X
    Categories: LOVEทดลองอ่านปรารถนา... ให้เป็นคุณ ชุด Wishing You ด้วยรัก... และปรารถนา

ทดลองอ่าน ปรารถนา… ให้เป็นคุณ ชุด Wishing You ด้วยรัก… และปรารถนา บทที่ 1

หน้าที่แล้ว1 of 7

บทที่ 1

หญิงสาววัยยี่สิบสี่ปีร่างผอมบาง สูงหนึ่งร้อยหกสิบเจ็ดเซนติเมตร ผมดำขลับยาวประบ่า ปลายผมมักงอนเหมือนก้นเป็ด ด้านหน้ายาวปิดดวงตาแต่เธอชอบปัดให้พ้นหน้าผาก ดังนั้นจึงมักมองเห็นหน้าผากที่รับกับดวงหน้าเล็กๆ นั้น จิรัศยาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพอดีตัว กระโปรงสอบยาวเสมอเข่า กับรองเท้าคัชชูสีดำ ซึ่งเป็นชุดที่เห็นได้เกือบทุกวัน มันแค่สลับโทนสีไปมาระหว่างขาว เทา ดำ และครีม พนักงานประชาสัมพันธ์ที่ต้องนั่งอยู่บริเวณเคาน์เตอร์หน้าบริษัทถูกคาดหวังให้แต่งกายสุภาพเรียบร้อยมากกว่าใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด โดยเฉพาะเมื่อบริษัทเฟอร์นิเจอร์สำนักงานของเธอมีสีประจำเป็นสีเทาและเงิน

ผิวของเธอขาวซีด ริมฝีปากบางตรงกลางซึ่งเป็นรอยหยักนั้นเชิดขึ้นนิดๆ รับกับปลายจมูกเล็กๆ พอดิบพอดี ดวงตาเล็กดำสนิทและยาวรี แถมมีเปลือกตาแค่ชั้นเดียว จิรัศยาเคยคิดจะทำศัลยกรรมให้เปลือกตากลายเป็นสองชั้น แต่เมื่อเห็นราคาแล้วก็จำเป็นต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป ทุกวันนี้หากวันใดตื่นเช้ากว่าปกติก็จะมีเวลาแต่งเติมใบหน้าด้วยเครื่องสำอางมากหน่อย และมันจะกลายเป็นวันที่เธอมีดวงตาสองชั้นเหมือนคนอื่นบ้าง

ขณะนี้สองมือของเธอเต็มไปด้วยแก้วกาแฟและอาหารเช้าที่คนในสำนักงานสั่งซื้อ จิรัศยามาถึงที่ทำงานก่อนเวลาเข้างานร่วมชั่วโมงก็จริง แต่ต้องอุทิศเวลาทั้งหมดนั้นให้กับพนักงานคนอื่นๆ ซึ่งได้ลิสต์รายการอาหารเช้าที่วางขายอยู่รายรอบอาคารสำนักงานให้เธอเป็นคนไปซื้อมาให้ ในตอนแรกมันเป็นแค่การแสดงน้ำใจของหญิงสาวที่มีต่อเพื่อนร่วมงาน แต่นานวันเข้าดูเหมือนมันจะกลายเป็นหน้าที่ของเธอไปโดยปริยาย

การรอคอยลิฟต์ของอาคารสำนักงานให้เช่าที่สูงเกือบยี่สิบชั้นก็เหมือนสงครามกลางเมือง มันมีแต่การแก่งแย่งชิงพื้นที่ซึ่งต้องอาศัยความรวดเร็วกับจิตใจที่เด็ดเดี่ยว เพราะหากมัวแต่สงสารหรือแสดงน้ำใจเธอก็อาจสูญเสียโอกาสที่จะไปถึงบริษัททันเวลา เพราะลิฟต์หกตัวนั้นถูกเรียกใช้งานอยู่ตลอดเวลาแทบไม่มีช่องว่างให้กับการรอคอยเลย จิรัศยาจับตาดูว่าลิฟต์ตัวไหนจะลงมาถึงชั้นล่างเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้วิ่งไปต่อคิวหน้าลิฟต์ตัวนั้น แต่เหมือนวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างนัก เมื่อลิฟต์ตัวที่ลงมาก่อนกลับเป็นตัวที่อยู่ไกลจากจุดที่เธอยืนอยู่มากที่สุด และผู้คนที่ยืนรออยู่ด้วยกันต่างก็ไม่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงร่างเล็กคนนี้มุดผ่านไปได้

 

ในที่สุด…เธอก็สามารถช่วงชิงพื้นที่สำหรับการขึ้นลิฟต์ในเช้าวันนี้ได้สำเร็จ มันเป็นลิฟต์ฟากที่จะจอดรับคนจากลานจอดรถชั้นเก้า ซึ่งอาจจะเสียเวลานิดหน่อยแต่ก็ยังดีกว่ารอคอยไปเรื่อยๆ จิรัศยายิ้มให้กำลังใจตัวเองแล้วตะโกนบอกคนที่ยืนอยู่ใกล้ปุ่มควบคุมลิฟต์มากที่สุด ในขณะที่ตัวเธอเองนั้นไม่สามารถยื่นมือออกไปกดปุ่มใดๆ ได้เอง

“ชั้นสิบห้าค่ะ ขอบคุณค่ะ…สิบห้า สิบห้าด้วยค่ะ”

ด้วยเกรงว่าเสียงจะไม่สามารถทะลุไปถึงคนที่ควบคุมลิฟต์ไว้ได้ เธอจึงจำเป็นต้องตะโกนถี่ๆ ข้ามหัวไหล่และศีรษะของคนราวเจ็ดคนออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงจิ๊จ๊ะอย่างขัดใจดังสวนมาทันที

“ได้ยินแล้วๆ สิบห้าใช่ไหม นี่ๆๆ กดให้แล้ว”

หญิงสาวหน้าสลด แล้วพึมพำ “ขอบคุณค่ะ”

เคยมั้ยที่คุณคิดว่าวันนี้คุณซวยแล้ว แต่ความซวยก็ยังตามมาเป็นซีรี่ส์ไม่หยุดหย่อน จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจุดสูงสุดของความซวยนั้นอยู่ตรงไหนกันแน่ วันนี้ของจิรัศยาก็เหมือนกัน เมื่อลิฟต์ที่เธอขึ้นนั้นมันจอดรับและส่งคนทุกชั้น…ทุกชั้นจริงๆ และมันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหายแออัด สองมือที่หิ้วอาหารเช้าเริ่มเมื่อยและอ่อนแรง สองขาบนรองเท้าส้นสูงเริ่มเจ็บ อากาศในลิฟต์ก็เหมือนจะมีไม่พอ หรืออาจจะเป็นเพราะอากาศบริสุทธิ์นั้นปะปนไปด้วยน้ำหอมสังเคราะห์ที่พนักงานออฟฟิศต่างระดมฉีดมาก็เป็นได้ จิรัศยาจึงเริ่มรู้สึกมึนงงคล้ายอาการของคนเมาลิฟต์ ร่างบางถูกเบียดผลักจนไปอยู่มุมอันลึกสุด เธอต้องพยายามไม่ให้กาแฟที่ถือมาหกราดรดผู้โดยสารร่วมลิฟต์ ดังนั้นจึงไม่ได้เฝ้าดูเลยว่าลิฟต์กำลังจอดอยู่ที่ชั้นไหน

มีเสียงสัญญาณดังบอกว่ามันกำลังจะจอดและเปิดรับคนที่ชั้นชั้นหนึ่ง ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดก็มีเสียงครางเบาๆ ของหญิงสาวสองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ จิรัศยา พวกเธอเริ่มซุบซิบแล้วหัวเราะกันคิกคักราวกับเด็กสาว

“เข้าไหมครับ หรือจะรอ”

นั่นเป็นเสียงที่จิรัศยาได้ยิน แต่เธอไม่เห็นว่าใครเป็นคนพูด น่าจะเป็นคนที่ยืนอยู่ด้านนอกมากกว่าคนที่อยู่ภายในลิฟต์เหมือนเธอ

“เข้า”

อีกเสียงตอบกลับเพียงสั้นๆ น้ำเสียงนั้นฟังนุ่มหูแต่แฝงความเฉียบขาดไว้ จากนั้นจึงเกิดการขยับตัวของฝูงชนภายในลิฟต์อีกครั้ง ทุกคนเบียดกันแน่นขึ้นเพื่อให้คนที่อยู่ด้านนอกเข้ามา สองสาวที่ยืนอยู่ข้างจิรัศยาส่งเสียงเล็กๆ ในลำคอ ฟังดูเหมือนพึงพอใจมากกว่ารำคาญ ที่รู้เพราะตัวเธอนั้นรู้จักเสียงที่เกิดจากความรำคาญของคนอื่นเป็นอย่างดี เธอได้รับมันมาตลอด

คนที่อยู่มุมด้านในสุดไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้อีก มีแต่จะถูกอัดจนแบนแต๋เสียมากกว่า หญิงสาวกำลังหงุดหงิดเมื่อเธอเกือบจะไม่สามารถปกป้องอาหารและเครื่องดื่มในมือไว้ได้ แล้วเสียงสัญญาณเตือนว่าลิฟต์มีน้ำหนักมากเกินไปก็ดังขึ้น คนในลิฟต์หันรีหันขวางมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็มีเสียงที่ยอมจำนนต่อสถานการณ์เอ่ยขึ้น

“ถ้าอย่างนั้นท่านขึ้นไปก่อนเลยครับ เดี๋ยวผมตามไป”

“ว้า…เข้ามาได้คนเดียว”

ประโยคที่สองเป็นเสียงของหนึ่งในสองสาวข้างกายจิรัศยาบ่นขึ้นเบาๆ ท่าทางจะเสียใจแทนคนที่ยอมก้าวออกจากลิฟต์ไปไม่น้อย เวลานี้หญิงสาวนึกหมั่นไส้ทุกคนที่ทำให้ภารกิจการส่งมอบอาหารเช้าของเธอล่าช้าออกไป เมื่อประตูลิฟต์ปิดและพร้อมเดินทางอีกครั้งจิรัศยาก็ผ่อนลมหายใจยาว

หลังจากชั้นลานจอดรถก็ไม่มีใครขึ้นมาอีก มีแต่พนักงานบริษัทที่ทยอยออกจากลิฟต์ทีละคนสองคน จนในที่สุดลิฟต์ก็ว่างพอที่พนักงานประชาสัมพันธ์ของบริษัทเฟอร์นิเจอร์สำนักงานอย่างจิรัศยาจะมีโอกาสสำรวจเพื่อนร่วมเดินทางบ้าง ทันทีที่สายตาไปปะทะเข้ากับคนร่างสูงเกินร้อยแปดสิบเซนติเมตรร่างกายของหญิงสาวก็ร้อนวูบวาบขึ้นทันที นั่นคนหรือเทพบุตร…

เขาอยู่ในสูทลายทางทั้งชุด พื้นเป็นสีน้ำเงินเข้มตัดด้วยเส้นด้ายสีขาว ด้านในเสื้อสูทเป็นกั๊กสีและลายเดียวกัน มันทับเสื้อเชิ้ตสีขาวไว้อีกชั้นหนึ่ง ส่วนเนกไทเป็นสีน้ำเงินเข้มไม่มีลวดลาย ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นมันไม่ได้น่าสนหรอกหากคนสวมใส่ไม่ใช่เขา พ่อเทพบุตรคนนี้เป็นชายไทยแน่แต่อาจจะมีเชื้อสายอื่นปนมาด้วย เขาผิวขาวมากกว่าหนุ่มไทยโดยเฉลี่ย จมูกก็โด่งเป็นสันคมกว่า คิ้วหนาและโค้งราวปีกพญาอินทรี ดวงตาโตสีนิล ริมฝีปากหนาแต่น่าจะนุ่ม ริมฝีปากบนนั้นมีรอยหยักชัดเจนราวรูปปั้นกรีก รูปหน้ายาวเรียวรับกับการตัดผมรองทรงสูง เขาต้องรู้แน่ว่าตนเองมีรูปศีรษะที่สวยจึงกล้าตัดผมทรงนี้เพื่ออวดศีรษะทุยนั้น

คาดเดาจากใบหน้าที่ไร้ริ้วรอย ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และแววตาที่ยังสดใสนั้น เขาไม่น่ามีอายุเกินสามสิบปี แต่ชายที่แต่งตัวดูภูมิฐานขนาดนี้ก็ไม่น่าจะประสบความสำเร็จในอาชีพการงานได้รวดเร็วจนใครบางคนเรียกเขาว่า ‘ท่าน’ ได้ มันควรจะเป็นชายวัยกลางคนมากกว่า หรือไม่อย่างนั้นก็มีอีกเหตุผลหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด นั่นก็คือ…เขาเกิดบนกองเงินกองทอง เพราะด้วยบุคลิกและท่วงท่าการยืนนั้นบ่งบอกได้เลยว่าเขาถูกอบรมมาอย่างดี หลังไหล่ไม่งุ้ม หน้าอกผึ่งผาย ใบหน้าตั้งตรงแต่ไม่เชิดหยิ่ง มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกงไว้ เขาไม่ได้พิงลิฟต์เพื่อยึดจุดยืนเป็นของตัวเอง แต่กลับพร้อมขยับให้คนใกล้ตัวได้ยืนอย่างสบาย คนที่เกิดมาแล้วมีทุกอย่างพร้อมเพื่อรอต้อนรับเขาให้ได้ใช้ชีวิตบนโลกได้อย่างอิสรเสรีและมีคุณภาพ ก็คงมีลักษณะอย่างพ่อเทพบุตรคนนี้มั้ง จิรัศยาสรุปให้ตัวเองในใจ

เสียงลิฟต์บอกว่าประตูกำลังจะเปิดอีกครั้ง แต่มันยังไม่ถึงชั้นที่เธอทำงานอยู่ เธอพอจะจำได้ว่านี่เป็นชั้นของสองสาวที่ยืนหัวเราะคิกคักอยู่ข้างๆ จิรัศยาหันไปมองสาวสวยทั้งคู่แต่วันนี้ดูเหมือนพวกเธอจะไม่ยอมลงที่ชั้นนี้ และเมื่อประตูปิดอีกครั้งนั่นก็ยืนยันได้ว่าพวกเธอยังคงไปต่อ แปลก…

ในที่สุดก็ถึงชั้นสิบห้า จิรัศยารู้สึกผิดหวังนิดๆ ที่จะไม่มีโอกาสลอบมองพ่อเทพบุตรคนนั้นอีก หญิงสาวขยับตัวเพื่อที่จะไปยืนหน้าประตูลิฟต์ ของในมือยังคงพะรุงพะรัง ภาพลักษณ์ตอนนี้คงน่าอายเกินกว่าที่จะทิ้งสายตาเพื่ออ่อยผู้ชายสักคน โดยเฉพาะคนที่หล่อเหลาและถูกสเป็กเธอที่สุดคนนั้น ดังนั้นจิรัศยาจึงเอาแต่ก้มหน้างุดขณะรอให้ประตูลิฟต์เปิด แล้วหางตาก็พลันเห็นว่ามือใหญ่ที่มีนิ้วเรียวขาวสวยนั้นกำลังยื่นออกมากดปุ่มประตูลิฟต์ให้ค้างไว้ให้

ดีจัง อย่างน้อยเขาก็เปิดประตูให้

จิรัศยาตั้งใจหันไปมองเขาให้เต็มตาเพื่อจะกล่าวคำขอบคุณ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อถูกคนด้านหลังกระแทกเพื่อให้เธอเดินพ้นจากประตูลิฟต์เร็วขึ้น

“อุ๊ย!”

ไม่ใช่การชนแค่ครั้งเดียวแต่ยังมีการชนตามมาอีกครั้งจนร่างของจิรัศยาโอนเอน และกำลังจะล้มหน้าคว่ำในวินาทีถัดมา แต่ราวโชคชะตาจะส่งทูตสวรรค์มาให้ เมื่อมือใหญ่ยื่นมาคว้าข้อมือของเธอไว้ แรงโน้มถ่วงที่กำลังฉุดให้จิรัศยาล้มไปข้างหน้านั้นถูกแรงดึงมากระชากให้ร่างเธอกลับไปยืนที่จุดเดิม และแน่นอนว่าแรงฉุดกับแรงดึงนั้นไม่สัมพันธ์กัน แทนที่ลำตัวของเธอจะตั้งตรงแต่ร่างบางนั้นกลับกระแทกเข้าที่หน้าอกแข็งแรงเข้าอย่างจัง เกิดเสียงร้องกรี๊ดกร๊าดตามมาทันที แต่นั่นก็ไม่น่าตกใจเท่าความรู้สึกที่เย็นวาบตั้งแต่บริเวณหน้าอกจนถึงช่วงกลางลำตัวของจิรัศยา…

ใช่ค่ะ…การกระทำที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ส่งผลให้สารพัดแก้วน้ำและถุงอาหารเช้าในความดูแลของหญิงสาวนั้นสะบัดและราดรดลงมาบนตัวของเธอ

…กรรมแล้ว

“ว้าย…”

หญิงสาวจอมซุบซิบสองคนรีบถอยออกห่างจากร่างของจิรัศยาซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถทรงตัวได้ และเป็นที่แน่นอนแล้วว่าหล่อนทั้งสองนั่นแหละที่มีส่วนสำคัญทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น จิรัศยากำลังช็อก เธอจึงไม่สามารถต่อสู้อะไรได้ และยังไม่รู้ตัวอีกว่าศีรษะกับลำตัวท่อนบนของเธอนั้นยังฝากไว้ที่หน้าอกของคนที่ช่วยเหลือเธออยู่

“ยืนเองได้รึยังครับ”

คำถามจากน้ำเสียงที่แสนเย็นชาดังขึ้นมาทางด้านหน้า จิรัศยาเงยหน้าขึ้นไปมองเขา

ผู้ชายอะไรผอมสูงอย่างกับเสาธงแถมตายังตี่ เวลาโกรธจัดแทบจะมองไม่เห็นตาดำ ตลกชะมัด เอ๊ะ เดี๋ยว เขาพูดว่าอะไรนะ

หญิงสาวเพิ่งรู้สึกว่าที่เธอยังทรงตัวอยู่ได้นั้นไม่ใช่เพราะกำลังข้อเท้าของตัวเอง แต่เธอกำลังยืนพิงคนที่อยู่เบื้องหลัง เมื่อสติเริ่มกลับคืน ความคิดก็เริ่มมีเหตุและผล จิรัศยาสปริงตัวยืนบนรองเท้าคัชชูของเธอทันที น้ำที่ไหลย้อยเปื้อนเสื้อและกระโปรงก็ยังคงทำหน้าที่ของมัน ขนมครก แซนด์วิช กับข้าวเหนียวหมูปิ้งมีทั้งกระจายตกหล่นบนพื้นและยังอยู่ดีในถุงพลาสติกในมือของเธอ แต่ตอนนี้จิรัศยากำลังช็อกซ้ำซากกับภาพที่เพิ่งหันหลังกลับไปมอง

พ่อเทพบุตรช่วยฉันไว้ และฉันทำชานมไข่มุกหกใส่เสื้อสูทหรูราคาแพงของเขาด้วย!!!

นี่เป็นการพบกันครั้งแรกและเธออยากภาวนาให้เป็นครั้งสุดท้าย เพราะเธอขายหน้าเกินกว่าที่จะสามารถสบตาของเขาได้อีกครั้ง จิรัศยายังพูดอะไรไม่ออก แต่คนที่ช่วยแก้สถานการณ์ให้กลับเป็นนายเสาธง เขากำลังยื่นมือออกมาขวางประตูลิฟต์เพื่อให้เปิดค้างไว้ พ่อเทพบุตรเดินออกจากลิฟต์ช้าๆ เขาไม่แสดงสีหน้าอะไรกับจิรัศยาแต่กลับหันไปพูดกับคนที่เหลือในลิฟต์แทน

“ขอโทษที่ทำให้เสียเวลาครับ”

จากนั้นนายเสาธงก็ปล่อยให้ประตูลิฟต์ปิดลง ทุกคนที่ลงพร้อมกันที่ชั้นสิบห้า ต่างกระจายตัวออกไปแล้ว แม้กระทั่งคนที่เป็นต้นเหตุให้เกิดอุบัติเหตุกับเธอ จิรัศยาหันรีหันขวาง มองพ่อเทพบุตรที มองนายเสาธงที มันช่างเป็นภาพที่ดูตลกร้ายเมื่อคนที่มอมแมมที่สุดกำลังยืนตัวแข็งทื่อราวรูปปั้นท่ามกลางซากอาหารและเครื่องดื่ม โดยมีชายหนุ่มรูปงามสองคนกำลังยืนสนใจกันและกันอยู่

นายเสาธงหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าเสื้อสูทของเขาออกมาซับคราบเครื่องดื่มบนเสื้อของผู้เป็นนายอย่างบรรจง แม้สูทของนายเสาธงจะดูดีแต่มันก็ยังไม่ดีเท่ากุชชี่ที่เธอเพิ่งเห็นป้ายบนสูทของพ่อเทพบุตร

“เปลี่ยนไหมครับ ผมว่าควรเปลี่ยน”

“ไม่เป็นไรน่า ครึ่งชั่วโมงก็น่าจะเสร็จงาน” คนที่ถูกทำให้เปื้อนดูจะใจเย็นกว่า “แล้วทำไมนายขึ้นมาไวกว่าฉัน”

“ผมวิ่งขึ้นมา”

พ่อเทพบุตรแสยะยิ้ม “ไม่น่าถามสินะ”

“เปลี่ยนเถอะครับ เดี๋ยวผมโทรศัพท์ให้คนรถนำชุดใหม่ขึ้นมาให้ ท่านก็รู้ว่าคุณท่านไม่ชอบกลิ่นแปลกๆ”

พ่อเทพบุตรเบะปาก อากัปกิริยาของเขาไม่ว่าจะทำอะไรก็น่ามองไปหมด จิรัศยาเพลินตาเหมือนตกอยู่ในภวังค์ แต่นาทีต่อมาหญิงสาวต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อนายเสาธงดีดนิ้วมือตรงหน้า

“อะไร!…คะ”

ดีที่ยังมี ‘คะ’ ตามมาทีหลัง จะได้ไม่ดูว่าสิ่งที่เธอพูดออกไปนั้นมันห้วนเกินไป

“ไม่ทำอะไรสักหน่อยเหรอ”

แล้วเขาก็ใช้ตาตี่ๆ นั้นจ้องเธอรวดเดียวตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า เมื่อจิรัศยายังไม่ตอบเขาก็หันไปพูดกับพ่อเทพบุตรแทน

“เข้าไปรอในห้องน้ำเถอะครับ สักครู่ผมจะตามเข้าไป”

พ่อเทพบุตรพยักหน้าก่อนจะหันมาสนใจจิรัศยาบ้าง “คุณโอเคไหม”

“อ๊ะ…อะ…โอเคค่ะ”

เธอพยายามจะยกนิ้วโป้งให้เขาทั้งที่บรรดาถุงยังค้างบนนิ้วอื่นๆ อยู่

“ขอโทษนะครับที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น” เธอส่ายหน้าเร็วๆ “งั้นนายช่วยจัดการให้คุณผู้หญิงคนนี้ด้วย”

พ่อเทพบุตรหันไปสั่งนายเสาธงซึ่งน่าจะสูงน้อยกว่าเขาไม่ถึงห้าเซนติเมตร จากนั้นก็ก้มศีรษะน้อยๆ ให้จิรัศยา ซึ่งมันทำให้หัวใจของเธออ่อนยวบ ทำไมเขาช่างแสนดี ชอบช่วยเหลือ แถมยังเอาใจใส่ผู้หญิงที่เขาเพิ่งเคยเจอครั้งแรกอย่างนี้ มันน่าตกหลุมรักไม่ใช่เหรอ จิรัศยามองตามร่างสูงนั้นด้วยสายตาละห้อยก่อนที่จะถูกกระชากกลับมายังโลกในความเป็นจริง เมื่อคนข้างตัวเริ่มคุยโทรศัพท์เสียงดัง

“ลุงครับ เอาชุดสูทสีครีมของคุณกัณฑ์ขึ้นมาบนห้องทำงานของท่านด้วย ใช่ครับ เดี๋ยวนี้เลย”

จากนั้นเขาก็โทรสายใหม่

“ห้องแม่บ้านของอาคารใช่ไหมครับ มีอุบัติเหตุที่บริเวณหน้าลิฟต์ชั้นสิบห้ากับภายในตัวลิฟต์หมายเลขสาม ช่วยมาทำความสะอาดด้วย…ครับ ผมโทรมาจากบริษัทเฟรชคูล ใช่ อีกครึ่งชั่วโมงจะมีการประชุมใหญ่ภายในบริษัท ผมอยากให้จัดการเรื่องกลิ่นด้วย ถ้าสงสัยก็ดูกล้องวงจรปิดเอาก็แล้วกัน”

เมื่อเขาวางสายลง ความสนใจจึงกลับมาหาเธอ

“คุณจิรัศยา…”

“ฮะ ทำไมคุณรู้ชื่อของฉัน”

เธอมั่นใจว่าตัวเองเพิ่งเคยเจอผู้ชายคนนี้เป็นครั้งแรกเหมือนกับที่เจอพ่อเทพบุตร คนที่เขาเรียกว่า ‘ท่าน’ นั่นแหละ แล้วทำไมนายเสาธงถึงรู้จักชื่อของเธอ เขาเป็นอะไรกันแน่…นักสืบเอกชน บอดี้การ์ด หรือหน่วยรักษาความปลอดภัยของอาคารแห่งนี้ จิรัศยาส่งสายตาไม่ไว้วางใจให้อย่างไม่ปิดบัง แต่เขากลับตีสีหน้าเรียบเฉยพร้อมกับพยักพเยิดไปที่ป้ายชื่อซึ่งห้อยอยู่บนคอของเธอแทน

อ้อ เขาอ่านป้ายชื่อของฉันนี่เอง ยายจิ เด็กโง่!

จิรัศยาเชิดหน้าขึ้น เพราะคงไม่มีอะไรให้อับอายไปได้มากกว่านี้แล้ว ชายหนุ่มล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อสูทของตัวเองแล้วหยิบนามบัตรใบหนึ่งออกมายื่นให้เธอ

“ไปที่ร้านคริสตัลบนชั้นสามฝั่งพลาซ่าของอาคารแล้วเลือกเสื้อผ้าชุดใหม่มาหนึ่งชุด ยื่นนามบัตรนี้ให้เขา เขาจะช่วยจัดการทุกอย่างให้คุณเองครับ”

จิรัศยารู้จักร้านเสื้อผ้าร้านนั้นดี เพราะชอบไปยืนดูตู้โชว์สินค้าหน้าร้านพร้อมเพื่อนร่วมงานเสมอ แต่เมื่อเห็นราคาของสินค้าแล้วพวกเธอก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปขอลองชุดเลยสักครั้ง ภายในอาคารสำนักงานแห่งนี้จะมีการเปิดให้เช่าพื้นที่สำหรับทำธุรกิจร้านอาหาร ร้านเสื้อผ้า ร้านกาแฟ รวมถึงยังมีห้างสรรพสินค้าเล็กๆ ซึ่งร้านค้าทั้งหมดนั้นบรรจุอยู่ภายในชั้นสามซึ่งเป็นโซนพลาซ่าของอาคารนี้ด้วย พนักงานที่ทำงานอยู่ในอาคารนี้จึงมีโอกาสเดินเลือกซื้อสินค้าในช่วงเวลาพักอยู่เสมอ

“ทำไมฉันต้องทำอย่างนั้นคะ”

จิรัศยารู้สึกว่าเธอถามคำถามได้โง่มาก แต่ก็นั่นแหละ สิ่งที่อยู่ในใจหญิงสาวก็มีแต่คำถามนี้ ทำไมเขาต้องสั่งให้เธอทำโน่นทำนี่ด้วย เขาเป็นใครแล้วทำไมต้องทำอย่างนั้น

“หรือคุณจะทนกับกลิ่นอาหารบนตัวอย่างนี้ทั้งวัน คุณจะไม่ทำงานแล้วเหรอ”

“เอ้อ จริงด้วย”

เธอยอมรับด้วยความจำนน นั่นทำให้ชายหนุ่มถอนหายใจ

“รับไปสิครับ”

จิรัศยามองนามบัตรในมือของเขาที เงยหน้าขึ้นสบตาเล็กๆ ที่มีแววยียวนและท้าทายนั่นที เธอหายใจเข้าลึกก่อนตอบ

“คุณจะชดใช้ให้ฉันทำไมคะ ในเมื่อคุณไม่ได้เป็นคนทำให้ฉันเป็นแบบนี้”

“ผมไม่ได้เป็นคนจ่าย”

“อ้าว ก็คุณบอกให้ฉันไปเลือกเสื้อผ้าใหม่ ถ้าคุณไม่จ่าย ฉันก็ไม่มีปัญญาไปซื้อเสื้อผ้าในร้านนั้นหรอกค่ะ เงินเดือนของฉันทั้งเดือนอาจจะซื้อได้แค่ผ้าพันคอสักผืนล่ะมัง”

“ความจริงเจ้านายของผมเป็นคนจ่าย”

“หา?…” จิรัศยาพยายามใช้ความคิด “เจ้านายของคุณ…คุณหมายถึงคนหล่อๆ ตัวสูงๆ เมื่อกี้นี้เหรอคะ”

“ครับ” ชายหนุ่มถอนหายใจหนัก รู้สึกเหนื่อยมากกว่าการวิ่งขึ้นบันไดจากชั้นเก้ามาถึงชั้นสิบห้าเสียอีก “รับไป ไปจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ผมจะโทรบอกเจ้าของร้านให้เตรียมต้อนรับคุณ ส่วนเรื่องอาหารเช้าพวกนี้ ผมจะหาของอื่นทดแทนให้ ว่าแต่ทั้งหมดนี้สำหรับคนกี่คน”

“เอ่อหก เอ้อ ไม่สิเจ็ด ไม่ใช่ๆ ต้องรวมฉันด้วย ก็เป็นแปดค่ะ”

“โอเค อาหารเช้าจะถูกส่งไปยังบริษัทของคุณภายในสิบห้านาทีนี้”

เขาพยักพเยิดให้เธอรับนามบัตรในมือของเขาเสียที แม้จิรัศยาจะยังงงแต่ก็ยอมรับมันมาในที่สุด จังหวะนั้นเองลิฟต์ตัวหนึ่งก็จอดที่ชั้นสิบห้า และประตูของมันกำลังจะเปิด จู่ๆ ชายร่างสูงแต่ผอมเพรียวคนนั้นก็ขยับตัวมายืนบังร่างของเธอ จิรัศยาจึงได้เห็นแผ่นหลังของเขาใกล้แค่คืบ

ผู้ชายคนนี้ไหล่สวย ผมรองทรงสั้น ต้นคอดูแข็งแรง เขาสูงมากจริงๆ น่าจะเกินร้อยแปดสิบ แต่ก็ยังเตี้ยกว่าเจ้านายของเขาเล็กน้อย ตัวบางกว่า ใส่เสื้อผ้าธรรมดากว่า และดุกว่าแน่นอน

จิรัศยาไม่รู้ว่านายเสาธงขยับตัวมายืนหน้าเธอทำไม แต่เมื่อประตูลิฟต์เปิดออกหญิงสาวก็เข้าใจ เขาบังเพื่อที่จะไม่ให้ใครเห็นเธอ แล้วตอนนั้นเขาก็เอ่ยทักใครบางคน

