บทที่ 4
ไม่คิดเลยว่าการประสานงานร่วมกันกับนิตยสารจะใช้เวลานานขนาดนี้ พารณหมดช่วงบ่ายไปกับการส่งอีเมลกลับไปกลับมาระหว่างเขากับคอลัมนิสต์ที่จะส่งทีมงานมาสัมภาษณ์กัณฑ์อเนกในวันพรุ่งนี้ กว่าพารณจะออกจากสำนักงานได้เวลาก็ล่วงเลยมาจนท้องฟ้าเปลี่ยนสีแล้ว ตอนเช้าเขาเดินทางมาที่บริษัทพร้อมกับรถของกัณฑ์อเนก แต่ตอนนี้กลับโดนทิ้งไว้จึงต้องหาทางกลับบ้านเอาเอง
เมื่อลงลิฟต์มาถึงชั้นล่างของอาคารและเดินผ่านร้านกาแฟ พารณก็เพิ่งรู้ตัวว่าตนเองดื่มกาแฟแก้วสุดท้ายไปตอนบ่ายสามโมง หลังจากนั้นก็ไม่ได้กินอะไรอีกเลย เขาควรหาอาหารกินสักมื้อก่อนกลับบ้านเพื่อที่จะไม่ต้องยุ่งยากตัวเองหลังจากที่กลับไปถึงอพาร์ตเมนต์แล้ว ชายหนุ่มจึงตัดสินใจเดินขึ้นบันไดไปยังทางเชื่อมของรถไฟฟ้าเพื่อตรงไปยังห้างสรรพสินค้าในละแวกนี้
สี่แยกราชประสงค์มีห้างสรรพสินค้าและโรงแรมเยอะมาก ฐานะอย่างเขาจะดื่มกินที่ไหนก็ได้ แต่ตอนนี้เขาต้องการความรวดเร็ว
“ไปเซ็นทรัลเวิลด์ก็ได้”
พารณบ่นพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วเบนเข็มไปสู่เป้าหมาย ขณะนี้เป็นเวลาทุ่มสิบห้านาทีแล้วแต่ผู้คนบนสกายวอล์กไม่ได้ลดลงเลย ทั้งนักเรียน นักศึกษา คนทำงาน และนักท่องเที่ยวที่ส่วนใหญ่ใช้รถไฟฟ้าเป็นพาหนะก็ยังคงเดินทางกันอยู่ อีกไม่กี่ก้าวเขาจะเดินถึงศาลพระพรหมเอราวัณ ตอนนี้ควันธูปได้จางลงไปมากแล้วแต่เสียงปี่พาทย์ของนางรำยังคงดังเป็นจังหวะเร้าอยู่ ชายหนุ่มหันไปมองเบื้องล่างของทางเดินสกายวอล์ก จู่ๆ ในใจก็นึกขึ้นมาว่าทำไมผู้คนชอบให้เทพเจ้าเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของตนเองนัก พารณถอนหายใจแล้วชักสายตากลับ จังหวะนั้นเองเขาก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งถือถุงกระดาษใบเขื่อง เธอยืนนิ่งอยู่ตรงกึ่งกลางทางเชื่อมระหว่างสกายวอล์กกับทางเข้าโรงแรม มือข้างหนึ่งโบกให้หญิงสาวอีกคนซึ่งน่าจะเป็นการบอกลา เพื่อนของเธอหมุนตัวแล้วแยกไปอีกทางหนึ่งแล้วส่วนเธอกำลังออกเดินไปยังทางเข้าสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต พารณคงไม่สนใจเธอคนนั้นเลยหากเธอไม่ถือถุงของร้านคริสตัลแถมยังใส่ชุดออกกำลังกาย
“ไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าเหรอ พิลึกคน”
พารณมองเธอครู่เดียวแล้วเดินต่อไป ทั้งเขาและเธอต่างเดินสวนทางกัน ชายหนุ่มจะไปยังห้างสรรพสินค้าในขณะที่จิรัศยาเพิ่งออกมาจากที่นั่น เธอกำลังจะไปขึ้นรถไฟฟ้าเพื่อที่จะต่อรถประจำทางกลับบ้านอีกทอดหนึ่ง หญิงสาวดูมีความสุข ในขณะที่พารณหิว…
ตูม!…
ผู้คนต่างหยุดชะงักไปชั่วขณะก่อนที่จะมีเสียงร้องดังมาจากทางด้านล่างของสกายวอล์ก
กรี๊ดดดดดดดด…
“ระเบิด! หน้าพระพรหมมีระเบิด! วิ่งเร็ว…วิ่ง!”
ตูม!!!
เสียงระเบิดดังขึ้นสองครั้ง ระดับความดังของเสียงไม่เท่ากัน แสดงว่าระยะห่างจากที่พารณอยู่กับจุดระเบิดนั้นไม่เท่ากัน เสียงระเบิดครั้งที่สองทำให้หูของเขาอื้อ ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งโดยอัตโนมัติ แต่รอบตัวนั้นผู้คนกลับวิ่งกันสับสนอลหม่าน ขณะนี้มีทั้งเสียงร้องคร่ำครวญของผู้คน เสียงตะโกนไม่ได้ศัพท์ และเสียงแตรรถยนต์ พารณใช้มือปิดหูไว้ แทบจะไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงวี้ๆ รอบตัวของชายหนุ่มยังวุ่นวายอยู่ แต่สิ่งหนึ่งที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ หากเกิดระเบิดขึ้นทางด้านหลังก็แสดงว่าคนที่เพิ่งสัญจรสวนทางกับเขานั้นอาจจะได้รับอันตรายก็เป็นได้
แล้วร่างกายของเขาก็เคลื่อนไหวอีกครั้ง ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งกลับไปยังเส้นทางที่ตนเพิ่งเดินผ่านมา เขากำลังคิดถึงคนที่ถือถุงกระดาษของร้านคริสตัลซึ่งเพิ่งเดินผ่านไปเมื่อครู่ ตอนนี้พารณกำลังเพ่งมองหาเธอคนนั้น แต่มันไม่ง่ายเลยเมื่อมีคนวิ่งชนเขาตลอดเวลา
ผู้คนกำลังเสียขวัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนกระจายข่าวว่าเสียงที่เพิ่งได้ยินนั้นเป็นระเบิด พารณชะโงกหน้าข้ามกรงเหล็กของทางเดินเพื่อมองไปยังฟุตปาธด้านล่างบริเวณด้านหน้าศาลพระพรหม มันมีร่องรอยความเสียหายของสถานที่และทรัพย์สินเกิดขึ้นจริง เขาเห็นคนเจ็บนั่งอยู่ที่พื้นด้วย แต่มีโรงพยาบาลตำรวจอยู่ติดกับสี่แยกนี้ ดังนั้นความช่วยเหลือคงมาถึงในไม่ช้า ชายหนุ่มจำเป็นต้องไปต่อในขณะที่หูของเขาเริ่มได้ยินเสียงผู้คนบ้างแล้ว พารณสะบัดศีรษะแรงๆ อีกครั้ง และตอนนั้นเองที่เขาเห็นตัวหนังสือซึ่งสะท้อนแสงไฟ…Crystal
หญิงสาวนั่งกอดเข่าตัวเองไว้แน่น ศีรษะมุดลงไปที่หัวเข่าคล้ายกับนกกระจอกเทศที่ต้องการหลบภัย พารณเห็นผู้ชายตัวโตคนหนึ่งวิ่งชนเธอเข้าอย่างจังจนร่างบางนั้นล้มพับลงกับพื้น จิรัศยาตัวสั่นราวลูกนกเปียกฝน ชายหนุ่มพุ่งเข้าไปหาแล้วพยายามจะฉุดแขนของเธอขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์ที่เธอยังไม่ทันตั้งตัวและรู้สึกไม่ปลอดภัยจิรัศยาจึงสะบัดแขนออกจากการเกาะกุมอย่างรวดเร็ว พารณก็ตกใจเช่นกัน เขาต้องนั่งคุกเข่าลงเพื่อพูดกับเธอใกล้ๆ ท่ามกลางผู้คนที่กรีดร้องและวิ่งไปมา
“คุณ! ออกไปจากตรงนี้! ถ้าไม่อยากโดนเหยียบตายซะก่อน”
ไม่น่าเชื่อว่าในเสี้ยววินาทีนั้นเธอจำน้ำเสียงของเขาได้ จิรัศยาเงยหน้าขึ้นสบตากับพารณตรงๆ ใบหน้าของหญิงสาวดูซีดเซียวและตื่นกลัว แต่ในที่สุดเธอก็ยอมยื่นมือออกไปวางบนมือใหญ่เพื่อให้เขาฉุดขึ้นยืน
“ไปฝั่งตรงข้ามพระพรหม”
พารณตัดสินใจในจังหวะที่จิรัศยายืนขึ้นเต็มตัวว่าจะต้องไปในทิศทางใด เนื่องจากเบื้องหน้าซึ่งเป็นทางเข้าสถานีรถไฟฟ้านั้นเจ้าหน้าที่ได้ปิดประตูเหล็กลงแล้ว แสดงว่ามีความพยายามเคลียร์คนจากสถานีให้ลงไปทางอื่นเพื่อให้ห่างไกลจากสถานที่เกิดเหตุ และเพื่อความปลอดภัยของระบบรถไฟฟ้าเองด้วย
พารณประคองจิรัศยาซึ่งค่อยๆ กะเผลกเดินตามเขาไป ดูเหมือนข้อเท้าข้างหนึ่งของเธอจะเจ็บ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมือข้างหนึ่งก็กำถุงกระดาษแน่น ชายหนุ่มพาเธอไหลไปตามฝูงชนเพื่อเดินลงบันไดไปทางฝั่งห้างเกษรพลาซ่าแต่จู่ๆ จิรัศยาก็หยุดกะทันหันคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้
“ตา…”
“อย่าหยุดเดิน เดี๋ยวโดนเหยียบ เดินต่อ”
เขาพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด หญิงสาวต้องเดินเพราะเขาเริ่มกึ่งลากกึ่งประคอง
“ตาค่ะ”
“ตาเป็นอะไร”
เขาหันมาจ้องดวงตาของเธอ แต่หญิงสาวส่ายหน้าเร็วๆ
“ไม่ใช่ตาฉัน ฉันหมายถึงเพื่อนของฉัน กวิตา…เธอเพิ่งแยกกับฉันเมื่อกี้”
“อ้อ”
พารณเพิ่งเข้าใจแต่ก็ไม่หยุดเดิน ตอนนี้ทั้งคู่ลงจากบันไดสถานีรถไฟฟ้ามาถึงทางเดินหน้าห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แล้ว ทั้งคู่อดหันไปมองถนนฝั่งตรงข้ามไม่ได้ ดูเหมือนจะเริ่มมีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาควบคุมสถานการณ์ แต่ความตื่นกลัวก็ยังคงกระจายอยู่โดยรอบ เสียงหวีดหวอดังก้องทั่วแยกราชประสงค์ รถยนต์และรถจักรยานยนต์บนถนนทุกฝั่งหยุดชะงัก…มันเกิดการระเบิดขึ้นตรงนั้นจริงๆ กลางใจเมือง ย่านธุรกิจ และในเวลาที่มีคนสัญจรไปมามากมาย
“อย่าเพิ่งห่วงคนอื่น เอาตัวรอดก่อนแล้วค่อยหาทางติดต่อ ท่าทางเราต้องเดินอีกไกล”
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วทำให้เห็นแสงไฟชัดเจนขึ้น ปกติสี่แยกนี้เป็นสี่แยกที่มีแสงไฟยามค่ำคืนสว่างสวยงาม ยิ่งใกล้เทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่เช่นนี้ ทั้งโรงแรมและห้างสรรพสินค้าต่างพร้อมใจกันจัดแสดงแสงสีบริเวณสถานประกอบการของตนอย่างอลังการและยิ่งใหญ่ แต่ตอนนี้บรรยากาศกลับพลิกผันเมื่อผู้คนต่างตื่นกลัว ไม่มีใครอยู่ในอารมณ์ที่จะหยุดดูแสงไฟซึ่งถูกจัดไว้อย่างสวยงามเหล่านั้น พวกเขาพยายามวิ่งและเดินเพื่อออกไปให้ห่างจากจุดเกิดเหตุมากที่สุด พารณเห็นว่าจิรัศยาเดินได้คล่องขึ้นแล้วเขาจึงปล่อยมือจากการประคองเธอ เพิ่งสังเกตตอนนี้เองว่าหญิงสาวยังคงกอดถุงกระดาษนั้นแน่น
“ปกติคุณกลับบ้านยังไง”
“ขึ้นรถไฟฟ้าค่ะ”
ทั้งสองหยุดยืนตรงหน้าห้างเกษรพลาซ่าซึ่งตอนนี้พนักงานรักษาความปลอดภัยได้ปิดประตูห้างทุกบานแล้ว เมื่อไม่มีเสียงระเบิดดังซ้ำผู้คนก็เหมือนจะอยากรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ จากที่วิ่งและเดินหนีห่างเมื่อสิบนาทีก่อน ตอนนี้มีบางส่วนอยากจะไปดูบริเวณหน้าศาลพระพรหมใกล้ๆ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจสั่งห้ามไว้
มีไฟลุกท่วมอยู่กลางถนนบริเวณด้านหน้าศาลพระพรหม กลิ่นควันเหม็นคละคลุ้งปะปนกับกลิ่นจากท่อไอเสียรถซึ่งไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้ ทุกคนต้องรอให้ตำรวจเข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ก่อน ส่วนรถตู้ของโรงพยาบาลตำรวจนั้นได้เข้าไปจอดขวางบนถนนเลนหนึ่ง คงรอรับคนเจ็บอยู่ ผู้คนที่ติดอยู่บนสกายวอล์กยกโทรศัพท์มือถือของตนขึ้นมาบันทึกภาพไว้ เสียงร้องโหยหวนของคนเจ็บดังระงมน่ากลัว พารณพยายามดึงความสนใจของหญิงสาวออกจากสถานการณ์เพราะกลัวว่าเธอจะตื่นตระหนกจนก้าวขาไม่ออกอีก
“ตอนนี้คงกลับเหมือนเคยไม่ได้ หารถแท็กซี่ดีกว่า แต่คงต้องเดินไปแถวประตูน้ำ คุณเดินไหวมั้ย”
“หวะ…ไหวค่ะ โชคดีที่ใส่รองเท้าผ้าใบ”
พารณกวาดสายตาไปยังถุงที่เธอกอดไว้ อยากถามว่าทำไมเธอไม่เปลี่ยนเป็นชุดที่เขาเลือกให้แต่ก็ห้ามตัวเองไว้ คงจะแปลกมากถ้าเลือกที่จะถามในเวลานี้
“ไป เดินต่อ ถ้าผ่านบิ๊กซีไปถึงเส้นประตูน้ำเราคงเรียกแท็กซี่ได้สักคัน”
จิรัศยาก็อยากจะถามเขาเหมือนกันว่าทำไมเขาถึงอยู่ตรงนี้ แล้วยังช่วยพาเธอหนีจากจุดเกิดเหตุด้วย แต่แทนที่จะถามสิ่งที่อยู่ในใจ เธอกลับถามเรื่องอื่นแทน
“จะมีคนตายไหมคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้าเป็นระเบิดจริงก็อาจจะ…คนตรงนั้นเยอะมาก”
พารณตอบเสียงเบาแล้วพยักหน้าให้เธอเดินตามเขามา หญิงสาวเดินตามแต่ไม่หยุดถาม
“ใครกันที่กล้าทำอย่างนั้น โหดร้ายเหลือเกิน แล้วเขาทำทำไมคะ”
“ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องรอฟังข่าว คืนนี้เราหาทางกลับบ้านกันก่อนเถอะ”
จิรัศยาเห็นด้วยแล้วเร่งฝีเท้าตามเขา ทั้งคู่ไหลตามผู้คนที่ต่างพยายามออกห่างจากสี่แยกราชประสงค์ พวกเขาเลือกเดินตามเส้นทางที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ตอนนี้ข่าวเรื่องการระเบิดคงแพร่กระจายออกไปในวงกว้างแล้วโดยเฉพาะสื่ออินเตอร์เน็ต แต่ในสถานที่จริงมันยังมีความสับสนอยู่มาก ผู้คนใกล้ตัวเหมือนกลัวคำว่าระเบิด เมื่อมีใครพูดคำนี้ขึ้นมาทุกคนที่ได้ยินก็พร้อมมีปฏิกิริยาต่อมันทันที ทุกคนยังคงหวาดระแวง
หญิงสาวรู้สึกว่าเธอกับเขาเดินมาไกลมากแล้ว แต่ตอนนี้รถยนต์ก็ยังคงติดหนึบอยู่บนถนน คงเพราะได้รับผลกระทบจากการปิดสี่แยกที่เกิดเหตุ พารณพาเดินอย่างชำนาญทิศทาง มีบางช่วงที่เธอรู้สึกว่าตนเองเดินไม่ทันจนต้องคว้าชายเสื้อด้านหลังของเขาไว้ จิรัศยากลายเป็นเหมือนเด็กหลงทางที่ไม่กล้าปล่อยให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ข้างหน้าคลาดสายตา
“อีกนิดเดียว ผมคิดว่าเราจะหาแท็กซี่ได้ที่แยกข้างหน้า” เขาบอกแล้วหันมาถาม “ไหวไหม”
“ไหวค่ะ”
เขามองถุงนั่นอีกครั้ง “ให้ผมช่วยถือไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันถือได้”
“ดูคุณจะหวงมันมากนะ”
ไม่เชิงประชดเพราะเขาพูดน้ำเสียงเรียบ แต่ก็ไม่ใช่คำถามที่ต้องการคำตอบเหมือนกัน จิรัศยาจึงเลือกที่จะเงียบ มีหลายคนที่เลือกวิธีการออกจากสถานที่เกิดเหตุเหมือนพวกเขา และก็มีอีกหลายคนเช่นกันที่เดินสวนทางเข้าไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น พารณพอจะเดาสถานการณ์เช่นนี้ได้ว่าสื่อออนไลน์เริ่มทำหน้าที่ของมัน และข่าวลือต่างๆ จะถูกจุดกระแสขึ้น หากเป็นเรื่องร้ายแรงจริงๆ ทางราชการคงจะดำเนินการในสภาวะฉุกเฉินที่จริงจังขึ้น พวกเขาต้องหาพาหนะให้ได้ แต่หากจะเรียกให้ใครวิ่งเข้ามารับอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าการพยายามออกไปด้วยตัวเอง
“แท็กซี่!”
จู่ๆ เขาก็ตะโกนขึ้นมาด้วยเสียงอันดัง แล้วโบกไม้โบกมือให้คนขับรถซึ่งอยู่เลนที่สองของถนนหันมามอง
“เขาไม่เห็นเรา”
จิรัศยาบอก พารณจึงตัดสินใจคว้าข้อมือของเธอทันทีแล้วฉุดเธอข้ามถนนทั้งที่ไม่มีทางม้าลายตรงนั้น
“วิ่ง!”
หญิงสาวต้องทำตามที่เขาบอก พารณต้องการวิ่งไปตัดหน้ารถแท็กซี่ที่กำลังจะขับเข้าไปบริเวณที่พวกเขาเพิ่งจากมา และตอนนี้คนขับรถก็เห็นเขาในระยะกระชั้นชิด เสียงเบรกของล้อหน้าดังเอี๊ยดจนน่าตกใจ คนขับเปิดกระจกลงทันที
“โอ๊ย ไอ้หนุ่มลุงตกใจหมด”
“รับเราด้วยครับ”
“มาๆ ขึ้นมา”
พารณรีบเปิดประตูหลังแล้วจับยัดจิรัศยาเข้าไปข้างในก่อน เสร็จแล้วก็รีบตามเข้าไปนั่ง ทันทีที่ปิดประตูรถได้เขาก็สั่ง
“ห้ามเข้าไปเด็ดขาดเลยครับ ข้างหน้ารถติดมาก เข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้เลยล่ะ”
“งั้นที่ข่าวเขาออกก็จริงน่ะสิ ระเบิดใช่ไหม”
“ครับ”
พารณด่วนสรุปเพราะอยากให้คนขับเบี่ยงรถออกไปจากเส้นทางนี้เสียที เขาหันมาถามคนที่นั่งข้างๆ
“บ้านคุณอยู่ไหน”
“ซอยรัชดาภิเษกสามสิบสองค่ะ”
“หน้าศาลอาญาเหรอ”
“ใช่”
“ไปที่นั่นครับลุง ไปเส้นไหนก็ได้ที่เร็วที่สุด ลุงต้องหมุนรถกลับเดี๋ยวนี้เลย”
“มันไกลนะ รถก็ติดด้วยตรงนั้น”
“ผมจ่ายสองเท่าจากมิเตอร์ ไม่รวมทิปลุงอีกสองร้อย”
คนขับมองกระจกหลังแล้วยิ้มกว้าง “งั้นก็ได้เลยพ่อหนุ่ม”
เมื่อปล่อยหน้าที่การขับให้เป็นของรถแท็กซี่แล้วพารณก็เริ่มเช็กข่าวสารในมือถือ จิรัศยาเองก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังมีเรื่องที่เป็นกังวลอยู่ หญิงสาวควานหาโทรศัพท์ของตนขึ้นมาแล้วกดไปหากวิตา แต่รอแล้วรอเล่าเพื่อนก็ไม่รับสาย มันทำให้เธอเป็นกังวลเพิ่มขึ้นไปอีก
“ติดต่อเพื่อนไม่ได้เหรอ” เขาถาม
“ค่ะ”
“ส่งข้อความไปบอกไว้ให้เขาติดต่อกลับ”
“ค่ะ”
ชายหนุ่มสั่งเหมือนอีกคนเป็นเด็ก แต่เธอก็ยอมทำตามที่เขาบอก วิทยุในรถแท็กซี่ถูกเปิดช่องข่าวไว้ พารณจึงได้ยินการรายงานสถานการณ์จากวิทยุและได้อ่านข่าวจากมือถือไปพร้อมกัน แต่แล้วจู่ๆ เขาก็สั่งคนขับ
“ลุงปิดวิทยุได้ไหมครับ”
“อ้าว ไม่ฟังข่าวเหรอพ่อหนุ่ม”
“ผมจะโทรศัพท์”
“อ้อ ได้ๆ”
ในสื่อที่เขาตามอยู่เริ่มมีการรายงานตัวเลขผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บในที่เกิดเหตุแล้ว และเขาคิดว่าจิรัศยายังไม่พร้อมที่จะฟังตอนนี้หากเธอต้องได้ยินชื่อของเพื่อนสาวด้วย เขาต้องการรอฟังข่าวที่ชัดเจนก่อน ชายหนุ่มหันไปมองหน้าจอโทรศัพท์ของจิรัศยาซึ่งตอนนี้เธอกำลังพิมพ์ข้อความเพื่อส่งไปหากวิตา จากนั้นเขาก็เป็นฝ่ายโทรหาใครบางคน
“ฮัลโหล ผมพารณนะ พนักงานของเราออกมาจากออฟฟิศหมดรึยัง ตอนที่ผมเพิ่งกลับยังมีคนอยู่สามสี่คน” เขาหยุดฟังการรายงาน “ดีแล้ว ทุกคนปลอดภัยนะ ผมโอเค ตอนนี้กำลังจะกลับบ้าน ให้ฝ่ายบุคคลออกประกาศด้วยว่าไม่มีใครเป็นอะไร เรื่องวันหยุดเดี๋ยวผมคุยกับเลขาฯ ท่านประธานก่อน ครับ ครับ ขอบคุณครับ”
เมื่อวางจากสายหนึ่งเขาก็รีบโทรอีกสาย
“คุณบุ๊ง…ไม่ครับ ผมออกมาก่อน คุณหนูไม่อยู่ที่ออฟฟิศตั้งแต่บ่าย เอ่อ เธอไปพัทยา ครับ เดี๋ยวผมเช็กที่อยู่ที่แน่นอนของเธออีกทีแล้วจะส่งข่าวไปบอก เรียนท่านด้วยว่าพนักงานของเราปลอดภัยดีทุกคน ขอบคุณครับ”
ในระหว่างที่เขาคุยโทรศัพท์นั้นคนตัวเล็กกว่าก็หันมาจ้องใบหน้าด้านข้างของชายหนุ่มตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ และเมื่อเหยื่อรู้ตัวเขาก็ถึงกับสะดุ้ง
“มีอะไรครับ จ้องตาแป๋วเลย”
“คุณเป็นพ่อบ้านเหรอคะ แบบบัตเลอร์ของคนชั้นสูงอะไรแบบนั้นน่ะ”
พารณทำท่านึกตามแล้วพยักหน้า “คงประมาณนั้นแหละ ขออีกสายนะ”
ไม่รอคำอนุญาตเขาก็กดหาหมายเลขที่ติดต่อบ่อยที่สุด ทางนั้นปล่อยให้เขารอสายไม่นานอย่างที่เคยเป็น
“ว่าไง” กัณฑ์อเนกทัก
“อยู่ไหนครับ”
“พัทยาสิ ก็บอกนายแล้ว”
“ครับ ผมแค่ลองเช็กดู คุณกัณฑ์โอเคนะครับ…เสียงไม่ค่อยดีเลย”
“หืม ไม่ดียังไง…คงเหนื่อยมั้ง นายมีอะไรอีกรึเปล่า”
“เอ่อ พอดีมีเหตุการณ์ไม่ค่อยดีเกิดขึ้นแถวบริษัทของเรา เดี๋ยวคุณกัณฑ์คงเห็นข่าว งั้นผมจะรายงานท่านประธานก่อนนะครับว่าคุณกัณฑ์ปลอดภัยดีและอยู่ที่พัทยา”
“เฮ้ย ไม่ต้องบอกเรื่องพัทยา บอกว่าฉันอยู่กับนาย”
“แต่…”
“แล้วอะไรที่ว่าเหตุการณ์ไม่ดี บอกมาซิ ขี้เกียจตามข่าว”
“มีระเบิดหน้าศาลพระพรหมครับ”
“หา? ระเบิดกลางเมือง? ตอนนี้เนี่ยนะ”
“ครับ สถานการณ์ยังกรุ่นๆ อยู่เลย”
“พรุ่งนี้เรามีงานแถวนั้นอีกนี่”
“ใช่ครับ ผมก็เลยจะถามคุณกัณฑ์ด้วยว่าจะยกเลิกไหม”
“ขอตามข่าวก่อนแล้วจะโทรกลับ”
“ได้ครับ แล้วเรื่องพะ…”
ยังไม่ทันจบคำถามกัณฑ์อเนกก็วางสายไปเสียแล้ว พารณยังสงสัยว่าทำไมเจ้านายของเขาจึงไม่อยากให้มารดารู้ว่าตัวเองอยู่พัทยาทั้งที่ก็ไปออกจะบ่อย และถึงคุณกมลพัชรรู้ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาอะไร
“แล้วทำไมคุณๆ ท่านๆ ของคุณเขาไม่คุยกันเองคะ ทำไมต้องคุยผ่านคนอื่นด้วย”
พารณหันไปมองคนช่างซักด้วยใบหน้าเฉยชา จากนั้นเขาก็โจมตีเธอคืนบ้าง “ติดต่อเพื่อนได้แล้วเหรอ”
“โอ๊ะ จริงด้วย ยังเลยค่ะ โทรไปก็ไม่รับสาย ส่งข้อความไปก็ไม่อ่าน อย่างนี้น่าเป็นห่วงนะคะ”
“เขาอาจจะถึงบ้านแล้วไม่สนใจโทรศัพท์อีกเลยก็ได้”
“แต่เราเพิ่งแยกกันเองนะ…หวังว่าจะปลอดภัยดี”
จิรัศยาพึมพำกับตัวเองจากนั้นก็เงียบไป พารณจึงมีเวลาจัดการงานของเขาต่อ โดยเริ่มจากส่งข้อความไปหาเลขาฯ ของกมลพัชร กำชับว่ากัณฑ์อเนกปลอดภัยดี เขาได้คุยสายด้วยแล้วเพียงแต่นายน้อยไม่อยากเปิดเผยที่อยู่ให้แม่ทราบ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับสองแม่ลูกคู่นี้เลย พารณกุมความลับของทั้งสองฝ่ายไว้มากมายจนบางครั้งชายหนุ่มก็คิดว่าสมองของเขาอาจจะบวมเข้าสักวัน
จากนั้นพารณก็พยายามติดตามข่าวสารจากในโทรศัพท์ ส่วนจิรัศยานั้นได้ล้มเลิกความพยายามที่จะติดต่อกวิตาแล้ว เธอจึงได้แต่หันไปมองนอกหน้าต่างกระจก ภาพไฟที่กำลังลุกไหม้ เสียงหวีดร้องของผู้คน และความโกลาหลเมื่อครู่กำลังหลั่งไหลเข้ามาในความทรงจำคล้ายเทปที่ถูกบันทึกภาพและเสียงไว้ มันช่างชัดเจนและรุนแรงจนหัวใจของเธอสั่น ไม่ใช่ประสบการณ์ชีวิตที่ดีเลยกับการที่ต้องเจอระเบิดกลางเมืองอย่างนี้
“ใกล้ถึงแล้วครับ”
เสียงคนขับแท็กซี่ปลุกหนุ่มสาวทั้งสองจากภวังค์ของตน พารณหันไปถามเธอ
“ให้ไปส่งตรงไหน”
“เลี้ยวเข้าไปในซอยรัชดาฯ สามสิบสองเลยค่ะ แล้วขับตรงไป เลี้ยวซ้ายแรกแล้วจะเห็นหอพักอยู่ฝั่งซ้ายมือค่ะ ตรงนั้นจะมีร้านสะดวกซื้อร้านใหญ่อยู่ข้างหน้า”
“อ้อ รู้แล้ว ผมเคยไปส่งผู้โดยสารที่นั่น”
เมื่อเข้าใจกันแล้วจิรัศยาก็กลับมาสนใจคนที่นั่งเคียงข้างบ้าง
“แล้วบ้านของคุณอยู่ที่ไหนคะ”
“ถนนสีลม”
“หา…นี่คุณนั่งรถมาส่งฉันที่นี่แล้วต้องกลับไปสีลมอีกรอบเหรอคะ”
เพราะถนนที่พารณว่านั้นมันอยู่ใกล้กับจุดระเบิดเมื่อครู่มากกว่าหอพักของเธอ มันเป็นการเดินทางข้ามเขตกันเลยทีเดียว ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาไม่ต้องนั่งแท็กซี่มากับเธอก็ได้
“ใช่”
หลังปากยอมรับออกไปแล้วกระเพาะของเขาก็ประท้วงขึ้น เมื่อมันควรจะได้รับอาหารตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้วแต่พารณกลับไม่ได้ตอบสนอง ดังนั้นมันจึงส่งเสียงร้องครางออกมาให้คนทั้งรถได้ยิน ใบหน้าของชายหนุ่มร้อนวาบด้วยความอับอาย
“โห พ่อหนุ่มนี่คงยังไม่ได้กินอะไรเลยสิ เสียงท้องร้องดังดีจริงๆ”
คนขับรถหัวเราะเอิ๊กอ๊ากอย่างอารมณ์ดี ในขณะที่จิรัศยารู้สึกผิด
“คุณยังไม่ได้ทานข้าวเย็นใช่ไหมคะ”
เขาพยักหน้า “ว่าจะเดินไปหาอะไรกินที่ห้างก่อนกลับบ้าน แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นซะก่อน”
“ถึงแล้วนังหนู หอพักนี้ใช่ไหม”
ทั้งสองถูกขัดจังหวะในตอนที่รถแท็กซี่ขับเข้าไปยังลานจอดหน้าหอพักของจิรัศยา
“ใช่ค่ะ” เธอตอบแล้วควานหากระเป๋าเงิน
“เดี๋ยวผมจัดการให้เอง คุณลงไปได้เลย”
“ไม่ได้ค่ะ วันนี้ฉันเป็นฝ่ายรับมามากพอแล้ว ฉันจะจ่ายตามมิเตอร์นี้เอง ที่เหลือจากนี้คุณก็จ่าย”
“แล้วพ่อหนุ่มจะให้ลุงกลับไปสีลมอีกครั้งน่ะเหรอ”
“ใช่สิครับ ก็บ้านผมอยู่นั่น”
“เอ้า พ่อหนุ่มบอกเองว่ารถจะติดมาก แล้วลุงจะเข้าไปอีกทำไม”
“อ้าว…”
จิรัศยาหัวเราะคิก
“ขำอะไร” พารณใช้ดวงตาเล็กหยีของเขามองขวาง
“คุณติดกับดักตัวเองแล้วล่ะค่ะ…นักจัดการ” จิรัศยายื่นเงินให้คนขับแล้วหันมาบอกพารณ “ลงไปหาอะไรกินที่ร้านนั่นแล้วปล่อยลุงแท็กซี่ไปเถอะ แกแก่มากแล้ว ค่อยหาคนขับที่บ้าเลือดหน่อยมาพาคุณตะลุยกลับเข้าไปกลางใจเมืองอีกครั้งนะคะ”
“เป็นความคิดที่ดีมากนังหนู ว่าแต่ที่พ่อหนุ่มบอกว่าจะให้สองเท่ากับทิปอีกสองร้อยล่ะ…ลุงจะได้มั้ย”
พารณยังไม่ยอมทำตามความคิดของจิรัศยาทันที ชายหนุ่มยังคงเล่นตัว แต่เมื่อกระเพาะของเขาร้องเสียงดังอีกครั้งนั่นแหละจึงต้องยอมรับว่าการวางแผนครั้งนี้…เขาพลาด
“ก็ได้ ทำตามที่คุณบอก”
พารณควักเงินส่วนที่เขาสัญญาไว้ให้คนขับแท็กซี่ที่ตอนนี้ยิ้มกว้างจนเห็นฟันหลอ ท่าทางคืนนี้ลุงจะสามารถกลับบ้านไปนอนได้เร็วขึ้นกว่าปกติ หลังได้เงินค่ารถจากทั้งจิรัศยาและพารณ
มันเป็นหอพักสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ พารณยืนอ่านป้ายด้านหน้าแล้วรู้ทันทีว่าเขาไม่มีสิทธิ์ที่จะขึ้นไป จิรัศยาบอกให้ชายหนุ่มเดินตามเธอไป หญิงสาวเดินนำเข้าไปในร้านสะดวกซื้อขนาดใหญ่ที่มีสินค้าขายมากมาย แถมยังมีบริการอุ่นอาหารร้อนสำหรับคนที่ต้องการมื้อเร่งรีบอีกด้วย จิรัศยาเลือกที่นั่งซึ่งเป็นบาร์หน้ากระจกให้ จากนั้นเธอก็วางข้าวของของตัวเองลงที่เก้าอี้อีกตัวข้างเขา
“ให้ฉันเลี้ยงนะคะ”
“ไม่ครับ ผมจัดการเองได้”
“ให้ฉันจัดการเถอะค่ะ ถือว่าตอบแทนคุณที่ช่วยฉันไว้ ฉันไม่อยากให้คุณจดจำว่าฉันเป็นผู้หญิงที่คุณช่วยไว้ในคืนที่เกิดระเบิด”
ชายหนุ่มสบตากับเธอชั่วครู่แล้วพยักหน้าให้ จากนั้นจิรัศยาก็ยิ้ม
“คุณไม่กินอะไรบ้างคะ”
“ที่นี่มีอะไรกิน ผมยังไม่รู้เลย”
“อาหารแช่แข็ง” แล้วเธอก็ยักไหล่ “อาหารเด็กหอน่ะค่ะ”
“อ้อ ผมกินได้ทุกอย่าง”
“โอเค งั้นฉันจะพยายามทำให้มื้อนี้ของคุณเป็นที่น่าจดจำ”
พารณได้แต่นั่งนิ่งเฝ้ามองผู้คนที่ผ่านไปมาหน้ากระจกร้าน ส่วนจิรัศยานั้นเดินไปเดินมาระหว่างตู้แช่แข็ง ตู้เย็น และเคาน์เตอร์เก็บเงิน เขาไม่รู้เลยว่าเธอกำลังทำอะไร เพราะปกติชีวิตของเขาหากไม่ออกมาทำงานข้างนอก เขาก็สั่งรูมเซอร์วิสของอพาร์ตเมนต์สวีต เพื่อบริการอาหารสามมื้อเท่านั้นเอง
ผ่านไปราวห้านาทีหญิงสาวก็กลับมาที่โต๊ะบาร์พร้อมอาหารถาดใหญ่ เมื่อวางลงตรงหน้าของพารณแล้วชายหนุ่มก็นึกทึ่ง ไม่คิดว่าเธอจะหาอาหารเหล่านี้ได้ในร้านสะดวกซื้อ เมื่ออาหารจานหลักเป็นข้าวสวยร้อนๆ มีพะแนงไก่กับไข่ดาวอยู่ด้วย อีกถ้วยเป็นหมูทอด แถมด้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสต้มยำกุ้งซึ่งถูกปิดฝาอยู่ จิรัศยาเลือกน้ำเปล่าให้เขาแทนน้ำอัดลม
“พอไหวไหมคะ”
“คุณทำได้ยังไง”
“ฉันไม่ได้ทำค่ะ เตาอบไฟฟ้าต่างหากที่อุ่นอาหารพวกนี้ให้คุณ อย่าเพิ่งชมตอนนี้ถ้าคุณยังไม่เห็นมาม่าต้มยำกุ้ง”
หัวใจของพารณเต้นแรงโดยไม่จำเป็นเลย ทั้งที่มันเป็นแค่การเปิดฝาถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แต่เมื่อเขาเปิดออกมันก็คุ้มค่ากับความตื่นเต้นนั้น
“โห…ใส่ไข่ ไส้กรอก แล้วก็ผักด้วย นี่คุณไปตลาดมาเหรอ”
จิรัศยาหัวเราะชอบใจ เธอนั่งลงข้างเขาแล้วคะยั้นคะยอ “ผักกาดหอมนั่นความจริงเอาไว้เสิร์ฟกับไส้กรอกค่ะ กินได้แล้วก่อนที่กระเพาะอาหารของคุณจะพัง”
“แล้วของคุณล่ะ”
“ตอนที่เราเจอกัน ฉันเพิ่งทานข้าวเสร็จ คุณกินเถอะค่ะ ฉันจะนั่งเป็นเพื่อน”
“อื้ม” พารณพยักหน้าแล้วมองอาหารในถาดทั้งหมด “โซเดียมเยอะเลย”
พารณหลุดปากออกไปด้วยความที่เป็นคนระวังเรื่องอาหารการกินมาตลอด ดังนั้นมื้อนี้ถือเป็นอาหารมื้อที่แปลกสำหรับเขา เมื่อพูดออกไปแล้วก็เห็นสีหน้าซีดเผือดของหญิงสาวทันทีเช่นกัน เขารีบขอโทษ
“ขอโทษครับ ผม…ไม่ควรพูดแบบนี้ทั้งที่คุณพยายาม ตะ…แต่มัน”
“เอาเถอะค่ะ ฉันเข้าใจ คุณไม่ต้องแก้ตัวหรอก ปกติคุณคงไม่กินอาหารแบบนี้”
แล้วเธอก็ยิ้มน้อยๆ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก
“งั้นผมจะกินให้หมดเพื่อเป็นการไถ่โทษ”
“อย่าคิดมากเลยค่ะ กินเท่าที่คุณจะทานได้เถอะ”
กลิ่นบะหมี่รสต้มยำกุ้งช่างยั่วยวน ชายหนุ่มเริ่มจากการชิมน้ำซุปของมันก่อนแล้วดวงตาเล็กหยีนั่นก็เบิกกว้างมากที่สุดเท่าที่มันจะทำได้
“หื้ม อร่อยกว่าที่คิด”
“ใช่ไหมล่ะ อาหารที่คุณค่าน้อยแบบนี้แหละที่มันมีความอร่อยเป็นเครื่องยั่วให้เราต้องกิน กินเลยค่ะ”
จากนั้นพารณก็ไม่มีความเกรงใจใดๆ เหลืออีก เขารับประทานอาหารกล่องอย่างเอร็ดอร่อย จนทุกอย่างเริ่มพร่องไปบ้างแล้วชายหนุ่มจึงเพิ่งนึกขึ้นมาได้
“ความจริงคุณไม่ต้องมานั่งรอผมกินก็ได้นะ คุณขึ้นห้องไปก็ได้”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันไม่ได้ลำบากอะไร ฉันกำลังนั่งนับสาวๆ ที่เดินผ่านกระจกแล้วมองดูคุณด้วยสายตาหวานฉ่ำอยู่”
พารณสำลักนิดหนึ่งก่อนยกขวดน้ำขึ้นมาดื่ม “คุณว่าอะไรนะ”
จิรัศยาไม่พูดซ้ำ แต่เธอให้เหตุผลใหม่ “ความจริงคุณก็ไม่จำเป็นต้องช่วยฉัน…แต่คุณก็ช่วย นี่ฉันยังไม่รู้เลยว่าถ้าคุณไม่ฉุดฉันให้ลุกขึ้นจากตรงนั้น ฉันจะเป็นยังไงในตอนนี้ ตำรวจคงต้องเป็นคนอุ้มฉันออกมาแทน”
ชายหนุ่มเริ่มยกถ้วยบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขึ้นมาซด
“วันนี้เป็นวันที่หนักจริงๆ”
“จริงด้วย ตั้งแต่เช้าเลยนะ”
จิรัศยาพยักหน้า “แต่เราก็จบวันได้ดีพอสมควรนะคะ”
พารณไม่เข้าใจว่าเธอต้องการสื่อถึงอะไร อาจเป็นเพราะสมองของเขาต้องการอาหารไปเลี้ยงมากกว่านี้ ชายหนุ่มจึงปล่อยให้เธอพูดไปก่อน
“ฉันชอบให้ในแต่ละวันมีเรื่องที่ดีเกิดขึ้น อย่างน้อยสักเรื่องก็ยังดี คนเราควรมีชีวิตที่ดีใช่ไหมคะ”
พารณพยักหน้าเร็วๆ
“วันนี้ฉันได้ช่วยเหลือเพื่อนแล้วก็ตอบแทนคุณ”
ทั้งคู่ยิ้มให้แก่กัน คนหนึ่งอิ่มเอมในการกระทำของตน ส่วนอีกคนเริ่มอิ่มท้อง
(ติดตามต่อในเล่ม)
Comments
comments
No tags for this post.