X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ปีศาจเย้ารัก บทที่ 1-บทที่ 2

หน้าที่แล้ว1 of 18

บทที่หนึ่ง จันทร์กระจ่างเงาร่างหนาวเหน็บอ่อนละมุน

ยามรัตติกาล ดึกสงัดมืดมิด

เสียงฟ้าร้องสองสามครั้งที่ดังกระหึ่มครืนครั่นตรงขอบฟ้าห่างไกล ดังเคียงคู่ไปกับเสียงฟ้าคำรามกลางฤดูใบไม้ผลิ จึงยิ่งดังชัดเจนเป็นพิเศษ

ย่านละลายทรัพย์ซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองหลวงได้ถ่ายทอดสีสันเพริศแพร้วและมนตร์เสน่ห์ของยามราตรีออกมาจนหมดสิ้น เสียงอึกทึกครึกโครมไต่ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างไม่มีขอบเขต หลังจากนั้น ความคึกคักร้อนแรงหาใดเปรียบก็ค่อยๆ สงบเงียบ แขกเหรื่อที่มาชมบุปผาจนอิ่มเอมเปรมอุราแล้ว สุดท้ายก็มึนเมาหลับสนิทในอ้อมกอดของนวลนาง

ณ ย่านละลายทรัพย์ ด้านในของสำนักสำหรับมอบความหฤหรรษ์แก่ผู้คนแห่งหนึ่ง บุรุษรูปงามเปิดประตูฉลุลายร้อยบุปผาฝีมือวิจิตรออกแผ่วเบา สาวเท้าก้าวออกจากห้องรับรองที่มีแสงไฟมัวสลัว

สถานที่ซึ่งกินพื้นที่กว้างใหญ่นี้หาใช่หอโคมเขียวหรือสำนักนางโลมทั่วไป แต่ในพื้นที่แถบทางใต้ของเมืองหลวงแคว้นเทียนเฉาที่ถูกยึดครองโดยเหล่าคณิกานางโลม ที่นี่ถึงกับได้รับขนานนามว่าเป็น ‘หนึ่งจุดเขียวท่ามกลางหมื่นบุปผาแดง’ สำนักชายบำเรอ…สำนักชิงเยี่ยน

สมดังคำกล่าว ‘ยามธารน้ำใสกระจ่างลมทะเลเงียบสงบ ผู้รับใช้ขอมอบดวงใจต่อนายท่าน’

‘เหล่าผู้รับใช้’ ในสำนักชิงเยี่ยน แม้เป็นบุรุษเพศทั้งหมด ทว่ากลุ่มเป้าหมายในการปรนนิบัติกลับไม่แบ่งแยกหญิงชายแก่เด็ก ขอเพียงแต่จ่ายเงินหนักพอ ฟุ้งเฟ้อพอ อยากเล่นสนุกอย่างไร บรรดาชายบำเรอในสำนักชิงเยี่ยนก็พร้อมต้อนรับขับสู้ถึงที่สุด รับรองความพึงพอใจ

บุรุษฝีเท้าแผ่วเบา งับปิดประตูด้านหลังตนอย่างรอบคอบ

เขาไม่ใช่แขกเจ้าสำราญรักสนุกที่มุ่งหน้ามาเด็ดดมบุปผาเที่ยวชมต้นหลิว

แต่หากถามว่าคุณชายอันดับหนึ่งผู้เลื่องชื่อแห่งสำนักชิงเยี่ยนคือใคร คนผู้นั้นย่อมเป็นใครไปไม่ได้นอกจากเขา

“ชิวกวน…ชิวกวน…” มีคนกดเสียงต่ำร้องเรียกเขา น้ำเสียงแฝงแววกระวนกระวายใจ

ฉินชิวชายตามองไปเมื่อได้ยินเสียง เส้นผมสีดำขลับที่ปล่อยสยายตรงหน้าอกดุจแพรไหมเนื้อเลื่อม มองเห็นบุรุษรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่คนหนึ่งปรากฏกายขึ้นที่อีกฟากของทางเดิน แสงเทียนในโคมไฟสองสามดวงที่ยังไหม้ไม่หมดวูบไหวเล็กน้อย ส่องสะท้อนชุดแพรยาวลายดอกไม้แดงของฝ่ายหลังออกมาเป็นความซึมเซาหลังบุปผาสะพรั่งร่วงโรยหมดสิ้น

สิ่งที่ทำให้ฉินชิวเห็นว่าน่าสนใจก็คือบุรุษที่รีบร้อนมาตรงหน้าเขาผู้นี้ยามกล่าวคำขึ้นมาไม่มีอาการซึมเซาเลยสักครึ่ง ไม่เพียงไม่ซึมเซา ใบหน้ายังแสดงอารมณ์หลากหลาย น้ำเสียงก็มักจะสลับสูงต่ำจนดูมีชีวิตชีวาอย่างยิ่ง

เมื่อห้าปีก่อนที่เขาเลือกปักหลักที่สำนักชิงเยี่ยน เหตุผลส่วนหนึ่งก็มาจากที่เขาฉินชิว ‘ต้องตา’ ผู้เป็นเจ้าของสำนักแห่งนี้ เจ้าของสำนักทั้งน่ารำคาญและยังอวดโอ่ กระนั้นกลับเป็นคนจิตใจดี ในสายตาคนนอกเรียกได้ว่ามีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ละมุนละม่อมเข้ากันได้กับทุกคน ขณะที่ท่าทีลับหลังกลับเป็นลุงวัยกลางคนที่ชอบบ่นกระปอดกระแปด

เจ้าของสำนักคือผู้ใดน่ะหรือ ก็คือบุรุษชุดแพรที่ปราดมาเบื้องหน้าเขาในตอนนี้อย่างไรเล่า

“ชิวกวนเจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” เฟิ่งหมิงชุนเจ้าของสำนักชิงเยี่ยนใช้สองมือจับแก้มฉินชิว ดวงตาหงส์รีแคบพินิจมองอีกฝ่ายขึ้นลงอย่างตกประหม่า

“จะเกิดเรื่องอันใดได้” พวงแก้มเนียนละเอียดของฉินชิวผุดลักยิ้มขึ้นจางๆ พลางเอ่ยตอบคำถามด้วยคำถาม

“เรื่องที่เกิดขึ้นได้มีถมเถไป! เจ้า…เจ้าไม่เป็นอะไรจริงหรือ” เฟิ่งหมิงชุนยื่นมือออกไปดึงแขนเสื้อกว้างของฉินชิวพร้อมให้เขาหมุนตัว หันซ้ายทีขวาที ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดที่หว่างขาและบั้นท้ายของเขาอย่างไม่ปิดบังแม้แต่น้อยพลางบ่นงึมงำขึ้นอย่างห้ามไม่ได้…

“ก่อนหน้านี้บอกเจ้าไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ คืนนี้คนที่เจ้าเชิญเข้ามาที่หอซือเฟยนี้เป็นคนธรรมดาเสียที่ใด! นายท่านท่านนั้นเขาบอกว่าตนเองแซ่เหยียนนามต้า พวกเราได้ยินก็รู้ว่าเป็นชื่อปลอม เป็นมาอย่างไรก็ไม่รู้ มิอาจยุ่งด้วย! ชายบำเรอหนุ่มน้อยสามคนที่เราเพิ่งรับเข้าหอมาฝึกฝนได้ปีเดียว สองสามวันก่อนเกิดถูกเหยียนต้าผู้นั้นต้องใจ เขาคนเดียวหนึ่งสู้สาม เปิดห้องรับรองเรียกสามคนเข้าไป ไหนเลยจะคาดคิดคืนนั้นเสียงคร่ำครวญดังระงมไม่ขาดหู เฮ้อ…เสียงร้องแหลมเศร้ายิ่งนัก ร้องจนหัวใจตับม้ามปอดของข้าแทบเคลื่อน ทน…ทนดูไม่ได้อย่างแท้จริง ข้ากัดฟันบุกเข้าไป ผลสรุปคือคำอ้อนวอนไม่ทันเอ่ยได้ครึ่งประโยคก็โดนถีบลอยออกมา สลบไปตรงนั้นจนวันถัดมาถึงฟื้นคืนสติ นั่น…นั่นก็สายเกินไป สายเกินไปทั้งสิ้น…”

ชายบำเรออายุน้อยสามคนนั้นถูกหามออกจากห้องรับรอง รอยรัดที่ลำคอปรากฏชัด ทั่วร่างเต็มไปด้วยรอยกัดและรอยช้ำ ระหว่างขายิ่งอเนจอนาถไม่อาจทนดู เดิมแท่งหยกที่ค่อนข้างงามประณีตไม่รู้ถูกมัดด้วยวิธีอะไร ยังผลให้เลือดไม่ไหลเวียนจนเกือบเนื้อเยื่อตาย จุดดอกเบญจมาศด้านหลังถูกปู้ยี่ปู้ยำยับเยิน

เฟิ่งหมิงชุนฟื้นมาเห็นสภาพย่ำแย่ของพวกเด็กหนุ่มที่ประกายในดวงตาทั้งสองข้างดับวูบ จวนเจียนจะไม่กลับมาหายใจอีกอยู่รอมร่อ พลันรู้สึกทั้งโมโหทั้งร้อนรนและทั้งปวดใจอย่างแท้จริง

แต่สภาพนี้หากต้องการฟ้องร้องนั้นไม่ง่ายเลย การค้าที่สำนักชิงเยี่ยนทำคือส่งผู้ไปอย่างยินดีต้อนรับผู้มาอย่างปรีดา อาชีพฝืนใจขายความรัญจวน แขกที่ลงมือไม่รู้ขอบเขตใช่ว่าไม่ค่อยมีให้เห็น เพียงแต่ครั้งนี้รุนแรงเกินเหตุไปอย่างแท้จริง เรื่องเช่นนี้ทางการไม่มีทางสนใจ สำนักชิงเยี่ยนของเขาก็ไม่กล้าขึ้นฟ้องแขกกับหน่วยหยาเหมิน จริงๆ เช่นกัน

สิ่งเดียวที่สามารถปลอบประโลมจิตใจขึ้นมาเล็กน้อยก็คือแขกบุรุษฉกรรจ์ผู้เรียกตนเองว่า ‘เหยียนต้า’ ซึ่งทำชายบำเรอหนุ่มน้อยพิการไปสามคนผู้นั้น หลังจบเรื่องได้จ่ายเงินก้อนโตเป็นค่าปิดปากอำพรางความละอาย เฟิ่งหมิงชุนตรึกตรองแล้วตรึกตรองอีก เมื่อรับเงินผู้อื่นแล้วก็คิดอดกลั้นยอมให้เรื่องสงบลง พร้อมกันนั้นก็ลอบตัดสินใจเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็จะจัดฝ่ายตรงข้ามเป็นแขกที่ไม่ต้อนรับ

ล้อเล่นอะไรกัน! ชายบำเรอแต่ละคนของหอพวกเขาล้วนผิวพรรณเนียนละเอียดบอบบาง ไม่อาจทนรับการทำลายย่ำยีได้อีก แต่…เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยสักนิด ยอดชายบำเรอของหอพวกเขา คุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยน ฉินชิว ไฉนจึงจัดงานเลี้ยงขึ้นปุบปับ แล้วเชิญเหยียนต้ามาที่หอซือเฟยเสียได้?

คุณชายฉินชิวของหอพวกเขารูปลักษณ์ภายนอกแลคล้ายอ่อนโยนสุภาพ อ่อนแอดุจไร้กระดูก แต่เป็นคนที่มีความคิดเป็นของตนเองอย่างมาก เขาเฟิ่งหมิงชุนต่อให้เป็นเจ้าของสำนักชิงเยี่ยน ฐานะเทียบเท่าพ่อเล้า ทว่าเรื่องของฉินชิวกลับไม่กล้าสอดมือลึกเกินไป

ด้วยเหตุนี้พอรู้ว่าฉินชิวเชิญแขกบุรุษฉกรรจ์ที่ติดใจรสชาติมาเยือนสำนักชิงเยี่ยนอีกทั้งยังเชิญเข้าไปในหอซือเฟย เขาก็ตื่นตระหนกจนหัวใจแทบกระดอนออกมาจากลำคอ ไปเฝ้าอยู่ด้านนอกเกาหูขยุ้มหัวอย่างวิตกกังวลทั้งคืน กระทั่งพื้นที่ส่วนหน้าของหอก็ยังไม่มีเวลาดูแล

ในที่สุดหนอในที่สุด…สวรรค์เห็นใจ ทำให้เขาเฝ้ารอจนได้เห็นแสงจันทร์สว่างจ้าหลังฟ้ามืด!

“จะ…เจ้า เอ่อ…ไม่บาดเจ็บ สบายดี…เอ๋? สบายดีจริงๆ นี่นา!” เมื่อแน่ใจว่าคนตรงหน้าสุขกายสบายตัว ร่างกายอยู่ครบสมบูรณ์ เฟิ่งหมิงชุนพลันยกมือทาบหน้าอก ความประหลาดใจและฉงนฉงายฉายชัดบนใบหน้า

“ก็สบายดีนี่” รอยยิ้มของฉินชิวดั่งสายลมเอื่อยจันทร์กระจ่าง

“แต่…แต่ทั้งที่ร้องดังสนั่นยิ่ง เสียงหอบหายใจหนักกับเสียงคำรามต่ำระลอกแล้วระลอกเล่าดังลอยออกมาทั้งหมด คนที่ได้ฟังล้วนต้องหน้าแดง…อ๊าๆๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะ ด้วยกังวลว่าชิวกวนจะถูกข่มเหงอย่างโหดเหี้ยม จึงจับตาดูตั้งแต่ต้นจนจบ หากมีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้นจริงพวกเราจะได้บุกเข้าไปช่วยคน…”

ฉินชิวยังคงยิ้ม ไม่คิดจะเปิดโปงเฟิ่งหมิงชุนหรือเตือนสติเขาว่าครั้งก่อนตอนพยายามบุกเข้าไปในเรือนพยายามจะช่วยชายบำเรอหนุ่มน้อยทั้งสาม สุดท้ายมีจุดจบอย่างไรเลยสักนิด

อีกด้าน เฟิ่งหมิงชุนที่กำลังพูดเองเออเองจู่ๆ ก็ชะงัก และเลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างคล้ายสัมผัสอะไรบางอย่างได้ “ช้าก่อน! ยามนี้ย้อนคิดดู เอ่อ…พูดถึงเสียงหอบหายใจหนักและคำรามต่ำ เสมือนได้ยินแค่เหยียนต้าร้องอยู่เท่านั้น เป็นเสียงของเขาทั้งหมด ไม่มีเสียงของชิวกวนเลย! เนื้อเสียงของชิวกวนข้าจำได้ ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเจ้าสงบเงียบยิ่ง เสียงร้องสักแอะก็ไม่ดังแว่วออกมา” หลังเว้นวรรคอึดใจหนึ่ง เฟิ่งหมิงชุนก็สรุปอย่างจริงจังออกมาว่า “ที่แท้ขณะร่วมเสพสุขกับบุรุษ ชิวกวนไม่ชอบส่งเสียงนี่เอง ทราบแล้วๆ ลำบากเจ้าโดยแท้”

บนทางเดินตกอยู่ใต้ความเงียบงันทันที

ดวงหน้างามหมดจดใต้แสงโคมแลคล้ายไม่แปรเปลี่ยน หลายอึดใจให้หลังถึงได้ยินฉินชิวตอบราบเรียบด้วยน้ำเสียงรื่นหู “ถูกต้อง ข้าเคยชินกับการไม่ส่งเสียง”

เฟิ่งหมิงชุนใช้สองมือเท้าคางก่อน ตามด้วยโบกหย็อยๆ ไปตรงด้านหน้า ท่าทางขัดเขินเข้าอกเข้าใจ “ทุกคนล้วนมีนิสัยและความชื่นชอบส่วนตัว โดยเฉพาะทำงานประเภทนั้น เป็นผู้ปรนนิบัติคนอื่นก็ได้รับการปรนนิบัติด้วยเช่นเดียวกัน ขอเพียงสามารถจัดการแขกในม่านมุ้งได้อย่างเหมาะสมเข้าที คลุกคลีดิ้นรนอยู่ใน ‘เส้นทางแห่งการฝึกตน’ สายนี้ จะร้องหรือไม่ร้องก็ไม่ต่างกัน พูดถึงที่สุดไยจะมิใช่เป็นจุดเด่นของตนเอง ชิวกวนรับมือไหวเป็นพอ”

“เอ่อ…อื้ม…ข้าคิดว่ายังพอรับมือไหวกระมัง” ฉินชิวพ่นลมหายใจแผ่วเบายิ่งออกมาคราหนึ่ง ก่อนเอ่ยเสียงค่อย “เหนื่อยล้าอยู่บ้าง ได้เวลาพักผ่อนแล้ว”

ได้ยินดังนั้น เฟิ่งหมิงชุนรีบพยักหน้า “ถูกต้องๆ ชิวกวนรับแขกเข้าหอซือเฟยน้อยยิ่งนัก ทุกครั้งที่ต้อนรับล้วนต้องปรนเปรออย่างยิ่งใหญ่เต็มกำลัง ซ้ำหนนี้ยังเป็นคนพฤติกรรมทรามรับมือได้ยากผู้หนึ่ง ย่อมต้องเหน็ดเหนื่อยเป็นแน่แท้ เจ้ารีบพักผ่อนโดยเร็วเถอะ ที่เหลือหากมีเรื่องอะไรข้าจะคอยดูแลเอง ชิวกวนไม่ต้องสนใจแล้ว”

“เช่นนั้นลำบากเถ้าแก่ชุนแล้ว”

“แค่นี้สบายมาก” เฟิ่งหมิงชุนโบกแขนเสื้อทั้งสองข้างอีกครั้ง

ฉินชิวค้อมศีรษะนิ่งๆ เดินมุ่งหน้าไปยังอีกฟากของทางเดิน หนึ่งก้าว สองก้าว สามก้าว…เพียงหกเจ็ดก้าว ทันทีที่เขาหมุนตัว ทั้งร่างก็กลืนหายไปในพุ่มใบไม้ดอกไม้ที่เจริญเติบโตงอกงามอยู่ข้างหอซือเฟยแล้ว

โครงสร้างของหอซือเฟยและการออกแบบในตอนแรกนั้นล้วนออกมาจากมือของฉินชิวทั้งสิ้น หอแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นล่างเป็นสถานที่ซึ่งฉินชิวผู้เป็นคุณชายอันดับหนึ่งใช้รับรองแขกสำคัญ เพลงพิณ หมากล้อม ลายอักษร ภาพวาด บทกวี สุรา บุปผาล้วนมีให้ ต้องการสุภาพเรียบร้อยก็มีท่วงทีสุภาพเรียบร้อยให้ ต้องการดุเดือดก็มีท่าทางแข็งกร้าวดุเดือดให้ ขึ้นกับว่าบรรดาแขกต้องการเล่นอะไรบ้าง และอยากเล่นอย่างไร ทุกคนที่ย่างเท้าเข้ามาล้วนสามารถสมปรารถนาได้ในหอซือเฟย

พื้นที่ชั้นสองเป็นเขตส่วนตัวของฉินชิว

บันไดหินเล็กที่ทอดขึ้นสู่ชั้นสองแทรกตัวอยู่ติดผนังด้านนอกของหอซือเฟย ซ่อนอำพรางอย่างชาญฉลาดอยู่ในซุ้มแมกไม้บุปผาพรรณกับต้นจื่อเถิง* ที่เรียงติดกันเป็นม่าน นี่เป็นสถานที่ซึ่งไม่ต้องการให้แขกที่มาเสพสุขในสำนักชิงเยี่ยนบุกเข้าไป และเป็นสถานที่ซึ่งในสำนักชายบำเรอนอกจากเฟิ่งหมิงชุนกับข้ารับใช้ชราผู้เป็นใบ้ที่คอยช่วยส่งน้ำทำความสะอาดแล้ว ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นชั้นสองอีก

แต่จะว่าไป ที่เฟิ่งหมิงชุนเข้าเขตส่วนตัวของฉินชิวได้ หนึ่งเพราะท้ายที่สุดเขาก็คือเจ้าของสำนักชิงเยี่ยนควบด้วยตำแหน่งเถ้าแก่ สองเพราะเขารู้จักรุกรู้จักถอย ปกติหากไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่มีคำเชิญของฉินชิว เขาไม่มีทางขึ้นชั้นบนโดยพลการเป็นอันขาด

หลังจาก ‘มอบหมายงาน’ ด้านล่างแก่เฟิ่งหมิงชุนเรียบร้อย ฉินชิวเดินสูดกลิ่นหอมอ่อนที่โชยมายามราตรี มุ่งไปทางบันไดหินลับกลับไปยังสถานที่ส่วนตัวของตน

“เอ๋?”

เขาชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นบุปผาผิดปกติ เจือปนด้วยกลิ่นคาวเลือดอันเบาบางยิ่ง ขณะที่ยังมิได้ขยับฝีเท้าก้าวต่อไป มีดคมกริบทอประกายสีเงินวาววับเล่มหนึ่งก็พลันจ่อเข้ามาจากด้านหลัง

คมมีดแนบติดกับผิวเกลี้ยงเกลาข้างต้นคอ ตามด้วยฝ่ามือหนึ่งยกขึ้นปิดปากเขา มือฝ่ายตรงข้ามแข็งแกร่งมีพลัง นิ้วมือที่แผ่ไอเย็นนั้นกดลงไปในเนื้อเขาเล็กน้อย นาบสนิทจนริมฝีปากเขาส่งเสียงใดออกมาไม่ได้

“อย่าขยับ! ห้ามร้อง!” น้ำเสียงที่จงใจกดต่ำ ชวนให้คนหวาดหวั่นพรั่นพรึง

ทว่ากลับเป็นเสียงหญิงสาว!

ฉินชิวก้าวไปข้างหน้าตามแรงที่อีกฝ่ายดันมา เขาถูกคุมตัวเข้าไปในห้องพักบนชั้นสอง

ทันทีที่ประตูปิด เขาได้ยินหญิงสาวผู้นั้นข่มขู่อีกครั้ง

“หากกล้าร้องขอความช่วยเหลือ ข้าจะบั่นคอท่านทันที”

เขาพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ มือที่อุดแน่นบนปากจึงค่อยผละออกช้าๆ ทว่ามีดเงินเล่มนั้นกลับไม่ล่าถอยแม้แต่น้อย ยังคงแนบติดกับข้างลำคอเขา

ในห้องไม่มีตะเกียงสักดวง เคราะห์ดีที่แสงจันทร์นวลกระจ่างดุจน้ำค้างแข็งลอดผ่านกระดาษกรุหน้าต่างแผ่นบางเข้ามา ทำให้ร่างสองสายที่อยู่กลางแสงสว่างรำไรอย่างเงียบเชียบนี้ ไม่ถึงขั้นมืดสนิทจนมองไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า

ฉินชิวเบนสายตาปรายมองไปยังเงาทะมึนของหญิงสาวที่ทอดลงบนพื้น เงาร่างนั้นสูงโปร่งเพรียวบาง แขนที่ถือมีดคมกริบชูขึ้นตรง ทว่าจู่ๆ นางก็กลับห่อหลังเล็กน้อย

“ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ” ฉินชิวเอ่ยขึ้นกะทันหัน เสียงทุ้มต่ำนุ่มนวล ใสซื่อไร้พิษภัย “จมูกผู้น้อยพอนับว่าใช้การได้ดี จึงได้กลิ่นเลือดจางๆ…ดังนั้นพวกเรายังจะยืนนิ่งกันเช่นนี้อีกหรือ ที่พักของข้านี้มีตั่งมีพรม มีเก้าอี้มีม้านั่งและยังมีพนักคนงาม หากท่านไม่รังเกียจสามารถพักอยู่ได้ พวกเราดูว่าอาการบาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้างก่อน ดีหรือไม่”

เขาไม่เพียงไม่ตกใจไม่หวาดกลัว ท่าทีโน้มน้าวด้วยวาจานิ่มนวลยังพาให้หญิงสาวด้านหลังใจลอยไปชั่วขณะ ลมหายใจของนางระส่ำเล็กๆ ทว่าอึดใจเดียวก็สงบลงพลางเอ่ยเสียงเย็น “ไม่รบกวนให้ใต้เท้าต้องลำบาก”

ฉินชิวนิ่งเงียบครู่หนึ่ง “อืม…แต่ไรมาไม่เคยมีใครเรียกข้าว่า ‘ใต้เท้า’ เลย นี่เป็นครั้งแรกทีเดียว”

ลมหายใจเข้าออกของหญิงสาวระส่ำระสายอีกครา คล้ายปั่นป่วนเล็กๆ เพราะรอยขันในน้ำเสียงเขา

ฉินชิวเอ่ยต่อ “อีกทั้งที่พักของผู้น้อยไม่เคยถูกผู้ใดบุกรุกมาก่อน และข้าก็ไม่เคยถูกคนเอามีดจ่อคอมาก่อน ท่านช่างมอบประสบการณ์ครั้งแรกแก่ข้าในคืนนี้จำนวนไม่น้อยเลย”

“ผู้น้อยกับท่านอะไรกัน ข้าไม่ใช่แขกสตรีที่มาหาความสุข เล่นลูกไม้กับข้าให้น้อยลงหน่อยเถอะ” น้ำเสียงหญิงสาวยังเย็นชาไม่แปรเปลี่ยน “คืนนี้ขอยืมสถานที่ของใต้เท้าหลบซ่อนตัว ขอเพียง…คุณชายสงบเงียบไม่โวยวาย ข้าย่อมไม่ทำร้ายท่าน”

ฉินชิวพลันถอนใจแผ่วเบา

“ในเมื่อเจ้าเรียกข้าว่าคุณชาย เช่นนั้นข้าขอเรียกเจ้าว่าแม่นางแล้วกัน แม่นางกล้าปฏิบัติงานที่เมืองหลวงแคว้นเทียนเฉา แปดส่วนย่อมวรยุทธ์สูง ข้าผู้ไร้สามารถแม้ไม่ใช่คนในยุทธภพ แต่อย่างไรเสียก็ทำมาหาเลี้ยงตัวด้วยอาชีพระดับล่าง ได้ยินได้ฟังคำเล่าลือมาไม่น้อย สัมผัสพบปะผู้คนลักษณะต่างๆ นานามามาก และก็รู้ว่าแม่นางห้ามไม่ให้ข้าขยับไม่ให้ข้าร้อง แท้ที่จริงหากเปิดมาแล้วจี้สกัดจุดข้าเลย ก็ไม่จำเป็นต้องพูดมากความกับข้า แต่แม่นางมิได้กระทำเช่นนั้น…” เขาเงียบไปเล็กน้อยประหนึ่งกำลังครุ่นคิด ก่อนจะถอนใจอีกครา…

“ดังนั้นข้ามิอาจไม่คาดเดา ประการแรก เป็นไปได้ว่าฝีมือจี้จุดแม่นางอ่อนด้อย จึงได้เพียงใช้มีดจ่อคอข้า ประการที่สอง เป็นไปได้ว่าแม่นางบาดเจ็บสาหัส ลมปราณสับสนวุ่นวาย ได้ยินว่าการจี้จุดชีพจรต้องใช้ลมปราณเป็นแรงส่ง ลมปราณในร่างแม่นางเองยังปรับให้สมดุลไม่ได้ เช่นนี้จะออกแรงควบคุมผู้อื่นได้อย่างไร นอกจากนี้ดูจากเงาร่างคุดคู้เล็กน้อยและสั่นระริกของแม่นาง ข้าคิดว่า…น่าจะเป็นอย่างที่สอง ข้าวิเคราะห์ถูกต้องหรือไม่” กล่าวมาถึงตอนสุดท้าย เวลาเดียวกับที่เอ่ยถามแช่มช้าออกไปนั้น เขาหมุนตัวไปอย่างเชื่องช้ามากขณะที่มีดคมยังแนบติดผิวลำคอ

ในที่สุด…ก็เผชิญหน้ากับหญิงสาวตรงๆ

นางอยู่ห่างจากเขาแค่ระยะสองก้าว หากยืดหลังยืนตัวตรง กระหม่อมของนางประจวบเหมาะอยู่ใต้จมูกเขา ส่วนสูงเท่านี้ในหมู่สตรีนับได้ว่าสูง กระนั้นนางกลับมีดวงหน้าจิ้มลิ้มน่ารักเหมือนทารก

คิ้วเรียวงามหมดจด ดวงตาโตรูปเมล็ดซิ่ง ใต้สุดของสันจมูกสูงโด่งคือปลายจมูกกลมมน ใต้จุดเหรินจง ตื้นๆ คือปากเล็กอิ่มดุจผลอิงเถา หนึ่งผล ใช้คำว่า ‘หนึ่งผล’ บรรยายได้จริงๆ กลีบปากนางค่อนข้างหนา กระจับปากเด่นชัด กลีบปากบนล่างประกอบกันดูราวกับผลอิงเถาลูกเล็กน่ารัก

เขาอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ หากแสงไฟรอบด้านสว่างไสวหรือว่าอยู่ในเวลากลางวันใต้แสงอาทิตย์ เช่นนั้นก็จะมองเห็นได้ว่าสีริมฝีปากของนางอิ่มแดงปานกลั่นออกมาเป็นหยาดน้ำได้เพียงไร น่าจะเป็นจริงตามที่เขาคิดเช่นนั้น…แต่พอความคิดเปลี่ยนเขาก็นึกชอบใจที่ยามนี้จันทร์กระจ่างนวลตา แสงสว่างสลัวรางรำไรขึ้นมาอีก

ชุดตระเวนราตรีที่นางสวมขับเน้นความปราดเปรียวของร่างบางออกมา ผมยาวรวบทิ้งไว้ด้านหลัง พลันเผยให้เห็นองคาพยพทั้งห้าที่ค่อนไปทางอ่อนละมุนทั้งหมดออกมา แสงสว่างรำไรตกกระทบลงบนหน้าผาก ปลายจมูก พวงแก้ม และกระจับปากของนาง อาบย้อมใบหน้านางด้วยแสงสว่างชั้นหนึ่ง พาให้เงาร่างดำสนิทสะโอดสะองนั้นแลประหนึ่งกิ่งไม้โดดเดี่ยวในฤดูเหมันต์…

ดวงหน้างามน่ารัก เงาร่างเย็นยะเยียบ ดวงเนตรรูปเมล็ดซิ่งใสกระจ่างงดงามดุจส่องสะท้อนทุกสิ่งทุกอย่าง ก้นบึ้งนัยน์ตากลับทั้งลึกล้ำและว่างเปล่า ขัดแย้งกันได้อย่าง…น่าสนใจยิ่งนัก

อืม น่าสนใจอย่างมาก แตกต่างจากที่เขาคิดไว้ในตอนแรกมากมายเหลือเกิน

คิดไม่ถึงว่าหญิงสาวจะมีรูปโฉมเช่นนี้ แต่ถึงอย่างนั้นหากยามนี้ควักหัวใจเขาออกมาสอบถาม เขาก็ไม่ปฏิเสธความงามที่เหนือความคาดหมายเช่นนี้โดยสิ้นเชิงเช่นกัน

เขากะพริบตาปริบๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานยิ่ง

นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงยิ้ม ซ้ำยังยิ้มจนดวงตารีโค้ง ยิ้มจนทำให้นางค้นพบอย่างกระจ่างชัดว่าลักยิ้มบนแก้มซ้ายของเขาลึกกว่าที่แก้มขวาหลายส่วน

บุรุษผู้นี้ประหลาดนัก นางจำเป็นต้องเรียกสติขึ้นมารับมือจึงจะถูก แต่แผ่นหลังของนางเจ็บเหลือเกิน

นางเป็นคนอดทนต่อความเจ็บได้ดีเยี่ยม จริงที่ว่าความเจ็บปวดทางร่างกายเป็นสิ่งที่นางคุ้นชิน แต่ความเจ็บปวดเสียดกระดูกทิ่มแทงใจที่นางรู้สึกในยามนี้ มันถั่งโถมเข้ามาเป็นระลอกไม่ต่างกับน้ำไหลบ่า นางสามารถอดทนต่อความเจ็บปวดดุจถูกแยกร่าง ทว่าไม่อาจทะลวงปราการที่กีดขวางไม่ให้ลมปราณในเส้นลมปราณเริ่นและตู ของนางไหลเวียน ซึ่งส่งผลให้เลือดลมไหลย้อนกลับ ทำให้นางเจ็บจนแทบจะครองสติไว้ไม่อยู่

นางยืนหยัดต่อโดยอาศัยเรี่ยวแรงอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ได้ยินเสียงบุรุษประหลาดผู้นั้นเอ่ยอย่างอ่อนโยนอีก…

“ไม่ทราบว่าแม่นางจับสังเกตได้ด้วยตนเองแล้วหรือไม่ว่านอกจากกลิ่นคาวเลือด บนตัวแม่นางยังเจือด้วยกลิ่นธูปหอมอำพันทะเล แบบพิเศษ นี่เป็นธูปหอมที่ต่างบ้านต่างเมืองถวายเป็นบรรณาการแด่ฮ่องเต้เทียนเฉา เดิมมีเฉพาะในราชสำนักเท่านั้น ได้ยินว่าปีก่อนฮ่องเต้เสด็จไปล่าสัตว์ประจำฤดูใบไม้ผลิได้นำของสิ่งนี้ออกมาเป็นหนึ่งในของสำหรับตกรางวัล หากจำไม่ผิด รางวัลนี้สุดท้ายตกเป็นของจวนจงหย่งกงขั้นหนึ่ง” เขาขยับริมฝีปากอีก “คุณชายใหญ่ของจวนจงหย่งกงเป็นคนรักสนุก เสพสมได้ทั้งหญิงทั้งชาย เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างมากในหอคณิกาทางใต้ของเมือง ข้าเคยมีโอกาสรับใช้สองสามครั้ง กลิ่นหอมบนตัวคุณชายใหญ่ก็คือกลิ่นธูปหอมอำพันทะเล เห็นทีจงหย่งกงคงรักหลานสายตรงคนนี้เป็นพิเศษ มอบของพระราชทานแก่คุณชายใหญ่ก็ไม่รู้สึกว่าเกินไป”

เห็นดวงตาของนางหรี่เล็ก ท่าทางเครียดเกร็งเล็กน้อย เขาถอนใจอีกครา เอ่ยราวกับต้องการชี้แนะด้วยความจริงใจ…

“ขอแม่นางอย่าได้ดึงดันอีกเลย ราษฎรในเมืองหลวงต่างก็รู้ว่าสุนัขดุร้ายจำนวนมากที่จวนจงหย่งกงเลี้ยงไว้มีความอดทนอย่างน่าตกใจ แม่นางยังคงหลบเลี่ยงปลายดาบนี้เสียก่อน ซ่อนตัวให้ดี การรักษาบาดแผลเป็นสิ่งสำคัญ ให้ข้าช่วยแม่นางดีหรือไม่”

เสมือนต้องการพิสูจน์วาจาที่เขาพูดตอนนี้ก็มิปาน ทันใดพลันเกิดเสียงโกลาหลขึ้นนอกหอซือเฟย

เสียงฝีเท้าสับสน เสียงตะโกนโหวกเหวกดังขึ้นไม่ขาดสาย เห็นชัดว่าคนที่มามีจำนวนไม่น้อย ในนั้นยังมาพร้อมกับเสียงสุนัขเห่าหอนชวนอกสั่นขวัญแขวนที่ดังทำลายความเงียบงันยามราตรีลงไป

เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นใกล้แค่เอื้อม ราวกับเป็นเหตุการณ์คับขันที่จ่อประชิดเข้ามาถึงหางคิ้ว

โดนบีบจนจวนตัวเช่นนี้แล้ว นางจะทำอย่างไรดี

ฉินชิวรู้สึกตื่นเต้นในใจลึกๆ ช่วยอีกฝ่ายคิดสถานการณ์ที่เป็นไปได้นับหลายอย่าง นึกไม่ถึงว่าการกระทำของหญิงสาวตรงหน้าจะผิดไปจากความคาดหมายอีกครั้ง

มีดคมที่จ่อลำคอของเขาอยู่ถอยออกไปทันที เขาถูกนางผลักไปยังมุมผนังตรงที่ใช้วางหีบใส่ของ ฝืนกดไหล่เขาลงจะให้เขานั่งยองลงไป

“ซ่อนตัวให้ดี อยู่เงียบๆ” เสียงของนางเย็นเยือก แววตาวาวโรจน์ดุจคบไฟ

จากนั้น ฉินชิวที่นั่งยองลงก็นิ่งงันมองแม่นางหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับหน้าต่างฉลุลายน้ำแข็งร้าวที่เรียงติดกันเป็นแถบ มือทั้งสองข้างต่างถือมีดเงินประณีตยาวขนาดครึ่งแขน ไม่ต่างกับหนึ่งคนยืนเฝ้าด่าน

ตอนที่เท้าสองข้างของนางยังยืนไม่มั่นคง สุนัขดุร้ายก็กระโดดพังหน้าต่างเข้ามา

นางทะยานร่างไปข้างหน้า หมายจะฝ่าออกไปข้างนอกล่อพวกมันไปจากที่นี่ แต่ในชั่วพริบตานั้น เหนือศีรษะคล้ายมีสิ่งของอะไรตกลงมา…

กลับเป็น…ผ้า…ผ้าม่านโปร่ง!

ผ้าม่านโปร่งมาอยู่นี่ได้อย่างไร

นี่มันดูไร้เหตุผลโดยสิ้นเชิงนี่นา!

คงมิใช่ว่าเดิมก็ประดับอยู่บนเพดานของหอนี้อยู่แล้ว เป็นนางที่ใช้ความคิดมากเกินไปจึงไม่มีเวลาคอยสังเกตหรอกนะ

คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ แต่จำนวนนี้นั้น…จะประดับเอาไว้มากไปหน่อยหรือไม่

ม่านโปร่งทับซ้อนเป็นชั้นๆ จนดูไม่ออกว่ามีกี่ผืนกันแน่ ทั้งไม่รู้ว่าปกคลุมในขอบเขตกว้างเท่าใด เอาเป็นว่าครอบศีรษะคลุมหน้านางจนมืดมิดไม่เห็นฟ้าดิน แยกแยะทิศทางไม่ได้

ประดุจกับดักตกใส่!

นางกระจ่างแจ้งในใจทันควัน ชูมีดเงินกำลังจะกรีดผ่าสิ่งกีดขวางชั้นแล้วชั้นเล่า ทว่ากลับได้ยินเสียงบุรุษประหลาดผู้นั้นลอยเข้าหู น้ำเสียงดั่งบทเพลงทุ้มต่ำเนิบช้าและนิ่มนวล แผ่ขยายอย่างช้าๆ ในจิตใต้สำนึก…

“ไม่เป็นไร ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องสนใจ แค่ต้องนอนหลับสบายๆ ตื่นหนึ่ง เมื่อตื่นนอน ทุกอย่างจะดีเอง เชื่อคำพูดข้า ดีหรือไม่”

…ดีหรือไม่

มีอันใดไม่ดี

มีคนต้องการแบกรับแทนนาง นางไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น ขอแค่หลับสนิทนิทรา จมดิ่งลงสู่ห้วงฝันดำมืด จากนั้น…จากนั้นปัญหายากเย็นทั้งหมดก็จะคลี่คลายโดยง่ายดุจมีดกรีด ไม่ทราบว่ามีอันใดไม่ดีเล่า

สุนัขดุร้ายเห่าอย่างบ้าคลั่ง ฉุดรั้งสติสัมปชัญญะของนาง สัตว์ตัวสูงใหญ่สองสามตัวที่ประสาทรับกลิ่นเฉียบไวก็โดนผ้าโปร่งชั้นแล้วชั้นเล่าปิดกั้นจนตื่นกลัวลนลานเช่นกัน นางฝืนบังคับตนเองให้ลืมตา ทว่าเปลือกตาทั้งสองก็ประดุจหนักพันชั่ง นางทำไม่สำเร็จ ลูกตากลิ้งกลอกไม่หยุดอยู่ใต้เปลือกตา

“นอนเถิด ไม่ต้องคิดเรื่องใดทั้งสิ้น ให้ข้าช่วยเจ้า” บุรุษปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่มอีกครั้ง

กลีบปากของนางเผยอขึ้น เปลี่ยนความคิดในใจเป็นถ้อยคำแล้วเปล่งออกไป “ซ่อนตัวให้ดี…ท่านอ่อนแอมาก อันตราย…”

เสียงหัวเราะของบุรุษใสเสนาะดั่งกระดิ่งกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ “เพราะว่าข้าอ่อนแอมาก แม่นางจึงได้ปกป้องข้าไว้ด้านหลังตัวใช่หรือไม่ มองดูเช่นนี้ แม่นางใช้มีดคมจ่อคอข้า ก็เป็นเพียงคำพูดข่มขู่ หลอกให้กลัวไปเท่านั้น ไม่คิดทำร้ายข้าตั้งแต่ต้น แม่นางรู้หรือไม่ ผู้ที่ใจอ่อนต่างหากที่อ่อนแอ แม่นางใจอ่อน แม่นางจึงจะเป็นฝ่ายที่อ่อนแอผู้นั้น”

นางยังคิดเอ่ยวาจา กระนั้นกลับจับกระแสความคิดตนเองไม่ได้เสียแล้ว

เสียงของเขาไพเราะอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงเสนาะหูเกินไป ไม่ต่างกับการโยนเหยื่อล่อ ล่อให้นางปลดปล่อยทุกอย่าง หลงลืมทุกสิ่ง…

“นอนเถอะ ไม่เป็นอะไรแน่”

“อืม…อื้อ…” นางรู้สึกแปลกพิกล แต่ก็ไม่รู้ว่าไม่ถูกต้องตรงที่ใด บางทีอาจเพราะพิษที่แผลออกฤทธิ์ ทำให้สติเปลี่ยนไปพร่าเลือนมากขึ้น

นางไม่กลัวพิษ แต่ก็เข้าใจว่าจำเป็นต้องหาสถานที่ปลอดภัยเด็ดขาดที่หนึ่งอย่างรวดเร็วเพื่อปรับลมปราณสงบจิตใจ ใช้พลังวัตรของนางขับพิษเองอย่างช้าๆ เพียงแต่อันตรายตรงหน้ารุกประชิดเข้ามาใกล้ นางไม่อาจรักษาอาการบาดเจ็บอย่างสงบเงียบได้ดั่งที่ตั้งใจ

พูดตามจริง นางอยากจะละทิ้งทุกอย่างโดยไม่ห่วงกังวลสิ่งใดมากนัก ไม่ต้องยืนหยัดอีก อยากทำเช่นนั้นมาก อยากเหลือเกิน…

ฉับพลันนั้นก็มีคนเคลื่อนย้ายร่างกายนาง นางพลันรู้สึกเย็นวาบในอก สติสัมปชัญญะที่ล่องลอยไปไกลถูกดึงกลับมา แต่ความตั้งมั่นกระแสนั้นคล้ายใยแมงมุมที่พลิ้วไหวในฤดูใบไม้ผลิ ลอยละล่อง ยากยึดกุมไว้

ด้วยเหตุนี้นางจึงดึงรั้งสติแจ่มชัดหนึ่งเดียวที่สามารถดับวูบไปได้ทุกเมื่อนี้ไว้แน่น นางทุ่มเทกำลังทั้งหมดที่มีในการฟัง แหวกว่ายอยู่ในความว่างเปล่าอย่างไม่ยอมพ่ายแพ้

มีเสียงหลายเสียงมาก มากมาย มากมายเหลือเกิน…

เสียงฝีเท้าขึ้นบันได เสียงสุนัขเห่า เสียงประตูกระแทกเปิดปิด ตามด้วยคนจำนวนไม่น้อยบุกเข้ามา…

นางพลันสังเกตว่าเสียงเอะอะวุ่นวายเหล่านี้คล้ายเคยหายไป

หายไปโดยสิ้นเชิง หลังจากนั้นก็ดังระเบิดขึ้นอีกหน

ในช่วงเวลาสั้นๆ ตอนที่นางถูกผ้าโปร่งนับชั้นไม่ถ้วนคลุมทับ ตอนที่บุรุษประหลาดผู้นั้นพูดคุยกับนาง รอบด้านนั้นเงียบสงัด ดูคล้ายทุกสรรพสิ่งเคยเงียบสนิทไปในตอนนั้น…

แต่…อาจเป็นได้ว่าเพราะนางบาดเจ็บสาหัสเกินไป พิษแผ่ขยายไปทั่วร่าง กัดกลืนประสาทสัมผัสทั้งห้าอันเฉียบไวที่นางฝึกฝนมาจนมีสภาพน่าอนาถเหลือทน ทำให้นางรู้สึกราวกับลอยคอผลุบโผล่อยู่กลางความจริงความเท็จ ความปลอมความแท้

เสียงเหล่านั้นอยู่ห่างออกไประยะหนึ่ง ทั้งเสมือนกั้นด้วยผนังอีกชั้น ส่งเสียงอึกทึกอยู่อีกด้านของผนัง

“นายท่านทั้งหลาย นายท่านคนดีทั้งหลาย ระวังคบเพลิงในมือ อย่าแกว่งแรงเพียงนั้น ระวังด้วย! โอ๊ยๆ ข้าเฟิ่งหมิงชุนวันนี้ขอสาบานต่อเทวดาฟ้าดิน สำนักชิงเยี่ยนของพวกเราอะไรก็กล้าซ่อน ทว่าไม่มีความกล้าหาญพอจะซุกซ่อนคนมีที่มาที่ไปไม่แน่ชัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนายท่านทั้งหลายต้องการไล่จับฆาตกรฆ่าคน? ซ้ำทะ…ที่คนผู้นั้นฆ่ายังเป็นถึงคุณชายใหญ่สายตรงของจวนจงหย่งกง ช่างน่าสะพรึงยิ่งนัก นึกไม่ถึงจะมีคนสารเลวบุกจวนจงหย่งกงกลางดึกไปบั่นคอคุณชายใหญ่ เรื่องโหดเหี้ยมอำมหิตปานนี้จะเป็นคนในหอของพวกเราได้อย่างไร เป็นไปไม่ได้ นี่ ท่านทั้งหลายว่าใช่หรือไม่เล่า”

“พูดให้น้อยหน่อย! สุนัขดุร้ายสองสามตัวนี้พุ่งมาที่นี่ จมูกพวกมันเฉียบไวกว่าอะไร สำนักชิงเยี่ยนต้องมีปัญหาแน่!” หัวหน้าที่นำคนบุกเข้ามาชี้ขาดอย่างโหดเหี้ยม

“โอ้ สวรรค์! หอซือเฟยนี้เป็นที่พักของคุณชายฉินชิวของเรา เขาอยู่ดูแลแขกสำคัญยุ่งง่วนถึงค่อนคืนเพิ่งจะขึ้นมาเตรียมพักผ่อน บนนี้มีเขาแค่ผู้เดียว ยังจะมีใครได้อีก”

“ใครต้องการจะฟังแม่เล้าหรือพ่อเล้าอย่างเจ้าพูดเรื่อยเปื่อยเป็นวรรคเป็นเวรที่นี่กัน พวกเรา…ค้น!”

“เอ่อ…ครูฝึกหลี่ สุนัขของพวกเรา…สุนัขของพวกเราไม่ขยับทั้งหมดเลยขอรับ!” ผู้ใต้บังคับบัญชาของครูฝึกหลี่ตะลึงระคนฉงนสงสัย

อีกคนหนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างตกใจเช่นกัน “เมื่อครู่วิ่งอย่างกับลมกรด ไล่กวดไปพลางเห่าไปพลาง ไยจู่ๆ ถึงได้หมอบราบไม่ลุก…นี่! ลุกขึ้น เดรัจฉานพวกนี้ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”

ครูฝึกหลี่ตวาดกร้าว “ไม่ต้องสนสุนัขแล้ว! ขอแค่พวกเจ้าตรวจค้นให้ข้า ค้นให้ทั่วทุกซอกทุกมุม!”

“ขอรับ!” คนสิบกว่าคนตอบรับโดยพร้อมเพรียง

จากนั้นเสียงโพล้งเพล้งโครมครามก็ดังสนั่นขึ้นระลอกหนึ่ง เสียงโต๊ะเก้าอี้ของตกแต่งล้มคว่ำเสียหายดังขึ้นไม่ขาดสาย พร้อมกับเสียงร้องตระหนกอย่างโกรธแค้นที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมของเฟิ่งหมิงชุนดังไล่หลัง…

“พวกเจ้าจะทำป่าเถื่อนเช่นนี้ไม่ได้นะ! เครื่องเรือนในหอนี้เป็นของชั้นเลิศที่สุดทั้งสิ้น มีของดีไม่น้อย พวกเจ้า…พวกเจ้า ไม่ได้นะ…อ๊าก! ชิวกวน ชิวกวนมานี่เร็ว! อย่าไปเอาความกับพวกเขา อย่าปกป้องพิณไม่วาง ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรนะ…”

หลังจากความโกลาหลดำเนินต่อเนื่องไปได้หนึ่งเค่อ กลุ่มคนที่สร้างความวุ่นวายก็ทยอยกลับมารายงานว่าค้นหาเงื่อนงำไม่ได้เลยแม้แต่เศษเสี้ยว

เหตุใดจึงหนีรอดได้โดยราบรื่น

บุรุษประหลาดคนนั้นทำได้อย่างไรกัน

ว่าแต่…ข้าซ่อนตัวอยู่ที่ใดกันแน่

ความสงสัยมากมายผุดขึ้นพร้อมกัน ก่อกวนจิตใจนางให้สับสนเป็นเท่าทวี นางใกล้จะทนต่อไม่ไหว นางดันปลายลิ้นเข้าไปอยู่ระหว่างแนวฟันแล้วกัดแน่น พึ่งพาความเจ็บปวดบังคับให้ตนเองยืนหยัด ยามนั้นเองก็ได้ยินเสียงเถ้าแก่สำนักชายบำเรอผู้นั้นโวยวายเสียงดัง…

“บอกว่าไม่มีอะไร เป็นไปไม่ได้ที่จะซ่อนคนชั่วช้า พวกท่านก็เอาแต่ไม่เชื่อ เงินสินบนพวกเราก็จ่ายไปไม่น้อย ครูฝึกหลี่ท่านยังคงพาคนบุกเข้ามา นี่นับเป็นเรื่องอะไรกัน จะให้คนทำมาหากินอีกหรือไม่ พวกเราสำนักชิงเยี่ยนแม้จะเป็นสถานที่สกปรกโสมม แต่ก็มีชื่อเป็นที่รู้จักในเมืองหลวง หากเรื่องนี้ดังขึ้นมา ครูฝึกหลี่ หน้าท่านก็จะไม่น่าดูเช่นกัน!”

“จะให้หน้าข้าไม่น่าดูกระนั้นหรือ” ครูฝึกหลี่แค่นหัวเราะเฮอะ ราวกับจับคนไม่ได้ทั้งยังถูกคนฉีกหน้า จนพลันคิดไม่ดีขึ้นมา “เจ้า…คนที่อุ้มพิณไม่วางคนนั้น ใช่ เจ้านั่นล่ะ หึๆ ผู้นี้ก็คือเจ้าของชื่อเสียงลือลั่นในสำนักชิงเยี่ยนแห่งย่านละลายทรัพย์ที่ผู้คนขนานนามว่า ‘หนึ่งจุดเขียวท่ามกลางหมื่นบุปผาแดง’ คุณชายฉินชิวกระมัง มานี่ๆๆ ของในหอนี้ล้วนควานหาหมดแล้ว เหลือแต่เจ้าของเล่นนี่ยังไม่ได้ค้น ถอดเสื้อผ้าให้พวกข้าดูเสีย”

เฟิ่งหมิงชุนเอ่ยถามขึ้นอย่างตกใจ “อะไรของเล่นไม่ของเล่น พวกเจ้า…พวกเจ้ายังคิดทำอะไรอีก!”

ครูฝึกหลี่แค่นหัวร่ออีกครั้ง “คืนนี้คนชุดดำที่ก่อคดีในจวนจงหย่งกงถูกปรนเปรอจากค่ายกลที่มีกลไกหลายต่อหลายชั้น มีบาดแผลที่แผ่นหลัง พวกเราไม่ได้คิดทำอะไร แค่อยากยืนยันแน่ชัดว่าหลังของคุณชายฉินชิวที่พักในหอนี้มีบาดแผลหรือไม่ เฮอะ สุนัขดุร้ายพวกนั้นทีแรกก็พุ่งมาที่เขาเลย ย่อมไม่มีทางพุ่งมาอย่างไร้เหตุผล ไม่แน่คนที่พวกเราตามล่าก็คือเขา ทุกคนว่าอย่างไร คิดว่ามีความเป็นไปได้นี้หรือไม่”

ผู้ใต้บังคับบัญชาทั้งโขยงรีบร้องรับ ทั้งมีหลายคนยังโห่ร้องด้วยเจตนาร้ายเต็มเปี่ยมเหมือนชมเรื่องสนุกก็ไม่ปานอีก…

“ถอด! ถอดเร็วๆ!”

“พวกข้ารอจนรำคาญแล้ว ยังไม่ถอดอีก”

“กางเกงเล่า กางเกงก็ถอดด้วย”

“เจ้าแน่ใจนะว่าใต้ชุดคลุมยาวของผู้อื่นมีกางเกงอยู่ด้วยน่ะ”

“ให้ข้าเดา เป็นบั้นท้ายเปล่าเปลือยแปดส่วน จะได้สะดวกปรนนิบัติบุรุษทั้งหลายอย่างไรเล่า หากสวมกางเกงยังต้องถอดอีก ยุ่งยากจะตาย ฮ่าๆๆ ก็ไม่รู้ว่าแก้มก้นทั้งสองจะนุ่มหยุ่นเหมือนหญิงสาวหรือไม่นะ”

“พวกเจ้า…พวกเจ้า…” เฟิ่งหมิงชุนเดือดดาลถึงขั้นเสียงสั่นพร่า ทันใดนั้นเขาก็ร้องขึ้นเสียงแหลม “ชิวกวน! เจ้าจะทำอะไร ชิวกวน…ชิวกวนอย่าถอด…”

อย่าถอดนะ

คนที่ซ่อนตัวอยู่ไม่รู้ว่าเรือนกายที่ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบในที่ลับของตนเองพลอยสั่นเทาโดยพลันตามเสียงร้องโวยวายอย่างปวดร้าวของเฟิ่งหมิงชุน

ถึงขีดจำกัดแล้ว

ยิ่งนางต้องการดึงรั้งความคิดจิตใจไม่ยอมปล่อย กระแสคลื่นขุ่นมัวก็ยิ่งสาดซัดเข้ามาอย่างไม่ปรานีปราศรัย

ในที่สุด ประสาททั้งห้าก็ทอดทิ้งนางไปโดยสมบูรณ์ นางถูกลากลงสู่ห้วงลึก สติรับรู้ปลิดปลิวไปไกล และจมดิ่งสู่ความว่างเปล่า

 

“อาจารย์…อาจารย์…”

“เอ๋? ทำอย่างไรดี ข้าไม่ใช่อาจารย์ของเจ้าน่ะสิ” เสียงถอนใจของบุรุษแฝงรอยขัน

“ศิษย์น้อง…ศิษย์น้อง…”

เสียงใสสุภาพของบุรุษสูงขึ้นเล็กน้อย ถามอย่างสนอกสนใจ “ที่แท้เจ้ามีศิษย์น้อง อืม กระทั่งนอนหลับยังพึมพำถึงอีกฝ่าย ดูท่าพวกเจ้าศิษย์พี่ศิษย์น้องความสัมพันธ์ดียิ่งใช่หรือไม่”

เสียงตอบรับที่บุรุษได้รับคือเสียงครวญต่ำที่ไม่ปะติดปะต่อกัน พูดว่าเป็นเสียงตอบรับยังไม่สู้พูดว่านางกำลังอดทนต่อความเจ็บปวดทางร่างกายอยู่

“ข้ารู้ว่านี่จะเจ็บมาก ซ้ำยังจัดการยากยิ่งยวด แต่ไม่เร่งมือแก้ไขไม่ได้ ช้าไปอีกนิด เกรงว่าพิษจะแทรกซึมลึกเข้าไปในไขกระดูก เลือด และลมปราณ ถึงตอนนั้นทุกอย่างจะสายเกินไป ถ้าเจ็บจนทนไม่ได้ อย่าอดกลั้น อยากร้องไห้ก็ร้อง ไม่มีใครหัวเราะเยาะเจ้า”

นางจะร้องไห้ที่ใดกัน!

แล้วนางก็ไม่เจ็บด้วย!

นางนึกว่าตนเองกำลังโต้แย้งเสียงแข็ง ไหนเลยจะรู้ว่าที่เปล่งออกจากริมฝีปากมีแต่ประโยคขาดห้วง

ประสาทสัมผัสทั้งห้ากลับมาอีกครั้ง สติรับรู้ป่วนปั่น รู้สึกว่ามีคนถอดอาภรณ์นางออก นางโดนจับให้อยู่ในท่านอนคว่ำ ด้านล่างคือผ้าปูหนานุ่มหนึ่งชั้น ส่งกลิ่นจันทน์หอมปะปนกับกลิ่นหญ้าลิ่น แห้งออกมาจางๆ หอมมากเหลือเกิน

…เป็นอาจารย์กระมัง

มีเพียงอาจารย์ที่อาจดูแลนางเช่นนี้ ทั้งยังปลอบประโลมเบาๆ ต้องเป็นอาจารย์แน่

ต่อให้…ต่อให้ในส่วนลึกของใจอาจารย์ ผู้ที่สำคัญยิ่งยวดที่สุดคือศิษย์น้องเสมอ นั่นก็หาได้มีอะไรผิดพอให้วิจารณ์ ศิษย์น้องเป็นสายเลือดหนึ่งเดียวบนโลกนี้ของอาจารย์ กล่าวถึงความใกล้ชิดทางสายเลือด นางย่อมเทียบศิษย์น้องไม่ได้ แต่อาจารย์ยังคงปฏิบัติกับนาง…ดีทีเดียว

“อา…อาจารย์…” ซีกหน้าข้างหนึ่งฟุบลงเสียดสีไปกับหมอนนุ่ม

“เป็นอาจารย์เจ้าสั่งให้แฝงตัวเข้าจวนจงหย่งกงฆ่าคนอย่างนั้นหรือ อีกทั้งคนที่ฆ่ายังเป็นหลานหัวแก้วหัวแหวนของจงหย่งกง เฮ้อ…นี่เป็นเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตโดยแท้” เขาถอนใจแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงแฝงความสงสารเห็นใจ “จงหย่งกงตู้เอ้าหรานอายุยี่สิบก็นามกระเดื่องไปทั้งชายแดนเหนือ บัดนี้อายุเจ็ดสิบแปด ความดีความชอบในการศึกเกินค่อนชีวิตนำมาซึ่งบำเหน็จรางวัลเหลือคณาและความเคารพยกย่องจากทั้งราชสำนัก ว่ากันว่าเขามีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนักพรตหลิงเจินแห่งเขาอวิ๋นเหยา หลิงเจินเคยตอบรับคำขอเขา ตั้งค่ายกลสร้างกลไกตามหลักอินหยาง ห้าธาตุในจวนจงหย่งกง อาจารย์บอกให้เจ้าไปบุก เจ้าก็บุกเข้าไปจริงๆ และยังฝ่าออกมาอีก ทว่าบาดเจ็บถึงเพียงนี้ เขาหักใจยอมรับได้จริงๆ หรือ”

“ไม่ใช่อาจารย์ เป็นข้าเองจะไป…ข้าจำเป็นต้องไป…”

“อย่างนั้นรึ เพราะเหตุใดกัน”

นิ้วมืออุ่นร้อนไล่ผ่านแผ่นหลังของนาง สัมผัสผิวเกลี้ยงเกลาของนางเบาๆ ชวนให้นางสั่นสะท้าน พาให้นางยิ่งรู้ชัดถึงจุดที่เจ็บบนแผ่นหลัง รับรู้ว่ามีเข็มยาวเจ็ดเล่มปักอยู่บนแผ่นหลังนาง

ในจวนจงหย่งกงมีกลไกซ่อนอยู่ติดกัน เพียงแตะถูกนิดเดียวก็จะทำงานทั้งหมด หากนางไม่ดึงดันจะให้ฝ่ายตรงข้ามได้ลิ้มรสความทรมานมากหน่อย ความจริงนางก็สามารถหลบได้ทันเวลา

“คนผู้นั้น…เลวร้ายมาก…จะให้เขาสมประสงค์เกินไปไม่ได้ ต้องค่อยๆ สังหาร ค่อยๆ…จึงจะดี…จึงจะดี…” หลังหอบหายใจเล็กน้อย นางก็เบ้ปากพลางอธิบาย

บุรุษอุทานเบาคำหนึ่ง “คุณชายจวนจงหย่งกงชั่วร้ายเพียงนั้นจริงหรือ”

“อืม…”

“ชั่วร้ายถึงขั้นที่เพื่อตัดมือตัดเท้าสังหารเขา ร่างกายเจ้าโดนกลไก ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ นี้ก็ยังคุ้มค่า?”

“คุ้ม…”

“เอาล่ะ ดึงออกได้เสียที”

นางได้ยินบุรุษพรูลมหายใจสายหนึ่ง ไม่ทันแยกออกว่าคืออะไร กระดูกสะบักซ้ายก็ปวดแปลบกะทันหัน

ความเจ็บปวดขุมนั้นดั่งต้องการบดขยี้กระดูกนางให้แหลกลาญ ทะลวงตรงไปถึงไขกระดูกและแผ่ขยายออกไปอย่างเหี้ยมโหด สองตาของนางเบิกโพลง กระชากสติรับรู้กลับคืนมาโดยแรง

นี่ก็คือเจ็บจนฟื้นสติ!

หลังจากฟื้น กลิ่นไม่คุ้นเคยตลบอยู่ในจมูก สัมผัสที่สบายเกินไปใต้ร่าง และแสงสีฟ้าเรืองรองที่เสียดแทงดวงตาของนาง…นี่ไม่ใช่สถานที่ที่นางรู้จัก ไม่ใช่สิ่งของที่นางคุ้นเคย คนข้างกายไม่ใช่อาจารย์!

การเคลื่อนไหวของนางถูกขับเคลื่อนด้วยสัญชาตญาณทั้งหมด จิตใจตั้งมั่นยึดกุมความเจ็บปวดทางร่างกาย ก่อนจะซัดฝ่ามือใส่คนที่อยู่ชิดใกล้กับนางทันทีทันใด

ร่างที่หมอบคว่ำพลิกตัวทีหนึ่ง นางพลิกขึ้นนั่งคร่อมบนเอวของคนผู้นั้น นิ้วมือทั้งสิบชูเป็นกรงเล็บ

ทันทีที่ออกท่าก็ถึงกับเป็นกระบวนพิฆาต!

นี่เป็นสิ่งที่นางร่ำเรียนมาและรับรู้ เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์วิกฤตไม่ใช่เจ้าตายก็ต้องเป็นข้าที่ตาย ยอมฆ่าผิดก็ไม่อาจให้ตนเองตกที่นั่งลำบาก ในชั่วเส้นยาแดงผ่าแปด นางพลันระงับแรงที่หมายจะบีบคออีกฝ่ายให้สะบั้น ท่ามกลางห้องที่เต็มไปด้วยแสงสว่างสีฟ้าเลือนราง นางจำหน้าเขาได้

นางหลุบตาลงมองใบหน้าหล่อเหลาของเขา แววตาลึกล้ำนิ่งสงบของเขาดึงดูดความสนใจนาง นางขยับปาก พึมพำออกไปด้วยจิตใต้สำนึก…

“ชิวกวน…ชิวกวน…อย่าถอด…คนผู้นั้นตะโกน ข้าได้ยิน…ได้ยินแล้ว…แต่ท่าน ท่านได้ถอดหรือไม่”

ใบหน้าของนางไร้อารมณ์ความรู้สึกมาแต่ไหนแต่ไร อยู่เบื้องหน้าผู้อื่นพูดได้ว่าอำมหิตไร้น้ำตา การดำรงอยู่ของคนตรงหน้าสำหรับนางแล้วเป็นคนแปลกหน้าโดยสิ้นเชิง นางกลับไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดเมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วยิ้มน้อยๆ ฉีกยิ้มจางๆ ใต้กรงเล็บดุดันของนาง ในใจนางจึงว้าวุ่นปรวนแปร

เขาคล้ายอ่านนางขาดก็ไม่ปาน ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีไร้พิษภัยที่สุดกับนาง ปล่อยให้นางหยิบจับตามอำเภอใจ

จากนั้นเขาก็กะพริบตาเอ่ยกระซิบ “แม่นางต้องการให้ข้าตายก็ทำอย่างรวบรัดเด็ดขาดเสียเถิด บีบกระดูกคอแตกหรือปิดกั้นลมหายใจอย่างไรก็ได้ แต่ข้าไม่ใช่คนเลวร้ายนัก อย่า…อย่าใช้วิธีตัดมือตัดเท้า ได้หรือไม่”

น้ำเสียงเขาสุขุมแฝงแววขัน ในสีหน้ากลับอาบย้อมด้วยรัศมีที่เกือบเรียกได้ว่า ‘ชิงชังโลก’

ชิงชังโลกหรือ…

นางมองเขาอย่างอึ้งงัน สมองมึนงงสับสน ความรู้สึกซับซ้อนอันกล่าวไม่ชัดเอ่ยไม่กระจ่างขุมหนึ่งทิ่มแทงขั้วหัวใจ ยังผลให้ขอบตาและโพรงจมูกนางร้อนผ่าวอย่างไร้สาเหตุ

เปาะแปะ เปาะแปะ…

หยดน้ำตาหยาดรินลงบนสองแก้มของเขา

นางเห็นเขาตะลึงอึ้งในทีแรกจากนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนแปรในบัดดล นางสูดหายใจเฮือก บ่าทั้งสองสั่นระริก

ในที่สุดก็ตระหนักได้ นั่น…นั่นคือน้ำตาของนาง

น้ำตานางตกลงบนใบหน้าเขา นางมองเขาพลางร่ำไห้อย่างขลาดเขลา

บทที่สอง ประสบชะตากรรมรันทดดุจเดียวกัน

เข็มโลหะยาวสามชุ่น ไม่เพียงทิ่มแทงเนื้อหนัง ยังแทงทะลุถึงกระดูก หากต้องการถอนออก ย่อมต้องทำให้นางเจ็บ

สิ่งที่ทำให้ฉินชิวเลิกคิ้วอย่างประหลาดใจก็คือเขาลงมืออย่างปุบปับ ทำให้ความเจ็บปวดที่หลังนางปะทุขึ้น นางที่จิตใจไม่มั่นคงยังคงแม้แต่ร้องโอดครวญดังลั่นสักเสียงก็ยอมไม่ได้ กระนั้นร่างกายกลับตอบสนองทันควัน นางพลิกร่างกดเขาที่เป็น ‘ศัตรู’ เอาไว้ เพียงออกฝ่ามือก็เป็นท่าพิฆาตทันที

เขาโดนผลักล้มลงกับเตียงในพริบตา ในใจเขาเชื่อว่ามือสองข้างของหญิงสาวที่บีบลำคอตนเองขอแค่บิดเท่านั้นก็จะสามารถจบชีวิตเขาลงได้อย่างง่ายดาย

ในชั่วอึดใจแสนสั้นนั้น เขามองเห็นไอสังหารที่แผ่ออกมาจากเรียวคิ้วและดวงตานาง มันช่างเยียบเย็นดั่งคมมีดคมกริบ

ดวงหน้าที่รูปโฉมค่อนไปทางอ่อนละมุนนั้นโหดเหี้ยมอำมหิตถึงเพียงนั้น ไม่เจือความรู้สึกใดๆ แม้แต่น้อย ไม่ปะปนความสงสารแม้สักครึ่งหนึ่ง ยิ่งไม่มีความเกลียดชังแม้เพียงเศษเสี้ยว พูดถึงที่สุดคือเป็นเพียงความคิดอันบริสุทธิ์ยิ่งเท่านั้น นางเกิดความคิดที่จะสังหารเขา ไม่ใช่เพราะเหตุใด แค่เพื่อตัวนางรอดชีวิต

จากนั้นพริบตาถัดมา แววตานางเปลี่ยนแปลงฉับพลัน นิ้วมือทั้งสิบผ่อนแรง นางจำเขาได้!

ฉินชิวพบว่าตนเองละสายตาจากนางไม่ได้โดยสิ้นเชิง เพราะสีหน้าของนางเปลี่ยนแปรไปและเปลี่ยนแปรกลับมาอีกหน การเปลี่ยนแปรนั้นรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ พลอยทำให้หน้าอกซ้ายของเขาเครียดเกร็งและผ่อนคลาย ผ่อนคลายและเครียดเกร็งอีก เขาได้ลิ้มลองอารมณ์ที่เกือบนับได้ว่ากระสับกระส่ายซ้ำๆ

นี่เป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยมีมาแสนนาน…ทำให้รู้สึกว่าตนเองยังมีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่ศพเดินได้ร่างหนึ่ง

ดังนั้นริมฝีปากบางของเขาจึงคลี่ยิ้มช้าๆ แย้มยิ้มให้นางอย่างไม่อาจหักห้ามใจ

แม่นางผู้นี้เป็นคนล้ำเลิศอย่างที่คิด และนางก็ไม่ทำให้เขาผิดหวัง ถึงกับถามเขาขึ้นว่า…

‘…แต่ท่าน ท่านได้ถอดหรือไม่’

ขณะเอ่ยคำ นางพลันน้ำตารินอย่างไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า

หยาดน้ำตาอุ่นร้อนราวกับลวกผิวหนังได้ เขาตะลึงงันยิ่ง ก่อนจะเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปอีกครั้ง ซึ่งคล้ายว่าได้สติครบถ้วนสมบูรณ์กะทันหัน นางหรี่ดวงตาเม้มปาก ลมหายใจหนักอึ้งขึ้น ใบหน้าเล็กเย็นชาฉายแววระวังภัยเต็มเปี่ยม

สัมผัสได้ว่าแรงที่กดตรงลำคอผ่อนปรนลงเล็กน้อย ฉินชิวกะพริบตาให้นาง ดุจไม่เคยสังเกตเห็นนางหลั่งน้ำตามาก่อนพลางเอ่ยเนิบนาบขึ้นอีก…

“เคยได้ยินตั้งแต่ในอดีตว่านักพรตหลิงเจินสร้างสามค่ายกลสิบสองด่านกลไกไว้ในจวนจงหย่งกง ในนั้นที่อันตรายที่สุดยากเย็นที่สุดคือกลไกนามว่า ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ แม้รู้สึกสงสารที่แม่นางได้รับบาดเจ็บกลับมา แต่นี่กลับทำให้ข้าเปิดหูเปิดตา เห็นกับตาตนเองว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นสร้างหายนะกับคนเพียงใด”

…บุรุษผู้นี้รู้เรื่องราวไม่น้อยอย่างแท้จริง นางจ้องเขาอย่างเอาเป็นเอาตาย

เมื่อครู่เนื่องจากเขาขยับริมฝีปากเอ่ยคำ น้ำตาสองหยดที่ตกลงบนใบหน้าเขาจึงกลิ้งลงไปตามพวงแก้ม หัวใจนางบีบรัดเล็กน้อย ปากเม้มแน่นเป็นเส้นตรง

ประดุจอ่านความคิดนางออก เขาฉีกยิ้มมุมปากเล็กน้อยพลางเอ่ยอธิบาย “ที่นี่ทำอะไรหาเลี้ยงชีพเชื่อว่าแม่นางไม่มีทางไม่รู้ ในเมื่อมาหาทางรอดในสำนักชิงเยี่ยนแห่งนี้ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องเข้าใจผิวเผินสักหน่อยจึงจะดี ปกติยามสนทนากับใคร ฟังมากจำมากเรียนรู้ให้มากไม่มีทางผิดพลาดอย่างแน่นอน หากเป็นดังนี้ ยามพูดคุยเล่นเป็นเพื่อนแขกที่มาถลุงทองเด็ดดอมบุปผาจะได้พูดคุยอย่างดูเข้าท่าเข้าทางประหนึ่งตนเองมีความรู้มากจริงๆ และแน่นอนค่าตัวก็จะสูงขึ้นประหนึ่งน้ำขึ้นเรือย่อมสูงตาม”

ในสายตานาง บุรุษที่กำลังรองรับการปรายตามองอย่างเย็นชาจากนางผู้นี้ใบหน้างดงามยิ่งนัก ‘งามสง่า’ สองคำใช้บรรยายองคาพยพทั้งห้าของเขาได้อย่างเหมาะเจาะพอดีโดยแท้

รูปคิ้วของเขายาวเรียวชี้ไปทางจอนผม ดวงตายาวทว่าไม่แคบ จมูกสูงโด่งที่ให้ความรู้สึกว่าเค้าโครงเด่นชัด ใต้มุมซ้ายของแนวกรามคมสันยังมีไฝเม็ดเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มยิ่งเม็ดหนึ่ง ทว่าพาให้ความกระจุ๋มกระจิ๋มนั้นพลันเปลี่ยนไป…เปลี่ยนไปเป็นไม่กระจุ๋มกระจิ๋มถึงเพียงนั้น ราวกับเป็นการขับเน้นความงามเย้ายวนใจออกมา

นางเปลืองแรงเล็กน้อยจึงจะถอนสายตาที่จับจ้องเขาอยู่ได้ ก่อนค้นพบว่าทั้งสองคนอยู่ตามลำพังในห้องลับห้องหนึ่ง ผนังรอบสี่ด้านไม่มีหน้าต่างไม่มีประตูไม่มีรูโหว่ แสงนวลตาสีฟ้าจางสว่างใสนั้นมาจากก้อนหินหลินสือ ประหลาดที่ตั้งอยู่ตรงมุมผนังทั้งสี่ด้าน

หินประหลาดเหล่านั้นทอแสงเรื่อเรืองออกมา ในสถานที่เกือบมืดสนิทประกายแสงยิ่งสว่างจ้าขึ้นหลายเท่า นางเคยเห็นมาก่อนในถ้ำลึกบนยอดภูเขาหินนอกด่านทางตะวันตก แต่ไม่เคยคิดว่าในจงหยวน จะมีคนใช้พวกมันส่องสว่าง

ไม่พูดมิได้ว่าความคิดนี้ดีจริงๆ เพียงแต่…ห้องลับนี้ปรากฏขึ้นเพราะเหตุใด แล้วนางเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร

ข้อสงสัยผุดขึ้นข้อแล้วข้อเล่า ลมหายใจนางสับสน ลูกตากลอกไปมาไม่หยุด ทันใดก็ปราดเห็นแขนสองข้างที่กางออกเป็นรูปอักษร ‘ต้า’ มือขวาของเขาถือสิ่งของชิ้นเล็กๆ เหมือนก้อนหินสีดำสนิท มือซ้ายคีบเข็มโลหะยาวสามชุ่นไว้ระหว่างนิ้ว ปลายเข็มเปื้อนเลือด ทอประกายหม่นอันน่าพิศวง

นั่นเป็นเข็มโลหะพิษที่เพิ่งถอนออกมาจากกระดูกสะบักของนางเมื่อครู่

แผ่นหลังนางเจ็บมากเหมือนไฟร้อนแรงกำลังเผาไหม้ สติรับรู้ของนางเพิ่งแจ่มชัดไม่นาน เวลานี้จึงรู้สึกทรมานเป็นพิเศษ

หน้าผากมนของนางเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อละเอียด ชายหน้าผากกระตุกไหวอยู่ลึกๆ ได้ยินบุรุษใต้ร่างส่งเสียงอ่อนโยน กึ่งขอร้องกึ่งวิงวอน…

“ให้ข้าช่วยเจ้าดีหรือไม่ ข้าสาบาน จะเบามืออย่างที่สุด ระมัดระวังอย่างที่สุด พยายามไม่ทำให้เจ้าเจ็บเท่าที่เป็นไปได้ ดีหรือไม่” กล่าวจบเขาก็ทอดถอนใจอย่างสงสารคราหนึ่ง “ยืดเวลาออกไปเช่นนี้จะยิ่งย่ำแย่เท่านั้น ข้าไม่อยากให้เจ้าทนรับความทุกข์ที่สาหัสกว่านี้ ช่วยคนต้องช่วยถึงที่สุด เจ้าส่งเสริมข้าเถิดนะ ได้หรือไม่”

นางพูดไม่ออก ประการแรกคือรีบกลั้นความเจ็บ ประการที่สองคือรู้สึกว่าการวอนขออย่างจริงใจของเขาช่าง…ช่างชวนให้หมดคำพูด

เป็นคนแปลกอย่างที่คิดจริงๆ แปลกยิ่งนัก…

นางคิดอย่างพร่าเลือนพร้อมคลายน้ำหนักมือโดยพลัน เมื่อปล่อยการบีบรัดที่ลำคอเขาออก ทั้งร่างก็ผ่อนคลายลงตาม

คล้ายกับโดนถอดกระดูกสันหลังไปในเวลาสั้นๆ ร่างกายที่ยากประคองต่อล้มคว่ำไปด้านหน้า กดทับบนร่างเขา

“ข้า…ข้าร่างกายเปลือยเปล่า…ไม่ ไม่ได้สวมเสื้อผ้า…” รอยย่นของลายผ้าปักบนชุดคลุมยาวของเขาครูดผิวนางเบาๆ นางจึงค่อยสังเกตถึงสภาพร่างกายตนเองได้

ฉินชิวพูดอย่างไม่สะทกสะท้าน “อืม ไม่ได้สวมเสื้อผ้า ทว่าชิ้นด้านล่างยังอยู่ แผลบนหลังแม่นางเริ่มจากไหล่ซ้ายลงไปมีเจ็ดแห่ง หากต้องการถอด ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ นี้ มิอาจไม่ถอดอาภรณ์ออก ขอแม่นางโปรดอย่ากล่าวโทษ” เขาหยุดชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยเสริมอีกว่า “เคราะห์ดีที่ผมยาวของแม่นางหนามาก เมื่อครู่ตอนที่นั่งคร่อมบนร่างข้า ผมยาวที่สยายตรงหน้าอกปกปิดส่วนที่ควรปิดอย่างมิดชิด ไม่มีสิ่งใดโผล่มาให้เห็น”

คำพูดที่เขาเสริมพาให้หน้าผากนางเต้นกระตุก ฟังความนัยลึกๆ ไม่ออกอยู่บ้าง

ชั่วขณะนี้เขามองเห็นร่างนี้จนหมดหรือไม่ สำหรับคนที่คมมีดอาบเลือด ฆ่าคนเป็นอาชีพนานปีเช่นนาง ไม่นับเป็นเรื่องใหญ่โตอะไร นางก็แค่ไม่ยินดีอย่างที่สุดที่จะดูอ่อนแอไร้กำลังถึงเพียงนี้ต่อหน้าคนนอกเท่านั้น

นางลอบกัดฟันพยายามขยับออกจากแผงอกเขา ร่างกายที่ขดตัวในขณะที่อดทนต่อความเจ็บปวดถูกห่อด้วยผ้าผืนบางที่เขาดึงมาจากที่ใดก็สุดจะรู้ ให้นางหมอบคว่ำลงกับเตียงใหม่อีกครั้ง

เขากล่าวต่อว่า “หลังแม่นางถูกปักด้วยเข็มโลหะอาบยาพิษเจ็ดเล่ม เข็มโลหะทั้งหมดจมหายไปในเนื้อ ทำให้บนผิวแผ่นหลังแม่นางมีเพียงบาดแผลเป็นจุดแดงขนาดเล็กยิ่งยวด ต้องการดึงอาวุธออกมาไม่ง่ายดายอย่างมาก ดีที่ประจวบเหมาะข้ามีหินแม่เหล็กก้อนหนึ่ง มีมัน ใช้ดึงปลายเข็มโลหะออกมานอกผิวจากนั้นค่อยดึงออกนับเป็นเรื่องง่ายดายขึ้นอักโข ไม่ต้องกรีดผิวควักเนื้อ ซ้ำยังสามารถยับยั้งการแพร่กระจายพิษ เพียงแต่กระบวนการถอนเข็มจะเจ็บทรมานเป็นพิเศษ บัดนี้เพิ่งถอนเข็มแรกออกมาได้ ยังต้องขอแม่นางกัดฟันอดทน…อดทนอีกหน่อย ได้หรือไม่”

นางได้ยินเขาถามเสียงต่ำ ก่อนจะรู้สึกว่ามีฝ่ามือใหญ่วางบนกระหม่อมตนเอง ลูบกลับไปกลับมาอย่างช้าๆ…ชั่วขณะที่ใจลอย รู้สึกว่าตนเองราวกับกลายเป็นสุนัขตัวโต ขดตัวข้างเจ้านายเรียกหาความเอ็นดูอย่างไรอย่างนั้น

อ่อนแอเกินไป อ่อนแอเกินไปแล้ว…

นางพยายามมองข้ามความร้อนที่ส่งมาจากฝ่ามือและความอ่อนโยนของน้ำหนักมือเขา ไอต่ำๆ ระลอกหนึ่ง ส่งเสียงออกมาจากไรฟันอย่างไม่ยอมแพ้…

“หินแม่เหล็ก…หาได้ยากในจงหยวน ราคาแพงลิ่ว ใต้เท้า…ใต้เท้าร่ำรวยเสียเหลือเกิน ถึงนำออกมาแสดงต่อหน้าผู้อื่นอย่างส่งเดชเช่นนี้ได้”

เขายังคงยิ้มละไม “วาจานี้ของแม่นางคลาดเคลื่อนแล้ว ข้ามิได้ร่ำรวย แต่เป็นแขกผู้มีพระคุณที่มีมากมายนัก พูดกันตรงๆ ‘คุณชายฉินชิว’ ในสำนักชายบำเรอนี้ก็แขวนป้ายดาวเด่นอันดับหนึ่ง ขุนนางชนสูงศักดิ์ พ่อค้าใหญ่คหบดีร่ำรวยที่ติดตามชมชอบข้ามีไม่น้อยอย่างแท้จริง ข้าปรนนิบัติพวกเขาอย่างดี จะร้องขอหินแม่เหล็กจากมือพวกเขามาเล่น มีอันใดยาก ขณะที่ของนี้ได้ใช้ประโยชน์ยิ่งใหญ่ในวันนี้ ก็นับว่าเจ้ากับข้ามีวาสนาต่อกัน”

…มีวาสนาหรือ

นางหายใจเข้าออกยาวนานขึ้นปรับจิตใจให้สงบ ทบทวนคำพูดเขา คิดว่าตนเองได้รับบาดเจ็บหนีออกจากจวนจงหย่งกง ก่อนลมหายใจกำลังแรงจะหมดสิ้นได้หนีเข้ามาในสถานที่ฟุ้งเฟ้อเริงโลกีย์แห่งนี้

นางรู้ว่าบนตัวแปดเปื้อนกลิ่นพิเศษ และคาดเดาได้ว่ากลุ่มของครูฝึกกับเหล่าองครักษ์ของจวนจงหย่งกงช้าเร็วก็ต้องไล่ตามมา นางซ่อนตัวเข้าไปกลางดงดอกไม้ต้นไม้และพุ่มจื่อเถิงห้อยย้อยดุจน้ำตกซึ่งมีกลิ่นหอมเข้มข้น เพียงเพื่อช่วงชิงเวลาระยะหนึ่งเดินลมปราณขับพิษ นึกไม่ถึงพลันปรากฏบันไดหินลึกลับ นางล้มลงบนขั้นบันได หูจับเสียงครวญครางและเสียงคำรามต่ำที่เปล่งออกมายามเหล่าบุรุษด้านในหอร่วมอภิรมย์ได้…

นางหมดหนทางถอย จำต้องยอมสดับฟัง ผ่านไปเท่าไรก็สุดจะรู้ จวบจนเขาค้อมกายลงแทรกตัวผ่านพุ่มดอกไม้เดินขึ้นบันไดมา นี่ถึงได้บีบให้นางหนีจนหมดหนทางหนี จำต้องลงมือจับตัวเขาข่มขู่

ยามนี้เองนางก็สัมผัสได้ว่าเขาเลิกผมนางออก กำลังพยายามใช้หินแม่เหล็กดึงปลายเข็มเล่มที่สอง

นางนึกอะไรได้ก็ถามออกไปตามนั้น คิดเบี่ยงเบนความเจ็บปวดเสียดกระดูกด้วยสัญชาตญาณ “เช่นนั้นห้องลับนี้เล่า ก็เป็นสถานที่ที่ท่านใช้ปรนนิบัติแขกหรือไร”

ขบกรามแน่นทันใด นางสั่นสะท้านไปทั่วสรรพางค์กาย เนื่องจากชั่วอึดใจที่เขาถอนเข็มโดยพลันหลังจากเขาดึงปลายเข็มขึ้นมาได้นั้น ช่างเคี่ยวกรำคนยิ่งยวด

ฉินชิวพรูลมหายใจเฮือกหนึ่ง ยามนี้จึงค่อยเอ่ยตอบอย่างไม่อินังขังขอบ…

“นั่นก็ดูว่าแขกผู้นั้นเป็นใคร ข้าปกติจะเชิญแขกสนิทไปยังห้องรับรองชั้นล่างของหอซือเฟย ชั้นสองนี้ยังไม่เคยรับรองใครมาก่อน ส่วนในห้องลับนี่ วันนี้ข้าเพียงต้องการปรนนิบัติแม่นางอย่างดีเท่านั้น”

นางเอียงหน้าเหลียวมอง ประสานสายตากับเขาพอดี ฝ่ายหลังหยักมุมปากน้อยๆ ก่อนหยิบหินแม่เหล็กจัดการกับบาดแผลของนางต่อ

“เหตุใดจึงช่วยข้า” นางถามเสียงแหบแห้ง เหงื่อเม็ดเล็กกระจายทั่วหน้าผาก สองตาแน่วนิ่งไม่แม้แต่กะพริบ

เขาไม่ตอบทว่าย้อนถาม “แม่นางมีบัญชีหนี้เลือดกับคุณชายใหญ่จวนจงหย่งกง?”

นางพยายามจะคุมการเดินลมปราณภายในร่าง จนใจที่ลงแรงมากแต่ได้ผลน้อย ค่อยกัดฟันและเอ่ยตอบ “ไม่มี…”

“ไม่มีความแค้นต่อกันรึ เช่นนั้น ไม่ทราบแม่นางสังหารคนเป็นอาชีพ?”

“…หากใช่แล้วจะทำไม”

“หากใช่ ก็ถูกต้องแล้ว” มือของเขาถือหิน ท่วงท่าขยับดึงเข็มมิได้หยุดลง ครุ่นคิดหลายอึดใจจึงเอ่ย “หากสงสัยว่าเหตุใดข้าจึงช่วยเหลือ กระนั้น แม่นางรับเงินทองผู้อื่น กำจัดเคราะห์ภัยแทนผู้อื่น อยู่ท่ามกลางประกายดาบเงาโลหิตในยุทธภพทำมาหาเลี้ยงชีพมิง่ายดาย ยุทธภพที่เจ้าอยู่เป็นเช่นนี้ เส้นทางบุรุษคณิกาของข้ามิใช่เหมือนกันหรือไร ก็ไม่รู้ว่า ‘ต่างเป็นผู้ประสบชะตากรรมรันทดดุจเดียวกัน’ ความจริงข้อนี้มิทราบโน้มน้าวใจแม่นางได้หรือไม่”

เข็มโลหะที่สาม ที่สี่ ตามด้วยที่ห้าและที่หกถูกถอนออกไปติดต่อกัน

นางสั่นเทาไปทั้งร่าง หอบหายใจติดกันหลายคำจึงบรรเทาความเจ็บปวดทรมานลงได้ เสียงสั่นแหบถามขึ้นแผ่วเบาอีกครา “สุนัขสองสามตัวนั้นของจวนจงหย่งกงท่าน…ท่านทำให้มันสงบได้อย่างไร อีกทั้งคนพวกนั้น…พวกเขาบุกขึ้นหอมาย่อมไม่มีทางล้มเลิกโดยง่าย ท่าน ท่าน…”

“ข้าถอดแล้ว”

ประโยคสั้นๆ อันราบเรียบของฉินชิว แก้เรื่องกังวลที่ลอยค้างอยู่ในใจนางทันที

เขาเอ่ยต่ออีกว่า “แม่นาง เมื่อครู่เพิ่งฟื้นคืนสติ อ้าปากก็มุ่งมาสอบถามข้าเลย คาดว่าใจคงพะวงในเรื่องนี้อย่างมากกระมัง” ใบหน้าหล่อเหลายังคงไม่สะทกสะท้าน “ครูฝึกหลี่แห่งจวนจงหย่งกงพาคนมาพร้อมปล่อยสุนัขดุร้ายบุกเข้ามา ตอนนั้นข้าลากแม่นางเข้ามาในห้องลับด้านหลังผนังห้องนี้แล้ว ประกอบกับในหอข้ากลิ่นหอมบุปผากับกลิ่นควันธูปผสมปนเปกัน ซ้ำกลิ่นที่ส่งออกมาจากพิณไม้ก็ยังต่างกันออกไป หากต้องการหลบเลี่ยงประสาทรับกลิ่นของสุนัขก็หาได้ยากเกินไปนัก ส่วนคนพวกนั้น…” ริมฝีปากบางขยับไปมา… “พวกเขาต้องการยืนยันว่าบนหลังข้ามีบาดแผลหรือไม่ ข้าถอดให้พวกเขาตรวจสอบเป็นพอ ไม่นับเป็นอะไร”

นางกัดฟัน น้ำเสียงยิ่งทุ้ม “พวกเขาไม่ได้ต้องการตรวจสอบท่าน พวกเขาต้องการ…”

“ข้าทราบ พวกเขาต้องการหยามเกียรติข้าต่อหน้าธารกำนัล” เขาขัดบทนางเรียบๆ มุมปากหยักโค้งอยู่เสมอ “เดิมข้าก็เป็นคนทำอาชีพระดับล่าง ประสบเรื่องทุกข์ใจพรรค์นี้ย่อมไม่เก็บมาใส่ใจ อดทนสักหน่อยก็ผ่านไปได้ ทว่าหนนี้ถือว่าโชคดีสุดแสน เถ้าแก่ชุน เอ่อ…ข้าพูดถึงเฟิ่งหมิงชุนเจ้าของสำนักชิงเยี่ยนของพวกเรา เขาก็มีฝีมือมากพอตัว เมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นคนของจวนจงหย่งกง ถึงหอพวกเราจะเลี้ยงดูอันธพาลไว้เองไม่น้อยก็มิกล้าใช้ไม้แข็งก่อการทะเลาะวิวาท เถ้าแก่ชุนพลันนึกได้ว่าผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้ว กำลังพักค้างในเรือนชั่งซือของคุณชายเหลียนตง ตอนที่เขารุดมาคุ้มครองข้าก็ได้สั่งให้คนไปขอความช่วยเหลือที่เรือนชั่งซืออย่างรีบด่วนแล้ว”

ไหล่กว้างของเขาห่อลงเล็กน้อย ท่าทางผ่อนคลายลง “ยังต้องขอบใจคุณชายเหลียนตงของพวกเราที่พอพูดอะไรกับผิงจวิ้นอ๋องและเสี่ยวกั๋วจิ้วได้บ้าง แขกผู้สูงส่งทั้งหลายก็ยินดีช่วยเหลือ ตอนที่ข้าถูกบีบให้ถอดเสื้อผ้า แขกทั้งสองส่งองครักษ์ประจำตัวมา ชั่วพริบตาก็คุมสถานการณ์ให้สงบลงได้ และตอนนั้นข้าเพิ่งจะถอดเสื้อออกร่างเปลือยเปล่ากึ่งหนึ่ง ยังสวมกางเกงอยู่ ดังนั้นไม่นับว่าถูกหยามเกียรติ และไม่ถือว่าเสียเปรียบเช่นกัน”

ไม่นับว่าถูกหยามเกียรติที่ใดกัน

เห็นกันชัดๆ ว่าถูกข่มเหงรังแกนี่!

นางอัดอั้นในอก หอบหายใจถี่รัวพลางจับจ้องใบหน้างามเรียบสุขุมที่ประหนึ่งไม่ขัดขืนต่อการหยามเหยียดดูแคลนจนชาชินนั้น

อาจเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนาง พัวพันกับนาง แต่เขากลับต้องรับเคราะห์ครานี้ไปเปล่าๆ จึงพาให้นางรู้สึกผิดอยู่บ้าง และใส่ใจเขาขึ้นเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้

“วันนี้คุณชายยื่นมือเข้าช่วย วันหน้าข้าย่อมตอบแทนบุญคุณอย่างแน่นอน” น้ำเสียงนางแหบแห้ง ทว่าคำสัญญาที่กล่าวออกมากลับชวนให้คนฟังรู้สึกถึงน้ำหนักของมันอย่างลึกซึ้ง

ฉินชิวมีสีหน้าตื่นตะลึงเล็กๆ รอยโค้งที่มุมปากพลันหยักลึกขึ้น ใต้การขับเน้นด้วยแสงเรืองรองของหินหลินสือสี่ก้อน พวงแก้มของเขาปรากฏเงาแสงประหลาดเข้มบ้างอ่อนบ้างสองดวง ราวกับกำลัง…เขินอาย

“ตอบแทนไม่ตอบแทนอะไรกัน ข้า…ข้า ข้าไม่เคยคิด แต่…” เขาเม้มริมฝีปากอย่างขวยอาย ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ย “หากแม่นางไม่รังเกียจ ข้าอยากสอบถามชื่อเสียงเรียงนามของแม่นาง แม้พูดว่าเป็นผู้ประสบชะตากรรมรันทดดุจเดียวกัน พบพานมิจำเป็นต้องเคยรู้จัก แต่ยังคงอยากรู้ว่าผู้มีวาสนาได้พบชื่อใดแซ่ใด”

ในห้องตกอยู่ในความเงียบสงัด ตอนที่ฉินชิวยิ้มหยันในใจนึกว่าจะมิได้รับคำตอบนั้น นางกลับขยับกลีบปากทั้งสองเอ่ยว่า…

“ข้าแซ่อู ‘อู’ ที่มาจากคำว่า ‘หูดำ’ …”

ฉินชิวกระจ่างแจ้งทันใดว่านางหมายถึงอักษรตัวใด เพียงแต่เมื่อนางที่มีท่วงทีเย็นชา คิ้วตาลุ่มลึกเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา กลับมีความน่ารักใสซื่อที่อธิบายไม่ได้ พาให้เขาต้องเปลืองแรงยกหนึ่งจึงข่มรอยยิ้มลงได้ และฟังนางกล่าวต่อด้วยท่าทีจริงจัง…

“อูลั่วซิง” นางเว้นวรรค “ข้าใช้แซ่ตามอาจารย์…ตอนอาจารย์เก็บข้าได้ ราตรีนั้นประจวบเหมาะเห็นดาวตกโปรยปรายทั่วท้องฟ้า ดังนั้นจึงตั้งชื่อนี้ให้ข้า”

ฉินชิวเอ่ยถาม “เจ้าเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่ยังเล็ก?”

“อืม…” นางพยักดวงหน้างามที่คว่ำบนหมอนเล็กน้อย

“บังเอิญนัก ข้าก็เช่นกัน” เขาหยักมุมปากน้อยๆ ยิ้มให้นางอีกคราพลางเอื้อมมือไปลูบกระหม่อมนางแผ่วเบา “พ่อแม่ด่วนจากไปเร็ว ทุกเรื่องล้วนต้องพึ่งพาตนเอง ที่แท้หนอที่แท้ พวกเราไม่เพียงเป็นผู้ประสบชะตากรรมรันทดดุจเดียวกัน ยังหัวอกเดียวกันอีกด้วย”

อูลั่วซิงถูกเขาลูบจนมึนงงสับสนไปเล็กน้อย รู้สึกว่าอาจเป็นเพราะพิษยังไม่สลายหมด จากนั้นก็…ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างอธิบายไม่ได้

นางกลับตระหนักได้อย่างประหลาดใจว่าตนเองเปลือยเปล่า ตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายเป็นบุรุษวัยเจริญพันธุ์ และต่อให้นางฆ่าคนเป็นผักปลา ฝีมือโหดเหี้ยมอำมหิต ท้ายที่สุด…ท้ายที่สุดยังคงเป็นสตรีที่จริงแท้แน่นอนผู้หนึ่ง

อุณหภูมิร่างกายนางสูงขึ้น แผ่นหลังเปล่าเปลือยกลับขนลุกซู่ขึ้นลึกๆ ราวกับต้องอากาศหนาว…ประเดี๋ยวร้อนประเดี๋ยวเย็น นางอดหดลำคอและแผ่นหลังไม่ได้ ใบหน้าครึ่งหนึ่งฝังจมลงในหมอนนุ่ม

“อู-ลั่ว-ซิง” เขาพินิจทีละคำ ค้อมศีรษะเอ่ย “ชื่อนี้ได้อารมณ์แห่งกวีอย่างยิ่ง ไพเราะมาก”

นางทำเสียงฮึดฮัดแผ่วเบาแทบไม่ได้ยินคราหนึ่ง มิได้มองเขา

ความกระดากอายที่เกิดขึ้นกะทันหันราวกับส่งผลกระทบต่อเขา ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติกระแสหนึ่งเช่นกัน

ตอนที่น้ำเสียงชวนฟังของฉินชิวดังก้องในห้อง แฝงด้วยความแหบพร่าเล็กน้อยและความลุ่มลึกอีกนิดหน่อย ประดุจปลายนิ้วพรมลงบนเส้นสายทั้งเจ็ดของพิณโบราณครั้งแล้วครั้งเล่า ในเสียงซ้อนเสียง ดังก้องเข้าไปในจิตใจคน…

“บนหลังแม่นางอูยังเหลือเข็มโลหะเล่มหนึ่งที่ยังมิได้ถอนออก เข็มนี้อยู่ด้านล่างสุด แทงจมเข้าไปในปลายสุดของกระดูกสันหลังของเจ้า” ขณะกล่าว มือของเขาก็ลูบไปตรงๆ และกดตำแหน่งนั้นเบาๆ

อูลั่วซิงต้องสิ้นเปลืองแรงมหาศาลดุจแรงของวัวเก้าตัวและเสือสองตัวอย่างแท้จริงถึงได้ไม่ตกใจกระโดดโหยงขึ้นมา

‘เจ็ดดาราระดมยิง’ ที่จวนจงหย่งกงออกแบบขึ้นมานั้น เข็มสุดท้ายจะปักลงบนจุดเยาซู ซึ่งอยู่ปลายกระดูกสันหลังเหนือร่องแก้มก้น นอกจากบาดแผลจะอยู่ในตำแหน่งกระอักกระอ่วนมาก ยังเป็นอุปสรรคใหญ่หลวงสำหรับการโคจรลมปราณของนาง ยามนี้เขาลูบราวไม่ตั้งใจ ความเจ็บปวดหนึบชาผสมผสานกัน พลันรู้สึกว่ารูขุมขนทั่วร่างเปิดออกฉับพลัน ขนอ่อนลุกซู่ ประสาทสัมผัสเฉียบไวสุดขีด

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องดึงออกสถานเดียว!

“เข็มโลหะแทงทะลุกระดูก จะดึงปลายเข็มออกมาได้ต้องค่อยๆ จัดการ แม่นางอูอดทนอีกหน่อยนะ”

เขาปลอบขวัญไม่หยุด นิ้วมืออุ่นที่วางบนด้านหลังเอวและบั้นท้ายติดจะเย็นเล็กน้อย ก่อนจะลงแรงหนักขึ้นมาก ราวกับต้องการสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับเข็มโลหะเล่มนั้น เขาทำทุกวิถีทาง ทุ่มเทกำลังแรงทั้งหมด…

เจ็บ!

เจ็บจน…ดียิ่ง ชั่วสติพร่าเลือนอูลั่วซิงยินดีต้อนรับความเจ็บปวดเช่นนี้ มันช่วยให้นางมองข้ามแรงจากนิ้วมือเขารวมไปถึงการสัมผัสที่แนบชิดเกินไป

นางไม่คุ้นกับการใกล้ชิดผู้คนเพียงนี้ ไม่คุ้นเคยกับความอ่อนแอ แต่คุณชายฉินชิวแปลกพิลึกยิ่งนัก ดูเหมือนมองข้ามท่าทีเย็นชาดุจน้ำค้างแข็งของนางโดยสิ้นเชิง ไม่เพียงหยักยิ้มให้นางยังชวนนางพูดคุยเรื่อยเปื่อย กระตุ้นให้นางจิตใจว้าวุ่นและเอ่ยวาจามากเกินไป

“แม่นางอู ข้าเกรงจะเสียมารยาทแล้ว โปรดอภัยด้วย”

“อะไรนะ ท่าน…” เมื่อสดับคำเขา นางเหลียวหน้าไปมองอีกครั้ง เห็นเขาประทับฝ่ามือบนบั้นเอวนาง นิ้วโป้งสองข้างหนึ่งซ้ายหนึ่งขวากดบนปลายสุดของกระดูกสันหลังนาง

ใบหน้าเขาก้มลงหานาง จมูกกับริมฝีปากแนบสนิทไปบนผิวนาง นางกระทั่งสัมผัสได้ว่าใต้คางของเขากำลัง…จ่ออยู่เหนือร่องบั้นท้ายตนเอง!

นางตะลึงงันในทีแรก ตามด้วยคิดจะเหวี่ยงเขาออกไปด้วยสัญชาตญาณ ชั่วขณะที่แขนยกขึ้นครึ่งทาง จุดเยาซูพลันปวดแสบอ่อนยวบ ความรู้สึกปวดจี๊ดชาหนึบที่ปะทุขึ้นไหลบ่าไปทั่วแขนขาทั้งสี่และอวัยวะทั่วร่างดุจน้ำหลาก

นางพลันขบกรามแน่น ในปากมีกลิ่นคาวเลือดฟุ้งกระจาย เบิกตามองเขายืดร่างท่อนบนขึ้นพลางหอบหายใจไม่หยุด ในปากคาบเข็มโลหะยาวสามชุ่นเอาไว้ และนั่นก็คือเข็มเล่มที่เจ็ด เป็นเล่มสุดท้ายบนแผ่นหลังนาง

เขาเบือนหน้าถุยเข็มโลหะลงบนถาดที่วางอยู่ด้านข้าง

ตอนที่หันมามองนางใหม่อีกครั้ง รอยแดงที่โหนกแก้มเขาเข้มขึ้น พร้อมกระแอมให้คอโล่งก่อนชี้แจง “เข็มเล่มสุดท้ายนี้ฝังติดแน่นมาก ทั้งที่ดึงปลายเข็มออกมาได้แล้ว แต่พอปล่อยมือนิดเดียวก็จมหายไปในเนื้ออีก เช่นนี้จึงมิอาจไม่ใช้ปากและฟันแทนนิ้วมือ คาบมันออกมา ส่วนที่เสียมารยาทต้องขอแม่นางอูโปรดอภัยด้วย”

อูลั่วซิงเห็นเขาเหงื่อท่วมศีรษะ กระทั่งจุดเหรินจงที่อยู่ใต้จมูกยังเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้น ใจจึงอ่อนยวบในบัดดล

“…ขอบใจมาก” นางปกปิดความรู้สึกเอาไว้พลางจับผ้าผืนบางตะกายลุกขึ้นนั่ง

ยามนั้นเองเสื้อบางของบุรุษที่ส่งกลิ่นจันทน์หอมจางๆ ตัวหนึ่งคลุมลงบนไหล่นางทันที ห่อหุ้มร่างเปลือยเปล่าของนางอย่างนุ่มนวล เสียงแฝงความกังวลของบุรุษดังขึ้นเหนือศีรษะนาง…

“ให้ความอบอุ่นสักหน่อย อย่าเพิ่งรีบลุก เข็มโลหะเจ็ดเล่มนั้นอาบยาพิษทั้งหมด ต่อให้ถอนเข็มออกมาหมด พิษมากน้อยก็ได้แทรกซึมเข้าไปในเลือดเนื้อแล้ว ข้ามีน้ำแกงแก้พิษเตรียมไว้เรียบร้อย เป็นเทียบยาแก้พิษที่บรรดาหมอในโรงแพทย์จ่ายเป็นประจำ อาจไม่สามารถต่อกรกับพิษในร่างกายแม่นางอูได้ทั้งหมด แต่ยังสามารถบรรเทาไปได้ส่วนหนึ่ง น้ำแกงอยู่ด้านนอก ข้าจะไปยกมา”

ความรู้สึกผิดแผกบางอย่างแผ่ซ่านในใจ อูลั่วซิงไม่ทันเอ่ยวาจาก็เห็นฉินชิวลุกจากเตียงนุ่มไปทันที สองมือแนบราบไปกับผนังแล้วออกแรงผลัก

ทันทีที่เขาผลักเปิดประตูแคบบานหนึ่งออก แสงสว่างก็ส่องลอดเข้ามา

ด้านนอก ไฟจากถ่านในเตาเล็กที่ทำจากโคลนแดงยังหลงเหลือความร้อน ทำให้น้ำแกงยาสมุนไพรในหม้อดินเผายังคงความร้อนระอุไว้ได้ ฉินชิวยกน้ำแกงเทลงในโถเครื่องเคลือบสีขาวอย่างระวัง

ขณะที่เขากำลังจะยกเข้ามาในห้องลับด้านใน อูลั่วซิงก็ห่อร่างด้วยชุดคลุมยาวของบุรุษ พลางใช้มือยันผนังและย่างเท้าเดินตามหลังเขาออกมาจากประตูลับนั้นแล้ว

หอซือเฟยเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขา เมื่อเห็นนางเผยตัว ฉินชิวก็มิได้กังวลว่านางจะถูกผู้อื่นพบเห็น เพียงเอ่ยทักทายนางด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

“นั่งตามสบายเถิด รกสักหน่อย ขอแม่นางอูทนฝืนไปก่อน”

ยามนี้ด้านนอกเป็นเวลาเที่ยงพอดี แสงแห่งฤดูใบไม้ผลิสว่างจ้าอบอุ่น ลำแสงอบอุ่นมากมายเล็ดลอดผ่านกระดาษกรุหน้าต่างกับหน้าต่างผุพังสองสามบานส่องเข้ามาอย่างเหิมเกริม แสดงทิวทัศน์บนหอนี้ออกมาอย่างแจ่มชัด

ดวงตาของอูลั่วซิงกวาดมองอย่างฉับไว ม่านตานางหรี่ลง สิ่งที่เห็นในคลองจักษุเบื้องหน้าแค่ ‘รกสักหน่อย’ ที่ใดกัน

นี่มันถูกทำลายย่อยยับ เละเทะไม่เหลือชิ้นดี อเนจอนาถเกินทนดูชัดๆ!

ม่านโปร่งสีฟ้าดุจสายน้ำที่ควรแขวนอยู่บนเพดานเป็นช่อๆ ร่วงอยู่บนพื้นทั้งหมด บนผ้ามีรอยรองเท้าเหยียบย่ำนับไม่ถ้วน ชั้นวางของสองชั้นที่ฝังอยู่ในผนังแทบจะว่างเปล่าไม่เหลืออะไร ของประดับสวยงามไม่เอียงกระเท่เร่ก็ตกแตกกับพื้น บางทีอาจมีอีกไม่น้อยที่โดนฉกฉวยติดมือไปต่อหน้าต่อตาอย่างไม่เกรงกลัวใคร

ฉากบังลมที่ใช้กั้นโถงหน้าขนาดเล็กกับห้องด้านใน เป็นภาพปักสองด้านรูปทะเลเมฆงามประณีต ใจกลางรูปโดนกรีดขาด ฐานรองทำจากไม้แกะสลักขึ้นรูปคล้ายถูกมีดเล่มเขื่องฟันเล่น ทำลายผลงานที่ช่างปักผ้าและช่างแกะสลักทุ่มเทด้วยเลือดเนื้อและจิตใจเสียหมดสิ้น

โต๊ะเก้าอี้เป็นชุดล้มระเนระนาด หีบสองสามใบเอียงล้ม เสื้อผ้าด้านในกระจายทั่วพื้น

สถานที่ยุ่งเหยิงปานนี้ มีของสิ่งเดียวที่ได้รับการจัดเก็บ…

อูลั่วซิงหลุบตาเพ่งมองพิณห้าคันบนพื้นไม้ที่ตั้งวางอยู่อย่างเป็นระเบียบ ตามขนาดใหญ่เล็กของพิณมีพิณเจ็ดสายสามคัน พิณสิบสองสายหนึ่งคัน และพิณสิบหกสายอีกหนึ่งคัน ทว่า…ต่อให้จัดวางอย่างเป็นระเบียบเพียงไรก็เสียแรงเปล่า ตัวพิณแตกร้าว สายพิณโดนตัดขาด กลายเป็นของไร้ค่าทั้งสิ้น

กระนั้นถึงใช้การไม่ได้แล้ว แต่ผู้เป็นนายยังคงเก็บส่วนที่แตกละเอียดอย่างดีทั้งหมด

เสียงพิณแม้กังวานนุ่มนวล แต่ความนัยผู้ใดเล่าจะได้ยิน ในพิณมีจิตวิญญาณ จิตวิญญาณแห่งพิณเก็บรวมอยู่ในใจ พิณที่พังเสียหายได้รับการจัดวางอย่างเคารพดั่งไว้อาลัย พอให้มองเห็นว่าผู้เป็นเจ้าของพิณล้วนปฏิบัติต่อพิณทุกคันอย่างทุ่มเทด้วยชีวิตจิตใจวิญญาณ

แผ่นหลังของนางแนบติดผนัง ทรุดกายลงนั่งอย่างช้าๆ

“แม่นางอูมาสิ กินตอนยังร้อน” ฉินชิวอุ้มน้ำแกงแก้พิษหนึ่งโถนั่งลงกับพื้นเคียงข้างนาง ใช้ช้อนเล็กตักน้ำสีดำสนิทหนึ่งช้อนจรดริมฝีปากนาง พลางเกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม “อ้าปากเถิด กินแล้วจะได้สบายขึ้นหน่อย”

ที่ของเขา สถานที่เงียบเล็กที่เป็นของเขาเพียงผู้เดียวในที่ซึ่งท่วมท้นด้วยราคะตัณหา ฟุ้งเฟ้อฟอนเฟะแห่งนี้ เพราะนาง จึงถูกทำลายป่นปี้แทบไม่เหลือเค้าเดิม ทว่า…เขามิได้ยุ่งกับการเก็บข้าวของอย่างรีบร้อน กลับทุ่มเทแรงกายแรงใจมากมายมหาศาลมากับร่างนาง

เพราะต่างเป็นผู้ประสบชะตากรรมรันทดดุจเดียวกัน จึงทำดีกับนาง?

เพราะหัวอกเดียวกัน จึงปฏิบัติดีกับนางอย่างไร้ข้อผูกมัด?

อย่างนั้นหรือ ใช่อย่างนั้นจริงๆ หรือ

ความคิดของอูลั่วซิงสับสนอยู่บ้าง ความรู้สึกผิดแผกในใจปั่นป่วนม้วนวนครั้งแล้วครั้งเล่า นางมองเขาอย่างนิ่งอึ้ง อ้าปากอย่างทึ่มทื่อ ก่อนจะกินยาอุ่นร้อนที่เขาป้อนใส่ปากลงไปทีละคำๆ

เวลานี้เข็มโลหะของ ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ ถูกถอนออกไปทั้งหมด แท้จริงอาศัยพลังวัตรของนางก็เพียงพอจะปรับลมหายใจโคจรลมปราณขับพิษออกด้วยตนเอง ไม่ต้องการน้ำแกงแก้พิษของเขาแม้แต่น้อย

แต่นางปฏิเสธไม่ได้ บางที…บางทีอาจไม่ต้องการปฏิเสธตั้งแต่ต้น

ความรู้สึกผิดแผกขุมนั้นแผ่ซ่านออกไปไม่หยุด ลูบขอบมุมในใจอันไร้รูปจนเรียบมน นางกลับบังเกิดความปรารถนา เกิดความชมชอบ…

การได้รับความสำคัญประหนึ่งวางไว้บนยอดดวงใจก็ไม่ปานจากบางคนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่นางเฝ้าปรารถนาเหลือเกิน

ประหนึ่งได้รับการพะเน้าพะนอ เอาใจ นางชอบยิ่งนัก

เพราะทั้งปรารถนาและชอบ ดังนั้นจึงยอมรับทั้งหมดที่เขามอบให้อย่างนิ่งงัน จวบจนก้นโถน้ำแกงเล็กๆ โถนี้ปรากฏชัด เขาก็จับแขนเสื้อสะอาดเช็ดมุมปากกับใต้คางให้นาง นางจึงค่อยๆ เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง…

“ให้ข้าฆ่าคนเหล่านั้นแทนท่านหรือไม่”

“หืม? เอ่อ…” ฉินชิวกะพริบตา ไม่เข้าใจต้นสายปลายเหตุของคำถามนี้ “ฆ่าใครหรือ”

“พวกคนที่บุกเข้ามาเมื่อคืน…รอพักฟื้นสองสามวัน ข้าจะไปฆ่าพวกมันให้หมด”

ดวงหน้าหมดจดอ่อนหวานอันไร้ซึ่งอารมณ์ความรู้สึก กลีบปากสีชาดพ่นถ้อยคำโหดเหี้ยมโดยไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ รอบตัวนางขัดแย้งกันไปหมด ชวนให้คนคันยุบยิบในใจ

เขากะพริบตาอีกครั้ง ก่อนจะส่ายหน้าและยิ้มเอ่ย “ไม่ดี”

คิ้วเรียวดั่งใบหลิวของอูลั่วซิงมุ่นน้อยๆ ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงปฏิเสธ

ฉินชิวเอ่ยต่อ “จวนจงหย่งกงเพิ่งเกิดเรื่องใหญ่ การคุ้มกันย่อมยิ่งทวีความแน่นหนา แม่นางอูบุกเข้าไปอีกครั้งเป็นการส่งตนเองไปตายอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าไม่อยากให้แม่นางอูต้องเสี่ยงอันตรายอีก”

นางใจเต้นแรงคราหนึ่ง ละสายตาไปจากเขาไม่ได้อยู่บ้าง ก่อนจะบดริมฝีปากเป็นครู่จึงเอ่ยขึ้น “เช่นนั้น…มีของที่อยากได้หรือไม่ ข้ามีประโยชน์มากนะ ข้าจะไปเอามาให้ท่าน”

เขาพิศมองนาง ปากยกยิ้มดวงตาหยีโค้ง คล้ายนางพูดเรื่องขบขันอะไรไป จนทำเอาเขาเบิกบานยิ้มไม่หุบ

“ความหมายของแม่นางอูคือต้องการตอบแทนบุญคุณกระมัง” เขาวางโถยาที่เห็นก้นนั้นบนพื้น ขาข้างหนึ่งนั่งราบ อีกข้างงอขึ้นสูง เท้าแขนเสื้อกว้างบนเข่าที่งอขึ้นสูงอย่างเกียจคร้าน ท่านั่งเช่นนี้ผ่อนคลายตามอารมณ์ ชวนให้ท่วงทีของเขายิ่งดูสูงสง่างามวิสุทธิ์ “พบพานด้วยเพราะมีวาสนา เอ่ยถึงการตอบแทนย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะติดอยู่ในกรอบประเพณีเก่าๆ หากต้องการถือสาสิ่งเหล่านี้จริง เช่นนั้นข้าถอดเสื้อผ้าแม่นางอู มองเห็นและยังลูบคลำแล้ว สมควรรับผิดชอบเช่นกันใช่หรือไม่ หากเป็นดังนี้เจ้าต้องการตอบแทนคุณ ข้าก็จำเป็นต้องรับผิดชอบ ตรองดูแม่นางอูทำได้เพียงตอบแทนด้วยร่างกายเสียแล้วจึงจะได้ผลพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย”

สีหน้าของนางน่าขันยิ่ง

ตอนเขาเอ่ยจบ สีหน้าไร้อารมณ์ของนางก็นิ่งค้างไปอีกพักหนึ่ง จากนั้นราวกับเข้าใจกระจ่างในสิ่งที่เขากล่าว ดวงเนตรรูปเมล็ดซิ่งถลึงโตอย่างช้าๆ สุดท้ายก็เบิกกว้างจ้องเขาตาไม่กะพริบ

ฉินชิวจับจ้องนางตรงๆ เช่นกัน จากนั้นดวงตารียาวงดงามกะพริบคราหนึ่ง ทันใดก็ยิงฟันแย้มยิ้ม…

“หากแม่นางอูใช้ร่างกายตอบแทนก็เสียเปรียบแล้ว คนเช่นข้า ทำมาหาเลี้ยงชีพด้วยอาชีพระดับล่างพรรค์นี้ ไม่ใช่คนที่จะฝากฝังชีวิตด้วยได้” เขาหยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ความจริงข้าเพียงเอ่ยหยอกล้อต่อจากเรื่องตอบแทนบุญคุณเท่านั้น ผลคือแม่นางอูไม่หัวเราะขบขันไม่พอ ยังทำแม่นางอูตกใจด้วย ช่างน่าละอายใจจริงๆ”

อูลั่วซิงลำคอแห้งผาก ดวงตาก็ฝืดแห้งเช่นกัน สุดท้ายแพขนตางอนดุจพัดก็กระพือขึ้น ได้สติกลับมากะทันหัน

“…ข้าไม่ได้ตกใจ” คำพูดนี้คือกำลังอวดตัว นางย่อมรู้ตนเองดี แท้จริงนั้นนางตกใจยิ่งยวด

แต่นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกอื่นผุดขึ้นมา ชั่วขณะไม่อาจบรรยายกระจ่างชัดว่าเป็นความรู้สึกเช่นไร รู้เพียงคำพูดอธิบายตามหลังของเขาทำให้นางอึดอัดในอก ต่อให้ใบหน้างามสง่านั้นเปี่ยมรอยยินดี แต่สะท้อนเข้ามาในก้นบึ้งนัยน์ตานางแล้วก็ชวนให้รู้สึกบาดตาอยู่บ้าง

ยามนี้ดูเหมือนต้องพูดมากอีกสองสามประโยคจึงจะดี ทว่านางเป็นคนปากหนักพูดน้อยมาแต่ไหนแต่ไร จึงนึกไม่ออกว่าควรเอ่ยอะไรต่อ

สิ่งที่นางรู้และเข้าใจก็คือทักษะการฆ่าคน นอกเหนือจากนั้นมีเพียงคำว่า ‘ข้นแค้น’ สองคำนี้เท่านั้นที่อธิบายได้

ทันใดนั้น แว่วเสียงร้องเรียกมาจากนอกประตูโถงเล็กข้างหน้า นางจำเสียงนี้ได้ นี่เป็นเสียงของคนที่ฝ่าขึ้นหอมาปกป้องเขาเมื่อคืน

“ชิวกวน…ชิวกวนเจ้าคงไม่ได้ยังนอนอยู่กระมัง ควรจะตื่นนานแล้วใช่หรือไม่”

เมื่อได้สดับเสียงนี้เช่นกัน บุรุษตรงหน้านางก็ดึงผ้าโปร่งมาคลุมร่างนางทันทีพลางเอ่ยขึ้นเสียงค่อย “เถ้าแก่ชุนย่อมไม่ทำให้เสียเรื่อง เจ้านั่งอยู่นี่อย่าขยับ เขายืนอยู่ข้างนอกมองเห็นไม่ชัด ข้าจะรีบไปรีบกลับ”

จากนั้นผ้าโปร่งชั้นแล้วชั้นเล่าที่อาบย้อมกลิ่นจันทน์หอมเช่นกันก็ห้อมล้อมรอบกายนาง จนทั่วร่างนางเป็นกลิ่นหอมกรุ่น

อูลั่วซิงมิได้ตอบคำ เพียงพยักหน้าน้อยๆ เป็นเชิงตอบรับว่า ‘เข้าใจ’ ก่อนจะได้ยินเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินห่างออกไปของฉินชิว

เขาก้าวเดินด้วยฝีเท้าเชื่องช้าไปจนถึงประตู ประตูถูกเปิดออก เฟิ่งหมิงชุนที่คอยอยู่ด้านนอกเร่งเสียงสูงทันที…

“ข้ายังนึกว่าชิวกวนนอนตายไปแล้ว ไม่เห็นเงาคนทั้งวัน ข้าวก็ไม่กินแล้วใช่หรือไม่ นี่ ข้าช่วยยกข้าวมาให้แล้ว เป็นของที่เพิ่งสั่งห้องครัวเตรียมเสร็จ ทั้งยังเป็นของชอบเจ้าทั้งนั้น กินมากหน่อย อย่าโมโหพวกคนจากจวนจงหย่งกงอีกเลย ตนเองอย่าทำให้ตนเองต้องลำบากเป็นพอ”

“ขอบใจเถ้าแก่ชุนที่ห่วงใย ข้าไม่เป็นไร” ฉินชิวน้ำเสียงแฝงรอยยิ้ม “งานบนหอข้าดูแลเองว่าจะทำอย่างไร ค่อยๆ เก็บเป็นใช้ได้ ไม่ทำให้การค้าของสำนักชิงเยี่ยนล่าช้าแน่”

“ใครคิดเล็กคิดน้อยเรื่องทำการค้าไม่ทำการค้ากับชิวกวนกัน ข้านี้เป็นห่วงว่าชิวกวนจะเป็นทุกข์ชั่วขณะ ทำตนเองหิวโซผ่ายผอมทั้งเป็น เช่นนั้นคงเรียกว่าได้ไม่คุ้มเสียแล้ว”

ฉินชิวหัวเราะแผ่วเบาสองเสียง “ไม่แน่นอน ไม่มีทางปฏิบัติกับตัวเองไม่ดี ขอเพียงมีชีวิต ก็มักจะมีเรื่องดีเกิดขึ้น มักจะได้พบคนมีวาสนาต่อกัน หลังเผชิญเรื่องเมื่อคืน ได้รู้จักคนมีวาสนาต่อกัน นั่นก็…นั่นก็สุขใจไม่น้อยแล้ว”

“คนมีวาสนาต่อกันอะไรหรือ อ๊ะ…อ๋า ชิวกวนกำลังพูดถึงผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้วสองคนนั้นกระมัง นั่นถูกต้องๆ เป็นคนมีวาสนาต่อกันจริงๆ ยังดีที่คุณชายเหลียนตงของพวกเราผูกดวงใจผู้สูงศักดิ์สองคนนั้นได้ เมื่อวานขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือดูแลของพวกเขาทั้งสิ้น เพียงแต่…เอ่อ…” จู่ๆ เฟิ่งหมิงชุนก็เอ่ยอย่างอึกๆ อักๆ

“เถ้าแก่ชุนมีธุระอะไรโปรดกล่าวมาตามตรงเถิด ไม่เป็นอันใดหรอก”

“เอ่อ…หึๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงพวกเราได้รับความเมตตาจากผิงจวิ้นอ๋องกับเสี่ยวกั๋วจิ้ว รับไมตรีก็ต้องคืน คืนนี้พวกเขาสองคนเชิญไห่หนิงโหวซื่อจื่อ* มาเยือนด้วยกัน ทั้งยังเจาะจงชื่อชิวกวนกับเหลียนตงเป็นพิเศษให้อยู่คอยรับรอง เอ่อ…ข้ารู้ เจ้าเดียดฉันท์รำคาญไห่หนิงโหวซื่อจื่อที่อ้วนเผละคนนั้นมาตลอด แต่ยามนี้ในสถานการณ์นี้ พวกเราไหนเลยจะไม่ยอมก้มหัวได้ ดังนั้นชิวกวน ข้านั้นอยาก…ให้เจ้าวางกิริยาอ่อนลงสักหน่อย พวกเราก็อย่าทำให้ซื่อจื่อผู้นั้นอับอายไปเลย ได้หรือไม่”

รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงัดก่อน จากนั้นเสียงใสกระจ่างของฉินชิวก็ดังขึ้นแผ่วเบา…

“ข้าเข้าใจแล้ว คืนนี้จะปรนนิบัติไห่หนิงโหวซื่อจื่ออย่างดี เถ้าแก่ชุนไม่จำเป็นต้องกังวลใจ”

“ดีๆ ชิวกวนเข้าใจเป็นพอ เช่นนั้น…เช่นนั้นไม่มีอะไรแล้ว เจ้ากินข้าวให้อร่อย กินเสร็จก็เตรียมตัวอย่างพิถีพิถันสักยก รอรับรองแขกในคืนนี้”

จากนั้นเฟิ่งหมิงชุนก็จากไป เจ้าของหอซือเฟยกลับมายังห้องด้านใน

อูลั่วซิงกระชากผ้าโปร่งออกด้วยตนเอง ก็เห็นถาดขนาดใหญ่ที่จัดวางอาหารโอชารสเต็มไปหมดถูกวางลงบนพื้นเบื้องหน้านาง

“เจ้าหิวแล้วแน่ๆ ใช่หรือไม่ รีบกินสิ” ฉินชิวคุกเข่าลงข้างหนึ่งจัดแจงทุกอย่างพลางยื่นตะเกียบเงินให้นาง

อูลั่วซิงรับตะเกียบคู่นั้นมาโดยจิตใต้สำนึก ริมฝีปากสีชาดเผยอน้อยๆ มิได้ส่งเสียง

ฉินชิวรินชาหอมละมุนให้นางถ้วยหนึ่งเสร็จ ก็คล้ายฉุกคิดอะไรได้ เลิกคิ้วทั้งสองขึ้นพลางเกาหน้าผากเอ่ยเสียงนุ่ม “หากปวดเบา ประตูเล็กตรงมุมนั้นเข้าไปจะเป็นห้องเล็กสำหรับปลดเบาล้างหน้าล้างมือ แม่นางอูใช้ได้ตามสบาย”

กล่าวจบ เขาก็ผุดลุกขึ้นด้วยอารมณ์พลุ่งพล่าน ก่อนจะหมุนตัวจากไปทันที

อูลั่วซิงเห็นท่าทีนั้นลมหายใจพลันร้อนระอุ ในที่สุดก็เอ่ยปากถามกับเงาหลังของเขา “แล้วท่านเล่า ทะ…ท่านไม่กินอาหารทั้งวัน ไม่หิวหรือ ไม่กินสักหน่อยหรือ”

เขาหันตัวมาเล็กน้อยคลี่ยิ้มจางๆ กับนางพร้อมส่ายหน้าเบาๆ

“ยามนี้สายเกินไปไม่กินดีกว่า อย่างไรเสียค่ำหน่อยต้องรับแขก ก็ไม่รู้จะยุ่งยากอย่างไรอีก กินอะไรเข้าไปจะยิ่งทรมานมาก” รอยโค้งที่มุมปากกดลึก “แม่นางอูมิใช่ต้องการตอบแทนบุญคุณหรือ เพื่อไม่ให้สิ้นเปลืองอาหารเหล่านี้ เช่นนั้นก็ช่วยข้ากินให้มากหน่อยเถิด”

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 22 .. 64

หน้าที่แล้ว1 of 18

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: