บทที่หนึ่ง
ภายในพุ่มหญ้าที่สั่นไหวมีเสียงดังสวบสาบลอยแว่วมา ทำเอาเหยาเหนียงตื่นตกใจไปชั่วขณะ
นางเส้นประสาทขึงตึง ออกแรงกำเคียวที่อยู่ในมือแน่นขึ้น
เช้าตรู่วันนี้พอท้องนภาเพิ่งจะสว่างนางก็แบกตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมาบนภูเขา หมายมั่นว่าจะขุดหน่อไม้อ่อนที่เพิ่งผุดขึ้นมาในช่วงต้นสารทฤดูก่อนที่ชาวบ้านในหมู่บ้านคนอื่นๆ จะขึ้นมา
นางมองไปตรงพุ่มหญ้าตามเสียง สัตว์ป่าดุร้ายขนาดใหญ่ล้วนซ่อนตัวอยู่ในภูเขาลึก นางเริ่มรู้สึกเสียใจภายหลังว่าตนเองไม่น่าเดินขึ้นเขามาลึกเกินไปเลย เพียงเพราะหน่อไม้อ่อนของช่วงต้นสารทฤดูเอาไปขายในเมืองได้ราคาสูง แต่หากต้องสิ้นชีวิตเพราะสิ่งนี้ การหนีเอาชีวิตรอดตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาของนางจะไม่เสียเปล่าหรอกหรือ
ในขณะที่นางกำลังรู้สึกขนลุกชูชัน กลับได้ยินเสียงหงิงๆ ดังอยู่แว่วๆ จึงอดผงะไปมิได้
เสียงนี้ไม่เหมือนกับเสียงสัตว์ป่าดุร้ายขนาดใหญ่ แต่เหมือนเสียงสัตว์ป่าตัวเล็กๆ มากกว่า นางเดินย่องเข้าไปด้วยฝีเท้าเงียบเชียบ จากนั้นใช้เคียวแหวกพงหญ้าออกอย่างระมัดระวัง
ลูกจิ้งจอกขนมันวาวสวยงามตัวหนึ่งกำลังนอนหมอบกระเสือกกระสนอยู่ที่พื้น บนร่างแปะด้วยกระดาษซึ่งวาดลวดลายประหลาดๆ เอาไว้เป็นจำนวนมาก
เหยาเหนียงขมวดคิ้วมุ่นด้วยความประหลาดใจ เพราะว่าลูกจิ้งจอกตัวนี้ดูเหมือนได้รับบาดเจ็บสาหัส กำลังร้องหงิงๆ พลางหอบหายใจอย่างหนักหน่วง
นางย่อกายลงอุ้มลูกจิ้งจอกขึ้นมา เดิมทีนางคิดว่ามันอ่อนเปลี้ยไร้เรี่ยวแรง มิคาดคิดว่ามันกลับอ้าปากงับนางในทันใด ทำเอาเจ็บปวดจนร้องโอดโอยออกมา
“ดูไม่ออกเลยนะว่าตัวเจ้าเล็กแค่นี้ แต่ตอนกัดคนกลับแรงเยอะนัก!”
เหยาเหนียงไม่แตกตื่น ไม่โกรธกริ้ว มีแต่เพียงความรู้สึกสงสารเวทนา นางข่มกลั้นความเจ็บปวดที่หลังมือเอาไว้ ก่อนจะอุ้มลูกจิ้งจอกอย่างระมัดระวัง
โลหิตหยดหนึ่งไหลจากหลังมือหยดลงบนยันต์ที่อยู่บนร่างของลูกจิ้งจอก ยันต์ฉีกขาดเป็นชิ้นๆ ในชั่วพริบตา เผาไหม้กลายเป็นเศษเถ้าธุลี ก่อนที่จะร่วงหล่นลงบนพื้นอย่างไร้สุ้มเสียง
เหยาเหนียงตะลึงลาน นางก้มหน้าลงมองด้วยความประหลาดใจ มิได้สังเกตเห็นยันต์ที่เผาไหม้กลายเป็นเถ้าธุลีนั้น แต่กลับเห็นจิ้งจอกตัวน้อยกำลังจ้องมองนางอย่างแน่วนิ่ง ไม่มีท่าทางดุร้ายให้เห็นอีก ทั้งยังทำหน้าใสซื่อบริสุทธิ์ ช่างน่ารักจนพาให้คนหัวใจละลายเสียจริงๆ
“ไม่กัดข้าแล้วหรือ รู้แล้วสินะว่าข้าไม่ใช่คนเลว ไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะพาเจ้ากลับไป แล้วเอาของอร่อยๆ ให้เจ้ากิน”
จิ้งจอกตัวน้อยขยับหูน้อยๆ เอียงหัวจดจ้องนาง ราวกับว่ากำลังฟังนางพูดอยู่จริงๆ
เหยาเหนียงถอดผ้าโพกศีรษะออก เอามาห่อตัวมันไว้อย่างนุ่มนวล ต่อมาก็วางมันใส่ไว้ในตะกร้าไม้ไผ่ แล้วรีบแบกมันลงจากภูเขาไป…
จิ้งจอกตัวน้อยนอนอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่อย่างเงียบสงบ มันคิดในใจว่าแปลกพิลึก สตรีผู้นี้เป็นใครกันถึงได้เก่งกาจปานนี้ สามารถทำลายยันต์ผนึกของนักพรตหน้าเหม็นผู้นั้นที่ตรึงร่างของมันเอาไว้อย่างแน่นหนาได้
มันแลบลิ้นเลียริมฝีปากเล็กน้อย ในปากยังหลงเหลือรสชาติโลหิตของนางอยู่ เมื่อชิมลิ้มรสดูอย่างละเอียดลออมันก็อดแตกตื่นตกใจอย่างใหญ่หลวงมิได้
สตรีที่เกิดในปีหยางเดือนหยางเวลาหยางสถานที่หยาง? มิน่าถึงสามารถทำลายยันต์ผนึกดูดวิญญาณของนักพรตหน้าเหม็นผู้นั้นได้
จิ้งจอกน้อยยิ้มออกมา ทีแรกคิดว่าวันนี้คงจะหนีไม่พ้น ต้องตายอยู่ในเงื้อมมือของนักพรตหน้าเหม็น แต่ไหนเลยจะรู้ว่าสุดสิ้นภูผาปลายสายธาราดูเหมือนจะไร้หนทาง กลับปรากฏทางรอดขึ้นมา มันตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะติดตามสตรีผู้นี้ไปก่อนเป็นการชั่วคราว
จริงๆ แล้วลูกจิ้งจอกตัวนี้หาใช่จิ้งจอกธรรมดาทั่วไปไม่ แต่ว่าเป็นถึงปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง ถ้ามิใช่เพราะต้องผจญเคราะห์ร้อยปีครั้ง ถูกอสนีบาตสวรรค์ฟาดใส่จนสูญเสียพลังปีศาจไปกว่าครึ่ง หาไม่แล้วมีหรือจะถูกนักพรตหน้าเหม็นนั่นไล่ตามจับจนสิ้นไร้ไม้ตอกเช่นนี้
ตอนนี้พลังปีศาจของมันมีไม่เพียงพอ จึงทำได้เพียงปรากฏกายในรูปลักษณ์ของลูกจิ้งจอก ไม่นอนตายอยู่บนพื้นก็ถือว่าไม่เลวแล้ว มันหมอบคว่ำด้วยลมหายใจแผ่วระโหย ตะกร้าไม้ไผ่ที่สั่นไหวเบาๆ ราวกับเป็นเปล โยกไหวจนมันผล็อยหลับไป
หลังจากเหยาเหนียงแบกลูกจิ้งจอกลงจากเขาไปแล้ว ราวๆ หนึ่งเค่อผ่านไปนักพรตจิ้นเสวียนก็พุ่งทะยานมาอย่างรวดเร็วปานสายลม เขาร่างกายเบาหวิวดุจนกนางแอ่น เคลื่อนไหวว่องไวดุจเหยี่ยว สุดท้ายหยุดยืนอยู่บนก้อนหินก้อนยักษ์ที่โผล่นูนออกมาก้อนหนึ่ง
มือข้างหนึ่งของเขาไพล่อยู่ด้านหลัง อีกข้างถือเข็มทิศแปดลักษณ์ สะพายกระบี่สยบมารเอาไว้บนหลัง ยืนตระหง่านอยู่บนที่สูง สายลมบนภูเขาพัดพาให้ชุดคลุมของเขาส่งเสียงดังพึ่บพั่บ ทว่าเขากลับยืนแน่วนิ่งดั่งขุนเขา เรือนกายเหยียดตรงดุจต้นสน นัยน์ตาคมปลาบปราดเปรื่องคู่นั้นมองสำรวจไปรอบๆ อย่างไม่ปล่อยให้ร่องรอยใดๆ เล็ดลอดไปแม้แต่นิดเดียว
เข็มทิศแปดลักษณ์ในมือของเขาเป็นสิ่งที่ได้รับตกทอดมาจากปรมาจารย์รุ่นก่อนๆ สามารถติดตามไอปีศาจได้ เขาจึงไล่ตามไอปีศาจมาตลอดทางตามที่ปรากฏให้เห็นบนเข็มทิศแปดลักษณ์
ยามนี้เข็มทิศไม่ขยับไหวอีกต่อไป เขาเองก็ไม่เห็นร่องรอยใดๆ ของปีศาจจิ้งจอกเช่นกัน จึงขมวดคิ้วมุ่นอย่างอดมิได้
ไอปีศาจเลือนหายไปเสียแล้ว!
ลูกศิษย์ทั้งสองจิ้งเฟิงและจิ้งเหลยไล่ตามมาภายหลัง
“อาจารย์!”
“ไอปีศาจหายไปที่ตรงนี้ ไปสำรวจดูเดี๋ยวนี้!”
“ขอรับ!”
ทั้งสองติดตามอาจารย์มาเนิ่นนาน รู้ใจกันดีอย่างยิ่ง คนหนึ่งอยู่ทางซ้ายอีกคนอยู่ทางขวาโดยยึดอาจารย์เป็นศูนย์กลาง จากนั้นก็กางเขตอาคมในรัศมีหนึ่งกงหลี่** ล้อมจนกลายเป็นเขตต้องห้ามขึ้นมา
เข็มทิศแปดลักษณ์ไม่เคยผิดพลาด มันสามารถเสาะหาไอปีศาจได้ เช่นนั้นตำแหน่งของปีศาจร้ายก็ไม่มีทางอยู่นอกรัศมีหนึ่งกงหลี่แน่นอน เขตอาคมที่สร้างไว้สามารถกักขังปีศาจได้ ถึงแม้จะติดปีกแต่ปีศาจก็มิอาจบินเล็ดลอดหนีออกไปได้…ต่อมาพวกเขาก็ค่อยออกตามหาไปอย่างช้าๆ
ลูกจิ้งจอกซึ่งอยู่ในตะกร้าไม้ไผ่สะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลัน เอ่ยร้องในใจว่าแย่แล้ว นักพรตหน้าเหม็นมาแล้ว!
ทั่วทั้งร่างของมันตั้งท่าระวังภัย หัวใจเต้นรัวเร็ว แต่จนปัญญาที่ร่างกายอ่อนเพลียมากเกินไป ไม่มีเรี่ยวแรงจะหลบหนี ขณะที่กำลังกลัดกลุ้มเกรงว่าครานี้คงจะหมดท่าแน่แล้ว กลับได้ยินเสียงดัง ‘โพละ’ ก่อนที่จะเบิกตาถลนอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตา
ลูกจิ้งจอกโผล่ศีรษะครึ่งหนึ่งออกมานอกตะกร้าไม้ไผ่ มันมองเห็นว่าเขตอาคมประทับอักขระนั้นยังคงอยู่ดีเช่นเดิม ทว่ากลับไกลห่างจากมันออกไปเรื่อยๆ หลังจากมันอ้าปากค้างจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ก็แอบหัวเราะเยาะในใจเบาๆ
สตรีที่เกิดในปีหยางเดือนหยางเวลาหยางสถานที่หยางสามารถทะลุผ่านเขตอาคมได้อย่างง่ายดายเพียงนี้เชียวหรือ
ลูกจิ้งจอกหดศีรษะกลับไปนอนหมอบ หากมิใช่เพราะกลัวจะส่งเสียงจนทำให้พวกนักพรตหน้าเหม็นรู้ตัว มันก็อยากจะแหงนหน้าหัวเราะลั่นสักสามทีจริงๆ
จิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยเสาะหาในรัศมีหนึ่งกงหลี่อยู่เกือบๆ สองชั่วยามแต่กลับไม่พบเจอเบาะแสใดๆ เลยแม้แต่น้อย จึงจำต้องย้อนกลับไปรายงานผู้เป็นอาจารย์
จิ้นเสวียนขมวดหัวคิ้วเป็นปม ขบคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็พลันสังเกตเห็นขี้เถ้าสีดำๆ อันน่าสงสัยอยู่ในพงหญ้าซึ่งอยู่ละแวกใกล้ๆ เขาเดินเข้าไปแล้วนั่งยองๆ ลง ก่อนจะหยิบเถ้าธุลีบนพื้นขึ้นมาดมที่ใต้จมูกเบาๆ ในดวงตาฉายประกายเย็นวาบ
“มีคนทำลายยันต์ผนึกนี่”
ศิษย์ทั้งสองได้ยินเช่นนั้นก็ตกตะลึงยิ่ง
“อาจารย์ คงจะมิใช่ว่ามีคนมาแย่งชิงปีศาจไปแล้วกระมัง”
ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางกับปีศาจตนอื่นๆ ก็คือมันมีเก้าชีวิต สามารถตายได้เก้าครั้งเกิดใหม่ได้เก้าครั้ง ด้วยเหตุนี้ขุมพลังภายในของมันจึงเป็นวัตถุดิบปรุงยาที่ผู้บำเพ็ญตบะต้องการมากที่สุด ว่ากันว่ากินแล้วจะรักษาความเยาว์ได้ชั่วนิรันดร์ ยืดอายุขัย และเพิ่มพูนพลังเวท
จิ้นเสวียนสีหน้าถมึงทึง ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางผจญเคราะห์ร้อยปีครั้ง พลังปีศาจลดทอนไปกว่าครึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ไม่รู้ว่าสหายจากสำนักอื่นมาชิงตัดหน้าไปก่อนหรือไม่ ถ้าหากมีคนทำลายยันต์ผนึก ช่วงชิงตัวปีศาจจิ้งจอกไป เช่นนั้นก็เท่ากับฝ่าฝืนกฎแห่งเต๋าแล้ว
“คนผู้นี้สามารถใช้โลหิตทำลายยันต์ผนึกได้ จะต้องใช้โลหิตที่ไม่ธรรมดาเป็นแน่ พวกเจ้าทั้งสองเก็บขี้เถ้าบนพื้นกลับไปอย่าให้เหลือแม้แต่น้อย จากนั้นตามข้ากลับไปทำพิธี ต้องหาตัวผู้ที่ทำลายมันให้เจอให้ได้”
“ขอรับ”
ลูกศิษย์ทั้งสองรีบหยิบผ้าขาวออกมา เก็บขี้เถ้าบนพื้นขึ้นมาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นก็รีบเร่งเดินทางกลับไปยังสำนักจี้อวิ๋น
เหยาเหนียงอาศัยอยู่ที่กระท่อมตรงเนินเขา เพราะบางครั้งอาจถูกงูถูกหนูกัด ปกตินางจึงตระเตรียมยาทาแผลภายนอกเอาไว้ในเรือนด้วย หลังจากพาลูกจิ้งจอกกลับมาแล้ว นางก็ทายา ป้อนอาหารให้มันกิน ประคบประหงมดูแลเป็นอย่างดีตลอดทั้งวันทั้งคืน
ลูกจิ้งจอกที่เหยาเหนียงช่วยกลับมาตัวนี้เป็นตัวเมีย นางพบว่ามันดูเหมือนจะมีความฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อย นอกจากแสยะเขี้ยวกางเล็บในตอนแรกแล้ว ต่อมาก็สงบนิ่งเงียบ ทว่าหลังจากนางป้อนลูกชิ้นปลาที่ทำขึ้นเองให้มันกินหนึ่งลูก ลูกจิ้งจอกก็ดูเหมือนจะเห็นนางเป็นเจ้านาย ยอมเป็นฝ่ายเข้ามาใกล้ชิดนางก่อน ใช้อุ้งเท้าทั้งสองข้างเกาะติดกับหน้าอกของนาง ส่งเสียงร้องหงิงๆ ราวกับกำลังบอกว่า ‘ข้าอยากกินอีก’
เหยาเหนียงหัวเราะเบาๆ พลางเอ่ย “แค่ลูกชิ้นปลาลูกเดียวก็ซื้อใจเจ้าได้แล้ว โชคดีที่เจ้ามาเจอข้า ถ้าเจอคนชั่วล่ะก็ ป่านนี้คงเอาเจ้าไปขายแล้ว”
ชิ! มนุษย์โง่เขลาไม่มีปัญญาซื้อใจข้าได้หรอก เป็นเพราะข้าถูกใจเจ้าต่างหาก สตรีผู้นี้มีฝีมือไม่เบา มิเพียงแต่สามารถทำลายคาถาอาคมของนักพรตหน้าเหม็นได้ ซ้ำยังทำลูกชิ้นปลาได้อย่างเอร็ดอร่อยอีกด้วย ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมีชีวิตอยู่มากว่าพันปี แต่ยามนี้กลับทำหน้าด้านแสร้งออดอ้อนถูไถซุกไซ้อยู่ในอ้อมอกของนางเพียงเพื่อให้ได้กินลูกชิ้นปลา
“ได้ๆๆ ประเดี๋ยวจะให้เจ้ากิน กินได้ก็ดีแล้ว ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ยอมกินเสียอีก!” ทีแรกคิดว่าต้องไปจับหนูหรืออันใดพวกนั้นมาให้ลูกจิ้งจอกตัวนี้กินเสียแล้ว โชคดีที่ใช้แค่ลูกชิ้นปลาก็ป้อนให้มันกินจนอิ่มได้
เดิมทีเหยาเหนียงก็เป็นคนที่ชอบสัตว์ตัวเล็กๆ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว นางจึงคอยดูแลลูกจิ้งจอกประหนึ่งเป็นลูกในไส้ก็มิปาน นางมีฝีมือการทำครัวเป็นเลิศ ในแต่ละวันล้วนทำลูกชิ้นเนื้อชนิดต่างๆ ไปขายหาเงินประทังชีวิตที่ตลาดในตัวเมือง เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าไม่น้อย ลูกชิ้นปลานี้นางเหลือเอาไว้กินเป็นอาหารกลางวัน แต่ยามนี้กลับถูกป้อนลงท้องของลูกจิ้งจอกจนหมด เหยาเหนียงนำเศษเงินที่ได้จากการขายลูกชิ้นไปซื้อสมุนไพรที่ร้านยา ต่อมาก็ไปซื้อไก่มาหนึ่งตัว จากนั้นก็ตุ๋นสมุนไพรกับน้ำแกงไก่เข้าด้วยกันแล้วป้อนให้ลูกจิ้งจอกน้อยกิน
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางไหนเลยจะคาดคิดว่าจะได้รับการปรนนิบัติดูแลอย่างดีเพียงนี้ เดิมทีมันแค่คิดว่าหลังจากติดตามสตรีผู้นี้กลับมาแล้ว รอจนภัยร้ายผ่านพ้นไป ค่อยหาโอกาสไปจากที่นี่ แต่นึกไม่ถึงว่าสตรีผู้นี้ไม่เพียงแต่ป้อนอาหารให้มันกิน ยังเช็ดถูกคราบสกปรกบนขนให้มัน ใช้หวีหวีขนทั้งร่างให้มันอย่างพิถีพิถันเอาใจใส่
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางรู้สึกสบายจนซุกอยู่ในอ้อมอกของนาง ปล่อยให้นางปรนนิบัติไปตามใจชอบ มันคิดในใจว่าอยู่ที่นี่ต่ออีกสักสองสามวันก็แล้วกัน มันบิดขี้เกียจออดอ้อนราวกับแมว ทำเอาหัวใจทั้งดวงของเหยาเหนียงแทบหลอมละลาย ยิ่งรักใคร่ทะนุถนอมมันมากกว่าเดิม
“เรียกเจ้าว่าอาเจียวดีหรือไม่” เหยาเหนียงตั้งชื่อให้มัน
ชิ เจ้าเห็นข้าเป็นสัตว์เลี้ยงอย่างแมวหมาหรืออย่างไร รู้หรือไม่ว่าข้าเป็นปีศาจจิ้งจอกผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือเชียวนะ!
