บทที่ 3 บ้าน
ปภาวรินท์หมุนพวงมาลัยพารถถอยเข้าสู่โรงจอดรถภายในเขตคฤหาสน์พร้อมพิพัฒน์ของเจ้าสัวประดิษฐ์ โรงรถนี้ยาวเหยียด สามารถใช้จอดรถได้นับสิบคัน พื้นที่ถูกจับจองเกือบเต็ม ทั้งหมดล้วนเป็นรถหรูแบบที่ทำให้รถมินิของเธอดูธรรมดาไปเลยทีเดียว
รถสปอร์ตสุดเก๋คันเล็กที่จอดอยู่ข้างๆ ทำให้เธอต้องระบายลมหายใจออกมา เพราะมันคือรถของรัญชนา เมื่อรถอยู่แสดงว่าเจ้าของอยู่ ถึงแม้บางทีพี่สาวต่างแม่ของเธอจะเอารถสปอร์ตเครื่องแรงราคาแพงของพี่ชายไปใช้บ้าง แต่ก็ไม่บ่อยนักเพราะมันขับยากกว่า และสำหรับวันนี้เธอก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะเอารถของรัชนาทไปขับ
“ไม่มีทางเลือกอยู่ดี” หญิงสาวคว้ากระเป๋าจากเบาะข้างๆ แล้วเปิดประตูลงจากรถ แต่เดินไปไม่กี่ก้าวรถสปอร์ตสีเหลืองบาดตาก็พุ่งปราดเข้ามา เธอเลยหยุดยืนรอ ความโล่งใจเอ่อขึ้นมาในอกขณะยืนมองรถคันสวยถูกพาเข้าซองจอดอย่างคล่องแคล่ว
“ว่าไงปิน เพิ่งมาถึงเหมือนกันเหรอ” ชายหนุ่มร้องทักทันทีที่ลงจากรถ
“อื้อ” ปภาวรินท์ส่งยิ้มให้พี่ชายต่างแม่…แม้รัชนาทจะเป็นพี่ชายแท้ๆ ของรัญชนา ทว่าเขาปฏิบัติต่อเธอดีกว่ามาก ดังนั้นเธอจึงสนิทกับเขาพอสมควร
“อืม วันนี้เหมือนพี่จะไม่เจอเราที่บริษัทเลยนะ” รัชนาทเลิกคิ้วขณะโอบไหล่น้องสาวคนเล็กหลวมๆ รั้งให้เธอเดินเข้าบ้านไปด้วยกัน
“วันนี้ตอนบ่ายปินออกไปดูงานดิสเพลย์ข้างนอกมา”
“อ้อ แล้วเป็นไงบ้างล่ะ โอเคไหม”
“เรียบร้อยดี” ปภาวรินท์พยักหน้าหงึกหงัก
ถึงจะทำงานอยู่ตึกเดียวกันแต่หญิงสาวก็ไม่ค่อยได้เจอสมาชิกในครอบครัวเท่าไหร่ เนื่องจากทั้งพ่อและพี่ทั้งสองคนทำงานเป็นผู้บริหาร ส่วนเธอทำงานด้านออกแบบอยู่ที่ชั้นล่างเหมือนพนักงานทั่วไป…อันที่จริงเจ้าสัวประดิษฐ์ก็ตั้งใจจะหาตำแหน่งบริหารให้เธอเหมือนกัน แต่เธอปฏิเสธและอ้างไปว่าอยากเริ่มทำงานแบบคนทั่วไปแล้วค่อยๆ เติบโตไปเรื่อยๆ ท่านชมว่าเธอคิดดี ทว่าความจริงก็คือเธอไม่อยากไปอยู่ใกล้รัญชนา
ขนาดตอนเธอเรียนจบแล้วพ่อซื้อรถมินิคันที่ใช้อยู่ในปัจจุบันให้เป็นของขวัญ พี่สาวต่างแม่ยังหาเรื่องเธอชุดใหญ่ กระทั่งประดิษฐ์ซื้อรถให้อีกฝ่ายบ้างเธอจึงได้อยู่อย่างสงบ ดังนั้นการไปทำงานอยู่ชั้นเดียวกับรัญชนาก็น่าจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพจิตของเธออย่างไม่ต้องสงสัย
สองพี่น้องเดินคุยเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งเข้าไปในบ้านแล้วพบกับรัญชนาที่เดินลงบันไดมาพอดี อีกฝ่ายดึงหน้าทันทีที่เห็นน้องสาวต่างแม่
“ไงรัญ วันนี้กลับบ้านเร็วนะเรา พี่นึกว่าค่ำนี้จะไปปาร์ตี้เสียอีก ได้ยินว่ามีหลายงานเลย”
“พี่รัชก็เหมือนกันน่ะแหละ ทำไมวันนี้ไม่ไปงานอะไร” รัญชนาถามกลับ ไม่เหลือบแลปภาวรินท์
“เหนื่อยน่ะสิ สัปดาห์นี้พี่ไปงานเลี้ยงงานศพหลังเลิกงานมาสี่วันติดแล้ว เมื่อวันก่อนก็รถติดนรกแตก กว่าจะถึงบ้านก็เที่ยงคืน” ผู้เป็นพี่ชายกลอกตา ขณะเดียวกันก็ขยับรั้งน้องสาวคนเล็กให้เดินขึ้นบันไดไปด้วยกัน
ปภาวรินท์ไม่อาจต้านทานแรงรั้งจึงได้แต่ก้าวเท้าตาม ทว่าในใจก็เต็มไปด้วยความกังวล เนื่องจากพี่สาวยังยืนขวางอยู่กลางบันได และจากประสบการณ์ที่ผ่านมาเธอกล้าพนันเลยว่าอีกฝ่ายจะไม่หลบแน่ แต่กระนั้นก็ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ใช่คนเดียวที่คิดแบบนี้ เนื่องจากอยู่ดีๆ พี่ชายก็จับเธอย้ายไปอยู่ที่อีกฝั่งของเขาก่อนจะก้าวขึ้นบันได เพื่อช่วยให้เธอไม่ต้องปะทะกับรัญชนาตรงๆ
น้องสาวคนโตถลึงตาใส่พี่ชาย ขณะที่เขายิ้มตอบกลับไปแบบไม่รู้สึกรู้สา ผลคือโดนอีกฝ่ายกระแทกไหล่ตอนเดินสวนกัน และเมื่อชายหนุ่มหันไปมองน้องสาวคนเล็ก เขาก็ได้รับรอยยิ้มขอบคุณเป็นของกำนัล
ตั้งหลายปีแล้วยายรัญก็ยังไม่ยอมรับความจริงเสียทีว่ามีน้องสาวอีกคน ทั้งที่ตอนม้ายังอยู่ ท่านก็ไม่เคยพูดหรือสั่งสอนให้เกลียดอีกบ้านแท้ๆ รัชนาททั้งเหนื่อยใจกับน้องสาวคนโตและเห็นใจน้องสาวคนเล็กไปพร้อมกัน
ปกติแล้วที่บ้านของเขาไม่ค่อยได้กินมื้อเย็นร่วมกันเท่าไหร่ ทั้งประดิษฐ์ ตัวเขา รวมถึงรัญชนามักจะมีงานสังคมต้องไปร่วมหรือมีนัดหลังเวลางานเป็นปกติ ส่วนปภาวรินท์ไม่ค่อยออกงาน เธอไปอาศัยอยู่ที่คอนโดฯ ที่ประดิษฐ์ซื้อให้ตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็พอจะเข้าใจเหตุผลของเธอ ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครอยากอยู่ในบ้านที่มีคนเกลียดตัวเองอยู่ด้วย
อย่างไรก็ตามประดิษฐ์ขอร้องปภาวรินท์เอาไว้ว่าให้กลับมากินมื้อเย็นที่บ้านและค้างคืนสักสัปดาห์ละหน ซึ่งหญิงสาวก็ปฏิบัติตามโดยดีมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา…ปกติจะมีการนัดกันก่อน แล้วประดิษฐ์ก็จะบอกแม่บ้านไว้ว่าลูกสาวคนเล็กจะมาเพื่อที่จะได้เตรียมอาหารเย็นไว้ แน่นอนว่ารัญชนาต้องทราบเหมือนกันและเธอก็มักจะอยู่ร่วมมื้อเย็นในวันนั้นด้วยเสมอ ไม่ว่าก่อนหน้านั้นเธอจะมีแผนอะไรในตอนเย็นก็ตาม
“เออ พรุ่งนี้ปินมีแผนอะไรไหม พี่จะไปงานของบ้านไอ้วุธ สนใจไปด้วยกันหรือเปล่า หมอนั่นเพิ่งบ่นกับพี่ว่าไม่ได้เจอปินมาพักหนึ่งแล้ว”
“ปินนัดช่างมาล้างแอร์น่ะสิ โทษทีนะ” แม้ปากจะบอกขอโทษ แต่แท้จริงแล้วปภาวรินท์โล่งใจมากทีเดียวที่สามารถปฏิเสธพี่ชายได้โดยไม่ต้องโป้ปด
“อ้าวเหรอ เสียดายจัง” รัชนาทพึมพำบ่น ก่อนจะปล่อยมือจากน้องสาวเมื่อเดินมาถึงประตูห้องของเธอ “เอ้า เดี๋ยวเจอกันอีกทีข้างล่างนะ”
หญิงสาวพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม จากนั้นก็เปิดประตูเข้าห้องพักที่จะมาใช้งานสัปดาห์ละหน พอหย่อนกระเป๋าสะพายลงบนเตียงแล้วเธอก็ถอนหายใจเฮือก…อะไรพี่ชายของเธอก็ดีไปหมดน่ะแหละ ยกเว้นเรื่องที่พยายามเชียร์ธราวุธซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของเขาให้เธอเหลือเกิน
อันที่จริงธราวุธก็ไม่แย่ เขาเป็นลูกชายนักการเมือง เป็นเจ้าของธุรกิจนำเข้ารถยนต์รายใหญ่ หน้าตาดี เป็นนักเรียนนอก และเป็นคนเอาการเอางานใช้ได้ นิสัยก็ดูเหมือนจะโอเค เขาเพิ่งมาจีบเธอเมื่อปีก่อนทั้งที่รู้จักกันมานานแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอยู่ดีๆ เขาถึงเกิดประทับใจเธอขึ้นมา ปัญหาคือเธอกลับไม่ได้รู้สึกนึกชอบพอเขาไปมากกว่าพี่ชาย แต่ด้วยความที่อีกฝ่ายเป็นเพื่อนพี่ชายเลยเป็นการยากที่จะกำจัดเขาไปอย่างเด็ดขาดเหมือนคนอื่น
แหม ถ้าพี่วินเป็นเพื่อนพี่รัชก็ดีน่ะสิ…
“พวกแกสองคนนี่มันยังไงวะ หน้าตาก็ดี การงานก็ดี ดันไม่มีผู้หญิงเอาทั้งคู่” ทรงพลมองชายหนุ่มทั้งสองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่สบอารมณ์
“พ่อพูดแบบนี้พวกเราเสียหายนะ ไม่ใช่ผู้หญิงไม่เอาเราอย่างเดียวเสียหน่อย บางทีเราก็ทิ้งผู้หญิงเองบ้างเหมือนกัน” อาชวินพูดกลั้วหัวเราะขณะใช้ส้อมจิ้มหมูมะนาวเข้าปาก
คืนนี้เขามาค้างที่บ้านของวีรากร เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนผู้ซึ่งกลายมาเป็นหุ้นส่วนร่วมก่อตั้งบริษัท Archwin ด้วยกัน ปัจจุบันแทบจะเหมือนเป็นพี่น้องคลานตามกันมา กระทั่งเขายึดพ่อของอีกฝ่ายมาเป็นพ่อตัวเองด้วยแล้ว และตอนนี้พวกเขาก็กำลังประกอบกิจกรรมที่ขาดไม่ได้ยามมีโอกาสอยู่พร้อมหน้ากันสามคนช่วงสุดสัปดาห์ นั่นคือตั้งวงสังสรรค์
“เลือกแม่ของลูกก็ต้องเอาที่ดีๆ สิ คว้าสุ่มสี่สุ่มห้าได้ไง” วีรากรซึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาชงเหล้าพูดเสียงต่ำ
“ไม่ต้องมาพูดดี แกน่ะตัวดีเลยไอ้วี” ผู้เป็นพ่อถลึงตาใส่อย่างขุ่นเคือง “ไอ้วินยังมีแฟนบ้าง แฟนคนล่าสุดของแกตั้งกี่ปีแล้ว ตอนแรกบอกว่าให้บริษัทอยู่ตัวก่อนค่อยหาเมีย นี่อยู่จนรากจะงอกแล้วก็ยังไม่เห็นมีผู้หญิงสักคน แกเป็นสถาปนิกนะไม่ใช่ฤาษีบำเพ็ญตบะ!”
