บทที่สี่
เหยาเหนียงใช้เวลาถึงสามวันเต็มๆ กว่าจะยอมรับความจริงเรื่องที่ตนเองเป็นปีศาจได้ในที่สุด
นางมองก้นตนเองพลางน้ำตาไหลพราก หางปุกปุยเส้นนั้นงอกอยู่บนก้นจริงๆ มันยักย้ายส่ายไปมาได้ แล้วยังมีความรู้สึกอีกด้วย ยามลูบคลำมันก็จะไวต่อสัมผัสเหมือนยามลูบก้นอย่างไรอย่างนั้น
ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดนักพรตผู้นั้นถึงบอกว่านางเป็นปีศาจ ที่แท้นางได้กลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ พอครุ่นคิดถึงตรงนี้นางก็หลั่งน้ำตาให้กับหางของตนเองอีกครั้งอย่างกลั้นไม่อยู่
“ฮึ! ร้องไห้อันใดของเจ้า! หางจิ้งจอกไม่ดีตรงไหนกัน เจ้ากล้ารังเกียจหางของข้าอย่างนั้นหรือ”
เหยาเหนียงตะลึงงัน ตื่นตกใจพลางมองซ้ายมองขวาเลิ่กลั่ก “ใครกัน”
“ข้างล่าง!”
เหยาเหนียงมองลงไปเบื้องล่าง ลูกจิ้งจอกตัวหนึ่งยืนอยู่ข้างเท้านาง ดวงตาใสแป๋วคู่นั้นกำลังจ้องมองนางเขม็ง
เหยาเหนียงตกใจจนค้างแข็งไป
จิ้งจอกพูดได้ด้วยหรือ
อาเจียวกระโดดขึ้นมาบนตักของเหยาเหนียง จากนั้นใช้อุ้งเท้าจิ้งจอกจิ้มความกลมกลึงอวบอิ่มและนุ่มหยุ่นของนางอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าคือปีศาจจิ้งจอกเก้าหางผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือเชียวนะ ทั่วทั้งร่างของข้าสิ่งที่ล้ำค่าที่สุดก็คือหาง คนอื่นอยากจะได้แต่ก็ไม่มีโอกาสด้วยซ้ำ! พอมีหางนี้แล้ว เจ้าถึงสามารถต่ออายุขัยได้ ถ้าไม่มีหางเส้นนี้ ป่านนี้วิญญาณของเจ้าคงถูกพาไปยังปรโลกตั้งนานแล้ว ยังกล้าจะรังเกียจรังงอนอีก”
อาเจียวต่อว่าต่อขานด้วยท่าทีเดือดปุดๆ มันมีชีวิตอยู่มากว่าพันปี นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนไม่รู้จักของดี กล้ารังเกียจหางจิ้งจอกของมัน!
เหยาเหนียงยังคงมองลูกจิ้งจอกอย่างสับสนงุนงง “เจ้าคืออาเจียวหรือ”
“แล้วจะใครเล่า ข้าเอง! พวกเราเผ่าจิ้งจอกแยกแยะบุญคุณความแค้นชัดเจน มีแค้นต้องชำระ มีบุญคุณต้องตอบแทน เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าถึงได้แบ่งหางเส้นหนึ่งให้กับเจ้า หางเก้าเส้นหมายถึงเก้าชีวิต เผ่าพันธุ์ปีศาจตั้งมากมายอยากจะมีหางเช่นนี้ เจ้ามันมีของดีแล้วไม่รู้จักคุณค่า!”
ถ้าอาเจียวไม่เปิดปากพูดก็แล้วไป แต่พอเปิดปากปุ๊บก็พูดพล่ามไม่จบไม่สิ้น
เหยาเหนียงถูกดุยกใหญ่แต่ก็ไม่โมโห เพียงมองอาเจียวที่กำลังบ่นกระปอดกระแปดอย่างอัศจรรย์ใจเท่านั้น
“หางนี้ของข้าสารพัดประโยชน์ยิ่ง อากาศร้อนใช้โบกพัด อากาศเย็นช่วยให้ความอบอุ่น คันหลังก็ใช้เกาหลัง ตอนต่อสู้ยังสามารถใช้เป็นอาวุธได้อีกด้วย แค่โจมตีกลับดอกเดียวก็ทำเอาศัตรู…บ้าเอ๊ย! เจ้าบีบข้าทำไมกัน”
อาเจียวไม่พอใจถึงขีดสุด มันกำลังอวดอ้างสรรพคุณของหางตนเองอย่างจริงจัง แต่มือของสตรีผู้นี้กลับไม่อยู่สุข ไม่จิ้มท้องมันก็บีบก้นมัน นี่คิดจะเอาคืนกันหรือ
เหยาเหนียงยิ้มให้เป็นการขอโทษขอโพย “ขออภัยด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้ยินจิ้งจอกพูด ข้าก็เลยอยากรู้อยากเห็นจนห้ามใจไม่อยู่ อยากจะบีบดูว่าเป็นของจริงหรือไม่…”
“ข้าก็เป็นของจริงน่ะสิ! เพื่อช่วยชีวิตเจ้า ข้าตัดหางตัวเองไปหนึ่งเส้น พลังชีวิตเสียหายใหญ่หลวง นอนหลับไปหนึ่งตื่น พอตื่นขึ้นมาก็ได้ยินเจ้ารังเกียจเดียดฉันท์หางของข้า แบบนี้มันถูกต้องแล้วรึ”
เหยาเหนียงรีบร้อนขอโทษ “เป็นความผิดของข้าเอง ขอบคุณผู้มีพระคุณ…จิ้งจอกผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เหยาเหนียงซาบซึ้งตื้นตันใจอย่างสุดซึ้ง”
“ต้องอย่างนี้สิ รู้จักสำนึกบุญคุณก็ดีแล้ว ข้าเองก็ไม่ได้อยากให้เจ้าพูดขอบคุณหรอก แค่เอาของกินมาตอบแทนก็พอ มีของกินหรือไม่”
บทสนทนานี้แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วจนเกินไป เหยาเหนียงพลันผงะอึ้ง ก่อนจะเอ่ยด้วยความรู้สึกผิดว่า “ตอนหนีรีบร้อนเกินไป เลยไม่ได้เอาอาหารแห้งมาด้วย…”
“ไม่มีอาหารแห้งก็ไม่เป็นไร ลูกชิ้นปลา หมูสามชั้น ไก่ย่างก็ได้ทั้งนั้น ข้าขอกินแก้ขัดไปก่อน” ยามพูดยังแลบลิ้นเลียแผล็บๆ สายตาเป็นประกายวาวระยับ
เหยาเหนียงยิ้มขื่น “ถ้าอยู่ที่บ้าน แน่นอนว่าย่อมมีหมดทุกอย่าง แต่ว่าตอนนี้ถูกขังเอาไว้ที่นี่ ยามกินอาหารต้องรอคนอื่นนำมาส่งให้”
อาเจียวอึ้งงันไปในบัดดล มันมองซ้ายมองขวา ยามนี้ถึงได้ตระหนักว่าเรือนหลังนี้มิใช่กระท่อมของเหยาเหนียง มันนอนหลับไปหลายวัน วันนี้เพิ่งจะตื่นขึ้นมา ย่อมไม่รู้ว่าระหว่างนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น
“ที่นี่ที่ใดกัน” มันเอ่ยถาม
เหยาเหนียงนิ่งคิดชั่วครู่ “เอ…พวกเขาบอกว่าที่นี่คือสำนักจี้อวิ๋น”
อาเจียวอึ้งนิ่ง ชั่วเวลาถัดมามันก็พุ่งปรี่ออกไปนอกเรือนอย่างรวดเร็วราวกับอสนีบาต ไม่นานนักก็โผทะยานกลับเข้ามาในเรือนใหม่อีกครั้งอย่างเร็วรี่ปานพายุ
“จบเห่แล้วๆ! เป็นสำนักจี้อวิ๋นจริงๆ ด้วย ทุกที่มีแต่นักพรตหน้าเหม็นเต็มไปหมด มันเป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร ข้าหนีมาตั้งนาน สุดท้ายกลับมาอยู่ในรังของนักพรตหน้าเหม็นเสียได้ คราวนี้ซวยแล้ว ถ้าถูกนักพรตหน้าเหม็นจิ้นเสวียนนั่นจับได้ล่ะก็ เขาไม่จับข้าถลกหนังก็แปลกแล้ว!”
อาเจียวกระทืบเท้าไปมาอยู่ในเรือนอย่างกระสับกระส่าย ดวงตาของเหยาเหนียงก็กลอกไปมาตามเงาร่างของมันเช่นกัน นางเห็นมันว้าวุ่นร้อนรนใจจนหัวหมุน ปากก็พร่ำบ่นแว้ดๆ ไม่ยอมหยุด นางมองดูอยู่สักพักก็อดหัวเราะคิกออกมามิได้
อาเจียวหยุดชะงักในทันใด ก่อนจะจ้องถลึงใส่นางด้วยสายตาดุร้าย
เหยาเหนียงหุบยิ้ม นางถูกมันจ้องเขม็งจนรู้สึกร้อนตัวอย่างไม่มีเหตุผลขึ้นมาเล็กน้อย
จู่ๆ อาเจียวก็กระโดดกลับมาอยู่ในอ้อมกอดของนาง อุ้งเท้าจิ้งจอกจิ้มไปยังความกลมกลึงอันอวบอิ่มและนุ่มหยุ่นของนาง
“หัวเราะ? เวลาเช่นนี้เจ้ายังหัวเราะออกอีกหรือ นักพรตหน้าเหม็นจิ้นเสวียนผู้นี้เก่งกาจจนเป็นที่เลื่องชื่อยิ่ง หากตกอยู่ในกำมือเขาแล้ว ไม่ตายก็หนังลอกไปครึ่งชั้น เจ้ามาตกอยู่ในกำมือของเขาได้อย่างไรกัน รีบเล่ามาเร็วเข้า!”
เหยาเหนียงจึงอธิบายเรื่องที่ตนเองเจอกับนักพรตจิ้นเสวียนได้อย่างไร แล้วมาถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ได้อย่างไรให้มันฟังทีละเรื่องๆ
หลังจากอาเจียวฟังจบก็มีสีหน้าเคร่งขรึม อุ้งเท้าจิ้งจอกลูบคางเบาๆ ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็ว่าอยู่แล้วเชียว! เจ้าซึ่งเกิดในปีหยางเดือนหยางเวลาหยางสถานที่หยางสามารถคลายยันต์ผนึกและอาวุธเวทของเขาได้แท้ๆ แล้วจะมาตกอยู่ในเงื้อมมือของเขาได้อย่างไร”
“ข้าเกิดในปีหยางเดือนหยางเวลาหยางสถานที่หยาง?” เหยาเหนียงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ
“ถูกต้อง ตอนนั้นข้าถูกยันต์ผนึกของนักพรตหน้าเหม็นผู้นั้นผนึกเอาไว้ สูญสิ้นพลังปีศาจไปกว่าครึ่ง มิอาจขยับเขยื้อนร่างกายได้ แต่โลหิตของเจ้าช่วยทำลายอาคมของเขาลง ข้าถึงเอาชีวิตรอดมาได้ โมงยามที่เจ้าเกิดมานั้นมีคนถือกำเนิดน้อยยิ่ง บนโลกนี้มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น” พอพูดถึงตรงนี้อาเจียวก็มองสำรวจนางตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วก็อดส่ายหน้าพลางทอดถอนใจมิได้ “ยังคิดว่าเจ้ามีฝีมือเก่งกาจเสียอีก ที่แท้ก็ดูดีแต่เปลือก แค่ประเดี๋ยวเดียวก็ถูกคนเขาแบกกลับมาเสียแล้ว”
พอพูดถึงตรงนี้ริมฝีปากของเหยาเหนียงก็เบ้ลงมา “ข้าเป็นแค่หญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่ง จะเอาชนะเขาได้อย่างไร แม้แต่เจ้าหน้าที่ทางการยังต้องไว้หน้าเขาด้วยซ้ำ!”
“ช่างเถิด” อาเจียวปรับท่วงท่านอนลงในอ้อมกอดนาง “รอให้พลังปีศาจของข้าฟื้นคืนกลับมาเมื่อไร ข้าจะพาเจ้าหนีออกไปเอง”
เหยาเหนียงได้ยินก็ผงะนิ่งไป ครั้นเห็นอาเจียวใช้ศีรษะถูไถกับท้องของนาง นางก็พลันรู้สึกซาบซึ้งใจขึ้นมาเล็กน้อย หัวใจที่เดิมทีว่างเปล่าโหวงเหวงถูกเติมเต็มด้วยสายธารแห่งความอบอุ่น
ถึงแม้อาเจียวจะเป็นปีศาจ แต่กลับมีคุณธรรมน้ำมิตร แม้นมันจะไม่ใช่มนุษย์ แต่กลับรู้จักการตอบแทนบุญคุณยิ่งกว่ามนุษย์เสียอีก
เหยาเหนียงสายตาอ่อนละมุน ลูบไล้ขนของมันอย่างแผ่วเบา ยามลูบมาถึงหางของมันนางก็เอ่ยถามด้วยความสงสารเวทนาว่า “ตัดหางตนเองหนึ่งเส้น คงจะเจ็บมากกระมัง”
“เจ็บมากสิ ถ้าหากเจ้ามีแก่ใจสงสาร ก็จงหวีขนให้ข้า ทำอาหารอร่อยๆ ให้ข้ากินเสีย!” อาเจียวแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยความตะกละ
เหยาเหนียงได้ยินเช่นนั้นก็หลุดหัวเราะออกมา “เหยาเหนียงน้อมรับคำสั่งเจ้าค่ะ”
พอมีอาเจียวอยู่เป็นเพื่อน เหยาเหนียงก็สบายใจขึ้นมาไม่น้อย ไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจกับการที่อยู่ๆ ตนเองก็มีหางเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเส้นขนาดนั้นแล้ว โชคดีที่หางต่อชีวิตเส้นนี้สามารถเก็บซ่อนเอาไว้ได้ ขอแค่นางควบคุมมันได้อย่างเหมาะสม ไม่ปล่อยให้มันโผล่ออกมาส่งเดชก็พอแล้ว
อาเจียวสอนนางว่าต้องบังคับและเก็บซ่อนหางของตนเองอย่างไร เหยาเหนียงเรียนรู้อย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะว่านับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นางต้องเรียนรู้ที่จะปกป้องหางเส้นนี้เอาไว้
อาเจียวพูดฉอดๆ สอนนางไปพลางพร้อมกับเผยหางทั้งแปดเส้นของมันออกมา โอ้อวดให้นางดูราวกับนกยูงรำแพนหาง มันยังบอกเหยาเหนียงอีกว่าปีศาจจิ้งจอกสามารถเปลี่ยนร่างให้ใหญ่ขึ้นหรือเล็กลงก็ได้ ตั้งแต่มันตัดหางของตัวเองออกมันก็เปลี่ยนร่างให้เล็กกระจิริดเพื่อฟื้นฟูพลังชีวิตที่สูญเสียไป จากนั้นก็แอบซ่อนอยู่ในเส้นผมของเหยาเหนียง คอยติดตามนางมาตลอด เพราะว่าอาวุธเวทและคาถาอาคมของนักพรตใช้กับนางไม่ได้ผล ดังนั้นการอยู่ข้างกายนางจึงกลายเป็นสถานที่ซ่อนตัวที่ปลอดภัยที่สุด
ถึงแม้ไอปีศาจจะเล็ดลอดออกไป นักพรตหน้าเหม็นนั่นก็คงจะคิดแค่ว่าไอปีศาจนั้นมาจากตัวเหยาเหนียง เช่นนี้ก็สามารถกลบร่องรอยของมันได้พอดิบพอดี
เหยาเหนียงโดดเดี่ยวตัวคนเดียว บัดนี้มีอาเจียวคอยอยู่เคียงข้างเป็นเพื่อน จึงย่อมมีความสุขมากเป็นธรรมดา
อาเจียวซุกอยู่ในอ้อมอกของเหยาเหนียง ขนจิ้งจอกทั่วทั้งร่างรู้สึกสุขสบายภายใต้การลูบไล้อย่างนุ่มนวลอ่อนโยนของนางจนมันนอนหงายท้องขาชี้ฟ้า เผยให้เห็นพุงน้อยๆ อันกลมดิก หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกพึ่งพิงอาศัยซึ่งกันและกัน ดื่มด่ำกับความสงบสุขและความเงียบสงัดจากการตัดขาดจากโลกภายนอก
อาเจียวสะลึมสะลือใกล้จะผล็อยหลับ ดวงตาที่หรี่ลงมากึ่งหนึ่งพลันเหลือบไปเห็นเงาร่างร่างหนึ่งรางๆ
มีคนมา!
อาเจียวพลิกกายลุกขึ้นมาในทันใด จ้องผู้มาใหม่เขม็งพร้อมกับพองขนชูชันไปทั่วทั้งร่าง เหยาเหนียงเองก็พลันตกใจขึ้นมาเช่นกัน พอหันหน้าไปมองจิ้งเฟิงซึ่งยืนเฝ้าอยู่ตรงประตู ก็เห็นว่าเขากำลังยืนจดจ้องพวกนางอย่างไม่วางตาอยู่
อาเจียวลอบโกรธแค้นในใจ พลังปีศาจของมันลดถอยลงจนถึงขนาดมีคนเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ มันก็ยังไม่รู้สึกตัวแล้วเชียวหรือ
เหยาเหนียงร้อนรนใจขึ้นมาเช่นกัน ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นไรดี จะสู้ก็สู้ไม่ไหว จะหนีก็หนีไม่รอด นางถูกบีบจนหมดปัญญา จำต้องลองร้องขอความเมตตาจากเขาดู
“ท่านนักพรตผู้นี้ มันเป็นปีศาจดี อย่าทำร้ายมันได้หรือไม่”
อาเจียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงคับแค้น “เขาไม่ฟังเจ้าหรอก นักพรตหน้าเหม็นพวกนี้เห็นปีศาจอย่างพวกเราอย่างกับเห็นศัตรูคู่แค้น อยากจะรีบกำจัดพวกเราให้สิ้นซากใจจะขาด”
ครั้นเหยาเหนียงได้ยินดังนั้นก็นึกถึงแววตาและสีหน้าตอนที่นักพรตจิ้นเสวียนเห็นหางจิ้งจอกของนางโผล่ออกมาในตอนนั้น นางจึงเข้าใจกระจ่างในทันที
นางกอดอาเจียวเอาไว้ ปกป้องมันไว้ในอ้อมกอดอย่างแน่นหนา สีหน้าเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ราวกับต้องการจะเดิมพันด้วยชีวิต “เจ้าห้ามทำร้ายมันเด็ดขาด หากเจ้าทำร้ายมัน ต่อให้ข้าต้องตาย ข้าก็จะสู้กับเจ้าอย่างสุดชีวิต” จากนั้นก็ก้มหน้าพูดกับอาเจียวเสียงแผ่วเบาว่า “ประเดี๋ยวเจ้าฉวยจังหวะตอนที่ข้ากอดเขาเอาไว้รีบหนีไปก่อน อย่างไรเสียคาถาอาคมของเขาก็ใช้กับข้าไม่ได้ผล”
ทว่าอาเจียวกลับไม่เห็นด้วย “ถึงแม้ข้าจะสูญเสียพลังปีศาจไป แต่จะให้พันธนาการเขาเอาไว้ก็มิใช่ปัญหา เจ้าฉวยจังหวะตอนข้าสกัดเขาไว้รีบหนีออกไปก่อน”
“ไม่ได้หรอก บาดแผลภายในของเจ้ายังไม่หายดี ซ้ำยังสละหางเส้นหนึ่งให้ข้าอีก พลังชีวิตยิ่งเสียหายมากกว่าเดิม ข้าทิ้งเจ้าไว้ไม่ได้หรอก ให้ข้าเป็นคนสกัดเขาเอาไว้ดีกว่า”
“นี่ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ ข้ามีหลายชีวิตไม่ตายง่ายๆ หรอก แต่ถ้าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับชีวิตน้อยๆ ของเจ้า มิเท่ากับข้าให้ชีวิตเจ้าไปเสียเปล่าหรือ ให้ข้าสกัดเขาเอาไว้ดีกว่า!”
หนึ่งคนหนึ่งจิ้งจอกโน้มน้าวให้อีกฝ่ายหนีไปด้วยความร้อนใจ ต่างฝ่ายต่างแย่งกันไม่มีใครยอมใคร จิ้งเฟิงซึ่งอยู่อีกด้านจึงเสนอแนะด้วยความปรารถนาดี
“พวกเจ้าเลิกเถียงกันได้แล้ว จะให้ข้าช่วยปิดเป็นความลับให้ก็ได้ แต่ว่าต้องยอมรับเงื่อนไขของข้าหนึ่งข้อ”
“เลิกคิดเสียเถิด!”
“เงื่อนไขอันใด”
พวกนางเอ่ยปากพูดขึ้นพร้อมกัน แต่แล้วก็ชะงักนิ่งไปทั้งคู่
อาเจียวคัดค้าน “อย่าไปเจรจาเงื่อนไขกับเขา”
เหยาเหนียงเอ่ย “ไยมิลองฟังดูก่อนเล่า”
“นักพรตเจ้าเล่ห์เพทุบาย จะต้องเป็นแผนลวงแน่ๆ”
“ข้ารักษาสัจจะยิ่ง” จิ้งเฟิงกล่าว
“เจ้าหุบปากไปเสีย!” อาเจียวข่มขู่อย่างเหี้ยมเกรียม “นักพรตอย่างพวกเจ้า ปากก็เอาแต่อ้างคุณธรรมศีลธรรม แต่ลับหลังกลับทำเรื่องชั่วช้าเสื่อมทราม เลวร้ายยิ่งกว่าปีศาจอย่างพวกเราเสียอีก มิสู้ให้ข้าควักหัวใจดำๆ ของเจ้าออกมากินดีกว่า!”
อาเจียวตัวโตขึ้นมาในชั่วพริบตา มิได้มีขนาดเท่าลูกจิ้งจอกอีกแล้ว แต่กลับตัวสูงใหญ่เท่ากับมนุษย์ มีรูปลักษณ์เหมือนอย่างจิ้งจอกตัวโตเต็มวัย ปากแหลมๆ แสยะเขี้ยวคม กรงเล็บคมกริบที่ยื่นออกมาสามารถฉีกกระชากคนได้เป็นชิ้นๆ ในทันที
หางทั้งแปดเส้นที่ทั้งยาวทั้งใหญ่แผ่สยายกลายเป็นทรงพัดอยู่ข้างหลังของมัน ดวงตาเปล่งแสงเขียววาบ พลังปีศาจรุนแรงดุดัน นี่ต่างหากถึงจะเป็นรูปโฉมอันน่าครั่นคร้ามของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางอย่างแท้จริง
“เหยาเหนียง รีบหนีไปเร็วเข้า!” แม้แต่เสียงก็ยังกลายเป็นเสียงของปีศาจจิ้งจอกที่ตัวโตเต็มวัย
ทว่าเหยาเหนียงกลับตัวแข็งทื่ออยู่กับที่ มองดูมันอย่างทึ่มทื่อ
“มัวแต่เหม่อลอยอันใดของเจ้า! รีบหนีสิ!”
“นางคงจะเพิ่งเคยเห็นร่างปีศาจจิ้งจอกของเจ้าเป็นครั้งแรก ดังนั้นเลยตกใจจนตัวแข็งทื่อไป” จิ้งเฟิงเอ่ยด้วยความหวังดี
อาเจียวเห็นแววตาแตกตื่นหวาดกลัวของเหยาเหนียง มันจึงแสดงสีหน้าน้อยอกน้อยใจออกมา “เหยาเหนียง…”
ยามนี้เหยาเหนียงถึงได้สติกลับคืนมา พอเห็นแววตาเจ็บปวดรวดร้าวของอาเจียวก็เร่งรีบฉีกยิ้มขอโทษขอโพย
“ขออภัยด้วย ข้าเพิ่งเคยเห็นปีศาจเป็นครั้งแรกจริงๆ เจ้าอย่าถือสาเลยนะ ข้าแค่…” แค่ตกใจกลัวจนตัวค้างแข็งไปเท่านั้น ครั้นเหลือบเห็นว่าในดวงตาของอาเจียวมีหยาดน้ำคลอเอ่อ เหยาเหนียงจึงรีบเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังทันที “ข้ามิได้รังเกียจเจ้า จริงๆ นะ”
จิ้งเฟิงเอ่ยขึ้นประโยคหนึ่งอย่างเอื่อยเฉื่อย “นั่นเพราะเจ้ายังไม่เคยเห็นที่น่ากลัวกว่านี้น่ะสิ…”
“หุบปาก!” พวกนางก่นด่าขึ้นพร้อมเพรียงกัน
อาเจียวถลึงตาใส่เขาปราดหนึ่ง จากนั้นก็หันกลับมาเร่งเร้า “เจ้ารีบหนีไปเสีย ถ้าชักช้า ข้าอาจจะคุ้มครองเจ้าไม่ได้นะ!”
เหยาเหนียงส่ายศีรษะ “ไม่ได้ อาเจียว พวกเขาจับตัวข้าไว้ อย่างมากก็แค่กักบริเวณข้า คงไม่ทำอันใดข้าหรอก แต่เจ้าน่ะสิ เจ้าเปิดเผยร่องรอยออกมาแล้ว ถ้าหากตกอยู่ในกำมือของพวกเขาคงจะเป็นอันตราย” นางดูออกว่าอาเจียวกำลังฝืนตัวเองอยู่
“นางพูดถูก อาเจียว สถานะของเจ้าอันตรายยิ่งกว่าเสียอีก” จิ้งเฟิงเอ่ยด้วยสีหน้าขึงขังจริงจัง
อาเจียวถลึงตาใส่เขา “ใครใช้ให้เจ้าเรียกข้าเช่นนี้ ข้าสนิทกับเจ้าหรือไร”
“นอกเรือนมีค่ายกลสยบมารของอาจารย์ข้า ซ้ำยังมีศิษย์น้องรองคอยเฝ้าอยู่ ไม่ว่าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งออกไปนอกเรือน ก็จะกระตุ้นให้กับดักทำงาน เช่นนี้ได้ไม่คุ้มเสียแน่นอน”
เหยาเหนียงกับอาเจียวได้ยินแล้วต่างก็หัวใจพลันจมดิ่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าไม่ว่าใครก็หนีออกไปไม่ได้ทั้งสิ้น แล้วคราวนี้จะทำอย่างไรดีเล่า
เหยาเหนียงจ้องมองจิ้งเฟิงซึ่งถูกอาเจียวกดตัวอยู่ใต้ร่าง พอเห็นว่าในน้ำเสียงของเขาดูเหมือนจะมีความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ไม่น้อย จึงเอ่ยถามอย่างสนใจใคร่รู้ว่า “เหตุใดเจ้าต้องบอกพวกเราด้วย” ถ้าหากเขาไม่พูด พวกนางเผลอไปกระตุ้นให้กับดักทำงาน ดึงดูดให้คนอื่นๆ เข้ามา นี่จะเป็นผลดีต่อเขามากกว่ามิใช่หรือ
หลังจากจิ้งเฟิงชำเลืองมองนางแวบหนึ่ง เขาก็หันกลับมาจดจ้องอาเจียวอีกครั้ง “เพราะว่า…นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เข้าใกล้ปีศาจจิ้งจอกเก้าหางขนาดนี้…”
แล้วอย่างไร
พวกนางรอให้เขาพูดต่อไปด้วยความฉงนงุนงง ต่อมาก็เห็นใบหน้าของเขาเผยรอยยิ้มออกมา
“ถ้าหากอาเจียวยอมให้ข้าลูบ ข้าก็จะช่วยเก็บความลับให้พวกเจ้า”
จิ้นเสวียนแทบจะเปิดค้น ‘ตำราสัตว์วิเศษ’ และ ‘คัมภีร์รวมเรื่องปีศาจ’ ในหอเก็บตำราจนหมดแล้ว แต่ก็หาบันทึกเกี่ยวกับการที่ปีศาจไม่กลัวค่ายกล ไม่กลัวคาถาอาคมไม่เจอ ยิ่งค้นหาสาเหตุที่อาวุธเวทปราบปีศาจล้มเหลวไม่เจออีกเหมือนกัน
หรือว่านางปีศาจตนนั้นจะเป็นข้อยกเว้นเป็นตนแรก?
ตอนที่อาจารย์สิ้นชีวิตเขาเพิ่งจะอายุสิบสี่ปีเท่านั้น วิชาคาถาต่างๆ ล้วนอาศัยการศึกษาค้นคว้าเคล็ดวิชา ขยันหมั่นเพียรเรียนรู้ด้วยตนเอง
เพื่อสร้างสำนักอันยิ่งใหญ่รุ่งเรือง สร้างชื่อเสียงน่ายำเกรง เขาพยายามค้นคว้าคาถาปราบมารและอักขระชนิดต่างๆ บัดนี้พอมีปีศาจที่แตกต่างจากตนอื่นๆ ปรากฏตัวขึ้นเป็นครั้งแรก ลบล้างวิชาความรู้เกี่ยวกับปีศาจที่เขาร่ำเรียนมาตลอดหลายปี สำหรับเขานี่เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนใจอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังเป็นภัยคุกคามที่น่าหวาดกลัวด้วยเช่นกัน
เขาพลิกเปิดอ่านตำราปราบมารทุกยุคทุกสมัยแต่ก็หาสาเหตุไม่เจอ ดูท่าแล้ว คงจะต้องตรวจสอบจากร่างของนางปีศาจตนนั้นเท่านั้น
พอเดินออกมาจากหอเก็บตำราเขาก็พลันโบกมือ ประตูทองแดงอันหนักอึ้งที่ด้านหลังปิดเข้าหากันด้วยตัวเอง จากนั้นเขาก็ยกเท้าเดินไปยังเรือนเล็กที่คุมขังนางปีศาจตนนั้น
เรือนเล็กตั้งอยู่ที่ภูเขาด้านหลังของสำนักจี้อวิ๋น เดิมทีเป็นสถานปฏิบัติธรรมที่ปกติเขาเอาไว้ใช้นั่งทำสมาธิ ที่ตั้งของเรือนหลังนั้นห่างไกลลับหูลับตาคน อยู่ห่างจากเรือนพำนักของลูกศิษย์คนอื่นๆ พอสมควร เป็นสถานที่ที่เหมาะที่สุดในการกักตัวนางปีศาจเอาไว้
เขาเดินมาถึงหน้าประตูเรือน จากนั้นก็ใช้ปลายเท้าแตะพื้น โผทะยานร่างกายอย่างแผ่วเบาราวกับนกนางแอ่น กระโดดข้ามกำแพงสูงตระหง่าน ก่อนจะลงพื้นอย่างเงียบเชียบ มิให้ผู้อื่นรู้ตัว
“อาจารย์!”
เท้าของจิ้นเสวียนพลันพลิกเซเสียจังหวะในทันใด หวุดหวิดจะยืนไม่อยู่ เขารีบหันกลับมาถลึงตาใส่ศิษย์คนโตทันที
จิ้งเฟิงรีบสาวเท้าเข้ามาหา “อาจารย์ ท่านมาแล้วหรือขอรับ!”
นี่มิใช่วาจาไร้สาระหรอกหรือ หมัดของจิ้นเสวียนคันยิบๆ แต่ก็ยังคงข่มกลั้นเอาไว้
“เจ้ามาทำอันใดอยู่ที่นี่”
“อาจารย์ ท่านลืมแล้วหรือ ท่านสั่งให้ข้ารับผิดชอบดูแลความเป็นอยู่ของเหยาเหนียงเองนี่ขอรับ”
พูดตามตรงจิ้นเสวียนเองก็ลืมไปแล้วจริงๆ พอเขาเอ่ยย้ำเตือนถึงนึกขึ้นมาได้ และเพิ่งจะสังเกตเห็นถ้วยและตะเกียบที่อยู่ในมือของศิษย์คนโตเช่นกัน
ที่สั่งให้เขาดูแลความเป็นอยู่ของนางก็เพื่อให้คอยจับตาดู แต่ทว่าแม้กระทั่งถ้วยกับตะเกียบที่คนอื่นใช้กินข้าวเขาก็ยังล้างให้ด้วยเสียอย่างนั้น
“อาจารย์ ข้าไปล้างถ้วยก่อนเดี๋ยวกลับมาขอรับ” เขาแย้มยิ้มอย่างสดใสเจิดจ้า ทว่าพอหันกลับไปใบหน้าก็เผยความร้อนตัวออกมา เขาตะโกนเสียงดังขนาดนี้ คนที่อยู่ในเรือนคงจะได้ยินกระมัง ถ้าหากอาจารย์เห็นอาเจียวเข้าคงจบเห่แน่ ต้องแอบซ่อนให้ดีๆ เล่า!
จิ้นเสวียนจ้องแผ่นหลังของศิษย์คนโตเขม็ง ก่อนจะหันหน้ากลับมามองเข้าไปในเรือน หัวคิ้วขมวดแน่น ลอบตื่นตกใจอย่างห้ามไม่อยู่ ไฉนไอปีศาจบนร่างของนางถึงได้เข้มข้นขึ้นกว่าเดิมเล่า
เขาสาวเท้าเดินขึ้นบันไดไป เปิดประตูเดินเข้าไปในเรือน แต่กลับเห็นว่าภายในเรือนมีสตรีผู้หนึ่งกำลังยืนอยู่อย่างสะโอดสะอง นางเกล้ามวยผมอย่างสตรีที่ออกเรือนแล้ว นัยน์ตาใสกระจ่างดุจดั่งสายธารแห่งสารทฤดู กลีบปากแดงเปล่งปลั่งโดยที่มิต้องแต่งแต้มชาดประทินโฉม นางยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสุภาพงามสง่า สูงส่งดุจดอกบัวที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ นิ่งสงบสะกดใจคน
นัยน์ตาสีดำขลับของจิ้นเสวียนสะท้อนเงาร่างอรชรของนาง ไม่เจอกันเพียงไม่กี่วันเขารู้สึกว่านางดูเหมือนจะงดงามขึ้นกว่าเดิม จิตใจจึงเผลอเลื่อนลอยไปชั่วขณะ แต่ต่อมาเสียงระฆังเตือนภัยในสมองก็ดังขึ้น เขาตีสีหน้านิ่งขรึม คิดในใจว่าวิชายั่วยวนของนางปีศาจจิ้งจอกช่างร้ายกาจเสียจริงๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ทำให้เขาเกิดภาพมายาว่าตนเองเผลอจับคนผิดไปจับเอาสตรีในห้องหอคนหนึ่งมา
เขาแอบลอบโคจรพลัง ความน่าประหวั่นพรั่นพรึงปะทุออกมารอบสรรพางค์กาย เขาเดินตรงเข้าไปเอ่ยเรียกนางเสียงเยียบเย็น “นางปีศาจจิ้งจอก”
ครั้นเหยาเหนียงได้ยิน ก้นบึ้งของดวงตาก็พลันโกรธจัด ก้าวถอยหลังออกไปสองก้าว
จิ้นเสวียนคิดว่านางหวาดกลัวไอดุดันที่ตนเองแผ่กำจายออกมา จึงรู้สึกพออกพอใจยิ่ง
“มานี่” เขาออกคำสั่ง
นางไม่ฟังคำสั่ง แววตายิ่งทวีความเย็นชามากขึ้น
จิ้นเสวียนคิดว่าการสั่งสอนปีศาจก็เหมือนกับฝึกม้า ล้วนแต่ต้องปราบพยศของอีกฝ่ายเสียก่อน ในเมื่อนางไม่เดินเข้ามา เขาก็เดินประชิดเข้าหาทีละก้าวๆ ในขณะที่นางกำลังจะถอยไปอีกด้านนั้น เขาก็สาวเท้าพรวดเข้าไปหา ฝ่ามือใหญ่คว้าข้อมือของนางเอาไว้แน่น
จิ้งเฟิงซึ่งเดินวนเวียนอยู่นอกเรือนพลันได้ยินเสียงกระทบกระแทกดังปึงปังจากในเรือน รวมถึงเสียงสลัดดิ้นอย่างระงับโทสะของสตรี จึงทำให้เขาใจร้อนดั่งเพลิงแผดเผา แต่ก็ติดที่อาจารย์เข้มงวดน่ายำเกรง เขาจึงมิกล้าบุกเข้าไปโดยพลการ
เขาร้อนรนกระสับกระส่ายราวกับมดบนกระทะร้อนๆ อยากจะเข้าไปแต่ก็ไม่กล้าเข้าไป ขณะที่กำลังกลัดกลุ้มไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีนั้น จู่ๆ เสียงกรีดร้องของเหยาเหนียงก็ดังลอยออกมาจากด้านใน ทำให้เขาอดทนไม่ไหวอีกต่อไป
“อาจารย์ ท่านบอกว่าลูกผู้ชายแค่ปราบปีศาจเท่านั้น จะไม่รังแกอิสตรี…” จิ้งเฟิงยังมิทันจะพุ่งเข้าไป ประตูเรือนก็ถูกเปิดออกเสียก่อน
เมื่อเห็นอาจารย์เดินออกมาจิ้งเฟิงก็อึ้งงันไปทั้งร่าง เพราะว่าบนใบหน้าอาจารย์มีรอยข่วนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งรอย ทำให้เขาเห็นแล้วตกตะลึงจนอ้าปากค้าง กระทั่งสายตาคมปลาบของอาจารย์พุ่งเข้าใส่ เขาถึงสะดุ้งเฮือกในทันใด
“เฝ้าดูนางเอาไว้ให้ดี อย่าปล่อยให้หนีไปได้” จิ้นเสวียนออกคำสั่งเสียงเคร่งขรึม แล้วเดินออกไปด้วยสีหน้าคล้ำเขียวโดยไม่รอให้เขาตอบกลับ
เขามองส่งเงาร่างของอาจารย์เดินจากไป นิ่งเหม่ออยู่พักใหญ่ๆ กว่าจะได้สติกลับคืนมา เขารีบร้อนเดินเข้าไปในเรือน จากนั้นก็เห็นเหยาเหนียงนั่งอยู่ตรงขอบเตียงด้วยขอบตาที่แดงก่ำ เส้นผมและเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ยุ่งเหยิงทำให้หัวใจของเขาพลันสะดุด
“นาง…นางยังดีอยู่หรือไม่” เขาเอ่ยถามอาเจียวซึ่งยุ่งอยู่กับการปลอบประโลมอยู่ข้างๆ อย่างระมัดระวัง
อาเจียวถลึงตาใส่เขาอย่างดุร้าย “อาจารย์เจ้ารังแกเหยาเหนียง!”
หัวใจของจิ้งเฟิงยิ่งทวีความหวาดหวั่น เอ่ยปฏิเสธเสียงดังลั่น “เป็นไปไม่ได้!”
“เหตุใดจะเป็นไปไม่ได้ ในห้องเสียงดังเอะอะขนาดนั้น เจ้าหูหนวกหรือไร”
จิ้งเฟิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ข้าอาจจะเจ้าเล่ห์ กลับกลอก หัวรั้น ซ้ำยังชอบเล่นงานคนอื่น แต่ว่าเขาไม่มีทางรังแกสตรีแน่นอน!”
เหยาเหนียงชะงักงัน หันหน้ากลับไปมองจิ้งเฟิงแวบหนึ่ง นี่เขากำลังแก้ตัวแทนอาจารย์ หรือว่ากำลังช่วยด่าอาจารย์อยู่หนอ
อาเจียวแค่นเสียงฮึหนักๆ หนึ่งที “อาจารย์ของเจ้ากดเหยาเหนียงเอาไว้กับเตียง ทำให้นางเลือดออก นี่มิใช่รังแกสตรีแล้วมันคืออะไร”
เหยาเหนียงชะงักนิ่งไปอีกครา มองอาเจียวปราดหนึ่ง ไฉนคำพูดนี้ถึงฟังดูแปลกพิกลอยู่นิดๆ เล่า
จิ้งเฟิงอ้าปากค้าง ท่าทางราวกับแตกตื่นตกใจอย่างหาใดเปรียบมิได้ เขานิ่งเงียบไปพักหนึ่งกว่าจะเอ่ยขึ้นอย่างอึกๆ อักๆ ว่า “ข้าคิดว่า…อาจารย์เพิ่งจะเคยเป็นครั้งแรก…ก็เลยเผลอทำรุนแรงไปหน่อย…”
อาเจียวตบโต๊ะ “ครั้งแรกแล้วอย่างไรเล่า! หรือว่าเขายังจะอยากทำเป็นครั้งที่สองอีก?!”
ในที่สุดเหยาเหนียงก็ทนฟังต่อไปไม่ไหว รีบเอ่ยแทรกว่า “ที่เขาทำร้ายคือนิ้วของข้า!”
จิ้งเฟิงนิ่งไป แล้วสาวเท้าอาดๆ เข้าไปดู จึงเห็นว่าบนนิ้วชี้นางมีบาดแผลเล็กๆ ไม่ถึงหนึ่งชุ่นอยู่ ยามนี้เขาถึงได้ผ่อนลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่งด้วยความกระจ่างแจ้ง
“ไม่ต้องกลัวๆ อาจารย์แค่เจาะเลือดนางไปหยดเดียวเท่านั้น”
อาเจียวมีสีหน้าเคลือบแคลงสงสัย “เจาะเลือดไปทำอันใด”
“เบื้องลึกเรื่องนี้แฝงด้วยศาสตร์ความรู้มากมายเชียวล่ะ” จิ้งเฟิงเป็นลูกศิษย์ที่ดีซึ่งขยันเล่าเรียนมาตั้งแต่ไหนแต่ไร อาเจียวที่ไม่ค่อยจะสนใจเขาสักเท่าไรนักอุตส่าห์ขอคำชี้แนะจากเขาอย่างหาได้ยากยิ่ง เขาจึงรีบอธิบายความล้ำลึกของศาสตร์แห่งลัทธิเต๋าให้ฟังอย่างกระตือรือร้น
ทีแรกจิ้งเฟิงถูกส่งให้มาคอยสอดแนมจับตาดูเหยาเหนียง แต่ว่าตลอดหลายวันมานี้ที่ได้อยู่ร่วมกัน เขากลับสนิทสนมเข้ากับพวกนางได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ถ้าหากมิได้เห็นด้วยตาตนเอง จิ้งเฟิงเองก็ไม่เชื่อเช่นกันว่าที่แท้ปีศาจจิ้งจอกก็รู้จักตอบแทนบุญคุณ ไม่ใช่ว่าปีศาจทุกตนล้วนเลวร้ายอย่างที่ผู้คนเล่าอ้างกันเสียหน่อย แม้นอาเจียวจะชอบดุร้ายใส่เขาอยู่ร่ำไป แต่ก็ไม่เคยทำร้ายเขาแม้แต่ปลายนิ้ว นอกจากนั้นร่างกลม ดวงตาใสแป๋ว รวมถึงหางฟูฟ่องของมันยามแปลงร่างเป็นลูกจิ้งจอกล้วนทำให้นิ้วมือของเขาคันยุบยิบ อยากจะลองลูบคลำดูเสียเหลือเกิน
แต่น่าเสียดายที่หลังจากอาเจียวให้เขาลูบแค่ครั้งเดียวก็ไม่ยอมให้เขาแตะต้องอีกเลย จึงทำได้เพียงมองตาละห้อยอยู่อีกด้าน ดูมันซุกไซ้ออดอ้อนอยู่ในอ้อมกอดของเหยาเหนียงด้วยความอิจฉาตาร้อน
หลังจากเหยาเหนียงได้ฟังคำอธิบายจากจิ้งเฟิงแล้วรู้ว่าที่นักพรตจิ้นเสวียนเจาะโลหิตนางไปก็เพราะต้องการนำมาใช้ทำพิธีลงอาคม นางจึงอกสั่นขวัญแขวนอยู่ตลอดทั้งวัน กระสับกระส่ายไม่เป็นสุข
หนึ่งวันผ่านไปนางยังคงปลอดภัยไร้อันตราย เหยาเหนียงไม่เห็นว่าร่างกายของตนเองมีตรงไหนผิดปกติจึงค่อยๆ เบาใจลง
จิ้นเสวียนซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งกลับมิได้เบาใจขนาดนั้น
เขาเจาะโลหิตนางมาทำพิธี ใช้อาคมเสริมแรงผนึก หลังจากทำพิธีเสร็จสิ้นเขาก็แวะไปดูสตรีผู้นั้น นางยังคงจ้องมองเขาด้วยนัยน์ตาคู่งาม ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยท่วงท่าอรชรชดช้อย ยังคงเหมือนดั่งสตรีธรรมดาทั่วไป มองดูอยู่เนิ่นนานก็ยังไม่เห็นนางเผยหางจิ้งจอกออกมา
เขาใช้วิชาเบญจธาตุทั้งหมดแต่ก็ยังไม่อาจบีบให้นางปีศาจปรากฏโฉมออกมาได้ หางที่โผล่ออกมาราวกับดอกถานฮวาผลิบานเมื่อคราวก่อนคล้ายกับเป็นเพียงความเข้าใจผิดของเขาเท่านั้น
จิ้นเสวียนเดินไปมาอยู่ในห้องโถงหลัก นางปีศาจยากจะกำราบ ทำให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้าเป็นอย่างยิ่ง จับปีศาจมาหลายปี เขาไม่เคยพบเจอปีศาจตนไหนที่รับมือยากเช่นนี้มาก่อนเลย
เขานั่งลงตรงหน้าโต๊ะ ใช้นิ้วชี้เคาะผิวโต๊ะพลางคิดตรึกตรอง หลังครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะก็เดินออกไปเรียกลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามา
“ไปเรียกจิ้งเหลยมา”
พอลูกศิษย์ที่อยู่นอกประตูได้รับคำสั่งก็หันกายเดินออกไปหาศิษย์พี่รอง ครู่หนึ่งผ่านไปจิ้งเหลยก็ก้าวเข้ามาภายในเรือน
“อาจารย์”
“ปิดประตูแล้วเดินเข้ามาข้างใน” จิ้นเสวียนทิ้งวาจาเอาไว้แล้วหมุนกายเดินเข้าไปที่เรือนชั้นใน
กระทั่งจิ้งเหลยเดินตามเข้ามา เขาก็ชี้ไปยังขวดยาที่อยู่บนโต๊ะ
“เจ้าหาโอกาสเหมาะๆ เทยาที่อยู่ในขวดใบนี้ใส่ในกาน้ำชาของสตรีคนนั้นเสีย”
จิ้งเหลยหยิบขวดยาขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“อาจารย์ นี่คือยาลวงปีศาจ?”
“ถูกต้อง”
ยาลวงปีศาจ…เป็นยาสะกดวิญญาณที่ปรุงขึ้นให้กับปีศาจโดยเฉพาะ พอปีศาจกินเข้าไปก็จะสามารถทำให้ปีศาจมารร้ายสูญเสียสัญชาตญาณเดิม จิตใจโดนบังคับควบคุม
นักพรตหลายคนปรุงยานี้ขึ้นมาหลักๆ เพื่อใช้กับปีศาจร้ายที่กำราบยาก และอาศัยยานี้ควบคุมปีศาจเพื่อเอามาเป็นทาสรับใช้ตน
ในบรรดาศิษย์สองคนที่จิ้นเสวียนหลอกเข้าสำนักมาในตอนแรกสุด ศิษย์คนโตจิ้งเฟิงเป็นคนซื่อๆ ตรงไปตรงมา เล่าเรียนวิชาเวท เรียนวาดยันต์ หรือท่องคาถาก็ล้วนขยันเป็นที่สุด สั่งให้เขาท่องจากหน้าไปหลัง เขาจะไม่มีทางท่องจากหลังไปหน้าแน่นอน เรียนมาอย่างไรก็ปฏิบัติตามนั้น
ทว่าศิษย์คนรองจิ้งเหลยนั้นมีปฏิภาณไหวพริบดีเลิศ หากลงโทษให้เขาคัดตำราคาถาทั้งเล่ม เขาก็จะใช้คาถาในตำราสร้างมนุษย์กระดาษคนหนึ่งออกมาช่วยเขาคัดตำราทั้งเล่ม พอเรียนเป็นปุ๊บก็เอามาใช้ประโยชน์ทันที
ด้วยเหตุนี้เรื่องวางยานี่สั่งให้จิ้งเหลยศิษย์คนรองไปทำจะเหมาะสมที่สุด
จิ้งเหลยจ้องมองขวดยา ในดวงตาเปล่งประกายแพรวพราวระยิบระยับ ต่อมาก็มองดูรอยข่วนบนใบหน้าของอาจารย์ จากนั้นก็นึกถึงบทสนทนาในหมู่ลูกศิษย์ในระยะนี้ขึ้นมา
ทุกคนล้วนพูดว่าอาจารย์ดูเหมือนเกรงขามน่าหวาดหวั่น แต่จริงๆ แล้วกลับเป็นคนกลัวภรรยา ทีแรกถูกอาจารย์หญิงตบหน้าเข้าหนึ่งฉาด ต่อมาก็ถูกอาจารย์หญิงข่วนจนหน้าเป็นแผลอีก
มีลูกศิษย์บางคนเข้าใจเรื่องระหว่างชายหญิง จึงหัวเราะหึๆ พร้อมกล่าวว่าอาจารย์ขอร่วมรักไม่สำเร็จ ถูกอาจารย์หญิงปฏิเสธ ดังนั้นจึงเอาแต่ตีหน้าเหม็นบูดทั้งวี่ทั้งวัน ความปรารถนาไม่ได้รับการตอบสนองเติมเต็ม!
จิ้งเหลยที่รู้ความจริงได้ยินแล้วก็เกือบจะหัวเราะจนช้ำใน เขารู้ว่าเรื่องทั้งหมดนี้หาใช่ความจริงไม่ แต่ก็แปลกใจเช่นกันว่าเหตุใดอาจารย์ถึงจัดการนางปีศาจตนนั้นไม่ได้เสียที ตอนนี้ดูเหมือนว่าอาจารย์จะเอาจริงเสียแล้ว
“พอให้นางกินลงไปแล้วก็จงพาตัวนางมาที่ห้องลับเสีย” จิ้นเสวียนพูด
“ศิษย์น้อมรับคำสั่งขอรับ” จิ้งเหลยเก็บขวดยาไว้ในแขนเสื้อ ก่อนจะหันตัวเดินออกไปจากเรือน
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 28 มี.ค. 65 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.