X
    Categories: ทดลองอ่านฟูมฟักจอมราชันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 131-132

หน้าที่แล้ว1 of 9

บทที่ 131

จะว่าไปแล้วการที่นางเข้ามาในจวนโม่เป่ยอ๋องได้นั้นช่างเป็นความบังเอิญนัก

ครั้งหนึ่งในระหว่างปฏิบัติการลับ นางบังเอิญพบว่าตนเองมีรูปโฉมคล้ายคลึงกับเชี่ยวจือสาวใช้ที่กำลังจะเข้ามาในจวนนี้ นางจึงเกิดความคิดสั่งให้คนของนางสังหารเชี่ยวจือทันที จากนั้นสวมรอยเป็นเชี่ยวจือและเข้ามาในจวนแทนอย่างไร้ที่ติ

จนกระทั่งนางได้เข้ามาในจวนโม่เป่ยอ๋อง นางถึงได้เห็นอีกมุมหนึ่งของฮั่วสุยเฟิง เมื่อก่อนนางเคยลอบมองความองอาจสง่างามของเขาตอนอยู่ในตลาด แต่นึกไม่ถึงว่าจวิ้นอ๋องที่เป็นบุรุษเลือดร้อนจะอ่อนโยนและเอาใจใส่สตรีของตนถึงเพียงนั้น เป็นสามีที่เลิศเลอที่สุดในใต้หล้า

น่าเสียดายนางไม่มีวาสนาได้รู้จักคนเช่นนี้เร็วกว่านี้ มิฉะนั้นเขาจะต้องเป็นบุรุษของนางแต่เพียงผู้เดียวแน่นอน!

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้สายตาหมายมาดของ ‘เชี่ยวจือ’ ก็ฉายแววแน่วแน่ยิ่งขึ้น นางมองสามีภรรยาคู่นั้นครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ก้มหน้าลงปักผ้าเช็ดหน้าในมือต่อไป อันที่จริงตอนนี้ก็ยังไม่สาย เพราะนางเชื่อว่าใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดที่นางปรารถนาแล้วไม่ได้มาครอง!

 

ทางด้านโม่เซี่ยวเหนียง หลังจากดูแลครรภ์อยู่ในเรือนมาสองเดือนด้วยความเบื่อหน่ายแล้ว นางก็เริ่มรู้สึกอึดอัด

แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่เด็กสาวที่ห่วงเที่ยวเล่น เมื่อเทียบกับเด็กในครรภ์ก็ไม่มีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่าเรื่องนี้แล้ว

แต่เนื่องจากนางตั้งครรภ์อยู่ ฮูหยินที่สนิทสนมคุ้นเคยกันหลายคนจึงมาเยี่ยมเยียนที่เรือน คนอื่นยังพอว่า แต่คาดไม่ถึงว่าฮูหยินใหญ่สกุลโม่จะมาเยี่ยมเยียนนางด้วยเช่นกัน

จะว่าไปแล้วก่อนหน้านี้คนสกุลโม่เห็นแก่หน้าฉู่เซิ่น จึงจงใจขีดเส้นความสัมพันธ์กับหูซื่อและโม่เซี่ยวเหนียงอย่างชัดเจน

ทว่าด้วยธรรมเนียมในราชวงศ์นี้ เมื่อสตรีแต่งงานไปแล้วก็ถือเป็นการแยกตัวออกไปสร้างครอบครัว อีกทั้งหากบิดามารดาแยกทางกัน หลังแต่งงานแล้วต้องการไปเยี่ยมเยียนบิดามารดาก็สามารถทำได้ตามใจชอบ

ฉู่เฉียวอีก็อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนนางยังเด็กฉู่เซิ่นตั้งกฎร่วมกับคนสกุลเยวี่ย ควบคุมการติดต่อกับฉู่เฉียวอีอย่างเข้มงวด แต่หลังแต่งงานนางจะสนิทสนมกับมารดา ฉู่เซิ่นเองก็ไม่สะดวกใจที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีก จึงปล่อยนางทำตามใจ

ส่วนตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงแต่งเข้าสกุลฮั่วแล้ว อีกทั้งขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งราชสำนักล้วนรู้ว่าแท้จริงแล้วโม่เซี่ยวเหนียงเป็นคุณหนูของสกุลโม่ หากยังจงใจตัดสัมพันธ์อย่างชัดเจนอีกจะดูเหมือนว่าคนสกุลโม่ไม่สนใจไยดีสายเลือดของตนเอง

ด้วยเหตุนี้บ้านใหญ่สกุลโม่จึงเตรียมของขวัญอย่างดีมาเยี่ยมเยียนโม่เซี่ยวเหนียงที่กำลังตั้งครรภ์ตามคำบอกของนายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่

จะว่าไปแล้วนายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่ก็คิดไตร่ตรองมาพอสมควร รู้ดีว่าหูซื่อและโม่เซี่ยวเหนียงไม่ชอบบ้านรองสกุลโม่ จึงไม่ให้บ้านรองมาสร้างปัญหา และให้ฮูหยินใหญ่พาโม่อิ๋งซีบุตรสาวคนเล็กมาเยี่ยมเยียน พร้อมถือโอกาสหยั่งเชิงท่าทีของโม่เซี่ยวเหนียงด้วย

โม่เซี่ยวเหนียงรู้ดีว่าเวลานี้สกุลโม่กำลังเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้วัยเยาว์ คุณหนูใหญ่คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายเสี่ยนเหรินไทเฮา อนาคตของนายท่านใหญ่โม่จื้อกวนก็สดใสยาวไกล!

พวกเขามามอบของขวัญแสดงความยินดี กล่าวเพียงว่าขอแสดงความยินดีกับเซี่ยนจู่อย่างยิ่ง โดยไม่ได้แสดงเจตนาใดๆ ในการยอมรับความสัมพันธ์เครือญาติ โม่เซี่ยวเหนียงจะทำหน้าบึ้งตึงไล่พวกเขาออกไปให้ฮูหยินบ้านอื่นได้เห็นเรื่องขบขันก็ไม่เหมาะ จึงเชิญสองแม่ลูกคู่นี้เข้าไปในห้องโถงรับแขกพร้อมกับฮูหยินจากตระกูลอื่นๆ ด้วยท่าทีสุภาพทว่ารักษาระยะห่าง

แต่โม่เซี่ยวเหนียงก็หาโอกาสลอบมองโม่อิ๋งซีอยู่หลายครั้ง ในนิยายต้นฉบับเด็กสาวผู้นี้เป็นตัวแทนความรู้สึกที่ฮั่วสุยเฟิงใช้ระลึกถึงโม่อิ๋งถิงผู้เป็นพี่สาวในภายหลัง

โม่อิ๋งซีก็นับว่ามีวาสนาดีเช่นกัน หลังได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาแล้วก็ยังได้ครองความโปรดปรานจากพระเอก

เมื่อพินิจมองเด็กสาวผู้นี้ ตอนนี้อีกฝ่ายอายุสิบห้าปีอยู่ในวัยแรกแย้มพอดี รูปโฉมงดงามยิ่ง คล้ายกับโม่อิ๋งถิงพี่สาวของนาง แต่กลับมีกลิ่นอายของความสุขภาพดีและความเยาว์วัยที่พี่สาวของนางไม่มี ช่างเป็นคนที่โดดเด่นมากจริงๆ

ตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงนับว่าได้พบกับสตรีของฮั่วสุยเฟิงตามนิยายต้นฉบับไปเกือบครึ่งแล้ว ต้องชื่นชมว่านักเขียนเรื่องนี้ช่างละเอียดรอบคอบและใส่ใจจริงๆ รวบรวมหญิงงามหลากหลายประเภทราวกับสะสมแสตมป์ให้ครบทุกแบบ เรียกได้ว่าต้องมีสักแบบที่ทำให้คนใจเต้น ไม่แปลกใจเลยสักนิดที่นิยายเรื่องนี้กลายเป็นนิยายดังระเบิดในแพลตฟอร์มโหม่วเตี่ยน นักเขียนสารเลวคนนี้เข้าใจจิตใจบุรุษเป็นอย่างดี

คิดมาถึงตรงนี้โม่เซี่ยวเหนียงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายแทนฮั่วสุยเฟิง ไม่รู้ว่าคนนอกอย่างนางไปทำอะไรเข้า ถึงทำให้ฮั่วสุยเฟิงยอมละทิ้งบ่อปลาใหญ่ของเขาอย่างเต็มใจ เหล่าปลาน้อยที่น่ารักเหล่านั้นบ้างก็แต่งงาน บ้างก็เสียชีวิต คลาดกันไปอย่างไร้วาสนาต่อกันในชาตินี้ทั้งอย่างนี้

เมื่อกลุ่มสตรีรวมตัวกันมากขึ้น หัวข้อสนทนาก็ย่อมวนเวียนอยู่กับเรื่องบุตร มีคนถามฮูหยินใหญ่สกุลโม่ว่าบุตรสาวคนเล็กที่งดงามมีเสน่ห์เช่นนี้มีครอบครัวที่หมั้นหมายด้วยหรือยัง

ฮูหยินใหญ่สกุลโม่หัวเราะพลางกล่าว “ได้เจรจาหาคู่หมั้นไว้แล้ว เป็นบุตรชายคนรองของใต้เท้าหมิงจากกรมอากร”

บุตรชายคนรองผู้นี้เป็นบุตรจากภรรยาเอกของใต้เท้าหมิง นับว่าเป็นหนึ่งในบุรุษที่มีความสามารถของเมืองหลวง หากได้ครองคู่กับเขาก็ถือเป็นการแต่งงานที่ดียิ่ง

โม่เซี่ยวเหนียงได้ยินดังนั้นก็ได้รู้ว่าหนึ่งในนางเอกตามพล็อตเดิมอีกคนกำลังจะแต่งงานกับผู้อื่นแล้ว

แต่ก่อนนางมักรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้เหมือนกำลังดูซีรี่ส์ไอดอลฟอร์มยักษ์ อยู่ในสถานที่จริง ได้เห็นฮั่วสุยเฟิงและบรรดานางเอกที่ถูกลิขิตไว้ให้คู่กับเขาแยกจากและกลับมาคืนดีกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ

ทว่าตอนนี้เมื่อนางได้เห็นโม่อิ๋งซีกลับรู้สึกอึดอัดใจยิ่ง คล้ายมีบางอย่างกดทับอยู่ในใจ

จนกระทั่งเมื่อครู่นี้ที่ได้ยินว่าโม่อิ๋งซีหมั้นหมายแล้ว นางถึงค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

แต่นางไม่มีเวลามาใคร่ครวญความรู้สึกของตน เพราะถูกดึงเข้าสู่หัวข้อสนทนาของเหล่าฮูหยินเสียแล้ว

ตอนนี้มีสงครามภายในด่าน หัวข้อสนทนาของเหล่าฮูหยินนอกจากเรื่องครอบครัวและเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันแล้ว ย่อมขาดเรื่องเหตุการณ์บ้านเมืองไปไม่ได้

ว่ากันว่าสองพ่อลูกสกุลเซียวช่วยกันสร้างผลงานอันโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง รักษาแนวหน้าให้มั่นคงและหยุดยั้งการรุกรานของชนเผ่าป่าเถื่อน ทำให้แนวหลังไม่ต้องกังวลในช่วงนี้ และความกล้าหาญเก่งกาจผิดมนุษย์ของสกุลเซียวนี้ก็เชื่อมโยงกับการได้รับความช่วยเหลือจากจิ้งอ๋องแห่งตงเป่ยอย่างแยกไม่ออก

จิ้งอ๋องเสิ่นซีเป็นอ๋องศักดินาแห่งตงเป่ย ตอนนั้นเขาอยากทูลขอสมรสพระราชทานจากอดีตฮ่องเต้ แต่น่าเสียดายที่อดีตฮ่องเต้หักใจให้เหล่าพระธิดาผู้อ่อนหวานบอบบางอภิเษกสมรสไปอยู่ดินแดนที่หนาวเหน็บและทุรกันดารอย่างตงเป่ยไม่ได้ เรื่องนั้นจึงค้างคาไว้เช่นนั้น

ต่อมาจิ้งอ๋องถอยไปเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดรองลงมา นั่นก็คือแต่งงานกับองค์หญิงจากชนเผ่าเล็กๆ ของโม่เป่ยและรับอนุอีกหลายคน ว่ากันว่าเขาไม่มีบุตรชาย มีแค่บุตรสาวเพียงผู้เดียวเท่านั้น

จิ้งอ๋องยึดถือแนวทางมุ่งรักษาตนให้อยู่ดีมีสุขโดยไม่ยุ่งเกี่ยวกับใครมาโดยตลอด ครั้งนี้การที่เซียวเยวี่ยเหอสามารถติดต่อจิ้งอ๋องเพื่อร่วมมือกันต่อต้านเผ่าหนานอี๋ได้นั้นถือเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของทุกคน

อย่างไรก็ตามการหยุดยั้งการรุกรานจากเผ่าหนานอี๋ได้ ทำให้เหล่าฮูหยินทั้งหลายรู้สึกโล่งใจ ชั่วขณะนั้นหัวข้อสนทนาจึงเปลี่ยนไปพูดถึงความสะดวกสบายในเรื่องอาหารและเสื้อผ้าแทน

โม่เซี่ยวเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะดื่มชาหนึ่งคำอย่างไม่รีบร้อน

จิ้งอ๋องผู้นี้มิได้จงรักภักดีและกล้าหาญเหมือนที่แสดงให้เห็นเช่นทุกวันนี้ ในวันหน้าเขาจะใช้ข้ออ้างในการกอบกู้แผ่นดินต้าฉินยึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของต้าฉิน

เสิ่นหรงบุตรสาวเพียงคนเดียวของจิ้งอ๋องก็ยิ่งมิใช่สตรีธรรมดา หลังจากที่จิ้งอ๋องถูกลอบสังหาร นางก็สืบทอดภารกิจต่อจากบิดาในฐานะฮ่องเต้หญิง จนกระทั่งได้พบฮั่วสุยเฟิงและมีใจให้เขา นางจึงวางแผนจับตัวฮั่วสุยเฟิง ใช้ทั้งไม้อ่อนและไม้แข็ง จนในที่สุดก็ตั้งครรภ์เลือดเนื้อเชื้อไขของเขา

สรุปว่าพล็อตเรื่องในช่วงนี้ดำเนินไปในทิศทางเหมือนถังเซิงถูกราชินีแห่งแคว้นอิตถีกักตัวสำเร็จ

เหตุการณ์ที่พระเอกถูกบังคับให้เสียความบริสุทธิ์นั้นว่ากันว่าได้รับความนิยมในหมู่นักอ่านชายอย่างมาก ดังนั้นนักเขียนคนนี้จึงสร้างฉากแนวนี้ขึ้นมาอย่างไร้คุณธรรมหลายครั้ง ฮั่วสุยเฟิงกลายเป็นเนื้อถังเซิงที่ใครๆ ก็อยากครอบครอง!