ลูกชายเงยหน้าขึ้นมาทำท่าเหนื่อยหน่าย ทว่าเขาก็ไม่เถียงอะไรแล้วก้มลงไปชงเหล้าต่อ ปล่อยให้เพื่อนสนิทพูดแทน
“พวกเราไม่เตะถ่วงเรื่องนี้หรอกพ่อ แต่มันไม่มีคนที่เหมาะจริงๆ จะให้ทำไง”
ทรงพลพยักหน้าแกนๆ คร้านจะบ่นอีก อย่างไรเสียปลูกเรือนก็ต้องตามใจผู้อยู่ ผูกอู่ก็ต้องตามใจผู้นอน ยุคสมัยนี้ใช่จะบังคับจับคลุมถุงชนกันได้เหมือนเมื่อก่อน เพียงแต่ในฐานะคนเป็นพ่อ ท่านก็อยากให้ลูกชายคนเดียวกับชายหนุ่มอีกคนที่เขารักเหมือนลูกแท้ๆ มีครอบครัวมั่นคงเสียที
“พ่อเคยทำงานกับเจ้าสัวประดิษฐ์ไหม เขาเป็นยังไงบ้าง” อาชวินรีบเบี่ยงเบนประเด็นสนทนา
“เคย ตอนบ้านเขาจัดงานแสดงสินค้าแพงๆ เขาเคยหาคนนอกเข้าไปเสริมคนของเขา ก็ไม่มีปัญหาอะไรนะ คุยง่าย จ่ายเงินตรง” ทรงพลทบทวนความทรงจำ “ทำไม จะไปทำงานกับเขาเรอะ”
“บริษัทของเขามีโครงการที่น่าสนใจอยู่” ชายหนุ่มตอบก่อนจะเล่าเรื่องที่เจ้าสัวประดิษฐ์ร่วมทุนกับต่างชาติเพื่อรีโนเวตโรงแรมและสร้างศูนย์การค้าแห่งใหม่
“ฟังดูน่าจะเป็นงานใหญ่มากนะ”
“ความจริงผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากหรอก แต่ถ้ามีโอกาสก็อยากลองน่ะ”
“จะว่าไปตอนที่ไปทำงานกับทางนั้น พ่อก็ได้เจอลูกสาวของเจ้าสัวคนนึงด้วยนะ ถ้าเข้าใจไม่ผิดน่าจะเป็นคนเล็ก” ทรงพลนึกขึ้นได้
“น้องปินเหรอครับ” อาชวินเลิกคิ้ว
“อาจจะชื่อนั้นก็ได้ มันก็นานแล้ว…แล้วนี่รู้จักเขาด้วยเรอะ”
“เพิ่งรู้จัก คือผมรู้จักลูกสาวคุณบันลือก่อน ส่วนน้องปินเขาเป็นเพื่อนสนิทของลูกสาวคุณบันลืออีกที เมื่อไม่นานมานี้เพิ่งเจอกันที่งานเลี้ยง แล้วเมื่อวันก่อนก็บังเอิญเจอกันอีกรอบแถวออฟฟิศผม” อาชวินเล่า
“วินคงพอมีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวเจ้าสัวใช่ไหม ที่ว่าลูกสาวคนเล็กเป็นลูกเมียน้อยน่ะ”
อาชวินพยักหน้ารับคำถามของทรงพล ก่อนจะหันไปเล่าให้วีรากรซึ่งปกติไม่สนใจอะไรทำนองนี้ฟัง…เจ้าสัวประดิษฐ์มีสองบ้าน โดยปภาวรินท์เป็นลูกบ้านเล็กซึ่งพ่อรับมาอยู่บ้านใหญ่ด้วยกันหลังจากแม่ของเธอเสียชีวิตในช่วงที่หญิงสาวเข้ามหาวิทยาลัย สำหรับรัญชนานั้นเขาเคยพบผ่านๆ ตามงานอีเวนต์ แต่ไม่รู้จักกันเป็นการส่วนตัว ภรรยาหลวงของประดิษฐ์ก็เสียชีวิตไปแล้วเหมือนกัน
“ถ้ารู้จักคนนี้ก็น่าจะดี งานที่พ่อรับวันนั้นเป็นงานที่มีพวกเพชรพลอยมาแสดง ลูกสาวอีกคนที่ตาดุๆ หน่อยเป็นนางแบบอยู่บนเวที ส่วนลูกสาวคนเล็กเหมือนจะเป็นฝ่ายประสานงาน ค่ำนั้นเดินมาถามพวกพ่อทั้งก่อนและหลังงานเลยว่าขาดเหลืออะไรไหม ดูเป็นเด็กดีนะ” ส่วนที่ทรงพลไม่ได้พูดออกไปคือท่านเคยได้ยินว่าลูกสาวบ้านใหญ่เกลียดน้องสาวต่างแม่มาก และถึงขั้นเหยียดหยามอีกฝ่ายในที่สาธารณะหลายหนทีเดียว
“ผมรู้จักเขาแค่ผิวเผิน แต่ดูแล้วก็น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ” ชายหนุ่มเห็นพ้อง
“ถ้าดูท่าว่าเขาจะช่วยได้ก็ไปตีสนิทซะสิ ได้นามบัตรมาแล้วนี่” วีรากรพูดเป็นเชิงสั่ง
“ไอ้นี่ก็สั่งจริง ไปตีสนิทเองมั่งไหมวะ” อาชวินเหล่มองเพื่อนอย่างขันๆ
โดยทั่วไปแล้วแม้จะได้ชื่อว่าเป็นสถาปนิกเหมือนกัน แต่พวกเขาก็แบ่งงานกันทำชัดเจนด้วยความถนัดอยู่คนละทาง ตัววีรากรแม่นกฎหมายและถนัดงานที่เน้นความคุ้มค่ากับประโยชน์ใช้สอยสูง นิสัยเงียบๆ ทำให้เจ้าตัวคุมงานอยู่ในออฟฟิศเป็นหลัก ขณะที่อาชวินมีความโดดเด่นด้านไอเดียแปลกใหม่หรือเน้นความสวยงามสะดุดตา และมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกว่าก็ทำให้เขารับหน้าที่ติดต่อเจรจากับลูกค้า
อย่างไรก็ตามถ้าโครงการของพร้อมพิพัฒน์ใช้วิธีการประกวดออกแบบก็ต้องหวังให้ทางนั้นประทับใจงานในพอร์ตโฟลิโอของ Archwin มากพอจะติดต่อมา ถ้าปภาวรินท์มีส่วนร่วมกับโครงการก็อาจช่วยได้ แต่อาชวินก็ไม่ได้มีข้อมูลเกี่ยวกับเธอมากนัก กระทั่งจะได้เจอกันอีกหรือเปล่ายังไม่รู้เลย
เท่าที่ชายหนุ่มทราบเกี่ยวกับลูกสาวคนเล็กของเจ้าสัวประดิษฐ์คือเมื่อวันงานเลี้ยงเธอน่าจะกลัวมากจริงๆ ตอนที่เขายื่นมือไปให้เธอใช้เป็นหลักยึดเพื่อยืนนั้นปลายนิ้วของเธอเย็นเฉียบจนน่าตกใจ วันนั้นความสงสัยผุดวูบขึ้นมา ครั้นวันนี้เขาพูดถึงเธอก็ยังอดสงสัยซ้ำไม่ได้ เพราะมันต้องมีเหตุผลที่ทำให้เธอกลัวขนาดนั้น
ทรงพลยกแก้วเหล้าขึ้นจิบขณะมองชายหนุ่มทั้งสองคุยกัน…อันที่จริงถ้าหากอาชวินอยากใช้เส้นสายในการเข้าถึงเจ้าสัวประดิษฐ์ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย ไม่ต้องไปตีสนิทลูกสาวของอีกฝ่ายให้เสียเวลาด้วย แต่ถ้าเขาจะทำแบบนั้นก็คงทำเสียนานแล้ว และคงไม่ฝ่าฟันตั้งบริษัทเองด้วยความยากลำบากแบบนี้
บุรุษสูงวัยยังจำวันแรกที่วีรากรพาเพื่อนร่วมคณะคนนี้กลับมาที่บ้านได้ดี อันที่จริงชายหนุ่มทั้งสองเคยเจอกันตั้งแต่ก่อนหน้านั้นทว่าไม่รู้จักกัน ตอนนั้นเขาเพิ่งเปิดบริษัทรักษาความปลอดภัยไม่นาน หนึ่งในงานที่รับเกี่ยวข้องกับแม่ของอาชวิน แม้วีรากรยังเป็นวัยรุ่นแต่ก็ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดี ถ้าลูกชายว่างท่านก็มักพาไปทำงานด้วยเพื่อจะได้มีประสบการณ์ วีรากรกับอาชวินได้พบกันในครั้งนั้นเอง พอเจอกันอีกทีที่มหาวิทยาลัยอาชวินจำวีรากรได้เลยเข้ามาทัก ไปๆ มาๆ ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน
สำหรับทรงพลแล้วอาชวินเป็นเด็กอาภัพ แม้จะเกิดมาในครอบครัวที่ดูสมบูรณ์เพียบพร้อม ทว่าแท้จริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น อาชวินย้ายออกมาอยู่คนเดียวตั้งแต่ยังไม่จบมัธยมศึกษาดีด้วยซ้ำ คอนโดฯ ของเขาอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย บางทีวีรากรเลยไปค้างที่นั่น แต่ถ้าเป็นช่วงสุดสัปดาห์อาชวินมักจะติดสอยห้อยตามมาที่บ้านนี้ เป็นแบบนี้อยู่นานจนเรียกว่ากลายเป็นลูกชายของท่านไปอีกคน ถึงขั้นที่อีกฝ่ายเรียกท่านว่าพ่อแบบเต็มปากเต็มคำ ตอนอาชวินก่อตั้งบริษัทสถาปนิกก็ท่านนี่แหละที่ให้ยืมชื่อไปใส่เป็นผู้ถือหุ้นคนที่สามให้ครบตามที่กฎหมายกำหนด
พูดตามจริง ใจทรงพลห่วงอยากให้อาชวินเจอคู่ครองดีๆ มากกว่าที่ห่วงวีรากรเสียอีก ภรรยาของท่านป่วยและเสียชีวิตไปเร็ว วีรากรจึงกำพร้าแม่ตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนอาชวินนั้นพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่แต่ก็เหมือนกำพร้า ที่วีรากรไม่ยอมมีแฟนเสียทีเข้าใจว่าเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของเจ้าตัวเอง แต่ท่านเกรงว่าสำหรับอาชวินจะเป็นเหตุผลอื่นอย่างเช่นความล้มเหลวในด้านชีวิตสมรสของพ่อแม่ตัวเอง
จะว่าไป…หลังจากท่านทำงานให้พวกพร้อมพิพัฒน์ไม่นานก็มีข่าวลือแปลกๆ เกี่ยวข้องกับปภาวรินท์ลอยมาตามลม ทว่าข่าวมีหลายกระแส บวกกับการที่ผู้เกี่ยวข้องล้วนเป็นลูกหลานคนมีหน้ามีตา ทำให้สุดท้ายเรื่องนี้ก็เงียบหายไป
แต่ว่า…เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการที่อาชวินอยากได้งานของพวกพร้อมพิพัฒน์กระมัง
อาชวินมองแม่ผู้ให้กำเนิดด้วยแววตาว่างเปล่าดุจมองคนไม่รู้จัก พยายามนึกทบทวนว่าครั้งสุดท้ายที่เขาได้เจอวิภาดาคือเมื่อไหร่แน่ อาจจะเป็นเมื่อสักสามสี่เดือนก่อน แต่เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจ ตอนนี้สมองของเขาไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าไหร่ ข้อมูลเกือบทั้งหมดที่มันส่งมาให้เขาในเวลานี้คืออาการปวดตุบๆ บริเวณศีรษะ นอกนั้นก็เป็นความจำที่ว่าแม่ของเขาบอกจะไปทำศัลยกรรมคางที่เกาหลีใต้ และถ้าดูจากใบหน้าของวิภาดาในตอนนี้ท่านก็คงไปทำมันแล้ว แถมน่าจะมีการศัลยกรรมอย่างอื่นอีกหลายอย่างด้วย
พูดก็พูด ถ้าเดินสวนกันเขาอาจจะจำแม่ตัวเองไม่ได้ก็ได้
“วิน ฟังที่แม่พูดบ้างไหมเนี่ย” วิภาดาพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจเพราะสังเกตเห็นว่าลูกชายคนเดียวทำท่าใจลอย ทั้งที่เมื่อครู่ตนเล่าเรื่องการไปล่องเรือยอชต์ที่ฝรั่งเศสกับเพื่อนให้ฟังเสียยืดยาว
“ขอโทษทีครับ ผมแฮงก์ เมื่อคืนผมดื่มกับเพื่อนเพลินไปหน่อย ไม่นึกว่าคุณแม่จะโทรมาชวนกินข้าวแบบนี้”
เมื่อคืนหลังจากทรงพลแยกตัวไปพักผ่อนแล้วเขาก็ยังนั่งชนแก้วกับวีรากรต่อจนดึก ส่วนหนึ่งเพราะเห็นว่าวันนี้เป็นวันหยุดและเขาก็ว่าง โดยตั้งใจไว้ว่าจะนอนสักครึ่งค่อนวัน ใครจะไปนึกว่าจู่ๆ แม่จะโทรมาเรียกให้ออกมากินมื้อเที่ยงด้วยกัน แม้ใจจะอยากปฏิเสธ ทว่าจิตสำนึกก็เหนี่ยวรั้งไว้ว่าเขาไม่ได้เจอหน้าแม่มานานพอควรแล้ว ดังนั้นจึงแข็งใจฝืนลุกออกมา ที่น่าขำก็คือก่อนออกจากบ้านมาวีรากรถามว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรไหม
หมอนั่นทำอย่างกับเขามาออกรบ แต่ก็นั่นแหละ…เพื่อนสนิทของเขารู้ลึกรู้จริง
“อ้อ” ท่าทางของผู้เป็นแม่อ่อนลงเล็กน้อย “แล้วนี่กินอะไรแก้แฮงก์ไปหรือยัง เอสเพรสโซสักชอตดีไหม”
“เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนออกมาแล้วครับ แต่ไม่ค่อยดีขึ้นเท่าไหร่ ผมถึงสั่งชาเขียวมาลองนี่ไง”
“อายุเริ่มเยอะแล้วก็แบบนี้แหละ นี่พูดจากประสบการณ์ตรงของแม่นะ”
อาชวินพยักหน้ารับ สำหรับเรื่องนี้ถ้าไม่เชื่อวิภาดาเขาก็ไม่รู้จะไปเชื่อใครได้อีก เพราะท่านได้ชื่อว่าเป็นสาวสังคมสายปาร์ตี้ตั้งแต่ก่อนแต่งงาน ขนาดที่ว่าคลอดเขาแค่ไม่ถึงสองสัปดาห์ก็ออกไปปาร์ตี้แล้ว กระทั่งบัดนี้ท่านก็ยังไม่เปลี่ยน
“แล้วแบบนี้เย็นนี้จะไปงานวันเกิดเพื่อนแม่กับแม่ไหวไหมเนี่ย”
“งานวันเกิด?”
“อืม งานวันเกิดคุณหญิงกสมา จำได้ไหม…ที่แม่เคยแนะนำว่าจะให้วินไปออกแบบตึกออฟฟิศใหม่ให้เขา แล้ววินบอกว่างานแน่น สถาปนิกไม่พอนั่นไง”
“อ้อ แล้วทำไมผมต้องไปงานวันเกิดของเขาด้วย”
“คุณหญิงกสมาเป็นเพื่อนแม่ มีธุรกิจเยอะแยะ เราทำธุรกิจก็ต้องรู้จักคนให้เยอะๆ เข้าไว้ไม่ใช่หรือไง” วิภาดาขมวดคิ้วเพราะคิดว่าลูกชายถามอะไรแปลกๆ
อาชวินยิ้มเอื่อยๆ เพื่อสะกดอาการอยากระบายลมหายใจของตัวเองเอาไว้…ถ้าวิภาดาเป็นแม่ที่ใกล้ชิดกับเขามากกว่านี้สักหน่อย ท่านจะต้องทราบว่าทุกวันนี้เขารู้จักคนเยอะมาก แต่ก็คงว่าท่านไม่ได้ ในเมื่อเขาพยายามหลีกเลี่ยงใครก็ตามที่สนิทกับท่านมากๆ แม้จะฝืนธรรมชาติในการหางานเข้าบริษัทก็ตาม เพราะต้องยอมรับว่าวงสังคมของแม่มีลูกค้าชั้นดีอยู่ไม่น้อย
“ถ้าผมไปงานวันเกิดในสภาพนี้น่าจะทำให้คุณแม่ขายหน้ามากกว่านะ”
“เอาไว้คราวหน้าก็ได้” วิภาดาพยักหน้าอย่างไม่เต็มใจนัก “น่าเสียดาย หนูดาด้าลูกสาวคนเล็กของคุณหญิงกสมากลับมาจากเรียนปริญญาโทที่ยุโรปพอดีเสียด้วย วินรู้จักหนูดาด้าไหม”
“จำได้ว่าเคยเจอตามงานสังคมครับ แต่นานแล้ว ก็น่าจะเป็นตอนก่อนเขาไปเรียนต่อล่ะมั้ง”
“เขาสวยน่ารักดีนะ” ผู้เป็นแม่พอใจมากขึ้นกับคำตอบที่ได้รับ
ชายหนุ่มไม่ตอบทว่ายกถ้วยชาเขียวร้อนขึ้นมาจิบ…ก็เพราะแบบนี้เขาถึงไม่คิดจะรับงานจากพวกเพื่อนพ้องของแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีลูกสาว แต่อย่างน้อยคราวนี้ก็ดีหน่อยตรงที่ท่านเปิดประเด็นขึ้นมาหลังจากกินข้าวเสร็จแล้ว อีกแป๊บเขาก็ขอตัวกลับได้ ไม่ต้องฟังท่านโฆษณาลูกสาวเพื่อนนาน
นาฬิกาเพิ่งบอกเวลาบ่ายสอง ทว่าปภาวรินท์กลับรู้สึกว่าพลังงานสำหรับวันนี้จวนเจียนจะหมดเต็มทีแล้ว อันที่จริงเธอควรจะชินเพราะมันก็เป็นแบบนี้แทบทุกครั้งที่กลับไปค้างที่บ้าน เนื่องจากรัญชนาไม่เพียงละจากกิจกรรมต่างๆ ที่วางแผนไว้เพื่ออยู่ร่วมโต๊ะมื้อเย็นแล้ว วันรุ่งขึ้นอีกฝ่ายก็มักจะยังปักหลักอยู่ที่บ้านจนกว่าเธอจะกลับ ซึ่งเธอก็เดาแบบค่อนข้างปักใจเชื่อว่าพี่สาวต่างแม่น่าจะกลัวเธอออดอ้อนขออะไรจากพ่อเลยตั้งใจจะอยู่ขวางให้มากที่สุด
หญิงสาวระบายลมหายใจขณะยืนรอเครื่องดื่มหน้าเคาน์เตอร์ร้านกาแฟ ปกติเธอไม่ได้คิดจะขออะไรจากประดิษฐ์เลย มีแค่วันนี้ที่อยากหาโอกาสคุยกับพ่อเรื่องโครงการรีโนเวตโรงแรมนั่น แต่เพราะรัญชนาประกบท่านตลอดทำให้ไม่มีโอกาส…ถ้าขึ้นไปหาพ่อตอนอยู่ออฟฟิศรัญชนาก็ต้องรู้อยู่ดี แถมเรื่องนี้เธอไม่อยากโทรคุยด้วยสิ
ปภาวรินท์ทู่ซี้อยู่ที่บ้านจนกระทั่งมื้อเที่ยง ปรากฏว่าพี่ชายดันเปิดประเด็นเรื่องธราวุธขึ้นมาเสียอีก ประดิษฐ์ชอบเพื่อนของลูกชายคนนี้มากและรู้ด้วยว่าอีกฝ่ายสนใจเธออยู่ ดังนั้นพ่อเลยแนะให้เธอบอกเลิกนัดช่างแอร์ แน่นอนว่าเธอต้องยืนกรานปฏิเสธ โดยอ้างว่าถ้ายกเลิกวันนี้กว่าจะนัดใหม่ได้ก็คงวันหยุดสุดสัปดาห์หน้า แต่ตอนนี้แอร์ที่คอนโดฯ ของเธอชักไม่ค่อยเย็นเท่าไหร่แล้ว ถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังไม่วายบอกว่าให้ลองเปิดใจศึกษาธราวุธดู…ที่น่าเบื่อก็คือสำหรับเรื่องนี้รัญชนาผสมโรงกับพ่อไปด้วยเสียอย่างนั้น เพราะอีกฝ่ายทราบดีว่าเธอไม่ได้ชอบเพื่อนพี่ชาย
นอกจากไม่ได้คุยกับประดิษฐ์ตามที่ตั้งใจไว้แถมกินมื้อเที่ยงฝืดคอแล้ว พอกลับมาถึงคอนโดฯ ปภาวรินท์ยังต้องหงุดหงิดเพราะช่างแอร์โทรมายกเลิกนัดโดยให้เหตุผลว่ายังไม่เสร็จงานที่บ้านลูกค้าคนก่อนหน้าเสียอีก
หญิงสาวพึมพำขอบคุณเมื่อบริกรเอาแก้วช็อกโกแลตปั่นมาวางตรงหน้า เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอันที่จริงเธอสามารถไปนั่งรอที่โต๊ะแล้วให้พนักงานเอาอาหารกับเครื่องดื่มที่สั่งไปเสิร์ฟได้ ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อกี้เธอยืนรอตรงหน้าเคาน์เตอร์ทำไม เธอถอนหายใจก่อนจะฉวยแก้วช็อกโกแลตปั่นแล้วหันไปมองหาโต๊ะว่างที่มุมดีๆ ใช้เวลาครู่หนึ่งเธอก็เลือกโต๊ะที่อยู่ใกล้ประตูร้าน แม้จะพลุกพล่านหน่อยแต่ตรงนั้นแดดส่องไม่ถึง
ปภาวรินท์กำลังจะนั่งลงบนเก้าอี้ตอนที่สังเกตเห็นบุรุษร่างสูงคนหนึ่งผลักประตูเข้ามาในร้าน แล้วปากของเธอก็ขยับส่งเสียงร้องออกไปก่อนสมองจะสั่งเสียอีก
“พี่วิน!”
อาชวินหันขวับตามเสียงเรียก จากนั้นเขาก็เลิกคิ้วแปลกใจแล้วเลี้ยวไปหาคนเรียก
“สวัสดีครับน้องปิน บังเอิญจัง มาเที่ยวแถวนี้เหรอ เอ๊ะ หรือว่าน้องปินพักอยู่คอนโดฯ ในนี้ครับ”
“เปล่าค่ะ แต่อยู่คอนโดฯ ใกล้ๆ นี้ เดินมาแค่แป๊บเดียวก็ถึง” หญิงสาวอธิบาย ก่อนจะทำตาโตเมื่อนึกขึ้นได้ “พี่วินพักอยู่ในนี้เหรอคะ”
“ครับ บริษัทพี่รับผิดชอบออกแบบโครงการนี้เองก็เลยมาอยู่ที่นี่เสียเลย” อาชวินพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม
โครงการสกายไลน์แห่งนี้ใช้แนวคิดมิกซ์ยูส คือมีทั้งพื้นที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์อยู่ร่วมกัน ในอาณาบริเวณนี้มีคอนโดฯ หลายตึก และมีส่วนที่เป็นศูนย์การค้าย่อมๆ ด้วย และด้วยความที่เขาเป็นเจ้าของบริษัทสถาปนิกที่ดูแลรับผิดชอบโครงการนี้ อีกทั้งยังมีสัมพันธ์อันดีกับเจ้าของโครงการ ชายหนุ่มจึงได้รับข้อเสนอให้ซื้อคอนโดฯ ในราคาพิเศษ เขาชั่งใจแล้วเลยขายคอนโดฯ เก่าที่อยู่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้วบวกเงินเพิ่มเพื่อซื้อห้องที่นี่
“จริงเหรอคะ ปินชอบตึกในนี้มากเลย สวยเก๋มาก” ปภาวรินท์ทำตาโตอีกรอบ
“ขอบคุณครับ” รอยยิ้มของอาชวินกว้างขึ้นอีกเพราะรู้สึกว่าเธอหมายความตามที่พูดจริงๆ
หญิงสาวมองรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาอย่างเผลอไผล พอรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองยืนคุยกับเขาโดยตลอด และไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นโอกาสที่พลาดไม่ได้ ดังนั้นจึงโพล่งออกไป
“พี่วินจะนั่งกินที่ร้านหรือเปล่าคะ ถ้าจะอยู่ที่ร้านต่อเดี๋ยวนั่งด้วยกันไหม”
ชายหนุ่มแปลกใจที่ได้รับคำชวน ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะแค่แวะซื้อเครื่องดื่มสักแก้วแล้วกลับขึ้นห้อง แต่เมื่อได้รับคำชวนแบบนี้เขาก็ไม่อยากเสียมารยาทปฏิเสธ ต่อให้ยังปวดศีรษะตุบๆ ก็ตาม ที่สำคัญการทำความรู้จักกับลูกสาวเจ้าสัวประดิษฐ์ไว้ก็ไม่เสียหาย
“ขอบคุณครับ งั้นเดี๋ยวพี่มา”
ปภาวรินท์ทรุดตัวลงนั่งหลังจากเขาไปแล้ว จากนั้นก็วางมือลงตรงกลางอก เธอสัมผัสถึงจังหวะการเต้นระรัวของหัวใจที่อยู่ข้างใต้ แต่ก็ยังระบายลมหายใจอย่างเป็นสุขอยู่ดี…เซ็งมาครึ่งค่อนวัน ในที่สุดก็มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นเสียที
ปภาวรินท์ตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้เสียเปล่า เธอเลยทำตัวเหมือนสนิทกับเขามานานแล้วและชวนเขาคุยนู่นนี่ จนได้รู้ว่าที่เขาสั่งช็อกโกแลตปั่นเหมือนกับเธอก็เพราะรู้สึกปวดหัวจากอาการเมาค้าง เมื่อลองกาแฟเข้มๆ กับชาเขียวแล้วไม่ได้ผล เขาเลยคิดว่าลองช็อกโกแลตสักหน่อยก็ไม่เสียหาย
“เพื่อนปินแนะนำมะนาว แบบคั้นสดๆ ไม่ผสมอะไรเลยน่ะค่ะ ปินเคยลองหนหนึ่ง ได้ผลอยู่นะ”
“ครั้งเดียวเองเหรอ” อาชวินถามยิ้มๆ
“ปินเคยเมาหนักแค่หนเดียว จำอะไรแทบไม่ได้เลย รู้แค่ตอนตื่นมาแฮงก์เหมือนจะตาย แถมหลังจากใช้สูตรแก้แฮงก์ของเพื่อนแล้วก็อาเจียนอีก ตั้งแต่นั้นเลยเข็ด ดื่มแค่นิดๆ หน่อยๆ ไม่ให้ถึงขั้นแฮงก์อีก” หญิงสาวเล่าอย่างเก้อเขิน
“พี่สิ แฮงก์หลายครั้งแล้วยังไม่ค่อยเข็ด น่าจะทำตัวฉลาดๆ แบบน้องปินนะ ไม่งั้นคงไม่แฮงก์ขนาดนี้” เขาหัวเราะเบาๆ ดวงตาทอประกายเอ็นดูกับเรื่องที่เธอเล่า
“แล้วพี่วินรู้สึกดีขึ้นไหมคะ ถ้ายังไม่หายลองฮันนี่โทสต์ไหม แบบว่าหวานให้สุดเลย เผื่อจะดีขึ้น”
อาชวินมองจานฮันนี่โทสต์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้าหญิงสาว ขนาดของมันค่อนข้างใหญ่พอสมควร ตอนที่พนักงานยกมาเสิร์ฟเขาเห็นเธออ้าปากเหวอ ท่าทางตกใจไม่น้อยเหมือนกัน และเขาก็สังเกตเห็นด้วยว่าตอนนี้เธอวางช้อนแล้วทั้งที่ยังเหลือฮันนี่โทสต์เกินครึ่ง
“อยากให้พี่หายแฮงก์ ไม่ใช่ว่าอยากหาคนช่วยกินใช่ไหม”
ปภาวรินท์ทำตาโตก่อนจะยิ้มเขินๆ ที่โดนรู้เท่าทัน ทว่ายังไม่ทันพูดอะไรเขาก็ส่งยิ้มมาให้พร้อมกับเอื้อมมาเลื่อนจานไปอยู่ตรงกลางโต๊ะ ตามด้วยการหยิบช้อนคันที่ยังไม่ได้ถูกใช้งานขึ้นมาตักฮันนี่โทสต์
“ขอบคุณที่ชวนนะ ความจริงเมื่อกลางวันพี่กินข้าวไม่ค่อยอิ่มเพราะมัวแต่ปวดหัวนี่แหละ” อาชวินพูดไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้เธอรู้สึกเก้อ เพราะแท้จริงแล้วเมื่อกลางวันเขาก็กินข้าวหมดจานตามปกติ
คนอะไร แม้แต่ตอนกินยังหล่อ…หญิงสาวนั่งมองเขากินฮันนี่โทสต์แบบเคลิ้มๆ เธอรู้นั่นแหละว่าเขาก็กินด้วยท่าทางปกติธรรมดาเหมือนคนทั่วไป แต่เธอก็จะยังชมเขาอยู่ดีด้วยความลำเอียงแบบเต็มขั้น สมัยเรียนเธอไม่กล้าเฉียดเข้าใกล้เขาด้วยซ้ำ จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันเลย ใครจะไปนึกว่าพอได้เจอแล้วจะได้เจอกันถี่ขนาดนี้
ฟ้าเป็นใจแท้ๆ…เข้าข้างตัวเองจะผิดไหมเนี่ย
ปภาวรินท์นั่งมองชายหนุ่มเพลินจนกระทั่งเขาสังเกตเห็นและเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เธอเลยเลิ่กลั่กแล้วโพล่งออกไปส่งๆ
“พี่วินชอบกินของหวานเหรอคะ”
“ไม่เชิง พี่เป็นพวกมีอะไรให้กินก็กินน่ะ คาวหวานไม่ต่างกัน” อาชวินบอกยิ้มๆ
หญิงสาวมองใบหน้าหล่อเหลา พอเริ่มมีสติเธอก็นึกถึงประเด็นที่ควรพูดได้…ถึงจะยังไม่ได้คุยกับพ่อก็ไม่เป็นไร อย่างไรเธอก็ปล่อยโอกาสนี้ผ่านไปเฉยๆ ไม่ได้เด็ดขาด
“พี่วินช่วยเล่าเรื่องการทำโครงการนี้ให้ปินฟังได้ไหมคะ…โครงการสกายไลน์นี้น่ะค่ะ”
“หืม? หมายถึงการออกแบบตึกพวกนี้น่ะเหรอ” สถาปนิกหนุ่มเลิกคิ้วประหลาดใจ
“ค่ะ ปินอยากรู้ขั้นตอนว่าปกติเวลาจะสร้างตึกสักตึกเขาเริ่มต้นยังไง เลือกสถาปนิกด้วยวิธีไหน ดีลงานกันยังไง…คือปกติป๊าปินไม่เคยทำพวกอสังหาฯ เลย แต่ตอนนี้ท่านกำลังจะทำโครงการนึง ปินเลยอยากได้ข้อมูลเผื่อจะช่วยอะไรท่านได้” หญิงสาวหยุดนิดหนึ่งเพื่อประเมินท่าทีของเขา “ถ้าไม่รบกวนพี่วินจนเกินไปนะคะ”
“ไม่รบกวนเลยครับ เรื่องแค่นี้เอง” อาชวินเอ่ยยิ้มๆ…เขาคิดอยากทำความรู้จักกับปภาวรินท์อยู่แล้วเนื่องจากเห็นว่าเธอน่าจะเป็นคอนเน็กชั่นชั้นดี และเธอก็ดูเป็นมิตรดีด้วย แต่เขาก็ไม่ได้หวังขนาดที่ว่าเธอจะสามารถช่วยให้เขาได้งานของเจ้าสัวประดิษฐ์ได้
ทว่าก็นั่นแหละ ถ้ามีโอกาสเขาก็จะไม่ปล่อยให้มันลอยผ่านไปเฉยๆ แน่นอน
ติดตามบทที่ 3-4 ได้แล้ววันนี้!
Comments
comments
No tags for this post.