บทที่ห้า
“พี่ม่านม่าน ตามกฎของถ้ำพันจิ้งจอกไม่อาจใช้กำลังกับนางได้ อีกอย่างข้าได้ยินท่านปู่พูดว่าท่านประมุขกับผู้อาวุโสใหญ่หานล้วนเฝ้าสังเกตนางอยู่ หากลงมือกับนางในเวลาเช่นนี้ พี่สาวจะถูกลงทัณฑ์สถานหนักเอาได้นะ” ซูเทียนหวาแม้ขุ่นเคืองทว่ายังไม่ขาดสติ
ซูม่านม่านเอ่ยปนหัวเราะอย่างเย็นชา “ใครว่าข้าจะใช้กำลังกับนางเล่า สกุลซูไม่มีกฎห้ามวางหลุมพรางหลอกลวงศิษย์อื่นสักหน่อย นางฉลาดนักไม่ใช่หรือ ข้าจะให้นางล้มคะมำหน้าทิ่มเลยคอยดู”
ซูเทียนหวาส่ายหน้ากล่าว “นางฉลาดมากจริงๆ นั่นล่ะ กลอุบายแผนลวงทั่วไปล้วนไม่เกิดผลกับนางแม้แต่น้อย”
ซูม่านม่านคิดแล้วก็รู้สึกว่าถูกต้องอยู่เหมือนกัน ครึ่งปีมานี้ไม่รู้มีคนมากเท่าไรคอยกลั่นแกล้งซูเพียนจื่อทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทว่าล้วนถูกอีกฝ่ายคลี่คลายได้ทุกครั้งไป ไม่รู้จริงๆ ว่าเด็กนี่เติบโตมาอย่างไรจึงได้เหลี่ยมจัดถึงเพียงนี้! เปรียบกับศิษย์แถวหน้าที่เติบใหญ่มาในถ้ำพันจิ้งจอกและได้รับการฝึกฝนวิชากลลวงมาตั้งแต่เล็กอย่างพวกตนแล้ว เด็กนี่ยังยากตอแยกว่าเสียอีก
นางไม่อยากจะยอมรับ แต่ก็ต้องท้อใจเมื่อพบว่าซูเพียนจื่อเป็นยอดฝีมือในวิชากลลวงโดยกำเนิดจริงๆ
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี จะปล่อยให้นางกระหยิ่มได้ใจแบบนี้ต่อไปน่ะหรือ” ซูม่านม่านเอ่ยอย่างหงุดหงิด
ซูเทียนหวาก้มหน้าครุ่นคิดอยู่สักพักก็พลันเงยหน้าเอ่ยกลั้วหัวเราะ “จัดการนางไม่ได้ ไปจัดการคนข้างกายนางก็ได้นี่ นางเจ้าเล่ห์หัวไวจัดการยากก็จริงอยู่ แต่คนข้างกายนางจะร้ายกาจเช่นเดียวกันหรือ”
สองตาของซูม่านม่านพลันสว่างวาบ ในใจนึกถึงสาวน้อยหน้ากลมที่แทบจะเป็นเงาตามตัวของซูเพียนจื่อขึ้นมาทันที…ซูเจินเจิน!
ซูเจินเจินมีอุปนิสัยตรงไปตรงมา ความคิดอ่านก็เรียบง่าย เมื่อก่อนจึงตกเป็นเป้าให้ศิษย์ระดับล่างคนอื่นๆ กลั่นแกล้งรังแกมาตลอด เรียกว่าถูกหลอกถูกปั่นหัวเป็นกิจวัตรจนแทบไม่ต่างจากการกินอาหารวันละสามมื้อ จวบจนซูเพียนจื่อปรากฏตัว สถานการณ์จึงค่อยๆ พลิกโฉมหน้าไป
ซูเพียนจื่อไม่ใช่คนที่จะยอมเสียเปรียบโดยไม่ตอบโต้ ภายหลังมีมิตรภาพที่ลึกซึ้งกับซูเจินเจินมากขึ้นเรื่อยๆ ใครก็ตามที่มารังแกหรือตอแยซูเจินเจิน ซูเพียนจื่อล้วนหาวิธีเอาคืนภายในสามวัน มิหนำซ้ำทุกครั้งยังเปลี่ยนวิธีการใหม่ เล่นงานคู่ต่อสู้จนถึงขั้นหมดอาลัยตายอยาก อยากจะร้องไห้ทว่าก็หมดน้ำตากันไปเลยทีเดียว
นานวันเข้าคนที่หาญกล้ามาตอแยนางกับซูเจินเจินจึงลดน้อยถอยลงไปทุกที
ในเมื่อนางใส่ใจซูเจินเจินสหายคนนี้นัก พวกตนก็สามารถใช้จุดนี้ไปโจมตีนางให้หนักได้พอดี
ซูม่านม่านหารือแผนการกับซูเทียนหวาโดยละเอียดรอบหนึ่งแล้วก็ขอตัวจากไปอย่างพึงพอใจ
ในขณะที่ทั้งสองเตรียมการจะเล่นงานซูเพียนจื่อกับซูเจินเจินอยู่นั้น ฝ่ายซูเพียนจื่อกำลังยืนอยู่ในป่ากับฝูอวิ๋น ดวงตาจ้องเขม็งไปยังรังผึ้งขนาดยักษ์ที่อยู่บนไม้ใหญ่ต้นหนึ่งพลางกลืนน้ำลาย
หนึ่งคนกับหนึ่งม้าไม่ได้ตะกละอยากจะกินน้ำผึ้งในรังนั้นหรอก หากแต่กำลังหวั่นหวาดอยู่ต่างหาก
“ท่านจะทำเช่นนี้จริงๆ น่ะหรือ” ในน้ำเสียงของฝูอวิ๋นเอ่อท้นด้วยความวิตกกังวลอันเข้มข้น
“ก็ข้าไม่ได้มีพลังพิเศษนี่ หากคิดจะผ่านด่านแปลงโฉมปลอมตัวในสนามสอบย่อยถัดไป วิธีที่แน่นอนที่สุดก็คือวิธีนี้นี่ล่ะ” ซูเพียนจื่อกัดฟันตอบ
“แต่ว่ามันเจ็บมากนะ! อีกอย่างท่านไม่กลัวหรือว่าจะทำให้ตนเองเสียโฉม” ฝูอวิ๋นเอ่ยอย่างไม่เห็นพ้อง
ซูเพียนจื่อหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะตอบเบาๆ “เจ็บแค่นี้สำหรับข้าแล้วนับเป็นอะไรกันเล่า” นางไม่ใช่คุณหนูผู้สูงศักดิ์ที่ได้บิดามารดาประคบประหงมจนเติบใหญ่สักหน่อย ความลำบากที่นางเคยได้รับมาในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าตั้งแต่เล็กนั้น จนชั่วชีวิตของเด็กในครอบครัวปกติก็ไม่มีทางที่จะคิดภาพออกมาได้หรอก
ฝูอวิ๋นมองดูนาง ในดวงตาของมันเผยแววเจ็บปวดระคนละอายใจ ทว่าล้วนถูกอำพรางอยู่ท่ามกลางเงาไม้ที่กระจายตัวเป็นแต้มๆ อีกทั้งซูเพียนจื่อเองก็ไม่ได้ไปสังเกต
“ตอบมาประโยคเดียว จะช่วยหรือไม่ช่วย” ซูเพียนจื่อเอ่ยถามเสียงเบา
“…ก็ได้!” ฝูอวิ๋นหลับตาแรงๆ กะพริบเอาทุกอารมณ์ที่ไม่ควรจะปรากฏออกมานั้นทิ้งไป จากนั้นก็รวบรวมสมาธิเตรียมตัวสนับสนุนการกระทำของซูเพียนจื่อ
หนึ่งคนกับหนึ่งม้าง่วนอยู่ในป่าเรื่อยมา จวบจนยามอาทิตย์อัสดงงานสำคัญจึงสำเร็จลุล่วงแล้วกลับไปที่เรือนไม้ไผ่หลังเล็กด้วยกัน
ท่ามกลางแสงตะวันรอนที่หลงเหลืออยู่นั้น สิ่งที่รอต้อนรับทั้งสองอยู่ไม่ใช่กลิ่นหอมฉุยฟุ้งเรือนจากอาหารที่ซูเจินเจินปรุงไว้ หากแต่เป็นสายตาอันเย็นชาที่ดูแปลกตายิ่งนัก
“เพราะเหตุใดเจ้าต้องหลอกข้าด้วย ไหนเจ้าเคยบอกว่าจะไม่หลอกข้า!” ซูเจินเจินเอ่ยด้วยสีหน้าที่ซีดขาว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าไปหลอกเจ้าตั้งแต่เมื่อไรกัน” ใบหน้าของซูเพียนจื่อเกลื่อนไปด้วยความงุนงง
ซูเจินเจินทั้งโกรธทั้งร้อนใจจึงเอ่ยไปร้องไห้ไป “เจ้ายังทำไขสืออยู่อีก! ทุกถ้อยคำที่เจ้าพูดกับพวกเขา ข้าได้ยินได้เห็นทั้งหมดแล้ว! ทั้งที่เจ้าก็รู้อยู่ว่าของสิ่งนั้นสำคัญกับข้ามาก หากเจ้าอยากจะได้ เหตุใดไม่พูดกับข้าตรงๆ ตลอดมาข้าเห็นเจ้าเป็นสหายที่ดีที่สุดและไว้เนื้อเชื่อใจเจ้ายิ่งกว่าใคร เพราะเหตุใดเจ้าต้องหลอกลวงข้าด้วย!”
ซูเพียนจื่อเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว อยู่ดีๆ ยังมาถูกสหายร้องไห้ต่อว่าเป็นชุดด้วยคำพูดที่ตนเองจับต้นชนปลายไม่ถูกอีก นางจึงอดไม่ได้ที่จะมีน้ำโหขึ้นมาเช่นกัน “ข้าไม่รู้หรอกนะว่าเจ้ากำลังพูดอะไรอยู่ และข้าก็ไม่เคยหลอกเอาของสำคัญอะไรจากเจ้าด้วย ข้าได้พูดคุยกับใครเสียที่ไหน เจ้าไปเห็นอะไรมากันแน่ ก่อนที่จะแยกแยะเรื่องราวได้กระจ่าง เจ้าช่วยใช้สมองสักนิด อย่ามัวแต่ใช้อารมณ์จะได้หรือไม่”
ซูเจินเจินเบิกตาโตมองซูเพียนจื่ออย่างไม่อยากจะเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่งซูเจินเจินจึงหมุนตัววิ่งกลับเรือนไม้ไผ่หลังเล็กของตนไปโดยไม่พูดสักคำ หลังจากประตูใหญ่ถูกสะบัดปิดดังปังก็ไม่มีเสียงอื่นเล็ดลอดมาอีกแม้สักนิดเดียว
ซูเพียนจื่อยืนเหม่ออยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้าเดินเข้าเรือนไปก่อไฟหุงข้าว
ฝูอวิ๋นเอ่ยขึ้นทันทีที่ก้มศีรษะมุดเข้าเรือนมา “มือของท่าน…” ด้วยสภาพของซูเพียนจื่อในวันนี้ไม่เหมาะที่จะใช้งานมือทั้งสองข้างอีกเป็นอันขาด
ซูเพียนจื่อยิ้มให้มันก่อนตอบ “ข้าจะระวัง อย่างไรเสียจะไม่กินข้าวก็ไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะเอาของเหลือมาอุ่นกิน จะไม่ให้มือถูกน้ำและก็จะไม่หักโหมเกินไป”
ฝูอวิ๋นสะบัดศีรษะแล้วขานรับ “ก็ได้ ว่าแต่ท่านไม่แปลกใจหรือ เหตุใดจู่ๆ ซูเจินเจินจึงมาใส่อารมณ์กับท่าน”
แววเยียบเย็นฉายวาบขึ้นที่ก้นบึ้งดวงตาของซูเพียนจื่อ “มีอะไรน่าแปลกใจเล่า ไม่พ้นมีใครสักคนสวมรอยเป็นข้าไปหลอกเอาของบางอย่างมาจากนาง ซ้ำจงใจให้นางจับได้ก็เท่านั้น”
“ในเมื่อรู้ว่ามีคนให้ร้ายท่าน เหตุใดจึงไม่ชี้แจง” ฝูอวิ๋นขัดเคืองใจอยู่บ้าง
“นางกำลังโกรธอยู่ ชี้แจงไปมีประโยชน์อะไร ใช่ว่าตอนนี้ข้ามีหลักฐานที่มีน้ำหนักพอจะหยิบออกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเองได้เสียหน่อย อีกอย่างไม่กี่วันข้างหน้าก็คือวันสอบย่อยแล้ว คนที่ให้ร้ายข้าก็คงมุ่งหวังจะให้ข้าเสียใจเสียสมาธิด้วยเรื่องนี้นี่ล่ะ แล้วเหตุใดข้าจะต้องให้พวกเขาสมหวังด้วย”
ถูกสหายเข้าใจผิดอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ใช่ว่าซูเพียนจื่อไม่เสียใจ ทว่าเมื่อเยือกเย็นลงแล้ว นางก็รู้สึกได้ว่าหากจะคลี่คลายเรื่องนี้ตนไม่อาจใจร้อน
เมื่อเช้าตอนที่ซูเจินเจินส่งนางกับฝูอวิ๋นออกไปยังไม่มีอะไรผิดปกติ ซูเจินเจินหลงกลถูกผู้อื่นหลอกจะต้องเกิดขึ้นระหว่างที่นางกับฝูอวิ๋นเตรียมการอยู่ในป่าสำหรับการสอบย่อยในอีกไม่กี่วันข้างหน้าเป็นแน่ ตลอดช่วงเวลานั้นมีเพียงฝูอวิ๋นที่ยืนยันได้ว่านางไม่ได้กลับมาหลอกซูเจินเจิน
ทว่าฝูอวิ๋นคืออาชาเทพที่รับนางเป็นเจ้านายแล้ว คำยืนยันของมันซูเจินเจินย่อมจะไม่เชื่อถือ พูดไปก็ป่วยการอยู่ดี
ฝูอวิ๋นเอียงศีรษะมองซูเพียนจื่อ แสงไฟจากในเตาฟืนฉายส่องให้เค้าโครงดวงหน้าของนางยิ่งแจ่มชัดเป็นพิเศษ เด็กสาวที่ยังอายุไม่ถึงสิบหกปีผู้หนึ่งกลับมีสติอันเยือกเย็น มีความเฉยเมยที่เกินวัย จนถึงขั้นเจนโลกแล้วก็ว่าได้
ไม่ต้องถามก็รู้ว่านี่เป็นเพราะนางเคยประจักษ์มาแล้วอย่างโชกโชน ทั้งรสชาติของความเหน็บหนาวและอบอุ่น ทั้งจิตใจคนที่ยากแท้หยั่งถึง นางจึงได้มีทั้งความคิดอ่านและหัวจิตหัวใจที่ไม่แพ้ผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุยังน้อยๆ
ฝูอวิ๋นนิ่งมองนางอยู่สักพักจึงเอ่ยขึ้นในที่สุด “ก็ได้ ในเมื่อท่านคิดดีแล้ว ข้าก็จะไม่พูดมากอีก คืนนี้ท่านก็พักผ่อนเร็วหน่อยแล้วกัน”
เมื่อมันพูดจบพลันถอยออกจากเรือนไป จากนั้นกระพือปีกบินเข้าสู่ป่าทึบผืนหนึ่งที่อยู่บนเขา
ภายในป่าทึบอันเงียบสงัด มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไร ความมืดสลัวไม่ได้ทำให้ฝีเท้าของฝูอวิ๋นชักช้าลงแม้เพียงนิด ครู่เดียวเท่านั้นมันก็เดินไปถึงเบื้องหน้าศิลายักษ์ก้อนหนึ่ง แสงจันทร์สุกสกาวหนึ่งลำเล็ดลอดช่องว่างของกิ่งใบ ฉายลงมาบนศิลาก้อนนี้พอดิบพอดี จึงทำให้แลเห็นได้เลาๆ ว่าบนนั้นมีรอยครูดอันสับสนขีดข่วนอยู่มากมาย
ฝูอวิ๋นนิ่งมองศิลาก้อนนี้อยู่ชั่วครู่ก็ทอดถอนใจยาวแล้วพึมพำกับตนเอง “ข้าควรจะทำอย่างไรดี ข้าควรจะทำอย่างไรกันแน่…”
ศิลายักษ์ยังคงเป็นศิลายักษ์ ทั้งไม่ได้ให้คำตอบแก่ฝูอวิ๋น ทั้งไม่ได้ปลอบโยนมันแต่อย่างใด เพียงแต่อาบร่างอยู่ภายใต้แสงจันทร์อย่างเงียบเชียบ และนิ่งตระหง่านไม่ไหวติงดังเดิม
เผาะ! เผาะ!
หยาดน้ำวาวใสหลายหยดที่หลั่งรินออกจากดวงตาของฝูอวิ๋นนั้นร่วงลงกระทบผิวศิลาแล้วกระเซ็นออก จากนั้นจึงค่อยๆ ไหลซึมเข้าสู่รอยขูดขีดที่สะเปะสะปะนั่น จนกระทั่งแห้งหายไปในที่สุด
ไม่ว่าจะผ่านวันคืนด้วยอารมณ์เช่นไร วันพรุ่งก็ยังคงมาเยือนตามปกติ
หลังจากที่ซูเพียนจื่อกับฝูอวิ๋นช่วยกันเตรียมสอบอย่างเคร่งเครียด วันสอบย่อยสนามที่สิบเจ็ดก็มาถึงจนได้
นอกตำหนักที่ใช้เป็นสนามสอบมีผู้คนมารายล้อมเนืองแน่นตั้งแต่เช้า ทุกคนล้วนกำลังคาดเดากันว่าซูเพียนจื่อจะมาหรือไม่ มาแล้วยังจะคว้าคะแนนเต็มได้อย่างเหนือความคาดหมายอีกหรือเปล่า และนางจะใช้วิธีพิสดารอะไรมาทำภารกิจที่เป็นไปไม่ได้นี้ให้ลุล่วง
ซูเทียนหวากับซูม่านม่านยืนสบตาส่งยิ้มให้กันอยู่ท่ามกลางเหล่าศิษย์ระดับต้น พวกเขาสืบได้ข่าวมาว่าซูเจินเจินได้ย้ายออกจากเรือนไม้ไผ่หลังเล็กที่อยู่ติดกับซูเพียนจื่อ เปลี่ยนไปอยู่ในเขตที่พักอีกแห่งของศิษย์ระดับต้นแล้ว
คาดว่าตอนนี้ซูเพียนจื่อคงทั้งทุกข์ทนทั้งน้อยใจ และนึกสงสัยอยากจะรู้ให้ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ภายใต้สภาพจิตใจเช่นนี้ ต่อให้นางฝืนมาเข้าสอบก็ไม่มีทางจะทำคะแนนได้ดีเท่าไรนักหรอก
หัวข้อการสอบย่อยในสนามที่สิบเจ็ดคือฝีมือด้านการแปลงโฉมปลอมตัว ศิษย์ที่เข้าสอบทั้งหมดจะมีเวลาเพียงหนึ่งเค่อ ในการแปลงลักษณะจำเพาะของโฉมหน้า สุ้มเสียง และรูปร่าง ผลลัพธ์ต้องถึงระดับที่ผู้คุมสอบทั้งห้าไม่อาจจดจำฐานะที่แท้จริงออกได้ในปราดเดียว ทั้งต้องคงสภาพไว้ภายใต้การเฝ้าคุมของผู้คุมสอบทั้งห้านานครึ่งชั่วยามขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน หากคงสภาพได้ถึงหนึ่งชั่วยามก็จะได้คะแนนเต็ม
ขณะเดียวกันหากมีผู้คุมสอบเกินกว่าสองในห้าคนจดจำฐานะที่แท้จริงของผู้เข้าสอบได้ในปราดเดียวก็จะถือว่าสอบตก
การแปลงโฉมปลอมตัวนั้นต่อให้เป็นคนธรรมดาก็สามารถทำได้ ทว่าต้องเสียเวลานานมากในการปรับแต่งรูปโฉม จึงไม่มีทางทำสำเร็จในเวลาเพียงหนึ่งเค่อเป็นอันขาด อีกทั้งเหล่าผู้คุมสอบขั้นต่ำก็เป็นศิษย์ระดับกลาง แต่ละคนสายตาเฉียบคมยิ่ง อุปกรณ์จำพวกชาด แป้งผัดหน้า และสีสำหรับแต่งหน้านั้นล้วนไม่อาจตบตาพวกเขาได้เลย
ต่อให้เป็นผู้ที่มีพลังวัตรก็เถอะ การจะคงสภาพที่แปลงโฉมเอาไว้ก็เป็นเรื่องที่ต้องสิ้นเปลืองลมปราณไม่ใช่น้อย ดังนั้นการแปลงโฉมโดยอาศัยลมปราณนั้น หากยิ่งปรับเปลี่ยนขนานใหญ่หรือหลายจุดมากเท่าไร ลมปราณที่ต้องสูญเสียไปก็จะยิ่งมากตามไปด้วย
ส่วนใหญ่แล้วผู้เข้าสอบต้องมีพลังวัตรอย่างน้อยถึงขั้นถอดรูประดับสูงสุดจึงจะสอบผ่านได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด
ท่ามกลางความสงสัยใคร่รู้และการถกความเห็นกันของผู้คนทั้งหลาย ในที่สุดซูเพียนจื่อก็เดินตรงมาทีละก้าว พร้อมกับหิ้วหีบใบใหญ่ขนาดสูงเท่าครึ่งตัวนางมาด้วยหนึ่งใบ
นางแลดูซูบเซียวอยู่บ้าง ทว่าสองตาเจิดจ้าเปี่ยมล้นด้วยความฮึกเหิมที่จะต่อสู้ เงาร่างอันบอบบางนั้นดูมั่นอกมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีอาการกลัดกลุ้มหมองเศร้าที่ซูเทียนหวากับซูม่านม่านคาดหวังจะได้เห็นแม้แต่น้อย
ซูเทียนหวากับซูม่านม่านขมวดหัวคิ้วพร้อมกันโดยไม่ต้องนัดแนะ ต่างส่งสายตาประหลาดใจให้กันแล้วไม่พูดไม่จาอีก
มีคนไม่น้อยใช้แววตาชอบกลมองสังเกตไปมาระหว่างซูเทียนหวากับซูเพียนจื่อ นับตั้งแต่เด็กสาวผู้นี้ปรากฏตัวในสนามสอบศิษย์ระดับต้นของถ้ำพันจิ้งจอก ซูเทียนหวาผู้เกิดมามีพร้อมในทุกสิ่งและเดิมทีแสนจะมีหน้ามีตานั้นก็ถูกรัศมีอันจับตาของนางกดข่มเอาไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า
วันนี้คือการร่วมสนามสอบเป็นครั้งที่สามของคนทั้งสองแล้ว หากซูเทียนหวายังคงปราชัยอีก เช่นนั้นคำเรียกขานว่า ‘อัจฉริยะ’ นี้เกรงว่ากระทั่งตัวเขาเองก็คงไม่มีหน้าจะเอ่ยถึงอีกต่อไป
ซูเทียนหวาย่อมเข้าใจความนัยในแววตาเหล่านี้ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นเพียงหนุ่มน้อยอายุสิบกว่าปี อีกทั้งสิ่งที่ประสบมาตั้งแต่เล็กจนโตล้วนมีแต่เสียงปรบมือกับคำชื่นชม เมื่อแววตาคู่แล้วคู่เล่าที่แฝงนัยว่ากำลังรอชมเรื่องสนุกอยู่จับมาบนร่างของเขา หนุ่มน้อยก็เจ็บปวดเสียยิ่งกว่าถูกเข็มทิ่มตำ ในใจจึงหงุดหงิดขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ ใบหน้าบึ้งตึงไม่มีแก่ใจจะเดินไปพูดอะไรกับซูเพียนจื่ออีกแล้ว
เขาต้องชนะ! เขาจะต้องทวงเอาเกียรติภูมิที่เป็นของตนกลับคืนมาจากเด็กสาวผู้นี้ให้จงได้!
วันนี้ผู้เข้าสอบย่อยมีทั้งสิ้นสิบเอ็ดคน ไม่ช้าผู้คุมสอบทั้งห้าก็มาถึงสนามสอบ พอห้าคนนี้เผยโฉม ผู้คนไม่น้อยที่มาชมความครึกครื้นก็เริ่มกระซิบถกความเห็นกัน
ในบรรดาผู้เข้าสอบสิบเอ็ดคนเว้นแต่ซูเพียนจื่อที่ไม่รู้จักผู้คุมสอบคนใดทั้งสิ้นจึงไม่มีท่าทีตอบสนองสักนิดแล้ว ผู้เข้าสอบที่เหลืออีกสิบคนรวมทั้งซูเทียนหวาล้วนแต่หน้าเปลี่ยนสี
ผู้คุมสอบห้าคนนี้ถึงกับเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสทั้งห้า แต่ละคนหากไม่ใช่ศิษย์ระดับกลางก็เป็นบุคคลแถวหน้าในหมู่ผู้ฝึกวิชายุทธ์ พลังสายตาของพวกเขาร้ายกาจกว่าศิษย์ระดับกลางทั่วไปมากนัก คิดจะตบตาพวกเขา แม้กระทั่งชั่วพริบตาสั้นๆ ก็ยังยากเย็นแสนเข็ญ
หากผู้เข้าสอบคนใดอับโชคถูกผู้คุมสอบเกินกว่าสองในห้าคนนี้จดจำได้ในปราดเดียว ผู้เข้าสอบคนนั้นก็จะสอบตกต้องระเห็จกลับไปทันที เช่นนั้นก็เคราะห์ร้ายเกินไปแล้ว
เสียงโอดครวญของเหล่าผู้เข้าสอบดังระงม วันนี้ผู้อาวุโสใหญ่หานกับผู้อาวุโสรองซูไปถูกอะไรกระตุ้นเข้ากันแน่ เหตุใดต้องสั่งย้าย ‘นักฆ่า’ เหล่านี้มาเป็นผู้คุมสอบด้วย
ผู้คุมสอบทั้งห้าเพิ่งจะมาถึงสนามสอบก็แทบจะสาดสายตาไปทางซูเพียนจื่อก่อนเป็นอันดับแรก ในห้าคนนี้มีซูป๋ออวิ๋นศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่หานรวมอยู่ด้วย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบกับบุตรีของอัจฉริยะผู้ลือนามมาช้านาน
สาวน้อยที่หน้าตาสวยหมดจดผู้นี้แม้ไม่อาจนับว่างามล้ำเลิศสักเท่าไร ทว่าในดวงตาของนางเอ่อท้นด้วยแววดื้อรั้นและหยิ่งในศักดิ์ศรี เมื่อยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้เข้าสอบซึ่งออกอาการลนลานกระสับกระส่าย นางก็ยิ่งดูโดดเด่นเป็นพิเศษ ดุจเดียวกับไผ่เขียวต้นหนึ่งที่ยืนตระหง่านอยู่ท่ามกลางดงไม้
ซูป๋ออวิ๋นลอบผงกศีรษะชื่นชม ทว่าไม่ทันไรก็ส่ายหน้าช้าๆ
แม้ฝีมือในด้านวิชากลลวงของเขาจะกล้อมแกล้มถึงระดับกลางเท่านั้น แต่อย่างไรเสียเขาก็ศึกษาพื้นฐานวิชากลลวงอยู่ในถ้ำพันจิ้งจอกมานานหลายปี…ผู้ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่เด่นชัดเกินไปไม่เหมาะจะเป็นสิบแปดมงกุฎ พื้นฐานข้อนี้เขาเข้าใจดียิ่ง
พอมองไปยังหีบใบใหญ่ที่อยู่ข้างมือของซูเพียนจื่อ เขาก็ยิ่งขมวดคิ้ว นางมีเวลาเพียงหนึ่งเค่อ หากคิดอาศัยอุปกรณ์ภายนอกมากเช่นนี้มาเปลี่ยนแปลงรูปโฉม นั่นก็เป็นวิธีที่ห่างไกลความจริงเกินไปแล้ว
ความเห็นของผู้คุมสอบอีกสี่คนที่เหลือก็ไม่ต่างจากเขานัก ทุกคนล้วนไม่เอ่ยปากพูดอะไรราวกับรู้ใจกัน
ซูป๋ออวิ๋นผงกศีรษะให้คนทั้งสี่ ก่อนจะเป็นผู้ก้าวออกมาประกาศ “อีกเดี๋ยวเมื่อเสียงระฆังดังขึ้น พวกเจ้าก็เข้าตำหนักไปเลือกห้องที่กั้นแบ่งไว้ห้องใดห้องหนึ่งแล้วโคจรพลังเริ่มแปลงโฉมได้ หนึ่งเค่อให้หลังเมื่อเสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง พวกเจ้าจะต้องออกมารับการตรวจประเมินจากพวกเรา ได้ยินชัดเจนแล้วหรือไม่!”
“ได้ยินชัดเจนแล้วขอรับ”/“ได้ยินชัดเจนแล้วเจ้าค่ะ”
เสียงของผู้เข้าสอบสิบเอ็ดคนไม่สม่ำเสมอกัน ส่วนใหญ่เสียงอ่อยไร้แรง แค่ฟังผ่านๆ ก็รู้ได้ว่ามีคนไม่น้อยเตรียมใจจะมาใหม่ครั้งหน้าแล้ว
เหง่ง!
สิ้นเสียงย่ำระฆัง ซูเพียนจื่อก็รีบหิ้วหีบใบใหญ่พุ่งตัวเข้าตำหนักไปเลือกห้องที่อยู่ใกล้กับประตูมากที่สุด นางเลิกม่านขึ้นแล้วมุดตัวเข้าไปโดยไม่รั้งรอ
หลังจากเปิดหีบอย่างฉับไว มือข้างหนึ่งของสาวน้อยก็ฉวยคันฉ่องแก้วผลึกบานหนึ่งออกมาตั้งวางให้ดี ส่วนมืออีกข้างก็เปิดจุกกระบอกไม้ไผ่ออก นางกัดฟันยื่นนิ้วมือเข้าไปวักของเหลวสีดำที่หนืดข้นออกมากอบหนึ่ง พอป้ายกับสองฝ่ามือเสร็จก็ทาไปบนใบหน้าทันที
ผิวพรรณบริเวณที่สัมผัสถูกของเหลวเหล่านั้นบวมขึ้นด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า อาการปวดแสบปวดร้อนแล่นมาจากบนมือและใบหน้า ซูเพียนจื่อเจ็บปวดจนน้ำตาไหลพราก ทว่าการเคลื่อนไหวของนางกลับยังดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดชะงักแม้สักอึดใจเดียว
นางแพ้พิษผึ้งชนิดหนึ่งมาตั้งแต่เล็ก ทันทีที่สัมผัสถูกผิวก็จะเริ่มบวมและปวดแสบ นางรู้ตัวว่าไม่มีพลังวัตร ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะใช้ลมปราณไปเปลี่ยนแปลงรูปโฉม นางจึงได้แต่แปลงโฉมด้วยวิธีทำร้ายตนเองเช่นนี้
หลังจากแน่ใจว่าส่วนใบหน้า ลำคอ รวมไปถึงสองมือล้วนทาพิษผึ้งจนทั่วแล้ว เวลาก็เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงครึ่งเค่อ
ซูเพียนจื่อทนเจ็บรีบหยิบเสื้อผ้าที่หนาเตอะชุดหนึ่งออกจากหีบมาสวมทับ เสื้อผ้าชุดนี้ถูกนางบุเสริมความหนาล่วงหน้าตามตำแหน่งที่กำหนดไว้ เมื่อสวมเสร็จแล้วทั้งร่างของนางจึงอ้วนขึ้นไม่ต่ำกว่าสองเท่าของขนาดร่างเดิม
ผู้ที่สะท้อนอยู่ในคันฉ่องจึงกลายเป็นเจ้าหมูตอนซึ่งยากจะแยกแยะได้ว่าอ้วนหรือบวมกันแน่!
แม้จะมีเสื้อผ้ากางกั้นก็ยังสามารถมองเห็น ‘เนื้อเผละ’ เป็นปล้องๆ ที่ดันตัวอยู่จนผ้าแทบจะปริ
เมื่อเตะรองเท้าพื้นแบนให้หลุดออกจากเท้า เปลี่ยนมาสวมรองเท้าหุ้มข้อขนาดใหญ่ที่เพิ่มความสูงและยัดผ้าบุใยไหมเอาไว้ด้านในแล้ว ซูเพียนจื่อก็พลันสูงขึ้นอีกหนึ่งส่วนทีเดียว
เฉพาะรูปร่างกับโครงหน้าในตอนนี้ ไม่มีใครสามารถมองออกแล้วว่าหมูอ้วนที่อุ้ยอ้ายในคันฉ่องก็คือสาวน้อยที่เมื่อครู่ก่อนยังสะโอดสะองผอมบางผู้นั้น
ทว่านี่ยังไม่เพียงพอ ซูเพียนจื่อทางหนึ่งใช้มือป้ายน้ำมันทาไปบนเส้นผม อีกทางหนึ่งก็ส่องดูคันฉ่องเพื่อปรับเปลี่ยนแววตา ใบหน้าของนางในตอนนี้ไม่อาจเห็นสีหน้าอารมณ์เช่นคนปกติแล้ว ทว่าดวงตายังสามารถแพร่งพรายข้อมูลได้มากมาย แม้ว่าดวงตาที่ทั้งกลมทั้งโตคู่เดิมจะบวมตุ่ยจนยิบหยีแล้วก็ตามที
เหง่ง!
เมื่อเสียงระฆังดังมาจากนอกตำหนัก ซูเพียนจื่อก็หยิบขวดกระเบื้องใบเล็กออกมา กระดกขวดกรอกน้ำที่คั้นจากพริกสดลงคอไปในอึกเดียว นางไอโขลกอย่างรุนแรงอยู่หลายหนก่อนจะเลิกม่านเดินออกไป
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่แสงเทียนในตำหนักถูกดับลง ทั่วบริเวณจึงมืดมิดจนมองไม่เห็นกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าที่ยื่นออกไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้เหล่าผู้เข้าสอบไม่อาจทายฐานะที่แท้จริงของผู้ร่วมสอบได้จากตำแหน่งของห้องที่เดินออกมา และเป็นหลักประกันว่าการสอบจะยุติธรรมอย่างแน่นอน
เมื่อประตูตำหนักถูกผลักเปิด จึงราวกับปลดปล่อยแสงสว่างจากด้านนอกให้ฉายส่องเข้ามาในตำหนักแล้ว ซูเพียนจื่อกวาดตามองคนรอบข้างคร่าวๆ รอบหนึ่ง นางอดไม่ได้ที่จะอิจฉาอยู่ในใจ มีพลังวัตรช่างดียิ่งนัก ไม่ต้องใช้ของนอกกายก็สามารถแปลงโฉมตนเองจนไม่เหลือเค้าเดิมได้แล้ว
แม้หลายคนที่อยู่ตรงหน้าจะมีช่องโหว่มากมายในสายตาของซูเพียนจื่อ ทว่าพวกเขาเป็นแค่ศิษย์ระดับต้น ส่วนใหญ่พลังวัตรยังไม่พ้นจากขั้นถอดรูปซึ่งเป็นขั้นพื้นฐานที่สุดในการฝึกวิชายุทธ์ วันข้างหน้าเมื่อพลังวัตรค่อยๆ สูงขึ้นแล้ว ฝีมือในการเปลี่ยนแปลงรูปโฉมก็จะสมบูรณ์ยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
“หยิบป้ายหมายเลขแล้วก็ออกมาได้!” ซูป๋ออวิ๋นเอ่ยอยู่ที่ด้านนอก
ผู้เข้าสอบทั้งกลุ่มพากันก้มหน้าค้อมเอวเดินเรียงแถวออกจากตำหนัก เมื่อเดินผ่านประตู ต่างคนต่างก็หยิบแผ่นป้ายซึ่งระบุหมายเลขที่ไม่ซ้ำกันจากในตะกร้ามาคล้องไว้บนตัว ซูเพียนจื่อหยิบได้หมายเลขเจ็ด
ตอนนี้นางมีรูปกายที่ใหญ่เบอะบะ ผู้เข้าสอบหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ จึงคิดอยากจะมาหลบหลังนางเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาที่กวาดมองของผู้คุมสอบทั้งห้า
ซูเพียนจื่อเองก็หดคอมองไปทั่วๆ อย่างแตกตื่นลนลาน หมายจะหาใครสักคนมากำบังตัวเช่นกัน สุดท้ายนางจึงขยับร่างอย่างงุ่มง่ามไปจนถึงด้านหลังของเจ้าอ้วนที่รูปกายสูงใหญ่อีกคน
ไม่ใช่นางหลงนึกว่าทำเช่นนี้แล้วจะสามารถหลบรอดสายตาของผู้คุมสอบได้จริงๆ หรอก นางเพียงแต่ไม่อยากให้อากัปกิริยาของตนผิดแผกไปจากผู้เข้าสอบคนอื่นมากนักต่างหาก
เหตุที่ก่อนเข้าสนามสอบนางจงใจแสดงสีหน้าท่าทางว่ามั่นใจในตนเองเสียเต็มประดาก็เพื่อฝากภาพจำเอาไว้ให้เหล่าผู้คุมสอบว่านางมี ‘บุคลิกที่เด่นชัด’ จะได้สร้างความสับสนให้แก่สายตาของพวกเขา
สายตาของผู้คุมสอบทั้งห้าราวกับมีตัวตนขณะกวาดผ่านร่างของผู้เข้าสอบสิบเอ็ดคนไป จากนั้นทั้งห้าก็เริ่มเขียนชื่อกับหมายเลขของผู้เข้าสอบที่ถูกมองฐานะออกลงบนกระดาษขาว
ไม่ช้ารายชื่อห้าแผ่นก็ถูกติดไว้บนกระดานประกาศผลที่อยู่อีกด้านหนึ่ง ผู้คุมสอบแต่ละคนล้วนมองฐานะที่แท้จริงของผู้เข้าสอบออกราวห้าถึงเจ็ดคน ศิษย์ของผู้อาวุโสรองซูนำโด่งเกินใคร ไม่เพียงมองออกถึงแปดคน กระทั่งซูเทียนหวาก็อยู่ในรายชื่อของเขาด้วย
ทว่าก็มีเขาคนเดียวเท่านั้นที่จดจำซูเทียนหวาได้ เพราะว่าคุ้นเคยกันมากเหลือเกิน
จะว่าไปซูเทียนหวาก็โชคร้ายยิ่งนัก อาจารย์ลุงสายตรงท่านนี้ช่างเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่หน้าใครเสียจนน่าโมโห
เหล่าผู้เข้าสอบกับศิษย์ระดับต้นที่มาชมความครึกครื้นต่างก็ไล่ตรวจไปทีละรายชื่อจนครบทั้งห้าแผ่น พวกเขาล้วนตกตะลึงเมื่อพบว่ามีเพียงผู้เข้าสอบหมายเลขเจ็ดกับเก้าที่ไม่ถูกผู้คุมสอบคนใดมองออกเลย ซึ่งซูเพียนจื่อกับผู้เข้าสอบอีกคนนามว่าหลิวเยวี่ยก็ยังไม่ปรากฏอยู่ในรายชื่อนี้
สายตาของคนทั้งหมดพลันสาดขวับโดยพร้อมเพรียงไปยังร่างของเจ้าอ้วนหมายเลขเจ็ดกับเก้าที่หดตัวไปยืนกระจุกกันอยู่ด้านข้างด้วยท่าทางที่ดูมึนงง เก้ๆ กังๆ และขลาดกลัว ยิ่งเห็นดังนั้นทุกคนก็เปล่งเสียงอุทานอย่างต่อเนื่อง
เจ้าอ้วนหนึ่งในสองคนนี้ก็คือซูเพียนจื่อ?!
เป็นไปได้อย่างไรกัน?!
ช่าง…ห่างไกลจากคนเดิมมากเกินไปแล้ว!
สายตาของผู้คุมสอบทั้งห้าก็รวมเป็นตาเดียวอยู่ที่ร่างของเจ้าอ้วนสองคนนี้เช่นกัน ผ่านไปพักใหญ่ผู้คุมสอบที่ระบุชื่อของซูเทียนหวาออกมาคนนั้นจึงชี้มือไปที่เจ้าอ้วนซึ่งอยู่ข้างๆ ซูเพียนจื่อ “เจ้าคือหลิวเยวี่ย!”
ผู้คุมสอบผู้นี้ก็แซ่ซู มีนามว่าซูจาง ว่ากันว่าเป็นผู้ที่มีสายตาเฉียบคมที่สุดในหมู่ศิษย์ระดับกลางของถ้ำพันจิ้งจอก พอซูจางเอ่ยวาจา คนทั้งหมดก็มองไปที่ซูเพียนจื่อซึ่งยืนคู่กับหลิวเยวี่ยอย่างรู้สึกเหลือเชื่อ
หลิวเยวี่ยเมื่อถูกชี้ตัวก็พยักหน้ารับด้วยความประหม่า “ชะ…ใช่ข้าเอง!” มาจนถึงตอนนี้ค่อยถูกชี้ตัว เขาก็รู้สึกประหลาดใจมากเช่นกัน
ทว่าด้วยความลนลานเขาจึงลืมเปลี่ยนเสียง ทำให้ผู้คุมสอบที่มองดูเขาอยู่นั้นบ้างก็ขมวดคิ้ว บ้างก็ฝืนยิ้ม
หลิวเยวี่ยช่างดวงดียิ่ง ที่จริงแล้วในจำนวนผู้เข้าสอบสิบเอ็ดคนนี้ ฝีมือในการแปลงโฉมปลอมตัวของเขาอย่างเก่งก็จัดอยู่ในระดับกลางล่าง แต่เหตุที่เขาไม่ถูกชี้ตัวในทันทีเป็นเพราะการคงอยู่ของซูเพียนจื่อสร้างความสับสนแก่สายตาของทุกคน
หลิวเยวี่ยมีรูปร่างท้วมโดยกำเนิด พลังวัตรก็เพียงอยู่ในขั้นถอดรูปช่วงกลางเท่านั้น ทุกคนต่างรู้ดีว่าหากเขาจะอาศัยพลังวัตรปรับเปลี่ยนขนานใหญ่จนรูปร่างกลายเป็นคนผอมนั้นคือภารกิจที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย อย่างมากเขาก็ทำได้แค่ปรับเปลี่ยนเป็นบางส่วน
ทว่าในครั้งนี้กลับมีเจ้าอ้วนโผล่มาถึงสองคน อีกทั้งซูเพียนจื่อก็จงใจลอกเลียนสีหน้าท่าทางของหลิวเยวี่ยโดยตลอด จึงเป็นเหตุให้ผู้คุมสอบทั้งห้าไม่อาจตัดสินในเวลาอันสั้นว่าสองคนนี้ใครคือหลิวเยวี่ยกันแน่ ดังนั้นเขาจึงสามารถ ‘พ้นเคราะห์’ ไปได้
ผู้ที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงอย่างแท้จริงก็คือซูเพียนจื่อ จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีใครมองออกว่าใบหน้าหมูอ้วนของนางแปลงออกมาได้อย่างไรกันแน่ เห็นชัดว่านั่นไม่ใช่การโบกด้วยแป้งผัดหน้าหรือวัสดุอื่น สำหรับ ‘เนื้อเผละ’ ที่อยู่บนร่าง หากใช้สายตาจับผิดมองอย่างละเอียดยิบก็อาจพบพิรุธอยู่บ้าง ทว่าแค่นี้ก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูเพียนจื่อปลอมตัวได้ครบเครื่องเช่นนี้ในเวลาเพียงหนึ่งเค่อเท่ากับศิษย์คนอื่นๆ ที่มีพลังวัตร!
“เจ้าก็คือซูเพียนจื่อ?” ซูป๋ออวิ๋นแทบอยากจะขยี้ตาดู
สาวน้อยหน้าตาหมดจดที่ตอนแรกดูหยิ่งทะนงและดื้อรั้นคนนั้นกับเจ้าอ้วนหัวโตพุงพลุ้ยร่างสูงใหญ่ที่มีสีหน้าหลุกหลิกคนนี้…คือคนเดียวกันหรือนี่!
“ใช่เจ้าค่ะ” สุ้มเสียงอันแหบพร่าที่ถูกเปล่งออกจากปากของเจ้าอ้วนฟังแล้วชาแก้วหูราวกับเสียงบาดระคายในยามที่เปลือกไม้เสียดสีกันอย่างแรง
เสียงนี้ถึงกับเปล่งออกมาจากแม่นางน้อยผู้หนึ่ง นางทำได้อย่างไรกันนี่
ทั่วสนามสอบครึกโครมขึ้นมาทันที…ฝีมือของนางช่างลึกล้ำยิ่งนัก!
ซูเพียนจื่อฝืนพูดได้เพียงสามคำ ลำคอซึ่งถูกกัดด้วยน้ำจากพริกสดก็ถ่ายทอดความปวดร้าวราวถูกฉีกกระชากหัวใจ เพียงแค่สูดหายใจแรงหน่อยเท่านั้นนางก็เจ็บแปลบจนหน้าซีดเผือดแล้ว
แม้การเปลี่ยนเสียงของนางจะประสบผลสำเร็จดียิ่ง ทว่าลำคอกลับต้องบอบช้ำสาหัสอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ผู้คุมสอบทั้งห้าล้วนนึกไม่ถึงว่าเด็กสาวผู้หนึ่งจะหักใจใช้วิธีทารุณเช่นนี้กับตนเองได้ลงคอ เพียงเพื่อจะผ่านการสอบย่อยสนามหนึ่งเท่านั้นเอง
ด้วยข้อจำกัดของซูเพียนจื่อ คนส่วนใหญ่ต่างมองว่าการเข้าสอบต่อไปแทบจะไม่ต่างกับการกระทำของคนโง่ เพราะต่อให้นางโชคดีได้กลายเป็นศิษย์ระดับกลางแล้วอย่างไร ที่สุดแล้วนางก็ไม่มีทางจะผ่านการสอบย่อยของศิษย์ระดับกลางไปได้อยู่ดี เพียงเพื่อฐานะความเป็นศิษย์ระดับกลางชั้นล่าง นางถึงขั้นยอมเสี่ยงกับการที่ลำคอและเส้นเสียงอาจถูกทำลายโดยสิ้นเชิง ช่างเป็นความโง่งมที่ไม่มีใครทาบติดแล้วจริงๆ
ใครเลยจะเข้าใจได้ว่าซูเพียนจื่อกำลังดิ้นรนเพื่อสิ่งใด และกำลังไขว่คว้าหาสิ่งใดอยู่
ทว่ามาถึงชั่วเวลานี้แล้ว คนทั้งหมดต่างก็รู้ดีว่าซูเพียนจื่อกำลังจะคว้าคะแนนเต็มในการสอบย่อยวันนี้ได้อีกครั้ง
ด่านที่ยากลำบากที่สุดซึ่งก็คือการตบตาผู้คุมสอบทั้งห้านั้นนางทำได้สำเร็จแล้ว ในส่วนที่เหลือซึ่งจะต้องคงสภาพไว้อย่างน้อยครึ่งชั่วยามนั้น สำหรับผู้เข้าสอบคนอื่นที่แปลงโฉมโดยอาศัยพลังวัตรอาจเป็นด่านหินปราการสวรรค์ ทว่าสำหรับซูเพียนจื่อที่แปลงโฉมโดยอาศัยสิ่งของนอกกายกลับเป็นเรื่องที่ผ่อนคลายกว่ามาก
ไม่มีใครไปใส่ใจสังเกตใบหน้าที่ถอดสีอย่างรุนแรงของซูเทียนหวาในสนามสอบกับซูม่านม่านที่อยู่นอกสนาม
ซูเทียนหวาไม่นึกไม่ฝันเลยจริงๆ ว่าในเหตุการณ์เช่นนี้ซูเพียนจื่อก็ยังคงสร้างปาฏิหาริย์ได้เช่นเดิม เขาไม่อาจสงบใจไปตรองดูให้ถี่ถ้วนว่านางเปลี่ยนเป็นสภาพนี้ได้อย่างไร เพียงแต่ทวนคำหนึ่งในประโยคที่มีความหมายเดียวกันซ้ำๆ อยู่ในใจไม่หยุดว่า…ข้าแพ้แล้ว! ข้าพ่ายแพ้แล้ว! ข้าถึงกับพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเด็กสาวที่ไม่มีพลังวัตรคนหนึ่ง!
ความอัปยศอันลึกล้ำท่วมท้นเขาจนมิด หากไม่ใช่สติสัมปชัญญะที่เหลืออยู่กำลังเตือนสติเขาว่าตอนนี้การสอบย่อยยังคงดำเนินอยู่ล่ะก็ เขาคงไม่อาจอยู่ที่นี่ต่อไปแม้ชั่วขณะเดียว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องแบ่งสมาธิไปรักษารูปลักษณ์ที่ตนแปลงเอาไว้
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามถัดจากนั้น แน่นอนว่าคือช่วงเวลาที่ซูเทียนหวาอดทนได้ยากที่สุดนับแต่เกิดมา เพราะเขารู้สึกถึงแววตาแปลกๆ กับคำพูดลับหลังของศิษย์คนอื่นที่อยู่รอบด้านได้แทบจะทุกขณะจิต
สิ่งที่ต่างไปจากวันวาน…คือเมื่อก่อนแววตากับคำพูดลับหลังเหล่านี้จะแฝงไว้ซึ่งเสียงอุทานชื่นชมและอิจฉาริษยา ทว่าวันนี้ล้วนกลับกลายเป็นเสียงยั่วเย้าของผู้ที่มาชมเรื่องสนุกและยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น
เกียรติและคำสรรเสริญที่เขาเคยได้รับในวันวานมีมากเท่าไร วาจาทับถมและคำถากถางที่ต้องแบกรับในวันนี้ก็มีมากเท่านั้น
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ซูเทียนหวาจึงฝืนประคับประคองอยู่ได้เพียงครึ่งชั่วยามกับอีกสองเค่อ ในที่สุดหนุ่มน้อยก็ทานทนไม่ไหว ใช้ลมปราณไปจนหมดต้องกลับคืนสู่สภาพเดิม
ซูจางเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ในสายตาจึงได้แต่ส่ายหน้านิดๆ…อาจารย์ของตนให้ความสำคัญกับหลานอัจฉริยะคนนี้มากเกินไป จนพะวงแต่จะชี้แนะวิชายุทธ์กับวิชากลลวงแก่เขา โดยลืมที่จะหล่อหลอมจิตใจกับความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ของเขาให้ดีๆ ตนก็ได้แต่หวังว่าหลังจากผ่านความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ไปแล้ว เขาจะพบข้อบกพร่องของตนเอง หาไม่เกรงว่าชื่อเสียงความเป็นอัจฉริยะของเขาคงต้องยุติแต่เพียงเท่านี้แล้วจริงๆ
สำหรับผู้เข้าสอบอีกสามคนรวมทั้งหลิวเยวี่ยที่ได้สิทธิ์สอบต่อเช่นกันนั้น หลังจากฝืนประคองตัวจนพ้นครึ่งชั่วยามแล้วต่างก็ทนต่อไปไม่ไหว พวกเขาจึงเพียงกล้อมแกล้มสอบผ่านด้วยคะแนนที่คาบเส้น
และแล้วการสอบย่อยสนามที่สิบเจ็ดนี้ก็ปิดฉากลงด้วยชัยชนะอันสมบูรณ์แบบของซูเพียนจื่อผู้คว้าคะแนนเต็มได้อย่างไร้ข้อกังขา
ซูเพียนจื่อคารวะผู้คุมสอบทั้งห้าก่อนจะเข้าตำหนักไปหิ้วหีบใบใหญ่ของตนกลับออกมา จากนั้นนางก็ปีนขึ้นหลังของฝูอวิ๋นแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับถึงเรือนไม้ไผ่หลังเล็กของตน รอบข้างไม่มีผู้อื่นอยู่แล้ว สาวน้อยจึงได้คลายมือวางหีบลง เพียงเดินซวนเซได้ก้าวเดียวนางก็ล้มลงพื้นหมดสติไป
ผู้อื่นเห็นนางคว้าชัยอย่างผ่อนคลาย แต่กลับไม่มีใครล่วงรู้ว่าในหนึ่งชั่วยามนั้นนางทรมานมากเพียงใด
อาการต่างๆ ของผู้ที่แพ้พิษผึ้งอย่างรุนแรงกับอาการปวดเสียดที่ลำคอและกระเพาะนั้นรุมเร้าจนนางแทบจะเป็นลมคาพื้นสนามสอบไปตั้งแต่แรก ตลอดช่วงเวลานั้นสิ่งที่นางอาศัยมาค้ำจุนตนเองไว้อย่างยากลำบากก็มีเพียงความมุ่งมั่นที่จะไม่ยอมแพ้และไม่ยอมเลิกล้ม
ต่อเมื่อกลับถึงรังเล็กๆ ของตนแล้ว ในที่สุดนางจึงประคับประคองต่อไปไม่ไหวอีก…
ขณะสลบไสลไม่ได้สติ นางคลับคล้ายกับได้ยินใครสนทนากันอยู่ข้างๆ มีใครสักคนทาสิ่งที่เย็นเฉียบลงบนมือกับใบหน้าของนางอย่างละเอียดรอบคอบ ทั้งรินยาน้ำที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้และสมุนไพรลงมาในลำคอของนาง
ร่างกายดูเหมือนจะสบายขึ้นมากทีเดียว นางหลับลึกยิ่งขึ้นจนกระทั่งไม่รับรู้สิ่งใดอีก
ผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดก็สุดที่จะรู้ได้ นางพลันได้ยินเสียงนกกระจอกร้องเจื้อยแจ้วดังคุ้นหู ยังมีเสียงฝูอวิ๋นพ่นลมขึ้นจมูกดังฟืดฟาด กับเสียงกีบเท้าที่เหยาะย่ำอยู่นอกเรือน
นางลืมตาขึ้นช้าๆ สิ่งที่ได้เห็นและสาดลงมาบนเตียงของนางก็คือแสงตะวันอันอบอุ่นเต็มห้อง แซมด้วยสีเขียวขจีของต้นไม้และป่าไผ่ที่ล้อมรอบเรือน
ซูเพียนจื่อกะพริบตา พอนึกถึงเรื่องก่อนหน้าที่ตนจะหมดสติไป สัญชาตญาณก็เรียกให้สาวน้อยยกมือขึ้นมาดู มือที่เมื่อวานบวมฉึ่งราวกีบเท้าหมูได้ฟื้นฟูกลับมาเรียวบางขาวเนียนดังเดิมแล้ว
เมื่อลูบสัมผัสไปที่ใบหน้ากับลำคอ นางก็พบว่าผิวพรรณเรียบลื่นดุจเดิมไม่เหลือความรู้สึกปวดแสบบวมพองแม้แต่น้อย กระทั่งเส้นเสียงก็ไม่รวดร้าวไปถึงหัวใจเช่นก่อนหน้านี้อีก
ตอนที่นางหมดสติอยู่คงมีใครมาป้อนยารักษาอาการให้นางจริงๆ อีกทั้งเห็นผลดีอย่างน่าอัศจรรย์ด้วย
ซูเจินเจินไม่อยู่แล้ว เช่นนั้นคนที่ดูแลนางเป็นใครกัน
“ฝูอวิ๋น?!” ซูเพียนจื่อตะโกนเรียกอาชาเทพที่เดินวนเวียนอยู่นอกเรือน
ไม่ช้าศีรษะใหญ่โตของฝูอวิ๋นก็ยื่นเข้ามาทางช่องหน้าต่างแล้วฉีกยิ้มกล่าว “ท่านตื่นแล้วหรือ จุๆ ยาของผู้อาวุโสใหญ่หานได้ผลชะงัดยิ่งนัก”
“ผู้อาวุโสใหญ่หาน?” ซูเพียนจื่อเอ่ยอย่างแปลกใจ นางจำผู้เฒ่าซึ่งตนได้พบตั้งแต่วันแรกที่มาถึงถ้ำพันจิ้งจอกผู้นี้ได้เพียงเลาๆ ครึ่งปีมานี้สองฝ่ายไม่เคยได้พบปะกันอีกเลย เหตุใดจึงเป็นเขาที่ส่งยามาให้ตนได้เล่า
ฝูอวิ๋นผงกศีรษะรับ “ใช่แล้ว ซูป๋ออวิ๋นศิษย์ของผู้อาวุโสใหญ่หานคือหนึ่งในผู้คุมสอบ เขาพบว่าอาการของท่านผิดปกติอยู่บ้างจึงตามมาดู แล้วก็พบว่าท่านเป็นลมไป ยังดีที่เขาอยู่ด้วย เขาถามข้าเรื่องของท่าน จากนั้นก็กลับไปขอยาจากผู้อาวุโสใหญ่หานมาจำนวนหนึ่ง ดังนั้นท่านจึงได้หายดีเร็วเช่นนี้”
ซูป๋ออวิ๋นกับผู้อาวุโสใหญ่หาน… ซูเพียนจื่อจดจำไว้ในใจเงียบๆ ก่อนจะถามฝูอวิ๋นว่า “ข้าสลบไปนานเท่าไร”
“นับตั้งแต่เมื่อวานที่ท่านเป็นลมล้มพับไป จนถึงตอนนี้ก็เกือบหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว”
“เช่นนั้นก็มีเวลาอีกเก้าวันก่อนจะถึงวันสอบย่อยสนามถัดไป…ข้าจะไปทำของกินก่อน” ซูเพียนจื่อดันผ้าห่มออกแล้วลุกขึ้นนั่ง
“ท่านยังจะเข้าสอบต่ออีกหรือ” ฝูอวิ๋นถามพร้อมดวงตาที่เบิกโต
“อืม เจ้าวางใจเถอะ ถัดจากนี้ต้องทำอย่างไรข้าคิดไว้หมดแล้ว จะไม่โชคร้ายเหมือนครั้งนี้แล้วล่ะ รอไว้ข้าเลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลางเมื่อไร โอกาสที่จะได้เข้าใกล้คลังสมบัติก็จะเพิ่มสูงกว่าเดิม” ซูเพียนจื่อคลี่ยิ้มอันสดใส ราวกับความทุกข์ทรมานที่ได้รับก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเพียงเมฆหมอกที่ผ่านตาไป
ฝูอวิ๋นกะพริบตาปริบๆ ในที่สุดก็ออกแรงพยักหน้ากล่าว “ก็ได้! ต้องเตรียมของอะไรบ้าง ท่านบอกข้ามาได้เลย!”
หนึ่งคนกับหนึ่งม้าวางแผนกันอย่างฮึกเหิมว่าจะผ่านการสอบย่อยสนามถัดไปอย่างไร โดยไม่รู้เลยว่าวีรกรรมที่ซูเพียนจื่อคว้าคะแนนเต็มในการสอบย่อยสิบเจ็ดสนามติดกันนั้นได้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงที่สุดทั่วถ้ำพันจิ้งจอกไปแล้ว แม้กระทั่งบุคคลระดับสูงเช่นประมุขซูถิงหยวน ผู้อาวุโสใหญ่หาน และผู้อาวุโสรองซู สิ่งที่คิดอยู่ในสมองตลอดหนึ่งวันที่ผ่านมาก็คือเรื่องนี้
ดูเฉพาะผลคะแนนในปัจจุบัน ซูเพียนจื่อก็คือศิษย์อัจฉริยะที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอย่างไร้ข้อกังขา หากไม่ใช่เพราะศิษย์ทั้งหมดต้องสอบย่อยจนครบทั้งยี่สิบสนามจึงจะเลื่อนระดับได้ล่ะก็ อาศัยแค่คะแนนเต็มสิบเจ็ดสนามที่สะสมมาหนึ่งพันเจ็ดร้อยคะแนน นางก็สามารถเป็นศิษย์ระดับกลางได้ตั้งนานแล้ว
ทว่าต้นกล้าที่ดีเยี่ยมถึงเพียงนี้กลับมีข้อบกพร่องที่ร้ายแรงเสียนี่ ช่างน่าเสียดายน่าสะทกสะท้อนใจนัก
เมื่อได้ฟังจากปากของซูป๋ออวิ๋น ซูถิงหยวนกับผู้อาวุโสทั้งสองล้วนรับรู้แล้วว่าซูเพียนจื่อใช้วิธีเหนือชั้นอะไรมาคว้าคะแนนเต็มในการสอบย่อยสนามที่สิบเจ็ด เด็กสาวผู้หนึ่งสามารถทำใจเหี้ยมกับตนเองได้ถึงเพียงนี้ช่างทำให้ผู้อื่นคาดไม่ถึงจริงๆ
ในที่สุดผู้อาวุโสรองซูก็ยอมรับนับถือนางจนหมดใจ “เทียนหวาสู้ยายหนูเพียนจื่อผู้นี้ไม่ได้จริงๆ การสอบย่อยสนามที่สิบหกอาจพูดได้ว่านางใช้กลโกง แต่สนามสอบที่สิบเจ็ดนี้…จิตใจที่แน่วแน่ไม่ท้อถอยกับฝีมือที่เด็ดเดี่ยวเฉียบขาด ศิษย์ในถ้ำพันจิ้งจอกทั้งเบื้องบนเบื้องล่างไม่มีแม้สักคนที่เปรียบกับนางได้”
“นางรู้จักสร้างภาพจำที่แจ่มชัดเอาไว้ในใจของเหล่าผู้คุมสอบก่อน จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากศิษย์คนอื่นในสนามสอบมาเป็นเครื่องกำบังให้ตนเอง สร้างความสับสนแก่สายตาของผู้คน ความคิดอันเฉียบแหลมแยบคายกับฝีมือในการพลิกแพลงปลอมตัวก็ล้วนยอดเยี่ยมยิ่งนัก” ผู้อาวุโสใหญ่หานเป็นผู้ที่ให้ความสนใจซูเพียนจื่อมาตั้งแต่แรกเริ่ม จึงยิ่งภูมิอกภูมิใจในสายตาของตนเป็นอย่างยิ่ง
มีเพียงซูถิงหยวนผู้เป็นประมุขสกุลซูและท่านปู่แท้ๆ ของซูเพียนจื่อที่นิ่งเงียบไม่พูดจามาตลอด รอจนผู้อาวุโสทั้งสองพูดจบไปพักใหญ่แล้ว เขาจึงปริปากในที่สุด
“ข้าคิดไม่ตกว่าเหตุใดนางจึงยอมจ่ายค่าตอบแทนใหญ่หลวงเช่นนี้เพียงเพื่อจะเข้าร่วมการสอบย่อย นางน่าจะรู้ดีว่าตนเองมีข้อจำกัด ต่อให้สามารถเลื่อนเป็นศิษย์ระดับกลางก็ไม่อาจฝึกวิชายุทธ์ได้อยู่ดี และยิ่งไม่มีทางจะได้เรียนรู้ทักษะวิชากลลวงขั้นสูงยิ่งไปกว่านี้”
“ถ้าอย่างไรพวกเราลองถามนางตรงๆ เลยดีหรือไม่” ผู้อาวุโสใหญ่หานเสนอแนะ
จริงอยู่หากได้เป็นศิษย์ระดับกลางแล้ว สิทธิ์ที่จะได้รับในถ้ำพันจิ้งจอกย่อมดีกว่าเดิมมาก แต่ถึงอย่างไรที่แห่งนี้ก็ยกย่องกันตามความสามารถที่แท้จริงอยู่วันยังค่ำ ไม่ว่าด้านอื่นๆ ซูเพียนจื่อจะเก่งกาจสักเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นแค่ขยะที่ไม่อาจฝึกวิชายุทธ์ได้อยู่ดี แม้กระทั่งอนาคตบนเส้นทางการฝึกวิชากลลวงก็มีขีดจำกัดอย่างยิ่ง ต่อให้กลายเป็นศิษย์ระดับกลางแล้ว นางก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของตนได้
ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ การสู้สุดตัวของซูเพียนจื่อจึงดูแปลกยิ่งนัก
เมื่อซูถิงหยวนทักขึ้นมา ผู้อาวุโสใหญ่หานกับผู้อาวุโสรองซูจึงได้ฉุกคิดถึงจุดที่ไม่สมเหตุสมผลนี้ และอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วตรึกตรอง
ซูถิงหยวนใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ ท้ายที่สุดก็ไม่ได้ตอบรับข้อเสนอของผู้อาวุโสใหญ่หาน “ยังคงรอให้นางเลื่อนขึ้นมาเป็นศิษย์ระดับกลางจริงๆ ก่อนค่อยว่ากันเถอะ ให้พวกเราได้เห็นฝีมือของยายหนูผู้นี้ให้ชัดๆ ดูซิว่านางอาศัยกำลังของตนเองจะสามารถเดินไปได้ถึงจุดใด นี่ก็เป็นการหล่อหลอมที่ไม่เลวอย่างหนึ่ง”
เช่นนี้เองซูเพียนจื่อจึงคลาดกับโอกาสที่จะได้เข้าใกล้คลังสมบัติบนยอดเขาไปอีกครั้ง…
อันที่จริงใช่ว่านางไม่เคยคิดจะไปหาท่านประมุขแล้วบอกเขาไปตรงๆ ว่าขอเพียงตนเสาะพบ ‘ไร้นาม’ ก็จะสามารถคลายผนึกและฝึกวิชายุทธ์ได้ ทว่าฝูอวิ๋นพูดแค่ไม่กี่ประโยคก็หักล้างความคิดของนางแล้ว
“ยังไม่ต้องเอ่ยถึงว่าท่านประมุขจะเชื่อคำพูดของท่านหรือไม่ เพราะต่อให้เขาเชื่อ เขาคนเดียวก็ไม่มีสิทธิ์จะอนุญาตให้ท่านเข้าใกล้คลังสมบัติเป็นกรณีพิเศษอยู่ดี หากจะละเมิดกฎของสกุลซู ก็จำต้องให้ผู้เป็นประมุขกับผู้อาวุโสทั้งหมดเห็นพ้องต้องกัน ท่านประมุขกับผู้อาวุโสใหญ่หานมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบิดาของท่าน บางทีอาจยอมละเมิดกฎ ทว่าผู้อาวุโสอีกสี่คนที่เหลือนั้นไม่แน่ พวกเขาต่างก็มีกลุ่มอำนาจเป็นของตนเอง ในมือมีศิษย์อนาคตไกลอยู่เต็มไปหมด ใครเล่าจะไม่อยากให้ศิษย์ของตนได้ครองไร้นาม หากท่านโชคดีได้ไปครองจริง พวกเขาไม่ต้องดูสีหน้าของท่านไปชั่วชีวิตหรอกหรือ
ที่สำคัญที่สุดคือ…หากเรื่องของท่านแพร่งพรายออกไป คนอื่นๆ ที่อยากได้ไร้นามเช่นกันจะจัดการท่านอย่างไรบ้าง ใจคนยากแท้หยั่งถึง บิดาของท่านเคยรู้สึกได้ถึงการคงอยู่ของไร้นาม และถึงขั้นเรียกใช้พลังบางส่วนของมันได้ ดังนั้นโอกาสที่ท่านจะได้ครองไร้นามจึงสูงยิ่งกว่าผู้อื่น สำหรับคู่แข่งที่กล้าแข็งเช่นนี้ วิธีการที่แน่นอนที่สุดก็คือกำจัดทิ้งก่อนค่อยมาว่ากัน!” ฝูอวิ๋นเอ่ยพร้อมดวงตาที่เผยประกายดุร้าย
ซูเพียนจื่อคิดแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่เหมือนกัน อีกอย่างฝูอวิ๋นก็ไม่น่าจะหลอกนางในเรื่องนี้ ดังนั้นนางจึงไม่พิจารณาทางลัดที่อันตรายสายนี้อีก
จนกระทั่งเนิ่นนานหลังจากนั้น นางจึงค่อยเข้าใจแจ่มแจ้งว่าที่จริงแล้วตนถูกฝูอวิ๋นหลอก…เพียงแต่เรื่องนี้ก็ไม่นับเป็นการหลอกลวงด้วยประสงค์ร้ายจริงๆ นั่นล่ะ
ในการสอบย่อยสนามถัดไป จำนวนศิษย์ที่มาล้อมชมต้องบรรยายด้วยคำว่า ‘ทะเลมนุษย์’ เท่านั้น เพราะแม้กระทั่งศิษย์ระดับกลางและระดับสูงจำนวนมากที่ปกติทะนงในฐานะก็ยังอดไม่ได้ต้องมาร่วมชมความครึกครื้นนี้
สนามสอบที่สิบแปดนี้คือการทดสอบด้านพลังสายตากับการได้ยิน การสอบจึงถูกแบ่งออกเป็นสองรอบ
รอบแรก ในตำหนักจะปล่อยนกขมิ้นขาวกับนกจาบเมฆหิมะนับพันตัวออกไปพร้อมกัน นกสองชนิดนี้ไม่ว่ารูปลักษณ์หรือเสียงร้องล้วนคล้ายคลึงกันอย่างยิ่ง ความต่างเพียงหนึ่งเดียวก็คือบนหลังของนกขมิ้นขาวจะมีเส้นสีดำที่ไม่ค่อยเด่นชัดอยู่เส้นหนึ่ง ผู้เข้าสอบจะต้องหาว่ามีนกขมิ้นขาวอยู่ทั้งสิ้นกี่ตัวภายในเวลาชั่วสิบอึดใจ
แน่นอนว่าหากคลาดเคลื่อนไปจากคำตอบที่ถูกต้องยิ่งน้อย คะแนนก็จะยิ่งสูง
หลังจากที่ผู้เข้าสอบพลาดติดกันมาสามคน ก็ถึงคราวลงสนามของซูเพียนจื่อผู้เป็นที่จับตาของฝูงชน
สิ้นเสียงย่ำระฆัง ซูเพียนจื่อไม่แม้แต่จะมองนกนับไม่ถ้วนที่กรูออกมาบินฉวัดเฉวียนอยู่เหนือศีรษะ นางเพียงแบฝ่ามือออกอย่างแสนจะเยือกเย็น แล้วโปรยเมล็ดของต้นไหว* หอมกำใหญ่ลงพื้น นั่นก็คืออาหารสุดโปรดของนกขมิ้นขาว
เมล็ดพืชสีเขียวสดกำใหญ่นั้นยังไม่ทันจะตกพื้น นกขมิ้นขาวที่บินวนอยู่บนเพดานตำหนักก็เปล่งเสียงร้องพลางโฉบลงมาแล้ว
ซูเพียนจื่อโปรยเมล็ดพืชต่อไป ในใจก็นับจำนวนนกขมิ้นขาวที่ก้มหน้าก้มตาเขมือบอาหารฝูงนั้นไป
“สามสิบเจ็ดตัว” ใช้เวลาราวชั่วเจ็ดอึดใจเท่านั้น ซูเพียนจื่อก็นับได้แน่ชัดพร้อมทั้งทวนซ้ำอีกรอบแล้ว
ผู้คุมสอบตระหนักได้ตั้งแต่ชั่วอึดใจแรกที่นางหยิบเมล็ดของต้นไหวหอมออกมาแล้ว เหล่าศิษย์ที่ล้อมชมอยู่ก็เข้าใจแล้วเช่นกัน นกขมิ้นขาวกับนกจาบเมฆหิมะนั้นนอกจากรูปลักษณ์มีความต่างอยู่เล็กน้อยแล้ว พวกมันยังมีความต่างที่สำคัญอยู่อีกข้อหนึ่ง นั่นคือนกขมิ้นขาวชอบกินเมล็ดพืช โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดของต้นไหวหอม ส่วนนกจาบเมฆหิมะนั้นกินแต่หนอนแมลงตัวเล็กๆ
ซูเพียนจื่อได้คะแนนเต็มอีกครั้งอย่างไม่ต้องสงสัย นับแต่นั้นมาการสอบย่อยสนามที่สิบแปดรอบแรกก็มีกฎเพิ่มมาอีกหนึ่งข้อ…นั่นคือห้ามใช้เหยื่อล่อมาดึงดูดให้นกขมิ้นขาวออกจากฝูงมากินอาหาร
รอบที่สองคือบททดสอบด้านการฟัง ผู้เข้าสอบจะต้องปิดตาทั้งสองข้าง จากนั้นอาศัยความต่างของเสียงลมแยกแยะว่าลูกปัดที่ถูกยิงออกมานับไม่ถ้วนเป็นลูกปัดไม้ ลูกปัดหิน หรือว่าลูกปัดเหล็ก พร้อมทั้งเก็บรวบรวมลูกปัดเหล็กมาให้ได้ ผู้ใดที่เก็บลูกปัดเหล็กได้ครบทั้งสิบลูกก็จะได้คะแนนเต็ม
ผู้เข้าสอบสามารถนำอุปกรณ์ที่มีขนาดกว้างยาวไม่เกินหนึ่งฉื่อเข้ามาช่วยในสนามสอบได้หนึ่งชิ้น
อุปกรณ์ที่ซูเพียนจื่อนำมาคือแผ่นกระดานสีดำขนาดกว้างยาวหนึ่งฉื่อ มองไม่ออกว่าทำมาจากวัสดุอะไร ทว่าเมื่อได้เห็นภาพอันชอบกลหลังจากการสอบเริ่มต้นขึ้น ทุกคนก็ตระหนักได้ในพริบตา…
เห็นได้ชัดว่านั่นคือกระดานที่ฝังแม่เหล็กก้อนเล็กๆ เอาไว้จนเต็ม นางไม่ต้องตั้งใจสดับฟังอะไรทั้งสิ้น ขอเพียงยกกระดานขวางไปยังทิศทางที่ลูกปัดลอยมา ลูกปัดเหล็กที่ปะปนอยู่ก็ย่อมจะถูกดูดไว้บนกระดาน ในขณะที่ลูกปัดไม้กับลูกปัดหินล้วนกระดอนออกไปไม่เหลือแม้แต่ครึ่งลูก
ผู้คุมสอบยิ้มเฝื่อนขณะจดคะแนนเต็มในการสอบย่อยสนามที่สิบแปดให้กับซูเพียนจื่อ จากนั้นเขาก็ประกาศออกมาทันทีว่าการสอบย่อยในครั้งต่อไปจะไม่ให้เก็บรวบรวมลูกปัดเหล็กแล้ว ให้เปลี่ยนมาเก็บรวบรวมลูกปัดหินแทน
เหล่าผู้เข้าสอบพากันหัวเราะครืน บางคนก็ลอบตำหนิตนเอง…วิธีการที่ทั้งเรียบง่ายทั้งได้ผลดีเช่นนี้ เหตุใดเมื่อก่อนตนจึงนึกไม่ถึงนะ
ทุกคนถกความเห็นกันอย่างครึกครื้นถึงความเจ้าเล่ห์แสนกลของซูเพียนจื่อ กับเรื่องการสอบย่อยสนามถัดไปว่านางจะใช้วิธีแปลกใหม่อะไรมาเอาชนะบททดสอบ ไม่มีใครสังเกตว่าวันนี้ซูเทียนหวาไม่ได้มาเข้าร่วมการสอบย่อย
ในความเป็นจริงการสอบย่อยอีกสองสนามถัดจากนั้น เขาก็ไม่ได้มาด้วยเช่นกัน…
ซูเพียนจื่อยิ้มตาหยีออกจากสนามสอบไปกับฝูอวิ๋นเพื่อเตรียมการต่อสำหรับการสอบย่อยสองสนามที่เหลือ
ฝูอวิ๋นพูดบ่นทีเล่นทีจริง “ท่านไม่ต้องคว้าคะแนนเต็มทุกสนามสอบก็ได้ นี่เป็นการยั่วให้ผู้คนริษยามากไปแล้ว”
ซูเพียนจื่อตอบกลั้วหัวเราะ “อย่างไรก็ทำคะแนนเต็มไว้ก่อนปลอดภัยกว่า เกิดพลาดพลั้งสอบไม่ผ่านขึ้นมา คราวหน้าก็ไม่อาจใช้ลูกไม้เดิมมาโกงแล้ว อีกอย่าง…”
“อีกอย่างอะไร”
“พวกเขาล้วนบอกว่าท่านพ่อข้าคืออัจฉริยะอันดับหนึ่งของสกุลซู ข้าคือบุตรสาวของท่านพ่อ ข้าหวังว่าท่านจะภาคภูมิใจในตัวข้า!” ซูเพียนจื่อกอดคอฝูอวิ๋นพลางเอ่ยเสียงเบา
ฝูอวิ๋นเงียบงันอยู่ชั่วอึดใจก็ฉีกยิ้มกล่าว “บิดาของท่านจะต้องภาคภูมิใจมากแน่ๆ ที่มีบุตรสาวซึ่งยอดเยี่ยมเช่นท่าน”
“ข้าเองก็รู้สึกว่าท่านพ่อจะต้องคิดเช่นนี้” ซูเพียนจื่อแย้มยิ้มอย่างเบิกบานใจ
ฝูอวิ๋นขบคิดเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม “สนามถัดไปทดสอบเรื่องความเร็วในการหลบหนี ท่านตั้งใจว่าจะทำอย่างไร เตียวเจาะภูผามีความเร็วไม่ใช่เล่นๆ ถูกมันงับเข้าสักคำก็เจ็บมากด้วย”
ขณะนี้ทั้งสองอยู่กลางอากาศ พูดคุยกันไม่ต้องกลัวว่าจะมีผู้อื่นแอบฟัง ดังนั้นมันจึงเอ่ยถามอย่างผ่าเผยตรงไปตรงมา
การสอบย่อยสนามที่สิบเก้า กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือการวิ่งหนีอยู่ในตำหนักที่ใช้เป็นสนามสอบโดยมีเตียวเจาะภูผาไล่กวด ภายในเวลาครึ่งเค่อหากไม่ถูกเตียวเจาะภูผาไล่ทันก็ถือว่าสอบผ่าน หากยืนหยัดได้ครบหนึ่งเค่อก็จะได้คะแนนเต็ม
ความแคล่วคล่องว่องไวของเตียวเจาะภูผาเป็นสิ่งคุกคามใหญ่หลวงสำหรับผู้ฝึกวิชาขั้นถอดรูป มีแต่เลื่อนสู่ขั้นเปลี่ยนกระดูกแล้วเท่านั้นจึงจะกล้าพูดอย่างค่อนข้างมั่นใจว่าจะไม่ถูกมันไล่ตามทัน
ซูเพียนจื่อยิ้มตอบ “เรื่องนี้น่ะหรือ…พวกเราต้องเตรียมการไว้สองชั้น ได้ยินว่าผู้คุมสอบสนามที่สิบเก้ารับมือยากยิ่งด้วยกระมัง”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 20 ก.พ. 64
Comments
comments
No tags for this post.