บทที่ 28-2
เมิ่งถิงฮุยถูกเสิ่นจือหลี่ลากไปร่วมฉลองค่ำคืนวันชีซีกับเหล่าขุนนางสตรีกลุ่มหนึ่ง
คืนวันนั้นนางอยู่ที่ถนนพูดโกหกเสิ่นจือหลี่ วันรุ่งขึ้นก็ยื่นหนังสือกล่าวโทษสวีถิงในราชสำนัก เดิมเข้าใจว่าในใจของเสิ่นจือหลี่จะต้องนึกตำหนินาง ไม่สนิทสนมใกล้ชิดกับนางเหมือนเมื่อก่อนอีก ใครจะคาดคิดผ่านไปไม่กี่วันเสิ่นจือหลี่ถึงกับทำตามที่พูดไว้ในคราวก่อน มีเรื่องน่าสนุกก็มาเรียกนางไปด้วยกัน
นางรู้ดีเสิ่นจือหลี่เป็นคนเปิดเผยตรงไปตรงมา เรื่องหรือคนที่ตนยอมรับแน่นอนแล้วก็จะไม่รับผลกระทบจากผู้อื่นอีก เมื่อเปรียบเทียบแล้วนางก็รู้สึกไม่สบายใจและละอายใจเล็กน้อย วันนี้เมื่อเห็นเสิ่นจือหลี่มาเรียกนางให้ไปเดินเที่ยวชมโคมไฟกับทุกคน นางจึงไม่แม้แต่จะคิดก็รับปากทันที
ค่ำคืนวันชีซี ภายในตลาดเต็มไปด้วยรถม้า ถนนเต็มไปหญิงสาวที่สวมเสื้อผ้าแพรพรรณงดงาม บนหอต่างๆ ตกแต่งด้วยลูกกรงราวไม้แกะสลักสีสันงดงาม ท้องถนนด้านล่างเต็มไปด้วยโคมไฟผ้าโปร่งสีแดงสีเขียว สว่างไสวงดงามยิ่ง
หลังจากดื่มสุรากินอาหารในห้องติดถนนของหอวั่นถิง ชมโคมไฟพลางพูดคุยหัวเราะสนุกสนานกันอยู่พักใหญ่ ทั้งกลุ่มก็พากันไปที่ถนนหม่าสิงดูละครหุ่นกระบอกที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองหลวงด้วยความตื่นเต้นสนุกสนาน หลังจากนั้นก็ยังไม่สาสมใจ ภายใต้ข้อเสนอของเสิ่นจือหลี่ก็ไปยังถนนที่อยู่ใกล้เคียงเพื่อดูคณะละครงิ้วแสดงศิลปะวิทยายุทธ์และการต่อสู้ ปล่อยให้ฝูงชนที่ส่งเสียงเอะอะมะเทิ่งเบียดไปเบียดมาอยู่รอบตัว ปล่อยให้สุราร้อนในท้องอุ่นโลหิตไปทั่วร่าง เงินรางวัลที่ควักออกมาแต่ละคนยิ่งควักยิ่งมือเติบ พอหันกลับมามองหน้ากันต่างก็หัวเราะชอบใจกันไม่หยุด
จะอย่างไรก็เป็นเหล่าหญิงสาว แม้จะเป็นขุนนางอยู่ในราชสำนัก ปกติวางท่าเคร่งขรึมจริงจัง แต่เมื่อได้เจอกับในค่ำคืนเช่นนี้บรรยากาศที่สนุกสนานเช่นนี้ก็ควบคุมตนเองไม่อยู่
รอจนเที่ยวเล่นสนุกพอแล้วคนทั้งกลุ่มจึงแยกย้ายกันไปด้วยความเสียดายไม่อาจตัดใจ ต่างคนต่างกลับบ้าน
เมิ่งถิงฮุยดื่มสุราจนมึนเมา ใบหน้าแดงก่ำไปทั้งหน้า ไม่สนใจเด็กรับใช้จวนสกุลเมิ่งที่บังคับรถม้ามารับ เพียงรู้สึกค่ำคืนอันแสนสุขนี้ไม่ควรปล่อยให้สูญเปล่า ถึงกับวิ่งกลับไปยังสถานที่ที่ชมโคมไฟในช่วงก่อนหน้านี้ ยืนอยู่ตรงมุมถนนด้านล่างหอวั่นถิง มองจ้องโคมไฟรูปเต่ายักษ์ขนาดใหญ่ที่บรรดาชาวบ้านวางกองไว้ที่หน้าตำหนักเซวียนเต๋อในวังหลวงที่ไกลออกไปอยู่คนเดียว
พู่ที่ทำจากลูกปัดสีทอง สีเงิน และสีเขียวแกว่งไปมาอยู่ใต้ชายคา ส่งเสียงดังติงตัง แทรกอยู่ในเสียงหัวเราะของฝูงชนบนท้องถนน ยิ่งทำให้ข้างหูของนางรางเลือนไม่ชัดเจน
โคมไฟรูปเต่ายักษ์นั่นใหญ่โตสว่างไสวเพียงนั้น งดงามจ้าตาเพียงนั้น ก็คล้ายกับคนที่อยู่ในวังหลวงผู้นั้น เพียงได้เห็นก็ไม่อาจละสายตา
นางให้เด็กรับใช้ไปซื้อสุราข้าวเหนียวที่ริมถนนมาให้นางอีกสองจอกอย่างเอาแต่ใจ จากนั้นก็เอนพิงราวกั้นเตี้ยสีสันสดใส ทางหนึ่งมองดูฝูงชนที่พลุกพล่านบนถนน ทางหนึ่งก็อ้าปากดื่มสุราจนหมด
นับแต่เข้าราชสำนักมาเมิ่งถิงฮุยยังไม่เคยผ่อนคลายเหมือนค่ำคืนนี้มาก่อน จึงอดใจไม่อยู่อยากทำอะไรละเมิดกฎเกณฑ์ ไม่ต้องคำนึงถึงมารยาท เอาแต่ใจดูบ้าง…อย่างไรเสียบนถนนแห่งนี้ก็ไม่มีใครจำนางได้
นางดื่มสุราข้าวเหนียวพอแล้วก็หันไปเรียกเด็กรับใช้ให้เดินไปซื้อภาพวาดสีเป็นเพื่อนนาง นางเฝ้าคิดแต่จะเดินเที่ยวดูร้านค้าใหม่บนถนนสายนี้ให้ทั่ว ซื้อของกลับไปตกแต่งบ้านที่ว่างเปล่าให้สาสมใจ
บนตัวร้อนรุ่ม ฝีเท้าซวนเซ เดินไปได้ไม่กี่ก้าวนางก็ทนไม่ไหวยกมือขึ้นดึงคอเสื้อให้อ้าออก กระโปรงยาวแผ่กว้างซ้อนกันเป็นชั้นๆ แม้จะงดงามชวนมอง แต่เวลานี้กลับเป็นอุปสรรคในการเดินไปข้างหน้าของนาง ทำให้นางหงุดหงิดรำคาญใจยิ่ง
ระหว่างที่นางกำลังวุ่นวายอยู่กับเสื้อกระโปรงบนตัวอยู่นั้นก็ไม่ระวังเดินไปชนคนที่อยู่ข้างหน้าเข้า
นางถูกกระแทกจนมึนงงตาลาย อ้าปากคิดจะด่าว่า แต่พอเงยหน้าขึ้นก็ตกตะลึง
คนผู้นี้…คนผู้นี้…กลับรูปร่างหน้าตาคล้ายฮ่องเต้!
แสงโคมสลัวราง ลมพัดผ่านขนตา พัดพาความเมามายบางเบาไป
นางอ้าปากกลับลิ้นแข็ง ยืนทึ่มทื่ออยู่กับที่มองคนผู้นั้น
“เมิ่งถิงฮุย” คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น
อา…เสียงนี้ก็คล้ายคลึงถึงเพียงนี้ ทั้งยังรู้ชื่อของนางอีกด้วย!
“เมิ่งถิงฮุย” ร่างของเขาค่อยๆ โน้มลงมา เข้ามาใกล้นางมากขึ้นทุกที ใกล้จนนางมองเห็นสีของนัยน์ตาคู่นั้นของเขาอย่างชัดเจน
นางคล้ายได้รับความตื่นตระหนก มือขวากุมอยู่ที่อก พูดตะกุกตะกัก “ท่าน…เหตุใดท่านจึงมาถึงที่นี่ได้”
บนท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คน สารพัดเสียงดังก้องสองหู ดังวิ้งๆ ทำให้นางวิงเวียน
เขากลับเพียงหลุบตามองจ้องนาง แม้แต่คำพูดแสดงความเคารพก็ลืมเอ่ย นางเมาแล้วจริงๆ
นางมองจ้องเขากลับไปนิ่ง แล้วจู่ๆ ก็โถมเข้าไปซุกใบหน้ากับอ้อมอกเขา อาศัยความเมามายพูดเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน “เมื่อ…เมื่อวานข้าไม่ใช่อ้างเหตุไม่ไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักรุ่ยซือ…”
เด็กรับใช้จวนสกุลเมิ่งที่อยู่ข้างหลังเห็นแล้วตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้ว ฝูงชนบนท้องถนนไหลบ่า ต่างพูดคุยหยอกล้อกันสนุกสนาน ทิ้งคนทั้งสองไว้ที่มุมถนนไม่มีใครสนใจ
สวนทางกับเสียงเอะอะมะเทิ่งของผู้คน เขายกมือขึ้นโอบเอวนางเบาๆ
ครั้นแล้วนางก็ยิ่งพัวพันเขาอย่างกำเริบเสิบสานมากขึ้น พูดเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจนต่อ “ก่อนหน้านี้ท่าน…ท่านโอ้เอ้…ล่าช้าไม่ยอมออกราชโองการ ข้าจะ…ข้าจะเข้าเฝ้าโดยพลการได้อย่างไร…”
เขาคิดจะพานางเดินไปข้างหน้า แต่ไม่ว่าทำอย่างไรนางก็ไม่ขยับ เขาจำต้องหลุบตาลงอีกครั้ง ย่นหัวคิ้วแล้วพูดเสียงต่ำ “ไม่มีใครคิดตำหนิเจ้า ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร”
นางพลันเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาเงียบๆ คล้ายกำลังมองประเมินสมบัติล้ำค่าหายากชิ้นหนึ่งเช่นนั้น จากนั้นก็พึมพำขึ้น “ท่านเป็นกษัตริย์ที่ปรีชาญาณอย่างแท้จริง” ริมฝีปากของนางที่แดงระเรื่อด้วยความเมามายหยักยกขึ้น ส่งยิ้มให้เขาเหมือนเด็กน้อยแล้วบอก “เป็นกษัตริย์ที่ปรีชาญาณของข้า” จากนั้นนางก็ซุกหน้าลงแนบกับหน้าอกของเขา เน้นน้ำหนักเสียงบอก “เป็นของข้า”
เขาเป็นของนาง
คล้ายว่าการพูดออกมาเช่นนี้นางก็จะสามารถยึดครองเขาไว้เพียงผู้เดียวได้จริงๆ ไม่ไปใส่ใจผู้คนนับหมื่นๆ ในใต้หล้า ก้มหน้า เงยหน้า เดินหน้า ถอยหลัง หายใจก็ได้ยิน เขาเป็นของนางเพียงผู้เดียวเท่านั้น
ชั่วขณะนั้นรอบด้านเงียบสงัดไร้สุ้มเสียง
เขามีสีหน้าหวั่นไหวเล็กน้อย มือหนึ่งประคองด้านหลังศีรษะของนาง ให้นางเงยหน้าขึ้นมา มืออีกข้างหนึ่งยื่นลงไปกุมมือของนางไว้ หมุนตัวพานางเดินไปตามถนน ริมฝีปากเปิดขึ้นเล็กน้อย เอ่ยว่า “เป็นของเจ้า”
นางกลับกระบิดกระบวนดิ้นรนขึ้นมา พันพัวเขาไว้ หรี่ตาพลางยื่นหน้ามาพูดเสียงดัง “ข้า…ข้ายังอยากจะ…” เพิ่งเอ่ยปากดวงตาสีดำแวววาวคู่นั้นก็ดูงงงวยไป หลังจากครุ่นคิดอยู่นานจึงนึกขึ้นมาได้ พูดเสียงดังต่อไป “ยังอยาก…อยากจะซื้อภาพวาดสีกลับไปด้วย!”
เขายืนนิ่ง หมุนตัวมองเข้าไปในฝูงชนที่ไหลไปบนถนนกว้าง สายตามองสอดส่ายไปยังร้านค้าสองฟากถนนที่เรียงซ้อนกันรอบหนึ่ง จากนั้นก็จูงนางเดินกลับไป “ได้ จะซื้อภาพวาดสีให้เจ้า”
นางหัวเราะหึๆ ออกมา เกาะเกี่ยวฝ่ามือใหญ่ของเขาแล้วเดินไปทันที กระทั่งเด็กรับใช้ของจวนสกุลเมิ่งที่ยังรออยู่ข้างหลังนางก็ลืมแล้ว
เด็กรับใช้ทั้งตกใจทั้งหวาดกลัว เห็นอยู่ว่าบุรุษท่าทีสูงศักดิ์สวมเสื้อคลุมยาวผ้าดิ้นกลัดดุมหยกนั้นก็คือฮ่องเต้องค์ปัจจุบันที่เคยเห็นที่ด้านนอกจวนสกุลเมิ่งในคืนนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่กล้าเชื่อว่าใต้เท้าของพวกเขาจะกล้าทำในสิ่งที่ไม่เคารพเช่นนี้ต่อฮ่องเต้บนถนน…และฮ่องเต้ก็ถึงกับปล่อยให้ใต้เท้าของพวกเขาไร้กฎไร้ระเบียบเช่นนี้ แม้แต่ถ้อยคำรุนแรงสักคำก็ไม่ได้ดุว่าใต้เท้าของพวกเขา!
ยัง…ยังจะไปเป็นเพื่อนใต้เท้าของพวกเขาซื้อภาพวาดสีอีกด้วย!
เด็กรับใช้ยกแขนเสื้อเช็ดเหงื่อเย็นที่หน้าผาก พอเงยหน้าขึ้นอีกทีก็เห็นหวงปอองครักษ์ผู้รับใช้ใกล้ชิดฮ่องเต้ยืนอยู่ใต้ชายคาซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกล กำลังกวักมือเรียกเขา
เขารีบเดินเข้าไปหา ก่อนพูดตะกุกตะกัก “องค์…องครักษ์หวง คนเมื่อครู่ผู้นั้น…” พวกเขาหลายคนซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ของจวนสกุลเมิ่งรุ่นแรกสุดในตอนนั้นล้วนเป็นคนที่หวงปอจัดหามาด้วยตนเอง ดังนั้นการได้เห็นหวงปอที่นี่จึงทำให้เขารู้สึกสบายใจขึ้น
หวงปอเลิกคิ้ว “ไม่เห็นบนถนนห่างออกไปมีคนจากในวังยืนอยู่ตั้งหลายคนหรือ ยังไม่เข้าใจอีก” เห็นเด็กรับใช้ยังคงทำอะไรไม่ถูก เขาจึงกล่าวต่อ “ยังจะยืนทึ่มรอรางวัลหรือ ยังไม่รีบบังคับรถไปรอฝ่าบาทกับใต้เท้าบ้านเจ้าที่ท้ายถนนอีก!”
เด็กรับใช้กระวีกระวาดหมุนตัววิ่งกลับไปที่หัวถนน
หวงปอหันหน้ามองไปกลางฝูงชน เห็นเงาร่างสีแดงเข้มนั่นเคลื่อนห่างออกไปหลายสิบก้าวแล้ว จึงถอนหายใจเบาๆ แล้วรีบไล่ตามไป
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 24 เม.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.