บทที่ 3 รอแล้วได้อะไร
ห้าชั่วโมง…ภูริตารอเขมมาแล้วห้าชั่วโมงเต็มๆ รอแล้วรออีกจนลุกขึ้นไปถามที่เคาน์เตอร์อยู่หลายครั้งก็ได้คำตอบเหมือนเดิมทุกครั้ง
“ไม่ทราบค่ะ”
“ไม่ทราบได้ยังไง คุณเป็นพนักงานประชาสัมพันธ์นะ”
“เป็นพนักงานค่ะ ไม่ใช่เมีย ดิฉันจะทราบทุกเรื่องของนายหัวได้ยังไงคะ”
ภูริตาชักสีหน้าก่อนกระแทกเท้าเดินกลับมานั่งที่โซฟาดังเดิม
แสงตะวันที่เคยสาดแสงทอดยาวผ่านกระจกเข้ามาเริ่มทยอยลดน้อยลงจนหมดไป ความมืดโรยตัวเข้ามาทุกทีจนหญิงสาวหวั่นใจ ต้องลุกขึ้นไปถามพนักงานคนเดิมซึ่งกำลังเก็บโทรศัพท์มือถือลงกระเป๋าสะพาย
“ฉันขอเบอร์พี่เขมหน่อย…ค่ะ”
“ไม่ทราบค่ะ”
“จะไม่ทราบได้ยังไง คุณทำงานที่นี่นะ เวลามีลูกค้าอยากพบเจ้าของบริษัทก็ต้องติดต่อให้ได้สิ”
“อย่างที่บอกค่ะ ดิฉันเป็นพนักงาน ไม่ใช่เมีย นายหัวคงไม่มารายงานดิฉันทุกย่างก้าวว่าอยู่ที่ไหน แล้วถ้าคุณอ้างว่าสนิทกับนายหัว ทำไมถึงไม่มีเบอร์โทรศัพท์นายหัวล่ะคะ”
พนักงานสาวย้อนกลับมาเสียเจ็บแสบทำเอาภูริตาขบริมฝีปาก อยากตอกกลับไปแรงๆ ให้สาแก่ใจ แต่ก็ยังหาถ้อยคำมาตอกอีกฝ่ายให้หน้าหงายไม่ได้ จึงได้แต่ทำเสียงจึ๊กจั๊กในลำคออย่างหงุดหงิด
“แต่คิดไปคิดมาบางทีตกเย็นอย่างนี้นายหัวอาจกำลังดินเนอร์กับคุณฉัตรอยู่ก็ได้ค่ะ”
ได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งที่สองแล้วนะ เห็นทีจะนิ่งนอนใจไม่ได้เสียแล้ว
“คุณฉัตร…คุณฉัตรไหน” เสียงของภูริตาแข็งขึ้น
“ก็แฟนนายหัวน่ะสิคะ”
“พี่เขมอยู่ไหน บอกมานะ ฉันจะคุยกับพี่เขมให้รู้เรื่อง”
“ไม่ทราบค่ะ” พนักงานสาวยักไหล่กวนๆ พลางเก็บของลงกระเป๋าสะพายต่อ
“แล้วนี่เธอจะไปไหน”
“ได้เวลาเลิกงานแล้วค่ะ นี่หกโมงกว่าแล้ว”
“แล้ว…คุณอนุวัตล่ะ”
“คุณอนุวัตกลับไปสักพักแล้วค่ะ”
“กลับได้ยังไง ฉันนั่งอยู่ตรงนี้ตลอด ไม่เห็นเขาจะออกมาเลย”
“ก็ออกทางประตูหลังน่ะสิคะ”
ภูริตาเม้มปาก ใบหน้าเริ่มถอดสี ไฟในออฟฟิศเริ่มดับทีละดวงสองดวงพร้อมกับเสียงเครื่องปรับอากาศที่ดับสนิท
“นี่อย่าปิดแอร์นะ ฉันร้อน”
“ทำไมจะปิดไม่ได้ล่ะคะ นี่เลิกงานแล้ว แม้แต่คุณก็อยู่ไม่ได้ค่ะ”
“แล้วฉันจะไปรอพี่เขมที่ไหน”
พนักงานสาวยักไหล่กวนๆ
“ไม่ทราบสิคะ ดิฉันรู้แต่ว่าออฟฟิศจะปิดแล้ว กรุณาออกไปจากออฟฟิศด้วยค่ะ”
“แต่ฉันจะรอพี่เขมในนี้”
“ไม่ได้ค่ะ”
“แต่ฉันเป็นแฟนพี่เขมนะ เธอทำแบบนี้กับฉันไม่ได้”
“ถ้าคุณเป็นแฟนนายหัวจริงๆ นายหัวคงไม่ปล่อยให้คุณรอเก้อแบบนี้หรอกค่ะ โกหกก็ไม่เนียนอย่าพยายามดีกว่านะคะ”
“ฉันไม่ได้โกหกนะ ฉันเคยคบกับพี่เขมจริงๆ”
“เคยคบคืออดีตค่ะ แปลว่าปัจจุบันไม่ได้คบ เพราะฉะนั้นเชิญค่ะ”
“ฉันไม่ออก!”
ภูริตาวิ่งไปแหมะตัวลงบนโซฟาพลางยึดที่เท้าแขนเก้าอี้ไว้แน่น
“ถ้าคุณไม่ออก ดิฉันจะเรียกยามมาลากคุณออกไปนะคะ”
ริมฝีปากสีชมพูของภูริตาสั่นระริก น้ำตาพานจะหล่นจากขอบตาเสียให้ได้ จากที่เคยออกฤทธิ์ออกเดช วางก้ามตั้งแต่ต้นก็เริ่มคลายท่าทีอ่อนยวบลง
“แล้วจะให้ฉันไปอยู่ที่ไหน ฉันไม่มีเงินติดตัวสักบาท กระเป๋าสตางค์ฉันหาย”
“ถ้าคุณยืนกรานจะรอนายหัวจริงๆ ก็รอตรงโต๊ะม้าหินด้านนอกได้ค่ะ ยังไงตอนกลางคืนก็เปิดไฟอยู่แล้ว”
“แต่ฉัน…”
“คุณอยู่ในออฟฟิศไม่ได้ค่ะ”
ภูริตาเห็นสีหน้าจริงจังของอีกฝ่ายก็ได้แต่ลุกขึ้นยืนคอตก ลากสังขารออกไปนั่งชันเข่าอยู่บนเก้าอี้ม้าหินหน้าออฟฟิศด้วยหัวใจห่อเหี่ยว
เรื่องอดีตก็ลืมๆ ไปไม่ได้รึไง เขาเจ็บคนเดียวที่ไหน เธอก็เจ็บไม่แพ้กันหรอก!
แล้วจู่ๆ ฝนเจ้ากรรมก็ดันกระหน่ำลงมาโดยไม่ให้สุ้มให้เสียง ละม้ายจะลงโทษอดีตเด็กร้ายกาจอย่างไม่ปรานี ละอองฝนเม็ดหนาสาดกระเซ็นเข้ามาทั้งที่ภูริตาซ่อนตัวอยู่ใต้กันสาดอาคารจนเปียกปอนไปทั้งเนื้อทั้งตัว
‘ถ้าคุณเป็นแฟนนายหัวจริงๆ นายหัวคงไม่ปล่อยให้คุณรอเก้อแบบนี้หรอกค่ะ’
ถ้อยคำเยาะหยันของพนักงานคนนั้นทำให้หยาดน้ำตาร่วงพรูแข่งกับสายฝน เขมทำราวกับว่าเธอและเขาไม่เคยมีความทรงจำแสนหวานต่อกัน
ภูริตารู้ว่าเธอนิสัยไม่ดี เคยทำร้ายจิตใจเขากับแม่ของเขาไว้เสียเจ็บแสบ รู้ว่าเขาควรโกรธเกลียดไม่ไยดี แต่อย่างน้อยเขาก็น่าจะนึกถึงบุญคุณที่พ่อของเธอเคยเลี้ยงดูเขากับแม่ยามสิ้นไร้ไม้ตอกสิ
หญิงสาวสะอื้นไห้แข่งกับสายฝนพลางยกมือขึ้นกอดตัวเองตามลำพัง
“พี่เขมใจร้าย แล้วดูสิ แบตฯ ก็ดันมาหมดอีก จะขอความช่วยเหลือจากเจ๊ดัมมี่ก็ไม่ได้”
ภูริตาลองเปิดเครื่องอีกครั้ง แต่หน้าจอมือถือก็ยังขึ้นสีดำ แบตเตอรี่สำรองก็ดันอยู่ในกระเป๋าล้อลาก ให้มันได้อย่างนี้สิ!
“แพมจะนั่งให้รากงอกไปเลย ดูซิว่าพี่เขมจะหลบหน้าแพมได้อีกสักกี่น้ำ!”
หญิงสาวแหวลั่นใส่อากาศ ฟุบหน้าร้องไห้ซบเข่าของตนอย่างอ่อนแรง โดยหารู้ไม่ว่ามีใครบางคนซ่อนตัวอยู่ในรถโฟร์วีลส์ซึ่งจอดอยู่ริมประตูรั้วเหล็กดัดด้านนอก และกำลังทอดตามองร่างเล็กนั่งคู้ตัวบนเก้าอี้ม้าหินผ่านกระจกหน้ารถด้วยความรู้สึกขมขื่นแกมเย้ยหยัน
เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ แทนที่จะเชื่อฟังสมองแล้วหมุนพวงมาลัยกลับบ้าน แต่ดันขับมาจอดซุ่มอย่างเงียบเชียบอยู่หน้ารั้วบริษัท เฝ้ามองหญิงสาวซึ่งเคยมีความทรงจำร่วมกันกำลังร้องไห้โฮใหญ่ด้วยความว้าวุ่นใจ
ครู่หนึ่งเสียงโทรศัพท์มือถือก็ฉุดความคิดคำนึงของเขาออกจากอดีตอันไกลโพ้น
“ครับแม่”
“เขมจะกลับมาทานข้าวบ้านไหมลูก”
“คืนนี้ผมคงค้างในเมือง ไม่ได้กลับไปที่เกาะครับแม่”
เขมตอบเสียงเรียบแต่นัยน์ตาคมกล้าไม่ได้ห่างหายไปจากหญิงสาวร่างเล็กซึ่งฟุบหน้าอยู่กับหัวเข่าเลยแม้แต่น้อย
เส้นผมดำสลวยของเธอเปียกลู่แนบศีรษะ เสื้อผ้าเปียกปอนจนดูชื้นแฉะ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปเธอคง…เขมหยุดความคิดฟุ้งซ่านของตนไว้เพียงเท่านั้น เมื่อตะกอนบางอย่างถูกตีฟุ้งขึ้นมาอีกครั้ง
‘แพม…แพมรักพี่เขมค่ะ’
ภูริตาในวัยสิบห้าปีสารภาพความในใจพลางยื่นกล่องช็อกโกแลตให้เขาในวันวาเลนไทน์ เขมได้แต่ยืนจ้องกล่องช็อกโกแลตรูปหัวใจสีหวานด้วยความรู้สึกอิ่มเอิบซ่านลึกอยู่เต็มหัวใจ แต่เขากลับพูดไปว่า
‘พี่ไม่ชอบกินของหวาน แพมไม่รู้รึไง’ ภูริตาเงยหน้าขึ้นมองเขาคล้ายยังจับต้นชนปลายไม่ถูก ‘ชอบพี่ประสาอะไร แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าพี่ชอบกินอะไร’
‘แพมรู้ๆ พี่เขมชอบกินหมูกระทะ’
เขมหัวเราะพลางยีเส้นผมเด็กสาวอย่างเอ็นดู
‘พี่เขมยอมเป็นแฟนแพมแล้วใช่ไหม’
ชายหนุ่มร่างสูงชะลูดในชุดนักศึกษาส่ายศีรษะ ‘ดูพฤติกรรมก่อนว่าจะเกเรอีกไหม’
‘แพมจะไม่ดื้อไม่ซน ไม่ก่อเรื่อง ไม่เถียงพี่เขมด้วย นะๆ พี่เขมเป็นแฟนแพมนะ’
‘จะรีบร้อนมีแฟนไปไหน อายุแค่สิบห้าเอง’
‘เพื่อนวัยเดียวกับแพมมีแฟนแล้วทั้งนั้น บางคนมีตั้งสองสามคนแน่ะ’
‘จะเอาอย่างเขารึไง’
ภูริตาส่ายหน้าพลางเข้ามาสวมกอดเขาไว้
‘แพมบอกพี่เขมแล้วไงว่าแพมจะรักพี่เขมคนเดียว พี่เขมจะเป็นแฟนคนเดียวของแพมนะ!’
ความทรงจำแสนหวานกะเทาะปราการที่เขาเพียรสร้างไว้ล้อมหัวใจอันบอบช้ำอย่างแน่นหนามากว่าสิบปีให้เริ่มสั่นสะเทือน หากไม่มีความทรงจำขมขื่นแทรกผ่านเข้ามาเขมคงรีบลงจากรถไปรวบร่างเล็กเข้ามาพรมจูบให้คลายคิดถึงแล้ว
“เขมเป็นอะไรรึเปล่าลูก แม่ถามตั้งหลายครั้งเขมก็เอาแต่นิ่ง”
“ปละ…เปล่าครับ แม่ถามว่าอะไรเหรอครับ ผมมัวแต่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย”
“ไม่มีอะไรหรอกจ้ะ แม่แค่ห่วงเวลาเขมขับเรือกลับเกาะตอนมืด ยิ่งช่วงนี้ฝนตกแม่ก็ยิ่งห่วง”
“แม่ครับ สมมติถ้าแม่ได้เจอคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน แม่จะรู้สึกยังไงครับ”
“เขมหมายถึงใครล่ะลูก”
“ก็…คนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนานน่ะครับ”
“ก็คงเข้าไปทักทาย ถามไถ่ทุกข์สุขน่ะสิ เขมเจอใครจ๊ะ แม่รู้จักรึเปล่า”
“คนเคยรู้จักน่ะครับ ไม่ค่อยสนิทเท่าไร”
“แม่จะเชื่อดีไหมหืม ถ้าไม่สนิทเขมจะเก็บมาคิดมากแบบนี้เหรอ”
“เอ่อ แค่นี้ก่อนนะครับแม่ ผมติดธุระพอดี”
เขมกดตัดสาย รีบกระโจนลงจากรถท่ามกลางฝนเม็ดโตที่กระหน่ำเทลงมาราวกับฟ้ารั่ว วิ่งผ่านประตูรั้วซึ่งเปิดอยู่ครึ่งหนึ่งเข้าไปช้อนร่างบอบบางที่ล้มตึงลงไปกับพื้น และไม่มีทีท่าจะฟื้นขึ้นมาออกฤทธิ์ออกเดชแม้แต่น้อย
“แพม!”
เขารวบร่างเล็กเข้ามากอดแนบอก สีหน้าร้อนรนปิ่มจะขาดใจเสียให้ได้
“ฟื้นสิแพม!”
ยามหนุ่มวัยฉกรรจ์สองคนรีบวิ่งหน้าตื่นมาพร้อมร่มคันใหญ่เพื่อบดบังความฉ่ำชื้นของสายฝนให้ผู้เป็นนาย ต่างคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่กเมื่อเห็นนายหัวผู้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องความเข้มงวดเย็นชากลับทะนุถนอมผู้หญิงแปลกหน้าในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนราวกับว่าเธอเป็น…คนรักของนายหัว!
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.