X
    Categories: LOVEทดลองอ่านปภาวินท์

ทดลองอ่าน ปภาวินท์ บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 4

บทที่ 1 รุ่นพี่คนนั้นที่เคยแอบปลื้ม

“ปินๆ เก้านาฬิกาๆ”

ปภาวรินท์กำลังส่งเค้กป็อปเข้าปากตอนที่เพื่อนสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ส่งเสียงร้องแล้วตีแขนเธอเป็นชุด เธอเลยชะงักแล้วหันซ้ายหันขวาไปมาด้วยความงุนงง

“หา? ไหนๆ อะไร”

“ไอ้เบ๊อะ เก้านาฬิกามันทางนู้น” ปริยากรทำหน้าเหม็นเบื่อก่อนจะพยักพเยิดชี้ทางให้เพื่อนสนิท

ปภาวรินท์หันมองตามถูกทิศทางในที่สุด แต่กระนั้นในชั้นแรกเธอก็ยังงุนงงอยู่ดี ไม่เข้าใจว่าเพื่อนเรียกให้มองอะไร

“อะไรอ่ะแก ฉันไม่เห็นมี…อะไร” คำสุดท้ายที่หลุดออกมาจากปากเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน ด้วยดวงตาคู่สวยสังเกตเห็นแล้วว่าเพื่อนต้องการให้มองอะไร…หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือมอง ‘ใคร’

“ตกลงนี่เห็นแล้วหรือยังไม่เห็น” ปริยากรชะโงกไปสังเกตสีหน้าของเพื่อน

“แก นั่นพี่วินเหรอ…นั่นพี่วินจริงๆ ใช่ไหม” ปภาวรินท์ถามด้วยสุ้มเสียงไม่เชื่อ ดวงตายังจับจ้องเขม็งอยู่ที่ร่างสูงในชุดสูท เขากำลังทักทายเพื่อนที่โต๊ะหนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปในระยะหนึ่งโต๊ะคั่น

“แหม นึกว่ายังไม่เห็นอีก เพราะถ้าแกไม่เห็นฉันก็จะถือว่าแกไม่มีวาสนากับหนุ่มหล่อ ฉันจะได้เก็บไว้เอง”

“ปีย่า แกอย่าเพิ่งล้อเล่นสิ” สาวร่างเล็กตีเพื่อนเป็นพัลวันแม้จะไม่ได้หันกลับไปมอง “งื้อ พี่วินจริงๆ ด้วย…โอ๊ย ทำไมหล่อเหมือนเดิมเลยล่ะ ไม่สิ หล่อกว่าเดิมตั้งเยอะ”

“แกจะหวีดผู้ชายก็หวีดไป ทำไมต้องตีฉันด้วย เจ็บนะเว้ย” ปริยากรบ่นพร้อมกับเอนตัวหลบไปมา “แล้วพี่เขาหล่อขึ้นก็ถูกแล้วป่ะ ตอนที่แกเจอเขานั่นก็ตั้งแต่สมัยเรียนมหา’ลัย โตขึ้นแล้วหน้าตาดีขึ้นก็ถูกแล้วไหม”

“แหม แต่รุ่นพี่บางคนที่เราเจอก็โทรมกว่าเดิมนะแก เอาแค่ในงานนี้ก็หลายคนแล้ว” ปภาวรินท์ชี้ให้เห็นความจริง

“ก็จริง ถือว่าพี่วินของแกดูแลตัวเองดีอยู่”

“ปีย่า พี่วินของฉันอะไรเล่า เดี๋ยวใครมาได้ยินเข้าจะทำไง” ปภาวรินท์หันไปดุเพื่อนซี้จนได้

“ถ้าแกไม่รีบเคลมแล้วโดนคาบไปล่ะจะทำไง พี่วินทั้งหล่อทั้งเก่ง บริษัทสถาปนิกของเขารุ่งมากเลยนะ ไม่งั้นฉันจะได้เจอเขาเมื่อปีก่อนเหรอ บุญแค่ไหนแล้วที่เขายังโสดมาถึงป่านนี้”

“ปีก่อนเขายังโสด แต่ปีนี้เขาอาจไม่โสดแล้วก็ได้นะ” สาวร่างเล็กไม่คล้อยตาม

“ถ้าเขาไม่โสดแล้วก็เป็นความผิดแกเองน่ะแหละ ฉันอุตส่าห์จะหาทางพาไปรู้จักตั้งแต่ตอนนั้น แกก็เอาแต่งอแงงุงิอะไรไม่รู้” ปริยากรบ่น

อาชวินเป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยของพวกเธอสมัยเรียน แม้จะอยู่กันคนละคณะแต่ชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังจนเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘เด็กถาปัตย์’ ที่ได้ทุนไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศ ได้ฝึกงานในบริษัทสถาปนิกระดับโลกจนมีชื่อติดในทำเนียบหนึ่งในทีมสถาปนิกที่ออกแบบตึกซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง เรียกว่าเป็นบุคคลที่สร้างชื่อให้มหาวิทยาลัยจนอาจารย์นำมากล่าวชื่นชมให้เด็กปีหนึ่งอย่างพวกเธอสองคนฟัง

ปภาวรินท์แอบปลื้มอาชวินตั้งแต่แรกเห็น ตอนนั้นชายหนุ่มเรียนเทอมสุดท้ายแล้ว ปริยากรพยายามทั้งผลักทั้งดันเพื่อนให้เข้าไปทำความรู้จักอีกฝ่าย ทว่าก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายเลยยอมแพ้ปล่อยให้เพื่อนเป็นแฟนคลับอาชวินอยู่ห่างๆ จนกระทั่งเขาเรียนจบ หลังจากนั้นปริยากรก็ลืมเรื่องนี้ไป จวบจนปภาวรินท์หลุดโป๊ะมากรี๊ดกร๊าดกับเธอว่าอาชวินกลับมาเปิดบริษัทในไทยกับเพื่อนได้พักหนึ่งแล้ว ตอนนั้นเองเธอจึงทราบว่าเพื่อนสนิทยังปลาบปลื้มหนุ่มรุ่นพี่คนนี้มาตลอด แถมยังแอบติดตามข่าวคราวของเขาเงียบๆ ด้วย

อย่างไรก็ตามนั่นเป็นเรื่องเมื่อหลายปีที่แล้ว ตอนนั้นปริยากรลองสืบดู พอรู้ว่าอาชวินมีแฟนแล้วเลยตัดสินใจเงียบ แต่เธอก็เดาว่าปภาวรินท์ก็น่าจะพอทราบเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน แล้วหลังจากนั้นสถาปนิกหนุ่มก็หลุดออกจากวงโคจรของพวกเธอไปอีกหน สาวร่างเล็กเองก็มีคนคุยบ้างมีคนคบบ้างตามเรื่องตามราว จนกระทั่งเมื่อปีก่อนปริยากรบังเอิญได้พบอาชวินที่งานอีเวนต์งานหนึ่ง ตอนนั้นบริษัทสถาปนิกของเขาโด่งดังเป็นที่รู้จักในไทยพอสมควรและเขาก็รู้จักกับพ่อของเธอ ดังนั้นเธอเลยได้รับการแนะนำให้รู้จักกับอาชวิน

ปริยากรนึกถึงเพื่อนสนิทขึ้นมาทันที ครั้นสืบเสาะจนรู้แน่ว่าตอนนี้สถาปนิกหนุ่มรูปหล่อโสดสนิท เธอจึงค่อยลองเปรยให้เพื่อนฟัง ปรากฏว่าปภาวรินท์ตาลุกวาวทันใด เป็นอันสรุปได้ว่าเพื่อนยังปลื้มหนุ่มรุ่นพี่คนนี้อยู่ ทว่าพอเธอออกปากบอกว่าจะพาไปแนะนำให้รู้จัก อีกฝ่ายกลับใส่เกียร์ถอยหลังเสียอย่างนั้น จนเธออ่อนใจแล้วก็ปลง

สำหรับวันนี้ปริยากรคิดไว้เหมือนกันว่าอาจได้เจออาชวิน เพราะมันเป็นงานครบรอบวันก่อตั้งบริษัทของภักดิ์โภคินซึ่งเป็นบริษัทใหญ่เครือข่ายกว้างไกล เธอได้ยินว่าช่วงหลังมานี้บริษัท Archwin ของอีกฝ่ายทำงานให้ภักดิ์โภคินหลายโครงการ อาชวินจึงไม่น่าพลาดงานนี้ ส่วนเธอกับเพื่อนก็เป็นตัวแทนครอบครัวเอากระเช้าดอกไม้มาแสดงความยินดี…เดี๋ยวต้องรอดูว่าปภาวรินท์จะเอาอย่างไร

“ฉันไม่ได้งอแงงุงิ แต่ฉันไม่พร้อมเพราะ…เรื่องนั้น แกก็รู้ ตอนนั้นฉันยังไม่พร้อมจะทำความรู้จักกับพี่วินจริงๆ”

ปริยากรเหลือบมองเพื่อน ก่อนจะระบายลมหายใจแล้วถามออกไป

“งั้นคราวนี้ล่ะจะเอาไง นี่ก็ผ่านมาอีกปีแล้ว”

“นั่นสิ มันก็ป่านนี้แล้วอ่ะเนาะ” ปภาวรินท์ถอนหายใจอย่างลังเล

“แกไม่ต้องคิดละ พี่วินมานู่นแล้ว ฉันจะทัก” พอพูดจบปริยากรก็ฉีกยิ้มแล้วส่งเสียงทักคนที่กำลังจะเดินผ่านโต๊ะไปทันที ไม่ใส่ใจเพื่อนที่ตกใจสุดขีด “พี่วิน สวัสดีค่ะ จำปีย่าได้ไหม”

อาชวินชะงักเท้าเมื่อได้ยินชื่อตัวเอง เขาหันมามองแบบงงๆ พอเห็นหน้าปริยากรก็ปรากฏแววระลึกได้ฉายขึ้นมาในดวงตา

“น้องปีย่า จำได้สิครับ เมื่อวันก่อนพี่เพิ่งเจอคุณบันลือเอง วันนี้น้องปีย่ามาแทนคุณพ่อเหรอครับ”

“ใช่ค่ะ คุณพ่อติดงาน” ปริยากรตอบแล้วผายมือไปทางเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆ “นี่ปิน เพื่อนปีย่าเองค่ะ ปินเป็นลูกสาวคุณลุงประดิษฐ์หรือที่รู้จักกันในนามเจ้าสัวประดิษฐ์นั่นแหละค่ะ ปินก็เป็นรุ่นน้องมหา’ลัยของพี่วินอีกคนนะ เราสองคนเรียนออกแบบผลิตภัณฑ์มาด้วยกัน”

“สวัสดีครับน้องปิน” อาชวินหันไปมองปภาวรินท์แล้วทักทายอย่างเป็นกันเอง

“สวัสดีค่ะ” สาวร่างเล็กยกมือไหว้ผลุบเพื่อทักทายกลับอย่างแตกตื่น ในใจนึกต่อว่าเพื่อนซี้ที่ไม่เตือนเธอก่อน เวลานี้เธอเลยเลิ่กลั่ก มือไม้เก้งก้างไปหมด…ยิ่งไปกว่านั้นเธอรู้สึกเหมือนจะเป็นลมรอมร่อ ทำไมอาชวินต้องหล่อแถมเสียงทุ้มนุ่มน่าฟังขนาดนี้ด้วยเนี่ย!

“ยินดีที่ได้รู้จักนะ จะว่าไปพี่น่าจะเคยเจอน้องปินเหมือนกันนะเนี่ย หน้าคุ้นๆ”

ดวงตาคมทอดมองมาอย่างพินิจ นั่นทำให้ปภาวรินท์ยิ่งแตกตื่นหนักเข้าไปใหญ่

“ก็น่าจะเคยเดินผ่านกันบ้างนะคะ ปินกับปีย่าทันก่อนพี่วินเรียนจบนะ ถึงจะไม่ได้อยู่คณะเดียวกันก็เถอะ แล้วพวกเราก็คงสวนกันตามงานเลี้ยงบ้างแหละ ยายปินก็ไปงานนู้นนี้แทนป๊าอยู่บ่อยๆ…เนาะปิน” ประโยคท้ายปริยากรหันไปพยักพเยิดกับเพื่อนสาว

“อืม ก็น่าจะอย่างนั้น”

“แปลกนะที่เราเพิ่งได้รู้จักกัน แต่รู้จักช้าหน่อยดีกว่าไม่ได้รู้จักเลย” อาชวินส่งยิ้มให้หญิงสาว “จริงสิ แล้วนี่ทั้งสองคนมากันนาน…”

เสียงของชายหนุ่มขาดหายไปเนื่องจากอยู่ดีๆ สาวร่างเล็กก็สะบัดเค้กป็อปในมือจนมันหลุดจากแท่งพลาสติกลอยไปปะทะกับร่างสูง หนำซ้ำแทนที่จะไปโดนเสื้อสูทสีเข้ม มันกลับไปแปะอยู่บนเสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาแทน

“ว้าย ตายแล้ว ขอโทษค่ะ ขอโทษ” พอปภาวรินท์หายช็อกแล้วตระหนักว่าเมื่อครู่ทำอะไรลงไป เธอก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ

“ไม่เป็นไรครับ แค่นี้เอง” อาชวินส่ายหน้ายิ้มๆ พร้อมกับหยิบก้อนเค้กขนาดเล็กบางส่วนที่แปะอยู่บนเสื้อของตัวเองไปวางบนโต๊ะ “เอาเป็นว่าพี่คืนให้นะ”

“บางทียายปินก็เป๋อเหลอแบบนี้แหละค่ะ” ปริยากรทำท่าปลง

“แปลว่าอยู่ด้วยแล้วจะมีเรื่องให้ตื่นเต้นตลอดเวลาใช่ไหม” สถาปนิกหนุ่มยิ้มขัน ก่อนจะปลอบเมื่อเห็นว่าสีหน้าของคนตัวเล็กยังดูไม่ดีขึ้น “ไม่ต้องคิดมากนะ เสื้อผู้ชายเปื้อนนิดเปื้อนหน่อยเป็นเรื่องปกติ เปื้อนเศษเค้กยังดีกว่าเปื้อนน้ำปูนเวลาไปไซต์งานเยอะ”

ปภาวรินท์ช้อนตาขึ้นมองใบหน้าหล่อเหลาอย่างคาดไม่ถึง แล้ววูบต่อมาความรู้สึกตื้นตันก็พุ่งเข้าจู่โจมหัวใจอย่างรุนแรง แต่ยังไม่ทันมีใครพูดอะไรมากกว่านั้นก็มีเสียงร้องเรียกชื่อ ‘วิน’ ลอยมา เขาหันไปมอง พยักหน้าให้คนเรียกก่อนจะหันกลับมาส่งยิ้มให้พวกเธออีกหน

“พี่ขอตัวก่อนนะ เจอโจทก์พอดี”

“ไว้เจอกันค่ะพี่วิน” ปริยากรตอบทั้งรอยยิ้มสดใส เธอรอจนกระทั่งหนุ่มรุ่นพี่ผละห่างไปพอสมควรแล้วจึงหันกลับไปหาเพื่อน “เป็นไงบ้างแก”

“พี่เขาดีกว่าที่ฉันมโนไว้อีกอ่ะ” ปภาวรินท์คว้าแขนเพื่อนหมับ สีหน้าท่าทางประหนึ่งจะร้องไห้ “หล่อ เสียงเพราะ แล้วยังใจดีอีก”

“เก่งด้วย” คนเป็นเพื่อนชี้ให้เห็นความจริง “แต่แกรีบเรียกสติกลับเข้าร่างก่อน จะได้ไม่เฟอะฟะอีก”

“ก็เพราะแกแหละ ทำไมไม่บอกก่อนว่าพี่วินเดินมาทางนี้ ฉันตั้งตัวไม่ทัน” สาวร่างเล็กเอะอะ…เวลาเธอตื่นเต้นมักจะเกิดเหตุคาดไม่ถึงแบบนี้ทุกที “ดูสิ ฉันทำเสื้อเขาเปื้อนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน แล้วแกยังเอาฉันไปขายว่าเป๋อเหลออีก”

“คิดในแง่ดี พี่เขาจะได้จำแกได้แม่นๆ ไง” ปริยากรยักไหล่ไม่นำพา

“จะได้เจอกันอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้” ปภาวรินท์พึมพำ ดวงตาทอดไปหาอาชวินซึ่งเดินไปยืนอยู่กับหนุ่มๆ กลุ่มใหญ่อีกรอบ

“แหม ทีอย่างนี้ล่ะกลัวไม่ได้เจอกันอีก” ฝ่ายเพื่อนสนิทกลอกตาด้วยความหมั่นไส้ “สรุปว่าอยากเจออยากรู้จักเขาแล้วใช่ป่ะ”

“ยังไงตอนนี้ก็ถือว่ารู้จักกันแล้วนี่” คนตัวเล็กพูดหงุงหงิง

“อาฮะ แต่ก่อนอื่นสืบให้แน่ก่อนแล้วกันว่าพี่เขายังโสด” ปริยากรพยักพเยิดไปทางอาชวิน เวลานี้มีสาวสวยคนหนึ่งซึ่งเธอไม่รู้จักเดินเข้ามาทักทายอีกฝ่าย ท่าทางสนิทสนมกันดีทีเดียว ครั้นเหลือบไปเห็นเพื่อนหน้าม่อยเธอก็กลอกตา “เนี่ย ปีก่อนโสดชัวร์ๆ ไม่ยอมเข้าไป ถ้าปีนี้พี่เขาไม่โสดจนแกแห้วก็ต้องโทษตัวเองน่ะแหละ”

ทำไมมันมืดและเงียบจังเนี่ย…

ปภาวรินท์เร่งฝีเท้าเพื่อให้ไปถึงรถเร็วที่สุด เธอเพิ่งออกจากงานเลี้ยงของพวกภักดิ์โภคิน ปริยากรจอดรถที่ชั้นล่าง เธอเลยเดินขึ้นบันไดต่อมายังชั้นบนของตึกจอดรถตามลำพัง ตอนแรกเพื่อนก็บอกจะวนรถขึ้นมาส่งอยู่หรอก แต่เธอปฏิเสธเพราะเห็นว่าแค่ชั้นเดียว มาถึงตอนนี้หญิงสาวชักจะเสียใจแล้วที่ตัดสินใจไปแบบนั้น เพราะเธอเกลียดบรรยากาศแบบนี้ที่สุด

เธอไม่เข้าใจเอาเสียเลย ทั้งที่มีรถจอดอยู่เต็มแน่น แต่ชั้นนี้ของตึกจอดรถกลับไม่มีกระทั่งพนักงานรักษาความปลอดภัยให้เห็น ยิ่งไปกว่านั้นมันค่อนข้างมืดมากทีเดียวเนื่องจากโรงแรมไม่ยอมเปิดไฟ อาจเพราะเห็นว่าเวลานี้ควรจะมีแสงสว่างจากข้างนอกเพียงพอ แต่ความจริงกลับตรงข้ามด้วยเมฆครึ้มที่บดบังแสงแดด หนำซ้ำการออกแบบตึกจอดรถก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย

แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังขึ้นคลอกับเสียงรองเท้าส้นสูงของเธอ ความรู้สึกบางอย่างเสียดแทงขึ้นมาในอกแบบไม่ทันตั้งตัว เธอต้องสูดหายใจลึกและปลอบประโลมมันไม่ให้แผลงฤทธิ์ด้วยการบอกตัวเองว่า ‘ไม่มีอะไร’ ทว่ามันก็ใช้เวลาไม่นานนักในการตะกุยตะกายปีนกลับขึ้นมา โดยเฉพาะเมื่อเธอรู้สึกว่าเสียงฝีเท้าปริศนานั้นเร็วขึ้นและใกล้เข้ามา ดวงหน้าสวยหันไปมองเร็วๆ เธอไม่พบใครหรืออะไรทั้งนั้น แต่นั่นกลับยิ่งทำให้แตกตื่นยิ่งกว่าการได้เห็นเจ้าของฝีเท้าเสียอีก

ความกลัวทะลักทลายออกมาราวเขื่อนกั้นพังภินท์ ไอเย็นเยียบแล่นไปทั่วร่าง ปภาวรินท์พยายามควบคุมมัน ทว่ามันก็แทบไม่ต่างจากการพยายามควบคุมม้าที่กำลังพยศ และสุดท้ายเมื่อความทรงจำเก่าหลั่งไหลมาสมทบเป็นทัพเสริม เธอก็พ่ายแพ้ไม่เป็นท่า สติแตกแล้ววิ่งหนีไปทรุดตัวหลบหลังเสาต้นหนึ่งในสภาพมือไม้เย็นเฉียบ เนื้อตัวสั่นเทาแบบควบคุมตัวเองแทบไม่ได้ หัวใจเต้นระรัว ในหัวเต็มไปด้วยความกลัวและประโยคเดียวที่ดังก้องซ้ำไปซ้ำมา

ไม่เอาแล้ว ไม่เอาแล้ว…

จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้น…

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ปภาวรินท์กรี๊ดออกมานิดหนึ่งด้วยความตกใจ เธอหันขวับไปมองเจ้าของเสียง และต้องใช้เวลาครู่หนึ่งกว่าสมองจะส่งสัญญาณบอกว่าเขาคืออาชวิน สีหน้าท่าทางเขาดูตกใจพอกัน

“พี่ทำให้ตกใจใช่ไหม ขอโทษครับ”

“มะ…ไม่ใช่ค่ะ” หญิงสาวละล่ำละลักปฏิเสธ “คือ…คือปิน…ปินนึกว่ามีคนตามมา”

“นอกจากน้องปินก็มีพี่คนเดียวครับ รถพี่จอดที่ชั้นนี้” สถาปนิกให้ข้อมูลด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“ไม่มีคนอื่นจริงเหรอคะ”

“ไม่มีครับ” อาชวินยืนยันหนักแน่น

“เมื่อกี้ปินมองไปแล้วไม่เห็นใคร…” ปภาวรินท์หยุดแค่นั้น ไอร้อนแล่นขึ้นมาเกาะแก้มนวลด้วยความรู้สึกอับอาย “เอ้อ สงสัยปินจะประสาทเสียไปเองเลยไม่เห็นพี่วิน”

“มันมืดด้วยแหละ” เสียงทุ้มปลอบประโลม จากนั้นก็ยื่นมือออกไปเมื่อเห็นเธอขยับทำท่าจะลุก “พี่ช่วยนะ”

“ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวยอมวางมือลงบนมือใหญ่เพื่อให้เขาเป็นหลักยึดในการลุกยืน ดวงตาคู่สวยเหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาแวบหนึ่งก่อนจะหลุบลงต่ำ “เอ่อ ปินขอโทษอีกทีนะคะ”

“เท่าที่พี่รู้การตกใจและระวังตัวไม่ถือเป็นความผิดนะ” อาชวินส่งยิ้มให้เธอ “รถน้องปินอยู่ไหน พี่เดินไปส่งนะ”

ปภาวรินท์พยักหน้ารับอย่างประหม่า จากนั้นก็ออกเดินแบบเก้ๆ กังๆ ไปยังรถที่จอดอยู่สุดมุมอาคาร ในอกยังคงรู้สึกแตกตื่น ทว่าเป็นคนละเหตุผลกับทีแรก และแน่นอนว่าความอับอายก็ยังไม่ยอมถอยไปไหน เธออยากเจอเขาอีก แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเร็วขนาดนี้ หนำซ้ำเธอยังอยู่ในสภาพสติแตกด้วย

“น้องปินขับรถไหวแล้วแน่ใช่ไหม” สถาปนิกรูปหล่อออกปากถามขณะที่เธอกดรีโมตปลดล็อกรถ

“ค่ะ” หญิงสาวพยักหน้า

“งั้นขับรถดีๆ นะ”

รอยยิ้มของอาชวินทำให้ดวงตาของเธอพร่างพราย มันแทบจะขับไล่ความกลัวที่ยังตกค้างอยู่ในกระแสความรู้สึกไปได้ทั้งหมด หัวใจกระตุกเต้นอย่างตกใจอีกครั้ง คราวนี้ด้วยเหตุผลใหม่ มันผลักดันให้เธอรีบเปิดประตูขึ้นรถ กระทั่งสตาร์ตรถแล้วเธอจึงมีสติพอจะตระหนักว่าเขาไม่มีทางได้ยินเสียงหัวใจของเธอเต้น ดังนั้นเธอจึงสูดลมหายใจลึกแล้วลดกระจกรถลงเพื่อยกมือไหว้เขา

“ขอบคุณมากนะคะพี่วิน กลับบ้านดีๆ เหมือนกันนะคะ”

ปภาวรินท์ได้รับรอยยิ้มทรงเสน่ห์ตอบกลับมาอีกหน เธอคิดว่าสามารถมองรอยยิ้มของสถาปนิกหนุ่มได้ทั้งวัน แต่เมื่อมันเป็นไปไม่ได้เธอจึงกดปุ่มเลื่อนกระจกหน้าต่างขึ้นแล้วออกรถ โดยที่ก็ยังไม่วายเหลือบมองร่างสูงผ่านทางกระจกมองหลังอีกหน

มันน่าแปลก ทั้งที่เวลาก็ผ่านมานานแล้วนับจากวันแรกที่เธอได้พบและประทับใจในตัวอาชวิน ทว่าพอวันนี้เขาเดินกลับเข้ามาในชีวิต มันกลับคล้ายเธอเพิ่งเห็นเขาในมหาวิทยาลัยเมื่อวานนี้เอง ที่เพิ่มเติมคือครั้งนี้เธอได้พบประสบกับตัวโดยตรงว่าเขาใจดีมาก…เธอนี่สิ เจอกันวันแรกก็มีแต่เรื่องดีๆ ให้เขาประทับใจทั้งนั้น แรกสุดทำเสื้อเขาเปื้อน แล้วต่อมาก็ยังสติแตกให้เขาเห็นอีก

ทำไมจิตใจเธอไม่ยอมลืมเรื่องนั้นไปสักทีนะ เวลาก็ผ่านมานานแล้ว เธอคิดว่าตัวเองโอเค ทว่าเหตุการณ์เมื่อกี้คือข้อพิสูจน์ว่าที่ผ่านมาเธอแค่หลอกตัวเองเท่านั้น

แต่มองในแง่ดี พี่วินคงลืมเราไม่ลงแล้วจริงๆ ปภาวรินท์หาทางเยียวยาจิตใจตัวเอง ขณะเดียวกันความคิดก็ล่องลอยกลับไปหาชายหนุ่มอีกหน…ไม่ว่าอย่างไร เธอแน่ใจแล้วว่าไม่อยากปล่อยโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักเขามากขึ้นผ่านไป แม้จะยังนึกไม่ออกเลยก็ตามว่าควรต้องทำอย่างไร

แต่ก่อนอื่น…ต้องหาทางรู้ให้ได้ก่อนว่าเขาโสดหรือเปล่า!

 

ติดตามบทที่ 1-2 ได้แล้ววันนี้!

หน้าที่แล้ว1 of 4

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: