บทที่สาม
เหยาเหนียงหนีออกมาจากโรงเตี๊ยมอย่างเร่งร้อน นางจงใจมุ่งหน้าเดินเข้าไปในบริเวณที่มีคนอยู่ค่อนข้างเยอะ เพราะว่าการปะปนเข้าไปอยู่ในฝูงชนถึงจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุด จะติดก็แต่แหปากนี้ที่ติดหนึบไม่ยอมปล่อย ขยับเคลื่อนไหวได้เหมือนกับเชือกเส้นนั้นไม่มีผิด
แต่ว่านางไม่กลัวหรอก เพราะแหปากนี้ไม่มีพลังทำลายล้างอันใดแม้แต่น้อย ถูกนางจับมัดเป็นเงื่อนได้อย่างง่ายดาย
หลังจากบุรุษผู้นั้นเปิดเผยฐานะนักพรตของตนเองออกมา นางก็ไม่กลัวแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนักพรตผู้นั้นก็มิได้เก่งกาจสักเท่าไร แม้แต่อาวุธเวทจับปีศาจของเขาก็ยังอ่อนแอปวกเปียกยิ่งนัก
พอพูดถึงปีศาจในใจของเหยาเหนียงก็พลันจมดิ่ง ภาพเหตุการณ์ตอนที่ฟื้นตื่นขึ้นมาท่ามกลางกองโลหิตปรากฏขึ้นในหัวสมองอีกครา นางรู้ว่าร่างกายของตนเองมีบางอย่างผิดปกติ แต่กลับไม่กล้าขบคิดให้ลึกซึ้ง การปรากฏตัวของนักพรตทำให้นางจำต้องหันมาเผชิญหน้ากับเรื่องที่เกิดกับร่างกายของตนเองตรงๆ
นางจดจำความเจ็บปวดยามคมดาบแทงทิ่มเข้าสู่ร่างกายในราตรีนั้นได้ และจำได้ด้วยว่าทั้งสรรพางค์กายชุ่มโชกไปด้วยโลหิต แต่พอนางฟื้นขึ้นมาทรวงอกกลับไม่มีแม้แต่รอยดาบด้วยซ้ำ
ไม่เพียงเท่านี้ เมื่อนางมองดูฝ่ามือของตนเองก็พบว่ามือที่หยาบกร้านเพราะทำงานหนักมาเนิ่นนานบัดนี้กลับทั้งนวลเนียนทั้งนุ่มนิ่ม ไม่มีแม้แต่รอยแข็งกร้าน กระทั่งรอยแผลเป็นเล็กๆ ที่เผลอถูกมีดบาดตอนหั่นผักก็ยังเลือนหายไปด้วยเช่นกัน
นางจ้องมองนิ้วมือทั้งสิบของตนเองอย่างอึ้งงัน ทั้งเรียวรีและเนียนละมุน ราวกับเป็นมือของสตรีในห้องหอที่ไม่เคยต้องหยิบจับงานบ้านมาก่อน
นางหุบนิ้วมือทั้งสิบกำเป็นหมัด คล้ายกับว่าหากทำเช่นนี้แล้วก็จะสามารถปิดบังซ่อนเร้นเอาไว้ทำให้นางไม่ไปครุ่นคิดและสืบเสาะหาความจริง
นางส่ายศีรษะ ไม่ครุ่นคิดเรื่องพวกนี้อีกต่อไป สิ่งเดียวที่ต้องทำในตอนนี้ก็คือรีบสลัดให้หลุดพ้นจากการเกาะติดของบุรุษผู้นั้น ยามนี้นางไม่กล้ากลับไปที่โรงเตี๊ยมแล้ว ห่อสัมภาระที่อยู่ในห้องก็จำใจต้องสละทิ้งไป วันนี้ยังไม่เหมาะที่จะออกเดินทาง ทางที่ดีควรจะหาที่หลบซ่อนเอาไว้ก่อน รอผ่านไปสักหลายวันค่อยซื้อเสื้อผ้ามาใหม่สักสองสามตัว ตอนนี้มีเพียงแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้น
หลังจากลัดเลาะตรอกซอกซอยวิ่งมาเป็นระยะทางไม่น้อย นางก็เหนื่อยจนหอบแฮกๆ เหงื่อแตกพลั่กไปทั้งร่าง จึงหยุดพักที่แผงร้านน้ำชาในละแวกใกล้เคียง นั่งดื่มชาเย็นๆ สักหนึ่งอึก
เงาคนวูบไหวผ่านไปเบื้องหน้า มีคนนั่งลงตรงข้ามกับนาง ครั้นเงยหน้าขึ้นมองนางก็ตื่นตระหนกจนตัวสั่นเทิ้ม เกือบจะทำน้ำชาในมือกระฉอกออกมา
หลังจากจิ้นเสวียนนั่งลงแล้ว เขาก็ทำเป็นเมินเฉยต่อท่าทางตื่นตกใจของนางพลางยกกาน้ำชาของนางขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ แหงนหน้ากรอกน้ำชาเข้าปากอึกๆ แม้แต่ถ้วยชาก็ไม่ใช้
น้ำชาเย็นสดชื่นไหลลงสู่ลำคอ เขาผ่อนลมหายใจออกมาด้วยความรู้สึกสบายแล้ววางกาน้ำชาลง
“วิ่งจนเหงื่อแตกพลั่กไปทั้งร่าง เวลาเช่นนี้น้ำชาเย็นๆ ช่วยดับกระหายได้ดีที่สุดแล้ว เจ้าว่าใช่หรือไม่” มุมปากของเขายกขึ้นอย่างชั่วร้าย มองดูท่าทางผวาหวาดหวั่นของนางยิ้มๆ
เขามีท่าทางสบายๆ ไม่รีบไม่ร้อน เสื้อผ้าอาภรณ์เรียบกริบไร้รอยยับย่น เหงื่อกาฬไม่ไหลริน เมื่อเทียบกันแล้วมีแต่จะทำให้นางดูเหมือนคนโง่เขลา นางหลงคิดว่าตนเองหนีมาได้ไกลลิบ ทว่าจริงๆ แล้วตั้งแต่ต้นจนจบนางล้วนอยู่ในเงื้อมมือของเขามาตลอด
ยามนี้ต่อให้เหยาเหนียงโง่เขลาเพียงใดก็เข้าใจเรื่องหนึ่งว่า…นางไม่มีทางสลัดหลุดจากบุรุษผู้นี้ได้
ในสายตาของเขาการหลบหนีของนางกลายเป็นเรื่องที่น่าขบขันและโง่เง่า เกรงว่าเขาคงจะแอบหัวเราะเยาะนางอยู่ข้างหลังกระมัง
น้ำชาเย็นๆ หนึ่งกาดื่มคนเดียวกำลังพอดี ทว่าสองคนดื่มกลับน้อยเกินไป ดื่มไปแค่ไม่กี่อึกก็เห็นก้นกาเสียแล้ว
จิ้นเสวียนกวักมือเรียกเถ้าแก่ให้เข้ามาหา “เอาน้ำชาเย็นๆ มาอีกกาหนึ่ง”
เถ้าแก่ขานรับ จากนั้นก็ยกน้ำชาอีกกาเข้ามาส่งอย่างขยันขันแข็ง พร้อมกับถือโอกาสแนะนำอาหารของร้านตนเองไปในตัว
“ท่านลูกค้า ต้องการสั่งกับแกล้มสักสองสามจานหรือไม่ กินกับน้ำชาเย็นๆ เนี่ยเหมาะที่สุดแล้วขอรับ”
จิ้นเสวียนได้ยินแล้วก็หันหน้าไปถามเหยาเหนียง “ว่าอย่างไร สั่งสักสองสามจานหรือไม่”
เหยาเหนียงนิ่งเงียบแต่ทว่าจ้องมองเขาอย่างหวาดระแวง
“ไม่มีความเห็นหรือ เช่นนั้นก็เอามาสักสองสามจานเถิด” เขากวักมือบอกเถ้าแก่ให้ยกอาหารมาส่ง
“ได้ขอรับ ท่านลูกค้า!” เถ้าแก่เดินไปจัดการอย่างดีอกดีใจ ยกกับแกล้มสามอย่างขึ้นมาวางบนโต๊ะอย่างคล่องแคล่วว่องไว
เขาหยิบตะเกียบขึ้นมากินทันที ครั้นเห็นว่านางยังอ้าปากค้างจ้องมองเขา เขาจึงชี้ไปยังกับแกล้ม “จะกินหรือไม่”
นางยังคงมองเขาอย่างระแวดระวังต่อไป
“ไม่กินก็ช่าง” เขาลงตะเกียบอย่างเร็วไว เดิมทีกับแกล้มสามจานก็มิได้มากมายอันใดอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่พอยัดซอกฟันเท่านั้น เพียงแค่ประเดี๋ยวเดียวก็ถูกเขากวาดกินจนเรียบ แม้กระทั่งเศษผักชิ้นเล็กๆ ก็ยังไม่มีเหลือ
เขากินอย่างรวดเร็วยิ่ง ทว่าก็ยังคงรักษาความสุภาพงามสง่าเอาไว้ กินเสร็จแล้วก็ยังหยิบผ้าออกมาเช็ดปากอย่างมีมารยาท ก่อนจะกวักมือเรียกเถ้าแก่ให้มาคิดเงิน
“ท่านลูกค้า ทั้งหมดสิบอีแปะขอรับ”
จิ้นเสวียนพยักหน้า เขาหันไปสั่งเหยาเหนียงว่า “จ่ายเงินสิ”
เหยาเหนียงถลึงตากว้าง กล่าวด้วยท่าทางฉุนเฉียวว่า “เหตุใดข้าต้องจ่ายเงินด้วย”
เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย “อ้อ? ยอมพูดแล้วรึ ข้าคิดว่าเจ้าตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้วเสียอีก”
เหยาเหนียงได้ยินแล้วโมโหกระฟัดกระเฟียดยิ่ง
จิ้นเสวียนจ่ายเงิน จากนั้นลุกขึ้นเดินออกไปจากแผงร้านน้ำชา เขาเอามือไพล่ไว้ด้านหลัง ก่อนเบือนหน้ามามองนาง
เขากำลังรอนางอยู่…
ในที่สุดเหยาเหนียงก็เข้าใจ ที่เขาปล่อยให้นางหนีเป็นเพราะต้องการให้นางรู้ว่าไม่ว่านางจะหนีไปที่ใด สุดท้ายก็จะต้องถูกเขาตามจับตัวได้อยู่ดี
นี่เขากำลังบอกนางว่าแม้นว่าซุนอู้คงจะเหาะได้ไกลถึงสิบหมื่นแปดพันหลี่แต่ท้ายที่สุดก็มิอาจหนีพ้นนิ้วมือทั้งห้าของพระยูไลได้
ในเมื่อหนีไม่รอด นางก็ทำได้เพียงคิดวางแผนไปทีละก้าว ขายผ้าเอาหน้ารอด แล้วค่อยหาวิธีใหม่อีกครา
จิ้นเสวียนพึงพอใจยิ่งที่นางเดินตามมาเองแต่โดยดี และโชคดีที่นางรู้จักกาลเทศะ หาไม่แล้วเขาคงต้องปวดหัวหนัก เพราะไม่รู้ว่าจะจับนางกลับไปอย่างไร
อาวุธเวทไม่มีผลกับนาง คาถาอาคมก็ไม่มีฤทธิ์กับนาง จะให้ทุบจนสลบแล้วแบกไป…เรื่องพรรค์นี้หากไม่มีใครเห็นก็ย่อมทำได้อยู่ แต่ว่าตอนนี้ทั่วทั้งท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คน ถ้าแบกสตรีผู้หนึ่งเดินอาดๆ ไปกลางวันแสกๆ อย่างนี้ก็เหมือนกับเติงถูจื่อฉุดคร่าหญิงสาวชาวบ้านน่ะสิ นอกจากเสียเกียรติเสียศักดิ์ศรีแล้ว ถ้าเกิดถูกคนเจตนาไม่ดีเข้าใจผิดล่ะก็ คงจะเสื่อมเสียไปถึงชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของเขาจริงๆ
ทั้งที่สตรีผู้นี้เป็นปีศาจแท้ๆ แต่กลับมีลักษณะท่าทางเหมือนสตรีในห้องหอ บนร่างมีไอของปีศาจจิ้งจอก แต่กลับไม่มีรูปโฉมเย้ายวนหยาดเยิ้มมากเพียงนั้น
เขากำลังรอคอย หากนางใช้พลังปีศาจ เผยโฉมปีศาจออกมา เขาก็จะสามารถประลองเวทจับปีศาจต่อหน้าผู้คนได้อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง แต่ว่าจนกระทั่งบัดนี้นางกลับหลบหนีเหมือนอย่างคนธรรมดา กินเหมือนกับคนธรรมดา นอนเหมือนกับคนธรรมดา แม้กระทั่งยามเดินตามหลังเขาในตอนนี้ก็ยังคับแค้นใจเหมือนอย่างคนธรรมดา
เขามองนางไม่ออก นางปีศาจตนนี้มีจุดที่ย้อนแย้งกันมากเกินไป ปีศาจจิ้งจอกที่สามารถหนีออกมาจากหอผนึกมาร ทั้งยังเล่นงานอาวุธเวทได้อยู่หมัด เหตุใดยามหนีเอาตัวรอดแม้แต่วิชาเหาะเหินมุดดำดินก็ยังใช้ไม่เป็นเล่า
ปีศาจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์กลับกลอก เขาสงสัยว่านางกำลังมีแผนการร้ายอย่างอื่นอยู่
เหยาเหนียงเดินตามหลังเขา สมองของนางครุ่นคิดทำงานไม่หยุด จะให้นางยอมศิโรราบโดยละม่อมย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน กลางวันแสกๆ อย่างนี้นางไม่เชื่อว่าเขาจะกล้าทำอันใดนาง
ในขณะที่กำลังร้อนรนกระวนกระวายอยู่นั้น สายตาของนางก็พลันลุกวาว ดูสิ คนที่อยู่ตรงปากตรอกสองคนนั้นคือเจ้าหน้าที่ทางการที่กำลังเดินตรวจตราผ่านมามิใช่หรือ สวรรค์ย่อมไม่ปล่อยให้คนอับจนหนทางจริงๆ ด้วย!
จะปล่อยโอกาสให้หลุดมือไปมิได้ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจลงมืออย่างฉับพลันทันใด
“ช่วยด้วย…”
นางวิ่งตะบึงไปหาเจ้าหน้าที่ทางการอย่างสุดแรงเกิด พอนางพลันตะโกนก้องไม่เพียงแต่ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการสองคนนั้นสะดุ้งตกใจเท่านั้น แต่ยังดึงดูดความสนใจของชาวบ้านที่อยู่ในบริเวณนั้นขึ้นมาด้วยเช่นกัน
หลังรีบหลบไปอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่ทางการอย่างร้อนรนนางก็ชี้ไปยังบุรุษผู้นั้น “ใต้เท้าช่วยด้วยเจ้าค่ะ เขาจะสังหารข้า!”
พอเหยาเหนียงชี้นิ้วปุ๊บ สายตาของทุกคนก็หันมอง ‘ฟึ่บๆๆ’ ไปยังบุรุษที่นางชี้เช่นกัน
จิ้นเสวียนหาได้แตกตื่นลนลานแต่อย่างใด ทว่ากลับเลิกคิ้วอย่างนึกสนุก เขามิได้รู้สึกหงุดหงิดโมโหเพราะถูกนางกล่าวหา แต่กลับมีท่าทีเปิดเผยเยือกเย็นเสียด้วยซ้ำไป
ชายหนุ่มยังคงก้าวเท้าเข้ามาอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่เนิบช้า ชายอาภรณ์ปลิวสะบัด บุคลิกงามสง่าสะกดสายตา แสงอาทิตย์ส่องสะท้อนลงบนร่างของเขา ในแต่ละก้าวที่เขาก้าวเดินราวกับเหินลมเหยียบจันทราลงมา สายตาลุ่มลึก มุมปากประดับรอยยิ้ม บนร่างประหนึ่งเคลือบด้วยแสงเจิดจรัสแห่งความเป็นเซียน ราวกับเป็นเทพเซียนจุติลงมาบนโลกมนุษย์ก็มิปาน
เหยาเหนียงจ้องมองเขาเขม็ง กลับเห็นว่าเขายังคงเยือกเย็นเรียบเฉย ไม่ร้อนรน ไม่ฉุนเฉียว รอยยิ้มตรงมุมปากนั้นทำให้นางพลันรู้สึกกระวนกระวายใจ และไม่นานนักความกระวนกระวายใจของนางก็ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความจริงจากสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น
ครั้นเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองเห็นผู้มาใหม่ก็รีบเดินเข้าไปประสานมือคารวะทันที ท่าทีพินอบพิเทายิ่ง “ที่แท้ก็ปรมาจารย์จิ้นเสวียนนี่เอง เสียมารยาทแล้วๆ”
จิ้นเสวียนอมยิ้มพลางคารวะกลับ สุ้มเสียงใสกระจ่างเสนาะหู “มิกล้า ใต้เท้าทั้งสองมากพิธีไปแล้ว”
เหยาเหนียงหน้าเปลี่ยนสีในฉับพลัน นางนึกว่าหาภูเขาที่พึ่งพิงได้แล้ว แต่ภูเขาสองลูกนี้กลับค้อมเอวคารวะให้คนผู้นั้นเสียได้ ดูท่าทางกระตือรือร้นนั่นสิ พวกเขาสนิทสนมคุ้นเคยกันชัดๆ!
“ท่านปรมาจารย์พบปัญหายุ่งยากอันใด ต้องการให้พวกเราช่วยเหลือหรือไม่ขอรับ” ยามเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองเอ่ยถ้อยคำนี้ ดวงตาคู่นั้นกลับเมียงมองมาทางนาง ทำให้หัวใจทั้งดวงของนางจมดิ่งสู่ก้นหุบเหว
จิ้นเสวียนเผยสีหน้าอับจนปัญญา “ข้านักพรตมีเรื่องต้องการถามแม่นางผู้นี้ กำลังพูดโน้มน้าวนางอยู่ แต่น่าเสียดายที่นางไม่ค่อยให้ความร่วมมือเท่าใดนัก”
เจ้าหน้าที่ทางการเข้าใจแจ่มแจ้งในทันใด จึงรีบตีสีหน้าขึงขังใส่เหยาเหนียงทันที “ท่านอาจารย์มีเรื่องจะถามเจ้า เจ้าก็ตอบไปสิ จะหนีอันใดของเจ้า”
เหยาเหนียงร้อนใจขึ้นมา “ใต้เท้า เขาจะสังหารข้า!”
“เหิมเกริม! ท่านอาจารย์มีฐานะสูงส่งขนาดนั้น สตรีโง่เขลาอย่างเจ้าไหนเลยจะใส่ร้ายป้ายสีท่านได้!”
“จริงๆ นะเจ้าคะ เขาบุกเข้าห้องของข้าโดยพลการ คิดจะทำมิดีมิร้ายข้า!”
“พูดจาเหลวไหล ท่านอาจารย์เป็นสุภาพบุรุษวิญญูชน ไหนเลยจะทำเรื่องพรรค์นี้ได้ เจ้าคงมีเจตนาไม่ดี คิดจะให้ร้ายท่านอาจารย์มากกว่าน่ะสิ”
ไม่เพียงแต่ถูกเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสองคนตำหนิต่อว่า แม้กระทั่งชาวบ้านที่ยืนมุงดูเรื่องสนุกๆ อยู่โดยรอบก็ชี้มือชี้ไม้ใส่นางเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนพูดว่านางไม่รู้จักสำรวมตน ไม่ปฏิบัติตามคุณธรรมสตรี ยั่วยวนบุรุษไม่สำเร็จ จึงอับอายจนพาลโกรธก็เลยแว้งกัดผู้อื่นแทน
สีหน้าของเหยาเหนียงประเดี๋ยวคล้ำเขียวประเดี๋ยวขาวซีด คำประณามของคนรอบด้านเสมือนคมดาบอันไร้ความเมตตากำลังลงโทษประหัตประหารนาง ไม่มีผู้ใดเชื่อนาง ซ้ำร้ายยังสงสัยเคลือบแคลงในศีลธรรมจรรยาของนาง ทำให้นางอับจนถ้อยคำจะเอ่ยแก้ต่าง รู้สึกเพียงหนาวเหน็บสุดขั้วหัวใจ
“ท่านปรมาจารย์ สตรีผู้นี้ใส่ร้ายป้ายสีท่าน พวกเราช่วยท่านจับตัวนางส่งเข้าคุกดีหรือไม่” เจ้าหน้าที่ทางการเอ่ย
พอเหยาเหนียงได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็ยิ่งซีดเผือดมากกว่าเดิม ในใจบังเกิดความหวาดผวา ถ้าหากนางต้องเข้าคุกจริงๆ ล่ะก็ ตอนนี้นางโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพิง ไม่มีผู้ใดสามารถช่วยเหลือนางได้ ชีวิตนี้ของนางคงจบสิ้นแล้ว
จิ้นเสวียนมองดูอาการหน้าซีดไร้สีเลือดของนางอยู่ในสายตา ในใจยิ่งทวีความสงสัย หอผนึกมารนางยังไม่กลัว แล้วเหตุใดถึงหวาดกลัวกับการเข้าคุกได้เล่า
“ใต้เท้าทั้งสอง แม่นางผู้นี้เพียงแค่เข้าใจข้านักพรตผิดเล็กน้อยเท่านั้น ขอใต้เท้าโปรดอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับนางเลย”
ถ้อยคำเหล่านี้พาให้ผู้คนชื่นชมสรรเสริญทันที ชมเชยว่าเขาใจกว้าง มีความเมตตาปรานี ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความผิดพลาดของคนเลว สุดท้ายแล้วภายใต้การขู่ขวัญของเจ้าหน้าที่ทางการทั้งสอง หากเหยาเหนียงไม่อยากติดคุก ก็มีแต่ต้องเดินตามจิ้นเสวียนไปอย่างเชื่อฟังว่าง่าย หาไม่แล้วคงต้องเข้าไปกินข้าวในคุกเท่านั้น
นางเดินตามหลังชายหนุ่มอย่างหน้าม่อยคอตก หลังจากเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายมากว่าครึ่งค่อนวัน สุดท้ายก็กลับมายังโรงเตี๊ยมแห่งเดิม
ชายหนุ่มหยุดลงตรงหน้าประตูโรงเตี๊ยม จากนั้นก็หันกลับมามองนางแวบหนึ่ง สายตาเต็มเปี่ยมไปด้วยการกล่าวเตือนบอกสั่งให้นางเดินตามมา ก่อนที่เขาจะหันกายกลับแล้วเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยม
เหยาเหนียงรู้ว่าในยามนี้ต่อให้หลบหนีอย่างไรก็เสียแรงเปล่า หลังจากละล้าละลังอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กัดฟันกรอดๆ สุดท้ายก็ก้าวเท้าเดินข้ามธรณีประตูไปอย่างยอมรับในชะตากรรม
เมื่อเข้ามาในโรงเตี๊ยมก็ได้กลิ่นอาหารหอมกรุ่นตลบอบอวล นางลูบท้องเบาๆ ยามนี้เพิ่งจะตระหนักได้ว่าวันนี้นางมัวแต่หนีมาตลอดทั้งวัน ไม่มีเวลาหาอาหารมาใส่ท้องเลยสักนิด ไม่ว่านักพรตผู้นั้นคิดจะทำอย่างไรกับนาง นางก็ต้องกินให้อิ่มก่อนถึงจะมีแรงไปต่อกรกับเขาได้
หลังจากสั่งเสี่ยวเอ้อร์ให้ตระเตรียมอาหารจำนวนหนึ่งส่งมาที่ห้องแล้ว นางก็ยกเท้าเดินขึ้นไปบนชั้นสอง
จิ้นเสวียนรอคอยนางอยู่ในห้องเดิมที่นางพำนักอยู่ ครั้นเห็นนางผลักประตูเดินเข้ามา เขาก็ออกคำสั่งทันที
“ปิดประตู นั่งลง”
เหยาเหนียงเม้มปากเล็กน้อย นางเพียงแค่ปิดประตูลงเบาๆ ทว่ามิได้เดินเข้าไป แต่ยืนอยู่ที่ข้างประตูแทน
“มีอันใดก็พูดมาตรงนี้ ท่านจะเอาอย่างไรกันแน่”
นางไม่เดินเข้ามา จิ้นเสวียนก็ไม่บังคับฝืนใจนาง เขาเอ่ยถามอย่างตรงเข้าประเด็นทันที “เจ้าสลัดหลุดจากแหสยบมารได้อย่างไร”
อันใดคือราชาประคองเอว
ครั้นเห็นนางมีสีหน้าฉงนงงงวย จิ้นเสวียนก็ขมวดคิ้วเบาๆ เอ่ยย้ำเตือนนางว่า “ก็คืออาวุธเวทที่มัดเจ้าไว้ก่อนหน้านี้อย่างไรเล่า”
ถ้าเขาไม่พูดถึง เหยาเหนียงก็ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตนเองเอามันมาด้วย ยามนี้พอนึกขึ้นมาได้นางจึงหยิบมันออกมาจากแขนเสื้อ
“ท่านหมายถึงแหจับปลาปากนี้น่ะหรือ”
คำว่า ‘แหจับปลา’ ทำเอาขมับของจิ้นเสวียนเต้นตุบๆ เดิมทีเขาคิดจะช่วยนางแก้ไขคำพูดให้ถูกต้อง แต่พอเห็นแหสยบมารถูกมัดเป็นก้อนกลมๆ เขาก็กลืนคำพูดกลับลงไป จากนั้นเอ่ยอย่างมีน้ำอดน้ำทนว่า “ก็มันนั่นแหละ เจ้าปราบมันได้อย่างไร ทำเหมือนเดิมอีกครั้งซิ”
เหยาเหนียงคิดในใจว่านี่มันยากตรงที่ใดกัน แต่หาได้พูดออกมาไม่ นางแกะแหออกมาก่อน หลังจากนั้นก็มัดเข้าไว้ด้วยกัน ก่อนจะผูกเป็นเงื่อนตาย
“เสร็จแล้ว” นางพูด
แค่นี้เองรึ
จิ้นเสวียนไม่อยากจะเชื่อสายตา ไม่มีการประลองคาถาอาคม ไม่มีการใช้พลังปีศาจ ง่ายดายและตรงไปตรงมาอย่างนี้เลย?
เหยาเหนียงมองเขาอย่างระแวดระวัง พอสังเกตเห็นว่าเขาสีหน้าย่ำแย่ราวกับกลืนแมลงวันลงไป นางก็รู้สึกประหลาดใจ ก็แค่ผูกเงื่อนเท่านั้นเองมิใช่หรือ
ถ้ามิได้เห็นกับตาตนเอง จิ้นเสวียนเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าแหสยบมารปากนี้พออยู่ในมือนางแล้วกลับกลายเป็นแหธรรมดาๆ ไปเสียได้ นางไม่ต้องลงแรงอันใดมากมายก็มัดมันได้อย่างง่ายดายราวกับมัดขนมบ๊ะจ่างอย่างไรอย่างนั้น
เขาจดจ้องแหสยบมารที่ถูกผูกเป็นเงื่อน หว่างคิ้วเองก็ขมวดมุ่นเป็นเงื่อนตายเช่นเดียวกัน
เขาจ้องมองเหยาเหนียง นัยน์ตาคมปลาบสีดำสนิทราวกับน้ำหมึกมีประกายวาบออกมา กระบี่เล่มยาวที่สะพายอยู่ด้านหลังถูกชักออกจากฝัก พุ่งทะยานเข้าใส่นาง
เหยาเหนียงตื่นตกใจจนเสียขวัญ ถอยหลังกรูดอย่างหวาดหวั่นลนลาน กระบี่สีดำชี้ไปยังปลายจมูกนาง รุกประชิดบีบให้นางเข้าสู่มุมอับของห้อง
“ภูตผีปีศาจในใต้หล้าข้าพบเจอมาไม่น้อย แต่ว่าไม่เคยเจอนางปีศาจอย่างเจ้ามาก่อนเลย”
จิ้นเสวียนลุกขึ้นยืน รุกคืบเข้ามาใกล้นางทีละก้าวๆ เขามาพร้อมกับแรงกดดันอย่างหนักหน่วงดุดัน ปากเอ่ยท่องคาถา มือประสานอาคม ทันใดนั้นก็ซัดฝ่ามือใส่หน้าผากของนาง ตวาดออกคำสั่งเสียงดังก้อง
“ปีศาจร้าย ยังไม่ปรากฏกายออกมาอีก!”
แววตาของเหยาเหนียงนิ่งเหม่อ ใบหน้าขาวซีด ดูเหมือนจะเสียขวัญจนนิ่งอึ้งไปเสียแล้ว
จิ้นเสวียนมองประเมินนาง ปรายตามองเบื้องล่างนางปราดหนึ่ง จากนั้นยิ้มเย็นพลางเอ่ย “เจ้าสมกับเป็นนางปีศาจจิ้งจอกจริงๆ”
เหยาเหนียงได้ยินก็หน้าเปลี่ยนสีทันใด ฟาดฝ่ามือใส่หน้าเขาหนึ่งฉาดโดยไม่แม้แต่จะหยุดนึกคิด เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้ามิใช่นางปีศาจจิ้งจอก”
สุภาพชนฆ่าได้ หยามไม่ได้ นางปฏิบัติตนตามคุณธรรมสตรีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ยึดมั่นในศีลธรรมอันดีงามอย่างเคร่งครัด ทว่าบัดนี้กลับถูกบุรุษผู้หนึ่งชี้หน้าด่าว่าเป็นนางปีศาจจิ้งจอก นี่เป็นการเหยียดหยามศักดิ์ศรีนางอย่างใหญ่หลวง
จิ้นเสวียนตะลึงงันไป นี่เป็นครั้งแรกที่เขาถูกสตรีตบหน้า ทั้งยังหลบไม่พ้นอีกด้วย
เขาเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที ย้อนถามกลับไปอย่างรุนแรงว่า “ถ้าเจ้าไม่ใช่นางปีศาจจิ้งจอก ขอถามหน่อยว่าหางจิ้งจอกเส้นนี้มันมาจากที่ใดกัน!” พูดจบก็คว้าหางปุกปุยของนางมาแกว่งไกวตรงหน้า
เหยาเหนียงอึ้งงัน ก่อนจะค่อยๆ ไล่มองลงไปตามหาง หางเส้นนี้เชื่อมกับก้นของนาง ก้นของนางสามารถรับรู้ได้ถึงหาง หางเองก็รับรู้ได้ถึงก้นของนางเช่นกัน
“ปีศาจ…”
นางตกใจจนทำอะไรไม่ถูก จิ้นเสวียนถูกนางกระแทกใส่เต็มรัก ทั้งสองล้มลงไปกองกับพื้นด้วยกัน
“เอาออกไป…รีบเอาออกไปเร็วๆ เข้า…น่ากลัวเหลือเกิน…” เหยาเหนียงตกใจกลัวจนไม่รู้จะทำอย่างไร กระทั่งไม่อาจบรรยายได้ด้วยแค่คำว่าหวาดกลัว
จู่ๆ บนก้นของตนเองก็มีบางสิ่งบางอย่างที่มีขนนุ่มฟูเพิ่มขึ้นมา ช่างน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน!
ก้นของจิ้นเสวียนกระแทกกับพื้นจนเจ็บ ทว่าความนุ่มนิ่มหอมสดชื่นในอ้อมอกทำให้เขาตะลึงงันไปชั่วขณะ กลิ่นหอมจรุงใจอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของสตรีวนเวียนอยู่ใต้จมูกเขา
นางทั้งหอมทั้งนุ่มยิ่ง
เขานิ่งอึ้งไปเพียงแค่ชั่วขณะ ต่อมาในใจก็พลันบังเกิดความแตกตื่นหวาดระแวง ร่ำร้องในใจว่าแย่แล้ว เขารีบพลิกกายขึ้นมาก่อนกดนางปีศาจเอาไว้กับพื้น
“นางปีศาจจิ้งจอกจอมเจ้าเล่ห์ ถึงกับกล้ายั่วข้าเชียวรึ!”
เหยาเหนียงตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง จ้องมองเขาอย่างอึ้งงัน แววดูถูกเหยียดหยามในดวงตาของชายหนุ่มเสียดแทงสายตาของนางยิ่งนัก และทำให้นางสงบนิ่งเยือกเย็นขึ้นมาได้ในชั่วพริบตา
ประตูห้องถูกเปิดออก เสียงร้องเรียกอย่างขันแข็งของเสี่ยวเอ้อร์ดังลอยเข้ามา
“ให้ท่านลูกค้าต้องรอนานแล้ว นี่คือสุราอาหารที่อร่อยที่สุดของร้านเรา…” เสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยกถาดอาหารเข้ามาชะงักค้างไป จ้องมองคนทั้งสองที่อยู่บนพื้นอย่างอึ้งๆ
บุรุษอยู่บน สตรีอยู่ล่าง สีหน้าแววตาเช่นนั้น ท่าทางเช่นนั้น บรรยากาศวาบหวามเช่นนั้น…ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เห็นว่าพวกเขากำลังระงับอารมณ์อันพลุ่งพล่านเอาไว้ไม่อยู่ ลูกธนูขึ้นสายพร้อมจะง้างยิงออกไปแล้ว
จิ้นเสวียนส่งเสียงตวาด “ข้านักพรตกำลังกำราบนางปีศาจจิ้งจอกตนนี้อยู่ ออกไปเสีย!”
“ขอรับๆ ผู้น้อยจะออกไปเดี๋ยวนี้ ทะ…ท่านเชิญทำธุระต่อเถิดขอรับ” เสี่ยวเอ้อร์พูดพลางล่าถอยออกมา ตอนเดินออกไปยังไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย
จิ้นเสวียนหารู้ไม่ว่าวาจาประโยคนี้ของเขา กอปรกับการกระทำของเขา ทำให้เรื่องฉาวโฉ่นี้เป็นที่เลื่องลือไปทั่วนับตั้งแต่บัดนั้น ทุกคราที่ย้อนนึกถึงความหุนหันพลันแล่นในยามนี้ เขาล้วนนึกเสียใจภายหลังยิ่งนัก
เมื่อถูกขัดจังหวะเช่นนี้ ยามเขาหันหน้ากลับมาก็พบว่าหางของนางปีศาจจิ้งจอกได้หายไปแล้ว ทว่าสำหรับเขาแล้วนี่มิได้เป็นอุปสรรคในการจัดการนาง อีกทั้งยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอกจริงๆ อีกด้วย
เนื่องจากอาวุธเวทไม่สามารถกักขังนางเอาไว้ได้ จิ้นเสวียนจึงไม่มีตัวเลือกอื่น เขาทำได้เพียงใช้วิธีที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาที่สุด นั่นก็คือสกัดจุดนาง จากนั้นก็แบกตัวนางไป
ในวันนี้ที่เขามาจับปีศาจอากาศสดชื่นแจ่มใส แม้กิจการของโรงเตี๊ยมคึกคักกว่าทุกที แต่ยามเขาแบกสตรีผู้หนึ่งเดินลงมาพร้อมกับรอยนิ้วมือบนใบหน้า ห้องโถงใหญ่กลับเงียบกริบลงในชั่วพริบตา
“นางปีศาจจิ้งจอกตนนี้ ข้านักพรตขอพาตัวไปก่อน” เขาเอ่ยกับหลงจู๊
ทุกคนเห็นว่านางปีศาจจิ้งจอกไม่มีหาง ทั้งยังไม่มีกรงเล็บ นางสวมชุดเรียบง่ายธรรมดาๆ หน้าตาดูเหมือนสตรีในห้องหอทั่วไป ขอบตาแดงก่ำชุ่มน้ำ ราวกับภรรยาตัวน้อยที่ได้รับความคับอกคับใจ
หลังจากพวกเขาเดินออกไปแล้ว ชาวบ้านก็พูดเรื่องที่ได้เห็นมากับตาตนเองอย่างออกรสออกชาติ
ตามคำบอกเล่าอย่างสมจริงสมจังของเสี่ยวเอ้อร์ในตอนนั้น ได้ยินว่าสตรีผู้นี้รูปโฉมงามเฉิดฉัน นุ่มนวลอ่อนโยนตราตรึงใจคน ปรมาจารย์จิ้นเสวียนจึงมิอาจห้ามใจได้ไหว พลันกดคนงามลงกับพื้น บอกว่าจะกำราบนางปีศาจจิ้งจอกตนนี้
แต่ก็มีคนบอกว่าสตรีผู้นี้เกล้ามวยผมเหมือนอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้ว คงจะเป็นภรรยาแต่งของปรมาจารย์จิ้นเสวียนแน่นอน แต่ว่าสามีภรรยาทะเลาะเบาะแว้งกัน ภรรยาโกรธเกรี้ยวจนหนีออกมาจากบ้าน ปรมาจารย์จิ้นเสวียนจึงรีบร้อนไล่ตามมา รีบแบกตัวนางกลับไปทันที
ยังมีเจ้าหน้าที่ทางการอีกสองคนเป็นพยานว่าในตอนนั้นปรมาจารย์จิ้นเสวียนได้วิ่งไล่ตามสตรีผู้นี้มาจริงๆ อีกทั้งในคำพูดคำจาก็ยังมีความโอบอ้อมอารีและปกป้องนางอย่างเปี่ยมล้น
นับตั้งแต่นั้นมาผู้คนก็เข้าใจแจ่มแจ้งว่าที่ปรมาจารย์จิ้นเสวียนมิเข้าใกล้อิสตรีมาเนิ่นนาน ซ้ำยังปฏิเสธมิให้แม่สื่อแวะมาเจรจาเรื่องสู่ขอ ที่แท้เป็นเพราะเขามีภรรยาอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว
จิ้นเสวียนไม่รู้ว่าคำว่ากำราบนางปีศาจจิ้งจอกประโยคนี้ เมื่อบุรุษได้ยินแล้วก่อให้เกิดภาพกำกวมมากมายเพียงใด กลับกลายเป็นเข้าใจไปอีกอย่างหนึ่ง
เขาพาเหยาเหนียงกลับมาที่สำนักจี้อวิ๋น แต่เนื่องจากหอผนึกมารกักขังนางเอาไว้ไม่อยู่ มิหนำซ้ำอาวุธเวทก็ยังไร้ผลกับนาง จึงทำได้เพียงขังนางเอาไว้ในเรือนหลังหนึ่ง กักบริเวณนางเอาไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว
อาจารย์พาสตรีผู้หนึ่งกลับมา เรื่องนี้ทำให้ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักตื่นตะลึงมิวางวาย มีบางคนเพิ่งกลับขึ้นเขามาจึงนำข่าวซุบซิบนินทากลับมาด้วย ที่แท้สตรีที่อาจารย์พากลับมาก็คืออาจารย์หญิงของพวกเขา มิน่าอาจารย์จึงได้สั่งให้คนเก็บกวาดเรือนเล็กเป็นพิเศษ แท้ที่จริงแล้วก็เพื่อหาที่หาทางให้อาจารย์หญิงอยู่นั่นเอง นอกจากนั้นยังสั่งให้ศิษย์พี่ใหญ่คอยอยู่เฝ้าอารักขาที่นอกเรือนด้วยกลัวว่าอาจารย์หญิงจะหนีไปอีก
พวกลูกศิษย์คนอื่นๆ เข้าสำนักมาทีหลัง ไม่ค่อยรู้เรื่องราวของอาจารย์มากนัก จึงย่อมไม่มีข้อสงสัยเป็นอื่น แต่ว่าจิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยสองคนถูกจิ้นเสวียนหลอกล่อเข้าสำนักมาตั้งแต่ยังเยาว์วัย ติดตามเขามานานหลายปี จึงรู้ชัดเจนดีว่าอาจารย์ของพวกเขายังเป็นชายหนุ่มบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่เลย กระทั่งไปหาสตรีที่หอนางโลมก็ยังไม่ยอม แล้วจะแต่งภรรยาได้อย่างไร
ตอนแรกที่อาจารย์จับสตรีผู้นี้กลับมามีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ได้เห็นรูปโฉมของสตรีผู้นี้และรู้ว่านางเป็นปีศาจจิ้งจอก แต่พวกเขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดอาจารย์จับนางกลับมาคราวนี้ถึงมีข่าวลือเช่นนั้นแพร่ออกไปได้
หลังจากจิ้นเสวียนจับเหยาเหนียงกลับมาก็มอบหมายให้จิ้งเฟิงกับจิ้งเหลยไปเฝ้าจับตาดู พร้อมทั้งย้ำเตือนพวกเขาอย่างเข้มงวดว่าห้ามให้ผู้ใดเข้าใกล้ เรื่องที่นางปีศาจสามารถทำลายค่ายกลนอกหอผนึกมารได้ห้ามมิให้แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด
“สตรีผู้นี้ดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่จริงๆ แล้วร้ายกาจยิ่งนัก จะปล่อยให้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกของนางหลอกลวงจนชะล่าใจมิได้เด็ดขาด เข้าใจหรือไม่”
จิ้งเหลยพยักหน้าอย่างขึงขังจริงจัง แต่จิ้งเฟิงกลับมีจุดหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจสักเท่าไร
“อาจารย์ ในเมื่อนางปีศาจร้ายกาจถึงเพียงนั้น หอผนึกมารก็ยังขังนางไม่อยู่ ลำพังแค่เรือนเล็กหลังเดียวจะขังนางเอาไว้ได้อย่างไรกันขอรับ”
“เรื่องนี้พวกเจ้ามิต้องเป็นห่วง แม้นอาวุธเวทและคาถาอาคมจะใช้ไม่ได้ผลกับนาง แต่นางกลับอ่อนแอปวกเปียกเหมือนกับสตรีธรรมดาทั่วไป”
จิ้งเฟิงยิ่งฉงนสนเท่ห์เข้าไปใหญ่ “เช่นนั้นก็แปลกพิลึก ในเมื่อนางอ่อนแอปวกเปียก แล้วเหตุใดถึงสามารถตบอาจารย์ฉาดหนึ่งได้เล่าขอรับ”
บรรยากาศตกสู่ความเงียบสงัดอันน่าประหลาดอย่างฉับพลัน จิ้งเหลยซึ่งอยู่อีกด้านจ้องมองศิษย์พี่ใหญ่ด้วยสายตาราวกับมองดูคนตาย จริงๆ แล้วเขาก็สงสัยมากเช่นกันว่าเหตุใดจนถึงบัดนี้แล้วอาจารย์ยังไม่เดือดดาลจนขับไล่ศิษย์พี่ใหญ่ออกจากสำนักไปอีก
จิ้นเสวียนจดจ้องดูศิษย์คนโตอย่างนิ่งเงียบ มิได้กริ้วโกรธแต่กลับแย้มยิ้มแทน
“จิ้งเฟิง ต่อไปเจ้าเป็นคนจัดการดูแลเรื่องในเรือนของสตรีผู้นั้นก็แล้วกัน กิจวัตรประจำวันของนางก็ให้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบเฝ้าจับตาดูทั้งหมด รวมถึงการทำความสะอาดกระโถนปัสสาวะและถังอาจมของนาง เจ้าก็ต้องเป็นคนจัดการ เข้าใจหรือไม่”
จิ้งเฟิงอึ้งไปชั่วขณะ รู้สึกหวาดผวาขึ้นมาทันใด
“อาจารย์ ชายหญิงไม่ควรใกล้ชิด ศิษย์จะไปช่วยนางจัดการเรื่องส่วนตัวขนาดนั้นได้อย่างไรเล่าขอรับ”
รอยยิ้มของจิ้นเสวียนยิ่งลึกกว่าเดิม “เจ้าเป็นคนสุขุมหนักแน่น ทั้งยังมีความคิดละเอียดอ่อน เรื่องที่ผู้อื่นคิดไม่ถึง เจ้ากลับคิดขึ้นมาได้ ถ้าหากมอบหมายให้ลูกศิษย์คนอื่นมาทำ เกรงว่าคงจะหลงกลนางปีศาจจิ้งจอกเข้าจนปล่อยให้นางปีศาจหนีรอดออกไปได้ จะกระทำการใหญ่ต้องไม่จู้จี้กับรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ อาจารย์คาดหวังในตัวเจ้านะ” พูดจบก็ตบบ่าเขาเบาๆ
จิ้งเฟิงนิ่งเงียบเป็นเบื้อใบ้ จิ้นเสวียนรีบเอ่ยสรุปรวบรัดในทันที ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสปฏิเสธ
“เรื่องนี้ก็ตกลงตามนี้แล้วกัน จำเอาไว้ หากเกิดความผิดพลาดอันใดขึ้นกับนางปีศาจ ข้าจะเอาเรื่องเจ้าแน่” จิ้นเสวียนหมุนกายเดินจากไป ไม่เปิดช่องว่างให้เขาได้กอบกู้สถานการณ์เลยแม้แต่เศษเสี้ยวเดียว
กระทั่งผู้เป็นอาจารย์เดินหายไปแล้ว จิ้งเหลยก็ตบบ่าศิษย์พี่ใหญ่เบาๆ เช่นเดียวกัน เอ่ยปลอบใจเขาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ นี่อาจารย์ให้ความสำคัญกับท่านนะ ถึงได้มอบหมายหน้าที่อันยิ่งใหญ่เช่นนี้ให้แก่ท่าน”
ทว่าจิ้งเฟิงกลับมองดูศิษย์น้องรองด้วยสีหน้าเคลือบแคลงใจ “ศิษย์น้องรอง เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าอาจารย์จงใจกลั่นแกล้งข้าเล่า”
จิ้งเหลยพยักหน้าอย่างปลาบปลื้มใจ “ที่แท้ท่านก็ยังไม่ถึงขนาดไร้หนทางเยียวยานี่นา! เช่นนั้นข้าก็ไม่จำเป็นต้องปลอบใจท่านแล้ว”
จิ้งเฟิงเองก็มีสีหน้าเบาใจเช่นเดียวกัน “ศิษย์น้องรอง หากเจ้าจะปลอบข้า มิสู้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับข้าดีกว่า”
จิ้งเหลยยิ้มยิงฟันด้วยสีหน้าสดใสเจิดจ้า “ศิษย์พี่ใหญ่วางใจเถิด นี่ข้ากำลังจะไปหาอาจารย์เพื่อร้องขอความเมตตาแทนท่านอยู่พอดี” สิ้นคำเขาก็หายวับไปราวกับควัน วิ่งเร็วกว่ากลิ้งไปเสียอีก
จิ้งเฟิงรีบไล่ตามไปทันที ตะโกนเสียงดังสนั่นว่า “ศิษย์น้องรอง! เจ้าวิ่งผิดทางแล้ว อาจารย์อยู่อีกทางหนึ่งต่างหาก…”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.