‘อาเจียว’ จ้องมองเหยาเหนียงแวบหนึ่ง ครั้นเห็นนางมีสายตาอ่อนโยน ในดวงตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู มือที่อยู่บนท้องก็ลูบไล้จนทำให้มันรู้สึกสุขสบายไปทั้งกายา ขนทุกเส้นรู้สึกสบายจนอยากจะร้องครางออกมา จึงเลิกคิดเล็กคิดน้อยกับนาง
อาเจียวก็อาเจียว เห็นแก่ที่เจ้าปรนนิบัติข้าอย่างแข็งขัน ข้ายอมอนุญาตก็แล้วกัน
ด้วยเหตุฉะนี้หนึ่งมนุษย์หนึ่งจิ้งจอกจึงเริ่มใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน
ในยามกลางวันเหยาเหนียงจะวางอาเจียวไว้ในลานเรือนให้มันนอนอาบแดด ส่วนตนเองก็ทำงานสาละวน นางอาศัยอยู่ในกระท่อมอันรกร้างห่างไกลแห่งนี้เพียงคนเดียว จำเป็นต้องอาศัยทักษะฝีมือเพื่อเลี้ยงตัวเองให้อยู่รอด
ยามนางทำงานยุ่ง บางครั้งบางคราที่หันกลับไปมองก็จะเห็นอาเจียวลืมดวงตากลมโตจับจ้องนาง ศีรษะจิ้งจอกน้อยๆ นั้นหันซ้ายหันขวาไปตามเงาร่างของนาง อีกทั้งยังส่ายหางน้อยๆ ไปมา ทำให้นางชอบอกชอบใจเป็นหนักหนา
เดิมทีเหยาเหนียงคิดว่าวันคืนที่ได้อยู่ร่วมกันเช่นนี้จะดำเนินต่อไปเรื่อยๆ แต่นึกไม่ถึงว่าอยู่มาวันหนึ่งอาเจียวกลับหายตัวไป ทำให้นางร้อนใจออกตามหาไปทั่วทุกแห่งในละแวกใกล้เคียง แต่ก็หาเงาร่างของอาเจียวไม่เจอ
ถึงอย่างไรจิ้งจอกก็ยังมีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า มันอาจจะคิดถึงบ้าน ก็เลยกลับขึ้นเขาไปด้วยตนเองแล้ว
แม้ว่าเหยาเหนียงจะรู้สึกผิดหวัง แต่นางก็รู้สึกสบายใจ บาดแผลของลูกจิ้งจอกใกล้จะหายสนิทแล้ว คงจะสามารถดูแลตัวเองได้
นางพยายามทำจิตใจให้รื่นเริง เริ่มต้นชีวิตที่ต้องพึ่งพาตนเองเพียงลำพังอีกครั้ง
ราตรีนี้ลมแรงเป็นพิเศษ พัดโหมส่งเสียงดังพึ่บพั่บ พัดพาจนหัวใจคนประหวั่นพรั่นพรึง ทำให้เหยาเหนียงมิอาจสงบจิตใจได้
เหยาเหนียงสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากนิทราอย่างฉับพลัน ทันใดนั้นก็เห็นคนชุดดำปิดหน้าปิดตาผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าเตียง นางจึงตกใจลุกพรวดขึ้นมา
คมดาบเย็นเยียบสะท้อนแสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ฉายประกายวาววับหนาวสะท้าน
ประกายดาบวูบผ่านอย่างรวดเร็ว ฟาดฟันผ่านความมืดมิด เหยาเหนียงล้มลงบนเตียงกลางกองโลหิต สิ้นชีพในดาบเดียว
คนชุดดำยื่นมือออกไปอังจมูกนาง เมื่อแน่ใจว่านางตายแล้ว จึงเอ่ยกับสหายที่เฝ้าอยู่นอกเรือนว่า “นางตายแล้ว กลับไปรายงานภารกิจกันเถิด”
เงาดำหายวับไป ประตูเรือนถูกลมพัดดังกึกๆ เหยาเหนียงที่อยู่บนเตียงสิ้นชีวาในวัยสาว สิ้นสุดการหลบหนีตลอดระยะเวลาหนึ่งปีกับอีกสามเดือน ยามเสียชีวิตนางเพิ่งจะอายุได้เพียงสิบแปดปีเท่านั้น
หลังจากคนชุดดำจากไปแล้ว เพียงแค่หนึ่งถ้วยชาผ่านไปเงาดำเงาหนึ่งก็แอบลอดเข้ามาในเรือน ครั้นเห็นเหยาเหนียงที่นอนจมกองเลือดอยู่บนเตียงก็ทำให้มันโกรธจัดจนสบถคำหยาบคายออกมา
“มารดามันเถอะ! ฝีมือใครกัน ใครมันกล้าแตะต้องคนของข้า!”
เพลิงโทสะของอาเจียวพุ่งสูงเทียมฟ้า โกรธแค้นจนขนพองฟู กรงเล็บที่ทั้งแหลมคมทั้งยาวกับเงาดำเก้าหางสะท้อนลงบนผนัง ใหญ่ยักษ์และน่าครั่นคร้าม
ภายใต้การดูแลอย่างพิถีพิถันเอาใจใส่ของเหยาเหนียง อาเจียวซึ่งพลังปีศาจฟื้นฟูกลับมาหกส่วนมิได้อยู่ในร่างของลูกจิ้งจอกอีกต่อไป แต่ว่าเป็นปีศาจจิ้งจอกตัวโตเต็มวัยซึ่งมีขนาดสูงเท่ากับตัวมนุษย์
มันจากไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น กลับไปกำชับธุระที่เผ่าปีศาจ เนื่องจากมันตะกละอยากจะกินอาหารฝีมือเหยาเหนียง จำได้ว่านางบอกว่าคืนนี้จะตุ๋นน้ำแกงปลาหนึ่งหม้อ พอจัดการธุระที่เผ่าปีศาจเรียบร้อยแล้วก็รีบเร่งเดินทางกลับมา แต่ใครเล่าจะรู้ว่ากลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ศพยังคงอุ่นๆ อยู่ แสดงว่าคนเพิ่งจะตายไปได้ไม่เกินหนึ่งเค่อ
“สมควรตายนัก อย่าให้ข้ารู้นะว่าเป็นฝีมือใคร มิเช่นนั้นข้าจะถลกหนังหักกระดูกมัน ฆ่ามันให้วิญญาณแหลกมลายเสีย!”
ปีศาจจิ้งจอกมีความรักความแค้นแบ่งแยกชัดเจน มีแค้นต้องชำระ มีบุญคุณต้องทดแทน เหยาเหนียงมีบุญคุณต่อมัน มันมิอาจปล่อยให้เหยาเหนียงตายไปเช่นนี้ได้
ผู้คนรู้แค่เพียงว่าปีศาจจิ้งจอกเก้าหางมีเก้าชีวิต แต่ไม่รู้ว่าพวกมันสามารถต่อชีวิตให้ผู้อื่นได้
อาเจียวกระดกก้นขึ้น ตั้งหางทั้งเก้าขึ้นสูงราวกับพัดอันเลอค่างามตระการ มันเงื้อกรงเล็บอันแหลมคมขึ้นมา ก่อนจะออกแรงฟันฉับ ตัดหางเส้นหนึ่งของตนเองจนหลุดออก…
เหยาเหนียง ชีวิตนี้ของข้าขอมอบให้เจ้าก็แล้วกัน!
แสงแรกอรุณในยามเช้าตรู่ส่องกระทบลงบนประตูเรือน ภายในห้องอันเงียบสงัดปรากฏเศษเสี้ยวแห่งพลังชีวิตขึ้นมา
ขนตาของเหยาเหนียงขยับไหวแผ่วเบา ลืมดวงตาคู่งามขึ้นมาอย่างช้าๆ นัยน์ตาขุ่นมัวค่อยๆ มีประกายของความมีชีวิตชีวา
นางจ้องมองหลังคาเตียง สติสัมปชัญญะยังคงเลือนรางอยู่เล็กน้อย เมื่อสติของนางค่อยๆ แจ่มชัดขึ้น ภาพเหตุการณ์สยดสยองเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ปรากฏวาบเข้ามาในสมองปานอสนีบาต ทำให้นางตัวสั่นสะท้านขึ้นมาโดยพลัน ลุกพรวดขึ้นมาทันที
นางคงจะตายไปแล้วสินะ ไม่สิ ถ้านางตายแล้วเหตุใดจึงไม่อยู่ในปรโลกเล่า
นางบีบตัวเองเล็กน้อย แล้วก็พบว่าเจ็บจริงๆ ด้วย
ทันใดนั้นบางสิ่งซึ่งมีขนปุกปุยก้อนหนึ่งก็กระโดดขึ้นมาบนเตียง ทำเอานางแตกตื่นตกใจจนตัวสั่นเทิ้มไปทั้งร่าง
อาเจียวใช้ศีรษะถูไถร่างกายของนาง ความรู้สึกนุ่มนิ่มปุกปุยทำให้จิตใจที่หวาดผวาของนางค่อยๆ ถูกดึงกลับมา
“อาเจียว? เจ้ากลับมาแล้วหรือ…” สัมผัสนุ่มละมุนบอกให้รู้ว่านี่มิใช่ความฝัน นางยังคงมีชีวิตอยู่ แต่ว่าโลหิตบนเสื้อผ้ากลับทำให้นางอกสั่นขวัญหายขึ้นมาอีกครา
นางไม่เข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกับตนเอง แต่นางรู้ว่าเรือนหลังนี้อยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว นางรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่เปรอะเปื้อนเลือดทิ้ง เช็ดคราบโลหิตบนร่างออก หลังจากจัดการตนเองเรียบร้อยแล้วก็หิ้วห่อสัมภาระเดินออกจากเรือน
หลังเดินออกจากเรือนนางก็พบว่าอาเจียวหายตัวไปอีกแล้ว ตามหาที่ใดก็หาไม่เจอ นางจึงทิ้งลูกชิ้นปลาจานหนึ่งเอาไว้บนโต๊ะ ถือว่าเป็นของกำนัลในโอกาสที่ต้องจากลากัน
นางออกเดินทางอย่างเร่งรีบ เส้นทางบนภูเขาสายนี้ที่เคยเดินมาไม่รู้กี่ร้อยรอบ วันนี้กลับดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด ทิวทัศน์งามงดอันเจริญหูเจริญตาสองข้างทาง บัดนี้แค่ลมพัดโชยหญ้าไหวเพียงน้อยนิดก็ทำให้นางประหวั่นพรั่นพรึง มิกล้าหยุดฝีเท้าลง
ทันใดนั้นเองตรงหน้าพลันมีสายลมพัดโหม เงาดำเคลื่อนวูบผ่าน เศษใบไม้ที่ปลิวลอยขึ้นมาบดบังสายตาของนาง ในชั่วพริบตาถัดมานางก็ถูกผลักลงกับพื้นอย่างแรง
“ปีศาจร้าย” สุ้มเสียงเย็นชาทำให้หัวใจของนางสะท้านวาบ
นางถูกกดตัวลงกับพื้น เงาดำสูงใหญ่ปกคลุมทาบทับนางเอาไว้ บดบังแสงตะวันจากขอบนภา ทำให้นางมองเห็นรูปร่างหน้าตาของผู้มาใหม่ไม่ชัดเจน ทว่าฝ่ามือที่บีบคอนางอยู่อย่างรุนแรงทรงพลังบ่งบอกถึงจิตสังหารอันเยียบเย็นของอีกฝ่ายออกมาอย่างชัดเจน
เหยาเหนียงหวาดกลัวและสิ้นหวัง คิดว่าคราวนี้คงตายเป็นแน่แท้ แต่กลับได้ยินเสียงดัง ‘เพียะ’ อีกฝ่ายซัดฝ่ามือลงบนหน้าผากนาง ครั้นแล้วก็มีบางสิ่งบางอย่างแปะลงด้านบน บดบังดวงตาซึ่งเต็มไปด้วยความหวาดผวาของนางเอาไว้ และปิดบังรูปโฉมของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วยเช่นกัน
“ปีศาจจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ ตกอยู่ใต้เงื้อมมือข้าแล้วยังจะคิดหนีอีกรึ”
จิ้นเสวียนเป่าปากหนึ่งครั้ง ครั้นอาชาได้ยินเสียงร้องเรียกของเจ้านายก็รีบวิ่งปรี่มาอยู่ข้างกายผู้เป็นนายอย่างรวดเร็ว
จิ้นเสวียนใช้มือข้างเดียวโยนเหยาเหนียงขึ้นไปบนหลังอาชา ก่อนจะทะยานร่างขึ้นตามมา จากนั้นก็ดึงเชือกบังเหียนควบอาชาห้อตะบึงออกไป
อาชาวิ่งห้อเหยียดไปเนิ่นนานเท่าไร เหยาเหนียงที่อยู่บนหลังอาชาก็กระเด้งกระดอนไปนานเท่านั้น นางมิกล้าขยับเขยื้อน ปล่อยให้บุรุษผู้นี้พานางวิ่งตะบึงไปตลอดทาง จนกระทั่งนางใกล้จะถูกกระเทือนจนเวียนหัว ในที่สุดอาชาก็หยุดนิ่งลง
“อาจารย์”
“เอาไปขัง”
“ขอรับ”
เหยาเหนียงรู้สึกได้ว่าร่างกายพลันถูกรัดแน่น ร่างของนางโดนเชือกมัดเอาไว้ ต่อมานางก็ถูกลากลงจากหลังอาชา ก่อนจะถูกคนจูงเดินออกไป
นางมองไม่เห็นทาง ทำได้เพียงเดินตามไปอย่างสะเปะสะปะ หูก็คอยฟังทั้งสองคนสนทนากัน
“ปีศาจจิ้งจอกรูปร่างไม่เลวเลยนี่นา”
“ก็แน่น่ะสิ ดังนั้นถึงได้เป็นปีศาจจิ้งจอกอย่างไรเล่า!”
“ดูเจ้าสิ ไยจึงเอาแต่มองก้นผู้อื่น ห้ามหมกมุ่นในกาม ห้ามหมกมุ่นในกาม”
เหยาเหนียงเม้มริมฝีปากที่ขาวซีดแน่น ในใจหวาดกลัวยิ่งนัก
โชคดีที่ระหว่างทางที่เดินมาสองคนนี้เพียงแค่พูดหยอกเย้าติดตลกเท่านั้น มิได้แตะต้องนางแม้แต่ปลายเล็บ นางถูกพาเข้ามาในเรือนหลังหนึ่ง เรือนหลังนี้ดูเหมือนจะสูงยิ่ง นางเดินตามขั้นบันไดขึ้นไปเรื่อยๆ ก่อนจะถูกผลักเข้าไปในห้องห้องหนึ่งแล้วล้มคว่ำลงกับพื้น จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงปิดประตูรวมถึงเสียงฝีเท้าที่เดินห่างไกลออกไป
นางมิกล้าขยับเขยื้อนอยู่เป็นนาน จนกระทั่งรอบด้านไม่ได้ยินเสียงใดๆ อีกแล้ว นางถึงค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งอย่างเชื่องช้า เชือกยังคงมัดอยู่บนร่าง ทว่ากลับมิได้มัดแขนมัดขาของนางเอาไว้ ทำให้นางสามารถดึงวัตถุที่อยู่บนหน้าผากออกได้
นี่คือยันต์กระดาษแผ่นหนึ่ง ด้านบนมีอักขระที่นางอ่านไม่ออกเขียนอยู่ ในยามนั้นนางนึกว่าตนเองจะถูกอีกฝ่ายซัดฝ่ามือใส่จนโลหิตออกทางทวารทั้งเจ็ดตายแล้วเสียอีก ไหนเลยจะรู้ว่าอีกฝ่ายกลับมิได้สังหารนางในทันทีทันใด เพียงแค่แปะยันต์พิลึกพิลั่นใบหนึ่งลงบนหน้าผากนางเท่านั้น
ครั้นเห็นว่ารอบด้านไร้ซึ่งผู้คน นางก็ลองสลัดเชือกบนร่างออก ทีแรกคิดว่าจะต้องลงแรงมากมาย แต่มิคาดคิดว่าเชือกที่ดูเหมือนรัดแน่นยิ่งเส้นนี้ แค่กระชากเบาๆ ก็หลุดออกมาได้แล้ว…
นางรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก ทว่าที่น่าประหลาดยิ่งกว่าคือนางแค่ผลักประตูห้องขังบานนี้เบาๆ ก็เปิดออกได้แล้ว?
เหยาเหนียงตะลึงลานไปแค่ชั่วขณะ จากนั้นก็รีบเร่งวิ่งหนีออกไป ทว่านางเพิ่งจะก้าวเท้าออกจากประตูห้องขังได้เพียงก้าวเดียวก็มีบางสิ่งบางอย่างรัดขาของนางเอาไว้ ทำให้นางตกใจกลัวจนเหงื่อกาฬเย็นๆ แตกพลั่กไปทั่วสรรพางค์กาย แต่เมื่อก้มหน้าลงดูนางก็ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
ที่แท้ก็แค่ถูกเชือกพันเอาไว้นี่เอง สงสัยเท้าคงจะเผลอเกี่ยวเข้ากระมัง นางแกะเชือกออกแล้วโยนทิ้งไปอีกด้านอย่างส่งๆ ก่อนหันกายหมายจะเดินจากไป ทว่านางกลับต้องตัวค้างแข็งไปอีกครา…
เชือกที่เห็นชัดๆ ว่าเมื่อครู่เพิ่งจะถูกโยนทิ้งไปอีกทางไม่รู้กลับมาพันขานางเอาไว้อีกครั้งได้อย่างไร
นางเพ่งจ้องอยู่พักใหญ่ ก่อนจะยื่นมือไปแกะออกอย่างช้าๆ โยนออกไปไกลๆ แล้วก็จับตามองดู
เชือกเส้นนี้ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต มันคืบคลานกลับมาได้ด้วยตนเอง จากนั้นก็รัดขานางเอาไว้อีกครา ทำเอานางตกใจหวาดผวาจนแทบจะหวีดร้องออกมา โชคดีที่นางกลั้นเสียงเอาไว้ได้ทันกาล ถึงสามารถกลืนเสียงกรีดร้องลงท้องไปได้ และเคราะห์ดีที่ประสบการณ์หนีตายตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมาได้ฝึกฝนให้นางมีความใจกล้ามากขึ้น จึงไม่ถึงกับตกใจเสียขวัญจนเป็นลมล้มพับไป
หลังจากสงบจิตสงบใจได้แล้วนางก็สำรวจมองเชือกเส้นนี้อย่างละเอียดลออ พอแกะออกแล้วโยนทิ้งไป เชือกเส้นนั้นก็คืบคลานมาใหม่อย่างที่คาดคิดไว้จริงๆ ก่อนจะพันแข้งพันขาของนางไว้
เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง ในที่สุดเหยาเหนียงก็รู้สึกเฉยชาหมดความรู้สึกใดๆ เชือกเส้นนี้นอกจากรัดพันนางแล้ว มันหาได้มีฟันมีปากไม่ ทำอันตรายนางมิได้แม้แต่น้อย แต่นางกลับรู้สึกแปลกใจยิ่งว่าเชือกเส้นนี้สามารถขยับเขยื้อนได้อย่างไรหนอ
“เอ๋? นางไม่กลัวอาคม?”
เหยาเหนียงตื่นตระหนกตกใจในทันใด ใครกำลังเอ่ยพูดกัน
“นางไม่กลัวเชือกสะกดมารด้วย”
“แปลกแท้ นางเป็นปีศาจอันใดกัน”
ห้องขังที่มืดสนิทค่อยๆ ปรากฏดวงตาที่ฉายประกายวาววับขึ้นมาหลายคู่ บ้างก็สีแดง บ้างก็สีน้ำเงิน บ้างก็สีเขียว ดวงตาเหล่านี้มีทั้งใหญ่มีทั้งเล็ก มีทั้งกลมมีทั้งเรียว ทั้งหมดล้วนกำลังจับจ้องมาที่นางทั้งสิ้น
ห้องขังมืดสนิทไม่เห็นดวงตะวันตลอดทั้งปี มีเพียงแสงเทียนอันแผ่วอ่อนที่วูบไหวอยู่ท่ามกลางความมืดมิด บริเวณที่แสงไฟสาดส่องไปไม่ถึงล้วนแต่ดำมืดจนไม่เห็นก้นบึ้งทั้งสิ้น ทว่าในยามนี้ดวงตาเหล่านั้นกลับลุกวาวขึ้นมาทีละดวงๆ ดุจดั่งดวงดาราในท้องนภายามราตรี
เหยาเหนียงมองดูดวงตาทั้งใหญ่ทั้งเล็กเหล่านี้ด้วยความแตกตื่นตกใจ ตระหนกเสียขวัญจนเหงื่อกาฬเย็นเยียบผุดชุ่มออกมาทั่วกายาอีกครา เสียงพูดคุยดังขึ้นตรงนู้นทีตรงนี้ที เป็นเสียงกระซิบในความมืดมิดที่ฟังดูราวกับอยู่ใกล้แต่ก็เหมือนอยู่ไกล
“ไม่ถูก นางเป็นมนุษย์ ข้าได้กลิ่นมนุษย์”
“ไม่ นางเป็นปีศาจ บนร่างของนางมีไอปีศาจอยู่”
“เฮอะ นางเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจ มีทั้งกลิ่นมนุษย์และก็มีไอปีศาจด้วยเช่นกัน”
“หรือว่านางเป็นบุตรที่เกิดจากมนุษย์กับปีศาจ?”
“ชิ ครึ่งปีศาจก็เป็นปีศาจเช่นกัน ขอเพียงเป็นปีศาจ ก็จะถูกอาคมพันธนาการเอาไว้! แต่ดูเหมือนว่าอาคมจะใช้ไม่ได้ผลกับนาง น่าประหลาด น่าประหลาดแท้!”
เหยาเหนียงถูกจดจ้องจนขนลุกซู่ไปทั้งร่าง นางคิดแค่อยากจะรีบหนีไปจากที่นี่โดยเร็ว แต่ดันติดที่เชือกอันน่าเกะกะเส้นนั้นไม่ยอมให้นางหนีไป ปลายข้างหนึ่งของมันรัดขานางไว้ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งก็พันกับประตูห้องขัง พยายามฉุดกระชากลากถูนางกลับเข้าไปในห้องขังอย่างสุดชีวิต
ด้วยอารามร้อนใจเหยาเหนียงจึงหยิบเชือกขึ้นมาเสีย จากนั้นก็ผูกเป็นเงื่อนตาย ก่อนจะโยนมันออกไปอีกด้าน แล้วรีบหนีออกไปจากสถานที่บัดซบแห่งนี้อย่างรีบร้อน
“ฮ่า นางไม่กลัวเชือกสะกดมาร?”
“หอผนึกมารก็ขังนางไม่อยู่?”
“นางเป็นเทพปีศาจมาจากแห่งหนใดกันแน่”
พวกปีศาจเริ่มส่งเสียงดังเซ็งแซ่ขึ้นมา ในจำนวนนั้นมีปีศาจตนหนึ่งพลันหัวเราะคิกคักออกมา
“นางเป็นปีศาจอันใดไม่สำคัญ ที่สำคัญคือนางหนีออกจากคุกไปแล้ว ข้าอดใจรอดูนักพรตจิ้นเสวียนโกรธจัดจนเต้นเร่าๆ ไม่ไหวแล้ว!”
ครั้นวาจานี้ถูกเปล่งออกมา ปีศาจทุกตนก็พากันหัวเราะหึๆ
บนโลกนี้มีปีศาจที่นักพรตจิ้นเสวียนขังไม่อยู่ด้วยรึนี่ ช่างสาแก่ใจปีศาจเหลือเกิน ทวงคืนศักดิ์ศรีให้เผ่าปีศาจได้อย่างใหญ่หลวงจริงๆ!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.