บทที่ 4
เริ่มจากนั่งรถเทียมวัวจากเมืองชงโจวมาถึงเมืองอู๋เทียน จากอู๋เทียนก็เดินทางทางน้ำไปโซ่วโจว สุดท้ายก็ร่วมเช่ารถม้ากับผู้อื่นตรงไปยังเมืองหลวง
วันที่เข้าสู่เมืองหลวงคือวันที่แปดเดือนสี่ เป็นวันคล้ายวันประสูติของพระพุทธองค์พอดี วัดใหญ่ทั้งเก้าแห่งในเมืองหลวงต่างจัดให้มีการสรงน้ำพระทำบุญเลี้ยงพระ แจกน้ำพระพุทธมนต์ที่ใช้สมุนไพรหอมต้มกับน้ำตาลให้กับคนที่มาวัด บนท้องถนนในเมืองคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ดอกทับทิมผลิบาน ต้นหลิวแตกกิ่งอ่อน อากาศแจ่มใสอบอุ่น สายลมบางเบาพัดโชยเอื่อย ธงทิวหลากสีสันพลิ้วไหว ปานประหนึ่งยุคสมัยที่บ้านเมืองเจริญรุ่งเรืองและสงบสุข
เมิ่งถิงฮุยลงจากรถม้า ช้อนตาขึ้นก็เห็นหอสูงสามชั้นตรงมุมถนนหลังนั้น ที่นั่นคือหอสุราอี๋ไท่ที่ใหญ่โตรโหฐาน นางยืนนิ่งอยู่กับที่ด้วยความงุนงงเล็กน้อย แล้วจึงคว้าห่อสัมภาระเดินไปข้างหน้า
แต่ไรมาก็ได้ยินว่าเมืองหลวงเจริญรุ่งเรือง แต่ถ้าไม่ได้มาเห็นด้วยตาตนเอง จะนึกภาพต่างๆ ออกได้อย่างไร
เสี่ยวเอ้อร์ที่หน้าประตูหอสุราอี๋ไท่เห็นนางแล้วก็เดินเข้ามาต้อนรับแต่ไกล ยิ้มพลางกล่าวอย่างอบอุ่นเป็นกันเอง “แม่นางมาเมืองหลวงเพื่อเข้าสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของสตรีที่กรมพิธีการกระมัง” ครั้นเห็นเมิ่งถิงฮุยพยักหน้า เขาก็ผายมือ “แม่นาง เชิญด้านใน”
เมิ่งถิงฮุยเดินเข้าไป เห็นห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่งของหอสุราสงบเงียบยิ่งก็อดยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ “คงไม่ใช่เพราะจวี่เหรินสตรีที่มาสอบที่กรมพิธีการต่างต้องเข้าพักที่หอสุราอี๋ไท่ หอสุราอี๋ไท่จึงไม่เปิดทำการจนกว่าการสอบของกรมพิธีการจะเสร็จสิ้นกระมัง”
เสี่ยวเอ้อร์รับห่อสัมภาระของนางมา พานางเดินไปที่หน้าโต๊ะบัญชี สั่นศีรษะพลางกล่าวยิ้มๆ “แม่นางมาจากเมืองอื่น ไม่รู้ถึงธรรมเนียมและความเคยชินในเมืองหลวง วันนี้เป็นวันประสูติของพระพุทธองค์ ในเมืองผู้คนมากมายต่างไปวัดกันแต่เช้า รับน้ำพระพุทธมนต์ ด้วยเหตุนี้หอสุราจึงมีแขกน้อย”
ครานี้เมิ่งถิงฮุยจึงได้เข้าใจแล้ว ยิ้มพลางเดินไปที่หน้าโต๊ะบัญชีในห้องโถงใหญ่ กล่าวกับหลงจู๊ “เมิ่งถิงฮุย เมืองชงโจว เฉาอันเป่ยลู่”
หลงจู๊มองนางแวบหนึ่ง หมุนตัวไปหยิบจดหมายจากโต๊ะด้านหลังมาฉบับหนึ่งแล้วยื่นให้นาง “เพิ่งมาถึงเมื่อวาน ข้ายังสงสัยอยู่พอดี เหตุใดหอสุราอี๋ไท่ยังไม่มีคนผู้นี้เข้ามาพักเลย”
เมิ่งถิงฮุยประหลาดใจ รับจดหมายมาแล้วเปิดออกอ่าน
กระดาษจดหมายบางๆ แผ่นหนึ่งเต็มไปด้วยตัวอักษรที่กำเริบเสิบสานและโอหังอวดดี คำพูดมากมายตำหนินางที่จากมาโดยไม่บอกลา ประโยคสุดท้ายจึงบอกว่ารักษาตัวให้ดี
นางอมยิ้มมุมปาก สายตากวาดมองไปยังจุดที่ลงชื่อ
อันที่จริงไม่ต้องดูก็รู้ คนที่เขียนจดหมายเช่นนี้ให้นางได้ นอกจากเหยียนฟู่จือแล้วยังจะมีใครได้อีก
จากมาโดยไม่บอกลาเป็นนางทำไม่ถูก แต่ชีวิตนี้เรื่องที่นางทำไม่เป็นมากที่สุดก็คือการบอกลา
บอกลาแล้วจะมีประโยชน์อะไร
นับแต่นี้อยู่ห่างไกลกันคนละแห่ง หากมีวาสนาต่อกันย่อมได้พบกันอีก
ก็เหมือนกับ…
ในสมองของเมิ่งถิงฮุยเพิ่งมีเงาร่างคนผู้หนึ่งวาบผ่าน ความคิดกลับถูกคนขัดจังหวะ…
“เจ้าก็คือเมิ่งถิงฮุย คนที่องค์รัชทายาททรงเลือกให้เป็นเจี้ยหยวนของเฉาอันเป่ยลู่ผู้นั้นใช่หรือไม่”
ในห้องโถงใหญ่ไม่รู้มีสตรีในชุดเรียบๆ หลายคนเข้ามาตั้งแต่เมื่อไร หนึ่งในนั้นกำลังแทรกมาที่ข้างกายนาง ยามเห็นชื่อที่หลงจู๊เขียนลงไป ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจอย่างยิ่ง
เมิ่งถิงฮุยคิดไปคิดมาแล้วผงกศีรษะน้อยๆ “แม่นาง…”
คำพูดยังกล่าวไม่จบ สตรีผู้นั้นก็โพล่งออกมาด้วยความตื่นตะลึง “เจ้าก็คือเมิ่งถิงฮุยจริงๆ?!”
เมิ่งถิงฮุยย่นหัวคิ้ว ไม่เข้าใจความหมายของอีกฝ่าย
สตรีหลายคนต่างกระซิบกระซาบกันหลายคำ แล้วจึงกล่าวยิ้มๆ กับนาง “จวี่เหรินสตรีจากเส้นทางต่างล้วนมาถึงกันหลายวันแล้ว มีคนพูดถึงชื่อของเจ้าไปทั่วหอสุราอี๋ไท่ตั้งแต่แรก”
เมิ่งถิงฮุยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เข้าใจแล้ว กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “ข้าเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงเช้าวันนี้ นั่งรถม้ามาตลอดทางเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้านัก ขอให้ข้าไปพักผ่อนก่อน แล้วค่อยมาคุยเล่นกับแม่นางทั้งหลาย”
นางถามเสี่ยวเอ้อร์ไปสองคำ แล้วหิ้วสัมภาระขึ้นไปชั้นบน
หลายคนนั้นยังคงแอบกระซิบกระซาบกัน…
“ก็แค่เจอโชคใหญ่เท่านั้น มีอันใดต้องหยิ่งยโสกัน”
“พูดได้ถูกต้อง หลายปีมานี้เฉาอันเป่ยลู่ไม่เคยมีจ้วงหยวนหญิงปรากฏ ถึงนางจะเป็นเจี้ยหยวนของเฉาอันเป่ยลู่แล้วอย่างไร ไม่แน่ความเรียงอาจจะยังสู้จวี่เหรินของเส้นทางต่างๆ แถบเมืองหลวงที่เขียนส่งๆ ไม่ได้ก็เป็นได้!”
“คนที่มาเมืองหลวงเข้าสอบของกรมพิธีการได้ คนใดบ้างไม่ใช่ผู้มีความรู้ความสามารถที่แท้จริง รอดูกันต่อไปเถิด ตอนกรมพิธีการปิดประกาศนางจะสอบเป็นก้งเซิง ได้หรือไม่”
เมิ่งถิงฮุยแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเดินขึ้นไปข้างบน ตอนผลักประตูเข้าไป สีหน้าจึงปรากฏความไม่พอใจ
ห้องแม้จะเล็กแต่ก็สะอาดเรียบร้อย
นางวางสัมภาระลง จากนั้นก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียง
ม่านมุ้งลายดอกเล็กๆ สั่นไหวทำท่าจะหล่นอยู่เหนือศีรษะ ตะขอแขวนสีทองสาดประกายวิบวับเล็กน้อย หน้าต่างเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ยังคงได้กลิ่นหอมหวานจางๆ ของสุราต้มที่ร้องขายอยู่บนถนนด้านนอก
นางหลับตา นิ้วมือลูบเตียงที่ทำจากไม้แดงเบาๆ
ยังไม่ทันเปิดสอบนางก็ตกเป็นเป้าการวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน ลำพังคำเล่าลือที่องค์รัชทายาทเจาะจงให้นางเป็นเจี้ยหยวนประโยคเดียวก็ผลักนางขึ้นไปอยู่ปลายยอดคลื่นแล้ว
ความคิดขององค์รัชทายาทผู้นี้แม้จะยากแก่การคาดเดา แต่ก็ใช่ว่านางจะคาดเดาไม่ออกเลย
เจาะจงให้นางที่ถูกคัดชื่อออกไปแล้วเป็นเจี้ยหยวน จิตใจที่ถนอมผู้มีความรู้ความสามารถย่อมมี แต่จุดประสงค์ของการเผยแพร่ความเมตตานี้ออกไปจนทุกคนในเฉาอันต่างรู้กันทั่ว เห็นชัดว่าเป็นเพราะเขาไม่ชอบวิธีการที่มุ่งมั่นต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่งของนาง และต้องการให้นางที่ได้รับ ‘ชื่อเสียง’ อย่างที่ปรารถนาถูกผู้คนตั้งข้อสงสัยและวิจารณ์อย่างรุนแรงถึงความรู้ความสามารถของนาง
นี่เป็น ‘บททดสอบ’ ครั้งหนึ่งของนาง
บางทีเขาอาจคิดอยากจะดูว่าภายใต้สถานการณ์ที่ต้องแบกรับภาระทางจิตใจที่หนักหน่วงเช่นนี้ บนเส้นทางของจิ้นซื่อเคอจวี่เส้นนี้ นางจะสามารถเดินไปได้ไกลเพียงใด รวมถึงความรู้ความสามารถและความมุ่งมาดปรารถนาอันแรงกล้าที่อยู่ในใจของนางเหล่านั้น จะสามารถทำให้คนมองนางด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอีกครั้งได้หรือไม่
ช่วงอาหารกลางวัน ชั้นหนึ่งชั้นสองของหอสุราอี๋ไท่ดูคึกคักขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
บรรดาผู้คนที่ไปวัดไหว้พระในตอนเช้าจำนวนมากกลับเข้ามาแล้ว รวมตัวกันอยู่ที่ชั้นล่าง พูดคุยหัวเราะกันถึงเรื่องน่าสนุกที่ได้ยินได้ฟังมาจากในเมืองวันนี้ จวี่เหรินสตรีที่พักอยู่ในหอสุราอี๋ไท่รอสอบจำนวนหนึ่งก็จับกลุ่มกันสองคนสามคนลงมากินข้าว เสียงพูดคุยเสียงหัวเราะดังไม่ขาดหู
ตอนเมิ่งถิงฮุยลงมา ผู้คนที่นั่งอยู่รอบด้านมีทั้งชายหญิง คนชราและเด็ก ต่างพูดคุยกันเซ็งแซ่ นางเลือกที่นั่งตรงมุมหนึ่งแล้วนั่งลง สั่งโจ๊กมาชามหนึ่งกับผัดผักอีกจานหนึ่ง นั่งกินช้าๆ อยู่คนเดียว เงี่ยหูฟังว่าคนรอบข้างพูดคุยเรื่องอะไรกัน
มีคนบอก “เมื่อเช้านี้ไปวัดไท่ฉางทางตะวันตกของเมือง เห็นมีคนไม่น้อยตั้งใจมาจากเมืองและอำเภอในละแวกใกล้เคียงเมืองหลวง เพื่อจะได้รับแบ่งปันน้ำพระพุทธมนต์!”
“กล่าวกันว่าน้ำพระพุทธมนต์ที่วัดไท่ฉางมอบให้ผู้ที่มาทำบุญไหว้พระต้องส่งเข้าวังด้วย ในเมื่อฮ่องเต้เสวย ทุกคนย่อมอยากจะสัมผัสไอมังกรนี้ด้วย”
“หลายปีมานี้ใต้หล้ามั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ ฮ่องเต้ก็เข้าพระทัยและทรงมีพระเมตตาต่อราษฎร ไม่ระดมกำลังทหาร ไม่เพิ่มภาษี พักนี้ได้ยินว่าชายแดนทางเหนือจะเปิดตลาดแลกเปลี่ยนการค้ากับแคว้นเป่ยเจี่ยน อยากให้วันเวลาสงบสุขเช่นนี้ตลอดไปจริงๆ…”
“นี่ พวกท่านเคยได้ยินข่าวนี้หรือไม่ รอองค์รัชทายาทแต่งตั้งพระชายาแล้ว ฮ่องเต้ก็จะสละราชบัลลังก์ส่งต่ออำนาจแล้ว!”
“ข่าวลือจากที่ใดกัน”
“ไม่ว่าจะเป็นข่าวลือหรือไม่ เพียงพูดถึงตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาท พวกท่านลองคิดดู บุตรสาวของผู้มีบรรดาศักดิ์ระดับอ๋องระดับกงบ้านใดที่จะมีวาสนาเช่นนี้”
“นี่ยังต้องพูดอีกหรือ นอกจากบุตรสาวสกุลเสิ่นแล้วก็ไม่มีทางเป็นใครอื่นไปได้!”
“สกุลเสิ่นไหนหรือ”
“ยังจะเป็นสกุลเสิ่นไหนได้อีก ย่อมเป็นบุตรสาวของเสิ่นไท่ฟู่…”
คนทั้งโต๊ะต่างจุปากพยักหน้า “ก็จริง ตอนนั้นเสิ่นฮูหยินเจิงซื่อติดตามฮ่องเต้เสด็จนำทัพออกรบ เคยสร้างความดีความชอบใหญ่หลวง เสิ่นไท่ฟู่กับฮ่องเต้ก็เป็นขุนนางกับกษัตริย์ที่เข้ากันได้ดีมาหลายสิบปี ถ้าพูดถึงไมตรีจิตกับราชวงศ์ ในราชสำนักใครสามารถเทียบเคียงได้ ใครกล้าเทียบเคียง บุตรสาวสกุลเสิ่นกับพี่ชายของนางก็เล่นอยู่ในวังด้วยกันตั้งแต่เล็กจนโต ความสัมพันธ์กับองค์รัชทายาทยิ่งไม่ตื้นเขิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีอิ่งกั๋วฮูหยินมารดาบุญธรรมผู้นี้ ไม่ว่าอย่างไรก็นับได้ว่าเป็นพระญาติผู้สูงศักดิ์ อีกประการหนึ่ง บุตรสาวสกุลเสิ่นอายุยี่สิบแล้วยังไม่ได้หมั้นหมายกับใคร พวกท่านลองว่ามาซินี่เพราะสาเหตุใด ย่อมเป็นเพราะรอตำแหน่งพระชายาองค์รัชทายาทแล้ว…”
ระหว่างพูดอยู่นั้นมีจวี่เหรินสตรีหลายคนกลับมาจากข้างนอก หลังจากนั่งลงสีหน้าก็ดูเซื่องซึม ท่าทางกลัดกลุ้มไม่มีความสุข
บรรดาสตรีที่กินอาหารอยู่ด้านข้างเห็นแล้วจึงพากันเข้ามาถาม “เป็นอย่างไร ใต้เท้ากู่ยอมรับเทียบเข้าเยี่ยมคารวะหรือไม่”
สตรีผู้หนึ่งชายตาเยียบเย็นมองทุกคนวาบหนึ่ง “รับอะไรกัน ใต้เท้ากู่เป็นผู้ใด นั่นเป็นคนที่นอกจากผิงอ๋องแล้ว ไม่ว่ามิตรไมตรีของใครก็ไม่มองทั้งนั้น!” นางหยุดไปชั่วขณะ แล้วมุ่ยปากบอก “การสอบของกรมพิธีการในครั้งนี้ฮ่องเต้ทรงให้ใต้เท้ากู่เป็นขุนนางผู้คุมสอบ ข้าว่าทุกท่านอย่าได้สิ้นเปลืองเวลาเลย มีเวลาก็อ่านหนังสือให้มาก อย่าเพ้อฝันว่าจะสามารถยื่นเทียบถามทางล่วงหน้าเลย!”
เหล่าสตรีต่างทอดถอนใจ กลับไปนั่งอย่างผิดหวัง
เมิ่งถิงฮุยฟังด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ค่อยๆ วางตะเกียบในมือลง หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดปากเบาๆ เตรียมจะลุกขึ้นกลับไปข้างบน
ในกลุ่มคนโต๊ะด้านข้างที่เมื่อครู่เพิ่งวิพากษ์วิจารณ์เรื่องแต่งตั้งพระชายา มีคนหนึ่งเอ่ยเสียงต่ำขึ้นมา “ดูนั่น เพิ่งพูดถึงอยู่เชียว มาแล้วนั่น!”
“ใครมาแล้ว หรือว่าบุตรสาวสกุลเสิ่น…”
“จุ ไม่เห็นรถม้าที่เพิ่งหยุดอยู่นอกหอสุราอี๋ไท่คันนั้นหรือ สี่ล้อพระราชทาน! หญิงสาวที่ลงมาจากบนรถผู้นั้นก็คือนางมิใช่หรือ!”
เมิ่งถิงฮุยได้ยินแล้วหมุนตัวกลับมามองไปที่หน้าประตูหอสุราอี๋ไท่
หญิงสาวสวมกระโปรงร้อยจีบสีแดงอมส้ม แขนเสื้อโปร่งบางบดบังกำไลหยก เสื้อคลุมผ่าหน้าปักหมุดทองสองแถวยาวคลุมเข่าพอดี ด้านหลังศีรษะเกล้ามวยผมทรงเมฆไหล ที่กำลังเป็นที่นิยมในราชสำนักไว้หลวมๆ กำลังก้าวช้าๆ ข้ามธรณีประตูเข้ามา
พอนางปรากฏตัวขึ้น ประหนึ่งสายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดเข้าหาชายฝั่ง ใบไม้สั่นไหว ชั่วขณะนั้นได้ดึงดูดสายตาของทุกคนที่นั่งอยู่ข้างในมารวมอยู่ที่ตัวนางทั้งหมด
หลงจู๊ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ใต้เท้าเสิ่นไม่ใช่บอกจะมาช่วงเย็นหรือขอรับ ทางข้านี้ยังจัดเตรียมให้ใต้เท้าไม่เรียบร้อย…” เขาหมุนตัวไปเรียกคน “รีบไปเร่งที่ครัวด้านหลัง!”
หญิงสาวยิ้มบางๆ บอก “วันนี้มารดาที่บ้านไม่ค่อยสบาย ไม่ได้ไปวัด ดังนั้นข้าจึงมาก่อนเวลา หลงจู๊ไม่ต้องรีบร้อน ข้ารออยู่ที่นี่ได้ไม่เป็นไร” จากนั้นนางก็เดินไปยังโต๊ะที่อยู่ด้านข้าง ยกชายกระโปรงขึ้นแล้วนั่งลงบนที่นั่ง รอคนเอาของมาให้
คิ้วตรงนัยน์ตาโต ริมฝีปากบางแดงดุจลูกอิงเถา สีผิวไม่ขาวมาก แม้หว่างคิ้วจะมีประกายความองอาจห้าวหาญ แต่ก็ยังคงงดงามยิ่ง
เมิ่งถิงฮุยมองจนเหม่อลอยเล็กน้อย รู้สึกว่าหน้าตาของสตรีที่อยู่ตรงหน้าออกจะคุ้นตา คล้ายเคยเห็นที่ใดมาก่อน แต่ก็รู้แก่ใจดีว่าตนกับอีกฝ่ายไม่รู้จักกัน
นางแอบคิดในใจ คงมีเพียงหญิงงามในวงศ์ตระกูลที่โดดเด่นเช่นนี้เท่านั้นจึงจะคู่ควรกับองค์รัชทายาทที่อาณาประชาราษฎร์จับตามองผู้นั้น
ในบรรดาจวี่เหรินสตรีที่อยู่ด้านข้างมีคนพูดเสียงแผ่วเบา “ได้ยินว่าเดือนที่แล้วนางเพิ่งเข้าทำงานในฝ่ายจื๋อฟางซือ ของกรมทหาร ทั้งฮ่องเต้ทรงประทานพระเมตตาเป็นพิเศษ นางมีท่วงทีกิริยาเฉกเช่นมารดาของนางในปีนั้น เวลานี้บุตรชายหญิงคู่หนึ่งของสกุลเสิ่นต่างก็เป็นขุนนางในราชสำนัก เป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูลอย่างแท้จริง”
“แม้จะบอกว่าต่างก็เป็น ‘ใต้เท้าเสิ่น’ แต่ใต้เท้าเสิ่นท่านนี้รู้จักการเป็นขุนนางมากกว่าพี่ชายของนาง” คนที่อยู่ด้านข้างคนหนึ่งกล่าวเสริมขึ้น ฟังสำเนียงแล้วคล้ายมาจากเส้นทางต่างๆ ใกล้เมืองหลวง คิดว่าคงเข้าใจเรื่องราวในราชสำนักดี “กล่าวกันว่าอุปนิสัยองอาจ แต่ก็ยังคงมีท่วงทีกิริยาที่อ่อนหวานงดงาม แม้แต่เหล่าขุนนางเก่าของสำนักหลักทั้งสองหกกรมก็ยังชื่นชมนางไม่ขาดปาก”
เมิ่งถิงฮุยเม้มๆ ปาก หมุนตัวกลับที่นั่ง หยิบตะเกียบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง คีบผักไม่กี่ชิ้นที่ยังกินไม่หมดส่งเข้าปาก
หญิงสาวผู้นั้นนั่งเงียบๆ ตรงปากประตูอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หันหน้ามองมาทางนี้
การมองครั้งนี้ทำให้บรรดาคนที่ส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก่อนหน้านี้เหล่านั้นต่างปิดปากเงียบทันที ผ่านไปครู่หนึ่งก็พากันลุกขึ้นเดินกลับขึ้นไปข้างบน
เมิ่งถิงฮุยหลุบตาแล้วก็เหลือบตาขึ้น มองสบสายตากับนาง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ลุกขึ้นเดินเข้าไปหา
“ใต้เท้าเสิ่น”
นางยืนอยู่ข้างโต๊ะ กล่าวเสียงเบาอย่างสุภาพมีมารยาท
เสิ่นจือหลี่แพขนตาขยับไหว ดวงตามองสบนาง “ท่านคือ…”
เมิ่งถิงฮุยก้มหน้าเล็กน้อย เสียงยังคงแผ่วเบา “ข้าน้อยเมิ่งถิงฮุย มาเมืองหลวงครั้งนี้เพื่อจะสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีของกรมพิธีการ ข้าน้อยได้ยินชื่อของใต้เท้าเสิ่นมานาน เมื่อครู่ได้ยินคนพูดคุยกันถึงได้รู้ว่าใต้เท้าอยู่ที่นี่ จึงไม่อยากพลาดโอกาส ถ้ามีอะไรล่วงเกินไปยังหวังว่าใต้เท้าจะให้อภัย”
เสิ่นจือหลี่มองประเมินนางแล้วเอ่ยถาม “ใช่เมิ่งถิงฮุยแห่งเฉาอันเป่ยลู่หรือไม่”
เมิ่งถิงฮุยพยักหน้าน้อยๆ “เป็นข้าน้อยเอง”
เสิ่นจือหลี่ชี้ไปที่ข้างกาย กล่าวยิ้มๆ “นั่งสิ”
นางก็นั่งลงตามที่เสิ่นจือหลี่บอก จากนั้นหยิบเทียบบางฉบับหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ วางลงที่มุมโต๊ะเบาๆ “ต่างบอกใต้เท้าเสิ่นเชี่ยวชาญโคลงกลอน ข้าน้อยไร้ความสามารถ วันนี้เห็นเมืองหลวงคึกคักเจริญรุ่งเรือง มีความประทับใจมาก จึงเกิดแรงบันดาลใจแต่งกลอนเล็กๆ ขึ้นสองบท หวังว่าใต้เท้าเสิ่นจะช่วยให้คำชี้แนะสักเล็กน้อย”
เสิ่นจือหลี่คิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเอื้อมมือมาหยิบเทียบฉบับนั้นไป ทว่ากลับไม่ได้เปิดออกดู เพียงคีบไว้ตรงหว่างนิ้วเล่น เป็นนานจึงบอก “ก่อนหน้านี้ตอนข้าได้ยินเรื่องการสอบระดับมณฑลของท่านที่เฉาอันเป่ยลู่ เข้าใจว่าท่านจะต้องเป็นคนโอหังตรงไปตรงมาผู้หนึ่ง ไม่เห็นคุณค่าของการยื่นเทียบผูกไมตรีเช่นนี้ ที่ไหนได้ข้าคิดผิดไปแล้ว”
นางมองเมิ่งถิงฮุย ผลักเทียบกลับมาโดยไม่ได้เปิดอ่าน “เพียงเสียดายที่ข้าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการสอบของกรมพิธีการในครั้งนี้แม้แต่น้อย แม่นางเมิ่งผูกไมตรีผิดคนแล้ว”
เมิ่งถิงฮุยหน้าไม่เปลี่ยนสี กล่าวเสียงเบา “เพียงเกรงว่าถ้าข้าน้อยเป็นคนโอหังตรงไปตรงมาจริง ใต้เท้าเสิ่นกลับจะมองไม่ขึ้นเสียมากกว่า นี่ก็แค่กลอนเล็กๆ สองบทเท่านั้น ใต้เท้าเสิ่นมีจิตใจระแวดระวังมากเกินไปแล้ว”
เสิ่นจือหลี่มองจ้องเมิ่งถิงฮุยอยู่พักใหญ่ ริมฝีปากแดงพลันหยักยกขึ้น “แม่นางพูดได้ถูกต้องแล้ว” นางหยิบเทียบกลับมาเปิดออกดูพลางบอก “ในราชสำนักแต่ไรมาไม่ขาดคนโอหังตรงไปตรงมา แต่คนที่สายน้ำใสสะอาดก็ถากถาง สายน้ำที่ขุ่นและสกปรกก็โจมตี แต่ไรมาอยู่ในแวดวงขุนนางล้วนไม่ได้รับความชื่นชอบ กระทั่งยืนยังยืนไม่มั่นคง มีความรู้ความสามารถในการปกครองบ้านเมืองและประชาราษฎร์อย่างเสียเปล่าจะมีประโยชน์อันใด น่าเสียดาย เหตุผลข้อนี้ถึงกับมีเพียงไม่กี่คนที่เข้าใจ”
เมิ่งถิงฮุยยังคงกล่าวเสียงเบา “ขอบคุณใต้เท้าเสิ่น”
เสิ่นจือหลี่อ่านจบก็เปล่งเสียงชื่นชม “แม่นางเมิ่งมีความสามารถด้านวรรณศิลป์อย่างแท้จริง” นางช้อนตาขึ้นยิ้มๆ “อย่าเรียกข้าว่า ‘ใต้เท้าเสิ่น’ เลย ข้ามีชื่อสองคำว่า ‘จือหลี่’ ชื่อรองว่า ‘เล่อเยียน’ ต่อไปแม่นางเมิ่งเรียกข้าว่าเล่อเยียนเถิด ด้วยความรู้ความสามารถของแม่นางเมิ่ง การมีชื่อในแผ่นประกาศทอง ของการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้มีอันใดยากเล่า ถึงตอนนั้นแม่นางเมิ่งกับข้าต่างเป็นขุนนางในราชสำนัก ยังหวังว่าจะสามารถช่วยเหลือประคับประคองซึ่งกันและกันจึงจะดี”
เมิ่งถิงฮุยรีบลุกขึ้น “มิกล้า”
เสิ่นจือหลี่ยังทำท่าจะพูดอะไรต่อ ก็เห็นมีคนวิ่งเหยาะๆ ออกมาจากด้านหลังหอสุรา ในมือหิ้วห่อกระดาษน้ำมันมาสองห่อ กล่าวกับหลงจู๊ “หลงจู๊ ห่อเสร็จแล้วขอรับ”
นางจึงยืนขึ้นมา ยิ้มพลางหันไปกล่าวกับเมิ่งถิงฮุย “ในบ้านมีธุระ ข้าไม่อาจอยู่นาน รอวันประกาศผลสอบค่อยไปพบกับแม่นางเมิ่งที่นอกที่ทำการกรมพิธีการอีกครั้ง”
เมิ่งถิงฮุยพยักหน้า ยกมือขึ้นทำความเคารพตอบ มองส่งนางจากไป
รอจนรถม้าสี่ล้อคันนั้นจากไปจนมองไม่เห็นแล้ว นางจึงหลุบตาลง มุมปากหยักยกเป็นรอยยิ้มจางๆ หมุนตัวเดินขึ้นไปชั้นบน
นอกจวนสกุลเสิ่นดอกทับทิมส่งกลิ่นหอมไปทั่ว ปุยเมฆกระจายอยู่บางเบา เงียบสงบยิ่ง
บ่าวรับใช้ที่หน้าประตูเห็นเสิ่นจือหลี่ลงมาจากรถม้าก็รีบเข้าไปต้อนรับ “คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว” แล้วรับสิ่งของในมือเสิ่นจือหลี่ เดินตามหลังเข้าประตูไป
เสิ่นจือหลี่จัดๆ เส้นผมรุ่ยร่ายที่ข้างหู สั่งกำชับว่า “ของเหล่านี้ล้วนเป็นของที่คุณชายใหญ่ชอบกิน ประเดี๋ยวเจอไท่ฟู่อย่าบอกว่าข้าเป็นคนซื้อมา เพียงบอกผู้อื่นได้ยินว่าคุณชายใหญ่กลับเมืองหลวงวันนี้จึงส่งมาที่บ้านก็แล้วกัน”
บ่าวรับใช้นิ่งเงียบ เดินตามอยู่ข้างหลัง ไม่ส่งเสียงแม้คำเดียว
นางเดินพลางกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นในจวนเงียบเหงายิ่ง ก็รู้สึกไม่ถูกต้อง จึงหันไปถาม “อย่างไรกัน คุณชายใหญ่ยังไม่กลับมาจวนหรือ ไม่ใช่บอกฟ้ายังไม่สว่างก็มาถึงนอกเมืองแล้ว หรือหลังจากนั้นเข้าวังไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทพร้อมกับองค์รัชทายาท?”
บ่าวรับใช้เดินขึ้นมาหลายก้าว กล่าวเสียงเบา “กลับมาแล้วขอรับ เพียงแต่คุณชายใหญ่โกรธไท่ฟู่อยู่ แม้แต่อาหารต้อนรับที่ฮูหยินจัดเตรียมให้เขาเป็นพิเศษก็ยังไม่ยอมกินสักคำเดียว”
เสิ่นจือหลี่ประหลาดใจ “เพราะเรื่องอันใดหรือ”
บ่าวรับใช้อ้ำอึ้งอยู่นาน ท่าทางไม่กล้าพูด กระทั่งเห็นนางเปลี่ยนสีหน้า จึงกล่าวอย่างลำบากใจ “ได้ยินว่า…ได้ยินว่าคุณชายใหญ่จะไปรับตำแหน่งนอกเมืองหลวงแล้ว ที่เฉาอันเป่ยลู่ ชิงโจว!”
เสิ่นจือหลี่อึ้งตะลึงไปชั่วขณะ หัวคิ้วขมวดมุ่นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินไปที่เรือนด้านหลัง ตรงไปยังห้องพักของเสิ่นจือซู
กิ่งหลิวห้อยลงมาที่ระเบียงทางเดิน มีเสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บเสียงกระพือปีก ประตูห้องที่สามด้านตะวันออกของเรือนด้านหลังปิดสนิท ข้างนอกไม่มีบ่าวรับใช้เฝ้าอยู่แม้แต่คนเดียว
นางผลักประตูเดินเข้าไป
ผ้าม่านในห้องด้านในสั่นไหว เสิ่นจือซูเดินออกมา หัวคิ้วขมวดมุ่น “ไม่เชิญไม่ถามก็เข้ามาห้องพักผู้อื่น มารยาทอยู่ที่ใด” เขาพูดพลางเดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง ชายเสื้อคลุมผ้าดิ้นปิดคลุมลงมาที่หัวเข่า ขายาวงออยู่ครึ่งหนึ่ง ท่าทางกลัดกลุ้ม
เสิ่นจือหลี่หันกลับไปปิดประตู จากนั้นก็หันกลับมามองจ้องเขา “เรื่องที่ให้ท่านไปเป็นเจ้าเมืองชิงโจว เป็นความคิดของท่านพ่อหรือ”
เสิ่นจือซูชายตามองนางแวบหนึ่ง แค่นเสียงเย็นชาออกมาสองคำ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
เสิ่นจือหลี่ถามต่อ “ท่านไม่เต็มใจไป”
โครม!
ที่ทับกระดาษบนโต๊ะถูกเขากวาดร่วงลงกับพื้น
นางตกใจ ถอยหลังไปสองก้าวอย่างไม่รู้ตัว
เสิ่นจือซูลุกขึ้นยืน พูดด้วยความโมโห “จะไม่เต็มใจไปได้อย่างไร ตอนยังอยู่เมืองชงโจว ข้าก็ทูลองค์รัชทายาทแล้ว ถ้าไม่วางใจเหล่าขุนนางในกองบัญชาการอันฝู่ที่เฉาอันเป่ยลู่กลุ่มนั้น ก็ให้ข้าไปชิงโจวจับตาดูเส้นทางชายแดนทางเหนือได้!” เขายกเท้าถีบที่ทับกระดาษนั่นอีกครั้ง “ใครเลยจะคาดคิด ไม่รอข้ากลับเมืองหลวงไปกราบทูลฝ่าบาทด้วยตนเอง ท่านพ่อก็เป็นฝ่ายไปทูลขอให้ข้าไปรับตำแหน่งนอกเมืองหลวง ไปชิงโจว!”
เสิ่นจือหลี่เลิกคิ้ว รอเขาพูดต่อ
เขาตวัดชายเสื้อคลุมหมุนตัวกลับมา ยังคงมีท่าทางโกรธมาก “เสิ่นไท่ฟู่ทำเพื่อบ้านเมือง เพื่ออาณาประชาราษฎร์ เพื่อราชสำนัก เพื่อฝ่าบาท ยินยอมให้บุตรชายเพียงคนเดียวของตนไปชายแดนทางเหนืออุทิศตนรับใช้ราชสำนัก…แม้แต่เรื่องนี้ก็เป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้เสิ่นไท่ฟู่!”
เสิ่นจือหลี่ก้าวไปข้างหน้าสองก้าว ก้มลงเก็บที่ทับกระดาษขึ้นมา “เพื่อเรื่องเล็กน้อยเท่านี้ก็คู่ควรให้ท่านโกรธท่านพ่อด้วยหรือ”
นางเห็นเขายังเดือดดาลอยู่มาก ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ “ได้ยินว่าวันนี้ท่านกลับเมืองหลวงมา ข้ายังตั้งใจไปหอสุราอี๋ไท่ซื้อของว่างหลายอย่างที่ท่านชอบกินกลับมา ประเดี๋ยวท่านก็ไปที่ห้องครัวดูเอาเถิด”
เสิ่นจือซูหันหน้ามา เห็นนางจะเดินออกไปข้างนอก ทั้งฟังจากน้ำเสียงนางไม่คล้ายจะรั้งอยู่ที่จวน ก็อดย่นหัวคิ้วไม่ได้ “นี่เจ้าคิดจะไปที่ใดอีก”
นางชะงักเล็กน้อย ก่อนบอกเสียงเบา “ไปจวนท่านกู่”
เขาได้ยินแล้วสีหน้าพลันแปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย ลังเลอยู่ชั่วขณะแล้วจึงเดินเข้าไปหา พูดเสียงต่ำอยู่ด้านหลังศีรษะนาง “ฮูหยินของท่านกู่เพิ่งเสียไปได้ไม่นาน เจ้าไปในเวลานี้ไม่ถูกทำนองคลองธรรมเกินไปแล้ว”
เสิ่นจือหลี่ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงหันหน้ามา หางตาแดงเล็กน้อย “อะไรคือไม่ถูกทำนองคลองธรรม”
เสิ่นจือซูร้อนใจขึ้นมา “ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว เหตุใดเจ้ายังมีความคิดเช่นนี้ ถ้าให้ท่านพ่อรู้เข้า เจ้า…”
นางยิ้มหยัน “ถ้าท่านไม่อยากให้ข้าอยู่ดีก็เชิญไปบอกท่านพ่อท่านแม่ได้เลย” พูดจบนางก็เดินไปผลักประตูจะจากไป
เขาคว้าแขนนางไว้ กล่าวเสียงต่ำ “เสิ่นจือหลี่ ที่ข้าทำเช่นนี้ไยมิใช่เพราะหวังดีต่อเจ้า!”
นางสะบัดเขาออกอย่างแรง “ท่านวางใจได้ ข้าไปครั้งนี้ก็แค่ช่วยผู้อื่นยื่นเทียบให้ท่านกู่เท่านั้น ไม่ได้จะไปทำเรื่องที่ทำให้คนดูถูกเหล่านั้น!”
ทางใต้ของเมือง แถบตรอกซานเหมินส่วนใหญ่เป็นจวนที่พักอาศัยของขุนนางผู้ใหญ่ในราชสำนักและเชื้อพระวงศ์ จวนโอ่อ่ากำแพงสูงประตูแดงตั้งอยู่ติดกัน มีเพียงจวนสกุลกู่ที่ค่อนข้างเรียบง่าย หากไม่มีแผ่นป้ายพระราชทานสีแดงแขวนไว้สูงบนหน้าประตูที่นอกลานเรือน คงไม่มีใครเดาได้ว่าที่นี่คือจวนของอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย
สายลมบางเบาพัดผ่านทางเดิน ถนนมืดสลัวเงียบวิเวก ปุยเมฆบนท้องฟ้านุ่มนวลดุจใยไหมคล้ายจะร่วงหล่นลงมา
เสิ่นจือหลี่เดินตามหลังบ่าวรับใช้ของจวนสกุลกู่ไปช้าๆ ใจก็คล้ายปุยเมฆอ่อนนุ่มบนท้องฟ้าเช่นนั้น นุ่มนิ่มรวมอยู่ด้วยกันเป็นก้อน ล่องลอยเบาๆ ขึ้นลงซ้ายขวาอยู่ในช่องอก
“เดิมทีหลายวันมานี้นายท่านไม่พบแขกข้างนอก แต่เมื่อครู่เห็นเทียบนามของใต้เท้าเสิ่นก็ผ่อนปรนให้เป็นกรณีพิเศษ” บ่าวรับใช้เดินพลางกล่าวกับนาง น้ำเสียงเจือรอยยิ้ม
เสิ่นจือหลี่หลุบตามองเศษหญ้าที่ใต้ฝ่าเท้า “หลายวันมานี้จวี่เหรินสตรีที่มายื่นเทียบขอเข้าเยี่ยมคารวะที่จวนคงมีไม่น้อยเลยกระมัง”
“หรือมิใช่เล่าขอรับ!” บ่าวรับใช้เลิกคิ้ว “นับแต่มีราชโองการแต่งตั้งนายท่านเป็นขุนนางผู้คุมสอบลงมา ธรณีประตูของจวนก็แทบจะถูกคนเหยียบราบแล้ว”
นางยิ้มๆ “ด้วยนิสัยนายท่านของพวกเจ้า ปิดประตูไม่รับแขกก็ชอบด้วยเหตุผล”
บ่าวรับใช้เดินวนโค้งระเบียงทางเดินไปอย่างชื่นมื่น ชี้ไปที่ห้องโถงเล็กที่ด้านหน้า “เมื่อครู่นายท่านวาดภาพอยู่ที่โถงบุปผา ใต้เท้าเสิ่นเข้าไปเองเถิด บ่าวจะไปจัดเตรียมน้ำชามาให้ใต้เท้า”
เสิ่นจือหลี่เงยหน้ามองไป กระเบื้องสีเขียวบนหลังคาห้องโถงสะท้อนแสงอาทิตย์ แสบร้อนดวงตาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะก้มศีรษะลง เดินไปข้างหน้าสองก้าว แล้วหันกลับมาเรียกคนผู้นั้นไว้ “ข้ามาที่นี่เพื่อจะพูดกับท่านกู่ไม่กี่คำ น้ำชาก็ไม่ต้องแล้ว”
บ่าวรับใช้งงงัน เผยอปากทำท่าจะพูด กลับเห็นนางหมุนตัวเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เสิ่นจือหลี่เดินมาถึงหน้าห้องโถงเท้าก็หยุดชะงัก ลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนยกมือขึ้นเลิกม่านลูกปัดตรงหน้า สาวเท้าเข้าไปอย่างแผ่วเบา
ในห้องโถงมีแสงสลัวนุ่มนวล มีโต๊ะไม้ยาวทาสีดำตัวหนึ่งตั้งอยู่ข้างผนัง หน้าโต๊ะมีบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ กำลังก้มตัวลง ถือพู่กันแต้มหมึก
นางยืนนิ่งอยู่หน้าประตู ไม่ได้เดินเข้าไปข้างในและไม่ได้เอ่ยปาก เพียงมองเขานิ่งๆ
บุรุษผู้นั้นได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากข้างหลังก็ไม่ได้หันหน้ามา เพียงเอ่ยเสียงต่ำ “เล่อเยียนมาแล้วหรือ”
ครานี้เสิ่นจือหลี่จึงได้เดินเข้าไปข้างใน ก้มลงไปเก็บกระดาษเซวียนจื่อที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้น ปากก็ขานรับ “อืม” เดินไปเอากระดาษวางบนโต๊ะเบาๆ แล้วยืนนิ่งไม่ส่งเสียง
ข้อมือของกู่ชินชะงักเล็กน้อย เขาเอียงหน้ามา ใบหน้าเรียวเปล่งประกายสดใสกระฉับกระเฉง สองตาแวววาวมองนางอยู่เป็นนาน จึงเบนสายตาไปแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่ได้มาที่จวนข้านานมากแล้ว ครั้งก่อนตอนท่านพ่อท่านแม่เจ้ามาร่วมไว้อาลัยภรรยาของข้าก็ไม่เห็นเจ้าเลย วันนี้มาเพราะเหตุใดหรือ”
นางไม่อาจเบนสายตาไปได้ เพียงมองรอยยิ้มมุมปากของเขาอย่างเหม่อลอย พักใหญ่นางจึงคลายหัวคิ้ว หยิบเทียบบางของเมิ่งถิงฮุยฉบับนั้นออกมายื่นส่งให้ “มาแนะนำคนผู้หนึ่งให้ท่านกู่”
กู่ชินวางพู่กันลง ยื่นมือมารับเทียบ เขาไม่พูดไม่จาก็เปิดออกดู แต่พอเห็นชื่อในเทียบสีหน้าก็แปรเปลี่ยนทันที โยนเทียบไปที่มุมโต๊ะ “เหลวไหล!” เขาเอามือเท้าโต๊ะคิดไปคิดมา แล้วจึงหันไปมองนาง มุ่นหัวคิ้วบอก “คนผู้นี้มีความสัมพันธ์อันใดกับเจ้า ถึงกับทำให้เจ้ามายื่นเทียบให้นางได้”
เสิ่นจือหลี่คล้ายคาดเดาได้แต่แรกว่าเขาต้องมีท่าทีเช่นนี้ ก็หยิบเทียบมาอย่างไม่ร้อนใจไม่โกรธเคือง กางออกตรงหน้าเขา “วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญที่หอสุราอี๋ไท่ ข้ากลับชอบกลอนเล็กๆ สองบทนี้ของนาง”
กู่ชินหน้ายิ่งดำคล้ำ “ข้าเคยได้ยินเรื่องการสอบระดับมณฑลของคนผู้นี้ที่เฉาอันเป่ยลู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อเจี้ยหยวนของนางเป็นองค์รัชทายาทเห็นชอบล่ะก็ ในการสอบของกรมพิธีการข้าจะต้องคัดชื่อคนผู้นี้ออก!” เขาหมุนตัวไป เอามือไพล่หลังเดินไปที่หน้าต่างแล้วผลักเปิด “ถ้าสตรีของสำนักศึกษาสตรีในใต้หล้าต่างทำตามอย่างนางด้วยการสร้างชื่อเสียงเช่นนี้ วันหน้าการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของสตรีจะกลายเป็นเช่นไร”
“ท่านกู่อย่าเพิ่งใจร้อน” เสิ่นจือหลี่เอ่ยปากเบาๆ มุมปากเจือรอยยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าท่านมีอุปนิสัยเช่นนี้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาแนะนำนาง หาไม่การสอบของกรมพิธีการครั้งนี้ท่านเป็นขุนนางผู้คุมสอบ ถ้าเมิ่งถิงฮุยได้อันดับหนึ่ง ท่านจะต้องขีดฆ่าความโชคดีของนางทิ้งแน่นอน หรือถ้าเมิ่งถิงฮุยเพียงสอบได้ ก็เกรงว่าท่านจะจัดให้นางไปอยู่ในกลุ่มจวี่เหรินที่สอบไม่ผ่าน…”
กู่ชินริมฝีปากกระตุก คิดจะพูดอะไร แต่สุดท้ายกลับไม่ได้เอ่ยปาก เพียงยืนหันหลังให้นาง มองออกไปไกลๆ นอกหน้าต่าง
เสิ่นจือหลี่มองเขาอย่างเฉยเมย แล้วกล่าวต่อ “ท่านกู่ลองคิดดู การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่สตรีครั้งนี้เปรียบกับที่ผ่านมามีอันใดแตกต่างกัน ความคิดขององค์รัชทายาทเป็นเช่นไรหรือว่าท่านไม่เข้าใจ สตรีที่สอบจิ้นซื่อเคอจวี่ได้จี๋ตี้อันดับหนึ่งจะได้รับอนุญาตให้เข้ากองอาลักษณ์…ตอนนั้นท่านก็ออกจากกองอาลักษณ์มาเข้าสำนักราชเลขาธิการ ความนัยลึกซึ้งที่ซ่อนอยู่ในเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดกระมัง ส่วนกองอาลักษณ์เป็นสถานที่อะไร เป็นที่รวมตัวกันของปัญญาชนผู้ทรงคุณธรรมความรู้ ขุนนางผู้หยิ่งยโสอยู่ในอำนาจ ถ้าสตรีที่เพียงมีความรู้แต่ไม่เข้าใจการปฏิบัติตัวต่อผู้คนเข้าไปแล้วจะมีผลลัพธ์ที่ดีอะไร”
นางเห็นเขายังคงไม่ส่งเสียงก็อดเอ่ยยิ้มๆ ไม่ได้ “เมิ่งถิงฮุยผู้นี้ความรู้และสติปัญญาเหนือผู้คน แต่กลับไม่ยึดมั่นในกฎเกณฑ์เก่าๆ แม้จะบอกว่าทำอะไรค่อนข้างมีใจแสวงหาผลประโยชน์ แต่ยามเผชิญหน้ากับข้ากลับรู้การควรไม่ควรอย่างยิ่ง ถ้าจะให้ข้าพูด ในบรรดาจวี่เหรินสตรีที่เข้าเมืองหลวงมาครั้งนี้ ข้ายังไม่เคยเจอใครที่ทำให้ข้าชื่นชอบมากไปกว่านาง สตรีผู้นี้ถ้าไม่ได้เข้ากองอาลักษณ์ ใครจะเข้าได้ ใครจะสามารถเข้าได้”
กู่ชินหันหน้ามา แววตาเต็มไปด้วยความซับซ้อน “เจ้ามาที่จวนข้าช่วยพูดจาขอร้องให้นาง กลับไม่คิดว่านางจะรับน้ำใจจากเจ้าหรือไม่”
นางมองสบสายตาของเขา ลำคออดตีบตันไม่ได้ ครู่ใหญ่จึงกล่าวต่อ “เมิ่งถิงฮุยเป็นคนฉลาด”
เขากลับแค่นเสียงเย็นชา “ลำพังเจ้าพูดก็ไร้ประโยชน์ ยังต้องดูว่าในการสอบของกรมพิธีการนางเขียนความเรียงได้เป็นอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังต้องรอหลังจากการสอบหน้าพระที่นั่งแล้ว ดูว่าฝ่าบาทจะทรงเลือกผู้ใด!”
เสิ่นจือหลี่ก้มหน้า “ท่านกู่ก็รู้เพราะเหตุใดครั้งนี้องค์รัชทายาทจึงขอให้ฝ่าบาทมีราชโองการให้กองอาลักษณ์เพิ่มตำแหน่งหนึ่งตำแหน่งให้สตรี หลายปีมานี้ขุนนางสตรีในราชสำนักเป็นเพียงดอกไม้ประดับ เรื่องนี้แตกต่างจากความคิดแรกเริ่มของฝ่าบาทที่ทรงให้ก่อตั้งสำนักศึกษาสตรีอย่างมาก! แต่นี่เป็นเพราะอะไร ท่านก็เป็นขุนนางเก่าที่ติดตามผิงอ๋องมาจากเมืองหลวงตะวันออก คิดว่าน่าจะเข้าใจยิ่งกว่าข้า เหล่าขุนนางเก่าของฝ่ายตะวันออกในราชสำนักเวลานี้มีอำนาจมากขึ้นทุกวัน มีความคิดเช่นไรต่อเรื่องสตรีเข้าราชสำนักมาเป็นขุนนาง เกรงว่าท่านน่าจะรู้ดีที่สุด ฝ่าบาทไม่ทรงคิดเล็กคิดน้อยต่อเหล่าขุนนางเก่าของฝ่ายตะวันออกเหล่านี้ ยังไม่ใช่เป็นเพราะทรงเห็นแก่ไมตรีจิตที่มีต่อผิงอ๋องมานานปี!”
กู่ชินได้ยินแล้วหน้าก็ดำคล้ำอีกครั้งไปทันที “เล่อเยียนไม่ควรกล่าววาจากำเริบเสิบสาน!”
นางนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอก “เรื่องที่ฝ่าบาทจะสละราชบัลลังก์มอบอำนาจให้องค์รัชทายาท เหล่าขุนนางเก่าในสองสำนักหลักต่างรู้ เมื่อใดที่องค์รัชทายาทสืบทอดอำนาจการปกครอง ยังจะเป็นเช่นตอนนี้ที่ปฏิบัติต่อขุนนางเก่าเหล่านี้ด้วยความเคารพนบนอบอีกหรือ การอนุญาตให้จิ้นซื่อสตรีเข้ากองอาลักษณ์เป็นเพียงการเดินหมากตัวแรกขององค์รัชทายาทเท่านั้น เรื่องนี้ข้าเข้าใจ ท่านกู่เข้าใจ เหล่าขุนนางเก่าในราชสำนักยิ่งเข้าใจ ถ้าเป็นสตรีทั่วไปที่มีวิชาความรู้อย่างเต็มเปี่ยมคนหนึ่ง เข้ากองอาลักษณ์แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในราชสำนักแบ่งพรรคแบ่งพวกขัดแย้งปัดแข้งปัดขากัน หลายปีมานี้คนที่เสียสละตนเองยังมีน้อยอยู่หรือ”
กู่ชินยกมือขึ้นขัดจังหวะนาง “ไม่ต้องพูดอีกแล้ว” เขาคลายหัวคิ้วสงบอารมณ์ เพิ่งจะเดินกลับไปที่ข้างโต๊ะ ก็กล่าวกับนาง “มาดูภาพที่ข้าวาด”
เสิ่นจือหลี่หุบปากตามที่เขาบอก แล้วเดินเข้าไป
บนโต๊ะมีม้วนภาพวาดปูยาว ภาพวาดเต็มไปด้วยสีสันของฤดูใบไม้ผลิ กิ่งหลิวอ่อนพลิ้ว ศาลา นกนางแอ่นโบยบินนกขมิ้นขับขาน สายน้ำไหลเอื่อยไปไกล…
เขาหลุบตายื่นมือไปหยิบพู่กันมา ผสมสีแดงอ่อนแล้วส่งให้นาง อีกมือหนึ่งก็ชี้ไปยังกิ่งท้อที่ว่างเปล่าในภาพ ยิ้มน้อยๆ บอก “ยังขาดดอกท้อไม่กี่ดอก เล่อเยียนยังวาดดอกท้อเป็นหรือไม่”
ส่วนลึกในใจของนางสั่นสะท้านอย่างแรง ใบหน้ากลับยังคงสงบนิ่ง “ตอนนั้นท่านกู่สอนให้ด้วยตนเอง เล่อเยียนจะลืมได้อย่างไร”
นางถือพู่กันมือสั่นเล็กน้อย ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาอยู่ด้านข้าง หัวใจก็ยิ่งสั่นสะท้าน
หลังวาดดอกท้อลงไปบางๆ นางกลับไม่คลายมือจากพู่กัน เปลี่ยนเป็นชะงักข้อมือแทน แล้วจรดปลายพู่กันลงไปตรงมุมว่างเปล่าของกระดาษเซวียนจื่อ ตัวอักษรหลายตัวปรากฏขึ้นมาอย่างรวดเร็ว…
‘แค้นใจความรักมาล่าช้า ราตรีกาลมาถึงจึงได้รับรู้ถึงความรัก อารมณ์รักแอบหวั่นไหว ความรักฝากไว้เสียเปล่า เรื่องของความรักมีเพียงความรักที่รู้’
กู่ชินมองนางเก็บพู่กันล้างหมึก สายตาอดเบนไปที่ตัวอักษรเหล่านั้นอีกคราไม่ได้ ขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงถาม น้ำเสียงเจือความลังเลเล็กน้อย “เล่อเยียนมีคนที่ชอบพอแล้วหรือ”
เสิ่นจือหลี่ปล่อยชายแขนเสื้อลง กล่าวเสียงเบา “ใช่เจ้าค่ะ”
เขานิ่งงันแล้วถามต่อ “เป็นคุณชายบ้านใดหรือ”
นางกลับไม่พูดต่อ เอาแต่ก้มหน้ามองม้วนภาพบนโต๊ะ
กู่ชินหมุนตัวเดินไปไม่กี่ก้าว หัวคิ้วขยับเข้าหากัน “หลายวันก่อนฝ่าบาทกับขุนนางเก่าหลายท่านในสำนักราชเลขาธิการยังพูดถึงเรื่องแต่งตั้งพระชายาองค์รัชทายาท เจ้า…”
สีหน้าของเสิ่นจือหลี่พลันบูดบึ้งทันที นางตัดบทเขา “ได้รับความกรุณาจากฝ่าบาทและท่านกู่ที่เห็นความสำคัญของเล่อเยียน แต่ท่านไม่ลองคิดดูบ้าง เรื่องนี้องค์รัชทายาทมีหรือจะยอมฟังการจัดการของผู้อื่น แทนที่เวลานี้จะมาพูดเรื่องเหล่านี้กับข้า ไม่สู้ไปถามองค์รัชทายาทว่าทรงคิดเห็นเช่นไร”
เขาคิดไม่ถึงว่านางจะมีการโต้ตอบเช่นนี้ จึงมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “เจ้ากับองค์รัชทายาทเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เล็ก ทุกคนคิดเช่นนี้ก็ไม่ใช่ไม่มีเหตุผล…”
นางยิ้มหยัน “ท่านก็เห็นข้าเติบโตมาตั้งแต่เล็ก ถ้าพูดเช่นนี้ ระหว่างข้ากับท่านจะเป็นเช่นไร”
“เหลวไหล!” กู่ชินสีหน้าโกรธเกรี้ยว “คำพูดเช่นนี้จะพูดออกมาส่งเดชได้อย่างไร”
เสิ่นจือหลี่สะบัดชายแขนเสื้อยาว หันหลังเดินไปที่หน้าประตู ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว นางเงยหน้าขึ้น แล้วจึงเปิดปากด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “มาพบท่านกู่ในวันนี้ เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว อยู่นานก็ไม่สะดวก หวังว่าท่านจะถนอมตัวให้ดี”
ด้วยไม่อาจทนฟังเขาพูดอีกแม้แต่คำเดียว นางจึงชิงก้าวออกประตูไป
ปลายนิ้วยังมีความอบอุ่นจากมือเขาที่กุมพู่กัน กลางฝ่ามือยังมีกลิ่นหอมของหมึกชาดติดอยู่
เศษหญ้าเต็มพื้นติดชายกระโปรง มีความรักเสียเปล่า ไร้คนขานรับ
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 12 มี.ค. 67 เวลา 12.00 น.
Comments
comments
No tags for this post.