“สวัสดีครับ”

“อ้อ สวัสดีค่ะคุณพารณ ดิฉันทราบปัญหาแล้วค่ะ นี่ให้เด็กขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวจะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยเลยนะคะ เอ้า ทุกคนรีบจัดการเลยเร็วๆ”

พนักงานจากบริษัททำความสะอาดประจำอาคารกรูเข้ามาหาจิรัศยาพร้อมกันสามคน เพราะตำแหน่งที่เธอยืนอยู่นั้นเป็นจุดที่สกปรกที่สุด

“ขอบคุณที่ผู้จัดการมาด้วยตัวเองนะครับ”

“ต้องมาสิคะ เป็นหน้าที่ของดิฉันโดยตรง คุณพารณไม่ต้องห่วงนะคะ เดี๋ยวดิฉันจะยืนควบคุมงานเองค่ะ รับรองว่าทุกอย่างจะต้องเรียบร้อย”

“ครับ”

จากนั้นเขาก็หันหลังกลับมาทันที จิรัศยาสะดุ้งสุดตัว ตอนนี้เธอรู้จักชื่อเขาแล้ว…นายพารณ ว่าแต่เขาเป็นใคร ทำไมทุกคนจึงดูเกรงอกเกรงใจเขานัก แม้แต่ผู้จัดการอาคารยังต้องมาจัดการปัญหาอาหารเช้าของเธอด้วยตัวเอง ชายหนุ่มก้มหน้าลงมามองหญิงสาวตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า

“คุณควรปล่อยถุงในมือทั้งหมดให้แม่บ้านจัดการนะ แล้วถ้ามีอะไรติดต่อผม…” เขายื่นนามบัตรอีกใบให้ “ผมต้องไปแล้ว เราเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนี้เราจะชดใช้ให้ครับ”

พารณก้มศีรษะให้เธอเล็กน้อยแล้วเดินไปทางห้องน้ำ ซึ่งตอนนี้เจ้านายของเขาคงรออยู่ที่นั่น จิรัศยามีนามบัตรในมือสองใบพร้อมกับเนื้อตัวที่มอมแมม เธอจะเข้าไปในบริษัทในสภาพนี้ได้ยังไงกัน แล้วที่เขาบอกว่าให้ไปที่ร้านเสื้อตอนนี้ได้เลยนั้นมันทำได้จริงเหรอ ในเมื่อปกติร้านเสื้อผ้าในฝั่งพลาซ่าจะเปิดพร้อมกันราวสิบนาฬิกา

“ป้าว่าหนูควรจะไปล้างเนื้อตัวก่อนนะ”

“ใช่ค่ะ ไปที่ห้องน้ำเลยค่ะ นะคะ เดี๋ยวทางนี้จะได้เริ่มทำความสะอาด เชิญค่ะ”

จิรัศยาพยักหน้ารับความคิดเหล่านั้นจากพนักงานทำความสะอาดและผู้จัดการของพวกเขา ทุกคนคงอยากทำงานโดยที่ไม่มีเธอยืนขวางอยู่

 

พารณเดินเข้าไปในห้องน้ำชาย เขาเห็นเจ้านายของตนยืนอยู่หน้ากระจก ตอนนี้กัณฑ์อเนกถอดเสื้อนอกวางพาดขอบอ่างล้างมือแล้ว

“เลอะมากไหมครับ”

ชายหนุ่มคนที่ถูกถามหันมายิ้มให้ก่อนตอบอย่างอารมณ์ดี “นายนี่เหมือนคุณแม่ของฉันเข้าไปทุกวัน เฮ้อ ไม่มาก ระดับสามในสิบ เสื้อกั๊กกับเชิ้ตไม่เปื้อน แต่ถ้าเปลี่ยนแค่สูทมันก็จะไม่เข้ากันอยู่ดี”

“ครับ เปลี่ยนทั้งเสื้อทั้งกางเกงดีกว่า”

เสียงโทรศัพท์มือถือของพารณดังขึ้นเบาๆ เขามองดูหน้าจอแล้วขออนุญาตรับ

“อยู่ในห้องน้ำ เอามาที่นี่เลย”

เมื่อวางสายเขาก็รายงานให้กัณฑ์อเนกทราบ

“คนขับรถเอาชุดใหม่มาให้แล้วครับ”

ไม่กี่อึดใจชุดก็ถูกยื่นมาตรงหน้าเลขานุการหนุ่ม ผู้มีมาตรฐานและประสิทธิภาพการทำงานที่สูงมาก เขายื่นชุดใหม่ให้กัณฑ์อเนกนำไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ส่วนตัวเองก็ยืนรอเพื่อเก็บชุดเดิมคืนให้คนขับรถ ไม่นานกัณฑ์อเนกก็สะอาดสะอ้านและภูมิฐานในชุดสูทสีครีมตัวใหม่ เขาเดินออกจากห้องน้ำอีกครั้งในลุคที่พร้อมทำงานสำคัญ โดยมีเลขานุการส่วนตัวเดินตามมาทางด้านหลัง

ฝ่ายจิรัศยากลับต้องเสียเวลาทำความสะอาดเสื้อผ้าและร่างกายของตัวเองเกือบยี่สิบนาที แถมผลที่ออกมาก็ไม่ได้น่าอภิรมย์นัก เมื่อกลิ่นกาแฟเย็นกับชานมไข่มุกยังแข่งกันส่งกลิ่นบนเสื้อของเธออยู่

“ฮือ ถึงชุดนี้มันจะเก่าแต่ก็เป็นชุดเก่งของฉันเลยนะ”

ที่ว่าชุดเก่งนั้นไม่ใช่เพราะมันสวยกว่าชุดอื่นหรือใหม่กว่า แต่มันเป็นชุดที่จิรัศยาเชื่อว่าใส่แล้วจะนำโชคดีมาให้ พนักงานหน้าโต๊ะประชาสัมพันธ์ของบริษัทใส่ชุดอื่นไม่ได้ นอกจากเครื่องแบบที่ทางบริษัทกำหนดเท่านั้น

“บางทีฉันอาจจะต้องลองทำตามที่นายเสาธงบอกจริงๆ”

หญิงสาวจ้องมองสภาพของตัวเองหน้ากระจกด้วยสายตาละห้อย มันดูน่าสมเพชเหลือเกิน แถมของกินที่ทุกคนฝากซื้อก็เสียหายหมด ตอนนี้คงทำได้แค่เดินไปขอโทษทุกคนก่อน…

เมื่อกลับเข้ามาที่ออฟฟิศของตัวเองอีกครั้งจิรัศยาก็พยายามรวบรวมความกล้าเพื่อที่จะไปบอกทุกคนก่อนว่าเกิดอะไรขึ้น จากนั้นคงต้องลงไปซื้ออาหารเช้าให้ทุกคนใหม่ แต่เมื่อโผล่หน้าเข้ามาในโถงซึ่งเป็นห้องทำงานรวมเธอก็ต้องประหลาดใจ เพราะตรงหน้าขณะนี้มีพนักงานของบริษัทมารวมตัวกันตรงกลางห้องซึ่งเป็นโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ แถมยังมีคนใส่ชุดเชฟสีขาวของโรงแรมพร้อมหมวกทรงสูงยืนอยู่ในนั้นด้วยอีกสองคน

“จิมาแล้ว”

เสียงของกวิตา พนักงานการตลาดสาวสวยโพล่งขึ้นเมื่อเห็นหน้าตาที่เหลอหลาของจิรัศยาโผล่เข้ามาในห้อง ทุกคนจึงหันไปหาหญิงสาวต้นเรื่องพร้อมกัน

“คะ…คะ?” จิรัศยาขมวดคิ้วยุ่ง

ผู้ชายร่างใหญ่ในชุดเชฟสองคนหันมาโค้งคำนับจิรัศยา เธอตกใจจนต้องรีบยกมือขึ้นไหว้

“ผมมาจากโรงแรมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอาคารแห่งนี้ครับ นี่คืออาหารเช้าสำหรับแปดท่านตามที่ผมได้รับคำสั่งให้จัดหา จัดเตรียม และนำมาบริการสำหรับคุณจิรัศยาครับ”

“ฉันเหรอคะ”

ใช้เวลาประมาณห้าวินาทีกับการอ้าปากค้างแล้วก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นฝีมือของใคร

“เล่นใหญ่มาก…” หญิงสาวพึมพำกับตัวเอง แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่ปลื้มปริ่มของเพื่อนร่วมงานซึ่งยืนเรียงรายรอบโต๊ะประชุมแล้วเธอก็ยิ้มตาม “อ่ะ ใช่ค่ะ ดิฉันเอง จิรัศยา”

“ครับ เชิญทุกคนนั่งเลยครับ เราจะได้เริ่มเสิร์ฟ”

“ต้องถึงขนาดนั้นเลยเหรอคะ”

“มันเป็นมาตรฐานของทางโรงแรมครับ ขออนุญาตแนะนำอาหารเช้าของเราในวันนี้ก่อนนะครับ เนื่องจากเป็นการจัดเลี้ยงขนาดเล็กและเร่งด่วนทางโรงแรมจึงแนะนำขนมปังฝรั่งเศสรับประทานคู่กับซุปข้าวโพด แล้วยังมีครัวซองต์กับขนมปังคาวหวานอีกหลากหลายชนิดให้เลือกรับประทาน พร้อมเนยสดและแยมผลไม้ที่เป็นสูตรพิเศษของทางห้องอาหารของเรา นอกจากนั้นก็สามารถเลือกเครื่องดื่มประเภทชาอังกฤษหรือกาแฟได้อีกด้วยครับ ทั้งหมดวางอยู่ตรงนี้แล้ว”

เชฟขยับตัวนิดหน่อยแล้วผายมือไปทางด้านหลังของเขา จิรัศยาเพิ่งเห็นเต็มสองตาว่าทุกอย่างที่เชฟพูดนั้นวางอยู่ในรถเข็นอาหารสีเงินเรียบร้อยแล้ว เธอร้องว้าวออกมาอย่างลืมตัว

“เอ่อ ดิฉันคิดว่าพวกเราสามารถจัดการกันเองได้”

“ไม่ต้องการให้เราบริการเหรอครับ”

“ค่ะ ไม่ต้องค่ะ”

เชฟทั้งสองหันไปซุบซิบกันอยู่ครู่หนึ่งแล้วหันมาบอกข้อสรุปของพวกเขาให้จิรัศยาทราบ

“ถ้าอย่างนั้นเราจะรออยู่ที่หน้าบริษัทนะครับ เชิญทุกท่านเอร็ดอร่อยกับอาหารเช้า หากมีปัญหาอะไรเรียกพวกผมได้ทันทีนะครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราโอเค” จิรัศยายกมือทำสัญญาณบอกว่าเธอโอเคจริงๆ

“มันเป็นหน้าที่ของเราครับ ไม่ต้องเกรงใจนะครับ”

“ค่ะ ได้ค่ะ ถ้ามีปัญหาเราจะเรียกนะคะ”

เชฟทั้งสองก้มศีรษะให้จิรัศยาอีกครั้ง เธอรีบก้มศีรษะรับด้วย และเมื่อพวกเขาเดินลับตาไปจากห้องโถงแล้ว เพื่อนร่วมงานทุกคนต่างก็รุมล้อมเข้ามาหาหญิงสาวร่างบางที่ตอนนี้แสนจะมอมแมม ทุกคนอยากจะรู้เหลือเกินว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ คนที่มาถึงตัวจิรัศยาก่อนใครก็คือ กวิตา หญิงสาวร่างบางระหง เธอสูงกว่าจิรัศยา แต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่ามีสไตล์กว่า แต่งหน้าก็ฉูดฉาดมีสีสันไม่เสียชื่อที่เป็น MC* เก่ามาก่อนที่จะผันตัวมาเป็นนักการตลาด

“เกิดอะไรขึ้น! ทำไมโรงแรมส่งอาหารเช้ามาให้พวกเรา จิไปทำอะไรไว้เหรอ”

“เราไม่ได้ทำ แต่มีคนทำ…”

จิรัศยาก้มหน้ามองเสื้อผ้าของตัวเอง คราวนี้ทุกคนจึงได้เห็นพร้อมกันว่าหญิงสาวอยู่ในสภาพที่ไม่น่าดูนัก เธอเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่อุบัติเหตุที่เธอถูกชนจนถึงเรื่องที่ชายหนุ่มบอกว่าจะส่งอาหารเช้ามาชดเชยให้

“หูย…ลาภปากพวกเรา”

ผู้ช่วยเลขานุการผู้บริหารหลุดปากออกมาแล้วก็ต้องหน้าเจื่อน เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าอาหารเช้าแสนวิเศษมื้อนี้นั้นต้องแลกมาด้วยความสกปรกที่เกิดกับประชาสัมพันธ์ของบริษัท

“เอ่อ พี่ขอโทษนะจิ ตื่นเต้นไปหน่อยน่ะ เพราะปกติก็ไม่เคยจะได้กินของหรูหราจากโรงแรมห้าดาวแบบนี้”

จิรัศยาพยายามยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะพี่เดือน มันเป็นอุบัติเหตุนี่คะ มา…เรามาทานกันให้หมดนี่กันเถอะ”

เมื่อหญิงสาวผู้เป็นต้นเรื่องพูดเปิดโอกาส ทุกคนจึงรีบขยับเข้ามาใกล้รถเข็นอาหารเช้าด้วยความตื่นเต้น กวิตาดึงข้อมือของจิรัศยาเข้ามาใกล้ตนแล้วกระซิบที่ข้างหู

“รีบเอาอาหารไปทานที่โต๊ะของเราเถอะ…มีเรื่องจะถามเยอะเลย”

“ได้”

 

สองสาวแยกตัวออกมาจากเพื่อนร่วมงานคนอื่น ซึ่งตอนนี้ต่างก็กำลังมีความสุขกับการรับประทานอาหารเช้าจากโรงแรมระดับห้าดาว คนที่ไม่ได้ฝากจิรัศยาซื้ออาหารเช้าก็พลอยเข้ามาร่วมวงด้วย เพราะอาหารที่ถูกนำมานั้นมีปริมาณมากกว่าที่คนแปดคนจะรับประทานหมดในมื้อเดียว

กวิตากัดครัวซองต์คำแรกแล้วทำท่าดังได้ขึ้นสวรรค์

“บุญปาก บุญกระเพาะแท้ๆ อุ๊ย โทษทีนะจิ เราลืมไปว่าจิต้องลำบากเพราะเรื่องนี้”

“ช่างเถอะ มันเกิดขึ้นแล้วนี่ ทำยังไงได้นอกจากยอมรับมัน”

จิรัศยาหยิบบลูเบอรี่มัฟฟินขึ้นมากัดคำหนึ่งแล้วก็อดทำท่าคล้ายกับกวิตาไม่ได้ และดูเหมือนเพื่อนร่วมงานของเธอยังคงมีเรื่องสงสัยอยู่

“เขาเป็นใคร”

“ใคร?”

“คนที่ทำจิเป็นอย่างนี้ไง”

“ไม่รู้สิ” หญิงสาวกัดขนมอีกคำ

“หล่อมั้ย”

เมื่อถึงคำถามนี้จิรัศยาก็ตาลุกวาว “อย่าเรียกว่าหล่อ ต้องบอกว่าราวเทพบุตร เราไม่เคยเห็นเขามาก่อนเลยนะ โดยเฉพาะบนชั้นนี้”

“นั่นสิ ถ้าลงชั้นเดียวกับเราก็แสดงว่าเขาก็ต้องทำงานอยู่บนชั้นนี้ด้วย…บริษัทไหนสักแห่ง”

“ใช่”

จิรัศยาจำได้เลือนรางว่านายเสาธงพูดถึงชื่อบริษัทของเขา แต่เธอก็ไม่มั่นใจ จึงไม่ได้บอกกวิตา

“น่าสืบนะ”

จิรัศยาแกล้งหันไปสบตากวิตาด้วยสายตากรุ้มกริ่มก่อนถอนหายใจหนัก “อย่าเลย ท่าทางนายคนนั้นคงไม่ให้เราได้เจอเขาอีกหรอก”

“ใครคือนายคนนั้น”

“คนที่ให้นามบัตรเราไง”

จิรัศยาควักนามบัตรสองใบออกมาจากกระเป๋ากระโปรงแล้ววางบนโต๊ะทำงานของกวิตา เจ้าของโต๊ะกวาดสายตาอ่านเร็วๆ แล้วเลือกหยิบนามบัตรของร้านเสื้อผ้าขึ้นมาอ่าน

“นี่คืออะไร”

“ร้านเสื้อผ้าบนชั้นสามไง นายคนนั้นบอกให้เราไปเอาเสื้อผ้าชุดใหม่ที่นั่น มันเป็นการชดใช้ค่าเสียหายหลังจากเกิดอุบัติเหตุขึ้นน่ะ”

“โห จิโชคดีจัง ทำไมไม่เป็นเรา เรายอมสกปรกมากกว่านี้อีกสิบเท่าถ้าเขาจะชดเชยด้วยเสื้อผ้าจากร้านคริสตัล”

“จะบ้าเหรอตา…พูดจริงๆ นะ เราไม่กล้าไปเอาชุดใหม่ที่ร้านนั้นหรอก”

“ทำไมล่ะ” กวิตาขมวดคิ้วยุ่ง

“มันมากเกินไปน่ะ ตาก็รู้ว่าเสื้อผ้าร้านนั้นแพงจะตาย เทียบกับของเรานะคงซื้อชุดทำงานเราได้สักห้าหกตัว”

“แต่มันเป็นสิทธิ์ของเรานะ เขาทำเราเป็นอย่างนี้ เขาชดใช้ให้ก็ถูกต้องแล้ว”

“อันที่จริงจะว่าไปมันก็ไม่ใช่ความผิดของเขาซะทีเดียวหรอก” จิรัศยาพยายามทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นอย่างช้าๆ “เหมือนจะมีคนชนเรา พอเราจะล้มหน้าคว่ำเขาก็ฉวยข้อมือเราไว้ทันเวลาพอดี จริงๆ ต้องเรียกว่าเขาช่วยเราไว้ต่างหาก”

“โห งั้นก็เป็นบุพเพสันนิวาส”

จิรัศยายิ้มขำแต่ก็แอบเชื่อนิดๆ “ไม่หรอก อุบัติเหตุน่ะ”

“แต่เขาเป็นผู้ชายที่ดีมากเลยนะ ชดใช้ค่าเสียหายให้จิด้วย”

“อื้ม”

หญิงสาวรับคำแล้วรับประทานอาหารของตนเงียบๆ ในใจคิดทบทวนคำพูดของกวิตาไปด้วย นี่เธอต้องขอบคุณใครกันแน่ ระหว่างผู้ชายคนที่ช่วยเธอหรือคนที่จัดการเรื่องทั้งหมดนี้แทนเขา ใครกันที่เป็นผู้ชายที่ดีมากคนนั้น…

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

หน้าที่แล้ว1 of 7

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: