X
    Categories: ทดลองอ่านมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ปีศาจเย้ารัก บทที่ 7-บทที่ 8

หน้าที่แล้ว1 of 11

บทที่เจ็ด รักลึกซึ้งบุปผาเหมันต์โรยรา

อูลั่วซิงได้รับการปรนนิบัติจากผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟยอย่างละเอียดลออหาใดเปรียบ

นางถูกดึงไปอย่างทึ่มทื่อ และถูกลากเข้าไปยังห้องเล็กของห้องด้านในอย่างทึ่มทื่ออีกเช่นกัน

ทั้งที่นางใช้นิ้วโป้งเล็กๆ นิ้วเดียวก็สามารถกำราบเขาอยู่หมัด และสามารถสะบัดหลุดจากการเกาะกุมของเขา ถึงกระนั้นอูลั่วซิงกลับทำไม่ได้

ทำไม่ได้ เพราะนางไม่อยากทำ

เพราะนางชอบความรู้สึกยามถูกเขาจูงมือลากนางไป ปลายนิ้วทั้งอุ่นและเย็นของเขาชวนให้คนโหยหา ฝ่ามือหนาอุ่นลื่นทำให้นางจับมือตอบอย่างมิอาจหักห้าม พร้อมใช้มือตนเองที่มีไตแข็งไม่น้อยจากการฝึกยุทธ์คว้าจับความอ่อนละมุนนั้น

นางไม่รู้ว่าเขาทำได้อย่างไร บางทีอาจเพราะตนนำพิณมามอบให้กลางดึก บังเอิญเจอเขาเตรียมตัวอาบน้ำพอดี หรือไม่ในห้องเล็กก็อาจอยู่ในสภาพเช่นเบื้องหน้านี้มาตลอดก็เป็นได้ ตอนนางถูกลากเข้าไป ถังอาบน้ำใบใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ที่นั่นมีน้ำบรรจุอยู่ห้าหกส่วนแล้ว ด้านบนของเตาไฟขนาดเล็กทำจากดินเผาที่มุมห้องมีกาน้ำใบโตวางอยู่ ควันสีขาวพวยพุ่งออกจากปากกาเป็นระยะ จึงสามารถเพิ่มน้ำร้อนลงไปในถังอาบน้ำได้ทุกเมื่อ

เครื่องใช้จำเป็นสำหรับอาบน้ำมีอยู่พร้อมสรรพทุกอย่าง กระทั่งเจ่าโต้วฝักเจ้าเจี่ยวก็ยังเตรียมไว้หลากหลายชนิด กลิ่นหอมเป็นธรรมชาติ สีสันละลานตา

ตอนนางกำลังพินิจมองถาดที่เต็มไปด้วยเจ่าโต้วหอมหวนอย่างละเอียดด้วยความอัศจรรย์ใจ ฉินชิวก็เริ่มกระทำไม่ซื่อกับนาง เขาปลดสายคาดเอวที่ซุกซ่อนอาวุธลับไว้ของนางออก ปลดสนับข้อมือที่ซ่อนมีดเงินทั้งสองข้างออก ซ้ำยังถอดรองเท้าหุ้มแข้งสองข้างซึ่งแอบซ่อนมีดเล่มเล็กคมกริบออกไปพร้อมกันอีก ในฐานะนักฆ่า นางกลับปล่อยให้บุรุษผู้หนึ่งปลดอาวุธบนตัวทั้งหมดออกอย่างอึ้งตะลึงเช่นนี้ นับว่าสูญเสียจิตใจระแวงป้องกันไปโดยสมบูรณ์แล้ว

นางหอบหายใจแผ่วเบาอย่างไม่อาจควบคุมตนเอง

เขามองดูนาง เลื่อนมือสองข้างเข้าไปในสาบเสื้อที่แบะออก ลูบไล้ผิวพรรณของนางอย่างเชื่องช้าดุจรักถนอมอย่างยิ่งยวด จากนั้นดันเสื้อแขนสั้นกับเสื้อตัวในของนางหลุดร่วงไปจากหัวไหล่ ตามด้วยดึงสายคาดกางเกงของนางออกราวกับยังไม่สาแก่ใจ ยังผลให้เสื้อกางเกงของนางร่วงหลุดลงพื้น กองเป็นวงเล็กที่ข้างเท้า

นางตัวสั่นสะท้านไม่หยุด ใบหน้าแดงปลั่งดั่งสีโลหิต

“มาสิ” เขาเพียงเอ่ยแผ่วทุ้มคำเดียวก็ทำให้นางโงหัวไม่ขึ้น

อูลั่วซิงก้าวเข้าไปในถังอาบน้ำที่บรรจุน้ำร้อนไว้อย่างพอเหมาะ แช่ร่างเปลือยเปล่าลงในน้ำที่มีไอสีขาวลอยอวล ความร้อนอบอุ่นประหนึ่งแทรกซึมจากทุกอณูขุมขนตรงเข้าไปในใจ นางอดหลับตาลงถอนใจอย่างสบายไม่ได้

เหนื่อยล้าอย่างยิ่ง…ที่แท้หัวไหล่แผ่นหลังและแขนขาทั้งสี่เกร็งตึงถึงเพียงนั้น ที่แท้เปลือกตาหนักถึงเพียงนี้ เนิ่นนานเท่าใดที่ไม่ได้หลับตาพักอย่างผ่อนคลายเต็มที่…

ที่แท้สิ่งที่จำเป็นมีแค่ถังอาบน้ำบรรจุน้ำร้อนใบใหญ่ กับการอาบน้ำร้อนอย่างหมดจดเท่านั้น นางก็สามารถผ่อนคลายได้ อา…ไม่ถูกต้อง ใช่แค่เท่านี้เสียเมื่อใด นางสัมผัสได้ถึงกำลังแรงของฉินชิวที่วางลงบนศีรษะนาง บนร่างนาง เขาช่วยนางสระผม ใช้สบู่บุปผาหอมกลิ่นบุปผาอ่อนจางบางอย่างล้างทำความสะอาดเรือนผมสีดำมัดใหญ่นั้น

เขานวดหนังศีรษะ หน้าผาก และท้ายทอยนาง บีบกดจนนางยิ่งสะลึมสะลือ มิอาจลืมตา

ในที่สุดนางก็เอียงศีรษะลงช้าๆ นางนอนหลับไปจริงๆ ในถังอาบน้ำนั่น ก่อนที่ชั่วมึนงงพร่าเลือนจะถูกคนอุ้มออกมา นางได้กลิ่นที่ตนเองค่อยๆ คุ้นเคยมากขึ้นทุกวัน จากนั้นใต้ร่างเปลี่ยนเป็นเตียงที่ปูด้วยเบาะนุ่ม หางตานางกระตุกคราหนึ่งด้วยจิตใต้สำนึก พลันปราดเห็นว่าตนเองอยู่ภายในห้องลับของเขา จิตใจยิ่งสงบสบาย นางนอนคว่ำอยู่ท่ามกลางก้อนอ่อนนุ่ม เกียจคร้านกระทั่งนิ้วยังไม่อยากขยับ ก่อนผล็อยหลับไปในชั่วพริบตา

เหตุใดตนเองจึงเปลี่ยนไปเป็นเช่นนี้ได้ นางก็ไม่รู้เลยจริงๆ

เขาเช็ดผม สางผม ทำให้ผมนางแห้ง จากนั้นก็บีบนวดหัวไหล่และแผ่นหลังของนางด้วยแรงพอเหมาะ กลิ่นขี้ผึ้งประทินโฉมหอมอ่อนสุภาพอวลวนในจมูก ทั่วร่างตั้งแต่บนจดล่าง หัวจรดเท้าราวกับได้รับการให้ความชุ่มชื้นทั้งหมด อีกทั้งบางจุดยังได้รับการให้ความชุ่มชื้นซ้ำไปซ้ำมาอีก

ทันใดบนผิวกายคล้ายมีดวงไฟลุกไหม้ขึ้นช้าๆ โดยเฉพาะบริเวณที่บุรุษใช้ปากและลิ้นเลื่อนไปตามผิวพรรณเปล่าเปลือยของนางแทนฝ่ามือทั้งสอง ขบเม้มกระดูกสะบักของนาง ก่อนจะดูดกัดอย่างเชื่องช้าตามแนวโค้งกระดูกสันหลังลงสู่เบื้องล่าง หนำซ้ำมือข้างหนึ่งยิ่งล่วงเข้าไปสัมผัสยังหน้าท้องและเอวนาง ลูบไล้สะดือเล็กก่อนเลื่อนลงล่างและลงไปด้านล่างอีก นิ้วมือยาวบดคลึงบุปผางามของหญิงสาวกลับไปกลับมาดุจดีดพิณซ้ำๆ…ขนตาของอูลั่วซิงสั่นระริก ปากพลันเปล่งเสียงครวญดุจแมวร้องหาคู่ในท้ายที่สุด

“ลั่วซิงเจ้าเหนื่อยแล้ว นอนได้ก็นอนเถิด เรื่องที่เหลือข้าจะจัดการอย่างดีเอง จะทำให้เจ้าสบายอย่างยิ่ง”

วาจานี้ของบุรุษมีข้อบกพร่องอย่างใหญ่หลวง ไม่ทราบว่าสถานการณ์เช่นนี้ ท่วงท่ากัดกลืนคนอย่างร้อนแรงเช่นนี้ นางมีหรือจะนอนหลับสบายได้

“ท่าน…ช้าก่อน…อ๊า…” นางอยากพลิกร่างกลับมา เขากลับไม่ยอม เรือนกายของบุรุษที่ทาบอยู่บนหลังแนบสนิทไปกับนาง โดยเฉพาะร่างกายเบื้องล่าง เขาแนบชิดจนไม่อาจแนบชิดได้อีก

ขาข้างหนึ่งของนางถูกยกสูงขึ้นเล็กน้อย จัดวางออกมาเป็นท่วงท่าอันเหมาะสม จากนั้นเพลิงไฟแข็งแกร่งร้อนลวกของบุรุษเพศก็ชำแรกเข้าสู่ใจกลางท่อนขาของนางตรงๆ แผดเผาสู่ส่วนลึกในร่างกายนาง

นางไร้ซึ่งหนทางต่อต้าน และหมดสิ้นเรี่ยวแรงคัดค้าน

ในส่วนลึกยิ่งของจิตวิญญาณกับสติสัมปชัญญะของนาง ที่จริงนั้นหลงใหลการบุกรุกเช่นนี้ หวังไว้ว่าบนโลกใบนี้จะปรากฏคนผู้หนึ่ง พลังอย่างหนึ่งที่สามารถครอบงำร่างกายและสมองของนางได้โดยสมบูรณ์ นางปรารถนาที่จะส่งมอบตัวนางออกไป โหยหาการได้อยู่ในอ้อมกอดของบางคนปล่อยให้อีกฝ่ายประพฤติตนตามใจ

และคนที่ควรค่าแก่การฝากฝังชีวิตด้วยผู้นั้นก็คือเขา คือผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟยแห่งนี้…ฉินชิว

นางร่างกายสั่นระริกมากขึ้นทุกขณะ อารมณ์ปรารถนาเอิบอาบไปทั่วสรรพางค์กาย อาบย้อมร่างกายนางทั้งด้านในด้านนอกจนเปียกชุ่ม

บุรุษที่ทาบทับบนแผ่นหลังนางอยู่ควบคุมสถานการณ์ทั้งหมด เขากดหัวไหล่นาง จับข้อมือนาง ความร้อนในร่างกายลอยขึ้นราวกับสามารถกลายเป็นไอได้ กลิ่นจันทน์หอมเปลี่ยนเป็นเข้มข้นขึ้น ประหนึ่งยาปลุกเร้าอารมณ์รัญจวน แทรกซึมเข้ามาในลมหายใจเข้าออกของนาง

นางหอบหายใจรัวเร็วไม่หยุด ท้องน้อยหดเกร็งแผ่วเบา พร้อมกันนั้นกาหยกเปี่ยมความฉ่ำวาวเหนียวข้นก็กระตุกเกร็งโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน

นางได้ยินเสียงเขาหอบหายใจต่ำที่ด้านหลัง ทันใดนั้นเรือนร่างร้อนลวกก็ทาบทับลงมา ทั้งร่างของเขาทับอยู่บนหลัง งอศอกยันไว้ตรงบ่าทั้งสองของนาง เส้นผมดำขลับมันวาวปล่อยสยาย แทบจะปกคลุมทั้งศีรษะของนาง

ด้วยเพราะติดอยู่ใต้ร่างกายและเรือนผมดุจผ้าม่านของเขา นางมองไม่เห็นเขา แต่แล้วประสาทสัมผัสด้านอื่นกลับแจ่มชัดเป็นเท่าทวี ผิวกายร้อนประหนึ่งเปลวไฟ ขณะเดียวกันก็คล้ายเป็นก้อนน้ำอุ่นที่ถูกเขาเจาะทะลุ

ตอนที่เขาเอียงหน้ามาดูดเม้มติ่งหูนาง ร่างกายส่วนล่างก็เพิ่มแรงเข้าออกหนักหน่วงมากขึ้น เร็วขึ้นทุกขณะ กระแสความร้อนวาบผ่านแขนขาทั้งสี่ของนางเป็นระลอกๆ นางสั่นสะท้านตั้งแต่ภายในร่างสู่ภายนอก แผ่ลามไปถึงทุกรูขุมขนจนถึงขนทุกเส้น

นางสติสัมปชัญญะแตกกระเจิง ในตอนที่พุ่งทะยานทะลุขีดสุดนั้นก็ดิ่งร่วงลงต่ำโดยแรงทันที

นางไม่อาจต้านทาน ปล่อยให้พลังไร้รูปนั้นโยนนางขึ้นสูงแล้วผลักลงต่ำ ร่วงลงสู่ห้วงความเวิ้งว้างที่ไร้สิ้นสุด…

 

ราวกับมีแสงแดดเบาบางยิ่งลอดเข้ามา

แต่…ไม่สมควรเป็นแสงแดดสิ

อูลั่วซิงครุ่นคิดด้วยสติพร่าเลือน

ในห้องลับอันใหญ่โตนี้ไม่มีฟ้าไม่มีดิน ไม่มีกระทั่งหน้าต่างเล็กๆ สักบาน ยากแยกแยะอย่างแท้จริงว่าด้านนอกฟ้าสว่างแล้วหรือไม่

ด้วยเพราะยากแยกแยะ นางจึงนึกว่ารัตติกาลยังคงลุ่มลึกอยู่เช่นเดิม ดังนั้นจึงยิ่งปลดปล่อยตามใจเพรียกหา…

ทั้งร่างของนางราวกับละทิ้งซึ่งความแข็งแรงออกไปหมดสิ้น อ่อนชาไร้กำลังดุจดินโคลน คนฝึกยุทธ์ไม่ควรเป็นดังนี้ ผู้ที่ยึดการสังหารผู้คนเป็นอาชีพยิ่งไม่สมควรเป็น นางทำผิดข้อห้ามสำคัญ แต่ก็หาได้สนใจไม่ อย่างน้อยเวลานี้ชั่วขณะนี้ ยามที่นางเอาหน้าผากจรดหน้าผากบุรุษผู้นี้และนอนเคียงข้างกันเช่นนี้ นางไม่สนใจเรื่องเหล่านั้นแม้สักกึ่งหนึ่ง

ในร่างกายยังคงมีกระแสแห่งอารมณ์สิเน่หาหลงเหลือ เสมือนเขายังคงอยู่ในร่างกายนาง หนุนดันนาง ใช้จังหวะการเต้นของชีพจรเดียวกันกับนาง

นางลอบปรับลมหายใจครู่ใหญ่จึงค่อยฟื้นคืนเรี่ยวแรงกลับมา ยามลืมตาขึ้นเงียบๆ ใบหน้าหล่อเหลาที่อยู่ใกล้นางมากนั้นดวงตาปิดสนิทเรียวคิ้วผ่อนคลาย แลคล้ายยังคงหลับใหล

ตอนที่นางยื่นนิ้วไปดึงผมบนใบหน้าเขาออก หมายจะสัมผัสไฝเม็ดเล็กยั่วยวนใจคนตรงกรามซ้ายของบุรุษนั้นเอง เขาก็เปิดเปลือกตาขึ้นฉับพลัน สองตาแจ่มใสกระปรี้กระเปร่า เห็นชัดว่าตื่นตั้งนานแล้ว หรือไม่ก็อาจจะไม่ได้หลับตั้งแต่ต้น

เขากะพริบตาอย่างซุกซนและแย้มยิ้มให้นาง ประหนึ่งการหยอกเย้านางสำเร็จทำให้เขาเปรมปรีดิ์ยิ่งนัก

จากนั้นเขาก็เอ่ยถามขึ้นด้วยเสียงทุ้มแผ่วอ่อนโยน “ร่างกายลั่วซิงตึงเครียดยิ่ง เวลานี้รู้สึกสบายขึ้นแล้วใช่หรือไม่”

นางที่หน้าแดงหูร้อนเป็นทุนเดิมพอโดนเขาถามเช่นนี้ พวงแก้มแดงก่ำยิ่งแดงดุจจะมีโลหิตซึมออกมากระนั้น แต่นางมิได้หลบเลี่ยงสายตาจับจ้องของเขา และก็ไม่มีที่เลี่ยงหลบ จึงรับคำแผ่วเบาด้วยใบหน้าแดงปลั่ง

เขาหยักมุมปากยิ้ม “ข้าก็รู้สึกสบายเหมือนกัน”

เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะใช้นัยน์ตาลึกล้ำจ้องมองนางพลางเอ่ยถามต่อว่า “ลั่วซิงชอบหรือไม่”

“…อืม” นางค้อมศีรษะเล็กน้อย มิได้ลังเล “…ชอบ”

เมื่อได้สดับวาจาเช่นนี้จากอีกฝ่าย ดวงตาคู่งามของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเส้นโค้งเพราะแย้มยิ้ม พาให้อารมณ์อ่อนไหวในอกนางยิ่งแผ่ขยาย ก่อนจะยิ้มบางๆ ตอบรอยยิ้มของเขาโดยไม่รู้ตัว

ราวกับชมชอบท่าทางยามนี้ของนางเป็นที่สุด เขาโน้มตัวเข้ามาจุมพิตนางทันที จุมพิตริมฝีปากรูปผลอิงเถาดุจนกจิกกินผลไม้ หนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…เมื่อถึงครั้งที่สี่ แขนเนียนละเอียดดุจรากบัวของนางก็รู้จักโอบรอบคอเขาในที่สุด ฉุดรั้งริมฝีปากและเรียวลิ้นของเขาไว้ เคล้าคลอแลกเปลี่ยนความร้อนรุ่มในร่างกายของกันและกัน

หลังจากนั้นก็จดจำได้ไม่ชัดเจนว่าผู้ใดกอดผู้ใดก่อน ทั้งสองเกี่ยวกระหวัดเรือนร่างเข้าหากัน กลิ้งเกลือกไปมาบนเตียง ประเดี๋ยวนางอยู่ด้านบน ประเดี๋ยวเปลี่ยนไปเป็นเขา จูบไปพลางกลิ้งไปพลางยั่วหยอกไปพลางเย้าแหย่ไปพลาง

เสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาจากปากและไรฟันที่พันพัวแนบชิด จวบจนกลิ้งไปถึงตอนท้าย ผิวพรรณที่แนบสนิทประหนึ่งมีไฟลุกโชนขึ้นมา อารมณ์ปรารถนาที่ยังหลงเหลือโหมซัดสาดขึ้นอีกครา

“ลั่วซิง…” เขาใช้มือข้างหนึ่งล้วงลงสัมผัสเบื้องล่าง ความชื้นชุ่มเปี่ยมล้นฝ่ามือ แรงที่เอวหนักหน่วงขึ้นทันใดหมายจะเข้าสู่ใจกลางเรียวขานาง

วี้ด…ปัง! ปัง! ปัง!

“ชะ…ช้าก่อน!” อูลั่วซิงลืมตาโพลง ออกแรงผลักเขาออกกะทันหัน

ฉินชิวแม้มิได้หกล้มบาดเจ็บ แต่หวุดหวิดจะกลิ้งตกลงจากเตียงไปพร้อมกับผ้าห่มอยู่รอมร่อ เคราะห์ดีที่เตียงที่วางในห้องลับเป็นเตียงกว้างที่ยามปกติรองรับคนนอนได้ราวหกเจ็ดคน

“ขออภัยด้วย ขะ…ข้าขออภัยจริงๆ ท่านไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่” อูลั่วซิงถามพลางก้าวลงจากเตียงด้วยเรือนร่างเปลือยเปล่า เดิมคิดจะคว้าเสื้อแขนยาวที่พาดอยู่บนราวมาปกปิดร่างกายชั่วคราว หางตาพลันปราดเห็นอาภรณ์รัดกุมทั้งชุดของตนได้รับการจัดเก็บอย่างดีวางอยู่ด้านหนึ่ง

นางสวมชุดรัดกุมนั้นทีละชิ้นต่อหน้าบุรุษ การเคลื่อนไหวรวดเร็วยิ่งนัก

“เหตุใดจึงปฏิเสธข้า ลั่วซิงไม่ชอบแล้วหรือ” ฉินชิวยกแขนขึ้นรวบผมยาวสยายดุจน้ำตกไว้ด้านหลังพลางเอ่ยถามอย่างแช่มช้า แววตาลึกล้ำยิ่ง

อูลั่วซิงรีบสั่นศีรษะพลางสวมถุงเท้ายาว “ไม่ใช่ ไม่ใช่ว่าต้องการปฏิเสธ แต่เพราะ…”

วี้ด…ปัง! ปัง! ปัง!

ต่อให้อยู่ในห้องลับก็ยังพอได้ยินเสียงดังจากด้านนอกรางๆ เสียงพลุดังติดกันสามครั้ง ก่อนนี้ดังไปแล้วระลอกหนึ่ง ยามนี้ดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง ซ้ำร้ายเวลานี้นางใส่ใจสังเกตจึงได้ยินชัดเจนจนมิอาจชัดเจนได้อีก

อูลั่วซิงดันประตูเปิดพุ่งออกจากห้องลับทันที ทอดสายตามองออกจากหน้าต่างที่อ้าเปิดอยู่บนหอซือเฟยไปยัง…ที่ห่างไกล บนท้องฟ้าสูงที่ยังไม่สว่างดีมีดอกไม้ไฟสีแดงเล็กๆ แขวนอยู่สามดวง ดอกไม้ไฟค้างอยู่ไม่ถึงชั่วกะพริบตาก็ร่วงหล่น และหายลับไปไม่ทิ้งร่องรอย

บุรุษสวมชุดคลุมยาวเดินตามออกมา ฝ่ามือใหญ่ที่มีข้อนิ้วสง่างามยื่นมาจากด้านหลังเคลื่อนจากเอวนางลงใต้สะดือ หน้าอกที่อุณหภูมิยังร้อนสูงแนบตามมาบนแผ่นหลังงดงามของนาง และโอบนางเข้าสู่อ้อมกอด

“เจ้ารู้ดี ทั้งในใจยังกระจ่างชัดยิ่ง เจ้าปรารถนาข้า เหมือนที่ข้าต้องการเจ้าก็ไม่ปาน ก็เหมือนสัตว์ที่อยู่ในช่วงเกิดอารมณ์กำหนัดสองตัว หนึ่งตัวผู้หนึ่งตัวเมีย เมื่อได้กลิ่นของอีกฝ่ายก็คล้ายถูกปีศาจเข้าสิง นอกจากผู้ที่ชะตาลิขิตไว้ผู้นั้น ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการ ไม่มียาใดรักษาได้ ไม่มีหนทางแก้ไข…” เขาโน้มกายมาพลางเกยใบหน้าหล่อสง่าบนบ่านาง กลีบปากจ่อที่ใบหูนางอย่างแนบแน่น พ่นลมหายใจต่ำพร่าพลางกล่าวต่อ “ตามข้ากลับไปที่เตียงเถิด ยังมีวิธีการปรนนิบัติอีกมากมายยิ่งที่ยังไม่ได้ใช้กับลั่วซิงเลย”

เสียงของเขาเย้ายวนใจเกินไป ลมหายใจอุ่นร้อนเกินไป อ้อมกอดชวนให้จิตใจหลงใหลป่วนปั่นเกินไป ล่อลวงให้คนจมดิ่งลงไปอย่างยินยอม…

อูลั่วซิงอดรู้สึกชุ่มชื้นอีกครั้งไม่ได้ ทั่วกายตั้งแต่หัวจดเท้าด้านในถึงด้านนอก ทั้งชื้นทั้งร้อน ทั้งคันทั้งชา

คล้ายถูกอะไรที่ไร้รูปทว่าทรงพลังดึงดูดจิตวิญญาณ จับยึดร่างกายเอาไว้ หัวเข่าสองข้างของนางอ่อนยวบ ไม่อาจต้านทานได้

วี้ด…ปัง! ปัง! ปัง!

ผลสรุปคือเมื่อพลุพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าและระเบิดออกเป็นครั้งที่สาม หญิงสาวที่จวนจะตกลงสู่ห้วงทะเลแห่งตัณหาก็ได้สะดุ้งหลุดจากภวังค์โดยแรง

อูลั่วซิงใช้กำลังภายในกระแทกบุรุษที่เกาะติดนางไม่ปล่อยจนเขากระเด็นออกไป

หนนี้นางรีบร้อนเกินไป ประเมินแรงไม่ดีพอ ด้วยเหตุนี้คุณชายฉินชิวในฐานะคุณชายอันดับหนึ่งแห่งสำนักชิงเยี่ยนจึงถูกซัดถอยออกไปหลายก้าวในชั่วพริบตา เขาถอยกรูดและถอยกรูดอีกครั้ง ท้ายที่สุดก็หยุดยั้งแรงส่งไม่อยู่ แผ่นหลังกระแทกกับผนังตรงๆ ทั้งร่างพิงผนังล้มพับกับพื้น

“ท่าน…” อูลั่วซิงลำบากใจสุดแสนอย่างแท้จริง นางกัดฟันแน่น ก่อนจะเอ่ยอธิบายว่า “เป็นอาจารย์กำลังเรียกข้า เขาจุดพลุสัญญาณเรียกข้ากลับไป พลุนี้จุดลูกหนึ่งระเบิดติดกันสามครา แตกต่างจากพลุธรรมดา ย่อมต้องเกิดเรื่องด่วนอะไรที่เรือนไผ่ตรงชานเมืองตะวันตกอย่างแน่นอน เขาจึงใช้วิธีการรีบด่วนปานนี้แจ้งให้ข้ารู้”

ยามมองใบหน้างามของเขาที่ราวกับไม่อยากเชื่อถือถึงขีดสุดนั้น นางเม้มปากก่อนจะเอ่ยอีกว่า “ข้าขออภัย ขะ…ข้าขออภัยจริงๆ…ข้าต้องไปแล้ว ข้า…ข้าจะกลับมาเยี่ยมท่านอีก”

นางอ้ำอึ้งและหยุดราวกับลังเลอีกครู่หนึ่ง

สุดท้าย…ท้ายที่สุด ยังคงทอดทิ้งเขา

นางกระโจนทะยานออกไปนอกหน้าต่าง ไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับมองมา

ด้านนอกหอซือเฟย ต้นไม้ไม่ไหว เงามืดไม่เคลื่อน แสงจันทร์ลาลับ แสงอาทิตย์ยังไม่สว่าง สีสันของท้องนภาราวกับเป็นความเงียบสงัดหลังกลุ่มปีศาจร้ายออกมาร่ายระบำอย่างบ้าคลั่ง ทั้งยังเสมือนความเงียบวังเวงก่อนพายุลูกใหญ่จะมาเยือน เทียบกับสีหน้าของคุณชายบางคนในหอประจวบเหมาะคล้ายคลึงกันอย่างไม่น่าเป็นไปได้

ฉินชิวไม่อยากเชื่ออย่างสิ้นเชิง!

ในตอนที่แรงปรารถนาพุ่งถึงขีดสุด ขอแค่เขายืดเอวขึ้นครั้งเดียว สองร่างก็จะสอดประสานเป็นหนึ่งได้ทันที ในช่วงเวลานั้น นางสามารถผลักเขาออกไปได้ตรงๆ ซ้ำยังกลับมาควบคุมสติได้อย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าผ่าไม่ทันปิดหูได้เช่นนั้น…

นางใจเหี้ยมยิ่งกว่าเขามากนัก!

ไม่…ไม่ใช่ใจเหี้ยม ทว่าเพราะนางยังลุ่มหลงรักใคร่เขาไม่มากพอ

อาจารย์กับศิษย์น้องนางยึดครองตำแหน่งที่ยิ่งใหญ่เกินไปในใจนาง ทุกเรื่องนางล้วนคิดคำนึงถึงพวกเขาเป็นลำดับแรก เป็นนิสัยที่ก่อตัวขึ้นจากระยะเวลาอันยาวนาน ความเคยชินเปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดา ส่งผลให้นางลดทอนความต้องการของตัวนางลงโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

นางนึกว่ากระทำเช่นนี้เป็นเรื่องสมเหตุสมผล เคยชินกับการถูกบังคับ ถูกสั่งการ โดยไม่ล่วงรู้ว่าตนเองก็ต้องการที่จะได้รับการดูแลเช่นเดียวกัน

ตอนอาบน้ำสระผมและถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกให้นาง เขายังไม่สังเกตเห็น จวบจนเขาช้อนร่างนางที่เหนื่อยล้าจนสติเลือนรางออกมาจากถังอาบน้ำไปส่งที่เตียงแล้ว ยามเมื่อเขาช่วยนางเช็ดผมและเนื้อตัวให้แห้ง เขาถึงเหลือบเห็น บนไหล่ซ้าย ด้านข้างเอว อีกทั้งด้านในขาขวาของนางล้วนมีรอยฟกช้ำแถบใหญ่ ซอกขาด้านหนึ่งถึงขั้นทิ้งรอยแดงเป็นทางเอาไว้ แม้ไม่ถลอกได้เลือด แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าเป็นแผลจากแรงของกระบี่

หากนางหลบไม่ทัน ชีพจรลำคอย่อมปริแตกอย่างไม่ต้องสงสัย หรือต่อให้ครั้งนี้นางหลบได้ แล้วครั้งหน้าเล่า

นางได้รับบาดเจ็บ ทว่ากลับไม่รู้ว่าตนเองมีแผลติดกาย ด้วยเพราะบาดแผลเหล่านั้นในสายตานางประหนึ่งความว่างเปล่า

ยามเมื่อเสน่ห์ของบุรุษที่เขาพึ่งพิงไม่อาจรั้งตัวนางไว้ได้ ชั่วพริบตานั้น เขาแทบอยากจะไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้นสำแดงวิชากับนาง ฝืนบังคับสวมความคิดเข้าสู่จิตวิญญาณ ยึดกุมและควบคุมนางโดยสมบูรณ์

บางที…เมื่อครู่เขาอาจจะทำเช่นนั้นไปแล้วจริงๆ ก็เป็นได้ เขาถูกบีบคั้นแล้วจริงๆ ทั้งยังเดือดดาลสุดขีด และกระทำการตามสัญชาตญาณทั้งสิ้น

หากมิใช่ว่าตอนหลังมีเสียงพลุระลอกที่สามดังขึ้นอีก นางก็อาจโอนอ่อนตามความต้องการเขา ดำดิ่งลงตามเขา

หากต้องการกระทำป่าเถื่อนกับนาง เขาจะบีบบังคับนางทำเรื่องทุกอย่างที่เขาอยากให้นางทำก็ได้ ทว่าเขาดันต้องการให้นางยินยอมพร้อมใจ ต้องการที่หนึ่งในสายตานาง ต้องการเป็นหนึ่งเดียวในดวงใจนาง

ใบหน้าทะมึนหนักอึ้งนั่งพิงผนังเงียบเชียบอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเขาก็ลุกขึ้น สาวเท้าเนิบช้าไปที่ข้างโต๊ะ

พิณเจ็ดสายที่นางหามาให้เขาโดยเฉพาะตั้งอยู่บนโต๊ะ เขาหลุบตาลง ปลายนิ้วยาวดีดสายพิณส่งเดช

เสียงของพิณโบราณกังวานยาวและลึกล้ำ เสียงพิณถึงแม้สามารถพรรณนาความรู้สึกของคนบรรเลงพิณออกมาได้ ทว่าความนัยของทำนองพิณใครเล่าจะได้ยิน

เขาไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเข้าใจความคิดเขา เนื้อแท้ของเขาทั้งชั่วร้ายและเห็นแก่ตัว คนที่เข้าใจเบื้องลึกของเขามีเพียงจะกลัวเขา เกลียดเขา สิ่งที่เขาต้องการมีเพียงได้นางมาอยู่ข้างกาย ทุ่มความสนใจทั้งหมดมาให้เขา

ท้ายที่สุดหากมิอาจได้ครอบครองสิ่งที่ปรารถนา เช่นนั้นอย่าได้หาว่าเขาใจดำอำมหิตก็แล้วกัน

“ครั้งนี้กลับช้าอีกแล้วนะ”

ใบหน้าผอมซูบของบุรุษติดจะลึกซึ้งยากคาดเดา มองไม่ออกว่าโกรธหรือไม่

ฟ้าสว่างรำไร เป็นช่วงเวลาที่ปกติหากอยู่ที่เรือนไผ่นางควรลุกขึ้นตั้งไฟเตรียมอาหารเช้า

ยามนี้นางเพิ่งกลับมา อาจารย์ตั้งไฟ ทั้งยังต้มน้ำชงชาเรียบร้อยแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องโถงเล็กของเรือนไผ่จิบชาไปพลางเอ่ยไปพลาง “สองสามวันนี้กำลังคนกลุ่มเล็กที่อยู่ภายใต้เหล่าเต้าเริ่มทยอยกลับมาถึงเมืองหลวง วันนั้นเจ้าไปพร้อมพวกเขา ภารกิจที่ต้องทำมีเพียงอย่างเดียว สำหรับเจ้าไม่ควรเป็นเรื่องยากจึงจะถูก ควรจะกลับมาถึงเมืองหลวงก่อนหน้าพวกเขานานมากด้วยซ้ำ ผลสรุปยังคงกลับมาล่าช้า ครั้งก่อนก็เป็นเช่นนี้ ครั้งก่อนหน้าอีกก็เป็นเช่นกัน ตกลงมีเรื่องอันใดทำให้ล่าช้ากันแน่”

ดังนั้น…เหตุผลที่จุดพลุสัญญาณ ‘หนึ่งลูกดังติดกันสามครั้ง’ เรียกนางกลับมาอย่างเร่งด่วน ไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องฉุกเฉินอะไรที่เรือนไผ่แต่เพราะอาจารย์ต้องการยืนยันว่านางอยู่ที่เมืองหลวงหรือไม่กันแน่อย่างนั้นน่ะหรือ

หัวใจอูลั่วซิงที่ลอยขึ้นสูงลดลงกลับสู่หน้าอกอย่างเงียบเชียบ จิตใจที่แสนจะตึงเครียดผ่อนคลายลงในที่สุด

เพียงแต่ยามเผชิญหน้ากับการคาดคั้นของผู้อาวุโส หัวสมองนางก็พลันทึ่มทื่อไปอย่างแท้จริง

“อาจารย์ ข้า…” พอนางอ้าปากคิดจะโต้แย้งกลับพบว่าไม่มีอะไรให้แย้ง สมองแล่นปราดไปมาอย่างเอาเป็นเอาตายท้ายที่สุดยังคงไร้วาจา ได้เพียงก้มหน้ายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น

นอกจากหาเงินสำหรับใช้จ่ายที่เรือนไผ่แห่งนี้ นางยังแอบรับงานแลกสิ่งของชั้นดีกับเหล่าเต้าอีก ซึ่งแต่ละชิ้นล้วนนำไปส่งยังหอซือเฟย จึงกลับช้าหลายหนจริงๆ เดิมนางนึกว่าอาจารย์ไม่มีวันถามมากความ อย่างไรเสียเรื่องที่ควรทำนางก็ไม่เคยขาดไปแม้แต่เรื่องเดียว ทว่ายามนี้ถูกอาจารย์ซักถาม นาง…ไม่อยากพูดออกไปจริงๆ

นางยินยอมถูกลงโทษอย่างเด็ดขาดทุกประการ แต่อย่างไรก็ไม่อยากพูด

บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่นางไม่เชื่อฟังคำพูดอาจารย์ และไม่ยอมตอบคำถามเขา

โถงเล็กของเรือนไผ่พลันเงียบสนิทไปพักใหญ่ ครั้นเมื่ออูติ้งเซินเอ่ยปากอีกครั้ง น้ำเสียงก็ดูเหมือนทอดถอนใจ…

“เจ้าโกหกไม่เก่งมาแต่ไหนแต่ไร ทั้งนิสัยยังดื้อรั้น ในเมื่อไม่อยากพูดก็ไม่ต้องพูด ผู้เป็นอาจารย์ไม่สร้างความลำบากแก่เจ้า เพียงแต่ยิ่งเจ้ามีสภาพเช่นนี้ ข้าผู้เป็นอาจารย์ยิ่งอยากเดาดูสักหน่อย” เขายิ้มน้อยๆ ก่อนเอ่ยถามขึ้นว่า “หากมิใช่เพราะติดพันภารกิจ ก็ต้องเป็นเพราะคนเสียแล้ว คนผู้นี้น่ะหรือ…ดูท่าลั่วซิงคงมีคนในใจแล้ว ถูกต้องหรือไม่เล่า”

อูลั่วซิงเงยหน้าขึ้นขวับราวกับตกใจเสียขวัญ ดวงตาถลึงกลมขึ้นเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำในพริบตา

สีหน้านี้ อารมณ์ของคิ้วและนัยน์ตานี้ แสดงออกชัดเจนเกินไปโดยแท้

เชื่อว่าทุกคนที่มีตาล้วนดูออกอย่างง่ายดาย หญิงสาวได้ถลำลึกโดยสิ้นเชิง จมลึกในปลักเลนมิอาจปีนขึ้นมาอีก

อูติ้งเซินก้มหน้าอย่างกระจ่างแจ้ง รอยย่นจางๆ ที่หางตาลึกมากขึ้น “เจ้าอายุก้าวพ้นวัยยี่สิบแล้ว บัดนี้เพิ่งจะได้เปิดหูเปิดตานับว่าช้าเกินไป ข้าหวังว่าเจ้าจะเป็นฝั่งเป็นฝากับคนที่ดี กลัวก็แต่จะพบพานคนชั่ว”

“อาจารย์…เขา เขาดีกับข้ามาก” เมื่อต้องเอ่ยถึงเรื่องประเภทนี้กับอาจารย์ของตน อูลั่วซิงร้อนจนแทบจะสุกไปทั้งตัว

“หากเริ่มแรกยังปฏิบัติกับเจ้าไม่ดี เจ้าก็คงไม่ดำเนินไปถึงขั้นคบหากับฝ่ายนั้น” อูติ้งเซินยกชาขึ้นจิบคำหนึ่ง

ยังคงอยากแก้ตัวให้คนในใจมากขึ้นอีกสองสามประโยค ทว่าแต่ไหนแต่ไรการพูดก็หาได้เป็นจุดแข็งของนาง

อูลั่วซิงเม้มปากอย่างกลัดกลุ้ม สีหน้านัยน์ตาปรากฏแววดื้อดึงอีกหน เงียบงันหลายอึดใจ นางพลันคุกเข่าลงสองข้างเสียเลย

“ศิษย์รู้ว่าอาจารย์เป็นห่วง แต่ข้า…ข้าชมชอบเขามาก ชอบมาก ชอบมากๆ…อาจารย์ ข้าจะทำเรื่องที่สมควรทำอย่างดี ทำดียิ่งกว่าแต่ก่อน ทุกอย่างล้วนเชื่อฟังคำสั่งของท่าน แต่…แต่ข้าอยากอยู่ร่วมกันกับคนผู้นั้น ขออาจารย์โปรดส่งเสริมด้วย” ไม่ทันขาดคำนางก็โขกศีรษะทำความเคารพอย่างเต็มรูปแบบ

“ดูเจ้า เด็กโง่งมเอ๊ย เฮ้อ…” อูติ้งเซินลุกไปประคองนางขึ้น ถอนใจลึกเฮือกหนึ่ง สุดท้ายก็ตบไหล่นาง “ท้องฟ้าจะมีฝน หญิงสาวจะออกเรือน จะให้ผู้เป็นอาจารย์ยับยั้งไม่ให้เจ้าชอบผู้อื่นกระนั้นหรือ อยากอยู่ร่วมกับฝ่ายนั้นก็อยู่ร่วมกันเถิด หากเขาปฏิบัติกับเจ้าด้วยใจจริง เจ้าติดตามเขาไปก็เป็นเรื่องดีเยี่ยม หลังออกเรือนไป ให้กำเนิดทารกอ้วนท้วนสักหลายคน ใช้ชีวิตธรรมดาเรียบง่ายไม่มีแก่งแย่งชิงดี เจ้าเป็นเช่นนั้นได้ ข้าจึงถือว่าเป็นสุขใจอย่างแท้จริง”

“อาจารย์…” อูลั่วซิงสีหน้าอึ้งตะลึงงัน ก้นบึ้งนัยน์ตาแดงรื้น ก่อนจะกัดริมฝีปากเอ่ยเสียงแหบ “ข้าไม่มีทาง…ยังไม่ถึงเวลานั้น ข้ายังไม่แต่งให้ผู้อื่น พวกเรา…พวกเรายังขาดหญ้าหลิงจี้ต้นสุดท้าย ขอเพียงได้หญ้าหลิงจี้ต้นที่เจ็ดมา สุขภาพร่างกายของศิษย์น้องก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยสมบูรณ์ เรื่องนี้ยังไม่สำเร็จ ข้าไม่มีทางไปจากพวกท่านตลอดกาล ข้าจะดูแลศิษย์น้องให้ดีร่วมกับอาจารย์เช่นเดิม”

อูติ้งเซินคลี่ยิ้มปลอบขวัญ ลูบศีรษะนางแผ่วเบาและอ่อนโยนยิ่ง “เด็กดี อาจารย์ขอบใจเจ้าแทนศิษย์น้องด้วย”

อูลั่วซิงแย้มยิ้มพลางสั่นศีรษะทั้งขอบตาแดงก่ำ ในใจท่วมท้นด้วยไออุ่น

“หาโอกาสเชิญคนผู้นั้นมากินข้าวดื่มชาที่เรือนไผ่ด้วยกัน ในเมื่อเป็นคนที่เจ้าต้องตา อย่างไรเสียก็ต้องให้อาจารย์ได้เห็นหน้าค่าตาบ้าง”

อูลั่วซิงก้มหน้าอย่างเขินอายหาใดเปรียบ สุดท้ายยังคงพยักหน้าและเอ่ยรับคำ

“ศิษย์เข้าใจแล้ว จะจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย ขอบคุณยิ่งที่อาจารย์ส่งเสริม”

 

สามวันให้หลัง เป็นเวลาเดียวกันยามดวงจันทร์ลาลับ ดวงอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้า

ตอนที่ฟากฟ้ามัวสลัวท้องฟ้ายังสว่างไม่เต็มที่ ราวกับทุกหนแห่งเต็มไปด้วยวัชพืชยามเหมันต์แผ่ปกคลุม เงาร่างสีดำทะมึนแถบหนึ่งปรากฏกายขึ้นกะทันหัน เหินทะยานขึ้นลงบนหลังคาของบ้านเรือนหมื่นพันในเมืองหลวง

สาเหตุที่ชายชุดดำเลือกปฏิบัติการก่อนฟ้าสว่าง ล้วนเป็นเพราะสถานที่ที่ต้องการลักลอบมาเยือนอย่างลับๆ หาใช่บ้านเรือนชาวบ้านหรือคฤหาสน์ของคหบดีปกติ สถานที่ที่เขาจะไปตั้งอยู่ในย่านละลายทรัพย์ทางใต้ของเมืองหลวงที่ผู้คนต่างรู้จักกันดี…

สำนักชิงเยี่ยน

คนท่องยุทธภพต่างรู้ดี ลอบมาเยือนสถานที่จำพวกส่งแขกเก่ารับแขกใหม่ ยิ่งดึกยิ่งคึกคักอย่างย่านเริงรมย์นั้น ย่อมไม่อาจมาสังเกตการณ์ช่วงกลางคืน แต่ต้องรอหลังจากบรรดาชายบำเรอแต่ละคนสำเริงสำราญเต็มที่ ปรนนิบัติแขกสำคัญทั้งหลายสู่ห้วงนิทราแล้ว เมื่อทุกสรรพสิ่งค่อยๆ กลับมาสงบเงียบ ถึงจะเป็นโอกาสชั้นยอดที่สุดสำหรับการสำรวจยามราตรี

เงาร่างสีดำพลิกข้ามกำแพงเข้าไป สถานที่แห่งนี้มีไว้ให้ผู้คนเข้ามาและจากไป เข้าๆ ออกๆ อยู่เป็นทุนเดิม ต่อให้เป็นห้องหับที่อยู่ในเรือนหลังก็ไม่มีคนเฝ้าเรือนหรือผู้คุ้มกันเรือนสักครึ่งคน ปล่อยให้เขาคลำหาทิศทางได้อย่างกระจ่างชัด และบุกรุกเข้าไปตรงๆ ได้ตามใจชอบ

หากต้องการสืบว่าศิษย์ของตนไปหลงผู้ใดเข้ากันแน่ สำหรับอูติ้งเซินไม่ใช่เรื่องยากแม้แต่น้อย

วันก่อนหน้าที่อูลั่วซิงจะกลับช้าอีก เขาลอบสะกดรอยตามนางเข้าเมือง มองเห็นว่านางกระโดดเข้าไปในกำแพงสูงของสำนักชิงเยี่ยน ก่อนนางจะกระโดดเข้าไปในหอเล็กแห่งหนึ่งในเรือนหลังอย่างชำนิชำนาญเส้นทางยิ่ง

วันนั้นเองเขาก็สืบข่าวมาอย่างชัดเจน สถานที่นั้นชื่อว่า ‘หอซือเฟย’ ผู้ที่พำนักอยู่ด้านในคือคุณชายอันดับหนึ่งของสำนักชิงเยี่ยน…ฉินชิว

คุณชายผู้นี้ได้รับการติดตามชมชอบจากเชื้อพระวงศ์ราชนิกุลทั้งหลายเป็นอย่างมาก ทั้งยังมีคุณชายตระกูลใหญ่ในเมืองหลวงอีกไม่น้อยที่ไปมาหาสู่กับเขา แม้มีฐานะชายบำเรอ แต่ผู้ที่เขาเชื้อเชิญเข้ารับการปรนนิบัติในหอซือเฟยอย่างอ่อนน้อมเต็มใจเรียกได้ว่ามีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

นั่นก็หมายความว่าคุณชายฉินชิวผู้นี้แม้ร่างกายเปื้อนโลกีย์ ทว่าก็มองว่าตนเองสูงส่งมากยิ่ง

“หึ พูดถึงที่สุด ก็เป็นแค่ของเล่นเท่านั้น”

อูติ้งเซินสำรวจเข้าไปในสำนักชิงเยี่ยน บุกเข้าไปในหอซือเฟย ยามนี้เขายืนนิ่งอยู่ข้างเตียงนุ่มของผู้เป็นเจ้าของหอซือเฟย ขวางกั้นด้วยม่านโปร่งที่ห้อยย้อยลงมาคลุมทั้งสี่ทิศจากเบื้องบน จับจ้องคนที่กำลังนอนหลับสนิทด้านใน แววตาเปี่ยมไปด้วยไอสังหาร

คืนนี้ได้มาสำรวจ เขาคลายใจลงจริงๆ

คุณชายฉินชิวตรงหน้าผู้นี้มิใช่คนในแวดวงอย่างแน่แท้ ลมหายใจเข้าออกของเขาธรรมดาเหลือหลาย มีคนเยื้องกรายมาถึงข้างเตียงเขา เพียงออกฝ่ามือเดียวก็ส่งเขาไปเฝ้าพญายมได้ เขากลับไม่รู้สึกตัวแม้สักครึ่ง หนำซ้ำยังไม่รู้ว่าฝันดีอะไรอยู่ ใบหน้าที่อยู่หลังม่านโปร่งนั้นองคาพยพทั้งห้าดูผ่อนคลาย มุมปากถึงกับมีรอยยิ้มประดับรำไร

อีกฝ่ายมอมเมาศิษย์ที่เขาตั้งใจสั่งสอนเป็นพิเศษไป ก่อกวนจนแผนการของเขายุ่งเหยิง อาศัยแค่ใบหน้าขาวอ่อนเยาว์ยิ้มเซ่อที่ปราศจากซึ่งการระวังตัวนี่น่ะหรือ

มีอันใดน่ายิ้มขันกันแน่

เขาเลิกม่านออกหมายจะดูให้ชัดเจนกระจ่างแจ้งด้วยจิตใต้สำนึก ม่านโปร่งบางเพิ่งจะถูกเลิกเปิด กลิ่นอายขุมหนึ่งก็พุ่งเข้ามาในจมูกทันใด

…กลิ่นจันทน์หอม? กลิ่นเข้มข้นยิ่ง

“เป็นกลิ่นจันทน์หอมไม่ผิด ทั้งยังเข้มข้นเกินไปโดยแท้ ขออภัยจริงๆ ข้ากังวลว่าใต้เท้าจะลงมือสังหาร จึงเร่งสร้างกลิ่นหอมขึ้นมาจนลืมขอบเขต”

อูติ้งเซินได้ยินว่ามีคนตอบ ในใจไม่รู้สึกเหนือความคาดหมาย ทั้งไร้ความหวั่นกลัว แลคล้ายนั่นเป็นเสียงที่ดังออกมาจากจิตใต้สำนึกของเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงคิดในหัว ไม่ต้องกล่าววาจาออกจากปาก ก็มีเสียงอีกสายหนึ่งตอบโต้เขา

ฆ่าไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลาลงมือ

“เหตุใดจึงไม่ฆ่า ฆ่าแล้วหนึ่งปัญหาใหญ่สิ้นสุดร้อยปัญหาที่เหลือก็จะพลอยจบลงไปด้วยไม่ใช่หรือ” น้ำเสียงแฝงแววสนับสนุน

คิดจะฆ่าคนที่ไม่มีแม้แต่แรงมัดไก่เช่นนี้คนหนึ่งย่อมง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือ เพียงแต่เวลานี้หากเอาชีวิตอีกฝ่าย ลูกศิษย์ของเขาก็จะเกิดความระแวงสงสัยในตัวเขาอย่างแน่นอน…

เฮอะ นางกับชายคนรักกำลังรักใคร่ร้อนแรง เพื่อสินค้าชั้นต่ำสกปรกโสมมนี้ไม่เพียงหวนกลับล่าช้าทุกครั้ง ยังกล้าชักสีหน้าให้ข้าเห็น!

“ชักสีหน้าให้ท่านเห็น? นี่กลับน่าแปลกแล้ว ชักสีหน้าอย่างไรกัน ลองว่ามาสักหน่อยเถิด” น้ำเสียงนี้ราวกับกำลังแสนจะชอบใจอย่างไรอย่างนั้น

หึๆ นิสัยอย่างนางจะชักสีหน้าเยี่ยงไรได้อีก

หัวแข็งถึงที่สุด ชอบไม้นวมไม่ชอบไม้แข็งน่ะสิ!

นางเอาแต่ปกป้องหนุ่มหน้าขาวไม่ลดละ หากนางมองออกว่าเขาเป็นคนลงมือ ย่อมเป็นการทำลายความสัมพันธ์ศิษย์อาจารย์ของพวกเขาเป็นแน่แท้

เขาไม่อยากแตกหักกับลูกศิษย์ นางมีประโยชน์มากเกินไป ก่อนหน้าตอนที่ยังรวบรวมหญ้าหลิงจี้ไม่ครบ สำหรับพวกเขาสองคนพ่อลูก การดำรงอยู่ของอูลั่วซิงมีความจำเป็นยิ่งยวด

“หากกล่าวดังนี้ ความสัมพันธ์หลายปีเพียงนี้ ที่เจ้าปฏิบัติกับอูลั่วซิงก็เป็นเพียงการแสดงภายนอกเท่านั้น” นี่มิใช่คำถาม ทว่านี่เป็นการเอ่ยสรุปออกมาเรียบๆ

ปีนั้นหมู่บ้านเล็กบนภูเขาได้รับผลกระทบร้ายแรงจากน้ำท่วม ครอบครัวนางเสียชีวิตหมดสิ้น เหตุผลที่ช่วยเหลือนางเดิมก็เพราะอยากหาคนอยู่เป็นเพื่อนเฉี่ยวเอ๋อร์ มิคาดคิดเลยว่าจะเก็บเมล็ดพันธุ์ดีในการฝึกยุทธ์มาได้ นางมีพรสวรรค์ชั้นยอด ทั้งยังอดทนต่อความตรากตรำ การสั่งสอนอย่างตั้งอกตั้งใจนานปี ชั่วชีวิตของนางมีไว้ให้พวกข้าพ่อลูกใช้งานก็เป็นเรื่องประจวบพอดีเท่านั้นเอง

มิทราบว่าเป็นการแสดงออกแต่ภายนอกแล้วอย่างไรเล่า

ขอเพียงไม่ถูกนางรู้เข้า ความรู้สึกจอมปลอมเพียงไรก็เป็นของจริง สามารถทำให้นางทำงานเพื่อข้าอย่างว่าง่าย บุกน้ำลุยไฟไม่หลบเลี่ยง ทำให้นางดูแลเฉี่ยวเอ๋อร์อย่างดีด้วยความสำนึกในฐานะตนไปตลอด ค้อมกายนอบน้อมทำหน้าที่เต็มความสามารถจวบจนชีวาจะหาไม่ เช่นนี้จึงจะเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง

“หากนางรู้เข้า ย่อมทุกข์ทรมานนักหนาเป็นแน่” เสียงนี้เอ่ยพลางถอนใจอย่างแช่มช้า

หากเป็นเช่นนั้น นางก็ต้องว่าง่ายๆ ชายบำเรอนามฉินชิวผู้นี้เป็นจุดอ่อนของนาง หากนางกล้าทำอะไรโดยไม่เชื่อฟัง ก็สามารถลงมือกับชายคนรักของนางได้ทุกเมื่อ ถึงยามนั้นอย่าหาว่าข้าใจเหี้ยมก็แล้วกัน

“เป็น…จุดอ่อนหรือ หืม…เป็นจุดอ่อนของนางด้วยหรือ อืมๆ…” น้ำเสียงลุ่มลึกเมื่อชั่วครู่ก่อนพลันเปลี่ยนแปรกะทันหัน คล้ายดูปลื้มปริ่มไม่น้อย

อูติ้งเซินได้ยินเสียงนั้นเอ่ยขึ้นอีก…

“ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนั้นก็ให้นางทุกข์ทรมานอย่างสาหัสสักครั้งเสียเถิด”

เจ้าว่ากระไรนะ

ช้าก่อน! ไม่ถูกต้อง! เจ้าไม่ใช่ข้า!

เจ้าเป็นใครกันแน่! 

อูติ้งเซินลืมตาโพลงลุกขึ้นนั่งทันใด ครั้นเมื่อมองเห็นแจ่มชัดว่าตนเองอยู่ที่ใด ในใจทั้งตระหนกสงสัยทั้งฉงนสนเท่ห์อย่างลึกซึ้ง

ที่นี่คือเรือนไผ่ที่เขาสร้างขึ้นเองกับมือ เขาตื่นขึ้นบนเตียงไผ่ที่ปูด้วยเบาะนุ่มของตนเอง เบาะนุ่มใต้ร่างนี้ยังเป็นบุตรสาวสุดที่รักอูเฉี่ยวเอ๋อร์ช่วยเขาเลือกให้ตอนที่เข้าเมืองไปซื้อของจิปาถะที่ใช้ในชีวิตประจำวันเมื่อปีกลาย

สิ่งของที่จัดเรียงรอบตัวทั้งหมดช่างคุ้นเคยยิ่งนัก นี่เป็นที่ของเขา ห้องนอนของเขา แต่…เขาเสมือนหลงลืมอะไรบางอย่างไป

ใช่! เขานึกออกแล้ว! เขาเข้าไปสำรวจสำนักชิงเยี่ยนกลางดึก คลำไปถึงข้างเตียงของคุณชายฉินชิวโดยไร้สุ้มเสียง เขาเลิกม่านโปร่งนั้นออกคิดจะพินิจดูให้ละเอียดมากขึ้นหน่อย ต่อจากนั้น…เอ…ประหลาดยิ่ง เขาราวกับมองอะไรไม่เห็นทั้งสิ้น

“ท่านพ่อ!” เด็กสาวรูปร่างผอมบางคนหนึ่งเปิดม่านประตูที่ทำจากซี่ไผ่ร้อยเรียงเข้าด้วยกันออกเป็นช่องกว้าง จากนั้นก็กระโดดโลดเต้นเข้ามาถึงข้างเตียงไผ่ “ท่านพ่อในที่สุดก็ตื่นเสียที ดวงอาทิตย์ได้ส่องก้นท่านจริงๆ แล้ว”

“เฉี่ยวเอ๋อร์ นี่เป็นยามอะไร”

อูเฉี่ยวเอ๋อร์ตอบอย่างน่าเอ็นดู “เลยเที่ยงวันแล้วเจ้าค่ะ เช้าวันนี้ข้าช่วยศิษย์พี่ทำอาหารเช้าทั้งหมด ท่านพ่อกลับเอาแต่นอน นอนอยู่นั่น ข้าเข้ามาดูตั้งหลายครั้ง ล้วนเห็นท่านพ่อนอนหลับสนิทยิ่ง ทั้งยังนอนกรนอีกต่างหาก”

อูติ้งเซินมุ่นหัวคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เคยนอนจนไม่รู้เรื่องรู้ราวมาแต่ไหนแต่ไร นึกไม่ถึงกระทั่งบุตรสาวเข้ามามองสำรวจหลายหน เขาล้วนไม่รู้สึกตัวแต่อย่างใด

“เฉี่ยวเอ๋อร์เข้ามาดูพ่อเช้าที่สุดคือเมื่อใด” เขาลูบดวงหน้าเล็กขาวซีดที่ชอบแย้มยิ้มของบุตรสาวอย่างเบามือ

“หลังจากศิษย์พี่เข้าไปจุดไฟในห้องครัว ข้าก็ตื่นแล้ว นึกว่าท่านพ่อตื่นด้วยเช่นกัน ยามนั้นจึงลอบเข้ามาดูแวบหนึ่ง กลับไม่ใช่เลย” อูเฉี่ยวเอ๋อร์หย่อนก้นลงนั่งบนเตียงไผ่พลางเอ่ยต่อ “ศิษย์พี่บอกว่านางมองเห็นท่านพ่อกลับมาถึงเรือนไผ่ตอนฟ้าจวนสว่าง เดินลากเท้าแลคล้ายเหนื่อยล้าถึงขีดสุดก็ไม่ปาน กลับเข้าห้องหัวถึงหมอนก็หลับ นางยังห้ามไม่ให้ข้ามารบกวนท่าน”

เป็นไปได้อย่างไร!

อูติ้งเซินอย่างไรก็ค้นหาความทรงจำที่เกี่ยวข้องไม่เจอแม้แต่ครึ่งเดียว

เขาจำได้เพียงตนเองเข้าไปสำรวจสำนักชิงเยี่ยนกลางดึก ทว่าจดจำไม่ได้เลยว่าตนเองหวนกลับมายังเรือนไผ่ตั้งแต่เมื่อใด

หรือว่าข้าถูกลอบเล่นงาน!

แต่…เขาแค่หลับไปอย่างยาวนานครั้งหนึ่ง บนร่างไม่เห็นบาดแผลสักนิด นอนตื่นขึ้นมานอกจากจดจำเรื่องช่วงเวลาหนึ่งไม่ได้ ทว่าทั้งตัวเรียกได้ว่าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า นี่นับว่าไปถูกวิชาอะไรเข้าหรือไม่

“ท่านพ่อไม่ต้องนอนแล้ว ศิษย์พี่ก่อเตาดินเล็กๆ ขึ้นมาอบไก่ทั้งตัวด้วย ในท้องไก่ตัวนั้นยังยัดสมุนไพรเครื่องเทศเข้าไปมากนัก ท่านรีบตื่นนอนล้างหน้าบ้วนปาก อีกประเดี๋ยวก็จะมีของอร่อยกินแล้ว” อูเฉี่ยวเอ๋อร์ดึงแขนเสื้อของอูติ้งเซิน ฉับพลันนั้นก็คล้ายฉุกคิดอะไรได้ ใบหน้าอมโรคผุดแววแดงเรื่อสองวงอย่างหาได้ยาก…

“ท่านพ่อ เฉี่ยวเอ๋อร์จะเล่าให้ฟัง ศิษย์พี่ไม่เพียงอบไก่ตัวเดียว นางเตรียมอบตั้งสองตัวแน่ะ ข้าก็เลยถามนางว่าอบไก่ทีเดียวสองตัวจะกินหมดหรือ ปรากฏว่าศิษย์พี่กลับหน้าแดง แดงอย่างเห็นได้ชัดยิ่ง สุดท้ายข้าซักไซ้ไล่เลียง รบเร้าจนศิษย์พี่รับมือไม่ได้ นางถึงตอบอ้ำๆ อึ้งๆ ว่าไก่อีกตัวจะนำไปมอบให้สหายรู้ใจในเมือง อืม…ท่านพ่อ สหายรู้ใจของศิษย์พี่ผู้นั้นแท้จริงเป็นคนที่นางต้องใจใช่หรือไม่ ศิษย์พี่มีคนที่ชอบแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

อูติ้งเซินข่มใจให้สงบอย่างไม่แสดงท่าที ลูบกระหม่อมของบุตรสาวอีกครั้ง

“ศิษย์พี่เจ้ามีคนที่ชอบแล้ว เฉี่ยวเอ๋อร์ดีใจหรือไม่”

อูเฉี่ยวเอ๋อร์ผงกศีรษะ ฉีกริมฝีปากยิ้มตอบ “อื้อ มีคนที่ชอบนั่นเป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก เฉี่ยวเอ๋อร์ดีใจแทนศิษย์พี่จริงๆ เจ้าค่ะ”

“เช่นนั้นถ้าเกิด พ่อหมายความว่าถ้าเกิด ถ้าเกิดศิษย์พี่เจ้าเนื่องเพราะชมชอบอีกฝ่ายมากเกินไป สุดท้ายติดตามคนผู้นั้นจากไปโดยไม่แม้แต่เหลียวหลังกลับ เจ้ายังจะรู้สึกดีอกดีใจแทนศิษย์พี่หรือไม่”

“ศิษย์พี่นาง…นางจะไปจากพวกเราหรือ” ส่วนลึกของนัยน์ตาใสกระจ่างทอประกายวูบ ความตกใจระคนสงสัยพลันบังเกิด

“เฉี่ยวเอ๋อร์ไม่อยากให้ศิษย์พี่จากไป อยากให้นางอยู่เป็นเพื่อนเจ้าตลอดชีวิตหรือไม่”

เงียบงัน…

เงียบยิ่ง เงียบอย่างยิ่ง

จากนั้นอูเฉี่ยวเอ๋อร์กัดริมฝีปากโดยแรงราวกับคิดตกและเอ่ยขึ้น “…เจ้าค่ะ”

ก่อนจะยิ่งผงกศีรษะแรงๆ อีกพร้อมกล่าวต่อว่า “ศิษย์พี่…ศิษย์พี่จะจากไปไม่ได้ พวกเราต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด ท่านพ่อ ศิษย์พี่แล้วก็เฉี่ยวเอ๋อร์ เดิมเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นครอบครัวเดียวกันเสมอมา นางจะไปไม่ได้”

ชั่วขณะนี้เอง นางตระหนักได้โดยพลัน คนที่ศิษย์พี่ต้องใจผู้นั้นเป็นการดำรงอยู่ที่น่าเคียดแค้นและแสนจะชั่วร้ายเพียงไร!

อูติ้งเซินคลี่ยิ้มจางๆ ให้บุตรสาวพลางปลอบโยนด้วยน้ำเสียงอบอุ่น…

“ไม่ต้องห่วง ในเมื่อเฉี่ยวเอ๋อร์อยากอยู่ร่วมกับศิษย์พี่ชั่วชีวิต ต้องการให้นางไม่ลาจากไม่ทอดทิ้ง เช่นนั้นพ่อย่อมทำให้เจ้าสมปรารถนาอย่างแน่นอน พวกเราไม่มีทางยอมให้นางจากไป”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น อูเฉี่ยวเอ๋อร์เผยรอยยิ้มหวานล้ำ โผเข้าหาอ้อมกอดบิดาบังเกิดเกล้าพลางออดอ้อน

อูติ้งเซินลูบแผ่นหลังผ่ายผอมอ่อนแอของบุตรสาวอย่างแผ่วเบาครั้งแล้วครั้งเล่า แรงนั้นทั้งอ่อนโยนทั้งเบาหวิว ทว่าก้นบึ้งนัยน์ตากลับเอ่อล้นด้วยประกายเฉียบคม

ในเมื่อต้องการรั้งตัวคนที่ใช้งานได้เอาไว้ เช่นนั้นคุณชายฉินชิวนั่นก็ต้องตายอย่างไม่มีข้อยกเว้น!

เขารอได้ ข่มใจอดทนค่อยเป็นค่อยไป ครั้นเมื่อทุกอย่างประหนึ่งน้ำบ่ามาก็เกิดคลอง ต้องการปลิดชีพของคนสกปรกนั่น ย่อมไม่ต้องสิ้นเปลืองแม้แต่แรงเป่าฝุ่นผงเลยสักนิด

ทุกอย่างล้วนอยู่ในการควบคุมของเขา

บทที่แปด มักให้คำมั่นโดยง่าย

จังหวะก้าวของฤดูใบไม้ร่วงปีนี้แลคล้ายรวดเร็วกว่าที่ผ่านมาเล็กน้อย

ราวกับเพิ่งรู้สึกว่าลมอบอ้าวของฤดูร้อนเพิ่งจะโชยพัดจนชวนให้คนง่วงเหงาหาวนอนไปไม่นาน พริบตาเดียวใบไม้ทั่วทั้งป่าเขาทุ่งร้างก็เปลี่ยนโฉมหมดสิ้น ใบอิ๋นซิ่ง* เหลืองอร่าม ใบเฟิงแดงฉาน เหลือเพียงต้นหลิวที่ห้อยระริมทะเลสาบเท่านั้นที่ยังเขียวขจีลู่ลม

บางครั้งอูลั่วซิงก็คิดว่าอาจเพราะการใช้ชีวิตมีความงดงามหวานล้ำเพิ่มขึ้นมา มีรสชาติที่แต่ก่อนไม่เคยรับรู้เสริมเติมขึ้นอีกมากมาย ในดวงใจนางมีคนผู้หนึ่ง เมื่อคิดถึงเขาก็จะรู้สึกเบิกบาน มองเห็นเขาก็จะสุขใจหาใดเปรียบ ทั้งยังรู้สึกอยู่เสมอว่าช่วงเวลาแสนสุขผ่านไปรวดเร็ว ยิ่งต้องใส่ใจทะนุถนอมเป็นพิเศษ

วันนี้อูลั่วซิงแม่นางนักฆ่าผู้นี้แม้ไม่มีภารกิจคั่งค้าง ทว่าก็ยังออกมาทำตัวเกกมะเหรกเกเร ดอดเข้าไปในสำนักชิงเยี่ยน ‘ลักพาตัว’ คุณชายอันดับหนึ่งของที่นั่นออกมาอย่างเงียบเชียบ

คุณชายยินยอมพร้อมใจถูก ‘ลักพาตัว’ เป็นอย่างมาก ขัดขืนสักนิดก็ไม่มี เขาอุ้มพิณเจ็ดสาย ปล่อยให้แม่นางนักฆ่ารวบตัวอุ้มขึ้นตามใจชอบอย่างว่าง่าย หลังจากพลิกข้ามกำแพงสูงของเรือนหลังเขาก็ถูกโยนใส่รถม้าที่จอดอยู่ตรงนั้นทันที

เมื่อสำเร็จโดยราบรื่น อูลั่วซิงก็ทำหน้าที่คนขับรถม้า ตามด้วยขับรถม้าออกจากเมือง

คุณชายรูปงามผู้ ‘ประสบเคราะห์’ นั่งอยู่ในห้องโดยสารเรียบง่ายไม่หรูหรา มองเห็นของว่างกับขนมแกล้มชารูปแบบต่างๆ เต็มตะกร้า ในหีบเล็กด้านข้างยังมีน้ำชากับถ้วยชาเตรียมไว้ โดยพื้นฐานคือกลัวเขาท้องหิว อยากอาหารหรือรู้สึกเบื่อระหว่างทาง ต้องการให้เขาเอาไว้กินเล่น

แม้ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงพลุ นางก็จะจากไปโดยไม่ไว้ไมตรีเลยสักนิด ทำให้เขาอึดอัดยิ่งในใจจริงๆ แต่ตราบใดที่นางกลับมายอมศิโรราบ ประจบเอาใจเขา เขาก็ทำอะไรนางไม่ได้ หักใจชักสีหน้าใส่นางไม่ลง

รถม้าแล่นออกจากเมืองไปยังทะเลสาบหลิ่วหูที่ชานเมือง ฝีมือบังคับม้าของอูลั่วซิงยอดเยี่ยมอย่างมาก รถม้าแล่นทั้งมั่นคงและรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ถึงเป้าหมายอย่างสงบราบรื่น

“ถึงแล้ว” นางกระโดดลงจากที่นั่งด้านหน้า อ้อมมายังด้านหลังของรถม้า เลิกม่านสีเทาขึ้นยื่นมือให้คนด้านใน สีหน้าเรียบสงบติดจะทึ่มทื่อเล็กน้อยอย่างที่แล้วมา ทว่าใบหน้ากลับแดงก่ำอยู่ตลอด

ฉินชิวพลันกุมมือนาง ใช้มืออีกข้างกอดพิณไว้ในอ้อมแขน ปล่อยนางจับจูงกระโดดลงจากรถม้า

อูลั่วซิงนำตะกร้าของว่างกับขนมแกล้มชาที่เตรียมไว้ในรถหิ้วไปพร้อมกันด้วย นางจับจูงบุรุษเดินไปยังริมทะเลสาบที่ห้อมล้อมด้วยทิวต้นหลิวเขียวขจี

ริมทะเลสาบมีแท่นเรียบสร้างขึ้นจากแท่งไม้อันเล็ก แท่นเรียบนั้นสูงขึ้นจากผิวทะเลสาบราวครึ่งแขนเท่านั้น ด้านล่างมีเรือประทุนดำขนาดกลางลำหนึ่งจอดเทียบอยู่ ประทุนสีดำจัดตั้งได้อย่างแข็งแรง นอกจากเปิดโล่งด้านหัวและท้ายเรือ และใช้ม่านห้อยปิดบังเอาไว้ ด้านในประทุนยังมีหน้าต่างกระทุ้งบานเล็ก ยอดประทุนแลดูสูงยิ่ง คาดว่าสามารถรองรับให้คนด้านในค้อมกายเล็กน้อยเคลื่อนไหวได้ จะนั่งจะนอนยิ่งไม่เป็นปัญหา

อูลั่วซิงมองไปทางเรือประทุนดำพลางว่า “เรือลำนี้ข้ายืมมาจากท่านลุงผู้หนึ่ง ก่อนหน้านี้ข้าเคยช่วยเหลือธุระเล็กน้อยของเขา นับว่ามีไมตรีต่อกันอยู่บ้าง เดิมต้องการเช่าเรือของเขา ทว่าท่านลุงกลับไม่ยอมรับเงิน”

ฉินชิวเอ่ยราบเรียบ “ที่ลั่วซิงเรียกว่า ‘ธุระเล็กน้อย’ หมายถึงธุระประเภทเดียวกับที่คราวนั้นหนีเหยาและหนีเฮ่า พี่น้องสองคนนั้นขอร้องให้เจ้าช่วยกระมัง”

สมัครใจเสี่ยงอันตรายเทียมฟ้าช่วยคนชำระสะสางความแค้น สะเดาะเคราะห์ภัยกำจัดอธรรม แม้แต่เงินสักน้อยนิดก็ไม่รับ เพียงรับไข่ใบชาสองฟองเป็นค่าตอบแทน…

อูลั่วซิงร้องอื้อต่ำๆ คำหนึ่ง ดูคลุมเครือราวกับตอบให้เรื่องผ่านไป

นางไม่ปฏิเสธอย่างชัดเจน นั่นก็บ่งชี้ว่าเขาพูดถูก

เฮ้อ…เขาเข้าใจสตรีข้างตัวมากขึ้นทุกทีจริงๆ นางนั้นเนื้อแท้ไม่เหมาะกับการเป็นนักฆ่าเลยอย่างยิ่ง

แม้เขาจะทอดถอนใจในอก ทว่าคำพูดที่กล่าวออกจากปากกลับเจือแววเสียดสีและหยอกเย้า…

“นั่นคงเป็น ‘ธุระเล็กน้อย’ มากจริงๆ อย่าได้แปลกใจไปเลยว่าเหตุใดท่านลุงผู้นั้นให้ตายก็ไม่ยอมรับเงิน”

นางชายตาปรายมองมาทางเขา เม้มริมฝีปากไม่รู้ควรตอบกลับอย่างไรดี ทว่านัยน์ตาของเขากำลังทอประกายแวววาว อากัปกิริยาผ่อนคลาย เขากำลังหยอกล้อนาง ขบขันนาง นางรับรู้ได้ว่าในใจเขานั้นรู้สึกถึงความเบิกบาน

เช่นนั้น…เช่นนั้นนางก็จะรู้สึกเบิกบานใจเช่นกัน ต่อให้ไม่มีวาจาจะเอื้อนเอ่ยอยู่บ้างก็ตามที

“วันนี้การแต่งกายของลั่วซิง…งดงามโดยแท้” เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนา แววตาจับอยู่ที่หน้าอก เอว รวมไปถึงกระโปรงยาวสีม่วงอ่อนของนางพลางมองประเมินนางขึ้นๆ ลงๆ “หญิงสาวประทินโฉมเพื่อบุรุษในดวงใจ…เป็นเรื่องที่ข้าชมชอบยิ่งนัก”

นางพูดไม่ออกอีกหน เมื่ออยู่ร่วมกับเขา มักจะมีเรื่องให้นางต้องหน้าแดงอย่างไม่อาจหักห้าม

วันนี้นางไม่สวมชุดตระเวนราตรีสีดำทั้งตัวอีก ทว่าแต่งกายเหมือนหญิงสาวทั่วไป รวบผมทั้งหมดไว้หลังศีรษะ ใช้เพียงปิ่นไม้กับหวีเล็กซี่ละเอียดอันหนึ่งยึดไว้เท่านั้น เสื้อสีเขียวคราม กระโปรงสีม่วงอ่อน และสายคาดเอวสีเหลือง นอกจากเหอเปา* สีเรียบที่ผูกไว้ตรงเอว บนร่างก็ไม่มีเครื่องประดับที่ไม่จำเป็นอีก

ใบหน้านางแม้มิได้ทาแป้งชาด แต่คิ้วทั้งสองและชายผมกลับจัดแต่งอย่างสะอาดสะอ้าน กลีบปากเคยเม้มผ่านดอกไม้สีแดงสดหรือกลีบดอกไม้มาก่อนโดยเฉพาะ อาบย้อมสีแดงละมุนอย่างเป็นธรรมชาติมาเล็กน้อย

เขาพูดไม่ผิด ในสายตาเขา นางอยากให้ตนเองเปลี่ยนไปผุดผาดเจริญตาเจริญใจมากขึ้นจริงๆ

“ขอบคุณ…” นางเอ่ยอย่างขวยอาย เห็นจู่ๆ เขาก็ไม่เอ่ยคำ เพียงหลุบตาจ้องมองนางโดยไม่กะพริบตาแม้สักครั้งก็อดสั่นสะท้านในใจไม่ได้

นางรู้จักสีหน้าเช่นนี้ของเขา นั่นบ่งบอกว่าเขาอยากจุมพิตนาง และหวังให้นางเป็นฝ่ายรุกแนบชิดเขาก่อน

ไม่ต้องครุ่นคิดมากความ นางทำตามความต้องการในใจทันที เขย่งปลายเท้าประทับกลีบปากลงบนปากเขา จุมพิตนี้จบลงอย่างรวดเร็ว

ฉินชิวที่ถูกจู่โจมกะทันหันตะลึงเล็กน้อยในทีแรก ตามด้วยริมฝีปากบางรูปร่างงามเลิศล้ำคลี่ยิ้มออกมา ราวกับจิตใจได้รับการเติมเต็มโดยสมบูรณ์

ยามนี้ทั้งสองคนเดินจูงมือกัน แขนอีกข้างหนึ่งของเขาโอบรอบพิณเจ็ดสาย มืออีกข้างหนึ่งของนางหิ้วตะกร้าที่เต็มไปด้วยของกิน ต่างฝ่ายต่างไม่อาจเอื้อมมือไปโอบกอดกัน แต่เขายังคงดึงดันจะก้มหน้าลงไปหาริมฝีปากของนางอีก ประกบจูบอย่างหนักหน่วงคราหนึ่งจึงจะยอมเลิกรา

ตอนที่ก้าวลงเรือประทุนดำ อูลั่วซิงที่ถูกจูบจนศีรษะหนัก เท้าเบา สองเข่าอ่อนระทวยยังคิดอยู่แปดส่วนว่าตนเองต้องตกน้ำแน่แล้ว เคราะห์ดีที่สวรรค์คุ้มครองไม่ทำให้นางทำเรื่องขายขี้หน้าขั้นนั้นออกมา

ด้านในประทุนดำมีน้ำชาเช่นกัน ซ้ำยังเตรียมสุราชั้นดีไว้อีกไม่น้อยด้วย ของอย่างอื่นก็มีอย่างเช่นเบาะนุ่ม หมอนอิง และผ้าคลุมบางให้ความอบอุ่นเป็นต้น พร้อมสรรพทุกสิ่งอย่าง เมื่อรวมกับของว่างกับขนมแกล้มชาเต็มตะกร้า มองผาดเดียวก็รู้ว่าตั้งท่าจะพาคนไปล่องทะเลสาบ

ฉินชิวยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกแปลกใหม่และอัศจรรย์ใจ อย่างไรก็คิดไม่ถึงว่าแม่นางนักฆ่าที่พูดน้อยเป็นนิสัยจะมีความคิดอ่านขึ้นอย่างปุบปับ ‘ลักพาตัว’ เขาออกมาเที่ยวเล่นเช่นนี้

แต่เขาชอบอย่างยิ่ง ชอบสายตานางและชอบทุกสิ่งที่นางทุ่มเทให้เขา

หลังอูลั่วซิงทำหน้าที่คนขับรถม้า ต่อจากนั้นก็ยังทำหน้าที่คนถ่อเรืออีก นางยกไม้ถ่อเรือยาวขึ้นถ่อเรือออกจากริมทะเลสาบครั้งแล้วครั้งเล่า เรือจึงค่อยๆ ลอยล่องไปยังใจกลางทะเลสาบ ขณะที่คุณชายรูปงามที่ถูกจัดให้อยู่ด้านในประทุนดำกลับนั่งขัดสมาธิ วางพิณพาดไว้บนตัก ชั่วพริบตาถัดมา ท่วงทำนองกังวานไกลของพิณโบราณเจ็ดสายก็พรั่งพรูออกไปบนผิวทะเลสาบ

เสียงพิณช้าบ้างเร็วบ้าง ลึกบ้างตื้นบ้าง สำหรับแม่นางนักฆ่าผู้หนึ่งที่คุ้นเคยกับการพเนจรในยุทธภพ ลิ้มโลหิตบนคมดาบ นี่เป็นท่วงทำนองจากบทเพลงที่นางไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง

ฉินชิวเห็นดังนั้น ความนัยของเพลงพิณมีเพียงผู้รู้ใจเท่านั้นที่เข้าใจได้ ยามเมื่อเรือประทุนดำแล่นออกห่างจากริมฝั่งทะเลสาบไปไกลยิ่ง อูลั่วซิงวางไม้ถ่อยาวลงราวกับวางบังเหียนม้าปล่อยให้ม้านำทาง หยุดเรือลำนี้ที่ใจกลางทะเลสาบให้ลอยล่องตามสายน้ำตามอำเภอใจ นางค้อมกายลงเข้ามาในประทุนสีดำ นั่งลงที่มุมหนึ่งในประทุนมองเขาที่กำลังดีดพิณอย่างซื่อๆ ฟังเสียงพิณอย่างซื่อๆ และปล่อยอารมณ์ไปตามจังหวะพิณสูงต่ำนั้นอย่างซื่อๆ อีก

ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงไร บทเพลงสิ้นสุด เสียงเพลงที่ยังเหลือในอากาศยังคงก้องกังวานอยู่ในจิตใต้สำนึก บุรุษผู้สง่างามเหนือโลกีย์ยกพิณไปไว้ด้านข้าง ช้อนตาขึ้นสบประสานกับสายตานางที่จับจ้องมาพลางฉีกรอยยิ้มบางๆ อย่างรู้สึกจนใจเหลือแสน

“ถึงกับต้องมีท่าทางเช่นนี้เชียวหรือ”

…อะไรกัน ข้าทำเรื่องผิดทำนองคลองธรรมอะไรไปหรือ

อ๊ะ! ก้นบึ้งนัยน์ตาร้อนผ่าว พวงแก้มเปียกชื้น ที่แท้นางฟังเสียงพิณจนร้องไห้ ดวงตามีน้ำตาหลั่งรินออกมาสองสายโดยไม่รู้ตัว

เขายื่นแขนให้นาง ด้วยแรงขับเคลื่อนตามสัญชาตญาณ นางเอื้อมมือไปจับมือเขาโดยไม่ต้องคิด

โอนอ่อนไปตามแรงดึงนั้นของเขา นางโผเข้าหาเขา พริบตาต่อมา นางก็ประหนึ่งพิณเจ็ดสายก็ไม่ปาน นั่งพาดอยู่บนตักที่กำลังขัดสมาธิอยู่ของเขาอย่างเปิดเผยไม่ปิดบัง และถูกเขากอดเข้าเต็มรัก

“ข้าชอบมองเจ้าร้องไห้อย่างแท้จริง เจ้าร้องไห้ ข้ามองดูแล้วปวดใจ ทว่ายังรู้สึกว่าความปวดนี้ปวดได้ดียิ่งนัก” เขาเอ่ยเสียงต่ำ นิ้วมือยาวปาดน้ำตาให้นาง ระมัดระวังราวกับรักถนอมน้ำตาทุกหยดยิ่งยวด “เจ้าว่าข้าที่เป็นเช่นนี้นับว่าปกติหรือไม่”

“ขะ…ข้าไม่รู้ว่าปกติหรือไม่ปกติ” อูลั่วซิงตอบอย่างสัตย์ซื่อยิ่ง นัยน์ตาสีดำดุจหมึกเปื้อนน้ำตา แววตาเปราะบาง กลับชวนให้คนรักสงสารเหลือคณา นางชั่งใจครู่หนึ่ง รวบรวมความกล้าเอ่ยอีก “แต่ข้ารู้ว่าตนเองไม่ปกติ”

ฉินชิวได้ฟังพลันเลิกคิ้ว สีหน้าสนอกสนใจ คล้ายกำลังถามว่านางหมายความว่าอะไร

นางนิ่งเงียบไปครู่จึงเอ่ยปาก แต่ละคำล้วนพูดอย่างเนิบช้า…

“ก็คือในใจรักชอบท่าน รักชอบอย่างที่สุด กระนั้นก็จะมีความต้องการชั่ววูบขุมหนึ่งอยู่เสมอ…ต้องการจะ…ฉีกร่างท่านกลืนลงท้อง ทางที่ดีแม้แต่เศษเดนก็ไม่เหลือ ไม่อยากให้ผู้ใดหมายปองท่าน มองท่านนานขึ้นสักวูบก็ไม่ได้ อยาก…อยากให้ท่านเป็นของในครอบครองของข้าคนเดียวเท่านั้น…”

ครั้นเมื่อเปิดเผยด้านมืดในจิตใจออกมาก็ราวกับละอายใจจนไม่มีหน้าจะอยู่ต่ออย่างยิ่ง นางดิ้นรนเล็กน้อยหมายจะลุกขึ้น ทว่าเอวพลันถูกฉินชิวโอบกอดแน่นขึ้นอีก ลมหายใจเข้าออกล้วนถูกช่วงชิงไป

แต่เท่านี้ยังไม่พอ และยังห่างไกลจากคำว่า ‘พอ’ มากนัก ร่างกายของนางราวกับเปลี่ยนเป็นพิณเจ็ดสายคันหนึ่ง พาดอยู่บนตักเขาปล่อยให้เขากระทำตามใจชอบ เขาใช้ทักษะการบรรเลงพิณแสดงออกมาบนเรือนร่างนาง นิ้วมือเรียวยาวทั้งห้าสอดเข้าไปในสาบเสื้อนาง แทรกลึกเข้าไปสู่ชั้นในสุด และกอบกุมความเต่งตึงนุ่มหยุ่นของหญิงสาว

ถึงขั้น…ถึงขั้นหน้าไม่อายเหลือแสน สอดมือเข้าไปใต้กระโปรงจากเบื้องล่าง ทำลายสิ่งกีดขวาง แหวกเปิดออกชั้นแล้วชั้นเล่า จวบจนตามหาหุบเขาน้ำผึ้งของอิสตรีที่น้ำได้เอ่อล้นทะลักนั้นพบ เขาก็บดคลึงแช่มช้าแผ่วเบา กึ่งรักสงสารกึ่งหยอกเย้า ก่อกวนจนนางประหนึ่งโดนฟ้าผ่ากลางกระหม่อม แผ่นหลังสั่นระริกไม่อาจควบคุมตนเอง

“หากลั่วซิงไม่ทอดทิ้ง ชั่วชีวิตนี้ ข้าก็เป็นของเจ้าผู้เดียว”

บทบรรเลงพิณใต้ปลายนิ้วของเขาชวนให้คนมัวเมา คำสัญญาที่เขากล่าวยิ่งคล้ายเป็นยาปลุกเร้าอารมณ์อย่างรุนแรง อูลั่วซิงไม่อาจต้านทาน ไม่ยอมและไม่อยากต้านทาน นางปล่อยให้คลื่นความรู้สึกม้วนกลืนทั้งร่างบางไปอย่างบ้าคลั่ง สำราญใจเต็มที่โดยไม่ห่วงพะวงสิ่งใด

ท้ายที่สุดเป็นผู้ใดโผเข้าหาผู้ใดก่อน…ยากที่จะแยกแยะชัดแจ้ง

ริมฝีปากของทั้งสองแนบชิด ตระกองกอดกันและกันอย่างลึกซึ้ง ถ้อยคำเปลี่ยนไปเป็นของเกินความจำเป็นอย่างที่สุด ประหนึ่งอาภรณ์ที่ใช้ปกปิดร่างกาย ไร้ประโยชน์อย่างยิ่งยวด ไม่เป็นที่ต้องการแต่อย่างใด

เมื่อแรงปรารถนาท่วมท้น ย่อมไม่ต้องการการเล้าโลมที่มากเกินไป เรือนร่างที่มีไอชื้นลอยขึ้นหาท่วงท่าในการสอดประสานได้อย่างง่ายดาย กระบี่แข็งคืนสู่ฝักอย่างร้อนแรงดุจเพลิงไฟ ห่อหุ้มปราศจากช่องว่างแม้แต่น้อยนิด ทุกการหยัดเอวถอนสะโพก ทั้งจังหวะเคลื่อนไหวครั้งแล้วครั้งเล่านั้นล้วนสามารถเขียนออกมาเป็นท่วงทำนองครางครวญอย่างปรารถนาของหญิงสาว นางครางอย่างลุ่มหลงในตัณหาและความแน่นแฟ้นถึงเพียงนั้นก็พลันเบียดแทรกเข้าสู่เรือนกายตรงๆ

เคราะห์ดีที่บริเวณใกล้กับใจกลางทะเลสาบไม่มีเรือลำที่สองลอยอยู่ หากถูกได้ยินเข้า เกรงแต่ไม่ว่าผู้ใดก็คงหน้าแดงแก้มแดงเสียแล้ว

หลังจากนั้น…

 

(ติดตามต่อได้ในฉบับเต็มในเดือน มกราคม 64)

หน้าที่แล้ว1 of 11

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: