ปรารถนา… เพียงแค่คุณ
Wishing You ด้วยรัก… และปรารถนา
สายหมอกขาวโพลนท่ามกลางหุบเขาอันสูงตระหง่านโอบอุ้มฉันไว้ พลันให้คิดถึงนิทานคลาสสิกที่พ่อเคยเล่าให้ฟังตอนเป็นเด็ก
แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์
และฉันคือแจ๊คที่ปีนต้นถั่วจนมาพบกับสรวงสวรรค์ ทว่าดันเพลิดเพลินไปหน่อยจึงลืมเสียสนิทว่าต้องรีบหาไข่ไก่ทองคำให้เจอก่อนเจ้ายักษ์จอมโหดจะมาพบเข้า แน่นอน…หากนี่เป็นเรื่องจริง ฉันคงตายแน่ๆ เพราะมัวหลงใหลกับภาพตรงหน้าจนลืมสิ้นทุกสิ่ง โชคดีที่ไม่ใช่เรื่องจริงและตรงนี้ไม่มียักษ์สักตัว
ก่อนกลับฉันบอกลาครอบครัวเชื้อสายยูนนานเจ้าของโฮมสเตย์อันแสนอบอุ่น โดยไม่ได้อะไรติดมือกลับบ้านอีกตามเคย (โดยเฉพาะไข่ไก่ทองคำ) มีเพียงสิ่งเดียวที่ได้คือความทรงจำที่ฝังแน่นในจิตวิญญาณของฉันและมันจะคงอยู่ไปตลอดกาล
หากคุณต้องการมีจิตวิญญาณเดียวกันกับฉัน
…ที่นั่นรอคุณอยู่ค่ะ
ดอยผาตั้ง จังหวัดเชียงราย
และเช่นเคย…ทุกครั้งที่ฉันหลับตาลงในค่ำคืนอันเงียบสงัดของห้องชุดขนาดสี่สิบตารางเมตรใจกลางเมืองหลวงของประเทศไทย เสียงจากพงไพรเรียกฉัน รอคอยให้ฉันตื่นและออกเดินทางอีกครั้ง
กาลเวลาวาดนิ้วพิมพ์ประโยคสุดท้าย ก่อนรอยยิ้มอันแสนเหนื่อยล้าจะปรากฏบนใบหน้า
“เสร็จสักที”
เธอชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสุดแขน บิดกายที่เมื่อยขบจากการนั่งหลังขดหลังแข็งมาทั้งวัน
ไม่ใช่สิ! ไม่ใช่ทั้งวัน แต่ต้องเป็น ‘ทั้งวันทั้งคืน’ ต่างหาก
หญิงสาวมองดูนาฬิกาบนหน้าจอคอมพิวเตอร์พกพาแล้วได้แต่ปล่อยลมหายใจออกมายาวเหยียด
07.35 น.
เธอลากนิ้วกดบันทึกไฟล์งานแล้วพาร่างอันอิดโรยไปที่เตียง ล้มลงแล้วหลับไปราวกับปิดสวิตช์ไฟ
กาลเวลาเป็นหญิงสาววัยยี่สิบหกปีที่ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ เพราะหลังจากเรียนจบปริญญาตรีเธอก็มีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการเป็นบล็อกเกอร์ด้านท่องเที่ยว มีอาชีพเขียนบทความนำเที่ยวลงแฟนเพจเฟซบุ๊กของตัวเอง
‘ท่องไปกับกาลเวลา’
คือเพจนำเที่ยวที่มียอดผู้ติดตามถึงหนึ่งแสนสองหมื่นคน เริ่มแรกนั้นกาลเวลาแค่ทำเอาสนุกตามนิสัยคนชอบเที่ยวป่าเขาลำเนาไพร แต่เพราะวิธีการนำเสนอ สำนวนการเล่าเรื่องของเธอ หรืออะไรก็แล้วแต่ดันไปถูกอกถูกใจคนในโลกโซเชียลจนมีการกดติดตามพุ่งสูงขึ้นจนแตะหลักแสนและดูเหมือนว่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แฟนเพจมีสปอนเซอร์ติดต่อเข้ามา ทั้งที่พัก ทัวร์ท่องเที่ยว หรือแม้แต่สินค้าที่เกี่ยวข้องและไม่เกี่ยวข้อง งานสนุกๆ จึงกลายเป็นงานที่เริ่ม ‘ไม่สนุก’ และเหนื่อยมากสำหรับเธอเพราะต้องส่งงานให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการและมีเวลามาเป็นเงื่อนไข
‘ท่องไปกับกาลเวลา’ จึงกลายเป็น ‘ท่องไปทุกเวลา’ เมื่อเธอเรียกมันลับหลัง
ตึ่งดึงดึ้ง ตึ่งดึงดึ้ง ตึ่งดึงดึ้ง
เสียงไลน์ดังขึ้นติดกันหลายหนทำให้คนที่เพิ่งล้มตัวหลับไปได้ไม่ถึงห้านาทีต้องปรือตาขึ้นมา เธอคว้าโทรศัพท์มากดดูด้วยตาที่ลืมได้เพียงข้างเดียว
‘เกียงคนดี’
“ไอ้บ้าเกียง ไม่รู้เวล่ำเวลาเลยนะแก” เธอบ่นเป็นชื่อเพจของตัวเอง เพราะเกรียงศักดิ์คือหนึ่งในทีมงานของเธอ ชายหนุ่มเป็นรุ่นน้องในมหาวิทยาลัย ความจริงก็เป็นญาติสนิทด้วยนั่นแหละ แต่ช่วงนี้เธอไม่อยากนับญาติกับมัน
แต่จำต้องคบมันไว้ก่อนเพราะผลประโยชน์ล้วนๆ
เกรียงศักดิ์มีความสามารถด้านไอทีระดับแชมป์เยาวชนประเทศไทย เธอจึงชักชวนให้มาดูแลเพจร่วมกัน ทุกโปรเจ็กต์ที่เธอทำจะถูกส่งต่อให้เกรียงศักดิ์ช่วยทำอาร์ตเวิร์กให้ รวมถึงเป็นหนึ่งในแอดมินที่ช่วยดูแลลูกเพจจำนวนแสนกว่าคนได้เป็นอย่างดี
หลังๆ มากาลเวลาเริ่มไม่แน่ใจว่าใครเป็นเจ้าของเพจกันแน่ เพราะหมอนั่นวางตัวปานประหนึ่งว่าตัวเองคือผู้ก่อตั้งและเธอเป็นแค่ลูกจ้างประจำ
เกียงคนดี : เขียนงานเสร็จหรือยัง
เกียงคนดี : เก้าโมงลูกค้าขอดู
เกียงคนดี : รีบส่งมาที่เมลผมตอนนี้เลยนะเจ๊
เกียงคนดี : เก้าโมงตรงผมมีธุระ
และ
เกียงคนดี : อ่านแล้วตอบด้วย
“ไอ้บ้าเกียง อยากมีเรื่องนักใช่มั้ยฮะ”
กาลเวลาก่นด่ากับโทรศัพท์ แต่ว่าอีกฝ่ายยังคงขยันส่งข้อความมาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าถ้าเธอไม่ตอบมันก็ไม่หยุด และแน่นอนว่าหมอนั่นจะโทรมาจิกเธอให้ลุกมาตอบจนได้
เธอรักทุกสิ่ง เธอรักทุกอย่าง แต่มีสิ่งหนึ่งที่เธอไม่เคย เธอไม่เคย ไม่เคยจะรักฉัน ทั้งๆ ที่ฉันนั้นรักเธอ ไม่เคยจะมองฉัน ทั้งๆ ที่ฉันนั้นมองเธอ ไม่เคยจะสนใจว่ามีใครใกล้ๆ เธอ
เสียงเรียกเข้าเพลงโดยปราศจากฉันของ WHATFALSE ดังขึ้น กาลเวลาเห็นเบอร์บนหน้าจอโทรศัพท์แล้วต้องทิ้งศีรษะลงบนหมอน อยากกรีดร้องให้ลั่นห้องด้วยความอัดอั้น แต่ที่ทำได้คือกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป
“ไอ้เกียง ถ้าแกอยู่ตรงนี้ฉันจะฆ่าแก”
“แต่เพราะผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น ผมเลยไม่กลัว”
ดูมัน!
กาลเวลาอยากฟึดฟัดหัวเสีย อยากตัดลิ้นลูกพี่ลูกน้องผู้นี้ไม่ให้มีสิทธิ์พูดอะไรอีกเพราะวิเคราะห์ดูแล้วหมอนั่นดีทุกอย่าง เสียแค่ปากอย่างเดียว ถ้าเกรียงศักดิ์ไม่มีปากโลกคงน่าอยู่ขึ้นมากเลย
“ฉันเพิ่งทำงานเสร็จเมื่อกี้ ง่วงมาก ตาจะลืมไม่ขึ้นอยู่แล้ว”
“เจ๊เว เจ๊ต้องอดทนมากกว่านี้นะ รีบเปิดคอมฯ แล้วส่งงานนั่นมาให้ผมเดี๋ยวนี้เลย เร็ว! ลูกค้ารออยู่”
“ไอ้เกียง แกลืมหรือไงฮะว่าฉัน กาลเวลา ทำงานตามความพอใจ ไม่พอใจก็ไม่ทำ”
“ลืม เพราะว่าเจ๊เองนั่นแหละที่ทำให้เป็นแบบนี้ ลูกค้ารอตรวจงานอยู่ ถ้าเจ๊ให้เขารอนาน เขาเกิดยกเลิกสปอนเซอร์ขึ้นมาจะทำไง เพจต้องกลับไปจนเหมือนเดิม เจ๊จะแห้งเหี่ยวไม่มีเงินเที่ยวไหนอีก พอไม่มีเงินเที่ยวเพจก็ว่างเปล่า พอเพจว่างเปล่า…ลูกเพจก็หนีหายไปหมด สุดท้ายเพจท่องเที่ยวอันเลื่องชื่อก็จะกลายเป็นเพจร้าง แล้วก็…”
“พอๆ เลิกโยงได้ละ ถ้าแค่ฉันส่งงานช้าไปสามสี่ชั่วโมงโลกจะถล่มทลายขนาดนั้นล่ะก็ ฉันจะส่งให้แกเดี๋ยวนี้เลย” กาลเวลาลุกจากที่นอน ก้าวเดียวก็ถึงโต๊ะทำงาน เธอเปิดคอมพิวเตอร์พกพาแล้วค้นหาไฟล์งานเพื่อส่งให้เพื่อนร่วมงานหรืออาจเป็นเจ้านายเธอไปแล้วตอนนี้
ทว่า…พอเปิดกล่องจดหมายเธอก็ต้องพบกับเมลฉบับที่ทำให้เธอต้องสบถออกมา
“ไอ้เกียง ฉันกับแก…ขาดกัน”
บทที่ 1
งานเก่ายังไม่ทันเสร็จเกรียงศักดิ์ก็รับงานใหม่ให้เธอโดยไม่ถามสุขภาพสักคำ
“บริษัทแว่นตากันแดดส่งงานมาให้รีวิว อยากได้งานแอดเวนเจอร์มากๆ ประมาณว่าเจิดจ้าท้าแดดอะไรแบบนี้ ผมคิดดูแล้วเพจเราไปทะเลมาทั่วทุกจังหวัดแล้ว กิจกรรมก็เดิมๆ นั่งเรือ ชมเกาะ อาบแดด น่าเบื่อจำเจไม่สมกับเป็นเพจของคนคูลๆ”
“ใช่! งั้นแกก็ไปบ้างสิ”
“โธ่! เจ๊ ลูกเพจเป็นแสนกว่าคนนั่นก็ลูกเพจเจ๊ทั้งนั้น เจ๊เป็นลายเซ็นของเพจไปแล้ว ใครก็แทนไม่ได้”
“ไม่มีใครมาแทนฉันได้ แต่ฉันหาคนมาแทนแกได้ ฉันไล่แกออก”
“ไม่ออก”
“ไอ้เกียง” กาลเวลาแทบกรี๊ดใส่โทรศัพท์ให้ความหน้าด้านหน้าทนของน้องชาย
“ผมรู้ว่าเจ๊เหนื่อย ทำไมเจ๊ไม่รีบตกลงรับงานนี้แล้วไปนอนซะล่ะ”
กาลเวลาอยากร้องไห้ เธอเหนื่อยและอยากพักสักเดือนแบบไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องทำอะไร จริงอยู่ว่าการได้ไปเที่ยวเป็นความสุขของใครหลายคน และยังมีคนอีกมากมายอิจฉาเธอ แต่ลองคิดดูว่าถ้าต้องเดินทางตลอดเวลาแบบสิบวันพักสามวันแล้วไปต่ออีกสิบวันมาเป็นปีๆ จนเธอเกือบลืมแล้วว่าละครหลังข่าวหน้าตาเป็นอย่างไร ร้านอาหารร้านโปรดเลิกขายไปแล้วหรือยังขายอยู่ เพื่อนในกลุ่มแต่งงานไปสามคนแล้วในปีนี้และเธอไม่เคยได้ไปร่วมงาน แบบนี้ต่อให้จ้างเป็นล้านก็ไม่ไป เธอไม่ไหวแล้วเหมือนกัน
“ค่าจ้างสองแสน”
“ที่ไหน เมื่อไหร่”
ปลายสายเงียบไป แต่กาลเวลาเดาออกว่าหมอนั่นคงอยากจะพูดว่า ‘รู้งี้พูดเรื่องเงินตั้งแต่แรกก็จบ’ และเธอก็รู้ด้วยว่าต่อให้เกรียงศักดิ์อยากพูดแค่ไหน เขาก็จะไม่พูดอะไรให้ระคายหูเธอตอนนี้
กาลเวลายอมรับว่าเรื่องเงินทำให้เธอตาโต ถ้าทริปของเกรียงศักดิ์ไม่โหดร้ายเกินไป และเงินสองแสนคุ้มกับค่าเหนื่อยเธอก็จะทบทวนดูอีกที แต่ถ้าไม่…
“ทริปล่องเรือสำราญไทย-ฮ่องกง เจ็ดวัน”
“เอาเบอร์โทรลูกค้ามา ฉันจะโทรยกเลิกเอง”
“ไม่ได้นะเจ๊เว ถ้าพลาดงานนี้ไปผมต้องตายแน่ๆ นันท์บอกให้ผมหาเงินค่าสินสอดให้ได้ก่อนสิ้นปีนี้ อีกสองเดือนจะสิ้นปีแล้วยังขาดอีกหลายแสนเลย”
กาลเวลาแทบน้ำตาร่วง ซาบซึ้งในความรักของเกรียงศักดิ์ที่มีต่อแฟนสาวอย่างนั้นหรือ เปล่าเลย เธอแค่อยากร้องไห้เพราะสงสารตัวเองมากกว่า ล่องเรือสำราญ…แค่คิดก็เมาเรือแล้ว
แต่ถึงแม้ว่าเธออยากเทงานนี้มากเพียงใด สุดท้ายตกบ่ายมากาลเวลาก็จำต้องลุกขึ้นมาจดสิ่งของที่ต้องใช้สำหรับการเดินทางและพบว่ามีของต้องซื้อใหม่หลายอย่าง ทั้งรองเท้าผ้าใบใหม่แทนคู่เก่าที่ขาดเพราะดันลื่นล้มตอนเดินป่าและของใช้ส่วนตัวอีกเล็กน้อย
คอนโดมิเนียมของเธอติดรถไฟฟ้า BTS หญิงสาวจึงใช้เวลาไม่นานก็มาถึงห้างเซ็นทรัลเวิลด์
ครั้งนี้นับเป็นครั้งแรกที่ไอเย็นจากห้างสรรพสินค้าทำให้เธอรู้สึกดี หรืออาจเป็นเพราะชานมไข่มุกยี่ห้อดังที่เธอมานะอุตส่าห์ยืนต่อแถวยาวเหยียดเกือบสี่สิบนาทีเพื่อให้ได้มาครอบครอง อะไรก็แล้วแต่…ทว่ามันชดเชยความเหน็ดเหนื่อยจากการขึ้นดอยที่เชียงรายให้ดีขึ้นได้
กาลเวลาซื้อของเสร็จตอนเย็นย่ำพอดี แต่เพราะยังเหลือเวลาอีกหลายชั่วโมงกว่าห้างจะปิดทำให้คนเมืองที่มีชีวิตอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรเป็นส่วนมากโอ้เอ้ไม่ยอมกลับ กระทั่งถูกป้ายเซลส์ 70% สีแดงแปร๊ดดึงดูดเธอเข้าไปติดแหง็กอยู่ในร้านเสื้อผ้าอีกร่วมชั่วโมงและอาจจะนานกว่านั้นหากว่าสายตาเธอไม่ปะทะเข้ากับร่างเล็กของหญิงสาวผู้หนึ่งซึ่งคุ้นตาเสียเหลือเกินกำลังเดินมุ่งตรงเข้ามาในร้าน
“แพมรึเปล่า”
เจ้าของร่างเล็กผิวขาวผ่องนวลเนียนเชิดหน้าขึ้น มองมาอย่างถือตัว กาลเวลาปั้นยิ้มเฝื่อนให้อีกฝ่าย เธอกลอกตามองบนพร้อมกับคิดในใจ
นี่แหละแพมหรือภูริตาตัวจริงเสียงจริง ไม่ต้องสงสัยเลย
“ฉันเคยรู้จักเธอเหรอ”
“เวไง กาลเวลา”
“เว…กาลเวลา!” หญิงสาวขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิด ก่อนดวงตาใสจะเบิกกว้างขึ้นมา “เว ที่เคยออกค่ายอาสาด้วยกันป่ะ”
“เออ เวเอง” กาลเวลายิ้มอย่างดีใจที่สาวเจ้าจำได้เสียที ภูริตาลืมเธอง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่สำหรับเธอ…บอกได้เลยว่าชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีวันลืมหญิงสาวได้ลง
ภูริตาเป็นเพื่อนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันที่ชะตานำพาให้ได้มารู้จักกันที่ค่ายอาสาพัฒนาชนบทที่จังหวัดเชียงราย ตอนนั้นไม่รู้ว่าเป็นโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ดันมาสนิทกับภูริตา คุณหนูแสนสำอางที่ไม่เคยหยิบจับอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ตลอดระยะเวลาในการอยู่ค่ายนอกจากจะต้องแบกหามทำงานกรรมกรเพื่อพัฒนาโรงเรียนให้เด็กๆ ผู้ด้อยโอกาส แล้วยังต้องมาปวดหัวกับเพื่อนที่ทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่างอีกด้วย
ออกแดดไม่ได้
ยกของหนักไม่ได้
ล้างจานไม่ได้
เจอฝุ่นเยอะไม่ได้
อะไรๆ ก็ไม่ได้สักอย่าง
กลายเป็นว่าเธอต้องทำแทนเกือบทั้งหมด ยังดีที่ฟ้าส่งเพื่อนรุ่นน้องผู้แสนน่ารักว่าง่ายอย่างจิรัศยามาอยู่กลุ่มเดียวกัน คอยแบ่งความปวดหัวไปคนละครึ่ง
แต่อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วเธอกับภูริตาและจิรัศยาก็กลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด จิรัศยาน่ารักนิสัยดีมีน้ำใจ หญิงสาวอยู่ใกล้ใครคนนั้นก็ต้องรักอย่างไม่ต้องสงสัย ส่วนภูริตาแม้ว่าจะมีนิสัยไม่สู้งานจนบางครั้งกลายเป็นเอาเปรียบคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่จริงๆ แล้วหญิงสาวเป็นคนจิตใจดีมากคนหนึ่ง ถึงแม้ความจริงข้อนี้จะอยู่ลึกมากก็ตาม
สรุปก็คือหลังกลับมาจากค่ายเธอก็ยกให้ภูริตาและจิรัศยาเป็นเพื่อนที่เธอจะคิดถึงเสมอ
แต่ใครบางคนดูเหมือนจะไม่คิดแบบเดียวกัน
“เวไปทำอะไรมา ท้วมขึ้นนะ แล้วก็ดำขึ้นเยอะเลย”
กาลเวลาดึงมุมปากจนเป็นเส้นตรง เมื่อกี้เธอขอถอนคำพูดได้ไหมที่บอกว่าจะคิดถึงภูริตาเสมอ เธอขอคิดถึงจิรัศยาคนเดียวก็แล้วกัน
“หมู่นี้กินเยอะไปรึเปล่าเว แก่ไปจะลดลำบากนะ”
กาลเวลาหัวเราะขื่นๆ อยากจะยกมือฟาดอีกฝ่ายสักป้าบ แต่ก็ไม่ได้ทำ
“ฉันเป็นบล็อกเกอร์รีวิวสถานที่ท่องเที่ยวน่ะ ทำงานหนักเลยกินหนักมือ แล้วก็ตากแดดเยอะไปหน่อยเลยผิวเข้มขึ้น แล้วแพมล่ะเป็นไงบ้าง เตี้ยลงรึเปล่า” เธอแกล้งปรายตามองคนตรงหน้าที่ตัวเล็กกว่าเธอ
“พูดจาไม่เข้าหู เดี๋ยวจะโดนไม่น้อยนะเว”
“แล้วนี่แพมมาทำอะไรที่นี่ จะช็อปปิ้งเหรอ ร้านนี้ป่ะ เดี๋ยวฉันช็อปเป็นเพื่อน มีสวยๆ หลายตัวเลย” เธอเปลี่ยนเรื่องก่อนที่จะมีการวิวาทเกิดขึ้น
“คนอย่างภูริตา ไม่เคยซื้อของเซลส์”
กาลเวลาย่นคิ้ว เมื่อครู่เห็นชัดว่าภูริตากำลังจะก้าวเท้าเข้าร้านด้วยซ้ำไป แต่พูดไปก็คงหักหน้าอีกฝ่ายเปล่าๆ จึงแสร้งยิ้มอ่อน
“เออๆ ไม่เคยก็ไม่เคย แล้วนี่แพมจะไปไหนต่อรึเปล่า ไปหาอะไรกินกันไหม” บอกแล้วไงว่าเธอแสนจะคิดถึ้งคิดถึงเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
“ไปสิ ฉันรู้จักอยู่ร้านนึงขายไวน์กับสเต๊ก อยู่แถวพลาซ่าใกล้ๆ ทางเชื่อมรถไฟฟ้า”
“เอาดิ น่าสนใจ ร้านไหนล่ะ”
กาลเวลายิ้มแล้วชวนกันเดินไปยังทิศทางของร้านที่ภูริตาเป็นผู้เลือก แต่ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวลงบันไดเลื่อน เสียงเรียกของใครบางคนก็ทำให้เธอกับภูริตาต้องชะงัก
“พี่เว…พี่แพมใช่ไหมคะ”
ภูริตาย่นคิ้วมองหญิงสาวด้วยสีหน้าฉงน “แกรู้จักไหมเว”
กาลเวลาหรี่ตามองอย่างไม่แน่ใจนัก เพราะระยะห่างที่มากเกินไป แต่ครู่เดียวหญิงสาวก็รีบแนะนำตัว นั่นทำให้รอยยิ้มเธอกระจ่างขึ้นมา
“จิไงคะ…น้องจิ”
รุ่นน้องสาวตะโกนบอกเพราะคิดว่าอีกฝ่ายจำไม่ได้ ซึ่งจริง แต่เป็นภูริตาคนเดียวไม่ใช่เธอ
“อย่าเพิ่งไปนะคะ อยู่ตรงนั้นนะ จิจะลงไปหาเองค่ะ”
หญิงสาวบอกแล้วรีบลงบันไดเลื่อนตรงมายังพวกเธอด้วยสีหน้าไม่ปิดบังความดีใจ
ทักทายกันอยู่ครู่หนึ่งภูริตาก็ออกปากชวนจิรัศยาไปทานมื้อเย็นด้วยกันเสียเลย นับว่าเป็นเรื่องดีที่อยู่ๆ เธอก็ได้พบเพื่อนเก่าที่จากกันไปนานพร้อมกันถึงสองคน
“วันนี้พี่เลี้ยงเองน้องจิ”
“ไม่ได้หรอกค่ะพี่แพม จิกับพี่เวทำงานกันแล้ว จิเกรงใจค่ะ”
“พี่ไม่รีดเลือดกับปูจนๆ หรอกนะ โดยเฉพาะยายจิ ให้พี่เลี้ยงน่ะดีแล้ว”
“แต่ว่า…”
“เถอะน่า อย่าเถียงผู้ใหญ่ อยากกินอะไรสั่งเลย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเอง”
กาลเวลาสบตาจิรัศยาเพราะรู้ดีว่าสถานการณ์ของภูริตาไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกเธอเคยได้ยินข่าวว่าบิดาของหญิงสาวเสียชีวิต บริษัทของตระกูลต้องปิดกิจการ คิดว่าเวลานี้เพื่อนต้องลำบากมากแน่ๆ ทว่ากาลเวลาและจิรัศยาเข้าใจความรู้สึกของภูริตาดีว่าไม่อยากให้ใครมาแสดงความเห็นใจเพราะไม่ใช่นิสัยของเจ้าหล่อน ดังนั้นทุกคนจึงหยุดออกความเห็นว่าใครจะเป็นคนเลี้ยงอาหารมื้อนี้ไว้แค่นี้
เวลาผ่านไปพักใหญ่ การสนทนาเป็นไปอย่างออกรสชาติ เป็นเพราะฤทธิ์ของไวน์แดงที่ทำเอาสามสาวแย่งกันพูดจ้อไม่หยุด และแน่นอนว่าจิรัศยาแพ้ไปตามระเบียบเพราะพูดไม่ทันพี่ๆ ก่อนเรื่องราวจะวกกลับมาถึงเหตุการณ์ตอนไปค่าย จำได้ว่าตอนนั้นเธอสามคนเคยนัดกันไว้ว่าจะไปขอพรกับพระตรีมูรติ เทพเจ้าที่คนนิยมมาขอความรักด้วยกันสักครั้ง แต่จนแล้วจนรอดเวลาว่างก็ไม่เคยตรงกันเลย
ภูริตาซึ่งดื่มไวน์ไปหลายแก้วเป็นคนออกปากชวนทุกคนเพราะศูนย์การค้าที่เธอรับประทานอาหารอยู่นี้ใกล้กับศาลพระตรีมูรติที่พูดถึงพอดี
และแม้ว่าแรกเริ่มของการมาพบกันโดยบังเอิญไม่มีใครตั้งใจมาขอพรเทพเจ้าผู้ดลบันดาลรัก แต่สุดท้ายทุกคนก็มานั่งอยู่ตรงหน้าศาลเทพเจ้าอันศักดิ์สิทธิ์อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
กาลเวลาพยายามปรือตามองภาพตรงหน้าเพราะดื่มไปหลายแก้วจนมึนมากเหมือนกัน แต่กระนั้นเธอก็ยังมีสติดีพอที่จะระลึกได้ว่าอยากขออะไร
“สาธุ เทพพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ ถ้าบุญของลูกช้างยังมี ช่วยดลบันดาลให้ลูกช้างได้พบรักกับชายหนุ่มจิตใจดี…” เธอหยุดคิดครู่หนึ่ง ไหนๆ ก็ไหนๆ อย่าหาว่าเธอโลภมากเลย ขอเนื้อคู่ทั้งทีก็ต้องเอาแบบจัดเต็ม “จิตใจดี หล่อไม่ต้องมากแค่คล้ายๆ พัคซอจุนก็พอ สะอาดสะอ้านลุคคุณชาย รักต้นไม้ รักธรรมชาติ ไม่ต้องรวยแค่มีฐานะพอที่จะให้ลูกช้างไปเที่ยวได้รอบโลกโดยไม่ต้องทำงาน…เท่านี้…ไม่ขอมากไปกว่านี้แล้วเจ้าค่ะ”
กาลเวลาขอพรเสร็จแล้วตั้งจิตอธิษฐาน ก่อนจะคิดได้ว่าผู้ชายประเภทที่เธอขอนั้นมีอยู่จริงหรือ…
หญิงสาวลืมตาขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ เธอหันมาพบกับจิรัศยาที่ขอพรเสร็จแล้วเหมือนกัน ส่วนภูริตายังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม
“พี่แพมจริงจังมากเลยนะคะ”
“นั่นสิ สงสัยจะมีแผนอะไรในใจแล้วแน่ๆ…จิล่ะ”
“คะ?”
“พี่ถามว่าเราน่ะขออะไรท่าน”
“ก็ไม่เชิงขอหรอกค่ะ ออกแนวบ่นมากกว่า จิว่าเรื่องความรักน่ะเราคงบังคับใครไม่ได้หรอก ถ้าทุกคนที่มาขอพรจากท่านแล้วสมหวังกันหมด จิว่ามันต้องมีการเกิดเรื่องรักสามเส้าหรือชู้สาวเป็นร้อยๆ คู่แน่”
“บ้า จิก็คิดไปได้” กาลเวลาหัวเราะร่วนเพราะคิดไม่ถึงจริงๆ แต่ที่จิรัศยาพูดก็มีส่วนถูก ใครๆ ก็ต้องการความรักดีๆ กันทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะสมหวัง ฉะนั้นเธอก็คงต้องก้มหน้าก้มตาทำงานต่อไป
“โทษที รอนานป่ะ”
ภูริตาขอพรเสร็จแล้วหันมาถาม
“ก็สักพัก ขออะไรแพม ยาวเป็นกิโลเชียว” กาลเวลาหยอกยิ้มๆ
“ของแบบนี้ห้ามบอกคนอื่นย่ะ เดี๋ยวไม่ศักดิ์สิทธิ์”
“แต่ฉันอยากบอก…” กาลเวลาหัวเราะคิก “ฉันบอกของฉันคนเดียวก็ได้ ฉันขอให้ฉันได้แฟนหน้าตาเหมือนพัคซอจุน”
เธอบอกพร้อมกับกดโทรศัพท์ให้เห็นภาพพักหน้าจอเป็นรูปพระเอกเกาหลีชื่อดัง ‘พัคซอจุน’ และพร้อมกันนั้นเธอเห็นว่าภูริตาและจิรัศยาทำหน้าแปลกๆ
“ขอมากไปมั้ยแก” ภูริตาถามตรงๆ แต่ยังดีที่จิรัศยาเลือกที่จะไม่แสดงความคิดเห็นเพราะเป็นมารยาท
“สำเร็จหรือไม่สำเร็จ อีกหกเดือนนัดเจอกันมั้ยล่ะ”
“จิโอเคค่ะ”
“ดีล ถ้าฉันง้อแฟนเก่าสำเร็จ ครั้งหน้าต้องให้ฉันเลี้ยงด้วย”
“สรุปว่าแกขอพรให้ง้อแฟนเก่าสำเร็จว่างั้น” กาลเวลาหรี่ตามองคนที่ไม่ยอมบอกว่าขออะไร อีกฝ่ายเม้มปากแน่นไม่ยอมตอบ แต่นั่นแหละเป็นคำตอบ “ย่ะ ครั้งหน้าฉันจะสั่งไม่ยั้งมือเลย”
โปรดติดตามตอนต่อไป
Comments
comments
No tags for this post.