บทที่สาม คนงามเข้าฝัน
ตอนอูลั่วซิงไปจากสำนักชิงเยี่ยน มิได้กล่าวอำลาผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟย
เขาซ่อนนาง ช่วยนางรักษาแผล ป้อนยานาง ทั้งยังวางอาหารทั้งหมดตรงหน้านาง…อูลั่วซิงจดจำได้ว่าตนเองก็เคยกระทำเรื่องประเภทนี้ ตอนยังเล็กนางเคยเก็บสุนัขเร่ร่อนที่ล้มขาหักตัวจับแข็งลมหายใจรวยรินตัวหนึ่งได้กลางหิมะ นางช่วยมันรักษาขา ทำรังให้มันอย่างทั้งอ่อนนุ่มและอบอุ่น ป้อนอาหารเลี้ยงดูอย่างพิถีพิถัน
ยามนี้นางราวกับเป็นสุนัขเร่ร่อนตัวนั้น เป็นสัตว์เลี้ยงที่เขาเก็บได้ ทั้งที่สถานที่ของเขาโดนทำลายจนเละเทะเหลือทน เขายังคงเบิกบานใจ เครื่องหน้าหล่อสง่าทั้งห้ามองไม่ออกถึงแววหงุดหงิดรำคาญเลยสักเสี้ยว ใบหน้าขาวบริสุทธิ์ปราศจากสีสันแห่งความกลัว ทว่ากลับเผยสีอ่อนจางของความกระดากอายให้แก่นาง
ได้รับการเลี้ยงดูจากคนผู้หนึ่งเหมือนเป็นสัตว์เลี้ยง สำหรับนางเป็นความเพ้อฝันที่ฟุ้งเฟ้อ นางไม่มีเรี่ยวแรงไปเอาใจใครหรือเลี้ยงดูใคร
ปีนั้นนางช่วยสุนัขต้าหวงกลับไป แต่วันหนึ่งหลังจากนางจบการฝึกใต้น้ำตก กลับไปที่เรือนไผ่ซึ่งพักร่วมกับอาจารย์และศิษย์น้อง อาจารย์ก็บอกนางว่าต้าหวงวิ่งหนีไปเองแล้ว หนีไปไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยใด
นางไม่ได้ไปตามต้าหวง บางทีอาจเพราะในใจมีคำตอบของเรื่องนี้ปรากฏอยู่เลือนราง
ศิษย์น้องอ่อนแออมโรค ขนสุนัขกระตุ้นให้ศิษย์น้องมีอาการหอบได้ง่าย ขณะที่ต้าหวงซึ่งขาหายสนิทดีแล้วดันชอบพุ่งกระโจนใส่คน…
ภายหลังนางจึงเข้าใจ ทุกเรื่องต้องรู้จักและเข้าใจสถานภาพของตนจึงจะใช้ได้ ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเป็นสุนัข ไม่ว่าชีวิตจะพบเจออุปสรรคอะไร ตลอดกาลล้วนต้องรู้จักถอยกลับมายังตำแหน่งเดิม
ดังนั้นนางจึงกินอาหารที่บุรุษผู้นั้นให้อย่างตั้งใจ มองเขาประทินโฉมแต่งตัวโดยไม่ปริปากสักคำ
เขาราวกับไม่ถือสาที่ถูกนางจ้องเขม็งเช่นกัน หลายครั้งที่ประสานสายตากันในคันฉ่องสำริดใหญ่ที่ถูกขัดจนมันวาว เขายังจะระบายยิ้มให้นาง นัยน์ตาพราวแพรวดุจคลื่นน้ำกระเพื่อมไหว
เขาเปลี่ยนมาสวมชุดที่ถ่ายทอดสีสันสดใสเพริศแพร้วของฤดูใบไม้ผลิออกมาอย่างเต็มที่ แดงเหลืองม่วงขาวสีเข้มสีอ่อนตัดกันไปมา สายคาดเอวสีสดรัดให้เห็นเส้นโค้งงดงามของช่วงเอว เนื้อผ้าที่อวดโอ่หาใดเปรียบ กอปรด้วยการตัดเย็บหลวมสลับกระชับอย่างมีเสน่ห์ เขาสวมมันออกมาได้อย่างสง่างามมีเอกลักษณ์ของตนเอง
เขาหวีผมจนทั้งดำขลับและมันเลื่อม รวบเป็นช่อใหญ่ปล่อยสยายอยู่ด้านหลัง ผ้าผูกผมแพรไหมกับสายคาดเอวเป็นสีเดียวกัน เขาจงใจให้ปลายผ้าผูกผมยาวสองสายนั้นให้ลอยล่องไปตามเรือนผมสีดำ ขับเน้นเครื่องหน้าทำให้ความหล่อเหลายิ่งเพิ่มความสำอางขึ้นมา
สีของท้องฟ้าด้านนอกดุจอาบย้อมด้วยผืนแพรพรรณสีส้มแดง ภายในสำนักชิงเยี่ยนเริ่มจุดโคมส่องสว่าง
เฟิ่งหมิงชุนขึ้นหอมาเคาะประตูอีกครั้ง เขาไม่รีบร้อนไปตอบรับ กลับเดินมาเบื้องหน้านาง เรียวคิ้วดวงตาอ่อนโยนยิ่ง
‘กลับห้องลับด้านในไปก่อนเถิด แม่นางอูต้องการนอนหลับอย่างดีอีกตื่น ว่าง่ายๆ นะ’ กล่าวจบเขาก็หมุนตัวเตรียมจะจากไป
อูลั่วซิงไม่เข้าใจว่าเหตุใดตนเองจึงกระทำเช่นนั้น พลันคว้าแขนเสื้อกว้างข้างหนึ่งของเขาเอาไว้
นางนั่งโดยแผ่นหลังชิดกับผนัง เงยหน้าแหงนมอง เขาสวมชุดฉูดฉาดและสายคาดเอวสีสดยืนตัวตรงตระหง่าน เหลียวหลังมาหลุบตามองนาง
‘แม่นางอูอยากพูดอะไรหรือ’ เขาเลิกคิ้วเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม
นางถึงกับตอบไม่ได้
นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนเองอยากเอ่ยอะไร อยากทำอะไร ที่จับเขานั้นนางทำไปตามสัญชาตญาณอย่างแท้จริง
‘แม่นางอูไม่อยากให้ข้าไป…ใช่หรือไม่’ เขาเอียงหน้านิดๆ ส่วนลึกของนัยน์ตาแฝงรอยยิ้มและเจือแววครุ่นคิด
นางเผยอกลีบปาก พยายามครั้งหนึ่งและอีกครั้ง ในที่สุดก็บีบเค้นเสียงให้หลุดลอดออกมาอย่างยากลำบาก…
‘หากชมชอบด้วยใจจริง อยาก…ชิดใกล้ด้วยใจจริง เวลาอยู่ร่วมกัน…จึงจะไม่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ท่านทำเช่นนี้…กำลังทำให้ตนเองต้องกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม ทำให้ตนเองลำบากใจ’ นางได้ยินคำสนทนาของเขากับเถ้าแก่ชุนอย่างชัดเจน รู้ว่าเขาไม่ชมชอบแขกที่มาเยือนในค่ำคืนนี้
ฉินชิวนิ่งมองนางครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามเสียงต่ำ ‘แล้วแม่นางอู เจ้าเล่า อาชีพฆ่าคนเป็นสิ่งที่เจ้าชมชอบ? พูดตามตรง เจ้ามิใช่กำลังทำให้ตนเองกล้ำกลืนความไม่เป็นธรรม ทำให้ตนเองลำบากใจ?’
นางได้ฟังก็พลันตกตะลึง นิ้วมือทั้งห้าที่จับแขนเสื้อกว้างคลายออกทันใด…นางปล่อยตัวเขา
รอบด้านตกอยู่ในความเงียบสงบชั่วขณะ จากนั้นนางได้ยินเสียงอ่อนโยนเนิบนาบของเขาดังขึ้นอีกครา เป็นเสียงที่ราวกับทำนองช่วงท้ายของเพลงพิณ…
‘หากวันใดแม่นางอูจะไม่ทำให้ตนเองลำบากอีก อย่าลืมมาบอกข้าคำหนึ่ง ข้าจะทำตามอย่างเจ้า พวกเราใครก็ห้ามรังแกตนเองอีกดีหรือไม่’
นางไม่ตอบคำอีก เพียงจับจ้องเขาผลักประตูออกไป และสดับเสียงฝีเท้าเขาก้าวลงบันไดหินไปทีละก้าว…ทีละก้าว
นางไม่เคยสนทนาลึกซึ้งเพียงนี้กับผู้ใดมาก่อน ในชีวิตยี่สิบกว่าปีของนาง คนใกล้ชิดมีแค่อาจารย์กับศิษย์น้อง อาจารย์ปฏิบัติกับนาง…นับว่าดีกระมัง แต่มักมีระยะห่าง ศิษย์น้องป่วยซมเป็นอาจิณตลอดกาลต้องการความคุ้มครองจากนาง นางไม่มีคนสนิทหรือสหายอื่นอีก จับพลัดจับผลูบุกเข้ามาในเรือนคุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยน รู้จักอีกฝ่ายเพียงวันเดียวเท่านั้น ในใจก็บังเกิดความรู้สึกประเภทถูก ‘ก้าวล่วงผ่านประตูเข้ามาในบ้าน’ ขึ้นมาแล้ว
นางหวาดผวาอยู่บ้าง รู้สึกหวาดกลัวเล็กๆ สิ่งที่กลัวคืออะไรกันแน่ ชั่วอึดใจนั้นก็เอ่ยต้นสายปลายเหตุไม่ออก
คืนนั้น นางกลับห้องลับเปลี่ยนมาสวมชุดตระเวนราตรีของตน เก็บมีดเงินคู่กลับลงปลอกลับบนแขนทั้งสองข้าง ตอนนางจากไปฝีเท้ายังซวนเซ ทว่าดีขึ้นกว่าเมื่อคืนมากมายนัก
นางรู้ว่าไห่หนิงโหวซื่อจื่อได้รับการเชิญเข้ามาในหอซือเฟย ด้วยเพราะอยู่ติดกับนอกผนังชั้นล่าง นางได้ยินเสียงกระเส่าของบุรุษในห้วงตัณหาอีกครั้ง เสียงหอบครางอย่างระบายอารมณ์ปรารถนาดังขึ้นเรื่อยๆ ถี่กระชั้นขึ้นทุกขณะ…นางพลอยกำหมัดแน่นขึ้นตาม ข้อนิ้วทุกข้อบีบแน่นจนลั่นดังเปาะๆ เล็บจิกเข้าไปในเนื้อฝ่ามือ บีบบังคับให้ตนเองฟังจบทั้งกระบวนอย่างทรมานยิ่ง จวบจนทุกอย่างสงบลง นางจึงสามารถลุกขึ้นจากไปได้
ในฐานะคุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยนต้อนรับแขกหลังม่าน ขายรอยยิ้มขายร่างกาย นั่นคืออาชีพที่เขาใช้หาเลี้ยงตัว เหมือนกับนาง ขายวิทยายุทธ์ สังหารคนเป็นอาชีพแลกเงินทอง ทั้งสองล้วนทำเพื่อมีชีวิตต่อไปก็เท่านั้น นางกับฉินชิวไม่แตกต่างกัน
ทว่าสิ่งที่เกินมาคือความอึดอัด อึดอัดจนหน้าอกปวดแปลบ
นางเองแทบเอาตัวไม่รอด กลับยังรู้สึกอึดอัดทรมานแทนเขา
ตอนจากไป นางนึกว่าสามารถไปอย่างเด็ดขาด อย่างไรเสียก็พบพานโดยบังเอิญ ไม่มีอันใดให้อาวรณ์ แต่เมื่อปีนขึ้นบนกำแพงนางยังอดหันหน้าปราดมองกลับไปไม่ได้…นางเห็นเทียนสว่างขึ้นบนชั้นบนของหอซือเฟย มองเห็นเงาร่างของผู้เป็นเจ้าของปรากฏบนหน้าต่างที่พังเสียหายครึ่งหนึ่ง ในใจนางพลันรู้สึกสับสนทันใด
คงไม่ใช่ว่า…เพิ่งเสร็จเรื่องชั้นล่าง ขะ…เขาก็รีบร้อนขึ้นชั้นบนมาดูนางหรอกนะ
ฉับพลันนั้น เงาร่างที่เร่งฝีเท้าไปทางที่ตั้งห้องลับสายนั้นก็ชะงักฝีเท้า
นางหน้าผากเย็นวาบ เกิดภาพลวงตาประหลาดประเภทหนึ่ง ดั่งห่างเขาและนางกั้นด้วยระยะทางไกลมาก ทว่าสายตาของเขายังคงค้นหานางที่หมอบอยู่บนสันกำแพงได้ในพริบตา
เขามองเห็นนาง เขากำลังมองนาง
ไม่! ต้องเป็นนางที่คิดมากไป เขาเพียงทอดสายตามองไกลผ่านหน้าต่างที่พังเสียหาย เป็นไปไม่ได้ที่จะเห็นนาง
วี้ด…ปุ้ง!
แสงสว่างสายหนึ่งทะยานขึ้นสู่ขอบฟ้าอันมืดมิด และระเบิดออกบนท้องฟ้าสูงลิ่ว
พลุสัญญาณ?!
ตำแหน่งที่จุดคือชานเมืองทางตะวันตก อาจารย์เรียกนางกลับไป
นางชายตามองเงาร่างสูงโปร่งบนหอซือเฟยนั้นอีกแวบ ประทับคนรูปงามไว้ในก้นบึ้งของใจด้วยจิตใต้สำนึก จากนั้นก็กระโจนออกนอกกำแพงไปอย่างเด็ดเดี่ยว และตะบึงจากไปไกลโดยไม่เหลียวหลัง
นางไม่รู้แม้แต่น้อยว่านิ้วมือในแขนเสื้อของคนบนหอซือเฟยกดลงบนขอบหน้าต่างอย่างแรงเพียงใด ตอนที่นางทะยานร่างหายลับไปอีกด้านของกำแพงสูง ผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟยแทบจะบีบขอบหน้าต่างแหลกละเอียดอยู่รอมร่อ…
นางจากไปโดยไม่ลา ช่างเป็นการยั่วโทสะบางคนอย่างแท้จริง
ชานเมืองทางตะวันตกของเมืองหลวง
“อาจารย์…”
“เหตุใดจึงกลับมาช้าหนึ่งวัน” ในโถงเล็กเรียบง่ายของเรือนไผ่ แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าของบุรุษเกิดเป็นน้ำหนักแสงเงา ท่าทางคล้ายอ่อนโยน ทั้งน้ำเสียงก็เนิบช้า กระนั้นสายตาที่จับจ้องคนที่หวนกลับมาในยามราตรีนี้กลับติดจะลุ่มลึกหนักอึ้งยิ่ง
อูลั่วซิงกลั้นอาการไอ ก่อนจะเอ่ยตอบเสียงค่อย “ฝ่ายตรงข้ามสุดท้ายเปลี่ยนใจ ไม่ยอมมอบของออกมา จำต้องลงมือแย่ง”
“แล้วของเล่า ได้มาอยู่ในมือจริงๆ หรือไม่” เขาผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้พนักวงโค้งทันใด ช่วงคิ้วตาฉายประกายเฉียบขาด
อูลั่วซิงพยักหน้า หยิบกล่องแบนออกมาจากอก ก่อนจะวางบนเก้าอี้ไผ่อย่างนอบน้อม
เมื่อเปิดกล่องแบนนั้นออกและเห็นสมุนไพรวิเศษสีม่วงเข้มที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ยิ่ง อูติ้งเซินก็พลันมีสีหน้าผ่อนคลายลง มุมปากค่อยปรากฏแววนุ่มนวลขึ้นบ้าง “รับเงินผู้อื่นช่วยกำจัดเคราะห์ภัย ในเมื่อช่วยกำจัดเคราะห์ภัยของฝ่ายนั้นสำเร็จ ค่าตอบแทนที่ตกลงกันก็จำเป็นต้องจ่ายถึงที่สุด หากคิดเปลี่ยนใจย่อมต้องชดใช้ด้วยชีวิต” เขาเว้นวรรคไปชั่วอึดใจและเอ่ยต่อ “เจ้านอกจากช่วงชิง ได้จบชีวิตอีกฝ่ายพร้อมกันด้วย?”
อูลั่วซิงเม้มปากพลางผงกศีรษะกล่าว “เจ้าค่ะ”
“ทำได้ดีมาก” อูติ้งเซินนั่งลงใหม่และพลันเอ่ยถาม “เจ้าได้รับบาดเจ็บจึงกลับล่าช้าใช่หรือไม่”
อูลั่วซิงนึกว่าตนเองปกปิดดีเยี่ยมที่แท้อาจารย์ก็มองออก นางทนไม่ไหวในที่สุด เบือนหน้าไปไอเบาๆ สองครั้ง ครู่หนึ่งจึงส่ายหน้ากล่าว “ศิษย์ไม่เป็นอะไรมาก ปรับลมปราณด้วยตนเองก็สามารถฟื้นคืนเป็นปกติได้”
ในยามนั้น ที่ตามมาพร้อมกับเสียงฝีเท้าแผ่วเบา เงาร่างอรชรปรากฏขึ้นข้างประตูโถงเล็ก
หญิงสาวท่าทางอายุสิบห้าสิบหกเห็นอูลั่วซิงกลับบ้านมาเช่นนี้ ใบหน้าที่ดูอมโรคก็แย้มยิ้มเบิกบานขึ้นทันที “ศิษย์พี่! เฉี่ยวเอ๋อร์ว่าแล้วเชียวว่าศิษย์พี่กลับมา ข้านอนๆ อยู่ เหมือนได้ยินเสียงศิษย์พี่เข้ามา แล้วก็เป็นดังนั้นจริงๆ”
อูเฉี่ยวเอ๋อร์ก้าวเข้ามาในโถง ตรงโถมเข้าใส่อ้อมกอดของอูลั่วซิง
อูลั่วซิงค่อยๆ ยกมือขึ้นลูบหัวศิษย์น้อง
อูติ้งเซินลุกขึ้นเดินไปยังข้างกายทั้งคู่ ก่อนจะประคองอูเฉี่ยวเอ๋อร์ออกอย่างเบามือพลางพูดเสียงนุ่มนวล “ศิษย์พี่เจ้ายุ่งหลายวันเพียงนั้นก็เหนื่อยแล้ว เจ้าอย่าไปตอแยจนนางไม่ได้พักผ่อน มา พ่อพาเจ้ากลับห้อง เฮ้อ…ดึกเพียงนี้ยังคลำทางมาเองอีก หากสะดุดของอะไรล้มจะทำอย่างไร”
“ท่านพ่อ คืนนี้ข้าอยากนอนเตียงเดียวกับศิษย์พี่ ได้หรือไม่เจ้าคะ” นางทำปากยื่นออดอ้อน
“ไม่ได้ หากเจ้าขอนอนกับศิษย์พี่ ย่อมต้องพูดคุยกันทั้งคืน แม้ศิษย์พี่เจ้าทนได้ แต่เจ้ารับไม่ไหว”
“ท่านพ่อ ข้าขอร้องล่ะ…” สองมือนางเขย่าแขนของผู้เป็นพ่อ
“ไม่ได้”
“เชอะ!”
“เฉี่ยวเอ๋อร์ทำตัวว่าง่ายกับพ่อหน่อย ดูสิ ศิษย์พี่เจ้าได้หญ้าหลิงจี้กลับมาอีกต้นแล้ว พวกเราใกล้จะรวบรวมครบเจ็ดต้นแล้ว พ่อรับรองกับเจ้า อีกไม่นานก็จะบำรุงร่างกายเจ้าแข็งแรง รักษาโรคทั้งหมดในตัวเจ้าจนหาย เจ้าต้องว่าง่ายๆ ก่อน อย่าให้พ่อเป็นห่วงได้หรือไม่” เขาลูบศีรษะบุตรสาวที่รักใคร่อย่างทะนุถนอมยิ่ง
นับแต่อูเฉี่ยวเอ๋อร์ปรากฏตัว อูลั่วซิงก็ไม่เอ่ยวาจาสักคำตั้งแต่ต้นจนจบ และไม่มีจังหวะให้นางเอ่ยปากเช่นกัน
ภาพพ่อลูกผูกพันตรงหน้าสายตานี้นางมองดูอย่างเงียบเชียบ มองดูมาหลายปีเพียงนี้ หากพูดว่าส่วนลึกของจิตใจไม่มีความอิจฉาสักเศษเสี้ยวนั้นคงเป็นการโกหกแล้ว นางเองก็แอบคิดภาพว่าหากตนเองโดนลูบหัวปลอบโยน คุ้มครองปกป้องดั่งวางไว้ในใจนั้นจะเป็นความรู้สึกประเภทใด นางเข้าใจ นั่นไม่เหมาะสมกับนางเป็นแน่ เพียงแค่…แค่…คิดเลอะเทอะเท่านั้น
และแล้วนางก็คิดเลอะเทอะอย่างที่คิดไว้จริงๆ ยามนี้ในสมองกลับผุดภาพฉากต่างๆ บนหอซือเฟย และแน่นอนว่าย่อมปรากฏใบหน้าหล่อเหลาสง่างามของคุณชายอันดับหนึ่งผู้นั้นเช่นกัน ยามเขาหยักยิ้ม แก้มซ้ายขวามีลักยิ้มหนึ่งลึกหนึ่งตื้น ครั้นเงยคางเล็กน้อย ไฝเม็ดเล็กน่ารักนั้นก็สะดุดสายตาเหลือหลาย
เวลานี้หลังใคร่ครวญโดยละเอียดแล้ว ‘ลูบหัวปลอบโยน’ หรือ ‘ปกป้องดั่งดวงใจ’ ที่นางเคยคิดฝันเหล่านั้น ก็เหมือนว่า…เขาล้วนทำกับนางมาหมดแล้ว?
“ลั่วซิง คิดอะไรหรือ” อูติ้งเซินเอ่ยถามขึ้นกะทันหัน
อูลั่วซิงแทบกระเด้งตัวขึ้น เมื่อตั้งสติได้ก็พบว่าหูทั้งสองร้อนผ่าว “มะ…ไม่ได้คิดอะไรเจ้าค่ะ”
“ศิษย์พี่เห็นทีจะเหนื่อยล้าอย่างหนักจริงๆ ถึงกับนิ่งงันเหม่อลอยทีเดียว” ใบหน้าของอูเฉี่ยวเอ๋อร์ยังคงฉายความรู้สึกหักใจไม่ลงเอาไว้อยู่บ้าง
อูติ้งเซินปิดฝากล่องแบนและหยิบไปพลางเอ่ยกับลูกศิษย์ “ดึกมากแล้ว พักผ่อนก่อนเถิด หากท้องหิวในห้องครัวมีข้าวและกับข้าวที่เหลือของคืนนี้ ในตู้ยังมีเสบียงอีกจำนวนหนึ่ง ข้าจะไปส่งศิษย์น้องเจ้าเข้านอน หากมีเรื่องใด พรุ่งนี้ค่อยหารือ”
“ศิษย์รับทราบ” อูลั่วซิงหลุบตาตอบรับ หางตาปรายเห็นศิษย์น้องแอบยิงฟันแลบลิ้นให้นาง นางก็ลอบกะพริบตา ยิ้มมุมปากอย่างอ่อนโยนตอบกลับไป
พอกลับถึงห้องนอนที่เป็นของตนเองด้านหลังเรือนไผ่ อูลั่วซิงก็เดินซวนเซล้มคะมำไปด้านหน้าทันที ด้วยจับขอบโต๊ะได้ทันจึงค่อยทรงตัวมั่นคง
นางค้นพบว่าลมหายใจสับสนอย่างยิ่ง นางกัดฟันฝืนทน รีบตะเกียกตะกายขึ้นนั่งขัดสมาธิบนเตียง ฝืนเดินลมปราณขึ้นมาเพื่อปรับลมหายใจ
นี่เพราะพิษที่มิได้กำจัดหมดเกลี้ยงกำเริบขึ้นอีกในร่างกายนางกระมัง
อูลั่วซิงทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าอาจารย์มากเกินไป พอผ่อนคลายลง แรงขุมนั้นก็พุ่งย้อนกลับกะทันหัน แต่ถึงอย่างนั้นขอเพียงสงบใจโคจรลมปราณเป็นใช้ได้ จับวิธีหายใจเข้าออกได้มั่นคงก็จะค่อยๆ ฟื้นกลับมา
ดังนั้นห้ามรีบร้อน ไม่เป็นอันใด นางคนเดียวรับมือได้
อาจารย์ถามถึงอาการบาดเจ็บของนาง เดิมนางยังใจฝ่ออยู่บ้าง ทว่าเมื่อศิษย์น้องปรากฏตัวขึ้นในตอนนั้น ก็ดึงความสนใจทั้งหมดของอาจารย์ไป นางถูกปัดไปด้านข้างอย่างเป็นธรรมชาติ แม้ในใจติดจะฝาดเฝื่อน แต่ก็รู้สึกโล่งอกด้วย
นางไปจากเรือนไผ่เมื่อหนึ่งเดือนก่อน
อาจารย์นางคลุกคลีในวงการนักฆ่ามายี่สิบกว่าปี มิเคยสังกัดสำนักใด ทำงานลำพังมาแต่ไหนแต่ไร ทว่าก็มีคนกลางในยุทธภพที่ร่วมงานกันมานานปีคนหนึ่ง ผู้คนเรียกกันว่า ‘เหล่าเต้า’
ฐานลับที่เหล่าเต้าจัดวางไว้ทั่วยุทธภพมีมากดุจขนวัว ลูกสมุนกระจายไปทั่วทุกสายอาชีพ พูดถึงความว่องไวของข่าวสาร หากบอกว่าเขาเป็นที่สอง ก็เห็นจะไม่มีใครกล้าอ้างตัวเป็นที่หนึ่งได้แล้ว
ปีนั้นอาจารย์หญิงของนางถึงแก่กรรมจากการคลอดยาก น่าเวทนาที่ทารกซึ่งนางคลอดออกมาด้วยชีวิตกลับมีร่างกายไม่สมบูรณ์แต่กำเนิด อ่อนแอขี้โรค ซ้ำยังมีลักษณะของการด่วนจากไปเร็วก่อนวัยอันควร สิบปีก่อนอาจารย์เคยสืบได้โอกาสสุดท้ายที่ทารกจะรอดชีวิตมาจากเหล่าเต้า…ขอเพียงเตรียมหญ้าหลิงจี้ครบเจ็ดต้น รวมกับค่าจ้างหนึ่งร้อยตำลึงทอง ประมุขหุบเขาประหลาดเหลียวตงก็จะสามารถเปลี่ยนสุขภาพร่างกายของศิษย์น้องได้ ทำให้เลือดลมฟื้นคืนขึ้นมาใหม่
ประมุขหุบเขาประหลาดผู้นั้นได้รับการขนานนามว่า ‘หมอผีหัตถ์เทวดา’ มานาน รักษาโรคหายยากมานับไม่ถ้วน หลังจากผ่านการเชื่อมสะพานนี้ของเหล่าเต้า ก็ได้เริ่มต้นเส้นทางอันยาวนานในการตามหาหญ้าหลิงจี้สิบปีนี้ของนางกับอาจารย์
เหตุผลที่สมุนไพรวิเศษอย่างหญ้าหลิงจี้นี้ยากที่จะหามาได้ นั่นเพราะมันเติบโตในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าจันทราโลหิตในแดนตะวันตกเท่านั้น
ขณะที่หลายปีที่ผ่านมา ยุทธภพจงหยวนมิได้ปฏิบัติอย่างเป็นมิตรกับเผ่าจันทราโลหิตนัก
ห้าหกปีก่อนนี้สองฝ่ายยังเคยสู้รบกันจริงๆ มาก่อน ตอนนั้นอูลั่วซิงทางหนึ่งติดตามอาจารย์ขึ้นเขาลงดินตามหาสมุนไพรวิเศษ อีกทางหนึ่งต้องรับใบสั่งช่วยกำจัดเคราะห์ภัยให้นายจ้างทั้งหลาย แม้ไม่เคยเห็นกับตา แต่ก็รู้ว่าเด็กหนุ่มเผ่าจันทราโลหิตคนหนึ่งเคยก่อกวนทั้งยุทธภพจงหยวนจนไก่บินสุนัขกระโดด ทุกผู้คนล้วนหวาดกลัว
เผ่าจันทราโลหิตแยกตัวและลึกลับยิ่ง ตำแหน่งของบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์คนนอกไม่มีทางล่วงรู้ อาจารย์กับนางเดินทางมุ่งสู่แดนตะวันตกหลายครั้งล้วนหาทางเข้าไม่พบ หญ้าหลิงจี้หนึ่งต้นยากหามา สุดท้ายอาจารย์ได้แต่กระจายข่าวและใช้เงินจำนวนมากซื้อข่าวจากทางเหล่าเต้า สืบค้นว่าในมือผู้ใดมีหญ้าหลิงจี้ ขอเพียงให้หญ้าหลิงจี้เป็นค่าตอบแทน ไม่ว่าเรื่องยากเพียงใดล้วนทำให้ได้ทั้งสิ้น ไม่ว่าคนผู้นั้นสังหารยากเพียงไรนางก็จะต้องลอบสังหารครั้งแล้วครั้งเล่าจนสำเร็จในที่สุด
ในค่ำคืนนี้หญ้าหลิงจี้ที่นางนำกลับมาคือต้นที่หกของรอบสิบปีนี้
ฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้อาวุโสในสำนักเล็กๆ เจ้าสำนักถูกคนสนิทร่วมมือกันวางแผนประทุษร้าย ผู้อาวุโสใช้หญ้าหลิงจี้ในมือเป็นค่าตอบแทน หมายเอาคืนการสังหารด้วยการสังหาร หมายจะพลิกท่วงทีของสำนักให้กลับมาถูกต้อง
นางคิดไม่ถึงหลังจากภารกิจลุล่วง ฝ่ายตรงข้ามเกิดกลับคำ คิดเพ้อฝันอยากจะไสส่งนางด้วยเงินอันน้อยนิด
‘แม่นาง นี่เป็นสมุนไพรวิเศษเชียวนะ ไม่เพียงสามารถยืดอายุให้ยาวนาน ยังช่วยคืนความหนุ่มสาวชะลอวัย ข้าได้หญ้าหลิงจี้ต้นนี้มาด้วยเหตุบังเอิญทั้งสิ้น หนึ่งเดียวไม่มีสอง ขะ…ข้าให้เจ้าไม่ได้! ไม่อาจทำได้!’
ชายชราตระบัดสัตย์ นิ้วมือเหี่ยวย่นจับกล่องแบนแน่น ผู้คนในสำนักด้านหลังที่เปลี่ยนไปฟังคำสั่งเขามีท่าทีพร้อมใจจะกรูเข้ามาสังหารนางให้ตาย
นางจึงเปิดศึกการแย่งชิงทันที เมื่อลงมือก็ทำคนเจ็บหนักไปไม่น้อย
แต่เมื่อครู่นางโป้ปดกับอาจารย์ แท้จริงนางมิได้ลงมือสังหารคนเหล่านั้น เพียงแย่งกล่องแบนมาได้และแน่ใจว่าด้านในคือหญ้าหลิงจี้ไม่ผิดพลาด ก็ซัดคนพวกนั้นล้มลงและหนีมา
นางไม่กล้าให้อาจารย์รู้ว่าทำอะไรมาจึงบาดเจ็บ
เดิมนางสามารถกลับมาก่อนหน้านี้สองสามวัน ทว่านางกลับเอาหญ้าหลิงจี้ไปซ่อนก่อน ลอบเข้าจวนจงหย่งกงฆ่าสังหารอีกหนึ่งยก
เรื่องบางเรื่องหากได้ข้องแวะ ก็จะต้องทำให้จงได้ ถ้าไม่ได้ทำ ตนเองก็จะติดอยู่ในความรู้สึกผิดของตนเอง
‘นอนเถิด ไม่ต้องคิดเรื่องใดทั้งสิ้น ให้ข้าช่วยเจ้า’
‘ซ่อนตัวให้ดี…ท่านอ่อนแอมาก อันตราย…’
‘…รู้หรือไม่ ผู้ที่ใจอ่อนต่างหากที่อ่อนแอ แม่นางใจอ่อน แม่นางจึงจะเป็นฝ่ายที่อ่อนแอผู้นั้น’
ในหูมีเสียงพูดโต้ตอบสั้นๆ แว่วผ่านไปโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า
เสียงบุรุษอ่อนละมุน เสียงหญิงสาวต่ำพร่าและเปราะบาง…
อูลั่วซิงพลันรู้สึกว่าการโคจรลมปราณภายในยุ่งเหยิงวุ่นวาย นึกว่าต้องหยุดเดินลมปราณอย่างเลี่ยงไม่ได้ กระนั้นสติกลับจมดิ่งลงอย่างหนัก พริบตานั้นราวกับถูกแรงถ่วงไร้รูปขุมหนึ่งดึงลงสู่เบื้องล่าง ร่วงตกลงไปลึกยิ่ง…
นางตกกระแทกลงสู่ห้วงขมุกขมัวไร้พรมแดน ยามเมื่อสภาวะทิ้งดิ่งหยุดลง นางมิได้ร่วงลงมาเจ็บ แค่สับสน…
“ในที่สุดก็ยอมให้ข้าเข้ามาแล้ว” เสียงบุรุษนุ่มละมุนสายนั้นที่เพิ่งฉุกคิดถึงเมื่อครู่ เวลานี้ดังขึ้นในสติรับรู้ของนาง
อูลั่วซิงดันพื้นลุกขึ้น ดวงตาเบิกกลมไม่กะพริบแม้แต่น้อย จ้องเขม็งไปที่หมอกหนาดำทะมึนเบื้องหน้า
หมอกหนาปั่นป่วน เหมือนลมพายุหมุนวนเปลี่ยนแปลงพิลึกพิลั่น พลันเห็นเงาร่างบุรุษสูงโปร่งก้าวออกมาจากด้านหลังของสายหมอก
บุรุษสืบเท้าเชื่องช้า ชุดคลุมยาวล่องลอยหลากสีสัน เรือนผมสีดำแผ่สยายน้อยๆ ดุจสายน้ำไหล ใบหน้าขาวกระจ่าง ขาวจนทอแสงเรื่อเรืองจางๆ พาให้ใบหน้าที่มีเส้นสายงดงามนั้นดูประหนึ่งความฝันประดุจภาพมายา ไม่เหมือนเรื่องจริงเท่าใดนัก
“ขะ…ข้าต้อง…ต้องธาตุไฟเข้าแทรกเป็นแน่…” นางพึมพำด้วยจิตใต้สำนึก คิดเหตุผลอื่นไม่ออก
“หามิได้ เจ้าเพียงเผลอสติใจเพริดไปเท่านั้น…จึงคิดถึงข้าขึ้นมา” บุรุษรูปงามมายังตรงหน้านาง สายตาจดจ่อและมีชีวิตชีวา คล้ายต้องการมองเข้าไปในเนื้อหนังจิตวิญญาณของนาง ไปยึดกุมทุกกระแสความคิดของนาง
คนตรงหน้าอยู่ใกล้เกินไป อูลั่วซิงอดจะขยับถอยหลังไม่ได้
นางไม่ใช่คนตาขาว แต่ฝ่ายตรงข้ามก็สุดจะอ่อนแอบอบบางเป็นอย่างยิ่ง คาดว่าแค่หนึ่งนิ้วของนางก็สามารถผลักเขาล้มลงได้อย่างไร้ข้อกังขา นางจึงไม่เข้าใจว่าความรู้สึกเครียดเกร็งในอกนั้นเกิดขึ้นจากอะไร
สุดท้ายนางเพียงถอยแต่มิได้หนี
“ฉินชิว…” นางเรียกขึ้นช้าๆ ตามด้วยยกมือกุมหน้าผาก ส่ายหน้าพลางพึมพำอย่างไม่อยากเชื่อความคิดตนเอง “ไม่ถูกต้อง…ไม่ใช่ธาตุไฟเข้าแทรก…ลมหายใจเข้าออกล้วนปกติ และไม่มีความรู้สึกย่ำแย่จากการที่เลือดลมปั่นป่วนแม้แต่น้อย เช่นนั้น…เช่นนั้นยามนี้คือความฝัน? ย่อมเพราะเหนื่อยเกินไป หลับไปเมื่อใดไม่รู้ตัว จากนั้น…ฝันถึงบุรุษผู้หนึ่ง…แต่ไรมาข้าไม่เคยฝันเลอะเทอะมาก่อน ครั้งนี้กลับเหนื่อยถึงขั้นฝันเป็นบุรุษแล้ว ซ้ำยัง…ยังเป็นคุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยน ข้าฝันถึงเพราะอยากทำอะไร อูลั่วซิง เจ้าอยากทำอันใดกัน”
นางที่กำลังนึกว่าตนเองหลับลึกอยู่ในห้วงฝัน เปลี่ยนไปพูดมากขึ้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปหลากหลาย เทียบกับแม่นางที่พูดน้อยทั้งยังมีสีหน้าไร้อารมณ์คนเดิมนั้นช่างแตกต่างกันมาก
ทว่าท่าทางต่างกันราวฟ้ากับเหวนี้ ชวนให้บุรุษที่มาหยุดตรงหน้านางอดเลิกคิ้วอย่างตกตะลึงไม่ได้
“ดังนั้น ในเมื่อฝันเห็นข้าแล้ว เจ้าอยากทำอะไรเล่า” ฉินชิวถามขึ้นตามคำพูดนาง
อูลั่วซิงเหลือบตาขึ้นมองเขาใหม่ ดวงตาทั้งสี่สบประสานกัน หน้าผากนางชาหนึบเล็กน้อย
เมื่อไม่ได้คำตอบจากนาง ใบหน้าเขาตึงเครียดขึ้น ก่อนจะเอ่ยตำหนิ “เจ้าไปโดยไม่ลา ไร้น้ำใจของชาวยุทธ์โดยสิ้นเชิง”
ทั้งที่อยู่ในห้วงฝัน นางกลับสัมผัสได้ถึงหัวใจที่ปวดรัดขึ้นโดยแรง นึกถึงเขาที่โดนบีบให้ต้อนรับแขกหลังม่าน อีกทั้งเสร็จกิจแล้วยังรีบร้อนขึ้นชั้นบนและมองหาตัวนาง
“อาจารย์จุดพลุสัญญาณตามหาข้า ข้าทำเรื่องที่จวนจงหย่งกงด้วยตนเอง ไม่ได้บอกอาจารย์ จากนั้นข้ายังได้รับบาดเจ็บกลับช้าอีก อาจารย์ย่อมกังวลใจยิ่งยวด…แท้จริงข้าซ่อนหญ้าหลิงจี้ต้นที่หกเอาไว้ อาจารย์ต้องการทั้งหมดเจ็ดต้นเลยเชียวนะ บัดนี้ขาดเพียงต้นสุดท้ายก็จะสำเร็จงานใหญ่ ข้าต้องไปนำต้นที่ซ่อนไว้อย่างดีนั้นกลับมาจึงจะได้ ศิษย์น้องต้องใช้มันรักษาชีวิต อาจารย์เร่งรัดให้ข้ากลับมา ข้า…ข้าไม่มีความตั้งใจจะทำเช่นนั้นกับท่าน…”
บางทีด้วยเพราะนึกว่าตนเองอยู่ในฝัน ซ้ำบุรุษที่มีบุญคุณกับนางยังประชิดมาถึงตรงหน้าด้วยน้ำเสียงแฝงโทสะ จ้องมองใบหน้างามกรุ่นโกรธนิดๆ ทั้งยังดู…น่ารักอย่างไม่มีเหตุผล นางพลันปลดปล่อยตนเองอย่างต้านทานไม่ไหว นึกอะไรได้ก็พูดเช่นนั้น
นางมิได้สังเกต ตอนที่บุรุษรูปงามตรงหน้าได้ยินคำว่า ‘หญ้าหลิงจี้’ ดวงตาสองข้างของเขาพลันหรี่ลง
ฉินชิวนิ่งงันไปเนิ่นนานจึงถามขึ้นอย่างแช่มช้า “หญ้าหลิงจี้…อาจารย์กับศิษย์น้องเจ้าต้องการมันไปทำอันใด”
นี่เป็นความฝัน ฝันที่แปลกประหลาดทั้งยังเสมือนจริงมากเกินไป…ในเมื่ออูลั่วซิงมั่นใจว่ามันเป็นแค่ฝัน ดังนั้นในฝันนางย่อมไร้ซึ่งการระวังป้องกัน ถามมาย่อมตอบไปตามจริง
นางบอกเล่าว่าเหตุใดตนเองจึงต้องตามหาหญ้าหลิงจี้อย่างสั้นกระชับเน้นประเด็นหลักต่อเขาทั้งหมด ทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องเหล่าเต้าคนกลางในยุทธภพกับเรื่อง ‘หมอผีหัตถ์เทวดา’ แห่งหุบเขาประหลาดเหลียวตงอีกด้วย…
“…หลายปีมานี้อาจารย์พาข้ารวบรวมเงินได้ครบหนึ่งร้อยตำลึงทองแล้ว หญ้าหลิงจี้เจ็ดต้นบัดนี้ก็เหลือแค่ต้นเดียว เชื่อว่าอีกไม่นานจะสามารถส่งศิษย์น้องไปรักษาตัวที่หุบเขาประหลาด เปลี่ยนแปลงสภาพร่างกายได้”
ฉินชิวฟังจบ เรียวคิ้วดวงตาสงบนิ่งราวสภาวะก่อนพายุบนภูเขาจะมาเยือน ถามขึ้นเรียบๆ อีกว่า “ตอนอาจารย์เจ้าเก็บเจ้าที่อายุน้อยไร้ที่พึ่งมาดูแลข้างกายในปีนั้น ศิษย์น้องของเจ้าถือกำเนิดแล้วหรือไม่”
อูลั่วซิงไม่ค่อยเข้าใจคำถามที่มาโดยไม่ให้ตั้งตัวนี้ของเขานัก ทว่ายังคงตอบตามจริง “ฟังจากคำพูดอาจารย์ อาจารย์หญิงจากไปเนื่องจากเสียเลือดมากตอนคลอด ตอนที่ข้าเจออาจารย์อายุยังไม่ถึงเจ็ดปีดี ส่วนศิษย์น้องเพิ่งอายุครบขวบ”
“ดังนั้น…พูดตามตรง แท้จริงอาจารย์เก็บเจ้ากลับมาเพื่อเป็นเพื่อนกับบุตรสาว หลังจากสอนวิชายุทธ์ให้เจ้า ยังสามารถให้เจ้าช่วยทำงาน ช่วยเก็บเงิน ช่วยหายา ใช่หรือไม่”
วิธีแจกแจงของเขาทำให้นัยน์ตาของนางหดลงฉับพลันราวกับหวาดกลัวความเจ็บปวด
“ทำไม ข้าพูดไม่ถูกต้องหรือ” ฉินชิวถามอีก
บุรุษเบื้องหน้าสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แววตากลับทอประกายเย็นเยียบเล็กๆ
อูลั่วซิงกระจ่างแจ้งในพริบตา เขายังเคืองโกรธที่นางจากไปโดยไม่ลา ไฟโทสะลุกโชนใต้รอยยิ้มเสแสร้งกับความเย็นชานั้น
นางบดกลีบปากทั้งสอง ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นอย่างยากลำบากยิ่ง
“หากไม่ได้อาจารย์พาข้ากลับไป เด็กหญิงที่เสียพ่อแม่ทั้งสองคนไปจากการทำลายล้างของน้ำป่าทะลักท่วม อยากมีชีวิตรอด อยากขอให้อิ่มท้องร่างกายอบอุ่นสักมื้อ บางทีอาจถูกคนขายเข้าหอนางโลมสำนักคณิกาไปแล้ว หรือไม่ก็…ก็คงเป็นดั่งที่ท่านพูด ข้านั้นถูกพากลับไปเพื่ออยู่เป็นเพื่อนศิษย์น้อง ทั้งยังประจวบเหมาะเป็นคนที่มีพื้นฐานดี ทนต่อความลำบากในการฝึกยุทธ์ได้ ช่วยอาจารย์รวบรวมเงินได้ ช่วยศิษย์น้องหายาได้…เป็นเช่นนี้ แต่เป็นเช่นนี้แล้วจะทำไมเล่า”
ไม่อาจไม่ยอมรับ คำพูดของเขาแทงเข้าไปในส่วนลึกของใจนาง ทว่าแต่ไรมานางก็หาได้มีนิสัยชอบจมปลักกับความทุกข์
ความรู้สึกทุกข์ตรมย่อมมี แต่ควรจะมองเรื่องราวให้ขาด และนางก็ไม่มีทางหลอกตนเองด้วย “…ได้ทำประโยชน์ให้อาจารย์ ได้ปกป้องศิษย์น้อง อย่างไรก็ดีกว่าอดตายข้างถนนหรือตกต่ำไปเป็นนางคณิกามากนัก…มากยิ่งนัก”
ครั้งนี้กลับเป็นเขาที่นัยน์ตาหรี่ลงฉับพลัน “เช่นนั้นก่อนหน้านี้ที่เจ้าไปโดยไม่ลา ซ้ำยังไปอย่างรีบร้อนเพียงนั้น ล้วนเป็นเพราะสำนักชิงเยี่ยนเป็นสถานที่ตกต่ำ เป็นสถานที่สกปรกโสมมเหลือแสนใช่หรือไม่”
…สะ…สถานที่สกปรกโสมมเหลือแสน?
อูลั่วซิงเบิกตากว้างก่อนในทีแรก ตามด้วยหลุบตาลง ขบกรามแน่นพลางเอ่ยแย้ง “ไม่ใช่! ที่ข้ารีบจากมา เป็นเพราะหวนกลับล่าช้า อาจารย์กำลังตามหาข้า เรียกข้า เป็นเพราะข้า…ข้า…” ลมหายใจของนางสะดุดทันควัน นางพยายามกลืนลมหายใจที่ติดอยู่ในลำคอเฮือกนั้น “ในใจข้าย่ำแย่ถึงขีดสุด รู้สึกว่าตนเองไร้ค่าถึงเพียงนั้น จากนั้นก็…อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี…”
นัยน์ตาลึกล้ำคู่นั้นของฉินชิวหดเกร็งอีกหน ยามนี้เขามิได้บันดาลโทสะ เพียงฉงนฉงายอยู่ในใจ “เหตุใดจึงรู้สึกว่าไร้ค่า รู้สึกอับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี”
อูลั่วซิงที่เชื่ออย่างลึกซึ้งว่าตนเองอยู่ในความฝันไม่เก็บงำคำพูดใด ปล่อยความรู้สึกออกไปตามหัวใจทั้งหมด “เดิมท่านเป็นคนนอก หอซือเฟยของท่านเป็นเพราะข้ากลับถูกทำลายเละเทะเหลือทนปานนั้น กระทั่งพิณสักคันยังรักษาไว้ไม่ได้ ท้ายที่สุดยังต้องยอมรับน้ำใจจากขุนนางสูงศักดิ์เหล่านั้น ยังมิอาจไม่ก้มหัวไปทนฝืนใจปรนนิบัติอีกฝ่าย ต้องต้อนรับแขกที่เกลียดชังยิ่งยวดในฐานะแขกพิเศษ หากข้ามีน้ำใจมากพอ ควรพาท่านไปจากที่นั่น แต่…แต่ข้าทำไม่ได้…อาจารย์ ศิษย์น้องต้องการข้า ข้าไม่อาจปกป้องให้ท่านปลอดภัยจึงทำได้เพียงจากมา ได้เพียงจากมาไกลตอนที่ท่านถูกหยามเกียรติ อะไรนอกเหนือจากนั้นล้วนทำไม่ได้ทั้งสิ้น…”
นางค้นพบว่าก้นบึ้งของดวงตาที่เหมือนปริศนาของบุรุษราวกับมีสะเก็ดดาวตกลงไป ทอประกายระยับ ประหนึ่งได้รับการปลอบโยนและถูกทำให้พึงใจ
“ฝันนี้…เหมือนจริงยิ่ง…” นางกลับสัมผัสได้ว่าใบหูตนเองร้อนลวก และอดถอยหลังไปก้าวหนึ่งไม่ได้
นางถอยหลัง ฉินชิวก็สืบเท้าขึ้นหน้ามาใกล้พลางเอ่ยด้วยท่วงท่าแช่มช้า “ดังนั้นที่ฝันเห็นข้า เพราะเจ้ารู้สึกผิดบาปในใจ รู้สึกละอายใจต่อข้า รู้สึกว่าไม่มีน้ำใจกับข้ามากพอ เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”
นางแหงนหน้าสบตาเขาอย่างอึ้งงัน ก่อนจะขานรับเสียงค่อยด้วยคำตอบจากจิตใต้สำนึก “อืม…”
“เป็นเช่นนี้จริงหรือ” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาโน้มลงมาหานาง ปลายจมูกอยู่ห่างจากจมูกเล็กของนางไม่ถึงหนึ่งช่วงนิ้ว มุมปากหยักขึ้นเล็กน้อย “ความงามของคุณชายอันดับหนึ่งแห่งสำนักชิงเยี่ยนดึงดูดเจ้าไม่ได้โดยสิ้นเชิง ไม่สามารถทำให้เจ้าฝันถึงได้เลยเชียวหรือ เดิมข้านึกว่าเจ้าต้องใจข้าไม่มากก็น้อย เป็นข้าคิดไปเองฝ่ายเดียวกระนั้นหรือ”
คำถามเขาไม่ได้รับคำตอบทันที เพราะหญิงสาวกำลังตกตะลึงยิ่ง ดวงตารูปเมล็ดซิ่งเบิกกว้างขึ้น
“แม่นางอู เจ้าไม่มีใจให้ฉินชิวอย่างแท้จริง?” เขาไต่ถามด้วยเสียงทุ้มต่ำอีกคราราวกับต้องการยั่วเย้าจิตวิญญาณคนพลางโน้มใบหน้าลงต่ำกว่าเก่า
บางทีอาจเป็นชั่วอึดใจ หรือชั่วครู่ หรืออาจใช้เวลานานกว่านั้น ใบหูร้อนผะผ่าวของอูลั่วซิงจึงค่อยได้ยินเสียงแหบแห้งของตนเอง…
“ข้ากับคุณชายรู้จักกันเพียงหนึ่งคืน ไหนเลยจะพูดถึงอะ…อะไรมีใจไม่มีใจ”
ดวงหน้างามของบุรุษในคลองจักษุปรากฏรอยยิ้ม ไฟโทสะสลายหายไปโดยไม่รู้ตัว “ใช่สินะ รู้จักกันเพียงเวลาน้อยนิด พวกเราก็ร่วมตกทุกข์ได้ยากด้วยกัน ข้ายังได้เห็นเรือนร่างเจ้า เจ้าก็มองดูข้าถอดอาภรณ์แต่งตัวตลอดขั้นตอน ยามนี้ยังยินยอมให้ข้าก้าวเข้ามาที่นี่ หากเจ้าไม่คิดอะไร ข้าก็อับจนหนทาง แต่หากเจ้าคิด นั่นก็คือมีใจให้ข้า เช่นนั้นไฉนจึงไม่ยอมรับอีก”
คำพูดวกวนของเขาทำให้นางรู้สึกสับสนมึนงงอยู่บ้าง
มีอะไรไม่ค่อยถูกต้อง…
นางตระหนักได้ถึงความไม่ชอบมาพากลทว่ากลับแจกแจงต้นสายปลายเหตุไม่ออก รู้สึกเพียงดวงตาของเขา นัยน์ตาดำของเขา จังหวะการพูดของเขา น้ำเสียงของเขา อีกทั้ง…อีกทั้งลมหายใจอุ่นจางที่ลอยอวลอยู่ตรงปลายจมูกนาง ชั่วระหว่างความสงบนิ่งและเคลื่อนไหวก่อตัวขึ้นเป็นตาข่ายไร้รูป ครอบทับลงมาตั้งแต่หัวจดเท้า
นางหลับตาทั้งสองด้วยสัญชาตญาณ สามารถไม่มองได้ แต่กลับมิอาจไม่ฟัง ยามนี้เองก็แว่วเสียงบุรุษนุ่มนวลแผ่วเบาดุจครวญเพลงขึ้นอีกครา…
“เจ้าโลดแล่นในยุทธภพ มีวันนี้ไม่มีพรุ่งนี้ ข้าคลุกคลีในวงการหอโคมเขียว ความรักเป็นเท็จ ความรู้สึกเป็นลวง ยากนักที่เราสองจะได้พบกัน เจ้ายินดีปกป้องข้าให้รอดพ้นจากการกัดทึ้งของสุนัขดุร้าย ทั้งยังรู้จักปวดใจแทนข้า ข้าก็ย่อมรับน้ำใจนี้เช่นกัน”
นางรู้สึกว่าริมฝีปากของเขาเลื่อนมาที่แก้มขวา ผิวของใบหน้านางครึ่งหนึ่งถูกลมหายใจเขาเป่ารดจนอุ่นร้อน
จากนั้นเขาเอ่ยถามขึ้นว่า “ฉินชิวจะปรนนิบัติอย่างดีเยี่ยม แม่นางอู…อยากลองดูหรือไม่”
อูลั่วซิงริมฝีปากร้อนผ่าว สัมผัสทั้งนุ่มและชุ่มชื้นประทับลงมา กลิ่นอายที่อาบย้อมด้วยกลิ่นจันทน์หอมยึดครองจมูกและปากของนางทั้งหมด ช่วงชิงลมหายใจเข้าออกของนางไป
นางตื่นตระหนกและลืมตาขึ้นทันใด
ใบหน้าของบุรุษอิงแอบชิดใกล้เป็นอย่างยิ่ง ในความเป็นจริงนั้นใกล้ยิ่งกว่าใกล้ สันจมูกโด่งงดงามของเขาแนบไปกับของนาง ดวงหน้างดงามเอียงเล็กน้อย ขนตางอนยาวหลุบลงดุจปีกผีเสื้อสั่นสะท้าน ใช้ริมฝีปากปิดผนึกริมฝีปากนาง
ไม่เพียงแค่ปิดผนึก ลิ้นอุ่นชื้นของเขาเมื่อสบช่องก็ชำแรกเข้ามา แทรกเข้ามาในโพรงปากของนาง และเกี่ยวกระหวัดลิ้นเล็กที่ซ่อนอยู่ภายใน
อื้อ…เช่นนี้เหมือนจะ…ไม่ค่อยถูกต้อง แต่…แต่ว่า…
ทั้งหัวใจของอูลั่วซิงว้าวุ่นสับสน ดวงตาที่ลืมขึ้นอย่างตระหนกของนางราวกับถูกสะกดจิต เปลือกตาค่อยๆ ปิดลงอย่างสั่นระริก หน้าผากชาหนึบ ความรู้สึกตื้นเขิน ความรู้สึกได้รับการปลอบประโลมแผ่ขยายจากปากลิ้นและในกระพุ้งแก้ม โดยไม่รู้ตัว นางเรียนรู้ที่จะหลับตาทั้งสองข้างเหมือนอย่างบุรุษ เรียนรู้การเคลื่อนไหวกวาดเบาๆ และม้วนตวัดของลิ้นเขา พันพัวกับเขาที่บุกรุกเข้ามาในปากของนางซ้ำไปมา
เขาจูบนาง…นางตอบรับคำเชิญจากกลีบปากเขา ต้อนรับเขาที่แทรกลึกเข้ามาอย่างไร้การต่อต้าน
นางไม่เคยทำเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อน
เหมือนกับนางที่ไม่เคยฝันถึงบุรุษมาก่อน ไม่เคยฝันประหลาดถึงเพียงนี้มาก่อน
ทว่าชั่วอึดใจเดียวทุกอย่างก็เกิดขึ้น จริงหรือลวงเปลี่ยนไปพร่าเลือนไม่ชัดเจน ทว่า…เหตุการณ์ทุกอย่างล้วนต้องมีต้นสายปลายเหตุ ยามเกิดเหตุผิดธรรมดาย่อมต้องมีปัญหาอะไร เช่นนี้ไม่…
ไม่ถูกต้องจริงๆ!
สติรับรู้หนาววูบ พลังขุมนั้นแทงทะลุผ่านไขสันหลัง นางตัวสั่นสะท้านโดยแรงคราหนึ่ง ฝ่ามือทั้งสองที่ทาบทับลงบนหน้าอกเขาตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ออกแรงฉับพลันในชั่วพริบตานี้
นางผลักบุรุษผู้นี้ออกอย่างหนักหน่วง สองตาถลึงกว้างอย่างตกใจสุดขีด ก่อนจะพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ในก้อนขมุกขมัวนั้นอีกแล้ว
ในห้องเงียบสนิท เงียบสงัดเหมือนเช่นปกติ นางตื่นขึ้นมาบนเตียง ร่างกายยังคงอยู่ในท่าขัดสมาธิ
เป็นความฝัน…
แต่นี่…นี่ย่ำแย่เกินไปอย่างแท้จริง
นางไม่กล้าเชื่อเลยจริงๆ ว่าตนเองกลับนอนหลับไปตอนที่กำลังโคจรลมปราณเสียได้!
ตั้งแต่ติดตามอาจารย์ฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่อายุหกเจ็ดปี เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
นางครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้ทั้งหมดที่ตนเองจะตกต่ำมาถึงขั้นนี้ได้ สุดท้ายกล่าวได้เพียงว่าค่ายกลที่นักพรตหลิงเจินแห่งเขาอวิ๋นเหยาสร้างขึ้นในจวนจงหย่งกงช่างมิอาจดูเบาได้จริงๆ แค่หลบ ‘เจ็ดดาราระดมยิง’ ไม่พ้นด่านเดียว ความเจ็บปวดทางร่างกายยังพอฝืนทน แต่พิษที่หลงเหลือในตัวกลับลอบก่อการพิลึก หากมิใช่เพราะสารพิษส่งผลกระทบถึงจิตใจ นางย่อมไม่มีทาง…ไม่มีทางฝันเหลวไหลเช่นนี้เป็นอันขาด
หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเม็ดเล็ก นางจับแขนเสื้อขึ้นซับ หัวใจยังคงเต้นถี่รัวอยู่บ้าง ลมหายใจกับผิวหน้ายังร้อนลวกผิดปกติ
นางขยับปลายนิ้วเล็กน้อย สัมผัสกลีบปากของตนเองด้วยสัญชาตญาณ ความรู้สึกคล้ายถูกบดเบียดดูดเม้มจากในสู่นอกของปากเล็กทั้งปากหลุดออกจากฝันมายังความจริง ในปากกระทั่งลิ้มรสกลิ่นคาวเลือดจางๆ ได้…นางคงไม่ได้ฝันเช่นนั้น แล้วตื่นเต้นจนถึงกับกัดตนเองเป็นแผลหรอกกระมัง
“สวรรค์…” นางยกสองมือปิดหน้าพลางล้มลงกับเตียงและโอดครวญเสียงต่ำ ไม่สนใจอีกว่าจะกดทับบาดแผลที่เจ็บบนแผ่นหลัง รู้สึกเพียงว่าการที่ตนเองนึกภาพฝันแสนลามกต่อบุรุษที่มีบุญคุณกับนาง และอาลัยอาวรณ์รูปโฉมงดงามของอีกฝ่าย เป็นเรื่องที่ไร้ยางอายเกินไปแล้ว
ในเวลาเดียวกัน ทางใต้ของเมืองหลวง บนหอซือเฟยในสำนักชิงเยี่ยน มีคนผู้หนึ่งลืมตาโพลงขึ้นในห้องมืดสนิทเช่นกัน
สภาพระเกะระกะหลังจากโดนพังทลายยังมิได้เก็บกวาด โต๊ะเก้าอี้หีบเสื้อผ้ายังคงตั้งเอียงกระเท่เร่สะเปะสะปะ เสื้อผ้ารวมไปถึงของชิ้นเล็กชิ้นน้อยกระจัดกระจาย ผ้าโปร่งผืนใหญ่ร่วงหล่นลงมาซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ บนพื้นไม้ มีเพียงเตียงกว้างในห้องด้านในที่ยังพอจะรักษาความสะอาดเป็นระเบียบอยู่ได้
บนเตียง บุรุษรูปงามที่เสื้อผ้าและเรือนผมสีดำยุ่งเหยิงน้อยๆ ก็กำลังนั่งขัดสมาธิเช่นกัน ท่วงท่านั้นคล้ายกำลังโคจรลมปราณเป็นวงกลม บังคับลมปราณควบคุมสติ ทันใดนั้นเขาก็หงายหลัง นอนราบเป็นรูปตัวอักษรต้า ก่อนจะค่อยๆ งอแขนขึ้นหนุนต่างหมอน
ในปากเขามีกลิ่นคาวเลือด เป็นเลือดของเขาเอง
ตอนที่แม่นางอูสติแจ่มชัด ผลักเขาออกมากะทันหัน ฟันขาวของนางข่วนโดนเนื้อนุ่มในปากเขา และทิ้งรอยแผลเล็กๆ เอาไว้
การก้มหน้าประกบจูบริมฝีปากเล็กของนาง พูดตามจริง การกระทำนี้เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาอย่างมาก
ต้องโทษที่สีหน้าอึ้งตะลึงของนางตอนนั้นน่ารังแกยิ่งนัก นิสัยแท้จริงของนางที่ซ่อนอยู่ใต้สีหน้าไร้ความรู้สึกอันที่จริงก็เหมือนหญิงสาวทั่วไปอย่างมาก พอเปลี่ยนไปพูดมากขึ้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปหลากหลาย ความรู้สึกแสดงออกมาให้เห็น และยังรู้จักหน้าแดงขวยอายอีก
แต่จิตใจของหญิงสาวยังคงแน่วแน่ มิได้ล่องลอยไปตามการร่ายระบำของเขาจนถึงที่สุด
ในเมื่อเผด็จศึกไม่ง่ายดาย ดังนั้นเขาจะด่วนใจร้อนไม่ได้ ต้องค่อยๆ วางแผนขบคิด
“อืม…นิสัยเช่นนี้ เห็นทีจะเป็นคนที่ปลอบประโลมได้ แต่หลอกล่อไม่ง่าย” เขาเหลือบมองด้านบนพลางพึมพำเสียงต่ำ “ดีมาก ดีมากทีเดียว”
เขาเม้มปากที่ได้รับบาดเจ็บนั้น และใช้ท้องนิ้วลูบมุมปาก จึงพบว่ารอยโค้งตรงนั้นหยักยกขึ้น
แม้วิชาเข้าฝันถูกทำลาย วิชาสวมวิญญาณก็ใช้ไม่ได้ผลโดยสมบูรณ์ ทว่าเขากลับรู้สึกเบิกบานใจอย่างผิดธรรมชาติ
เห็นการล่าสัตว์ จิตใจเบิกบาน
บทที่สี่ หลังคืนมืดมิดมีวันฟ้าสว่าง
สามวันให้หลัง
อูลั่วซิงเพิ่งปฏิบัติภารกิจหนึ่งเสร็จ แม้พูดว่าระหว่างทางเกิดอุปสรรค ท้ายที่สุดยังคงนำหญ้าหลิงจี้ต้นที่หกกลับมาได้ ประกอบกับจำเป็นต้องพักฟื้นรักษาอาการบาดเจ็บ สามวันนี้นางจึงอยู่ในโอวาทยิ่งอย่างแท้จริง เพียงพักอยู่ที่เรือนไผ่ไม่ได้ไปที่ใดทั้งสิ้น หากไม่เดินลมปราณขับพิษรักษาอาการบาดเจ็บ ก็จะอยู่พูดคุยกับศิษย์น้องอูเฉี่ยวเอ๋อร์ หรือที่จริงคือเวลาส่วนใหญ่ล้วนเป็นอูเฉี่ยวเอ๋อร์เกาะติดข้างกายนางพูดเจื้อยแจ้วไม่หยุด ทว่านางก็คุ้นชินกับการรับฟังแล้ว
ศิษย์น้องร่างกายไม่แข็งแรงลมปราณอ่อนแอ อาจารย์ยังดูแลปกป้องไข่มุกในอุ้งมือ นี้อย่างเกินเหตุอีก จึงเป็นเหตุให้บัดนี้ศิษย์น้องที่อายุสิบห้าสิบหก นอกจากนางผู้เป็นศิษย์พี่ ข้างกายก็ไม่มีเพื่อนเล่นอายุรุ่นราวคราวเดียวกันเลย จึงไม่แปลกที่ทุกครั้งยามนางหวนกลับเรือนไผ่ ศิษย์น้องมักงอแงจะนอนกับนาง ดึงตัวนางมาพูดจ้อไม่รู้จบ
วันนี้หลังกินอาหารค่ำไม่นาน นางก็ส่งศิษย์น้องที่ร่างกายอ่อนเพลีย อ้าปากหาวบ่อยครั้งกลับไปนอนที่ห้อง หลังเก็บกวาดภายในเรือนกับห้องครัวเสร็จและเห็นอาจารย์กลับห้องแล้วเช่นกัน นางจึงพลันออกไปด้านนอกตามลำพัง
ลำธารสายเล็กคดเคี้ยวเลี้ยวลดสายหนึ่งตั้งอยู่ห่างไปครึ่งหลี่ น้ำใช้ที่เรือนไผ่ล้วนมาจากลำธารสายนี้ ต่อให้ตลอดทางมีเพียงดวงจันทร์ดวงดาวเป็นเพื่อนเท่านั้นและนางไม่มีโคมทั้งไม่ได้ถือคบไฟ กระนั้นหลับตาก็สามารถจดจำได้ว่าในลำธารที่ใดมีหินโผล่พ้นน้ำขึ้นมาให้เหยียบได้บ้าง
ด้วยเหตุนี้ยามเมื่อเงาร่างแบบบางคล่องแคล่วเดินทะลุผ่านป่าไผ่แถบใหญ่มายังริมลำธาร จึงไม่ได้จงใจใช้วิชาตัวเบา เพียงเหยียบหินในลำธารที่พ้นน้ำขึ้นมาสองสามก้อนด้วยฝีเท้าแผ่วเบาพอเหมาะ และกระโดดข้ามไปยังอีกฝั่งของลำธาร
เดินต่อไปอีกคือหมู่บ้านเล็กมากแห่งหนึ่ง ขนาดประมาณยี่สิบหลังคาเรือน อูลั่วซิงชอบไปมาหาสู่กับชาวบ้านที่นั่นเป็นอย่างมาก
นางคิดว่าในใจอาจารย์ย่อมรู้อย่างกระจ่างชัดว่าหากนางกลับเรือนไผ่ก็จะชอบไปที่หมู่บ้าน อาจารย์แม้จะไม่ชอบให้นางมีปฏิสัมพันธ์กับพวกชาวบ้านมากนัก แต่ก็มิได้พูดยับยั้งตรงๆ มักจะลืมตาข้างหนึ่งปิดตาข้างหนึ่งปล่อยนางทำตามใจ ไม่เข้มงวดเหมือนเช่นที่ดูแลศิษย์น้อง
อืม บางทีนางก็นึกอิจฉาไม่น้อยที่ศิษย์น้องได้รับการคุ้มครองอย่างดีเยี่ยม สามารถดื้อรั้นหรือออดอ้อนได้ตามใจชอบ แต่เรื่องการ ‘ปล่อยอิสระ’ ข้อนี้ นางกลับต้องยินดี ยินดีที่อาจารย์ไม่ยุ่มย่ามกับนางมากเกินไปและให้อิสระนางมากยิ่ง
ดังนั้นนี่ก็คือความหมายของคำโบราณที่ว่า ‘เมื่อหนึ่งดี ย่อมไม่มีดีที่สอง’ กระมัง
นางเย้ยหยันตนเองในใจ ฉีกปากหัวเราะโดยไร้เสียง ลูบจมูกขณะจะยกเท้าเดินไปทางหมู่บ้าน แสงจันทร์เหนือศีรษะกลับวูบวาบผิดปกติ คล้ายมีสิ่งของขนาดมหึมาลอยผ่านด้านบนไปอย่างรวดเร็ว
นางช้อนตามองทันใด ใต้แสงดาราจันทราบางเบาแยกแยะออกว่านั่นคือคนผู้หนึ่งกำลังแบกคนอีกคนอยู่
คนที่สำแดงวิชาตัวเบารูปร่างสูงใหญ่กำยำ คนที่ถูกแบกบนบ่าอาภรณ์ปลิวไสว เสื้อฤดูใบไม้ผลิหลากสีสันและรูปร่างสูงโปร่ง…มิใช่สตรี กลับเป็นบุรุษ!
ช้าก่อน! ใต้แสงจากดวงดาวดวงเดือน เสื้อที่สีสันค่อนข้างโดดเด่นตัวนั้นวาบผ่านก้นบึ้งนัยน์ตาไปเพียงชั่วอึดใจ
เหตุใดนางจึงรู้สึกคุ้นตาเล่า
หรือว่า…ฉินชิว?!
คืนนั้นเพื่อต้อนรับแขกสูงศักดิ์ เขาจึงแต่งกายอย่างเลิศหรู ชุดที่เปลี่ยนไปใส่ต่อหน้านางก็คือเสื้อหลากสีตัวนั้น!
เท้าของอูลั่วซิงที่เดิมต้องการมุ่งไปทางหมู่บ้านพลันหมุนกลับ เรียกพลังลมปราณขึ้นมาไล่ตามทันที
นางเสียเวลาที่พื้นดินครู่หนึ่ง กอปรด้วยบาดแผลยังไม่หายสนิท ใช้วิชาตัวเบาขึ้นมาจึงติดขัดอยู่บ้าง กว่าจะไล่ตามได้ อีกฝ่ายก็ห่างไปไกลหลายหลี่แล้ว
ทว่าเมื่อเข้าไปในเขตป่าเขาของชานเมืองตะวันตกร่องรอยของฝ่ายตรงข้ามก็หายไปโดยสมบูรณ์
อูลั่วซิงปีนขึ้นไปบนต้นไม้ที่สูงที่สุดในป่า พยายามค้นหาอีกฝ่ายอีกครา ทว่าแสงจันทร์สุกสกาวสาดส่องผืนป่าหนาทึบเป็นประกายแสงระยิบระยับ เสียงที่แว่วเข้าหูนอกจากเสียงลมราตรีพัดกระโชกดังซ่าๆ กับเสียงนกฮูกร้องแล้วก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นอีก
สภาพบ้านเมืองในยุคสมัยนี้ ไม่เพียงสตรีเท่านั้นที่อาจประสบเคราะห์ภัย แม้แต่บุรุษรูปงามก็อันตรายอย่างมาก
คนสุภาพอ่อนแองามหมดจดเช่นเขาขืนตกไปอยู่ในมือคนชั่ว จะถูกย่ำยีจนมีสภาพเช่นใด
“น่าตายนัก!” นางกัดฟันสบถด่าอย่างอดไม่ได้ หัวใจหดรัดเกร็งพลางชกหมัดหนึ่งไปที่ต้นไม้ที่อยู่ใกล้
ตอนที่เฟิ่งหมิงชุนโบกผ้าเช็ดหน้าด้วยใบหน้าปวดเศียรเวียนเกล้าระคนลำบากใจ บอกเขาว่าบุรุษฉกรรจ์ล่ำสันที่เรียกตนเองว่า ‘เหยียนต้า’ คนนั้นบุกเข้ามาในสำนักชิงเยี่ยนอย่างป่าเถื่อน พร้อมกับกำราบมือต่อยตีเจ็ดแปดคนในสำนักลงกับพื้น โวยวายจะให้เขามารับรองนั้น ฉินชิวก็เดาได้ว่าคืนนี้จะ ‘ครึกครื้นไม่เบา’ ทั้งยัง ‘น่าสนุกอย่างมาก’
ทว่าที่เขานึกไม่ถึงก็คือหลังเชิญแขกเข้ามาในหอซือเฟย ฝ่ายตรงข้ามสุดท้ายกลับใช้วิธีการเช่นนี้
เขาถูกเหยียนต้าจี้สกัดจุดสองสามแห่งคุมตัวอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตามด้วยแบกขึ้นหลังลักพาตัวมา
ดี ดียิ่ง ดีเยี่ยม…อืม ในความเป็นจริงนั้นดีจนไม่รู้จะดีกว่านี้ได้อย่างไรอีก เรื่องหลายอย่างอยู่ในหอซือเฟยไม่สะดวกปลดปล่อยมือเท้าจัดการตามใจได้จริงๆ มิหนำซ้ำเถ้าแก่ชุนของเขายังเป็นพวกชอบแอบฟัง หากได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน รู้สิ่งที่ไม่ควรรู้เข้า ทำให้เถ้าแก่ชุนตกใจเสียขวัญเกินควรจะเป็นความผิดบาปได้
ถือโอกาสถูกลักพาตัวไปนั้นดีทีเดียว ป่าเขารกร้างห่างไกลผู้คน เป็น ‘สถานที่วิเศษ’ โดยแท้
อีกด้านหนึ่ง ในร่างกายของเหยียนต้ากำลังร้อนจนทรมาน ต่อให้กำลังภายในเขาดีเพียงไร ใช้วิชาตัวเบาวิ่งทะยานระยะทางไกลหลายหลี่ ยามนี้ก็ถึงขีดจำกัดเช่นกัน
ครั้นเมื่อลงพื้นเขาเซถลาเล็กน้อย ร่างหอมกรุ่นที่แบกบนบ่าพลันไถลลงมา เขาปล่อยให้คนรูปงามร่วงหล่น ตกลงบนพื้นหญ้าป่าลึกที่มีใบไม้แห้งทับถมเป็นชั้นหนา
ภายในป่ามืดทะมึน ใบไม้กับกิ่งไม้แทบปิดบังท้องนภาจนมิด เหลือเพียงวงแสงสีเงินยวงวงหนึ่งที่ลอดผ่านช่องว่างของใบไม้ลงมา
เหยียนต้าคุกเข่าข้างหนึ่ง ลมหายใจสับสนยิ่ง พอช้อนตาขึ้นมองพลันเห็นคนงามที่นอนราบอยู่ท่ามกลางแสงสีเงินดวงนั้นพอดี ดวงตายาวมีชีวิตชีวาคาดเดายากทั้งยังเจ้าเล่ห์กะพริบเบาๆ ให้เขา คล้าย…คล้ายกำลังเยาะหยันเขา ด้วยรู้ภูมิหลังเขาอย่างลึกซึ้ง จึงหัวเราะเย้ยเยาะเห็นเป็นตัวตลก
คุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยนผู้นี้ไม่ใช่คนที่รับมือง่ายอย่างเด็ดขาด!
“เจ้า…คืนนั้นเจ้าทำอะไรกับข้ากันแน่” เหยียนต้าเอ่ยถามอย่างเหี้ยมเกรียม ทันใดนั้นก็เห็นคนงามลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิด้วยท่าทีเกียจคร้าน เขาถลึงตาโตอย่างกับลูกกระดิ่งสำริดพลางเอ่ย “เป็น…เป็นไปได้อย่างไร วิธีสกัดจุดที่สำนักข้าคิดขึ้นมาเองจะใช้ไม่ได้ผลได้อย่างไร ทั้งที่เจ้าถูกสกัดจุดแล้ว ขยับตัวไม่ได้ กลับ…เพราะเหตุใด…เพราะเหตุใดกัน”
ฉินชิวยกแขนเสื้อขึ้นโบกแผ่วเบา แสดงท่าทีว่านั่นเป็นคำถามที่ไม่ควรค่าแก่การอธิบาย ก่อนจะเอ่ยตอบอย่างเชื่องช้า “ใต้เท้าเรียกตนเองว่า ‘เหยียนต้า’ ข้ามองว่าไม่ใช่ เจ้าคือเหยียนจี้เหยี่ยอยู่ในลำดับที่สี่ของพี่น้องร่วมสำนัก หาใช่พี่ใหญ่ไม่ แต่จะว่าไป ท้ายที่สุดเจ้าก็ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก เจ้าสำนักถือว่าเป็นฐานะสูงสุดในสำนัก หากจะชื่อ ‘เหยียนต้า’ ก็ยังพอถูไถใช้ได้ วิชาสกัดจุดนี้บรรพบุรุษสำนักเทียนกังของเจ้าเป็นผู้คิดค้น เจ้าสำนักเหยียนใช้การได้ยอดเยี่ยม เพียงแต่ใช้กับคนลักษณะร่างกายเช่นข้านี้บางทีก็อาจไม่ค่อยเหมาะสมนัก”
เมื่อถูกเปิดโปงฐานะออกมาเช่นนี้ เหยียนจี้เหยี่ยมีท่าทีอึ้งตะลึงอย่างเห็นได้ชัด จากนั้นแววตาก็ปรากฏไอสังหาร เหตุผลที่ยังรีรอไม่เคลื่อนไหวชั่วคราวนั่นเป็นเพราะในใจมีข้อสงสัยมากมายที่ยังรอคำตอบ
ฉินชิวรวบผมสีดำสยายทั้งหมดไว้หลังบ่า ไม่คิดยั่วให้เขาอยากรู้มากนักก็เอ่ยต่ออีกว่า “เจ้าสำนักเหยียนถามข้าว่าคืนนั้นข้าทำอะไรกับเจ้ากันแน่ ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งสิ้น กลับเป็นใต้เท้าทำเองมากทีเดียว” แสงจันทร์อาบไล้มุมปากที่หยักยกน้อยๆ ของเขา “เจ้าสำนักเหยียนมาเยือนสำนักชิงเยี่ยน ครั้งแรกก็ร้องขอชายบำเรอสามคนเข้าไปปรนนิบัติในห้อง ทรมานชายบำเรอที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่สามคนจนหมดสภาพ ช่างองอาจน่าครั่นคร้ามโดยแท้ ทว่าในใจเจ้ายังไม่รู้สึกเต็มอิ่มกระมัง ยังรู้สึกไม่สบายตัว? ไม่ถึงใจ? ไม่สาสมใจ? รู้สึกจะใช่ก็ไม่ใช่?”
“พูดอะไรของเจ้า!” เหยียนจี้เหยี่ยกัดฟันพลางตะคอกด้วยโทสะ
ฉินชิวงอนิ้วลูบไล้คางมน “เจ้าเข้าใจดี ต่อให้เมื่อก่อนไม่เข้าใจ หลังผ่านการอยู่ร่วมกันของพวกเราสองคนคืนนั้น เจ้าสำนักเหยียนเองก็ควรจะค้นพบความปรารถนาลึกๆ ของตนเอง เข้าใจการมีอยู่ของความชื่นชอบของตนเองได้”
“จะ…เจ้า…คืนนั้นข้าจับเจ้า…ทั้งที่ข้ากดเจ้าไว้ใต้ร่าง จากนั้น…จากนั้น…” เหยียนจี้เหยี่ยใบหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นแรงจนราวกับกระแทกกระดูกหน้าอกครั้งแล้วครั้งเล่า คำพูดที่จ่ออยู่ตรงปลายลิ้นพลันไม่กล้าเอ่ยออกมา
ดังนั้นฉินชิวจึงช่วยเขาพูดต่อด้วยความ ‘หวังดีเป็นอย่างมาก’
“จากนั้นเจ้าก็เห็นว่าคนใต้ร่างมิใช่ข้า แต่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า หลูหยวนอี้ ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นอาจารย์ลุงของสำนักเทียนกัง…หึ หลังจากเจ้ากับเขาคว่ำเมฆาพลิกพิรุณ ร่วมอภิรมย์หลงหยางกัน ยังรู้สึกไม่หนำใจ ก่อนจะพบว่าคนในอ้อมอกเปลี่ยนไปเป็นศิษย์น้องรุ่นเยาว์ในสำนัก เจ้าแสนจะประหลาดใจ ทว่าก็ตกใจระคนยินดีหาใดเปรียบ ไฟราคะแผดเผาร้อนแรงไม่อาจหยุดยั้ง เจ้าใช้กำลังกำราบเรือนร่างอ่อนเยาว์ผอมบางของเขา เหมือนที่เจ้าปฏิบัติกับชายบำเรอสามคนของสำนักข้าเช่นนั้น เสพสังวาสอย่างเหี้ยมโหดเอาเป็นเอาตาย”
“หยุดปาก! หยุดปากเดี๋ยว…”
“จิตใจมนุษย์เปราะบาง ไม่อาจต้านทานบททดสอบ ความรู้สึกและแรงปรารถนาเดิมก็ยากจะควบคุม เจ้าสำนักเหยียนมากรัก จึงบังเกิดแรงปรารถนาขึ้นพร้อมกัน น่าเสียดายด้วยทนฟังข้อเท็จจริงไม่ได้ แยกแยะความต้องการที่แท้จริงไม่ออก เช่นนี้มีเพียงจะทุกข์ทรมานชั่วชีวิต ข้านั้นกำลังช่วยเจ้า เจ้ากลับไม่รับน้ำใจ”
ฉินชิวเลิกคิ้วตาขึ้น สีหน้านั้นแสดงถึงความไม่พอใจเล็กน้อย เป็นสีหน้าที่จะพึงมีได้เมื่อผู้เป็นชายบำเรอลงมือปรนนิบัติแขก
“คืนนั้นเจ้าเข้ามาในหอซือเฟยของข้า ข้ามองดูอยู่ด้านข้าง เห็นเจ้าดื่มด่ำลึกซึ้งเพียงนั้น ประเดี๋ยวกับศิษย์พี่ใหญ่ของตนเอง อีกประเดี๋ยวกับศิษย์น้องรุ่นเยาว์ของตน…เจ้าสำนักเหยียนระยะนี้เห็นพวกเขาสองคน แน่นอนว่าย่อมต้องจุดตันเถียน แผ่ขยาย จุดชี่ไห่ ปั่นป่วน เจ้าสิ่งนั้นตรงหว่างขาผงาดค้ำฟ้าไม่พอ ยังเหิมฮึกเนิ่นนานอย่างไรก็ระบายธาตุไฟไม่ออกอีกด้วยกระมัง”
เหยียนจี้เหยี่ยได้ฟังคำกล่าวนี้ก็สีหน้าเปลี่ยนแปลงเป็นการใหญ่ เจ็บปวดไปทั่วร่างดุจถูกมดรุมกัด
เนื่องจากถูกกระตุ้นความรู้สึกประหลาดนั้นขึ้นมากะทันหัน ยังผลให้เขาประหนึ่งมีน้ำแข็งกับถ่านร้อนอยู่ในลำไส้ ไฟพิษในร่างกายยิ่งลุกโชติช่วง ทั่วร่างตั้งแต่ภายในสู่ภายนอก ตั้งแต่กายเนื้อจนถึงสติรับรู้ต่างผิดแปลกไปหมด
ริมหูเขามีเสียงดังอื้ออึงอึกทึก น้ำเสียงที่มองกระจ่างทุกสิ่งทุกอย่างยังคงแทรกเข้ามาในหัวสมองเขาอย่างไร้สิ่งกีดขวาง กึ่งสงสาร…กึ่งเย้ยหยัน…
“หากต้องการสงบเพลิงร้อนแรงในร่างกาย มีเพียงหนทางเดียว เจ้าสำนักเหยียนมากด้วยประสบการณ์ความรู้เพียงนี้ ยังเดาไม่ออกอีกกระนั้นหรือ”
เหยียนจี้เหยี่ยถลึงตาสองข้างจนเลือดแทบกระเด็น ไฟปรารถนาที่โหมลุกขึ้นจากจุดตันเถียนและนานติดต่อกันหลายวันนั้นยิ่งเคี่ยวกรำจนเขาหน้ามืดหัวหมุน หากมิใช่เพราะกำลังภายในกล้าแข็ง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะธาตุไฟเข้าแทรกเข้าสู่ทางมารไปแล้ว
“คุณชายอันดับหนึ่งอะไร เจ้ามัน…มันตัวสารเลว! เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไรข้า!”
ฉินชิวส่ายหน้า “เดิมก็ไม่คิดทำอะไร แต่เจ้าด่าคนนั้นไม่ถูกต้องแล้ว” ดวงตาเปี่ยมเสน่ห์พลันผุดกลิ่นอายชั่วร้ายดั่งปีศาจ ริมฝีปากบางแสยะยิ้มราวกับกำลังกระหายเลือด
“ตัวบัดซบ!” เหยียนจี้เหยี่ยคำรามขึ้นพลางพุ่งถลาเข้ามา “พูดไม่จบไม่สิ้นใช่หรือไม่ บิดาจะใช้เจ้าเป็นอาหารเรียกน้ำย่อยรองท้อง ใช้เจ้าระบายธาตุไฟ…”
เขาผลักคนล้มลงทันที น้ำหนักของบุรุษตัวโตสองคนกดทับใบไม้แห้งเบื้องล่างจนดังกรอบแกรบ เสียงนั้นเมื่อเข้าหูเขาทำให้คนฮึกเหิมยากทานทนอย่างแท้จริง การจับกุม ‘เหยื่อ’ มาย่ำยีตามใจชอบ บีบบังคับให้เสพสมในที่แจ้ง เทียบกับการปิดบังฐานะไปเที่ยวสำนักชายบำเรอยังเร้าใจน่าสนุกยิ่งกว่ามาก
เขาต้องการบดขยี้คนใต้ร่าง ต้องการปู้ยี่ปู้ยำอย่างละเอียดทุกกระเบียดนิ้ว
เขาต้องการให้ตัวสารเลวตรงหน้าร้องไห้อ้อนวอนเขา
“อึก…อึก…อึก…” ตอนนิ้วมือทั้งห้าที่ทำท่าตะปบกำลังจะสัมผัสลำคอฝ่ายตรงข้าม ทันใดนั้นเขาก็สะท้านเฮือก เหยียนจี้เหยี่ยบีบคออีกฝ่ายไม่ได้ ทว่าตรงข้ามลำคอตนเองกลับคล้ายถูกลมปราณไร้รูปบีบรัด
สองตาเขาถลึงโปน ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดนูนสีเขียว มือทั้งสองยกขึ้นมาตรงลำคอหมายดึงกระชากแรงไร้รูปขุมนั้นออก ทว่ากลับไร้ผลและเสียแรงเปล่า “จะ…เจ้าเป็น…เป็นใคร…กันแน่” ปีกจมูกยุบพอง เริ่มหายใจออกยาว หายใจเข้าสั้น
“เจ้าสำนักเหยียนจำข้าไม่ได้ก็สมควร นับคำนวณโดยละเอียด ผ่านไปสิบห้าปีได้แล้วกระมัง” ฉินชิวเอ่ยยิ้มๆ “ปีนั้นข้าอายุสิบปี คาดว่าเจ้าสำนักเหยียนก็เพิ่งอายุยี่สิบห้ายี่สิบหก ยังต่อสู้เพื่อตำแหน่งเจ้าสำนักเทียนกัง เจ้าจำข้าไม่ได้ ข้ากลับจดจำคนในสำนักเทียนกังที่อยู่ตรงนั้นวันนั้นได้อย่างชัดเจนแม่นยำทุกคน”
“วะ…วันนั้น?”
“อืม วันนั้น” ฉินชิวก้มหน้าเอ่ย “สิบกว่าสำนักและพรรคที่อ้างตนเองว่าเป็นฝ่ายธรรมะในยุทธภพส่งยอดฝีมือออกมา บังคับให้พ่อข้าหย่าภรรยา ฆ่าภรรยาไม่สำเร็จ ก็ไล่ฆ่าพวกเขาสองสามีภรรยาไปจนถึงหน้าผาเหนือยอดภูเขาหิมะ บีบคั้นจนพวกเขาหมดสิ้นหนทาง มีเพียงกระโดดลงจากหน้าผาสูงหมื่นจั้ง* จึงจะมีโอกาสรอดชีวิตหนึ่งในพันส่วน” เขาเงียบไปชั่วครู่ มุมปากยังคงหยักยิ้มจางๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “วันนั้นข้าเกาะอยู่บนหลังท่านแม่ มองพวกเจ้าแต่ละคนอย่างชัดเจน จดจำไว้ในนี้ทั้งหมดราวกับประทับตราเลยทีเดียว” นิ้วมือยาวเคาะที่ชายหน้าผากพร้อมกล่าวเน้นหนักอย่างชัดถ้อยชัดคำยิ่ง
เหยียนจี้เหยี่ยตัวสั่นงันงกราวกับตระหนักได้ในบัดดล ลำคอส่งเสียงตะโกนแหบแห้งไร้ความหมาย “อื้อ! อื้อ!” ตาขาวปรากฏเส้นเลือด
“ยอดมาก ดูท่าใต้เท้าคงจำได้แล้ว” ฉินชิวเลิกคิ้วน้อยๆ
“ชิว…ชิว…ถาน ถาน…”
“อืม ใช่เลย นั่นคือแซ่ของท่านพ่อท่านแม่ข้า ไม่ผิด คือพวกเขาสองคน”
เหยียนจี้เหยี่ยเปล่งเสียงออกมาอีกอย่างยากลำบากสุดขีด “ไม่ใช่…อาจารย์ข้า…สำนักเทียนกังของพวกเรา…ไม่ได้ลงมือ…ไม่ได้…เพียง…เพียงแค่…”
“เจ้าอยากพูดว่าตั้งแต่ต้นจนจบพวกเจ้าฟังคำสั่งของอาจารย์ แค่ติดตามคนทั้งหมดไล่ล่า บางครั้งก็ปิดกั้นทางถอยสองสามเส้น แค่ชมดูอยู่ด้านข้างเงียบๆ พวกเจ้ากระทำเพียงเท่านั้น ไม่เคยลงมือสังหารจริงๆ เลยใช่หรือไม่” ใบหน้าหล่อเหลาหมดจดพลันอาบย้อมกลิ่นอายเย้ายวน ฉินชิวยิ้มเจ้าเล่ห์ ท่าทางฉีกริมฝีปากหรี่ดวงตานั้นดึงเอากลิ่นอายชั่วร้ายชวนให้คนดำดิ่งออกมา…
“หากมิได้เป็นเช่นนั้น ห้าปีก่อนข้าคงทำลายสำนักเทียนกังของเจ้าตั้งแต่เบื้องบนยันเบื้องล่างจนถึงที่สุดแล้ว จะเอาชีวิตอาจารย์เจ้าเพียงคนเดียวแล้วทิ้งลูกศิษย์ลูกหาอย่างพวกเจ้ากลุ่มนี้ไว้ได้เยี่ยงไร”
“อาจารย์…อาจารย์เขา…เจ้า เจ้า…” ดวงตาที่ถลนออกมายิ่งเบิ่งกว้าง ตกตะลึงจนลูกตาจวนเจียนจะกระเด็นออกมาอยู่รอมร่อ
ฉินชิวยังแย้มยิ้ม “อาจารย์เจ้าห้าปีก่อนพลัดตกทะเลสาบจมน้ำตาย พวกเจ้าทั้งหมดนึกว่าเป็นเพราะเขาดื่มสุรามากเกินไปแล้วเสียหลัก ทว่าหาเป็นเช่นนั้นไม่ สถานการณ์ของเขาเหมือนกับเจ้าในหอซือเฟยคืนนั้น ถูกวิชาสวมวิญญาณ เล่นสนุกในห้วงมายาของตนอย่างสุขสราญเต็มที่”
เมื่อเห็นเหยียนจี้เหยี่ยเดือดพล่านจนเครื่องหน้าทั้งห้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย ลมหายใจหอบหนัก มีเสียงฮึดฮัดในลำคอ สีหน้าแทบอยากจะฉีกทึ้งเขากลืนลงท้องเสียบัดเดี๋ยวนั้น ฉินชิวก็เลิกคิ้วขึ้นอย่างหยามหยัน
“เจ้าสำนักเหยียนคงนึกไม่ถึงเป็นแน่ว่าใต้ไฟปรารถนาอันร้อนแรงนั้น ในปากอาจารย์ผู้เคารพร้องเรียกชื่อคนผู้ใด หึ เจ้าย่อมคิดว่าเป็นอาจารย์หญิงของเจ้า แต่หากเป็นเช่นนั้นคงน่าเบื่อเกินไปอย่างแท้จริง” เขาหยุดเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ “เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าเป้าหมายที่อาจารย์ของเจ้าแอบนึกคิดว่ากำลังเริงรักด้วยนานปีคือผู้ใด”
เหยียนจี้เหยี่ยถูกถามจนอึ้งงันไป พร้อมเผยสีหน้าคิดไม่ตก
ท่าทางอยากล่วงรู้สุดแสนทว่าไม่กล้าเอ่ยชัดเจนนั้นสร้างความพึงพอใจให้ฉินชิวอย่างมาก ทำให้เขาเอ่ยออกมาอย่าง ‘หวังดี’ “อาจารย์เจ้าชมชอบอิสตรีจริงๆ หาได้เป็น ‘คนในเส้นทางเดียวกัน’ กับเจ้า คนที่เขาต้องใจแซ่ ‘จั๋ว’ นาม ‘อันหลิน’ หรือก็คือศิษย์น้องรองของเจ้า และยังเป็นภรรยาเอกที่แต่งงานกับเจ้ามานานปี”
“ไม่ พูดเหลวไหล นี่…เป็นไปไม่ได้!” เหยียนจี้เหยี่ยตวาดกร้าวอย่างดุดัน จุดชีพจรตรงขมับสั่นสะเทือนเหมือนถั่วที่กำลังถูกคั่วอยู่ในกระทะร้อน
ฉินชิวหัวเราะแผ่วเบา “ไยจึงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเจ้าสามารถลอบคิดไม่งามกับศิษย์พี่ใหญ่และศิษย์น้องรุ่นเยาว์ของตนเองได้ เหตุใดอาจารย์ของเจ้าจึงไม่อาจแอบนึกคิดถึงลูกศิษย์สาวของตนเองเล่า”
เทียบกับพูดว่า ‘ถูกปลุกเรียกสติ’ มิสู้บอกว่า ‘โดนผลักลงสู่ห้วงลึก’ ยังจะดีกว่า เหยียนจี้เหยี่ยสีหน้าเปลี่ยนแปรไปมา ตื่นตะลึงหวาดผวา เคียดแค้นกังขา อับอายจนพานโกรธ ท้ายที่สุดก็กราดเกรี้ยวมิอาจระงับ
“เจ้ามันเดรัจฉาน! ข้า…ข้าจะฆ่าเจ้า อึกๆ…ฮึกๆ…” ปราณภายในสั้นและตื้น ตามด้วยไร้กำลัง พละกำลังของมือไร้รูปที่รัดตรงลำคอพลันเพิ่มแรงขึ้น บีบจนโคนลิ้นของเขาเจ็บจุก เลือดพุ่งขึ้นสู่หน้าผาก “เจ้า เจ้าคิด…คิด…ทำอะไรกันแน่…”
เหยียนจี้เหยี่ยไม่ได้ยินเสียงตนเอง กระนั้นกลับได้ยินเสียงที่อีกฝ่ายพูดอย่างชัดแจ้ง…
“ข้าไม่ได้คิดจะทำอะไร เพียงอยากให้เจ้ากระทำเรื่องที่คิดไว้ในใจนับครั้งไม่ถ้วนออกมาจนหมดสิ้น และทำอย่างถึงที่สุด ทำทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เติมโพรงว่างเปล่านั้นให้เต็ม เมื่อเติมเต็มแล้ว เจ้าก็จะสบายแล้ว จริงๆ นะ”
น้ำเสียงประหนึ่งครวญเพลงแผ่วต่ำ แต่ละเสียงแทรกซึมเข้าไปในสมอง ปักยึดในจิตใต้สำนึกดุจทอดสมอลงไปกระนั้น
“ครั้นเมื่อตื่นขึ้น เจ้าจะจำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น และไม่จำเป็นต้องจดจำอะไร ขอเพียงระลึกถึงสิ่งที่ตนเองอยากทำ ที่ควรทำ แค่เท่านี้ ฟังเข้าใจแล้วหรือไม่”
ตรงหน้าคือใบหน้าที่สติรับรู้ขุ่นมัว องคาพยพทั้งห้าถูกควบคุม หางตาชี้ขึ้น อ้าปากเอื้อนเอ่ยไม่ออก ปมขมวดที่หว่างคิ้วด้วยเพราะคำชี้แนะอย่างอ่อนโยนของเขาพลันค่อยๆ คลายออก ริมฝีปากหุบลงอย่างเชื่องช้า อีกทั้งมุมปากยังยกยิ้มขึ้นน้อยๆ ด้วยเพราะฟังเข้าใจแล้ว กระจ่างชัดว่าถัดจากนี้ควรก้าวเดินอย่างไรต่อ ไม่มีความลังเลใจใดๆ อีก
ฉินชิวชอบเห็นสีหน้าเช่นนี้จริงๆ
นั่นแสดงให้เห็นว่ามนุษย์ถูกควบคุมได้โดยง่าย ความรู้สึกและแรงปรารถนาแข็งแกร่งกว่าความตั้งมั่นตลอดกาล ขอเพียงผลักเรือตามน้ำ หรือไม่ก็ราดน้ำมันบนกองไฟ ไม่ต้องสิ้นเปลืองแม้แต่แรงเป่าฝุ่นก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นลมโหมกระหน่ำได้
รสชาติหอมหวานของการหยิบจับพวกคนที่มีท่าทีเคร่งขรึมจริงจังเหล่านี้มาดูเล่นในอุ้งมือ ช่างลิ้มลองร้อยครั้งไม่เบื่อหน่ายโดยแท้ เขาขอแค่เป็นผู้ชม รอคอยอย่างเงียบเชียบก็มักจะได้เห็นละครสนุกๆ เรื่องแล้วเรื่องเล่า
ขณะจะผลักคนซึ่งกึ่งกำลังกดทับตนเองอยู่ออก ลมราตรีก็พลันพัดเย็นยะเยือกขึ้นอย่างกะทันหัน แสงจันทร์ที่สาดส่องทะลุผ่านกิ่งใบต้นไม้ลงมาบนพื้นหญ้าก็วูบไหวเช่นกัน
มีคน?!
ตอนที่ในสมองฉินชิวเพิ่งจะตระหนักได้ถึงสถานการณ์นี้ คนผู้นั้นก็ประดุจพญาอินทรีสยายปีก โฉบพุ่งลงมาจากบนต้นไม้สูงลิ่ว
ผู้มาเยือนปฏิบัติการจู่โจมด้านหลังเหยียนจี้เหยี่ยอย่างรวดเร็วดั่งเหยี่ยวโจมตีกระต่าย คว้าจับบ่าทั้งสองข้างของเหยียนจี้เหยี่ยจากนั้นก็พลิกตัวเขาเหวี่ยงออกไป
บนตัวฉินชิวพลันเบาหวิว หน้าอกซ้ายเต้นไม่เป็นส่ำ
ดวงตาทั้งสองของเขา…มึนงง งงจนลืมว่าควรกะพริบตาอย่างไร ด้วยเหตุนี้จึงได้เพียงนิ่งงันไม่ไหวติง จับจ้องแผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นตาไม่กะพริบ
หลังจากเหวี่ยงคนทิ้งไปแล้วนางก็คุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นท่าทางอยู่ในสภาวะระวังภัย ก่อนจะเหลียวหน้ามาปราดมองด้านหลังวูบหนึ่งอย่างว่องไวยิ่ง และเอ่ยถามเสียงตึงเครียด
“ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”
ฉินชิวตะลึงค้าง นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งที่สอง…ที่นางคุ้มกันเขาไว้ด้านหลัง
และความรู้สึกที่ได้รับการคุ้มครองเช่นนี้แท้ที่จริงก็…ไม่เลวทีเดียว
อูลั่วซิงเห็นเขาคล้ายไม่เป็นอะไร จึงลุกขึ้นคิดจะไล่ตามเข้าไปในผืนป่าดำมืด เมื่อครู่ด้วยร้อนใจชั่วขณะ พอนางเหวี่ยง ‘จอมโจรเด็ดหญ้า’ ผู้นั้นลอยไป ร่างกายสูงใหญ่กำยำของอีกฝ่ายก็กระเด็นเข้าไปในป่าลึก หลังจากนั้นก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดอีกเลย
อูลั่วซิงเพิ่งจะย่างเท้าออกไปก้าวเดียว จู่ๆ น่องข้างหนึ่งของนางก็ถูกกอดรัดไว้
นางมิอาจไม่หันหลังกลับไปมองบุรุษผู้หนึ่งที่เกาะอยู่แทบเท้านางพลางหายใจรวยริน “พาข้าไปด้วย…”
“ฉินชิว!” อูลั่วซิงสังเกตพบว่าไม่ถูกต้อง จึงรีบย่อกายลงหมายจะดึงร่างเขาไว้ทว่าไม่ทันการณ์
สองตาของบุรุษรูปงามปิดสนิทลง และหมดสติไป
แสร้งเป็นลมไม่ง่ายดายเลยจริงๆ โดยเฉพาะเมื่อนางยังเป็นผู้รู้วรยุทธ์ เขาต้องกลั้นลมหายใจสนิทก่อนระยะหนึ่ง ผ่อนให้ใจเต้นช้าลง ค่อยเป็นค่อยไป…อย่างช้าๆ จากนั้นก็ค่อยยืดลมหายใจให้ยาวที่สุดเท่าที่ทำได้ กลับคืนสู่การหายใจเข้าออกอย่างแผ่วเบาอย่างมาก และสร้างสภาวะชีพจรอ่อนขึ้นมาทำให้คนเชื่อว่าเขากำลังเป็นลมจริงๆ
จริงดังคาด นางหาได้สงสัยเขา หลังจากยืนยันสภาพเขาอย่างรวดเร็วก็แบกเขาขึ้นหลังและพุ่งตรงออกไปจากป่าดำสนิทผืนนี้
เช่นนี้ยอดเยี่ยมนัก สมกับที่เขาวาดหวังไว้ในใจพอดี
ร่างกายเหยียนจี้เหยี่ยโดนวิชาสวมวิญญาณ ซ้ำยังถูกนางเหวี่ยงลอยไป ย่อมกำลังนอนรอให้ได้สติกลับมาอยู่ที่ใดสักแห่ง จะให้นางตามหาเจ้าสำนักเหยียนผู้นั้นเจอไม่ได้เด็ดขาด เพราะด้วยความเฉียบแหลมว่องไวของนางย่อมไม่ยากที่จะจับสังเกตถึงความผิดปกตินั้นได้
ทว่าย้อนกลับมาดูตัวเขา ในใจกลับรู้สึกผิดปกติอยู่บ้าง มีคนแบกอยู่เช่นนี้ บ่าและหลังของหญิงสาวเทียบกับเรือนกายที่แขนขาสูงเพรียวของเขา จึงแลดูแบบบางเป็นพิเศษ แต่ด้วยนางมีพละกำลังมากพอ มิหนำซ้ำทักษะฝีเท้ายังกล้าแข็งเป็นอย่างยิ่ง จึงเหินทะยานโดยแบกเขาไปด้วยไหว ทั้งยังพุ่งตะบึงได้อย่างรวดเร็วและมั่นคงอย่างที่สุด
ในความทรงจำของเขา นอกจากท่านพ่อท่านแม่ ไม่เคยมีผู้ใดแบกเขามาก่อน และไม่เคยมีผู้ใดที่ปกป้องเขาไว้เบื้องหลังตนเองเช่นนี้
หัวไหล่ของนางนุ่มนิ่ม เหมือนกับท่านแม่ของเขามาก เพียงแค่เล็กไปนิดหน่อย บางทีอาจเพราะเขาเติบโตมีรูปร่างเหมือนผู้ใหญ่แล้ว หัวไหล่ของสตรีเมื่อเอาศีรษะโตๆ ของเขาวางลงไป แน่นอนว่าต้องดูเล็กกระจุ๋มกระจิ๋มลงมาก
ซอกคอกับใบหูของนางแผ่กลิ่นหอมของฝักเจ้าเจี่ยวปะปนกับกลิ่นกายสาวตามธรรมชาติ ติดจะสดชื่น และค่อนข้างอบอุ่น
เขาพบว่าการแกล้งสลบ แสร้งทำสงบนิ่ง กินแรงมากขึ้นไปทุกที
เคราะห์ดีที่วิ่งเต็มเหยียดมาไม่ถึงสองเค่อ เขาก็ถูก ‘ยกลง’ ยามนี้กำลังนอนราบอยู่บนเบาะนุ่มหนาที่ถักขึ้นมาจากต้นกอกก
แม้อยู่ในฤดูใบไม้ผลิ แต่สองสามวันนี้กลับมีอากาศหนาวหลงฤดูอยู่บ้าง เตียงเตาใต้เบาะนุ่มช่วยให้อบอุ่นยิ่ง ทั่วห้องอบอวลด้วยกลิ่นหอมของชาอันเข้มข้น
อูลั่วซิงยื่นนิ้วมาหยั่งชีพจรตรงลำคอของเขาตามด้วยจับหน้าผากเขา ครั้นแน่ใจว่าลมหายใจเขาไม่มีปัญหา อุณหภูมิร่างปกติแล้ว จากนั้นก็จับเขายัดใส่ผ้าห่ม ยินยอมให้ศีรษะโผล่ออกมาด้านนอกได้เท่านั้น
เขาฟังความเคลื่อนไหวออก ในห้องนี้นอกจากพวกเขาสองคนยังมีคนอื่น ทั้งยังไม่ใช่แค่คนเดียว ทั้งหมดยืนนิ่งที่ข้างเตียงเตาพลางจ้องมองเขา
“เป็นคนที่พี่สาวรู้จักหรือ” ดรุณีน้อยเอ่ยด้วยเสียงอ่อนวัย ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูเป็นผู้ใหญ่อยู่บ้าง
“อื้อ” นี่เป็นเสียงเย็นชาเหมือนเช่นเคยของอูลั่วซิง
“เป็นคนที่พี่สาวชมชอบ?” เด็กสาวเอ่ยถามอีก
หัวใจฉินชิวพลันเต้นผิดจังหวะไปครั้งหนึ่งโดยแรง หวุดหวิดจะเสียแผนในที่นั้นเลยอยู่บ้าง นึกไม่ถึงว่าจะรอคอยคำตอบของคำถามนี้เป็นอย่างมาก
แต่คนที่ถูกถามนิ่งเงียบไปหลายอึดใจมิได้เอ่ยตอบ ท้ายที่สุดกลับเปลี่ยนหัวข้อสนทนา…
“ข้านำของมาแล้ว พวกเจ้าพี่น้องอยากตรวจสอบชัดแจ้งกับตาตนเองหรือไม่”
“อยาก!” เสียงตอบรับของเด็กสาวแฝงกลิ่นอายเหี้ยมโหด นางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยอีกว่า “ดูที่นี่ไม่เป็นอันใดหรอก ท่านย่านอนหลับที่ห้องด้านในแล้ว หรือต่อให้ท่านย่าตื่นกะทันหันมายังห้องนี้ นางตาบอดทั้งสองข้าง ไม่มีทางมองเห็นแน่”
ถัดจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดเอื้อนเอ่ยวาจา
ฉินชิวได้ยินเสียงดังกุกกักระลอกหนึ่ง คล้ายเป็นเสียงแก้ห่อสัมภาระหยิบของออกมา สุดท้ายเสียงตึงดังขึ้นเสียงหนึ่ง ของได้ถูกวางลงบนโต๊ะแล้ว
เป็นสิ่งของอะไรกันแน่นะ
เขาเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อยลอบมองอย่างอดใจไม่ไหว
มองจากมุมที่เขานอนอยู่ ห่างจากเตียงเตาออกไปราวสามก้าวมีโต๊ะสี่เหลี่ยมตั้งอยู่ อูลั่วซิงในชุดเรียบง่ายคล่องตัวนั่งอยู่ที่ม้านั่งยาวข้างโต๊ะ ผู้ที่นั่งตรงข้ามนางคือพี่น้องชายหญิงคู่หนึ่ง เด็กสาวแลดูอายุมากสุดไม่เกินสิบเอ็ดสิบสอง เด็กชายอายุน้อยกว่าอายุประมาณหกเจ็ดปี ยามนี้ร่างเล็กกำลังยืนชิดพี่สาวตัวน้อยไม่ยอมผละหนี ใบหน้าใต้แสงเทียนซีดเผือด ปากเม้มแน่นอย่างเอาเป็นเอาตาย ดวงตาเล็กที่แบ่งแยกดำขาวชัดเจนคู่นั้นกลับจ้องเขม็งไปที่ของบนโต๊ะอย่างเปี่ยมความกล้าหาญ
ความใจกล้าของเด็กชายนับว่าดีเยี่ยม เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่กลัวเลย อย่างไรเสียของที่วางบนโต๊ะก็คือศีรษะของคนผู้หนึ่ง ของแท้ไม่หลอกลวง ส่วนลำคอที่ขาดแปดส่วนได้ใช้ขี้เถ้าจากใบหญ้าจัดการมาก่อนจึงไม่มีเลือดสกปรกไหลซึมออกมาแล้ว
ส่วนพี่สาวตัวน้อย…อืม เบิกตาจ้องศีรษะคนเขม็งจนถึงขั้นฉีกปากยิ้ม นางเห็นภาพสยองขวัญไม่มีความตื่นตกใจแม้แต่น้อย เพราะไปมาหาสู่กับแม่นางนักฆ่าบางคนเป็นเวลานาน ใกล้ชาดเปื้อนแดง ใกล้หมึกเปรอะดำอย่างแท้จริง
“เป็นเขาไม่ผิด” เด็กสาวยิ้มจนติดจะเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “พี่ใหญ่ลงนามสัญญาห้าปีกับคนของจวนจงหย่งกง นางเข้าคฤหาสน์ใหญ่โตหลังนั้นไปเป็นสาวใช้ของตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย ข้าเคยพาน้องชายเข้าเมืองไปหานาง หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…ท่านป้าอายุมากที่เฝ้าประตูหลังปฏิบัติกับพี่ใหญ่อย่างดี มักจะผ่อนผันให้ซ้ำๆ ทำให้ข้ากับน้องชายได้ดอดเข้าไปเยี่ยมพี่ใหญ่ในเรือนหลัง พูดคุยสักหลายประโยค…เป็นเขานี่ล่ะ มีครั้งหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวที่เรือนหลัง เขาหยอกเย้าพี่สาวใช้สองสามคนจนหน้าแดงใจเต้น หัวเราะระรื่นดังกิ่งบุปผาสั่นไหว ขณะที่พี่สาวข้ากลับลากข้าและน้องชายหมายจะหลบเลี่ยง แต่…เลี่ยงไม่พ้น…” ริมฝีปากเผยออ้าหุบ อ้ำอึ้งพักหนึ่งจึงค่อยเปล่งเสียงอีก…
“ภายหลัง…ภายหลังมีครั้งหนึ่งเข้าเมืองไปหาพี่ใหญ่อีก ท่านป้าอายุมากที่เฝ้าประตูกระอึกกระอักเป็นนานสองนาน กล่าวว่าสองสามวันก่อนพี่ใหญ่ถูกเรียกไปในห้องของคุณชายใหญ่ จากนั้นก็ไม่เห็นคนอีก ยังพูดว่า…ยังพูดว่ากลางดึกแอบเห็นคนข้างกายคุณชายใหญ่ลักลอบลากรถออกไป ท่านป้าอายุมากไม่กล้าพูดมากความ เป็นข้าที่คุกเข่าลงทุกวิถีทาง นางถึงได้พูดประโยคนี้มา ให้ข้าไปดูที่ป่าช้านอกชานเมือง บางทีอาจได้พบเห็นอะไรสักเล็กน้อย…”
เด็กสาวคลี่ยิ้มอิดโรย “ข้าตามหาพี่สาวของข้าพบ นางถูกฝังอย่างลวกๆ ร่างกายยังถูกฝูงสุนัขเร่ร่อนคุ้ยคาบออกมาแย่งอาหารกัน ยังดี…ยังดีที่ใบหน้าครบสมบูรณ์ หาไม่ข้าคงจำไม่ได้จริงๆ…ข้าคงจำนางไม่ได้”
เด็กสาวไม่ได้ร้องไห้ เด็กชายก็ไม่ร้องเช่นกัน น้ำตาทั้งหมดเอ่อปริ่มขอบตามิได้หยาดหยดลงมา
ฉินชิวลอบเลื่อนสายตาไปยังหญิงสาวที่ไม่เอ่ยวาจาแม้สักคำอย่างเงียบเชียบ สีหน้าของฝ่ายหลังไม่ผิดไปจากที่เขาคิด เรียวคิ้วดวงตาราบเรียบราวกับไม่สะทกสะท้าน ความรู้สึกละเอียดอ่อนทั้งหมดซ่อนเร้นอยู่ใต้ใบหน้าไร้อารมณ์ และก็เป็นเพราะเหตุนี้ วิธีการที่นางใช้ปลอบโยนคนจึงตรงไปตรงมาเป็นพิเศษ ทั้งยังแข็งแกร่งและทรงพลัง
“ศีรษะนี้ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว ไม่เน่าไม่เละ แขวนตากแดดไม่กี่วันก็สามารถผึ่งจนแห้งสนิท ให้เจ้ากับน้องชายใช้เตะเล่นได้ แล้วยังทนทานต่อการเตะอย่างยิ่ง” นางนิ่งไปอึดใจหนึ่งก่อนจะเอ่ยต่อ “อืม…ยังเอามาใช้เล่นปาเสียบกาก็ได้เช่นกัน ข้าสามารถสอนพวกเจ้าเล่นได้ หรือไม่จะให้น้องชายเจ้าใช้เป็นกระโถนยามราตรี ด้านในกลวงโบ๋ ด้านนอกยังมีหนังหุ้มไว้ชั้นหนึ่ง หนึ่งคืนรองปัสสาวะสามหนไม่เป็นปัญหา น่าเสียดายที่ไม่เหมาะให้ท่านย่ากับเจ้าใช้ปลดเบา แต่น้องชายเจ้าใช้ปลดเบาได้พอดิบพอดี การเล็งความแม่นยำจะดีกว่าหน่อย ไม่ต้องกลัวกระเซ็นออกมา”
ฉินชิวอยากอดกลั้นให้ได้ แต่ก็กลั้นไม่อยู่
นางพูดถ้อยคำเช่นนั้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด จี้ถูกจุดหัวเราะของเขาอย่างตรงเผง หากอยากแสร้งสลบต่อนั้นไม่อาจทำได้อย่างแท้จริง เคราะห์ดีที่ความสามารถในการควบคุมตนเองของเขาล้ำเลิศ ตอนชั่วเวลาชี้เป็นชี้ตายนี้กลับฝืนสะกดอาการขำพรืดให้กลายเป็นแค่นเสียงเฮอะต่ำๆ ได้
ดวงตาสามคู่กวาดมองไปที่เขาพร้อมกัน
ใบหน้าหญิงสาวผุดแววประหนึ่งยกภูเขาออกจากอก ขณะที่เด็กสาวหรี่ดวงตาย่นจมูกท่าทางระวังป้องกันฉายชัด ส่วนสายตาที่เด็กชายทอดมองมากลับมีแววอยากรู้อยากเห็นมากกว่าหวาดระแวง
ฉินชิวค่อยๆ ยันกายลุกขึ้นนั่ง มองไปยังศีรษะบนโต๊ะ ก่อนหันไปมองพวกเขาสามคน น้ำเสียงแหบแผ่วเอ่ยกึ่งล้อเล่น
“ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น มากสุดก็เห็นแค่กระโถนยามราตรี อย่าฆ่าข้าปิดปากเลยนะ”
ผู้คนในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ บ้านเรือนแทบทุกหลังล้วนเป็นแค่ห้องสองสามห้องมาสร้างไว้รวมกัน ไม่มีห้องแขกที่มากเกินจำเป็น ในเมื่อแขกที่มาโดยไม่คาดคิดฟื้นคืนสติ อย่างไรก็ไม่เหมาะจะยึดครองเตียงเตาอุ่นๆ ของผู้เป็นเจ้าของบ้านต่อ
“…ข้ากำลังกระโดดข้ามลำธารสายเล็กจะเข้าหมู่บ้านมาหาอาเหยากับอาเฮ่า พลันเห็นเงาสีดำวาบพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว บนบ่าคนผู้นั้นยังแบกคนเอาไว้ นั่น…นั่นเป็นเสื้อหลากสีที่ท่านเคยสวม ข้าจำได้”
อูลั่วซิงพาบุรุษรูปงามที่ถูกลักพาตัวในคืนนี้ข้ามผ่านป่าเขาของชานเมืองตะวันตกทีละก้าวๆ มุ่งหน้าไปทางประตูเมืองหลวงพลางเอ่ยอธิบายเรื่องราว
นางรู้สึกว่าจำเป็นต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมอีกสักหน่อย จึงเอ่ยต่อว่า “ท่านสลบไป เสื้อผ้าหลุดลุ่ย ทั่วร่างเย็นเฉียบ…อย่างไรก็ต้องการที่อบอุ่นสักแห่งพักก่อนจึงจะดี ดังนั้นข้าจึงพาท่านไปยังหมู่บ้าน”
ในยามนี้หากไม่กล่าววาจานั้นย่อมประหลาดเหลือเกิน ด้วยเหตุนี้นางที่พูดน้อยมาตลอดจึงอดเอ่ยอีกไม่ได้
“อาเหยากับอาเฮ่าก็คือพี่น้องคู่นั้นที่นำเตียงเตาอบอุ่นออกมาให้ยืมในคืนนี้ พวกเขาแซ่หนี หนีเหยากับหนีเฮ่า ก่อนนี้พวกเขายังมีพี่สาวคนโตอีกคนนามว่าหนีหง ปีนี้เพิ่งอายุครบสิบหก พ่อแม่ป่วยถึงแก่กรรมจากไปติดๆ กัน พวกเขาสามคนพี่น้องจึงอาศัยอยู่ร่วมกับผู้เป็นย่า กระทั่งหนีหงนาง…นาง…”
“จนกระทั่งแม่นางหนีผู้อายุสิบหกเพื่อหาเงินช่วยเหลือครอบครัว ตนเองลงนามเป็นสาวใช้ของจวนจงหย่งกง หลังจากนั้นก็จบชีวิตใต้เงื้อมมือของคุณชายใหญ่จวนจงหย่งกงที่ไม่มีข้อจำกัดทั้งเนื้อผัก กินไม่เลือกทั้งหญิงชาย นอกจากนี้ยังโดนทิ้งในป่าช้าชานเมืองปล่อยให้สุนัขเร่ร่อนกัดกินตามใจ…” ฉินชิวเอ่ยปากขึ้นกะทันหัน เอ่ยสิ่งที่นางพูดไม่จบออกมาทั้งหมด
“แม่นางอูกับพี่น้องสกุลหนีสนิทสนมกัน ทนเห็นพวกเขาได้รับความอยุติธรรมไม่ได้ จึงออกหน้าเสี่ยงอันตราย ทุ่มเทสุดตัว บุกเดี่ยวยามราตรีเข้าไปในจวนจงหย่งกง เอาชีวิตคุณชายใหญ่ยังไม่พอ ยิ่งต้องตัดศีรษะอีกฝ่ายนำกลับมาให้เด็กชายเด็กหญิงสองคนเป็นสิ่งปลอบขวัญที่จริงแท้จับต้องได้…เจ้ายุ่งมากจริงๆ มิน่าคืนนั้นจึงรีบร้อนจะไป จากไปโดยไม่ลา”
…ไยจึงพูดถึงจากไปโดยไม่ลาขึ้นมาอีกเล่า
อูลั่วซิงจุกในลำคอทันใด พลันฉุกคิดขึ้นได้
นางนึกว่าตนเองพูดกับเขาชัดเจนแล้ว แท้จริงทั้งหมดเกิดขึ้นในห้วงฝันพิสดารนั้น และในเมื่อเป็นฝัน เขาย่อมไม่อาจอยู่ตรงนั้นจริงๆ ไม่อาจได้ยินคำอธิบายของนาง ตอนนี้เขายังขุ่นเคืองที่นางจากไปโดยไม่ลา นี่ก็เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลเข้าใจได้ เพียงแต่จะให้ชี้แจงกระจ่างตั้งแต่ต้นอีก นางกลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มเอ่ยจากที่ใด
ออกจากห้วงฝัน นางยังคงคุ้นเคยกับสีหน้าไร้อารมณ์ คุ้นเคยกับการนิ่งเงียบ วาจาของคืนนี้ก็ได้พูดมากเกินไปแล้วด้วยซ้ำ
ฝีเท้าบุรุษด้านหลังจู่ๆ ก็ซวนเซ นางเอื้อมมือไปประคองเขาด้วยสัญชาตญาณ ตามด้วยส่วนข้อมือพลันกระชับ โดนเขาพลิกฝ่ามือมากุมไว้
“ที่แท้ตอนอยู่ที่บ้านสกุลหนีท่านก็ได้ยินทั้งหมด…ข้ายังนึกว่าท่านสลบไสลไปโดยสิ้นเชิงเสียอีก” นางพูดงึมงำขึ้น
ตอนที่นางย่างเท้าออกไปอีกครั้ง มือของฉินชิวก็คว้ามือนางไว้อีกครา
นางมิได้พยายามสะบัดมือ มิได้ต่อต้านและไม่ถอยหนีแต่อย่างใด นี่สร้างความพึงพอใจแก่เขาอย่างใหญ่หลวง เพียงใบหน้าเขาไม่แสดงออก ทั้งน้ำเสียงก็ยังคงติดจะเย็นชา “สลบไปถึงที่สุดอย่างไรก็ต้องมีตอนที่ฟื้นขึ้นมากระมัง ข้าได้ฟังเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่าก็พอไขความกระจ่างว่าเป้าหมายที่เจ้าลอบสังหารคุณชายใหญ่จวนจงหย่งกงคืออะไร”
จากนั้นเขาก็หัวเราะแผ่วเบาพลางเอ่ยต่อ
“นิสัยนี้ของแม่นางอู บนท้องถนนเห็นความไม่ยุติธรรมก็อยากชักดาบเข้าช่วย ทำเพื่อคนที่ไม่เกี่ยวข้อง แม้แต่วังมังกรถ้ำพยัคฆ์ก็บุกฝ่าไปได้ ค่าตอบแทนสักครึ่งก็มิได้รับ ตามสิ่งที่ข้าเห็น แม่นางอูมิใช่ผู้ที่เหมาะสมจะเป็นนักฆ่าเลยจริงๆ กลับคล้ายจอมยุทธ์หญิงที่ยึดคุณธรรมของชาวยุทธ์ออกช่วยผู้อ่อนแอไปทั่วสารทิศมากกว่า”
อูลั่วซิงไม่เคยรู้สึกว่าตนเองโง่เขลา แต่นางฟังไม่ออกถึงความหมายที่แท้จริงของคำพูดเขาเลยจริงๆ คล้ายกำลังเย้ยหยันนาง และยังเหมือนพูดความจริงในใจอีกด้วย
นางโต้แย้งขึ้นเสียงทุ้มอย่างดูไม่ค่อยหนักแน่นนัก “ข้าได้รับค่าตอบแทน อาเหยากับอาเฮ่ามีของให้ข้า…”
“จริงด้วย ข้าก็เหลือบเห็นเช่นกัน ก่อนจากไปพี่น้องสกุลหนีมอบไข่ใบชาให้เจ้าสองฟอง ค่าตอบแทนที่แม่นางอูพูดถึงก็คือไข่สองฟองนั้นใช่หรือไม่”
“แล้ว…มีอันใดไม่ได้” อูลั่วซิงฝืนดึงดัน “ท่านย่าสกุลหนีอาศัยการขายไข่ใบชาเลี้ยงดูหลานๆ จนเติบโตขึ้นมา นอกจากนี้ไข่ใบชาของสกุลหนียังต้มได้อย่างอร่อยเหลือหลาย นั่นก็คือค่าตอบแทน”
นางได้ยินเขาหัวเราะเสียงต่ำ
หากสามารถจ้องตาของเขาตรงๆ มองท่าทีของเขาชัดแจ้ง บางทีอาจเข้าใจเขาง่ายขึ้นบ้าง แต่นางพบว่าตนเองไม่ค่อยกล้ามองเขาตรงๆ กลัวว่ามองไปมองมา สองตาจะจับจ้องไปที่กลีบปากของเขาโดยไม่รู้ตัว และเผลอนึกถึงรสชาติยามริมฝีปากเรียวลิ้นเกี่ยวกระหวัดกันในฝัน จากนั้น…จากนั้น…
จากนั้นเป็นไปได้มากว่านางอาจถูกผีสิง และไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นกระทำเรื่อง ‘ฟ้าดินอภัยไม่ได้’ กับเขา!
เป็นไปได้มากว่าคืนนี้เขาอาจจะ ‘เพิ่งออกจากรังสุนัขก็เข้าปากพยัคฆ์อีก’ ผลสุดท้ายจบเห่ในมือนาง
ล้วนเพราะฝันประหลาดน่าตายนั่น!
นางกัดฟันโดยแรง สะบัดความคิดเละเทะยุ่งเหยิงออกจากหัว ไม่สนใจว่าเขาจะมีความนัยในคำพูดหรือไม่ ก็เอ่ยไต่ถามไปตรงๆ “คนที่ลักพาตัวท่านจากสำนักชิงเยี่ยนเป็นใคร คุณชายรู้จักฝ่ายตรงข้ามหรือไม่”
“แน่นอนว่ารู้จัก” ฉินชิวไม่พูดมากความอะไรกับการที่นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาโดยฉับพลันนี้
“คนผู้นั้นเป็นใครหรือ” เสียงคำถามของนางเผยประกายโทสะเล็กน้อย
ฉินชิวเลิกคิ้วพลางเอ่ยถามยิ้มๆ “ทำไมหรือ แม่นางอูคงมิได้อยากยึดหลักคุณธรรมชาวยุทธ์ช่วยเหลือผู้อ่อนแอ ไปทวงคืนความยุติธรรมแทนข้าอีกกระมัง”
อูลั่วซิงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะพลันหันหน้าปรายตามองเขาวูบหนึ่ง “หากถูกรังแก แน่นอนว่าต้องเอาคืนเป็นทวีคูณ มีอันใดไม่ถูกต้องเล่า”
“หากกล่าวเช่นนี้ เท่ากับว่าแม่นางอูถือข้าเป็นคนของตนเอง เห็นข้าได้รับความไม่เป็นธรรม แม่นางอูปวดใจและรู้สึกแย่อย่างมากใช่หรือไม่”
นางใจเต้นแรงขึ้น ไอร้อนแผ่กระจายจากใบหูและฝืนเอ่ยอย่างสงบ “คุณชายมีบุญคุณกับข้า บุญคุณนี้ต้องตอบแทน ท่านได้รับความไม่เป็นธรรม ข้าย่อมต้องออกหน้าแทน”
อูลั่วซิงมิได้เอ่ยตอบโดยตรงและก็มิได้ปฏิเสธ ฉินชิวรู้สึกอารมณ์ดีเป็นทบทวี ระหว่างเดินในป่ามืดทึบแทบอยากร้องครวญเพลงออกมาแผ่วเบา ถึงขนาดรู้สึกว่ายามนี้ไม่มีพิณคันหนึ่งอยู่ข้างกายช่างน่าเสียดายอย่างแท้จริง
“คนผู้นั้นเป็นหนึ่งในแขกผู้มีพระคุณที่หอซือเฟยของข้า หลังจากสำเริงใจหนหนึ่งแปดส่วนด้วยเพราะติดใจในรสชาติมิรู้ลืม อาศัยที่ตนเองมีวรยุทธ์ไม่อ่อนด้อยลักพาตัวข้าออกมา แค่คิดอยากเที่ยวสำนักชายบำเรอโดยไม่จ่ายเงินก็เท่านั้น” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยอีก “คนระยำที่อยากกินไม่จ่ายดื่มไม่จ่ายเที่ยวสำนักชายบำเรอไม่จ่าย ในสำนักชิงเยี่ยนพบเจอได้ทุกวัน แต่ก่อนข้าก็มิใช่ไม่เคยพบ อย่างไรก็ไม่อาจให้พบครั้งหนึ่งก็ส่งเจ้าไปทวงความยุติธรรม กระทำเช่นนี้ทุกวัน เจ้าเป็นได้ยุ่งหัวหมุนพอดี”
เขาพูดอย่างสงบนิ่งเบาสบาย ทว่าอูลั่วซิงได้ฟังพลันรู้สึกลำคอแห้งผาก
นึกถึงคืนนั้นเขาถูกบังคับให้รับแขก นางเคยห้ามปรามเขามิให้ลำบากตนเองอย่างไม่เจียมตัว เขาย้อนถามนางว่า ‘…อาชีพฆ่าคนเป็นสิ่งที่เจ้าชมชอบ?’
พูดให้กระจ่างก็คือนางมิใช่กำลังทำให้ตนเองลำบากเช่นเดียวกัน?
นางไม่มีต้นทุนใดซ้ำยังไม่มีสิทธิ์ไปว่ากล่าวติติงเขา ราวกับ…มากที่สุดที่ทำได้ก็คือเฝ้าปกป้องอย่างเงียบๆ เท่านั้น การตระหนักได้นี้ทำให้จิตใจของนางหนักอึ้งเล็กๆ ก้อนอิฐไร้รูปอุดกั้นอยู่ในทรวงอก
นางกลับไม่รู้ว่าการเงียบงันโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยของตนเองจะเป็นเหตุให้บุรุษขมวดคิ้วมุ่น ข้อมือนางถูกเขาดึงรั้งคราหนึ่ง นางนึกว่าเขาฝีเท้าไม่มั่นคง ยังผลให้นางหมุนตัวไปประคองอีกครั้ง
แต่ปรากฏว่า…
“แม่นางอูมิใช่อยากตอบแทนบุญคุณหรอกหรือ” บุรุษหอบน้อยๆ คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “ป่านี้กว้างเกินไป เดินเหน็ดเหนื่อยแล้วจริงๆ ต้องลำบากแม่นางอูแบกข้าเที่ยวหนึ่ง ส่งข้ากลับไปแล้ว”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 ม.ค. 64
Comments
comments
No tags for this post.