บทที่ 27-2
วันรุ่งขึ้นหลังออกจากวังซีหวา เดิมทีเมิ่งถิงฮุยไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ใครจะรู้ว่าผ่านไปไม่กี่วันคำพูดของเขาที่พูดออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจได้กลายเป็นคำทำนายที่เป็นจริงไปเสียแล้ว
ก่อนการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการ จวนสกุลเมิ่งได้รับเทียบขอเข้าเยี่ยมคำนับที่บรรดาจวี่เหรินส่งมาติดต่อกัน
เดิมทีเมิ่งถิงฮุยเข้าใจว่าคนที่ส่งเทียบมาจวนสกุลเมิ่งน่าจะเป็นจวี่เหรินสตรีเหล่านั้น ใครเลยจะคิดว่าในบรรดาเทียบเหล่านี้กว่าครึ่งถึงกับเป็นบรรดาผู้โดดเด่นในการสอบระดับมณฑลจากทุกเส้นทาง ยิ่งไม่ขาดแคลนคนหนุ่มที่มีความรู้ความสามารถ
แม้จะบอกว่าตอนนั้นก่อนสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการนางก็เคยฉกฉวยโอกาสเช่นนี้ แต่จะอย่างไรก็ไม่ได้ไปยื่นเทียบขอให้ชี้ทางที่จวนของขุนนางผู้ควบคุมการสอบหลักหรือรองโดยตรง เวลานี้นางกำลังจะเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบ ย่อมไม่อาจรับเทียบขอเข้าเยี่ยมคำนับเหล่านี้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงสั่งบ่าวรับใช้ในจวนให้ปฏิเสธเทียบขอเข้าพบไปทั้งหมด
แต่ผ่านไปไม่ถึงสองวันเฉาจิงถึงกับมาพบนางที่บ้านด้วยตนเอง เพียงเพื่อจะเสนอแนะจวี่เหรินผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าอิ่นชิง ฟังจากที่เฉาจิงกล่าว อิ่นชิงผู้นี้ก็มาจากเฉาอันเป่ยลู่ เกือบสองปีมานี้ความเรียงของเขาโด่งดังไปทั่วเฉาอันทั้งเส้นทาง หลังจากมาเมืองหลวงครั้งนี้เขาเคยไปเยี่ยมคารวะเฉาจิง ระหว่างพูดคุยได้แสดงความตั้งใจที่จะเข้ามาใกล้ชิดพึ่งพากลุ่มเมิ่ง
เมิ่งถิงฮุยเข้าใจความหมายของเฉาจิง
บัณฑิตในใต้หล้าเข้ามาใกล้ชิดพึ่งพากลุ่มเมิ่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี และอิ่นชิงผู้นี้ยิ่งมีแนวโน้มว่าวันหน้าจะสอบผ่านเป็นจิ้นซื่อได้เป็นขุนนางในราชสำนัก คิดว่าในใจของเฉาจิงคงต้องการจะดึงจวี่เหรินเช่นอิ่นชิงผู้นี้มาเป็นพวกเสียแต่เนิ่นๆ แย่งชิงโอกาสที่ดีไว้ก่อนใครในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ในครั้งนี้
นางรู้ดีว่าการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ในครั้งนี้แฝงไว้ด้วยความหมายอย่างไร จึงไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธในทันที เพียงรับเทียบนั้นไว้ เออออกับเฉาจิงไปสองสามคำ วันถัดมาก็ลืมเรื่องคนผู้นี้ไปจนหมดสิ้น
การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งแรกหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ทำให้เมืองหลวงคึกคักขึ้นมาอย่างแท้จริง และเนื่องจากการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการในครั้งนี้ สวีถิงรองเสนาบดีขุนนางอาวุโสของกลุ่มตะวันตกกับเมิ่งถิงฮุยที่ความสามารถเพิ่งโผล่คมออกมาให้เห็นร่วมกันเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบ เหล่าบัณฑิตในใต้หล้าจึงให้ความสนใจเป็นพิเศษ ทุกคนทั้งนอกและในราชสำนักต่างเฝ้าจับตามองการสอบของกรมพิธีการภายใต้การร่วมกันเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบของสองคนนี้ในครั้งนี้ว่าผลลัพธ์จะออกมาเช่นไร
คนนอกต่างบอกว่านี่จะเป็นการต่อสู้ระหว่างขุนนางอาวุโสกับกลุ่มใหม่ทั้งในที่แจ้งและที่ลับ สวีถิงกับเมิ่งถิงฮุยต่างจะต้องคัดเลือกผู้มีความสามารถเพื่อกลุ่มของตนในการสอบของกรมพิธีการอย่างแน่นอน หลังจากปิดสนามความขัดแย้งระหว่างคนทั้งสองก็ยิ่งพอแตะก็พร้อมจะระเบิด
ใครเลยจะคาดคิด การสอบของกรมพิธีการสามวันเสร็จสิ้นลง ปิดสนามตัดสินผลการสอบสิบวัน ในสนามสอบของกรมพิธีการถึงกับไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับความขัดแย้งของใต้เท้าสวีและใต้เท้าเมิ่งแพร่งพรายออกมาแม้แต่น้อย นี่กลับทำให้กลุ่มคนในเมืองหลวงที่ชะเง้อคอรอชมเรื่องสนุกล้วนผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่เมิ่งถิงฮุยก่อนจะปิดสนามก็คิดไม่ถึงว่าสวีถิงจะให้ความร่วมมือเช่นนี้ เรื่องตัดสินความเรียงต่างๆ ทำตามกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยแสดงความไม่พอใจอะไรนาง แต่ตอนนางอยู่ที่สนามสอบก็ได้ลองคิดดูอีกที แล้วก็เข้าใจถึงมูลเหตุขึ้นมาทันที…
ในใจของสวีถิงไม่ใช่ไม่อยากฉวยโอกาสนี้ช่วยเหล่าขุนนางอาวุโสดึงตัวผู้มีความสามารถมาอยู่ฝ่ายตน เพียงแต่เขามองออกอย่างชัดเจน นั่นก็คือเรื่องที่เมิ่งถิงฮุยได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ให้ควบคุมดูแลการคัดเลือกประเมินของกรมปกครองไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ หากเขาจงใจเลือกผู้เข้าสอบบางคนเป็นก้งเซิง เมิ่งถิงฮุยย่อมรู้ว่าหลายคนนั้นต้องเข้ามาใกล้ชิดพึ่งพาพวกขุนนางอาวุโส ถึงวันหน้าคนเหล่านี้จะได้รับการคัดเลือกเป็นบัณฑิตจิ้นซื่อเข้าสู่ราชสำนัก แต่จะสามารถผ่านการตรวจสอบประเมินที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเมิ่งถิงฮุยขึ้นเป็นขุนนางอย่างราบรื่นได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้ภายนอกสวีถิงจึงยอม ‘อ่อนข้อ’ ให้กับการสอบของกรมพิธีการในครั้งนี้อย่างไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกใดๆ รอวันหน้าค่อยดึงตัวคนที่เขาชื่นชอบมาเป็นพวก
เมิ่งถิงฮุยทางด้านนี้อ่านความคิดของสวีถิงออก แต่ก็รู้ว่าสวีถิงเองก็มองออกว่านางไม่มีทางแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนเช่นเดียวกัน นางกับสวีถิงแม้จะร่วมกันเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบ แต่จะอย่างไรสวีถิงก็เป็นผู้ควบคุมหลัก นางเป็นผู้ช่วย ขณะที่สวีถิงทำทุกอย่างตามกฎเกณฑ์ หากนางทำอะไรที่ออกนอกลู่นอกทาง ย่อมถูกสวีถิงและเหล่าขุนนางในกรมพิธีการซักถามข้อสงสัย ถึงตอนนั้นอาจถูกเหล่าขุนนางอาวุโสก่นด่าประณามหยามเหยียดอีกก็เป็นได้ แม้เวลานี้นางจะได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้อย่างมาก แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งไม่อาจปล่อยให้คนจับจุดอ่อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมาก ต่อให้นางไม่ใส่ใจชื่อเสียงในราชสำนักเพียงใดก็ไม่อยากให้เหล่าบัณฑิตในใต้หล้าเห็นนางเป็นขุนนางผู้มีอำนาจที่กระทั่งวิชาความรู้ของปรัชญาเมธีก็ไม่เห็นอยู่ในสายตา
ด้วยเหตุนี้ก่อนและหลังการสอบของกรมพิธีการ สิ่งที่นางและสวีถิงทำทั้งหมดล้วนเป็นไปตามกฎระเบียบของราชสำนัก และเรื่องการจัดลำดับชื่อของก้งเซิงก็ได้พิจารณาตัดสินจากความเรียงที่คัดลอกมาโดยผ่านการปรึกษาหารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับขุนนางในสังกัดกรมปกครองและเหล่าราชบัณฑิตกองอาลักษณ์
การร่วมกันเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบของเมิ่งถิงฮุยกับสวีถิงในครั้งนี้เป็นไปด้วยดีอย่างเหนือความคาดหมายของทุกคน กระทั่งใกล้จะติดประกาศรายชื่อจึงมีคนค่อย ๆ ตระหนักถึงความซับซ้อนที่อยู่ภายใน พากันแอบบอกว่าครั้งนี้วิธีการของฮ่องเต้ดียิ่ง ให้ใต้เท้าสวีใต้เท้าเมิ่งสองคนที่ดูไม่ปรองดองกันมาเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบร่วมกัน กลับทำให้การสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ของกรมพิธีการที่ได้รับความสนใจจากผู้คนเป็นพิเศษในครั้งนี้เสร็จสิ้นลงอย่างเที่ยงธรรม จึงยิ่งเลื่อมใสศรัทธาฮ่องเต้มากขึ้น ในแวดวงบัณฑิตก็เล่าลือว่าบ้านเมืองมีกษัตริย์ที่ปรีชา ราษฎรไม่จำเป็นต้องกังวล
ทว่าในคืนก่อนกรมพิธีการจะติดประกาศรายชื่อ เมิ่งถิงฮุยอยู่ที่สนามสอบ เมื่อเห็นชื่อที่อยู่ด้านบนสุดของแผ่นประกาศที่เจ้าหน้าที่กรมพิธีการกำลังคัดลอกอยู่ก็อดตะลึงงันไปไม่ได้
อิ่นชิง…
นางจึงได้นึกถึงเทียบขอเข้าเยี่ยมคำนับที่ถูกตนวางทิ้งไว้ในบ้านมาหลายวันโดยไม่ได้หยิบมาอ่านฉบับนั้น ส่งผลให้เมื่อได้มาเห็นชื่อนี้ในตอนนี้จึงอดตกตะลึงไม่ได้
คิดว่าอิ่นชิงผู้นี้มีความรู้ความสามารถอย่างแท้จริง หาไม่สวีถิงคงไม่ยินยอมให้เขาเป็นฮุ่ยหยวนในการสอบของกรมพิธีการ และในเมื่อสวีถิงยอมรับความรู้ความสามารถของคนผู้นี้ ต่อไปก็ย่อมคิดที่จะดึงเขาไปอยู่ข้างเหล่าขุนนางอาวุโส เมื่อคิดได้ดังนี้ในใจของนางพลันนึกเสียใจภายหลังขึ้นมา หากคนผู้นี้เป็นบุคคลมีความสามารถที่หาได้ยากจริงๆ นางก็ควรลงมือดึงตัวมาแต่เนิ่นๆ ทั้งนี้จะได้ไม่ถูกขุนนางอาวุโสเหล่านั้นคว้าตัวไปก่อน
นางค้นหาความเรียงของอิ่นชิงออกมาอ่านอีกครั้ง พออ่านแล้วก็รู้สึกว่าเป็นความเรียงที่ดีมาก คืนนั้นพอกลับไปที่บ้านนางก็ไปรื้อเทียบขอเข้าเยี่ยมคำนับที่เต็มไปด้วยฝุ่นฉบับนั้นออกมา เห็นตัวอักษรบทกวีในนั้นถึงกับไม่แพ้ให้กับราชบัณฑิตในราชสำนักก็อดปรบมือชมเปาะไม่ได้ มิน่าก่อนการสอบของกรมพิธีการเฉาจิงถึงได้ยอมมายื่นเทียบที่จวนสกุลเมิ่งให้เขาด้วยตนเอง ผู้มีความสามารถเช่นนี้ ไม่ว่าใครเมื่อได้พบเขาแล้วเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว
นางแม้จะเกิดความคิดที่จะดึงผู้มีความสามารถมาเป็นพวก แต่สิ่งที่คิดอยู่เต็มสมองก็คือจะแนะนำคนผู้นี้ให้กับฮ่องเต้ แม้จะมีเรื่องการสอบหน้าพระที่นั่งอยู่ตรงหน้านางก็ไม่ใส่ใจ
วันรุ่งขึ้นกรมพิธีการติดประกาศรายชื่อที่นอกสนามสอบ จวี่เหรินที่เข้าสอบพันกว่าคน เหล่าราษฎรในเมืองหลวงที่ชอบความครึกครื้น เหล่าขุนนางในเมืองหลวงที่ไม่ต้องเข้าราชสำนัก ยังมีบรรดาขุนนางสตรีที่จิตใจว่อกแว่กเหล่านั้นต่างพากันมาดูรายชื่อที่ปิดประกาศ ทางตอนใต้ของถนนอวี้เจียมีคนยืนดำมืดไปหมด ศีรษะคนรวมอยู่ด้วยกันขยับไปมาดุจกระแสคลื่น ไม่สามารถนับได้ว่ามีคนมากเท่าใดกันแน่
เมิ่งถิงฮุยเพราะเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบเป็นครั้งแรก จึงอยากจะไปดูบรรยากาศที่คึกคักในการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ในครั้งนี้ จึงตื่นแต่เช้าแล้วออกจากบ้านตามลำพังไปที่ด้านนอกสนามสอบ ปะปนอยู่ในหมู่คนรอดูการติดประกาศ
นางไม่ได้สวมชุดขุนนางสตรี มวยผมก็เพียงรวบแบบธรรมดาที่สุด รอบตัวเสียงคนอึกทึกครึกโครมไม่หยุด ท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวายไม่มีใครจำได้ว่านางก็คือ ‘ใต้เท้าเมิ่ง’ ที่ถูกผู้คนในเมืองหลวงวิพากษ์วิจารณ์ไปมาผู้นั้น ครั้นแล้วนางจึงแสร้งทำเป็นจวี่เหรินสตรีที่มาเข้าร่วมการสอบ แลซ้ายมองขวา มีความสุขอยู่ในความอิสระ ระหว่างรอการติดประกาศนางบังเอิญได้ยินเหล่าบัณฑิตที่มาจากที่ต่างๆ จำนวนมากแสดงความคิดเห็นกันเป็นการส่วนตัวว่าฮ่องเต้ปกครองบ้านเมืองด้วยคุณธรรม ในใจอดไม่ได้ที่จะยิ่งรู้สึกดีใจ มุมปากก็เจือรอยยิ้มบางอยู่ตลอดเวลา
ตอนบรรดาเจ้าหน้าที่กรมพิธีการออกมาติดประกาศรายชื่อฝูงชนก็คึกคักขึ้นมา ชื่อที่เขียนด้วยหมึกดำร้อยกว่าชื่อเรียงรายแน่นแผ่นประกาศดึงดูดความสนใจคนยิ่งกว่าทองคำแท้เนื้อเต็มเสียอีก เสียงเอะอะอึกทึกค่อยๆ เงียบลง ทุกคนต่างรอคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าอ่านชื่อบนประกาศออกมา
ก้งเซิงที่กรมพิธีการตัดสินออกมามีทั้งหมดหนึ่งร้อยหกสิบแปดชื่อ ในนั้นมีก้งเซิงสตรียี่สิบสามรายชื่อ ตัวเลขนี้มากกว่าการคาดการณ์ของผู้คนมาก ชั่วขณะนั้นคนที่มาดูติดประกาศต่างประหลาดใจ พากันทอดถอนใจ
เมิ่งถิงฮุยได้ยินเสียงอุทานของผู้คนก็เพียงยิ้มบางและถอยออกมาจากกลางฝูงชน ก่อนจะหมุนตัวกลับไปบ้าน
ผู้คนหนาแน่นไปมาขวักไขว่ ตอนนางหมุนตัวก็มีคนขวางทางนางอยู่พอดี นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นบุรุษในชุดเสื้อคลุมยาวสีเรียบ จึงกล่าวเสียงเบา “รบกวนขอทางด้วย”
บุรุษผู้นั้นได้ยินแล้วก็เบี่ยงตัวเปิดทาง หยักยกมุมปากมาให้นางเล็กน้อย ไม่ได้พูดอะไร
ตอนนางเดินผ่านก็มองเขาอย่างไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง เห็นบุรุษผู้นี้แม้จะสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ทว่าหัวคิ้วนัยน์ตาคมเข้มงดงาม เค้าหน้าหล่อเหลา รูปร่างสูงสง่า บุคลิกลักษณะองอาจผึ่งผาย
และรอยยิ้มจางที่คล้ายมีคล้ายไม่มีบนใบหน้าของเขากลับทำให้นางรู้สึกอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย
นางหลุบตาสาวเท้าเร็วๆ เดินไป กลับได้ยินที่ด้านหลังมีคนร้องเสียงดัง “พี่อิ่น! พี่อิ่นมีชื่ออยู่ในอันดับหนึ่ง ต้องเชิญพวกข้าไปดื่มสุราจึงจะถูก!”
ฝีเท้าของนางหยุดชะงัก หมุนตัวไปทันที มองกลับไปก็สบเข้ากับสายตาของบุรุษผู้นั้นที่ยังไม่ได้ละสายตาไปพอดี ใบหน้าอันหล่อเหลายังคงยกยิ้ม เห็นนางมองกลับมาก็ประสานมือค้อมศีรษะน้อยๆ ให้นาง
นางย่นหัวคิ้ว เห็นบุรุษผู้นั้นถูกหลายคนที่อยู่ข้างหลังหัวเราะพลางฉุดลากตัวไปแล้ว จึงหมุนตัวกลับมาช้าๆ
พี่อิ่น พี่อิ่น…อิ่นชิงคือเขากระมัง
นางอดนิ่งเงียบไปไม่ได้
ด้วยความรู้ความสามารถของเขา หลังการสอบหน้าพระที่นั่งจะต้องติดอันดับแน่นอน และวันหน้าเมื่อเขาเข้าเป็นขุนนางในราชสำนัก ด้วยความสามารถระดับนี้กอปรกับรูปโฉมที่หล่อเหลาเช่นนี้ ไม่รู้จะก่อให้เกิดคลื่นลมเช่นใดในหมู่ขุนนางสตรี
คิดพลางนางก็รู้สึกน่าสนุกขึ้นมา
เสิ่นจือซูจากเมืองหลวงไปรับตำแหน่งที่ต่างเมืองเกือบสองปีแล้ว ในเมืองหลวงในราชสำนักก็มีน้อยคนมากที่มีท่วงทีสง่างามเช่นเขาในตอนนั้นได้ เวลานี้อิ่นชิงผู้นี้ เมื่อเปรียบกับเสิ่นจือซูแล้วกลับไม่ด้อยกว่าเลย อีกทั้งเขาไม่มีวงศ์ตระกูลที่ทำให้คน ‘เห็นแล้วเกิดความหวาดกลัว’ เช่นเสิ่นจือซู คิดว่าจะต้องทำให้เหล่าขุนนางสตรีในราชสำนักแห่แหนเข้ามาแย่งชิงแน่นอน
กลีบดอกจากต้นท้อที่ริมถนนปลิดปลิวลงมา พร่างพรมกลิ่นหอมบางเบาลงมาที่ร่างของนาง นางเดินไปเรื่อยๆ ก็อดแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามดวงตะวันที่สดใสไม่ได้ ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม
ได้เห็นการสอบจิ้นซื่อเคอจวี่ครั้งแรกหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็มีคนที่มีความสามารถโดดเด่นเช่นนี้ปรากฏตัวขึ้น ภาพที่บ้านเมืองสงบสุขเจริญรุ่งเรืองทำให้คนสบายใจ นางมีความสุขยิ่งกว่าผู้ใด
ก่อนการสอบหน้าพระที่นั่ง นางทำตามกฎระเบียบเอาความเรียงในการสอบของกรมพิธีการที่คัดลอกและจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วมาทูลถวายให้ฮ่องเต้ผ่านตา
แม้จะรู้ว่าไม่อาจทำเกินขอบเขตมากเกินไป แต่นางยังคงอดใจไม่อยู่เอาเทียบขอเข้าเยี่ยมคำนับที่เฉาจิงมอบให้นางในช่วงก่อนหน้านี้มาที่ตำหนักรุ่ยซือด้วย และส่งขึ้นไปพร้อมกับความเรียงของพวกอิ่นชิง
“ฝ่าบาท” นางอยู่ที่ด้านล่างโต๊ะทรงพระอักษรไม่ได้ล่าถอยออกไป เพียงรอให้เขาพลิกดูความเรียงเหล่านั้นพลางเลือกใช้ถ้อยคำอย่างระมัดระวัง “ก่อนหน้านี้หม่อมฉันบังเอิญได้รับบทกวีที่อิ่นชิงเป็นผู้แต่ง เปรียบกับความเรียงบทนี้ของเขาแล้วยังแสดงให้เห็นถึงความปราดเปรื่องยิ่งกว่า ฝ่าบาทจะทรงอ่านดูสักหน่อยหรือไม่เพคะ”
ระยะนี้อิ่นชิงอยู่ในเมืองหลวงมีชื่อเสียงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เป็นที่รู้จักในกลุ่มปัญญาชนว่าเป็นบัณฑิตจากเฉาอันเป่ยลู่ และผู้สอบได้ตำแหน่งฮุ่ยหยวนในการสอบของกรมพิธีการในเมืองหลวงมีคำเล่าลือว่ามีขุนนางในราชสำนักต้องการให้เขาเป็นบุตรเขย เวลานี้การสอบหน้าพระที่นั่งแม้จะยังไม่เริ่มขึ้น กลับเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าเหล่าขุนนางในราชสำนักมีความมุ่งหวังต่อคนผู้นี้สูงเพียงใด
อิงกว่าได้ยินคำพูดของนางก็โยนกระดาษในมือ เอนร่างพิงพนักเก้าอี้ หลุบตามองจ้องนาง “เจ้าเคยพบกับอิ่นชิงผู้นี้หรือไม่”
นางพยักหน้าไปตามตรง “เคยพบหน้ากันครั้งหนึ่งเพคะ”
เขานิ่งรออยู่พักใหญ่ จู่ๆ ก็บอก “หลายวันก่อนได้ยินคนพูดถึง บอกคนผู้นี้หล่อเหลายิ่ง”
นางคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้าแล้วบอก “หม่อมฉันคิดว่าหากเปรียบกับใต้เท้าเสิ่น…เสิ่นจือซู อิ่นชิงก็ไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อยเพคะ”
เขาดึงเทียบที่อยู่บนโต๊ะฉบับนั้นออกมาช้าๆ ยื่นนิ้วไปเปิดออก กวาดตาผ่านๆ จากนั้นก็มองไปที่นาง “ถึงกับคู่ควรให้เจ้าไม่สนใจการสอบหน้าพระที่นั่ง แล้วมาแนะนำคนผู้นี้ให้กับข้าในเวลานี้?”
นางฟังออกถึงความไม่พอใจในคำพูดของเขา อดรู้สึกอึดอัดลำบากใจขึ้นมาไม่ได้ จึงช้อนตาขึ้นมองเขาพลางอธิบาย “หม่อมฉันเกรงว่าฝ่าบาทจะพลาดบุคคลที่ทำประโยชน์ได้ไป หากอิ่นชิงแสดงความสามารถในการสอบหน้าพระที่นั่งได้ไม่ดี ชื่อหลุดจากสามอันดับแรก มิใช่เป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งหรือ”
เขาใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก กล่าวช้าๆ “ถ้าคนผู้นี้เขียนความเรียงที่ดีในการสอบหน้าพระที่นั่งไม่ได้ ถึงตัวอักษรบทกวีจะเทียบได้กับราชบัณฑิตในราชสำนัก ข้าก็ไม่มีทางจะเมตตายกให้เป็นกรณีพิเศษเพราะคำพูดของเจ้า”
เมิ่งถิงฮุยรู้ครั้งนี้นางทำให้เขาไม่พอใจแล้ว จึงก้มหน้าเงียบเสียง ไม่พูดอีก
ในตำหนักยังมีนางกำนัลที่ยังไม่ออกไป เขากลับกางแขนออกยันโต๊ะ กล่าวกับนาง “มานี่” รอนางก้าวเข้ามาข้างหน้าแล้วเขาก็กล่าวเสียงเย็น “เปรียบกับเสิ่นจือซูแล้วไม่ด้อยกว่าแม้แต่น้อย หล่อเหลาอย่างไรหรือ”
นางชำเลืองมองสีหน้าไม่พอใจของเขา แล้วฟังน้ำเสียงของเขา ในใจพลันคิดอะไรขึ้นมาได้ ใบหน้าจึงแดงวูบขึ้นมาทันที พูดอ้ำๆ อึ้งๆ “หม่อม…หม่อมฉันทั้งไม่รู้สึกว่าใต้เท้าเสิ่น เสิ่นจือซูหล่อเหลา และไม่รู้สึกว่าอิ่นชิงผู้นี้หล่อเหลา”
“ความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูง เจ้ากลับไม่กลัวหรือ” เสียงของเขายังคงเยียบเย็นเฉยเมย แต่หว่างคิ้วกลับคลายออกเล็กน้อย “ก่อนการสอบหน้าพระที่นั่ง ห้ามเจ้าพบก้งเซิงเป็นการส่วนตัวอีก”
นางรีบบอก “หม่อมฉันหาได้พบเป็นการส่วนตัว…” เห็นอธิบายได้ไม่ชัดเจน นางจึงเบ้ปากเสียเลย บอกว่า “ฝ่าบาททรงอยู่ในตำแหน่งโอรสสวรรค์ เหตุใดยังจะหึงหวงเพียงเพราะก้งเซิงผู้หนึ่งด้วย”
เขาถูกนางพูดแทงใจดำ สีหน้าดำคล้ำขึ้นมาทันที “เจ้าบังอาจยิ่งนัก!”
นางก็ไม่มีสีหน้าที่ดีให้เขาเช่นกัน กล่าวเสียงเย็น “หม่อมฉันบังอาจแล้ว ฝ่าบาททรงลงโทษหม่อมฉันได้เลย”
นี่เป็นครั้งแรกที่นางแสดงท่าทีไม่คล้อยตามเขา เห็นชัดว่าเขาเองก็คาดไม่ถึงว่านางจะโกรธ คล้ายเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนางในอีกด้านหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นผ่อนคลายลง ครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “ใช่ ข้าหึงหวงแล้ว แล้วอย่างไร”
นางได้ยินท่วงทำนองการพูดเช่นนี้ของเขาก็คลายโทสะทันที ชั่วขณะนั้นเพียงรู้สึกตนเองละเมิดกฎเกณฑ์ไม่อยู่ในครรลองขุนนาง ส่วนเขากลับลดศักดิ์ศรีอดทนโอนอ่อนผ่อนตาม คนที่ฝีปากคมคารมกล้ามาโดยตลอดยามนี้ถึงกับไม่รู้ว่าควรกล่าวตอบอย่างไร ผ่านไปนานจึงกล่าวช้าๆ ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หม่อมฉันทั้งไม่ได้งดงามเพริศพริ้ง ไม่มีวงศ์ตระกูลที่เรืองอำนาจ ชายหนุ่มที่มีความรู้ความสามารถและหน้าตาหล่อเหลาในราชสำนักจะชื่นชอบหม่อมฉันได้อย่างไร ฝ่าบาททรงคิดมากเกินไปแล้ว”
ยิ่งไปกว่านั้นภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์อย่างเที่ยงธรรมของคนครึ่งราชสำนัก ชื่อเสียงดีงามของนางรักษาไว้ไม่อยู่นานแล้ว ขุนนางหนุ่มเหล่านั้นแม้จะเต็มใจใกล้ชิดพึ่งพานางในเรื่องราชสำนัก แต่ในเรื่องของชายหญิงพวกเขาจะยินดีแต่งงานกับนางที่เป็นสตรีเช่นนี้ได้อย่างไร
นางคิดพลางอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้ เขาความคิดฉลาดเฉียบแหลม เป็นไปไม่ได้ที่จะมองแล้วไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ และก่อนหน้านี้นางก็เคยคบค้าสมาคมกับเหล่าขุนนางบุรุษในราชสำนักมากเพียงนั้น…ไม่ว่าจะเป็นหวงปอที่อยู่คุ้มกันนางที่จวนสกุลเมิ่งเป็นเวลานานในช่วงก่อน ยังมีตี๋เนี่ยนที่เดินทางไปปราบจลาจลกับนางที่เฉาอัน หรือเฉาจิงที่สนิทสนมใกล้ชิดกับนางที่สุด ในบรรดาขุนนางฝ่ายทหารและพลเรือนทั้งราชสำนัก…นางยังไม่เคยเห็นเขาไม่พอใจเพราะนางคบหาสนิทสนมกับขุนนางบุรุษมาก่อน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าใต้หล้านี้ในบรรดาผู้คนนับหมื่นเขาเป็นคนที่เข้าใจนางมากที่สุด แล้วเหตุใดเขาต้องหึงหวงเพียงเพราะอิ่นชิงที่นางเพิ่งเคยพบหน้าเพียงครั้งเดียวผู้นั้นด้วย
นางขบคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ และไม่อาจอธิบายท่าทีของเขาในวันนี้ได้ จึงยืนอยู่เบื้องหน้ารอเขาเอ่ยวาจา
เขาได้ยินคำพูดของนางก็ไม่ได้เอ่ยปากทันที กลับค่อยๆ สำรวมอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้า สายตาของเขากวาดมองสีหน้าราบเรียบของนางหลายรอบแล้วหลับตาลง
นางไม่ได้งดงามเพริศพริ้งก็จริง แต่ดวงตาใสกระจ่างไร้สิ่งแปดเปื้อนคู่นี้น่าหลงใหลเพียงใด นางเฉลียวฉลาดคล่องแคล่วมีชีวิตชีวา ขอเพียงยืนอยู่ที่นั่น บรรยากาศรอบด้านก็คล้ายพลอยมีชีวิตชีวาขึ้นมาด้วย นางไม่มีวงศ์ตระกูลที่เรืองอำนาจก็จริง แต่นางกลับเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าสตรีในวงศ์ตระกูลสูงศักดิ์ทั้งราชสำนัก แม้จะเป็นขุนนางสตรี แต่การวางแผนและความกล้าหาญก็ไม่เคยแพ้ให้กับบุรุษ
นางไม่ใสซื่อไร้เดียงสาเช่นในช่วงแรกนานแล้ว นางไม่รู้ว่าตนเองในเวลานี้มีเสน่ห์ชวนลุ่มหลงเพียงใด นางไม่เข้าใจสายตาอันซับซ้อนของผู้อื่นยามมองนาง นางเอาแต่คิดว่าใต้หล้านี้นอกจากเขาแล้ว…ก็ไม่มีผู้ใดมีความปรารถนาในตัวนางอีก
เวลาผ่านไปนานเขาจึงขยับตัว เปลี่ยนเรื่องสนทนาไปเลย “ครั้งนี้ที่หนึ่งของบัณฑิตเอกชั้นหนึ่งรับตำแหน่งผู้ตัดสินคดีในสำนักตุลาการสูงสุด ที่สอง ที่สามรับตำแหน่งเปียนซิวในกองอาลักษณ์ ที่เหลือหลังจากกรมปกครองตรวจสอบแล้วส่งให้สำนักราชเลขาธิการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบ จากนั้นค่อยมอบตำแหน่งขุนนาง”
นางรับคำเงียบๆ เห็นบนโต๊ะยังมีหนังสือกราบทูลที่ยังไม่ได้เห็นชอบวางซ้อนกันอีกตั้งหนา จึงไม่อยากรบกวนเวลาจัดการงานของเขามากนัก เพียงรวบแขนเสื้อบอก “ถ้าฝ่าบาทไม่มีเรื่องอื่น หม่อมฉันขอทูลลา”
เดิมทีเขาจะพยักหน้า แต่คล้ายจู่ๆ คิดเรื่องอะไรขึ้นมาได้ จึงเรียกนางไว้ “เรื่องที่เจ้าจะโยกย้ายเจ้าหน้าที่ด้านการทหารและขุนนางในกองการขนส่งของเฉาอันเป่ยลู่ในช่วงก่อนหน้านี้ยังไม่ได้รับการจัดการหรือ”
พอได้ยินว่าเป็นเรื่องนี้เมิ่งถิงฮุยก็รู้สึกปวดศีรษะขึ้นมาทันที นางสั่นศีรษะพลางย่นหัวคิ้วบอก “การสอบของกรมพิธีการรองเสนาบดีสวีเป็นขุนนางผู้ควบคุมการสอบร่วมกับหม่อมฉัน ก่อนหน้านี้ล้วนยุ่งอยู่กับเรื่องต่างๆ ในการสอบของกรมพิธีการ เรื่องนี้จึงยังไม่ทันได้หารือกันอีกครั้งเพคะ”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่นางกลับเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ต่อให้หารือกันอีกครั้ง ด้วยนิสัยที่ดื้อรั้นคร่ำครึของสวีถิงต้องไม่มีทางเห็นด้วยแน่นอน
ถ้าครั้งนี้นางยื่นหนังสือกราบทูลโดยตรง และได้รับการเห็นชอบเป็นลายพระหัตถ์ ย่อมปลุกเร้าความไม่พอใจของเหล่าขุนนางอาวุโสขึ้นมาอีกครั้งอย่างแน่นอน เพียงโยกย้ายเหล่าขุนนางชายแดนขั้นหกลงไป นางจะข้ามขั้นเอาฮ่องเต้มากดข่มเหล่าขุนนางผู้จัดการงานราชการแผ่นดินได้อย่างไร หากทำเช่นนั้น หลังจากนี้ไปเรื่องที่นางคัดเลือกประเมินทั้งหมดที่ต้องให้สำนักราชเลขาธิการพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบจะต้องถูกขัดขวางมากขึ้นแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ต่อให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามถึง นางก็ไม่ยอมขอร้องเขาให้ช่วย
ความขัดแย้งระหว่างขุนนางอาวุโสกับขุนนางกลุ่มใหม่ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ในเวลาชั่วครู่ชั่วขณะ การต่อสู้ชิงดีชิงเด่นในราชสำนักแต่ไรมาดุดันรุนแรง ถ้าจะบอกว่าต้องให้เจ้าตายข้าอยู่กันไปข้างหนึ่งก็ไม่เกินไป นางกับบรรดาขุนนางอาวุโสเหล่านั้นจะปรับความเข้าใจกันได้อย่างไร ระหว่างสองฝ่ายแตกแยกกันรุนแรง เรื่องต่างๆ ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันสั่งสมต่อไปเช่นนี้นานเข้า วันหน้าจะต้องมีข้างหนึ่งที่อดทนต่อไปไม่ไหวและลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวต่อต้าน ถึงตอนนั้นใครจะบาดเจ็บใครจะล้มตายก็พูดยากแล้ว
เพียงไม่รู้ว่าฝ่ายที่หมดความอดทนก่อนจะเป็นใคร
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 19 เม.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.