บทที่ 28-3
ไกลออกไปด้านหน้าตำหนักเซวียนเต๋อในวังหลวงมีเสียงระฆังดังกังวานทรงพลัง สั่นสะเทือนจนเสียงของผู้คนที่ดังไปทั่วท้องฟ้าดูเบาลงไป
ตรงหน้ามีชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา บนใบหน้าล้วนมีสีหน้าขวยเขินไม่เป็นธรรมชาติ มือสองข้างใต้ชายแขนเสื้อคล้ายจับจูงกันคล้ายไม่ได้จับจูงกัน พอเห็นผู้อื่นมองมาอย่างจับสังเกตก็จะเบี่ยงตัวแยกจากกันทันที
นางกลับไม่คำนึงถึงธรรมเนียมมารยาท มองจ้องผู้อื่นตาไม่กะพริบ เป็นนานจึงถอนสายตากลับมาด้วยสีหน้ายิ้มกริ่ม แล้วเกาะเกี่ยวมือของเขาที่อยู่ในแขนเสื้อผ้าดิ้นกว้างแน่นขึ้น
ช่างเป็นค่ำคืนที่ดีงาม ทัศนียภาพงดงาม…ดียิ่งนัก!
คนที่อยู่ข้างกายผู้นี้…ดียิ่งนัก!
คนทั้งถนนไม่มีผู้ใดรู้ว่านางคือเมิ่งถิงฮุย และไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาคือฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน…ดียิ่งนัก!
นางอยากทำอะไรก็ทำเช่นนั้น ต่อให้อิงแอบอยู่ข้างกายเขาเช่นนี้ไปตลอดก็ไม่กลัวผู้อื่นมองผู้อื่นว่า อย่างไรเสียเขาก็บอกแล้วว่าเป็นของนาง ไม่ว่าใครไม่อาจแย่งชิงไปได้!
ผู้คนพลุกพล่าน โคมไฟหลากสีสันส่องแสงสว่างพร่างพราว ความมึนเมาทั่วร่างเหมือนจะทำให้นางดูอ่อนโยนละมุนละไมเปี่ยมไปด้วยอารมณ์รัก
เขาดีต่อนางอย่างแท้จริง พานางไปซื้อภาพวาดสี จากนั้นก็พานางไปชมร้านค้าชื่อดังติดกันหลายร้าน นางอยากได้อะไรเขาก็ซื้อให้นางทุกอย่าง ไม่เพียงซื้อของให้นาง ยังจับจูงมือนางตลอดเวลา
หลังออกจากร้านค้า นางมุ่ยปากบอกว่ายังอยากดื่มสุราหวาน เขาก็พานางไปซื้อสุราหวาน ยืนพิงราวกั้นถนนป้อนนางดื่มทีละนิด ทำให้ผู้คนรอบๆ ที่เดินผ่านไปมาพากันจ้องมองนางด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นางรู้คนเหล่านั้นต่างอิจฉานาง เขาหล่อเหลาเพียงนี้ สูงสง่าเพียงนี้ อ่อนโยนเพียงนี้ เอาอกเอาใจเพียงนี้ ใครเห็นแล้วไม่จ้องตาเป็นมันบ้าง แต่เขาเป็นของนางคนเดียว นางไม่ยอมให้ผู้ใดทั้งนั้น!
นางลำบากไม่น้อย ลำบากไม่น้อยเลยกว่าจะได้บุรุษผู้นี้มา ต่อให้เอาชีวิตนาง นางก็ไม่ยอมยกสองมือประคองเขาให้ผู้อื่น
ราตรีกาลยิ่งดึกดื่นยิ่งเงียบสงัดยิ่งเยียบเย็น ลมพัดชายกระโปรงตลบ พัดจนเปลวไฟในหัวใจของนางลุกโชน
ในคำพูดที่เหลวไหลนางอยากได้สิ่งของมากมาย มากจนออกจากร้านแล้วสองมือของนางก็ถือไม่หมด จำต้องถอดผ้าโปร่งคลุมแขนออกมา เอาสิ่งของใส่เข้าไปทั้งหมด แล้วถือไว้ในอ้อมแขนพลางมองเขาอย่างมีความสุข
กระต่ายหยกตัวน้อยคู่หนึ่งสุกใสพร่างพราว งดงามยิ่ง ดอกเสาเย่าหยกสองดอก ยังไม่ทันจ่ายเงินก็ถูกนางติดไว้ที่ติ่งหูแล้ว ผ้าเช็ดหน้าหอมสามผืน นางยัดผ้าเช็ดหน้าผืนสีม่วงเข้มไว้ในอกเสื้อเขาผืนหนึ่งด้วยความหวังดี เข็มเงินแถวหนึ่ง ด้ายสีสี่หลอด แผ่นไม้ไผ่ห้าแผ่น รวมกับภาพวาดสีอีกปึกใหญ่ ล้วนถูกนางหอบไว้ในอ้อมแขนราวกับสมบัติล้ำค่า
นางมองเขาอยู่นาน คล้ายจู่ๆ ก็สังเกตเห็นเรื่องแปลกใหม่อะไรขึ้นมาเช่นนั้น จึงร้องขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ท่าน…เหตุใดคืนนี้ออกจากวังมาจึงไม่เอาผ้าปิดดวงตาไว้เล่า”
แย่แล้วๆ เมืองหลวงอยู่ใต้เบื้องพระบาทโอรสสวรรค์ อาณาประชาราษฎร์ในเมืองนี้มีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าฝ่าบาทพระเนตรสองข้างต่างสีกัน เมื่อครู่เขาพานางไปที่ต่างๆ มากมาย พบเจอผู้คนมากมายเพียงนั้น เกิดถูกคนมองออกเข้าจะทำอย่างไร
นางรู้สึกเหมือนทำความผิดแล้วกลัวคนจะพบเห็นอย่างไรอย่างนั้น จึงหดคอมองไปรอบด้าน เมื่อเห็นว่าไม่มีคนมองมาที่พวกนางสองคนจึงระบายลมหายใจเบาๆ ยังดีไม่มีคนมองสายสนกลในออก
เขาไม่ได้ตอบคำถามนาง เพียงยื่นมือไปลูบมวยผมสองข้างที่ยุ่งเหยิงของนางให้เรียบ แล้วก็ลูบๆ หยกรูปดอกเสาเย่าที่ติ่งหูของนาง หลังมือแนบกับแก้มที่แดงเปล่งปลั่งของนางลูบไล้ไปมา กล่าวเสียงต่ำ “ท่าทางเจ้าในยามนี้ชวนมองยิ่งนัก ทำให้ข้าอยากจูบเจ้า”
นางยิ้มจนนัยน์ตาโค้ง ท่าทางของเขายามนี้ก็ชวนมองยิ่งนัก ทำให้นางอยากจูบเขา!
คิดแล้วนางก็เบียดตัวเข้าหาเขา ลืมไปแล้วว่ายังอยู่บนถนน ถึงกับคิดจะจูบริมฝีปากของเขาอย่างเดียว
เขาปล่อยให้นางเบียดตัวเข้ามาก็จริง แต่กลับแบกนางขึ้น เมื่อได้ยินนางร้องออกมาด้วยความตกใจ จึงหยักโค้งมุมปากเล็กน้อยแล้วบอก “กลับบ้านไปกับข้าดีหรือไม่”
นางเพียงรู้สึกฟ้าหมุนแผ่นดินพลิกตลบ ของที่อยู่ในอ้อมแขนเกือบถูกนางทิ้งลงมา แสงไฟหลากสีสันสองฟากสาดแสงส่องสว่างแผ่นหินภายใต้สายตานาง สะท้อนเงาร่างของเขาที่อุ้มนางขึ้นมาอย่างสลัวราง
นางมองท้องฟ้ามองพื้นดิน รู้สึกว่าแสงเงาที่มองกลับด้านนี้ดูงดงามแปลกตา ดวงตาดำขลับสองดวงกลอกไปมาไม่ได้ดิ้นรน เพียงตอบอย่างว่าง่าย “ดี”
เขาอุ้มนางเช่นนี้เดินไปที่ท้ายถนน อุ้มนางขึ้นไปบนรถม้าของสกุลเมิ่ง อุ้มนางกลับจวนสกุลเมิ่ง และอุ้มนางตลอดทางไปจนถึงห้องนอนของนาง
ไม่ต้องพูดถึงว่าทุกคนในจวนสกุลเมิ่งจะตื่นตระหนกตกใจเพียงใด เพียงพูดถึงพวกหวงปอที่คอยปกป้องความปลอดภัยของฮ่องเต้อยู่ห่างๆ บนถนนตลอดทั้งคืน ตอนที่เห็นฉากนี้มีใครบ้างไม่เหงื่อเย็นไหลริน
แม้แต่หวงปอที่เข้าใจเจตจำนงของฮ่องเต้อย่างลึกซึ้ง จงรักภักดีเป็นที่สุดก็ยังรู้สึกว่าฮ่องเต้โปรดปรานใต้เท้าเมิ่งจนออกจะเกินเลยไปสักหน่อยจริงๆ
แต่เมิ่งถิงฮุยก็เมามายไม่รู้เรื่องรู้ราว ถึงกับไม่รู้สึกว่ามีอันใดไม่เหมาะสมแม้แต่น้อยนิด
พอเข้ามาในห้องนางก็ปล่อยมือไม่สนใจสิ่งของเหล่านั้นอีก กระโจนเข้าไปดุจหมาป่าตัวน้อย จุมพิตเขากัดเขา กระทั่งโอกาสที่จะหยิบกลักจุดไฟมาจุดเทียนให้สว่างก็ยังไม่มี
ทั้งที่เขาสามารถยับยั้งนางไม่ให้เคลื่อนไหวได้ แต่เขากลับปล่อยให้นางก่อกวน ถูกนางฉุดลากขึ้นไปบนเตียง แล้วมองนางถอดเสื้อคลุมยาวของตนออกด้วยท่าทางวิงเวียนเมามาย
นิ้วมือของนางไม่ฟังคำสั่ง หลังจากพยายามอยู่นานก็ไม่สำเร็จ จึงเอามือกุมหน้าครวญครางออกมาคำหนึ่งอย่างยอมแพ้ นอนฟุบอยู่บนร่างของเขาโดยไม่ขยับอีก เปิดปากพูดราวกับสั่ง “ท่าน…ท่านถอดออก!”
เขาค่อยๆ โอบแขนข้างหนึ่งไว้รอบตัวนาง ให้นางนอนในท่าทางที่สบายแล้วจึงยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นมา เริ่มถอดเสื้อตนเองออกอย่างไม่รีบร้อน รอถอดเสื้อคลุมตัวนอกออกเสื้อตัวในเปิดกว้างแล้วก็จับมือเล็กๆ ของนางมาวางบนอกซ้ายที่เปลือยเปล่าของตน แล้วกระซิบถาม “พอใจแล้วหรือยัง”
นางลูบไล้แผงอกที่แข็งแกร่งหนั่นแน่นของเขาอย่างไม่สำรวม ทั้งบิดตัวไปมาอยู่ในอ้อมอกของเขา ปากก็ส่งเสียงอู้อี้ไม่รู้พูดอะไร มวยผมหลุดลุ่ยออกมาเพราะความอยู่ไม่สุข แม้แต่ต่างหูหยกรูปดอกเสาเย่าที่เพิ่งซื้อมาใหม่หลุดไปข้างหนึ่งก็ไม่ใส่ใจ
เขาพลันพลิกตัวกดร่างนางไว้ใต้ร่างทันที ก้มหน้าลงสูดกลิ่นสุราที่ซอกคอนางลึกๆ ทีหนึ่ง คิ้วเข้มพลันเลิกขึ้น “ดื่มมากเพียงนี้ ข้าจะรอดู พรุ่งนี้เจ้าจะไปประชุมขุนนางตอนเช้าอย่างไร”
นางหัวเราะคิกๆ ยกมือขึ้นมาเกี่ยวคอเขา เลียนแบบคำพูดของเขา “ข้า…ข้าจะดู พรุ่งนี้เจ้าจะไปประชุมขุนนางตอนเช้าอย่างไร…”
เขายิ้มน้อยๆ อย่างอดใจไม่อยู่ ก้มหน้าลงจุมพิตเร็วๆ ไปที่ข้างริมฝีปากแดงอ่อนนุ่มเจือกลิ่นหอมของสุราหวานทีหนึ่ง “ในเมื่อคิดถึงข้าเพียงนี้ เมื่อวานเหตุใดจึงไม่ทำตามคำสั่งไปเข้าเฝ้าที่ตำหนักรุ่ยซือ”
กลับมาที่เรื่องนี้อีกแล้ว
นางมุ่นหัวคิ้ว พยายามย้อนคิด แต่กลับคิดอย่างไรก็คิดไม่ออก ดูเหมือนนาง…ดูเหมือนนางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเพราะเหตุใดเขาจึงปรากฏตัวขึ้นในคืนนี้! ท่ามกลางความมืดนางพยายามมองหาดวงตาทั้งสองของเขาอย่างเหนื่อยแรง รอเห็นชัดแล้วนางก็ร้องขึ้น “ท่าน…มาหาข้าด้วยเหตุใดหรือ”
เขาบอก “เรื่องของสวีถิงเมื่อวานยังไม่ได้กำหนดลงมา มีพระบัญชาเรียกตัวเจ้า เจ้าปฏิเสธไม่เข้าเฝ้า วันนี้ในเมื่อกำหนดลงมาแล้ว มีพระบัญชาเรียกตัวเจ้า กลับยังคงหาตัวเจ้าไม่พบอยู่ดี ข้าเข้าใจว่าในใจของเจ้าอาจคิดเหลวไหลอีก จึงได้ ‘ลดฐานะสูงศักดิ์’ มาพบเจ้าด้วยตนเอง”
นางพยายามตั้งใจฟังเขาพูด แต่ในสมองกลับมีแต่แป้งเปียกฟังไม่เข้าใจ เพียงได้ยิน ‘สวีถิง’ อะไร ‘คิดเหลวไหล’ อะไร จึงเบ้มุมปากแล้วบอก “สวีถิง เรื่อง…เรื่องนี้…ข้าจะไม่คิดหน้าคิดหลัง…ได้อย่างไร…”
เป็น ‘คิดหน้าคิดหลัง’ ไม่ใช่ ‘คิดเหลวไหล’! นางฟังไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร แต่กลับแก้ไขคำพูดของเขาอยู่ในใจ บ่นว่าเขาไม่เข้าใจจิตใจของนางได้อย่างไร
เขานิ่งเงียบจับตามองนางนิ่ง
ย่อมเข้าใจจิตใจของนางแล้ว
เรื่องของสวีถิง นางฉลาดจนทำให้เขารู้สึกประหลาดใจ
นางรู้ว่าถ้าเขาถอดถอนสวีถิงจากตำแหน่งรองเสนาบดีเพราะหนังสือกราบทูลกล่าวโทษของนางเพียงคนเดียวจะต้องถูกกล่าวหาว่า ‘ฟังความข้างเดียว’ ครั้นแล้วนางจึงชักจูงเลี่ยวฉงควนและกลุ่มขุนนางของสำนักตรวจการกลางมาร่วมกันยื่นหนังสือกล่าวโทษสวีถิง ทำให้เรื่องนี้สร้างความปั่นป่วนไปทั่วราชสำนัก ก่อกวนจนสุดท้ายหากเขาไม่ปลดสวีถิงจากตำแหน่งรองเสนาบดีจะถูกกล่าวหาว่าเพิกเฉยต่อคำทัดทานของสำนักตรวจการกลาง
ก่อนจะมีราชโองการอย่างเป็นทางการ นางรู้ดีว่าต้องหลีกเลี่ยงการถูกสงสัย กลัวว่าการเข้าเฝ้าส่วนตัวของนางจะทำให้ผู้อื่นคิดว่าราชโองการของเขาขาดความยุติธรรมเพราะคำพูดของนาง จึงได้รอบคอบระมัดระวังเช่นนั้น ไม่กล้าทิ้งจุดอ่อนไว้ภายนอกแม้แต่น้อย
อันที่จริงเขาไม่เห็นเรื่องเหล่านี้อยู่ในสายตาสักนิด แต่นางกลับใส่ใจชื่อเสียงของเขา…ใส่ใจอย่างมาก ปูแท่นบันไดให้เขาเดินไปทีละก้าวๆ อย่างระมัดระวัง กลัวยิ่งว่าความประมาทเลินเล่อของนางจะพลอยทำลายชื่อเสียงดีงามของเขา
ถ้าไม่มีการ ‘คิดหน้าคิดหลัง’ ของนาง เกรงว่าเขาก็คงไม่อาจร่างราชโองการที่ทำให้ขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนทั้งราชสำนักเงียบเสียงไม่มีความเห็นต่างนี้ออกมาได้
แต่เขายอมให้นางดื่มสุราเมามายโดยไม่อาจครุ่นคิดใคร่ครวญเหมือนเช่นเวลานี้จะดีกว่า
นางที่ดื่มจนเมามายดูน่ารักและใสซื่อยิ่ง ดวงตาคู่นั้นดำขลับเป็นประกาย ใสกระจ่างดุจหัวใจดวงนี้ของนาง
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 25 เม.ย. 67
Comments
comments
No tags for this post.