีเรียกใช้ หลายปีมานี้เสียแรงที่อาจารย์อบรมสั่งสอนเจ้า!”
ใบหน้าของเขาซูบผอมลงกว่าก่อนเดินทางไปลั่วหยางเล็กน้อย ผิวก็ดำคล้ำลง ทว่าสีหน้ากลับสดชื่นแจ่มใสอย่างยิ่ง
ฉวีชิ่นเหยายิ้มแต้ปล่อยให้ชิงซวีจื่อว่ากล่าวตามใจ ก่อนจะเข้าไปดึงแขนเขาแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์กล่าวได้ถูกต้องที่สุด ศิษย์ละอายใจนัก วันนี้ศิษย์ได้รับการสั่งสอนแล้วเจ้าค่ะ” ยามนี้นางรู้สึกมั่นใจขึ้นมาเต็มเปี่ยม ปลายคิ้วหางตาล้วนสะท้อนความปีติยินดี
ลิ่นเซี่ยวสังเกตความเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของนางทุกรายละเอียด มองประเมินชิงซวีจื่อและอาหานด้วยแววตาครุ่นคิด
หมัวมัวผู้ดูแลเรือนถลึงตาจนปูดโปนด้วยความโกรธจัด เปิดปากด่าทอเกรี้ยวกราด “นักพรตเฒ่าชั่วช้า ช่วยโจ้วก่อกรรมทำเข็ญ* ปีนั้นถ้าหากไม่ใช่เพราะเจ้า ข้าจะถูกกักขังอยู่ใต้เขาอู๋เหวยนานถึงสิบปีได้อย่างไร กว่าข้าจะคลายผนึกออกมาแก้แค้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย วันนี้เจ้ายังจะทำลายแผนการของข้าอีกรึ!”
ชิงซวีจื่อไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบรัดเชือกให้แน่นกว่าเดิม เชือกเส้นนั้นเป็นสีเหลืองอ่อน มองดูแล้วไม่มีอะไรแตกต่างจากเชือกทั่วไป ทว่าเวลานี้กลับเปล่งรัศมีสีสว่างร้อนแรงบาดตารอบลำคอของหมัวมัวผู้นั้น
นางดิ้นรนขัดขืนสุดชีวิต ลูกตาดำหดเล็กลงเรื่อยๆ อย่างประหลาด หดเล็กลงจนกระทั่งมองเห็นเป็นจุดสีดำเล็กเท่าปลายเข็ม ผ่านไปครู่หนึ่งร่างกายก็ชักกระตุก ก่อนจะมีแสงสีแดงลูกกลมๆ ลอยออกมาเหนือร่าง
การเคลื่อนไหวของแสงสีแดงไม่รวดเร็วเท่าก่อนหน้านี้แล้ว อาหานไม่รอให้ชิงซวีจื่อสั่งการก็กอดบางสิ่งคล้ายถุงผ้าใส่แป้งใบหนึ่งกระโจนพรวดไปข้างหน้า ตะครุบแสงสีแดงนั้นเอาไว้อย่างแม่นยำ
ตอนนี้เองชิงซวีจื่อก้มลงคลายเชือกที่รัดลำคอหมัวมัวผู้ดูแลเรือนอย่างระมัดระวัง ฉวีชิ่นเหยาชะโงกหน้าไปมองก็พบว่าไม่มีรอยรัดของเชือกหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
ชิงซวีจื่อส่งเชือกให้อาหาน สั่งเขาผูกปากถุงแป้งเอาไว้อย่างแน่นหนา จากนั้นก็กรีดผ่าถุงผ้าด้วยตนเอง ศีรษะที่มีขนปุกปุยของเจ้าจิ้งจอกโผล่ออกมาจากข้างในทันที
จิ้งจอกตัวนั้นมีขนสีแดงเพลิงร้อนแรงปกคลุมทั่วทั้งตัว เรียกได้ว่าเป็นสีสันที่งดงามและหาได้ยากยิ่ง
มันมองหน้าชิงซวีจื่อด้วยสายตาหม่นหมองอึมครึม พอเปิดปากริมฝีปากที่มีขนปกคลุมก็เอ่ยออกมาเป็นภาษามนุษย์ว่า “นักพรตชั่ว! เจ้าไม่แยกแยะถูกผิดเช่นนี้ ต้องมีสักวันที่เจ้าจะต้องชดใช้ในสิ่งที่เคยทำไว้” ขณะที่กล่าวประโยคนี้น้ำเสียงของมันเต็มไปด้วยความเคียดแค้น ดวงตาเปล่งประกายด้วยรัศมีแห่งความโกรธเกลียดชิงชัง
ชิงซวีจื่อหัวเราะเย้ยหยัน “กำจัดปีศาจปราบมารเป็นหน้าที่ของข้า เจ้าทำร้ายคน ข้าจัดการเจ้า ฝีมือเจ้าสู้ผู้อื่นไม่ได้เอง ก็ต้องยอมจำนนและรับโทษแต่โดยดี ยังมีอะไรต้องพล่ามให้มากความอีกเล่า อีกอย่างหลักฟ้ายุติธรรม ทำกรรมใดล้วนคืนสนอง เมื่อเจ้าเข้าสู่เส้นทางมาร ชะตาชีวิตเช่นนี้ก็ถูกกำหนดเอาไว้นานแล้ว”
“กรรมใดล้วนคืนสนอง?!” เสียงของปีศาจจิ้งจอกหวีดแหลมสูงอย่างฉับพลัน “ถ้าหากมีกรรมคืนสนองจริง ปีนั้นเจี่ยงเหิงจ้งสังหารลูกหลานของข้าเพื่อประจบเอาใจฮ่องเต้ เหตุใดไม่ถูกกรรมคืนสนอง ฮ่องเต้นำลูกหลานของข้าไปถลกหนังออก ทำเสื้อคลุมร่าง เหตุใดไม่ถูกกรรมคืนสนอง เจ้ารับเงินของจวนกั๋วกง สะกดข้าเอาไว้ใต้เขาอู๋เหวยโดยไม่แยกแยะถูกผิดดีชั่ว เหตุใดไม่ถูกกรรมคืนสนองด้วยเล่า”
มันกัดฟันดังกรอดๆ ดวงตาแทบจะมีเลือดไหลซึมออกมา
ชิงซวีจื่อหอกดาบไม่ระคาย ผิวหนังหนายิ่งนัก ได้ยินดังนี้ก็ตอบโต้อย่างเย็นชา “ยามออกล่าสัตว์ท่านกั๋วกงนำสัตว์ที่ล่ามาได้ถวายฝ่าบาท นั่นเป็นหน้าที่ของเขาในฐานะขุนนาง พระวรกายของฝ่าบาทสูงส่งล้ำค่า ใช้ขนสัตว์ชั้นเลิศมาคลุมกันหนาวก็สมควรอยู่แล้ว ส่วนข้าในฐานะที่เป็นนักพรต ช่วยขจัดเภทภัยแทนผู้คน มีความผิดตรงที่ใดกันหรือ”
“ไร้เหตุผลสิ้นดี! เจ้านี่มันไร้เหตุผลสิ้นดี!” ปีศาจจิ้งจอกโกรธจัดจนกายสั่นเทิ้ม เส้นขนสีแดงเพลิงบนศีรษะชี้ชันขึ้นมา
“สิบปีก่อนเจ้าใช้วิชามารทำร้ายหลูกั๋วกงจนล้มขาหัก ทำให้นับจากนั้นเขาไม่อาจเข้าสู่สนามรบได้อีก หลังจากข้าปราบเจ้าได้แล้ว เดิมทีเจ้าสมควรอยู่ใต้เขาอู๋เหวยบำเพ็ญตบะ ทบทวนการกระทำของตัวเอง ใครจะคิดว่าเจ้าจะออกมาทำร้ายคนอีก เริ่มจากเจี่ยงซานหลาง ต่อไปไม่นานก็คงถึงคราวคุณชายท่านอื่นในจวนหลูกั๋วกงกระมัง หรือเจ้าก็คิดจะให้ท่านกั๋วกงลิ้มรสความทรมานจากการสูญเสียลูกเช่นกัน”
ปีศาจจิ้งจอกหัวเราะอย่างเยือกเย็น “ใช่แล้ว! ข้าอยากให้เขาเผชิญโศกนาฏกรรมเช่นข้าในปีนั้น มองดูบุตรชายของตัวเองตายไปต่อหน้าต่อตาทีละคน คนผมขาวส่งศพคนผมดำ โศกเศร้าอ้างว้างดั่งทิวทัศน์ยามค่ำคืน เจ็บปวดร้าวรานแทบขาดใจ!”
ฉวีชิ่นเหยาเข้าใจกระจ่างแจ้งโดยพลัน มิน่าเล่าหลังจากเจี่ยงซานหลางโดนกู่แล้วถึงได้ซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ว่าตามหลักหมอผีหญิงไม่มีทางให้กู่ทำร้ายบุรุษในดวงใจ ดูอย่างคุณชายหลินที่โดนเป่าเซิงแห่งหอหมู่ตันใช้กู่ด้วยสิ ไม่ใช่ว่าร่างกายยังแข็งแรงดีอยู่หรือ ที่แท้ก็เป็นฝีมือของนางปีศาจจิ้งจอกนี่เอง
“ถ้าหากเจ้าไม่มาทำลายแผนการของข้า ขออีกเพียงสามวัน เจี่ยงซานหลางก็จะชะตาถึงฆาตแล้ว” ปีศาจจิ้งจอกเอ่ยด้วยความรู้สึกเสียดายอย่างสุดซึ้งเลยทีเดียว
“ในเมื่อแผนการของเจ้าดำเนินมาถึงขั้นแรกเท่านั้น แล้วเหตุใดวันนี้ถึงได้เล่นงานหลูกั๋วกงอีกจนสุดท้ายแหวกหญ้าให้งูตื่นเล่า”
ปีศาจจิ้งจอกเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืน แววตาทอประกายลึกซึ้งยาวไกล “วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของลูกหลานข้า วันนี้เมื่อสิบปีก่อนเจี่ยงเหิงจ้งไล่ล่าลูกหลานของข้า วันนี้ดวงวิญญาณของพวกเขาไปอยู่ที่ใดก็สุดจะรู้ ส่วนเจี่ยงเหิงจ้งกลับมีลูกหลานเต็มบ้าน อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างสุขสำราญใจ นี่มันหลักเหตุผลอะไรกัน”
นางเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังลั่น ในเสียงหัวเราะเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมขมขื่น “เขาไม่ใช่ยอดวีรบุรุษผู้โด่งดังในราชสำนักหรอกหรือ ข้าจะให้เขาต้องกลายเป็นตัวตลกต่อหน้าผู้คนให้ได้ ทำให้ลูกหลานของเขาต้องอับอายขายขี้หน้า! ข้าต้องการให้ทุกครั้งที่ผู้คนในเมืองฉางอันเอ่ยถึงเขา ก็จะรู้สึกว่าเขาน่าตลกขบขันเป็นที่สุด!”
ฉวีชิ่นเหยาลอบส่ายหน้าเบาๆ ท่านกั๋วกงแต่งกายเป็นสตรีสร้างความโกลาหลในจวน เรื่องนี้เล็ดลอดออกไปอย่างไรก็ทำให้ชื่อเสียงที่เลื่องลือต้องตกต่ำลงไปบ้าง แต่เขายกทัพจับศึกมานานหลายปี เคยเผชิญกับความทุกข์ทรมานและอุปสรรคหนักหนากว่าคนทั่วไป มีหรือจะเก็บเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้มาใส่ใจ ต่อให้มานึกขึ้นได้ภายหลัง คงแค่หัวเราะแล้วก็จบกันไปมากกว่ากระมัง
น่าขำที่ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นบำเพ็ญตบะมานานหลายปีอย่างเสียเปล่า คิดว่าจะเข้าใจจิตใจมนุษย์อย่างลึกซึ้งถ่องแท้ เมื่อเปรียบเทียบกับมนุษย์แล้ว สุดท้ายก็ยังขาดไหวพริบปฏิภาณไปหลายส่วน
“ข้าขอถามเจ้า เจ้าได้กู่เคียงคู่นิรันดร์มาจากใคร แล้วล่อลวงให้สตรีสามนางนั้นรับพิษกู่เข้าสู่ร่างกายได้อย่างไร” ชิงซวีจื่อถามปีศาจจิ้งจอกต่อ
“เหอะ” นางจิ้งจอกหัวเราะเย้ยหยัน “เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อนตอนหมอผีหญิงชาวเหมียวเจียงนั่นสร้างกู่เคียงคู่นิรันดร์ขึ้นมา ถ้าหากไม่ได้คำชี้แนะจากข้า จะสร้างกู่ที่ร้ายกาจอันดับหนึ่งในใต้หล้าได้อย่างไรกัน ตอนนี้ก็แค่สร้างกู่พิษเพิ่มขึ้นมา สำหรับข้าแล้วยากเย็นตรงที่ใด บุตรชายทั้งสามคนของเจี่ยงเหิงจ้งมีแค่บุตรชายคนเล็กที่ชื่นชอบสาวงาม อยากจะเข้าจวนกั๋วกงอย่างราบรื่นต้องใช้ประโยชน์จากสาวงามเพื่อเข้าใกล้เขา เป็นหนทางที่รวดเร็วที่สุดแล้ว”
“แล้วเหตุใดเจ้าถึงเลือกอาเมี่ยว”
นางจิ้งจอกหัวเราะอย่างเย็นชา “ตอนที่ข้าปลอมตัวเป็นนักพรตพเนจรอยู่ใกล้กับวัดต้าอิ่น นางเคยมาให้ข้าทำนายดวงชะตา ข้าทำนายให้ว่าดวงชะตาของนางมีพลังอินสูง ซึ่งยากจะพบพานในรอบร้อยปี เลือกนางเป็นร่างอาศัยเหมาะสมที่สุดแล้ว อีกอย่างนางมีจิตใจทะเยอทะยาน ไม่ยอมตกอยู่ใต้อำนาจผู้อื่นนานนักหรอก พอได้ยินข้าพูดถึงกู่เคียงคู่นิรันดร์ก็รีบบอกว่ายินยอมให้ข้าใช้ร่างรับกู่ ส่วนสตรีอีกสองนางนั่น พวกนางก็ไม่ต่างอะไรกับอาเมี่ยว ล้วนเป็นสตรีวัยแรกแย้มงดงาม แต่กลับถูกความปรารถนาบดบังดวงตาจนมืดบอด จะว่าไปแล้วข้าไม่ได้เป็นฝ่ายเลือกพวกนางเลยสักนิด แต่เป็นพวกนางเลือกข้าเองต่างหาก!”
ตอนที่นางกล่าว สีหน้าไม่มีความละอายใจเลยสักเศษเสี้ยว ราวกับว่าพวกนางต้องจบชีวิตลงเพราะว่ารนหาที่ตายเอง ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับนาง
“ไร้จิตสำนึกสิ้นดี! เจ้าทำร้ายคนถึงแก่ชีวิตมากมายเพื่อสนองความปรารถนาของตัวเอง แล้วยังกล้ากล่าวอ้างว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม!” ชิงซวีจื่อตะคอกใส่อย่างดุดัน “ข้าขอถามเจ้า ในเมื่อเจ้าสามารถสร้างกู่ได้ คิดว่าจะต้องมีวิธีแก้กู่แน่ ตอนนี้จะให้โอกาสเจ้าทำคุณไถ่โทษสักครั้ง…” เขาชี้ไปยังเจี่ยงซานหลางที่มีท่าทางอ่อนล้าโรยแรง “ตอนนี้เจ้าแก้พิษกู่ในร่างเจี่ยงซานหลางเสีย ข้าอาจจะทบทวนงดเว้นให้เจ้าไม่ต้องรับความทรมานโดนเผาร่างกลืนวิญญาณ ไม่อย่างนั้น…”
เขากล่าวพลางส่งสายตาให้ฉวีชิ่นเหยา
ฉวีชิ่นเหยาเข้าใจความหมายนั้นทันที นางเพียงแค่สะบัดมือก็ปลดปล่อยมังกรไฟสามตัวออกมา มังกรไฟทั้งสามรวมเป็นหนึ่ง เหาะวนเวียนเหนือศีรษะของปีศาจจิ้งจอกก่อนจะขยับร่างกายลงมาต่ำมาก มีอยู่หลายคราที่หวุดหวิดจะโดนขนของปีศาจจิ้งจอกอยู่แล้ว
ปีศาจจิ้งจอกกัดฟันแน่น ท่าทางยอมตายแต่ไม่ยอมจำนน
“เจ้าควรรู้เอาไว้ เมื่อใดที่โดนไฟกลืนวิญญาณแผดเผา เจ้าจะไม่มีโอกาสกลับมาเกิดใหม่อีกแล้ว และนับจากนี้จะไม่มีโอกาสบำเพ็ญเพียรสู่ทางเต๋า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงว่าจะได้เวียนว่ายตายเกิดมาพบหน้าญาติพี่น้องหรือลูกหลานอีก” ชิงซวีจื่อค่อยๆ โน้มน้าวให้อีกฝ่ายคล้อยตาม
ปีศาจจิ้งจอกแค่นเสียงขึ้นจมูกแรงๆ วางท่านิ่งเฉยไม่แยแสต่อไป
“ดูท่าพูดอะไรก็คงไม่เข้าหูเจ้า ศิษย์ข้า เผานางเสียเถิด อาจารย์หาวิธีแก้กู่เองได้อยู่แล้ว” ชิงซวีจื่อแสดงท่าทางไม่แยแสอีกฝ่ายแล้วโบกมือให้ฉวีชิ่นเหยา
“เจ้าค่ะอาจารย์” ฉวีชิ่นเหยาพยักหน้ารับอย่างจริงจัง
มังกรไฟพลันขยับเข้าไปใกล้ปีศาจจิ้งจอกมากขึ้นในพริบตา
เมื่อมังกรไฟเข้ามาใกล้เช่นนี้ ปีศาจจิ้งจอกก็ต้องตกใจที่พบว่าในเปลวไฟอันร้อนแรงนั้นกักขังดวงวิญญาณที่มีความผิดเกินจะอภัยเอาไว้มากมาย พวกมันดิ้นรนอย่างทุกข์ทรมาน แต่กลับไร้เรี่ยวแรงจะหลุดพ้นโดยสิ้นเชิง ต้องผูกติดอยู่ในร่างมังกรไฟไปชั่วนิรันดร์ ทุกวันคืนต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากเปลวไฟแผดเผาร่าง ปีศาจจิ้งจอกตื่นตระหนกกับภาพที่ปรากฏตรงหน้า ดวงวิญญาณสั่นสะท้านขึ้นมาทันใด ในที่สุดก็ร้องตะโกนด้วยความหวาดผวา
“กู่ข้าเป็นคนสร้าง แค่เอาเลือดปลายนิ้วของข้าไปทาตรงเปลือกตาของคนที่โดนกู่ เท่านี้พิษก็จะสลายไปเอง!” พอนางกล่าวจบก็หายใจหอบกระชั้นไม่หยุด
ฉวีชิ่นเหยารวบมือกลับมา มังกรไฟหมุนร่างกลับวูบหนึ่งก็หายลับไปอยู่ในกระดิ่งตรงหน้าอกของนาง
ชิงซวีจื่อสั่งให้อาหานกรีดเลือดที่ปลายนิ้วของปีศาจจิ้งจอกมา นำไปทาที่เปลือกตาของเจี่ยงซานหลางโดยมีฮูหยินหลูกั๋วกงกับพวกเจี่ยงต้าหลางคอยช่วยเหลือ
เจี่ยงซานหลางที่ยังตกตะลึงพรึงเพริดปล่อยให้พวกเขาทำตามใจ จนกระทั่งทาเปลือกตาเสร็จเรียบร้อย ทันใดนั้นเขาก็สะบัดแขนของมารดา ค้อมกายลงอาเจียนอย่างรุนแรง ผ่านไปไม่นานก็อาเจียนเอาเลือดสีดำข้นคลั่กออกมากองหนึ่ง
ทุกคนพร้อมใจกันจ้องเขม็งก็เห็นกลางกองเลือดสีดำมีแมลงกู่สีทองตัวหนึ่ง เจ้าแมลงนอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน คิดว่าคงจะตายไปแล้ว ทุกคนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ชิงซวีจื่อถอนสายตากลับมาและหันกลับไปหาปีศาจจิ้งจอก ขณะกำลังจะเอ่ยปากก็เห็นว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างสีแดงวูบผ่าน ไม่รู้ว่าปีศาจจิ้งจอกหลุดจากพันธนาการเมื่อใด มันลอยออกจากถุงผ้าขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที
“แก้กู่ได้แล้วอย่างไร ตอนนี้ข้าจะเอาชีวิตมัน!”
ปีศาจจิ้งจอกยื่นกรงเล็บแหลมคมออกมาพลางร่อนถลาลงจากท้องฟ้าเบื้องบนราวกับพญาอินทรี มีเป้าหมายพุ่งตรงไปยังเจี่ยงซานหลางที่ยังตื่นตระหนกไม่หาย
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มจะควบคุมไม่อยู่ ชิงซวีจื่อรีบเหวี่ยงเชือกสุดแรงไปทางท้ายทอยของปีศาจจิ้งจอก ฉวีชิ่นเหยาก็รีบปลดปล่อยมังกรไฟออกมา แต่ว่าปีศาจจิ้งจอกเคลื่อนไหวรวดเร็วฉับพลัน ในเวลาเพียงชั่วพริบตาก็มาถึงตรงหน้าเจี่ยงซานหลางแล้ว
มันกางกรงเล็บออก ฝ่ามือกว้างใหญ่ดุจพัด เล็บนิ้วมือแต่ละนิ้วแหลมคม เปล่งประกายเย็นเยียบข่มขวัญ ตะปบเข้าที่แผ่นอกของเจี่ยงซานหลางรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ
ตอนนี้เจี่ยงซานหลางได้สติตื่นขึ้นมาโดยสมบูรณ์แล้ว ทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าก็รีบปรับลมปราณถอยหนีไปข้างหลัง แต่ว่าช่วงที่ผ่านมากำลังภายในของเขาเสียหายไปมากกว่าครึ่ง จึงไม่อาจรวบรวมกำลังภายในได้เลยสักนิดเดียว
“ซานหลาง!” ฮูหยินหลูกั๋วกงตื่นตระหนกสุดขีด นางกระโดดพรวดไปข้างหน้า อยากจะใช้ร่างกายของตนเองรับกรงเล็บนั้นแทนบุตรชาย
ทว่ากลับมีคนรวดเร็วยิ่งกว่านาง
มองไปก็เห็นเงาร่างบอบบางวูบผ่านเข้ามาจากด้านข้าง กระโจนเข้าใส่เจี่ยงซานหลางอย่างแรง ถัดจากนั้นชั่วอึดใจ เสียงฉีกกระชากของเสื้อผ้าและเนื้อหนังก็ดังขึ้นพร้อมด้วยเลือดสีแดงสดสาดกระเซ็นไปทั่ว อาบย้อมค่ำคืนนี้ด้วยกลิ่นคาวอันเข้มข้น
ในที่สุดเชือกของชิงซวีจื่อก็รุกไล่ตามมาทัน ลอยเข้ามัดร่างปีศาจจิ้งจอกเอาไว้อย่างแน่นหนา ก่อนจะเหวี่ยงร่างนั้นลงพื้นราวกับลูกตุ้มหนักอึ้ง
“อาเมี่ยว!” เจี่ยงซานหลางรู้สึกตกใจระคนเจ็บปวด รีบประคองร่างสตรีที่ฟุบคาอกของตนวางลงบนพื้น ทุกส่วนที่มือสัมผัสถึงเต็มไปด้วยของเหลวข้นคลั่กอุ่นร้อน เลือดสีแดงฉานยังไหลทะลักไม่ขาดสายทำให้ใต้ร่างของสตรีนางนี้ราวกับมีบุปผางดงามสะเทือนขวัญค่อยๆ ผลิบาน
แค่มองดูก็รู้ว่าคงไม่รอดแล้ว…
ฮูหยินหลูกั๋วกงมองอาเมี่ยวอยู่ด้านหลังเจี่ยงซานหลางด้วยแววตาซับซ้อน สักพักใหญ่ก็ถอนหายใจเบาๆ พลางสั่งกำชับพ่อบ้านที่ยืนอยู่ข้างกาย “ทำพิธีอย่างสมเกียรติเถอะ” จากนั้นจึงให้สาวใช้ประคองเดินกลับเข้าไปข้างในด้วยความเหนื่อยล้า
คนที่เหลือต่างค่อยๆ ทยอยแยกย้ายออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง
อาเมี่ยวไม่รับรู้บรรยากาศรอบข้างเลยสักนิด นางเพียงแค่คว้าแขนเสื้อของเจี่ยงซานหลางเอาไว้สุดแรง เอ่ยเรียกด้วยเสียงอ่อนระโหย “ซานหลาง…”
แววตาของเจี่ยงซานหลางปรากฏความเสียใจอย่างลึกล้ำ ไม่มีความร้อนแรงอย่างเมื่อก่อนแล้ว
อาเมี่ยวเริ่มเข้าใจกระจ่างชัด “ท่านตื่นแล้วหรือ” นางยิ้มบางๆ อย่างละอายใจ “คงรังเกียจข้ามากใช่หรือไม่…”
เจี่ยงซานหลางกลืนน้ำลายอยู่อย่างนั้น อารมณ์ความรู้สึกซับซ้อนทำให้เขารู้สึกเหมือนมีก้างปลาติดคอ แทนที่จะบอกว่า ‘รังเกียจ’ ไม่สู้บอกว่า ‘อัปยศอดสูเหลือจะกล่าว’ ความหยิ่งทะนงและศักดิ์ศรีตลอดสิบเจ็ดปีที่ผ่านมาถูกสตรีตรงหน้าทำลายจนป่นปี้ เหมือนเขามองเห็นนางมีความสุขสมใจเพียงใดท่ามกลางความอาลัยอาวรณ์ของเขา ลอบยิ้มเยาะว่าที่แท้คนผู้หนึ่งก็กลายเป็นเหยื่อในกำมืออย่างง่ายดายเช่นนี้
ในอกเขาเจ็บปวดร้าวราน แค่เอ่ยปากก็จะกระชากบาดแผลที่ไม่อาจเยียวยาให้เปิดกว้าง
ประกายในแววตาของอาเมี่ยวค่อยๆ หม่นแสงลง นางนิ่งมองเจี่ยงซานหลางอยู่พักใหญ่ ฝืนเค้นรอยยิ้มออกมา น้ำเสียงแผ่วเบาเอื้อนเอ่ยว่า “ความจริงที่ข้าช่วยท่านเมื่อครู่ ก็ยังทำไปเพื่อตัวข้าเองอยู่ดี…ท่านคิดดูสิ เรื่องที่ข้าใช้กู่ถูกเปิดเผยแล้ว…ดูจากนิสัยของฮูหยินท่านกั๋วกง ไม่มีทางปล่อยข้ากับครอบครัวไปแน่…แทนที่จะปล่อยให้นางมาลงโทษ ไม่สู้ให้ข้าสละชีวิตช่วยท่าน…ฮูหยินท่านกั๋วกงแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน คงเห็นแก่ความดีที่ข้าทำทดแทน คิดว่า…คิดว่าคงไม่ทำให้น้องชายข้าต้องลำบากแล้ว…”
อาเมี่ยวเรี่ยวแรงถดถอยไปทีละน้อย เสียงจึงยิ่งแผ่วเบาเลื่อนลอย “ท่านดูสิ ข้าก็เป็นคนใจแคบเห็นแก่ตัวเช่นนี้ ไม่ว่าเมื่อไรก็คิดทำเพื่อตัวเองและครอบครัวเท่านั้น…”
น้ำเสียงของนางไม่แตกต่างจากเมื่อก่อน ราวกับว่าเขาเลิกประชุมเช้าแล้วกลับมาที่เรือนจู่ชิ่น นางเดินออกมาต้อนรับตรงทางเดินด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน แสงแดดลอดผ่านกิ่งก้านต้นไผ่สีเขียวสดสาดส่องกระทบใบหน้าของนาง
‘กลับมาแล้วหรือ’ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนท่ามกลางกลิ่นหอมรวยรินของต้นไผ่ ช่วยชะล้างอารมณ์หงุดหงิดที่สะสมมาหายไปอย่างง่ายดาย
หวังเหลือเกินว่าชั่วขณะนี้จะเป็นแค่ความฝัน ถ้าเป็นเช่นนั้นเขาก็คงไม่ต้องลำบากใจถึงเพียงนี้ ไม่ให้อภัยเขาก็ทนไม่ได้ อภัยให้เขาก็ไม่ยินยอม เรื่องราวตลอดเวลาที่ผ่านมาตราตรึงอยู่ในใจทุกหยาดหยด เขาหลงใหลเคลิบเคลิ้มอยู่กับการหลอกลวงครั้งใหญ่
ความโกรธเคืองถาโถมเหนือความเศร้าเสียใจ เจี่ยงซานหลางยืดกายเหยียดตรงโดยพลัน เกิดระยะห่างขึ้นระหว่างคนทั้งสอง มือของอาเมี่ยวที่วางแนบใบหน้าของเขาร่วงหล่น วางนิ่งอยู่ข้างลำตัวอย่างไร้เรี่ยวแรง
รอยยิ้มบนใบหน้าของนางแข็งค้าง เขาเกลียดนาง เขาเกลียดนางอย่างชัดเจน ความคาดหวังที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดในใจไร้ที่หลบซ่อน ความรักใคร่ผูกพันในวันวานสุดท้ายกลายเป็นภาพลวงตา
เมื่อข้อมือกระทบกับพื้นดินก็มีเสียงดังกริ๊ง
นางจำได้ว่านี่เป็นกำไลที่เขาซื้อจากหอไจเยวี่ยกลับมาฝากนางในเทศกาลหญิงสาว ครอบครัวนางมีฐานะยากจนข้นแค้นมาตั้งแต่นางยังเล็ก ไม่รู้หรอกว่าจะแยกแยะสิ่งของมีราคาเช่นไร แต่ประกายแวววาวอบอุ่นของกำไลก็ทำให้นางมองออกว่าของสิ่งนี้มีค่าควรเมือง
‘ชอบหรือไม่’ จำได้ว่าตอนนั้นรอยยิ้มของเขาสว่างเจิดจ้า นำกำไลสวมข้อมือให้นางด้วยตนเอง นางยิ้มแล้วพยักหน้าตอบ สายตาจดจ้องราวกับเถาวัลย์เลื้อยพัวพันเขาเอาไว้ สุดท้ายไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายทำให้ลมหายใจใครปั่นป่วนก่อนกัน กลิ่นอายหอมหวานอบอวลไปทั่วห้อง นางจมอยู่ในอ้อมกอดของเขา
แล้วต่อมาเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นางจำได้อย่างเลือนรางว่าหลายครั้งหลายคราโดนปีศาจร้ายควบคุม ไม่อาจรักษาสติรับรู้เอาไว้ได้ตลอดเวลา ประเดี๋ยวเย็นชาประเดี๋ยวเกรี้ยวกราดใส่เขา แต่ว่าเขาก็ยังดีต่อนางอย่างเต็มที่ในแบบของเขา ไม่เคยทอดทิ้งกันไปที่ใด เป็นเช่นนั้นเสมอมา
บริเวณหางตามีบางสิ่งร้อนชื้นไหลผ่านไป ใบหน้าของเขาพร่าเลือนมากขึ้นทุกที นางรวบรวมแรงเฮือกสุดท้ายถามเขาด้วยเสียงอ่อนแรง
“ซานหลาง…ถ้าหากไม่มีกู่เคียงคู่นิรันดร์ ท่านจะตกหลุมรักข้าเหมือนตอนนั้นหรือไม่”
ขอบตาของเขาแดงก่ำ แต่ยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำ การพบกันโดยบังเอิญนอกวัดต้าอิ่นเป็นจุดเริ่มต้นเคราะห์กรรมด่านนี้ในชีวิตของเขา เวลานั้นหลงใหลคลั่งไคล้เสียเต็มประดา เวลานี้เหลือเพียงความผิดหวัง ถ้าหากมีโอกาสย้อนกลับไปใหม่อีกครั้ง เขาจะยังมีความกล้าเอ่ยทักทายเด็กสาวที่สวมเสื้อผ้าเรียบง่าย มีดวงตาเป็นประกายสดใสผู้นั้นหรือไม่
‘ข้าแซ่เจี่ยง เป็นบุตรคนที่สาม ทุกคนเรียกขานว่าซานหลาง แล้วเจ้าชื่อว่าอะไร’
‘อาเมี่ยว ข้าชื่ออาเมี่ยว’ เด็กสาวยกมือปิดปากเบาๆ หัวเราะได้น่ารื่นรมย์ยิ่งกว่าสายลมในฤดูใบไม้ผลิ โชยพัดเข้าสู่หัวใจของเขาอย่างนุ่มนวล
ร่างในอ้อมกอดค่อยๆ เย็นยะเยือกขึ้นทุกขณะ ความโศกเศร้าที่กดข่มมาเนิ่นนานระเบิดออกมา แผ่ขยายลุกลามทั่วแผ่นอก บนใบหน้ายังไม่มีรอยน้ำตา แต่หัวใจของเขาเหมือนถูกฉีกกระชากเป็นแผลฉกรรจ์ เลือดสีแดงสดของนางไหลทะลักออกมาไม่ขาดสาย
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาก้มหน้าลงแนบใบหูนาง กระซิบตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “แน่นอน”
ระหว่างที่สติเลื่อนลอยเขาคล้ายได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างนุ่มนวล ก่อนที่แขนสองข้างของสตรีในอ้อมกอดที่ยกค้างจะหล่นลงมาทีละข้าง
หลังออกจากจวนหลูกั๋วกงมา ไม่ทันได้เอ่ยคำอำลากับพวกลิ่นเซี่ยว ฉวีชิ่นเหยาก็ต้องติดตามอาจารย์และอาหานคุมตัวปีศาจจิ้งจอกเร่งเดินทางข้ามคืนออกนอกเมืองฉางอัน
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดสภาพภูมิประเทศของเขาอู๋เหวยกลับเกิดการเปลี่ยนแปลง ทำให้ผนึกที่สะกดปีศาจจิ้งจอกไว้นานกว่าสิบปีสิ้นฤทธิ์ มันจึงหลบหนีออกไปได้ตั้งแต่เมื่อหลายเดือนก่อน
เห็นได้ชัดว่าคงจะสะกดปีศาจจิ้งจอกเอาไว้ใต้เขาอู๋เหวยอย่างเดิมไม่ได้แล้ว ชิงซวีจื่อกางแผนที่เมืองฉางอันดู คิดใคร่ครวญอยู่นานแล้วก็ตัดสินใจเลือกภูเขาเล็กๆ ไร้นามที่มีผู้คนผ่านบางตาแถบชานเมือง
ก่อนจะเริ่มทำพิธี นางจิ้งจอกที่ตระหนักดีว่าไม่อาจหนีไปไหนพ้น จู่ๆ ก็หัวเราะด้วยความทุกข์ระทมพลางมองหน้าชิงซวีจื่อแล้วเอ่ยขึ้น
“ชิงซวีจื่อ หลายปีมานี้เจ้าถูกความฟุ้งเฟ้อของโลกมนุษย์บดบังดวงตาทั้งสอง ประสาทสัมผัสทั้งห้าไม่เฉียบคมเหมือนก่อนแล้ว ดังนั้นเจ้าถึงได้มองภาพปรากฏการณ์ประหลาดบนท้องฟ้าไม่ออก เจ้ารอดูไปเถอะ อีกไม่นานหรอก เมืองฉางอันจะมีปีศาจมารร้ายสร้างความหายนะ ถึงตอนนั้นใต้หล้านี้จะต้องพินาศ ทุกสิ่งจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง พวกเจ้าทุกคนอย่าคิดว่าจะหนีรอดไปได้เลย”
ฉวีชิ่นเหยากับอาหานหันมามองสบตากัน
การเคลื่อนไหวเพื่อวางค่ายกลของชิงซวีจื่อพลันเชื่องช้าลง เขาโบกสะบัดแส้ขนจามรีพลางเงยหน้ามองท้องฟ้า ตอนนี้เพิ่งเข้าสู่ยามอิ๋น เป็นช่วงเวลาที่ดวงอาทิตย์สลับตำแหน่งกับดวงจันทร์พอดี ดวงดาวลาลับเลือนหาย แสงแห่งยามรุ่งอรุณเริ่มสาดส่อง ท้องฟ้ายังเป็นสีคล้ายน้ำหมึกเจือจาง มองไม่เห็นปรากฏการณ์ผิดแปลกอื่นใด
ชิงซวีจื่อยืนลูบเคราครุ่นคิดอยู่เงียบๆ สักพัก ก็โบกมือสั่งให้อาหานกับฉวีชิ่นเหยาวางค่ายกลต่อไป
หลังจากพิธีเสร็จสิ้น ฉวีชิ่นเหยาเป็นห่วงคนในครอบครัว ก็ขอตัวลาพักกับชิงซวีจื่อแล้วมุ่งหน้ากลับจวนสกุลฉวี
หลังจากเผชิญเหตุการณ์ชวนอกสั่นขวัญแขวนมาสองคืนติดกัน ฉวีชิ่นเหยาก็รู้สึกเหนื่อยล้าแทบทนไม่ไหว พอย่างเท้าเข้าเรือนคารวะบิดามารดาและพี่ชายแล้วก็กลับห้องนอนหลับเป็นตาย
ด้านลิ่นเซี่ยวกลับไม่มีโอกาสตามใจตนเองเช่นนั้น ตอนนี้เขาเป็นขุนนางผู้ใกล้ชิดโอรสสวรรค์ เป็นผู้บัญชาการหน่วยอวี่หลิน ปกติแล้วเวลาพักผ่อนจะกำหนดไว้ชัดเจน ก็คือกลับจวนไปพักผ่อน แต่ว่าก็มีเวลาแค่ครึ่งวันเท่านั้น
เมื่อเขากลับเข้าวังหลวง ฮ่องเต้ทรงเรียกอู๋สิงจือกับโม่เฉิงมาปรึกษาหารือที่ห้องทรงพระอักษร
“ฝ่าบาท เรื่องการเปิดสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นอีกครั้ง เกรงว่าจะต้องปรึกษาหารือกันอีกยาวนักพ่ะย่ะค่ะ” เป็นเสียงของอู๋สิงจือ ปัจจุบันเขารับตำแหน่งราชมนตรีสำนักราชเลขา ปกติได้รับความไว้วางพระทัยจากเสด็จลุงอย่างยิ่ง เมื่อใดก็ตามที่ต้องตัดสินพระทัยเรื่องสำคัญ เสด็จลุงมักจะเรียกเข้าเฝ้าเพื่อหารือก่อน
“ประการแรก สำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นปิดเงียบมานานกว่ายี่สิบปี อาคารเรือนคงทรุดโทรมผุพังไปมากแล้ว จะบูรณะซ่อมแซมต้องใช้เวลาสักระยะ รวมถึงสิ้นเปลืองกำลังทรัพย์ไม่น้อย
ประการที่สอง ปีนั้นเมื่ออดีตไท่มู่ฮองเฮาทรงเปิดสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่น พระประสงค์แต่ดั้งเดิมก็เพื่อเลือกเฟ้นสตรีที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมสำหรับลูกหลานเชื้อพระวงศ์ ด้วยเหตุนี้ลูกศิษย์ที่รับเข้าเรียนถึงได้เป็นบุตรสาวของขุนนางขั้นสามขึ้นไป ถ้าหากจะเปิดสำนักศึกษาอีกครั้ง จะต้องมีหนังสือแจ้งไปยังครอบครัวขุนนางแต่ละระดับ ซึ่งจะต้องเสียเวลาพักใหญ่
ประการที่สาม ถึงเวลานั้นในสำนักศึกษามีแต่ลูกศิษย์สตรี แล้วจะกำหนดกฎเกณฑ์ในสำนักเช่นไร อาจารย์ที่สั่งสอนอบรมลูกศิษย์จะคัดเลือกจากที่ใด ฝ่าบาททรงมีความคิดเห็นใดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
ลิ่นเซี่ยวเผยรอยยิ้มบางๆ อู๋สิงจือยังคงตรงไปตรงมาเช่นนี้ และกล้ากราบทูลเสนอความคิดเห็น
พระสุรเสียงของฮ่องเต้ฉายความอ่อนล้าอยู่บ้าง “สิ่งที่พวกเจ้าว่ามาเรามีหรือจะไม่เข้าใจ แต่ว่าหลายวันมานี้เราเอาแต่ฝันเห็นฮุ่ยเฟย ในความฝันนั้นเป็นภาพตอนที่เราพบหน้านางครั้งแรกในสำนักอวิ๋นอิ่น ตอนนั้นนางยังไม่ถึงวัยปักปิ่น กำลังอยู่ในวัยแรกแย้มงดงาม ส่วนเราก็ยังไม่ทันถึงวัยสวมหมวกเหตุการณ์ในความฝันปรากฏชัดเจนตรงหน้าทีละเรื่องจนแยกไม่ออกว่าสิ่งใดเป็นความจริงสิ่งใดเป็นภาพลวงตา ฮุ่ยเฟยจากไปนานหลายปีถึงเพียงนี้ เรายังไม่เคยฝันเห็นนางสักครั้ง ไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าจะได้พบนาง แต่กลับเป็นสถานที่เช่นสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่น เราก็เลยคิดว่าบางทีอาจมีสาเหตุบางอย่างก็เป็นได้…”
พระองค์ทอดพระเนตรมองแท่นวางพู่กันจากไม้หวงหยางจนเหม่อลอยอยู่เนิ่นนาน ก็ถอนพระทัยยาวพร้อมตรัสว่า “เรื่องนี้เราตัดสินใจแล้ว สำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นจะต้องเปิดอีกครั้ง พวกเจ้าอย่าได้เกลี้ยกล่อมเราอีกเลย แต่พวกเจ้ากลับช่วยเตือนสติเรา ตอนนี้ยังมีลูกหลานเชื้อพระวงศ์ไม่น้อยยังไม่ได้แต่งงาน ปกติพี่สาวของเราหลายคนก็มาพร่ำบ่นเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ขอให้เราช่วยหาคู่ครองให้ลูกหลานของพวกนาง ไม่สู้ยกเรื่องการเปิดสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นมาเป็นเหตุผล คัดเลือกเด็กสาวที่เพียบพร้อมทั้งรูปโฉมและคุณธรรมจากครอบครัวขุนนางทุกระดับ ให้พวกนางเข้าเรียนในสำนักศึกษาหนึ่งปี หลังจากนั้นคัดเลือกคนที่เหมาะสมมาให้เราช่วยหาคู่ครอง ยกนางให้กับลูกหลานเชื้อพระวงศ์ที่อายุเหมาะสม ถือว่าได้สร้างคู่บุพเพที่งดงามหลายคู่เลยทีเดียว”
พระองค์ยิ่งตรัสยิ่งรู้สึกมั่นพระทัย “แล้วก็ไม่จำกัดที่ขุนนางขั้นสามขึ้นไปด้วย ขอเพียงเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก บุตรสาวของพวกเขาล้วนอยู่ในขอบเขตผู้ได้รับเลือก”
ลิ่นเซี่ยวได้ยินพระดำรัสเช่นนี้ ในใจพลันฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ฮ่องเต้หันมาทอดพระเนตรมองลิ่นเซี่ยว กวักพระหัตถ์เรียกแล้วตรัสถามว่า “เหวยจิ่น เจ้าเห็นว่าความคิดนี้ของเราเป็นเช่นไร”
ลิ่นเซี่ยวขยับเข้าใกล้แล้วถวายบังคมฮ่องเต้ ก่อนจะกราบทูลตอบว่า “ในปีนั้นสำนักศึกษาอวิ๋นอิ่นเคยเป็นถึงหนึ่งในสามสำนักศึกษาใหญ่ของฉางอัน มีชื่อเสียงทัดเทียมกับสำนักศึกษาหมิงลู่และจงซาน โด่งดังเลื่องลือไปทั่วหล้า ถ้าหากเปิดขึ้นอีกครั้งย่อมเป็นเรื่องดีงามแน่นอน”
ฮ่องเต้มีสีพระพักตร์แช่มชื่นยินดีขึ้นทันที
อู๋สิงจือและโม่เฉิงต่างมองลิ่นเซี่ยวด้วยความประหลาดใจ ฮ่องเต้ตรัสว่าลมคือฝนก็แล้วไปเถิด เหตุใดแม้กระทั่งซื่อจื่อก็พลอยผสมโรงไปด้วยเล่า
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้” ฮ่องเต้ทรงลุกขึ้นจากเก้าอี้มังกร เดินย่ำพระบาทกลับไปมาด้วยความตื่นเต้น “สำนักศึกษามีอดีตไท่มู่ฮองเฮาเป็นผู้ก่อตั้ง ภายหลังรุ่งเรืองอยู่หลายสิบปี กฎของสำนักกำหนดขึ้นจนเป็นที่ยอมรับมานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไร ถึงเวลานั้นจะเรียกรับลูกศิษย์เท่าใด สมควรจัดการเรียนเช่นไร พวกเจ้าก็ทำตามสิ่งที่เคยเป็นมาในอดีตก็พอ”
เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยแน่วแน่แล้ว กราบทูลให้มากความไปก็ไร้ประโยชน์ อู๋สิงจือและโม่เฉิงจึงจำต้องพยักหน้าตอบรับ
หลังออกมาจากห้องทรงพระอักษร อู๋สิงจือและโม่เฉิงยืนอยู่หน้าราวระเบียงที่สร้างจากหินฮั่นไป๋อวี้ เหม่อมองวังหลวงสูงตระหง่านอย่างเงียบๆ อยู่นานสองนาน เดิมทีคาดหวังว่าการสอบฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไปแล้วจะได้พักผ่อนให้สบายใจสักระยะ ใครจะรู้ว่าความประสงค์ที่เกิดขึ้นมาฉับพลันของฮ่องเต้ก็จะมีหน้าที่ตึงมือเช่นนี้ถูกโยนมาให้พวกเขาอีกครา เรื่องนี้ยังไม่ต้องเอ่ยถึง เพียงแค่จะร่างรายชื่อลูกศิษย์สตรีที่จะเข้าเรียนในสำนักศึกษาอย่างไรก็ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้ามากพอแล้ว
ขณะกำลังขมวดคิ้วครุ่นคิด ข้างหลังก็มีคนเดินเข้ามาใกล้
“ราชมนตรีอู๋ โม่ฉางซื่อ”
คนทั้งสองหันกลับไป ไม่คาดคิดว่าจะเป็นลิ่นเซี่ยว
การสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิในวันนี้ ฉวีชิ่นเหยาตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตอนฟ้ายังไม่สาง หลังจากอาบน้ำแต่งตัวอย่างเรียบง่ายก็ติดตามมารดานั่งรถม้าไปส่งพี่ชายที่สนามสอบ
สีหน้าของฉวีจื่ออวี้สงบเยือกเย็นเหมือนที่เคยเป็นมา กลับเป็นฉวีเฉินซื่อที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดา สั่งกำชับด้วยความเอาใจใส่มาตลอดทาง พร่ำพูดประโยคเดียวกันซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้เบื่อ ฉวีชิ่นเหยาฟังแล้วรู้สึกอ่อนเพลียจนตาจะปิด
“ต้าหลาง รู้สึกกระหายหรือไม่ อยากดื่มน้ำหรือไม่” นี่เป็นประโยคแรก
“ไม่ต้องกังวลไป เจ้าพากเพียรอ่านตำรามาหลายปีไม่ใช่เพื่อรอวันนี้หรอกหรือ ทำให้เต็มที่เหมือนเคยก็พอแล้ว แม่จะรอฟังข่าวดีของเจ้า” นี่เป็นประโยคที่สอง
“ได้ยินว่าอาหารการกินที่สนามสอบหยาบกระด้างนัก ยังอยากกินขนมแป้งทอดรองท้องอีกสักหน่อยหรือไม่” นี่เป็นประโยคที่สาม
ไม่ว่าฉวีเฉินซื่อจะพร่ำพูดซ้ำไปกี่ครั้ง ฉวีจื่ออวี้ก็ตอบกลับอย่างอดทนไม่เปลี่ยน ระหว่างนั้นยังหาโอกาสส่งสายตาตักเตือนฉวีชิ่นเหยาซึ่งกลอกตาเบื่อหน่ายไม่ยอมหยุดได้อีก
หลังทนทรมานมาตลอดทางในที่สุดก็ถึงสนามสอบ ฉวีชิ่นเหยาสวมหมวกม่านแพร กระโดดหนีเอาชีวิตรอดลงจากรถม้าเป็นคนแรก
นอกสนามสอบมีผู้คนขวักไขว่ เต็มไปด้วยเหล่าบัณฑิตจากทั่วทุกสารทิศที่เร่งเดินทางมาสนามสอบ
ราชวงศ์ปัจจุบันมีคำกล่าวที่ว่า ‘อายุสามสิบเพิ่งสอบได้หมิงจิงถือว่าชรา สอบได้จิ้นซื่อก่อนอายุห้าสิบถือว่าเยาว์วัย’ ฉะนั้นในกลุ่มผู้เข้าสอบจึงมีคนที่อายุมากอยู่พอสมควร ผู้เข้าสอบที่อายุยังน้อยเช่นฉวีจื่ออวี้กลับมีน้อยยิ่ง
“เหวินหย่วน!” ยามนั้นเองก็มีคนตะโกนเรียกเขา
‘เหวินหย่วน’ เป็นชื่อรองของฉวีจื่ออวี้ ฉวีชิ่นเหยานิ่งอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหันมองตามเสียงนั้น
นางมองเห็นชายหนุ่มกิริยาสง่างามเหนือสามัญคนหนึ่งกำลังเดินมาแต่ไกล ภายใต้คิ้วคมที่เลิกขึ้นสูงคือดวงตาที่ทอประกายพราวระยับดั่งดวงดาว ยามผู้คนชายตามองคราเดียวก็มองลึกถึงก้นบึ้ง ผิวขาวสะอาดกระจ่างใส ขับเน้นเส้นผมสีดำสนิทดุจน้ำหมึก สันจมูกโด่งตรงสวย ริมฝีปากบางแดงก่ำชุ่มชื้น แต่ละส่วนล้วนงดงามจนหาที่ติไม่ได้
เวลานี้อากาศยังค่อนข้างหนาวเย็น ส่วนใหญ่คนในฉางอันจะสวมเสื้อผ้าหนาหลายชั้น แต่คนผู้นี้กลับสวมเพียงเสื้อคลุมทำจากผ้าเนื้อหยาบสีน้ำเงินที่ซักจนซีดขาว บนศีรษะประดับด้วยหมวกผ้าสีเดียวกัน นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่มีของสิ่งใดติดกายอีก ช่างเรียบง่ายเสียจนเกินพอดีไปหน่อย
แม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม แต่ทันทีที่เขาปรากฏกายขึ้น กลับเปล่งประกายดั่งไข่มุกส่องสว่างกลางความมืด กลบรัศมีของคนรอบข้างลงไปในพริบตา
“จี้โจว” ฉวีจื่ออวี้ทั้งตกใจทั้งยินดี รีบเดินเข้าไปหาคนผู้นั้น
ฉวีชิ่นเหยารู้สึกว่าชื่อนี้คุ้นหูอยู่บ้าง คิดทบทวนครู่หนึ่งก็กระจ่างแก่ใจ เขาไม่ใช่สหายร่วมสำนักที่มีพรสวรรค์โดดเด่นจนท่านอาจารย์จี้ให้ความสำคัญคนนั้นหรอกหรือ
ฉวีเฉินซื่อมองเห็นจี้โจวแล้วดวงตาพลันสว่างวาบ เอ่ยปากถามขึ้นว่า “ท่านนี้คือ?”
พี่ชายรีบเดินนำคนผู้นั้นเข้ามา แนะนำกับมารดาและน้องสาวว่า “เป็นสหายสนิทร่วมสำนัก ชื่อเฝิงป๋ออวี้ ชื่อรองจี้โจว เป็นชาวเมืองหยวนโจว ครั้งนี้มาเข้าร่วมการสอบช่วงฤดูใบไม้ผลิพร้อมกับข้า” ว่าแล้วก็หันไปแนะนำกับเฝิงป๋ออวี้ “นี่คือมารดาข้า นี่คือน้องสาวข้า ท่านพ่อไปเข้าประชุมขุนนางแต่เช้าแล้ว ก็เลยไม่ได้มาส่งข้า”
เฝิงป๋ออวี้แสดงความเคารพฉวีเฉินซื่ออย่างนอบน้อม “คารวะฮูหยิน” แล้วหันมาพยักหน้าให้ฉวีชิ่นเหยา
ฉวีเฉินซื่อก็เหมือนกับสตรีวัยกลางคนทั้งหลายในใต้หล้า มีจิตใจเอื้อเอ็นดูคนหนุ่มสาวที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุตรของตนเอง พอเห็นเฝิงป๋ออวี้แม้จะสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย แต่ว่ามีหน้าตาหล่อเหลาอิ่มเอิบ ท่วงทีกิริยาก็ยังสง่าผ่าเผยเป็นธรรมชาติ เมื่อยืนอยู่ข้างบุตรชายแล้วไม่ได้ดูด้อยกว่ากันเลย จึงเกิดความรู้สึกชมชอบจากใจ ส่งยิ้มจนตาหยีโค้งพลางเอ่ยว่า “พ่อหนุ่ม วันหน้าก็แวะไปที่จวนบ่อยๆ สิ” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเมตตา
เฝิงป๋ออวี้ตกตะลึงไปเล็กน้อย รอยยิ้มในดวงตายิ่งลึกล้ำกว่าเดิมหลายส่วน “ขอเพียงท่านป้าไม่รังเกียจ ต่อไปจะต้องไปรบกวนที่จวนบ่อยๆ แน่ขอรับ”
เนื่องจากเมื่อเช้าตื่นนอนเร็วกว่าปกติ ฉวีชิ่นเหยาจึงงีบหลับคาตักมารดาตลอดทางกลับจวน
“ครั้งนี้พี่ชายเจ้าสอบเสร็จเรียบร้อย ข้ากับท่านพ่อเจ้าก็จะจัดการเรื่องการแต่งงานของเขาแล้ว”
ขณะกำลังสะลึมสะลือ นางก็ได้ยินมารดากล่าวเช่นนี้ขึ้น ฉวีชิ่นเหยาไม่ได้เอ่ยรับคำ แต่หลับตานอนต่อไป
“ถึงปีก่อนจะมีหลายบ้านที่มีเจตนามาเจรจาเรื่องนี้อยู่บ้าง แต่ว่าพอสืบรู้เรื่องสุขภาพของจื่ออวี้ก็พากันหนีหายไปหมดแล้ว จะโทษพวกเขาก็ไม่ได้ ใครจะยอมให้บุตรสาวแต่งสามีที่อ่อนแอขี้โรคกันเล่า ตอนนี้จื่ออวี้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์แล้ว ข้ากับท่านพ่อของเจ้าปรึกษากันอยู่ รอให้การสอบครั้งนี้ผ่านพ้นไปแล้วค่อยพูดคุยเรื่องนี้…”
“อ๊าก…”
ยามนั้นเองเสียงกรีดร้องชวนเวทนาดังลอยมาแต่ไกล ขัดจังหวะเสียงพูดเจื้อยแจ้วของฉวีเฉินซื่อลง
ความง่วงงุนของฉวีชิ่นเหยาหายไปเป็นปลิดทิ้ง นางลุกขึ้นมานั่งแล้วมองออกไปข้างนอก
รถม้าบังเอิญผ่านมาถึงผิงคังฟาง พอดี เบื้องหน้าตรอกคับแคบมีฝูงชนที่มารวมตัวกันแน่นขนัด เด็กหนุ่มหลายคนมีสีหน้าตื่นตระหนกลนลานเดินเบียดเสียดออกมา ก่อนจะวิ่งหนีกระเจิงไปคนละทิศทางราวกับแมลงวันไร้ศีรษะ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น!” ฉวีเฉินซื่อชะโงกหน้าออกไปนอกหน้าต่างรถม้า เอ่ยถามเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
“มีคนตาย!” เด็กหนุ่มตะโกนเสียงแหลมสูงประโยคหนึ่งก่อนจะวิ่งหนีไปไกลลิบ
นางนิ่งงันไปชั่วครู่ ตบหน้าอกด้วยความหวาดผวาแล้วกลับไปนั่งที่เดิม แต่ก็ต้องตกตะลึงที่พบว่าบุตรสาวสวมหมวกม่านแพรเดินลงจากรถม้าไปแล้ว
“กลับมานะ! คนตายมีอะไรน่าดูกัน” ฉวีเฉินซื่อตะโกนเรียกอย่างร้อนรน
(ติดตามอ่านได้ในฉบับเต็ม)
Comments
comments
No tags for this post.