หากไม่คิดถึงพล็อตเรื่องที่น่าหงุดหงิดของนิยายต้นฉบับ โม่เซี่ยวเหนียงก็รู้สึกว่าชีวิตยังสงบสุข นับว่ายังพอที่จะดำเนินชีวิตต่อไปได้ แต่เมื่อคิดถึงบรรดาหญิงงามที่วนเวียนรอบกายฮั่วสุยเฟิงราวกับคลื่นที่ถาโถมเข้ามาไม่หยุดหย่อนก็ทำให้รู้สึกเหมือนใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้จริงๆ

ในตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงเริ่มเข้าใจหัวอกร่างเดิมของตนเองบ้างแล้ว ตัวประกอบหญิงผู้ชั่วร้ายอย่างโม่เซี่ยวเหนียงก็มีใจให้ฮั่วสุยเฟิงเช่นกัน แต่การที่ต้องมองดูบรรดาหญิงงามเหล่านั้นเข้าหาพระเอกเหมือนกับผลัดกันใช้ห้องเวจก็คงเป็นเรื่องที่ยากจะทนไหว จึงต้องกลายเป็นคนมืดมนและลงมือจัดการพวกนางอย่างโหดเหี้ยม

หากมองในมุมของความรักที่ต้องการครอบครองแต่เพียงผู้เดียวแล้ว โม่เซี่ยวเหนียงกลับมีความคิดที่ถูกต้องกว่านางเอกเหล่านั้นเสียอีก นางลงมือเตือนพระเอกให้เห็นว่าหากไม่รักษาความซื่อสัตย์ในความรักก็ควรจะมีจุดจบเช่นไร

 

ความรู้สึกที่มืดมนยังคงอยู่จนถึงยามเย็น ตอนที่ฮั่วสุยเฟิงเอาช่อดอกชาช่อใหญ่ที่ตนเก็บกลับมาจากภูเขาให้นางดู โม่เซี่ยวเหนียงกลับถอนหายใจด้วยความรู้สึกขมขื่นแล้วเอ่ยขึ้น

“ดอกไม้ล้วนเป็นดอกไม้ที่ดี เติบโตอยู่บนภูเขาอยู่ดีๆ แท้ๆ แต่เจ้ากลับเก็บเอามาหมดเสียแล้ว ไม่คิดบ้างหรือว่าเจ้าจะดูแลพวกมันได้อย่างทั่วถึงและเท่าเทียมหรือไม่…”

ฮั่วสุยเฟิงหรี่ตาเล็กน้อย ดูเหมือนจะตอบรับภรรยาของตนไม่ได้ จึงได้แต่รับมืออย่างคล้อยตาม ส่งดอกไม้ให้เชี่ยวจือซึ่งยืนอยู่ที่ห้องด้านนอกให้นางเอาไปเก็บเพื่อไม่ให้เซี่ยนจู่เห็นแล้วรำคาญใจ

จากนั้นเขาก็ถอดเสื้อคลุมออก นั่งลงบนตั่งนุ่มข้างโม่เซี่ยวเหนียงที่กำลังเอนกายอยู่ เชยคางนางแล้วถามขึ้น

“เป็นอะไรไป ไม่พอใจหรือ”

โม่เซี่ยวเหนียงกลับนึกสนุกขึ้นมา ประคองศีรษะตนเองเล็กน้อยก่อนจะถามอย่างหยั่งเชิงว่า “วันนี้ฟังฮูหยินทั้งหลายพูดกันว่าจิ้งอ๋องแห่งตงเป่ยช่วยราชสำนัก…เจ้าเคยเห็นบุตรสาวของเขาหรือไม่”

ฮั่วสุยเฟิงเลิกคิ้วหนาแล้วตอบ “ข้าไม่เคยพบแม้แต่จิ้งอ๋องด้วยซ้ำ แล้วจะไปพบบุตรสาวในห้องหอของเขาได้อย่างไร”

คำพูดนี้น่าจะเป็นความจริง ในนิยายต้นฉบับฮั่วสุยเฟิงควรจะร่วมต่อต้านเผ่าหนานอี๋อยู่ที่แนวหน้า และในตอนที่ฮั่วสุยเฟิงร่วมมือกับจิ้งอ๋องถึงได้รู้จักกับเสิ่นหรง ทำให้เสิ่นหรงมีใจให้เขาในที่สุด

ตอนนี้ดูเหมือนว่าหากเสิ่นหรงไม่ได้พบฮั่วสุยเฟิง นางคงไม่ได้มีใจให้เซียวเยวี่ยเหอกระมัง เมื่อนึกถึงฉีซืออินสตรีเงียบขรึมผู้นั้น โม่เซี่ยวเหนียงก็ถอนหายใจด้วยความเสียดายเล็กน้อย หากคนที่เสิ่นหรงหมายตาเป็นเซียวเยวี่ยเหอ ไม่ต้องกักขังเขา เพียงกระดิกนิ้วก็อาจล่อลวงเขาสำเร็จได้เลยกระมัง

นางค่อยเบาใจลงบ้างแล้ว แต่ก็ไม่ลืมกำชับอีกฝ่ายว่า “ได้ยินฮูหยินทั้งหลายบอกว่าบุตรสาวของจิ้งอ๋องผู้นั้นถูกตามใจจนเสียคน เห็นอะไรดีก็อยากครอบครองไปเสียหมด วันหน้าหากเจ้าบังเอิญได้พบนางเข้าจริงๆ ก็จำไว้ว่าอยู่ให้ห่างจากนางเข้าไว้…”

ในโลกที่เต็มไปด้วยความยากลำบากและอันตรายเช่นในตอนนี้ แม้แต่บุรุษก็ต้องปกป้องตนเองให้ดี หากเสิ่นหรงนั่นเป็นเหมือนอย่างในนิยายต้นฉบับจริงๆ เมื่อฮั่วสุยเฟิงพบนางแล้ว นางอาจมีใจให้เขาตั้งแต่แรกเห็นทันที จากนั้นก็วางแผนกักตัว เริ่มต้นฉากเสียความบริสุทธิ์ที่น่าอัปยศอดสู

ฮั่วสุยเฟิงฟังคำพูดของนางแล้วหว่างคิ้วก็คลายตัว รอยยิ้มที่มุมปากยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ก่อนพูดเสียงต่ำ

“ข้าจะปฏิบัติตามคำสอนของเจ้าอย่างเคร่งครัด จะอยู่ให้ห่างจากหญิงอื่นแน่นอน แต่ที่เจ้าพูดมาเช่นนี้คงเพราะเจ้าคิดว่าข้าดี ถึงได้กลัวว่าจะถูกผู้อื่นครอบครอง ลองบอกข้ามาทีว่าข้าดีตรงที่ใด”

โม่เซี่ยวเหนียงเอ่ยชมไปหลายอย่าง ทั้งเรื่องรูปโฉมที่หล่อเหลาและความประพฤติที่เรียบร้อยดีงาม

แต่ฮั่วสุยเฟิงกลับดูไม่ค่อยพอใจนัก รู้สึกว่าโม่เซี่ยวเหนียงยังไม่ได้ชมในจุดที่เขาต้องการเสียที สุดท้ายโม่เซี่ยวเหนียงถูกเขาซักไซ้จนหมดความอดทน จึงคำรามออกมาเบาๆ

“เอวเจ้าดี!”

คำพูดนี้ฟังดูแล้วกระตุ้นอารมณ์เล็กน้อย ตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงกำลังตั้งครรภ์ หมอได้กำชับอย่างเคร่งครัดว่าห้ามจวิ้นอ๋องน้อยเข้าใกล้เกินควร แต่นางกลับพูดจาปลุกเร้ากันเช่นนี้ ทำเอาจวิ้นอ๋องน้อยรู้สึกเหมือนเอวของตนกำลังลุกเป็นไฟ แต่ก็ไม่อาจแตะต้องนางได้ นางช่างเหมือนปีศาจที่คอยทรมานเขาเหลือเกิน

จวิ้นอ๋องน้อยอดไม่ได้ที่จะขอจุมพิตเร่าร้อนจากนาง จึงค่อยดับความหิวกระหายในใจลงได้บ้าง ในเวลานี้เองเชี่ยวจือก็กลับมายืนอยู่ที่ห้องด้านนอกและมองเห็นภาพในห้อง จากนั้นก็เอ่ยถามเตี๋ยสี่ด้วยเสียงค่อนข้างดัง

“เมื่อครู่นี้ที่ครัวเพิ่งบอกมาว่าอาหารเย็นเตรียมพร้อมแล้ว ไม่ทราบว่าเซี่ยนจู่จะให้ตั้งโต๊ะเมื่อไรดีเจ้าคะ”

เตี๋ยสี่เงี่ยหูฟังเสียงจากในห้องด้านในอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะโบกมือให้เชี่ยวจือไปยืนอยู่ด้านข้าง รอให้เซี่ยนจู่เรียกให้เตรียมอาหารแล้วค่อยแจ้งต่อ

เชี่ยวจือยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของบุรุษดังลอดออกมาจากในห้อง เพลิงโทสะในใจนางพลันโหมแรงขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน…

 

หลังโม่เซี่ยวเหนียงอดทนอยู่ในเรือนมาสามเดือน หมอก็ยกเลิกข้อห้ามเสียที ให้นางออกไปเดินเล่นชื่นชมฤดูใบไม้ผลิในช่วงสั้นๆ ของโม่เป่ยได้

ฮั่วสุยเฟิงก็ช่างเอาใจใส่ รู้ว่านางอึดอัดจะแย่แล้ว จึงพานางไปชมทิวทัศน์ฤดูใบไม้ผลิดูนกน้ำว่ายน้ำที่ริมทะเลสาบนอกเมือง

สายน้ำของโม่เป่ยไม่ได้ไหลยาวต่อเนื่อง แต่ผิวน้ำเรียบนิ่งดุจกระจก สะท้อนพื้นที่สีเขียวโดยรอบ ให้อารมณ์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

โม่เซี่ยวเหนียงสูดอากาศที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมสดชื่นของหญ้าหลังฝนเข้าไปลึกๆ ก่อนจะนั่งในกระโจมซึ่งจัดเตรียมไว้กับหงผิงที่นัดหมายมาพบกัน มองดูฮั่วสุยเฟิงกับเจี่ยงอวิ๋นเซิงสามีของศิษย์พี่หญิงตกปลาด้วยกันอยู่ริมทะเลสาบ

แม้เจี่ยงอวิ๋นเซิงจะเชี่ยวชาญเรื่องการจัดกิจกรรมการท่องเที่ยวเชิงเกษตร แต่คราวนี้เขาก็ไม่ได้ลำบากเตรียมปลาตัวเป็นๆ มาปล่อยในทะเลสาบล่วงหน้า ถึงอย่างไรฮั่วสุยเฟิงก็เป็นศิษย์น้องของภรรยาตน ทำเรื่องที่หลอกลวงพวกนั้นไปก็ไร้ประโยชน์

การประจบเอาใจของคุณชายเจี่ยงมักใช้ในสถานการณ์ที่สำคัญเท่านั้น

เมื่อคุณชายเจี่ยงไม่ได้เตรียมปลาไว้ ผลงานการตกปลาของบุรุษทั้งสองก็ไม่ค่อยจะดีนัก

ผ่านไปครึ่งวันก็ไม่มีปลาติดเบ็ด เจี่ยงอวิ๋นเซิงอดนึกเสียใจไม่ได้ หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก มิสู้เตรียมปลาเอาไว้ล่วงหน้าจะดีกว่า อีกประเดี๋ยวต้องทำอาหารกลางแจ้ง จะได้มีปลาไว้ย่างกิน

หงผิงเองก็รอจนหมดความอดทนแล้วเช่นกัน “พวกท่านตกได้หรือไม่ พวกเราเตรียมเตาไว้พร้อมแล้ว รอแค่ปลาจากพวกท่านเท่านั้น”

ในตอนนี้เองจู่ๆ ฮั่วสุยเฟิงก็ถอดเสื้อคลุมออกแล้วถอดเสื้อ เหลือเพียงท่อนบนเปลือยเปล่า เผยให้เห็นกล้ามเนื้อที่แข็งแรง จากนั้นเขาที่สวมเพียงกางเกงก็รับฉมวกที่องครักษ์ส่งมาแล้วค่อยๆ เดินลงไปในน้ำ จนเมื่อมาถึงกลางทะเลสาบเขาก็ยืนนิ่ง แขนเกร็งแน่นยกฉมวกขึ้นสูง

เมื่อเห็นปลาว่ายเข้ามาใกล้ ฮั่วสุยเฟิงก็ตวัดแขนอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็แทงปลาได้ตัวหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแรงๆ โยนปลาขึ้นมาบนฝั่ง ทำเช่นนี้หลายครั้ง ไม่นานก็แทงปลาตัวใหญ่ได้ถึงหกตัว ด้วยรูปร่างที่งดงามของเขา ทุกการยกมือและการเคลื่อนไหวล้วนเผยให้เห็นถึงความแกร่งกล้าของพละกำลังที่ทำให้ผู้คนแทบหยุดหายใจ

ความกล้าหาญเก่งกาจเช่นนี้ทำให้หงผิงถึงกับอุทานชื่นชมไม่หยุดปาก “ฝีมือของศิษย์น้องข้าดีขึ้นมาก นับวันมือกับสายตายิ่งประสานกันอย่างลงตัว ดูเอวและกล้ามเนื้อนั่นเถิด หลังแต่งงานก็ไม่พ่วงพีขึ้นแม้แต่น้อย ช่างหาได้ยากโดยแท้…เซี่ยวเหนียง เจ้ารับมือเขาได้ทุกคืนหรือ”

โม่เซี่ยวเหนียงเองก็มองตามฮั่วสุยเฟิงอยู่ในระยะไม่ไกล ใจหนึ่งก็หงุดหงิดที่เขาสวมใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเกินไปตอนลงน้ำ ให้คนอื่นได้เห็นร่างกายเสียเปล่า เมื่อได้ยินคำหยอกล้อสัปดนของหงผิง นางจึงชี้ไปที่คุณชายเจี่ยงซึ่งกำลังถอดเสื้อผ้าเตรียมลงน้ำเหมือนฮั่วสุยเฟิง แล้วตอบกลับ

“สามีท่านก็รูปร่างดีเอาการ…”

หงผิงหันไปดูตามคำพูดของโม่เซี่ยวเหนียงทันที ก็จริง! แผ่นหลังของเขาขาวเนียนราวกับหิมะปานนั้น

นางร้อนใจขึ้นมาทันทีจนถึงกับปาถ้วยชามทิ้ง ก่อนจะตะโกนเสียงดังลั่น “รีบสวมเสื้อผ้าเร็วเข้า ของของตนเองจะให้ผู้อื่นดูส่งเดชได้อย่างไร!”

คำพูดนี้ทำให้บรรดาสาวใช้ที่อยู่ด้านข้างพากันปิดปากหัวเราะ

ส่วนเชี่ยวจือเวลานี้กำลังถือผ้าขนหนูผืนใหญ่ยืนรอจวิ้นอ๋องอยู่ที่ริมฝั่งเงียบๆ เมื่อเขาขึ้นฝั่งมาแล้วจะได้ช่วยเช็ดตัวให้เขา

แต่โม่เซี่ยวเหนียงไม่อยากให้ของของตนเองผ่านมือคนอื่น จึงให้หานเยียนและเตี๋ยสี่ช่วยพยุงนางเดินมาที่ริมฝั่ง จากนั้นก็ตะโกนบอกฮั่วสุยเฟิง

“รีบขึ้นมาเถิด น้ำเย็นเพียงนี้ เจ้าจะหนาว…”

นางพูดพลางรับผ้าขนหนูผืนใหญ่มาจากเชี่ยวจือแล้วเดินตรงไปยังริมทะเลสาบเอง แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ ก็รู้สึกว่าขาทั้งสองข้างเจ็บชา ทำให้เสียหลักและลื่นไถลลงไปในทะเลสาบทันที

ตอนนี้ทำเอาหานเยียนและเตี๋ยสี่ที่อยู่ด้านหลังตกใจจนลนลาน ใครจะคาดคิดว่าเพียงปล่อยมือครู่เดียว เซี่ยนจู่จะลื่นไถลตกลงไปในน้ำ!

ฮั่วสุยเฟิงหันไปเห็นเหตุการณ์นี้เข้าพอดี จึงรีบพุ่งตัวเข้าไปหาโม่เซี่ยวเหนียงจนละอองน้ำกระเซ็นสูง ขณะเดียวกันโม่เซี่ยวเหนียงที่ได้พวกหานเยียนพยุงขึ้นมากลับมีใบหน้าซีดเผือด

เมื่อครู่นางตกน้ำโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้สำลักน้ำเข้าไปหลายครา ในชั่วขณะที่หายใจไม่ออก จู่ๆ ภาพตรงหน้าก็ราวกับปรากฏภาพลวงตา

ในภาพลวงตานั้นนางเห็นตนเองที่ไม่ได้เห็นมานาน…ร่างผอมบางจนเห็นกระดูก ถูกเสียบด้วยสายท่อนับไม่ถ้วน สวมชุดผู้ป่วยนอนนิ่งสนิทอยู่บนเตียงขาวสะอาด ด้านข้างมีชายคนหนึ่งกำลังค่อยๆ ปอกแอปเปิ้ลให้นาง…

บทที่ 132

ใบหน้าของชายผู้นั้น อู๋เซี่ยวเซี่ยวมองอย่างไรก็เห็นไม่ชัด เห็นเพียงนิ้วมือเรียวยาวที่กำลังถือมีดปอกผลไม้ค่อยๆ ปอกแอปเปิ้ล เปลือกห้อยลงมาที่พื้นเรื่อยๆ โดยไม่ขาดจากกัน…

เมื่อเขาปอกแอปเปิ้ลเสร็จไปลูกหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมองร่างของนางที่นอนนิ่งไม่ไหวติงบนเตียง ก่อนจะค่อยๆ โยนแอปเปิ้ลที่ปอกเสร็จแล้วลงในถังขยะข้างๆ พร้อมเอ่ยด้วยเสียงทุ้มต่ำที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้ง

‘คุณเคยบอกไม่ใช่เหรอว่าสิ่งที่อธิษฐานไว้ในใจตอนปอกแอปเปิ้ลจะเป็นความจริง แต่ทำไมทุกครั้งที่ผมเดิมพันว่าถ้าเปลือกแอปเปิ้ลไม่ขาดแล้วคุณจะตื่นมันกลับไม่เป็นความจริงล่ะ’

อู๋เซี่ยวเซี่ยวได้ยินแล้วหัวใจสั่นสะท้าน แต่ตอนที่นางถูกพยุงขึ้นมาแล้วไออย่างรุนแรง ภาพลวงตาตรงหน้าก็พลันหายไปอย่างน่าอัศจรรย์

ในตอนนั้นเองฮั่วสุยเฟิงวิ่งมาอยู่ใกล้ๆ นางแล้ว เมื่อเห็นว่านางหยุดไอในที่สุด ถึงได้ช้อนร่างอุ้มนางขึ้นมาแล้วพากลับไปยังกระโจมริมฝั่งเพื่อให้นางพักผ่อนและเปลี่ยนเสื้อผ้า

เมื่อพูดถึงเหตุการณ์ที่ลื่นไถลเมื่อครู่นี้ โม่เซี่ยวเหนียงเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้เพียงว่าขาทั้งสองข้างเจ็บชาจนนางพลัดตกลงไปในน้ำ

หลังจากที่นางถูกพยุงขึ้นมา ความคิดทั้งหมดยังคงวนเวียนอยู่กับภาพลวงตาแปลกประหลาดที่เพิ่งเห็นในห้วงความคิดอันยุ่งเหยิง มัวแต่สับสนว่าตนเองในยุคปัจจุบันนั้นตายไปแล้วหรือว่ายังมีชีวิตอยู่จนไม่มีเวลาตอบคำถามของฮั่วสุยเฟิง

ฮั่วสุยเฟิงเห็นโม่เซี่ยวเหนียงยืนนิ่งไม่พูดอะไรเหมือนตกอยู่ในภวังค์ก็ร้อนใจ จึงรีบตรวจดูว่าร่างกายนางมีอะไรผิดปกติหรือไม่

ปรากฏว่าเขาพบรอยแดงเล็กๆ สองจุดใกล้กับจุดชาบริเวณข้อพับขาของนาง

คนฝึกยุทธ์ต่างรู้ว่าหากโจมตีจุดชาจะทำให้ขาทั้งสองข้างเจ็บชาและไร้เรี่ยวแรงจนไม่สามารถทรงตัวได้ เห็นได้ชัดว่าโม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้ก้าวพลาดจนลื่นไถลลงไปเอง แต่มีคนจงใจใช้ของเล็กๆ อย่างก้อนกรวดขว้างไปยังจุดชาของนาง จึงทำให้นางลื่นไถลจนตกน้ำ

แต่คนที่ทำเรื่องนี้จะต้องอยู่ไม่ไกลจากโม่เซี่ยวเหนียง มิฉะนั้นคงหาจุดชีพจรไม่พบได้ง่ายๆ เพราะโม่เซี่ยวเหนียงสวมกระโปรงยาว

เมื่อคิดถึงมาถึงตรงนี้ฮั่วสุยเฟิงจึงให้หานเยียนช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้โม่เซี่ยวเหนียงที่ยังคงเหม่อลอย ก่อนที่เขาจะก้าวออกไปจากกระโจม ดวงตาคู่งามกวาดมองคนที่รายล้อมโม่เซี่ยวเหนียงเมื่อครู่นี้อย่างเย็นชา

คนกลุ่มนี้มีทั้งองครักษ์และสาวใช้ นอกจากคนที่ไว้ใจได้ไม่กี่คน ทุกคนล้วนมีพิรุธ

เชี่ยวจือที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคนเริ่มรู้สึกเสียใจที่ตนเองหุนหันพลันแล่น

ตอนแรกนางคิดว่าแค่กลั่นแกล้งฝ่ายนั้นสักครั้งคงไม่เป็นไร ตอนนั้นนางจึงเลือกใช้ลูกปัดสองเม็ดที่แม้จะซัดไปถูกจุดชีพจรแล้วทิ้งรอยแดงไว้ แต่ก็จะจางหายไปในเวลาไม่นาน ผู้ที่ถูกลูกปัดก็แค่รู้สึกขาชาทรงตัวไม่ได้เท่านั้น

ขอเพียงโม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกไม่สบายตัวหรือไม่ก็แท้งบุตรก็จะปรนนิบัติจวิ้นอ๋องไม่ได้ไปพักใหญ่ บุรุษหนุ่มแน่นเปี่ยมด้วยพลังจะทนเรื่องนี้ได้หรือ เมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะหาทางเข้าใกล้จวิ้นอ๋อง เมื่อจวิ้นอ๋องมีใจให้นาง นางก็จะเผยฐานะที่แท้จริงของตน พร้อมให้คำมั่นว่าบิดาของนางจะช่วยให้เขาได้ปกครองแผ่นดินอันกว้างใหญ่

ได้ทั้งแผ่นดินได้ทั้งหญิงงาม มีผู้ใดในใต้หล้าปฏิเสธได้บ้าง

แต่นึกไม่ถึงว่าฮั่วสุยเฟิงจะค้นพบความผิดปกติได้เร็วเพียงนี้

ยิ่งไปกว่านั้นหากทำให้สตรีผู้นั้นแท้งบุตรหรือสุขภาพทรุดโทรมก็ช่างเถิด แต่อีกฝ่ายแค่สำลักน้ำไปหลายครั้ง ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่ได้มีอาการปวดท้องใดๆ ทั้งสิ้น

เมื่อเป็นเช่นนี้การผลีผลามลงมือของนางก็เท่ากับเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่นแต่เนิ่นๆ และได้ไม่คุ้มเสีย

ก่อนหน้านี้นางเคยคิดว่าเหล่าอนุของบิดาที่คอยแก่งแย่งชิงดีกันนั้นเป็นพวกสตรีไร้สมอง แต่ตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจว่าความหึงหวงนั้นทำให้ไร้สติได้จริงๆ

เชี่ยวจือ…ซึ่งก็คือเสิ่นหรงบุตรสาวของจิ้งอ๋อง ยามนี้นางรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เมื่อครู่นี้เหตุใดข้าถึงได้โง่เง่าไปโจมตีจุดชาของโม่เซี่ยวเหนียงด้วย

และตอนนี้เมื่อสายตาดุจดาบคมของฮั่วสุยเฟิงจ้องมองมา นางก็ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นผู้บริสุทธิ์ ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเป็นกังวล รอฟังข่าวว่าเซี่ยนจู่ปลอดภัยดี

ฮั่วสุยเฟิงจดจำใบหน้าของผู้คนสิบกว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ในใจ จากนั้นก็มิได้กล่าวอะไรอีก เพียงหันกายกลับเข้าไปในกระโจม

ในยามนี้โม่เซี่ยวเหนียงเปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าที่แห้งสนิทแล้ว ร่างกายที่เย็นเฉียบกลับมาอุ่นอีกครั้ง เพียงแต่นางยังดูไม่ค่อยสดชื่น กุมถ้วยน้ำร้อนพลางเหม่อลอย

ฮั่วสุยเฟิงนั่งลงข้างกายนางพลางกล่าวเสียงต่ำ “เป็นความผิดของข้าเอง ข้าไม่ควรให้เจ้ามาที่ริมทะเลสาบแต่แรก เจ้าพักสักหน่อยเถิด อีกประเดี๋ยวพวกเราจะกลับจวน…”

เขาพูดได้เพียงครึ่งเดียวก็พบว่าโม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้มองเขา ทว่ากลับจ้องมองมือคู่นั้นของเขา…นิ้วมือเรียวยาวงดงาม โดยเฉพาะเวลาที่เขาปอกผลไม้ให้นาง มือคู่นี้มั่นคงอย่างยิ่ง…

ฮั่วสุยเฟิงมองมือของตนเองตามสายตานางด้วยความสงสัย ในยามนั้นเองโม่เซี่ยวเหนียงก็เอ่ยขึ้น “เมื่อครู่ข้าสำลักน้ำ รู้สึกว่าปากไม่มีรสชาติ เจ้าช่วยปอกผิงกั่วให้ข้าสักลูกได้หรือไม่”

เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงเอ่ยปากมีหรือที่ฮั่วสุยเฟิงจะไม่ตอบรับ เขาจึงหยิบผิงกั่วจากถาดผลไม้ในกระโจมขึ้นมาหนึ่งลูกและใช้มีดเงินเล่มเล็กปอกเปลือกให้นาง

มือคู่นั้นยังคงคล่องแคล่วเช่นทุกครา และประตูแห่งความทรงจำของโม่เซี่ยวเหนียงก็ถูกมือคู่นี้ผลักเปิดออกอย่างรุนแรง…

นางยังจำได้ว่าตอนที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งบริษัทใหม่ๆ เคยมีช่วงเวลาที่อยู่ร่วมกับเซินหย่วนอย่างกลมเกลียวเช่นกัน ช่วงนั้นเขาเคยเล่าให้นางฟังว่าเขากับนางเรียนจบจากโรงเรียนมัธยมเดียวกัน เขาชื่นชมนางอย่างยิ่งในฐานะหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ของสภานักเรียน ดังนั้นเมื่อเห็นว่านางกลับมาประเทศเพื่อเริ่มต้นธุรกิจ เขาจึงตัดสินใจอย่างแน่วแน่ที่จะเซ็นสัญญาอยู่ภายใต้สังกัดบริษัทของนาง

โรงเรียนที่นางเรียนนั้นเป็นโรงเรียนมัธยมปลายที่มีแผนกมัธยมต้นและแผนกประถมรวมอยู่ในเครือเดียวกัน

แม้อู๋เซี่ยวเซี่ยวจะเรียนมัธยมปลายได้เพียงครึ่งทางก่อนเดินทางไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ แต่ตอนอยู่ที่โรงเรียนก็เป็นคนที่โดดเด่นในสภานักเรียนมาโดยตลอด ทุกครั้งที่โรงเรียนมีการแสดงต่างๆ นางมักขึ้นเวทีเพื่อร้องเพลงหรือเต้นเสมอ

หากเซินหย่วนเป็นรุ่นน้องของนางจริงๆ การที่เด็กประถมตัวเล็กๆ จะชื่นชมรุ่นพี่มัธยมปลายก็ดูเป็นเรื่องปกติธรรมดา ทว่าเมื่อครั้งที่เซินหย่วนพยายามพูดคุยถึงช่วงเวลาที่ทั้งคู่เคยมีโอกาสเกี่ยวข้องกันในอดีต อู๋เซี่ยวเซี่ยวก็ต้องบอกตรงๆ ด้วยความรู้สึกผิดว่านางนึกไม่ออกจริงๆ

หลังจากนั้นเป็นต้นมาเซินหย่วนก็ดูเหมือนจะเลิกพยายามพูดถึงอดีตเพื่อสร้างความสัมพันธ์กับนาง หรือใช้เรื่องนี้มาประจบเอาใจเจ้านายหญิงของเขาอีก

ไม่นานความสัมพันธ์แบบเพื่อนร่วมโรงเรียนนี้ก็ถูกบดขยี้จนไม่เหลืออะไรจากการทำงานร่วมกันในบริษัทและความขัดแย้งระหว่างนางกับเซินหย่วนที่เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

ทว่าสิ่งที่อู๋เซี่ยวเซี่ยวมั่นใจอย่างยิ่งในตอนนี้คือในภาพลวงตาที่นางเพิ่งเห็นเมื่อครู่ ชายที่นั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงของนางคือเซินหย่วนผู้ที่นางเคยคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างกันนั้นห่างเหินอย่างยิ่ง การปอกผลไม้ของเขาช่างเหมือนกับวิธีการของจวิ้นอ๋องน้อยที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ไม่มีผิด

เมื่อมองใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกันของทั้งสองคน โม่เซี่ยวเหนียงก็เกือบเผลอหลุดปากถามออกมาว่า ‘คุณคือเซินหย่วนใช่ไหม!’

แต่บทเรียนหลายครั้งก่อนหน้านี้ทำให้โม่เซี่ยวเหนียงรู้ว่าต่อให้ถามออกไป เขาก็คงตอบปฏิเสธหน้าตาเฉย และอาจย้อนกลับมาตั้งคำถามกับนางด้วยซ้ำด้วยการถามว่านางไปรู้จักบุรุษป่าเถื่อนผู้นั้นตั้งแต่เมื่อใด

ดังนั้นโม่เซี่ยวเหนียงจึงกลั้นใจไม่ถาม เพียงตัดสินใจจับตามองพิรุธของเขาต่อไปแล้วค่อยว่ากัน

นับตั้งแต่นางทะลุมิติมาอยู่ในโลกแฟนตาซีนี้ นางก็ผ่านอุปสรรคและความยากลำบากมามากมายจนคิดว่าตนสามารถปรับตัวเข้ากับทุกสิ่งของที่นี่ได้แล้ว ทว่าเมื่อครู่ที่จมน้ำจนแทบขาดอากาศหายใจ ภาพที่นางเห็นโดยไม่ตั้งใจนั้นทำให้โม่เซี่ยวเหนียงตระหนักว่านางโหยหาโลกความจริงมากเพียงใด แต่ความคิดนี้ไร้ซึ่งความหวังใดๆ และถูกเก็บงำไว้อย่างลึกล้ำ

แต่หากภาพที่เห็นเมื่อครู่นั้นมิใช่ภาพลวงตา ทว่าเป็นความจริงเล่า นั่นหมายความว่าตัวนางในโลกความจริงยังไม่ตาย เพียงหมดสติหลังจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เท่านั้นใช่หรือไม่

มีหลายเรื่องเกินไปที่โม่เซี่ยวเหนียงคิดไม่ตก ตลอดทางกลับจวนนางจึงซึมเซาไม่พูดไม่จา

ในสายตาของจวิ้นอ๋อง การที่โม่เซี่ยวเหนียงดูไม่สดชื่นล้วนเป็นเพราะพลัดตกน้ำ จึงรู้สึกไม่สบาย ดังนั้นเมื่อกลับถึงจวน กลิ่นอายสังหารทั่วร่างเขาจึงไม่อาจปกปิดได้อีกต่อไป ฮั่วสุยเฟิงโบกมือเรียกเมิ่งขุยเข้ามาแล้วส่งรายชื่อผู้ต้องสงสัยที่อยู่รอบกายโม่เซี่ยวเหนียงตอนที่ตกน้ำให้อีกฝ่าย

ในเรื่องความปลอดภัยของโม่เซี่ยวเหนียง ฮั่วสุยเฟิงยึดถือหลักการที่ว่าแม้กล่าวโทษหรือปรักปรำผิดคนก็จะไม่ยอมประนีประนอมปล่อยไปอย่างเด็ดขาด ดังนั้นบรรดาสาวใช้ทั้งหมดจึงถูกขายออกไป ส่วนองครักษ์ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งและให้ออกจากจวนไป

ทว่าแม้คนเหล่านี้จะออกจากจวนไปแล้วก็มีคนคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวอยู่ตลอด เพื่อดูว่าใครในหมู่คนที่ไม่น่าไว้ใจเหล่านี้จะแสดงพิรุธออกมา

ส่วนสถานการณ์ในกลุ่มองครักษ์เรือนนอกจะเป็นอย่างไรนั้นยังไม่กล่าวถึง แต่สำหรับบรรดาสาวใช้ในเรือนโม่เซี่ยวเหนียง เมื่อได้ยินว่าตนเองจะถูกขายออกไปอย่างไร้สาเหตุต่างก็ร่ำไห้กันระงมทันที

ในแผ่นดินโม่เป่ยจะหาจวนตระกูลขุนนางที่มีระเบียบและงดงามเช่นจวนโม่เป่ยอ๋องแห่งนี้ได้สักกี่แห่งกัน การที่พวกนางถูกขายออกไปเช่นนี้ทำให้อาชีพสาวใช้ของพวกนางต้องแปดเปื้อนมีมลทิน เมื่อเป็นเช่นนี้ยังจะมีครอบครัวดีๆ สักกี่ครอบครัวที่กล้ารับพวกนาง

เมื่อคิดว่าอนาคตจะไม่มีโอกาสได้สวมใส่เสื้อผ้าไหมชั้นดีและได้ดื่มสุรากับกินอาหารรสเลิศอีก สาวใช้ที่ใช้ชีวิตสุขสบายมาระยะหนึ่งแล้วจะไม่ร่ำไห้ด้วยความเจ็บปวดได้หรือ ต่างพากันคุกเข่าขอความเมตตาต่อหญิงรับใช้ที่มัดตัวพวกนาง ให้พวกนางได้พบเซี่ยนจู่สักครู่ ขอร้องให้เซี่ยนจู่ให้อภัย ส่วนเชี่ยวจือก็หมอบอยู่ท่ามกลางกลุ่มสาวใช้ที่คุกเข่าอยู่เช่นกัน ทว่านางมิได้ร่ำไห้ แต่ก็กัดริมฝีปากด้วยความหงุดหงิดใจ

โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกอึดอัดใจ จึงเดินไปมาในเรือนเพื่อผ่อนคลายอารมณ์ บังเอิญได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของเหล่าสาวใช้ พอเอ่ยถามหานเยียนที่อยู่ด้านข้างจึงได้รู้ที่มาที่ไป

แต่โม่เซี่ยวเหนียงมิได้ออกหน้าห้ามปราม นางพอจะเดาได้รางๆ ว่าสาเหตุที่ฮั่วสุยเฟิงทำเช่นนี้คงเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ตนลื่นไถลอย่างน่าประหลาดที่ริมทะเลสาบ และในยามนี้นางตั้งครรภ์อยู่ ย่อมไม่อาจเอาบุตรของตนมาล้อเล่นได้

หากจวนอ๋องแห่งนี้มีคนทรยศซ่อนตัวอยู่จริงก็เปรียบดั่งงูพิษที่หลบซ่อนอยู่ในมุมมืด ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะถูกแว้งกัดเข้า

 

พอถึงยามค่ำนางจึงไถ่ถามเรื่องขายสาวใช้กับฮั่วสุยเฟิงเล็กน้อย

ช่วงนี้ครรภ์ของโม่เซี่ยวเหนียงเริ่มชัดเจนมากขึ้นแล้ว เท้าของนางก็เริ่มบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ รองเท้าจึงต้องตัดใหม่ให้หลวมกว่าเดิม

ก่อนเข้านอนฮั่วสุยเฟิงนั่งนวดฝ่าเท้าให้นาง เพราะนางกำลังตั้งครรภ์ เขาจึงไม่กล้ากระตุ้นให้เลือดไหลเวียนมากเกินไป เพียงนวดข้อเท้าเบาๆ เพื่อไม่ให้นางปวดเมื่อย

โม่เซี่ยวเหนียงอมองุ่นที่ปอกเปลือกแล้วไว้ในปาก นอนเอนกายอย่างสบายบนเตียง มองบุรุษรูปงามที่ก้มหน้าก้มตานวดให้ตน ก่อนเอ่ยถามขึ้น

“เจ้าขายคนออกไปหมดแล้ว หานเยียนกับเตี๋ยสี่สองคนนั้นต่างยุ่งจนทำงานกันไม่ทันแล้ว”

ฮั่วสุยเฟิงตอบ “ข้าคัดเลือกหญิงรับใช้ที่ไว้ใจได้จากครอบครัวทหารในกองทัพมาแล้วหลายคน เพียงแต่พวกนางยังไม่คล่องแคล่ว ไม่ถนัดงานละเอียดนัก คงต้องให้หานเยียนอบรมสั่งสอนพวกนางอีกสักหน่อย”

โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกสงสัยว่าใครกันที่กล้าลอบทำร้ายตน จึงเอ่ยถามว่า “ในบรรดาคนที่ถูกขายออกไปมีใครผิดสังเกตบ้างหรือไม่”

ฮั่วสุยเฟิงตอบ “องครักษ์ยังไม่มีปัญหา มีบางคนเปลี่ยนอาชีพไปขายเนื้อหมูและแป้งนึ่ง แต่ในกลุ่มสาวใช้มีอยู่คนหนึ่งชื่อเชี่ยวจือ ตอนที่นางถูกนายหน้าค้าทาสพาไปที่ท่าเรือเพื่อเตรียมลงเรือกลับหายตัวไป ข้าส่งคนไปตรวจสอบเบื้องหลังของเชี่ยวจือแล้วพบว่าครอบครัวของนางมีภูมิหลังดี แต่ตอนที่นางถูกนายหน้าค้าทาสพาเข้ามาในจวน มีช่วงเวลาที่นางหายตัวไปจากโรงเตี๊ยมครึ่งชั่วยาม ตอนนั้นพอพบตัวอีกทีนางดูผ่ายผอมลงไปมาก นางบอกว่าหลงทางอยู่ในป่าข้างโรงเตี๊ยม…”

คำพูดหลังจากนั้นฮั่วสุยเฟิงไม่ได้กล่าวต่อเพราะน่ากลัวเกินไป เขาเกรงว่าโม่เซี่ยวเหนียงจะตกใจ

หลังนายหน้าค้าทาสจากไปได้สามวันก็มีคนพบศพสตรีจมน้ำอยู่ในสระข้างป่านั้น ใบหน้าแช่น้ำจนบวมอืด

แต่จากบันทึกการชันสูตรศพของที่ว่าการพบว่าที่กลางหลังของศพมีปานรูปใบไม้อยู่ พี่สาวของเชี่ยวจือเคยบอกไว้ว่าน้องสาวนางก็มีปานรูปใบไม้อยู่ที่กลางหลังเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามีคนสังหารเชี่ยวจือตัวจริงและสับเปลี่ยนแฝงตัวเข้ามาในจวนโม่เป่ยอ๋อง

ฮั่วสุยเฟิงตกใจจนเหงื่อเย็นไหลซึม หากไม่ใช่เพราะสตรีผู้นั้นเผยพิรุธแต่เนิ่นๆ ไม่แน่ว่านางอาจทำเรื่องร้ายแรงยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเชี่ยวจือตัวปลอมนั่นมาจากที่ใด ฮั่วสุยเฟิงจึงสั่งให้คนติดประกาศพร้อมภาพวาดของนาง ประกาศจับคนด้วยเงินรางวัลก้อนโต หวังว่าจะสามารถตามหาสตรีผู้นั้นจนพบได้

โม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีก นางกินองุ่นจนหมดแล้วเอ่ยขึ้น “ข้ายังอยากกินผิงกั่วอีก…”

ฮั่วสุยเฟิงตามใจโม่เซี่ยวเหนียงเรื่องอาหารเสมอ คิดว่ายามเย็นนางกินไปไม่มาก หากกินผลไม้เพิ่มก็ดีเช่นกัน จึงลุกขึ้นไปหยิบผิงกั่วให้

โม่เซี่ยวเหนียงรีบเอ่ยขึ้น “เจ้าเพิ่งนวดเท้าให้ข้า ยังมิได้ล้างมือก็ไปจับผลไม้ ไม่รู้หรือว่ากลิ่นหอมและกลิ่นเหม็นปะปนกันได้!”

ฮั่วสุยเฟิงหัวเราะ ก่อนก้มลงไปดมนิ้วเท้าขาวเนียนของนางพลางกล่าว “หอมกรุ่นยิ่ง เหม็นตรงที่ใดกัน ข้ายังไม่รังเกียจ แต่เจ้ากลับรังเกียจตนเองเสียแล้ว!”

แม้เขาจะพูดหยอกล้อ ทว่ายังให้หานเยียนเตรียมน้ำแล้วล้างมือให้สะอาดเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยปอกผิงกั่วให้โม่เซี่ยวเหนียง

โม่เซี่ยวเหนียงเอนกายกึ่งนอนบนเตียง มองดูเขาปอกผิงกั่วโดยไม่ขยับตัว ก่อนเอ่ยถามขึ้นเหมือนไม่ตั้งใจว่า “เหตุใดทุกครั้งที่เจ้าปอกเปลือกถึงตั้งใจไม่ให้เปลือกขาด”

ฮั่วสุยเฟิงมิได้ตอบ มือยังคงปอกผิงกั่วอย่างรวดเร็ว จนผ่านไปครู่หนึ่งเมื่อโม่เซี่ยวเหนียงคิดว่าเขาจะไม่ตอบ ถึงได้ยินเสียงเขาเอ่ยขึ้น

“มารดาข้าเคยกล่าวไว้ว่าหากไม่ให้เปลือกผลไม้ขาดระหว่างปอก คำอธิษฐานในใจจะเป็นความจริง…” หลังพูดจบในห้องพลันเงียบกริบ จนเมื่อฮั่วสุยเฟิงปอกเสร็จและยื่นผิงกั่วให้นาง เขาจึงถามว่า “เหตุใดถึงเงียบไปเล่า”

โม่เซี่ยวเหนียงมองดูผิงกั่วในมือเขานิ่งๆ ก่อนจะค่อยๆ รับมาแล้วกล่าวยิ้มๆ “ข้าแค่คิดว่าเจ้าเป็นคนเชื่อฟังคำมารดายิ่งนัก ทั้งที่ไม่รู้ว่าคำอธิษฐานที่ขอไปนั้นจะเป็นความจริงหรือไม่”

ฮั่วสุยเฟิงก้มลงจุมพิตหน้าผากของนางเบาๆ แล้วเอ่ย “ตอนนี้ข้าได้แต่งงานกับเจ้าแล้ว อีกทั้งกำลังจะมีบุตร ข้ายังมีคำอธิษฐานใดที่ต้องขออีกหรือ ขอเพียงทุกเช้าค่ำพวกเราไม่ต้องพรากจากกันอีกก็พอ”

โม่เซี่ยวเหนียงมองใบหน้าอิ่มเอมใจของเขานิ่งๆ ก่อนยกมือขึ้นลูบดั้งจมูกโด่งของเขาแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ “ตราบใดที่เจ้าปฏิบัติต่อข้าด้วยความจริงใจ มิได้ปิดบังหรือหลอกลวง ข้าย่อมเป็นภรรยาเจ้าไปชั่วชีวิต ไม่มีวันพรากจาก…”

ระหว่างที่พูดฮั่วสุยเฟิงเหมือนจะกะพริบตาโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มที่มุมปากของเขาดูเหมือนจะเลือนหายไปครู่หนึ่ง

ทว่าโม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้เอ่ยคำใดเพื่อหยั่งเชิงต่อ เพียงเอนกายนอนลงบนเตียง หลับตาแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าเริ่มง่วงแล้ว อีกสักครู่อย่าลืมเอาหมอนมาหนุนใต้เท้าข้าด้วย จะได้ไม่บวมอีก…”

ใช่ว่านางคิดจะช่วยหาทางลงให้คนหลอกลวงสารเลวผู้นี้ เพียงแต่ในบางครั้งมนุษย์ล้วนมีความเฉื่อยชาเพราะพึงพอใจกับสภาพความเป็นอยู่ดังเดิม หาไม่แล้วเหตุใดน้ำอุ่นถึงสามารถต้มกบให้สุกได้เล่า

ในตอนนี้นางก็เป็นเพียงกบโง่งมตัวหนึ่งที่ถูกความอ่อนโยนและความเอาใจใส่ของฮั่วสุยเฟิงห่อหุ้มไว้ แม้ในใจจะเริ่มคาดเดาอะไรบางอย่างออก แต่นางกลับเกิดความรู้สึกหวาดกลัว ทำใจรีบเปิดเผยไม่ลง

ยุคโบราณเช่นนี้แม้ไม่มีอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงหรือความสะดวกสบายที่ทันสมัย แต่ก็มีสิ่งที่นางสูญเสียไปอย่างสิ้นเชิงในโลกความจริง นั่นก็คือความรักและความผูกพันของครอบครัว ทั้งยังมีชีวิตแต่งงานที่สงบสุขและราบรื่นซึ่งนางไม่เคยได้มีในโลกความจริงมาก่อน

แม้โลกจะวุ่นวายและไม่แน่นอนเหมือนกับพล็อตเรื่องที่นักเขียนสารเลวนั่นเขียนขึ้น แต่ในเขตแดนเล็กๆ ในเรือนหลังของจวนโม่เป่ยอ๋องแห่งนี้ก็ช่างสงบและสุขสบายอย่างไร้ที่เปรียบจริงๆ

บุตรของนางยังไม่ถือกำเนิด นางอยู่มาสองชาติ แต่ก็ยังไม่เคยสัมผัสความสุขของการได้อุ้มทารกน้อยตัวนุ่มนิ่มสักครา

ความฝันที่งดงามช่างแสนสั้นจนนางไม่อยากตื่นขึ้นมา

หากฮั่วสุยเฟิงเป็นคนหลอกลวง นางก็หวังว่าเขาจะโกหกได้แนบเนียนขึ้นอีกสักหน่อย เพื่อให้นางถูกหลอกและดื่มด่ำอยู่ในโลกมายาที่ก่อไว้ด้วยคำลวงนี้ไปตลอดชีวิต

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 7 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 9

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: