บทที่ 133
เนื่องจากเหตุการณ์เชี่ยวจือถูกสวมรอย จวนโม่เป่ยอ๋องที่ภายนอกดูเงียบสงบ ความจริงแล้วมีการปรับเปลี่ยนกฎระเบียบทั่วทั้งจวน บรรดาบ่าวในจวนทุกคนต้องเรียกญาติพี่น้องจากบ้านเกิดมาแสดงตัว หลังยืนยันความบริสุทธิ์ของตระกูลสามชั่วคนจนชัดเจนไร้ข้อสงสัยแล้วถึงจะกลับมาทำงานได้
เมื่อเป็นเช่นนี้หานเยียนก็ยังแต่งงานในช่วงนี้ไม่ได้ โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกเสียใจที่ตนเองแต่งงานช้าจนกระทบกับบ่าวรับใช้ของตน จึงกล่าวกับหานเยียนว่าหากมีโอกาสจะขอร้องจวิ้นอ๋องให้ปล่อยนางออกจากจวน
แต่หานเยียนกลับส่ายหน้าและเอ่ยด้วยความหวาดผวาที่ยังคงมีอยู่ในใจว่า “คุณหนู ท่านอย่าได้ไปรบกวนจวิ้นอ๋องเลยเจ้าค่ะ เขาทำเช่นนี้ต้องมีเหตุผลแน่นอน อย่างไรเสียก็หมั้นหมายแล้ว หากซิวจู๋ไม่อยากรอก็ให้เขาแต่งกับคนอื่นไปเถิดเจ้าค่ะ ส่วนบ่าวนั้นขอรอจนกว่าคุณหนูจะปลอดภัยเสียก่อน บ่าวถึงจะวางใจลงได้”
หานเยียนรู้เรื่องภายในเป็นอย่างดี ฮั่วสุยเฟิงบอกความจริงเกี่ยวกับการตายอย่างน่าอนาถของเชี่ยวจือให้พวกนางทราบ เพื่อให้พวกนางรอบคอบและระมัดระวังตนเอง
หานเยียนไม่กล้าบอกเรื่องนี้กับโม่เซี่ยวเหนียง แต่นางเองก็ยังรู้สึกหวาดหวั่นอยู่ลึกๆ และดีใจที่ตอนนั้นจวิ้นอ๋องไม่ให้เชี่ยวจือเข้าไปแตะต้องอาหารของโม่เซี่ยวเหนียง อีกทั้งน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวันของโม่เซี่ยวเหนียงก็มีการตรวจด้วยเข็มเงินเพื่อทดสอบพิษเสมอ มิฉะนั้นหากสตรีร้ายกาจพรรค์นั้นได้เข้าใกล้โม่เซี่ยวเหนียงก็อาจเกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นได้
โม่เซี่ยวเหนียงยืดร่างกายที่อวบอิ่มขึ้นตามกาลเวลา ลูบท้องของตนแล้วเอ่ย “อีกเพียงครึ่งปีข้าก็จะคลอดแล้ว ถึงตอนนั้นหากเขาไม่อนุญาต ข้าก็จะให้เจ้าออกจากจวนให้จงได้”
ในจวนอื่นหากสตรีกำลังตั้งครรภ์ ช่วงเวลานี้ก็มักเริ่มหาแม่นมกันแล้ว แต่สำหรับโม่เซี่ยวเหนียง นางตั้งใจจะข้ามขั้นตอนนี้ไป ถึงอย่างไรนางก็มีไส้ในเป็นคนยุคปัจจุบัน รู้ดีว่าการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เองนั้นมีประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์ อีกทั้งนางก็ยอมรับไม่ได้ที่บุตรของตนจะถูกเลี้ยงดูด้วยนมจากสตรีอื่น
ดังนั้นโม่เซี่ยวเหนียงในฐานะภรรยาเต็มเวลาในยุคโบราณจึงตั้งใจที่จะเลี้ยงบุตรด้วยตนเอง และฮั่วสุยเฟิงก็ไม่ได้ขัดข้องอะไรกับเรื่องนี้ เหมือนเขาจะคิดว่าการที่โม่เซี่ยวเหนียงทำลายธรรมเนียมปฏิบัติของสตรีสูงศักดิ์โดยเลี้ยงบุตรเองนั้นไม่มีสิ่งใดที่ไม่เหมาะสม
กลับเป็นฉู่เฉียวอีที่มองว่าโม่เซี่ยวเหนียงคิดเล็กคิดน้อยเกินไป และเหมือนนำกลิ่นอายชนบทเข้ามาในจวนโม่เป่ยอ๋องที่ยิ่งใหญ่แห่งนี้
เนื่องจากสกุลซั่นยังไม่มารับตัวฉู่เฉียวอีกลับไป อีกทั้งไม่มีทีท่าว่าจะคืนดีกัน นางจึงยังอยู่ที่บ้านเดิมของตน และเนื่องจากเวลานี้ฉู่เซิ่นกับหูซื่ออยู่ที่จวนโม่เป่ยอ๋อง นางจึงมักมาพักใจที่เรือนของโม่เซี่ยวเหนียง บางครั้งก็เล่าเรื่องราวประสบการณ์การเลี้ยงบุตรของตนเอง ทว่าหัวข้อพวกนี้เมื่อเล่าถึงตอนท้ายก็มักจบลงด้วยการคิดถึงบุตรตัวน้อยพร้อมกับน้ำตานองหน้า
ฉู่เฉียวอีคิดถึงบุตรของนางเหลือเกิน จนอดไม่ได้ที่จะด่าทอสกุลซั่นอย่างเจ็บแค้นอีกครั้งว่าใจร้าย
นับตั้งแต่ตั้งครรภ์โม่เซี่ยวเหนียงก็มุ่งมั่นที่จะซึมซับแต่พลังงานบวกที่ทำให้อารมณ์ดี ดังนั้นคำกล่าวโทษแต่ผู้อื่นยกเว้นตนเองของฉู่เฉียวอี นางจึงพยายามไม่เก็บมาใส่ใจ
วันนี้ฉู่เฉียวอีพูดไปพูดมาก็ดูท่าจะเริ่มเข้าสู่เส้นทางของสะใภ้เสียงหลินอีกแล้ว โม่เซี่ยวเหนียงจึงพูดสวนขึ้นมาอย่างไม่เกรงใจ
“เพราะเรื่องของเจ้า ท่านพ่อถึงกับลดศักดิ์ศรีไปหาสกุลซั่นหลายครั้งเพื่อช่วยพูดให้เจ้า หลังจากนั้นแม้แต่สุยเฟิงก็ยังไปด้วย และจะเขียนหนังสือรับรองให้เจ้าด้วย แต่ดูจากท่าทางของเจ้าแล้วไม่มีท่าทีว่าจะสำนึกผิดแม้แต่น้อย หากกลับไปสกุลซั่นแล้วก่อเรื่องอีก เช่นนั้นจะไม่ใช่เอาศักดิ์ศรีของท่านพ่อกับสุยเฟิงไปขยี้ด้วยรองเท้าหรือไร”
เมื่อฉู่เฉียวอีได้ยินดังนั้น นางก็รีบเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “อย่าเชียว! ข้ารู้ว่าข้าผิดไปแล้ว แต่เพราะสกุลซั่นไม่ยอมให้ข้าได้พบบุตร ข้าก็แค่…แค่ร้อนใจจนพูดจาไม่ระวังปากเท่านั้นเอง…”
โม่เซี่ยวเหนียงถอนหายใจแล้วกล่าว “แต่ก่อนสกุลซั่นยอมอดทนกับเจ้าทุกเรื่องไม่ใช่เพราะสกุลฉู่ของเรามีอำนาจใหญ่โต แต่เพราะพวกเขาใจกว้าง ทว่าใจกว้างเพียงใดก็ย่อมมีขีดจำกัด ท่านพ่อบอกไว้ว่าหากเจ้าต้องการกลับไป เจ้าต้องเขียนหนังสือรับรองว่าจะตัดขาดกับสกุลเยวี่ยอย่างสิ้นเชิง และหากก่อเรื่องขึ้นอีก สกุลซั่นก็จะส่งหนังสือหย่า หย่าขาดกับเจ้าทันที!”
อาการหวาดกลัวของฉู่เฉียวอีเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่มารดาปล่อยให้นางต้องเผชิญกับชะตากรรมอย่างไม่สนใจไยดี จนนางต้องหลบโจรด้วยการซ่อนตัวในบ่อเกรอะ ตอนนี้เมื่อพูดถึงสกุลเยวี่ยขึ้นมา นางจึงบันดาลโทสะทันที
แม้นางจะพยายามดูแลมารดาของตนอย่างเต็มที่ แต่มารดากลับใจร้ายไม่แยแสนาง ความสัมพันธ์ทางสายเลือดที่เป็นเช่นนี้ แม้จะตัดขาดไปก็ไม่มีอะไรให้ต้องอาลัยอาวรณ์
ฉู่เฉียวอีอดไม่ได้ที่จะบ่นพึมพำด้วยความน้อยใจ น้ำตาของนางเริ่มไหลหลั่งพรั่งพรูออกมาอีกครั้ง
พอดีกับที่ฮั่วสุยเฟิงกลับมาจากข้างนอก เมื่อเห็นฉู่เฉียวอีกำลังร่ำไห้คร่ำครวญ เขาก็ขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงท่าทีชัดเจน
“เฉียวอี ได้เวลากินอาหารแล้ว เซี่ยวเหนียงกินแต่อาหารบำรุงร่างกายที่จืดชืด จึงขอไม่รั้งเจ้าไว้ร่วมกินอาหารด้วย หานเยียน ส่งแขก!”
ความเกรงกลัวที่ฉู่เฉียวอีมีต่อฮั่วสุยเฟิงนั้นมีมาตั้งแต่เด็ก แม้ในยามนี้ที่ปีศาจน้อยในอดีตค่อยๆ สุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ไม่มีความก้าวร้าวเช่นวัยเยาว์แล้ว แต่นางก็ยังคงเคยชินที่จะหลีกเลี่ยงฮั่วสุยเฟิงอยู่เสมอ แล้วนิสัยนี้ก็แก้ไม่หายด้วย
ดังนั้นเมื่อฮั่วสุยเฟิงออกคำสั่งไล่อย่างไม่เกรงใจ ฉู่เฉียวอีก็ลุกขึ้นและเดินออกไปทันที
หลังฉู่เฉียวอีจากไป ฮั่วสุยเฟิงก็ปลดเสื้อคลุมของตนพลางเอ่ยกับเหล่าบ่าวรับใช้คนสนิทว่า “หากคราวหน้าคุณหนูรองมาร้องไห้คร่ำครวญอีก พวกเจ้าก็เชิญนางออกไปเสีย บอกว่านี่เป็นคำสั่งของข้า อ้างไปว่าช่วงนี้คุณหนูใหญ่ของพวกเจ้าอารมณ์ไม่ดี ฟังคนร้องไห้ไม่ได้”
โม่เซี่ยวเหนียงกำลังตรวจดูรองเท้าลายหัวเสือคู่เล็กในมือที่ตนเป็นคนเย็บเอง พอได้ยินฮั่วสุยเฟิงพูดเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
เหตุผลที่ฮั่วสุยเฟิงยอมลดเกียรติลงไปพูดกับสกุลซั่นพร้อมฉู่เซิ่นก็เพื่อหวังให้คนสร้างความรำคาญออกไปจากจวนโดยเร็ว แม้จะรู้สึกผิดกับสกุลซั่นอยู่บ้าง แต่ฮั่วสุยเฟิงเป็นคนที่ยึดถือหลักที่ว่าสนใจเพียงเรื่องของตนเองมาโดยตลอด สิ่งสำคัญที่สุดคือภรรยาของเขาต้องไม่ถูกรบกวน
โม่เซี่ยวเหนียงส่งรองเท้าหัวเสือที่เพิ่งเย็บเสร็จให้เขาดู พร้อมกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าจะได้บุตรชายหรือบุตรสาว อีกสักสองวันข้าคงต้องเย็บรองเท้าคู่เล็กๆ อีกสักคู่แล้ว”
ฮั่วสุยเฟิงยื่นหน้ามาจุมพิตที่แก้มนางเบาๆ แล้วกล่าว “ทำเช่นนี้คงทำให้ตาล้ามาก ให้ช่างเย็บผ้าในจวนทำเถิด”
โม่เซี่ยวเหนียงตอบว่า “อุดอู้อยู่ในเรือนทั้งวันไม่มีอะไรทำ หากไม่หางานอะไรทำบ้างข้าคงขึ้นราแล้ว ตอนนี้ตั้งครรภ์ได้ห้าเดือนแล้ว ตัวก็ยังไม่หนักมากนัก ทำงานพวกนี้ช่วยให้ข้าอารมณ์ดีขึ้นด้วย”
เมื่อฮั่วสุยเฟิงได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะโน้มกายลงไปกระซิบข้างหูนาง
“หมอเคยบอกไว้ว่าเข้าเดือนที่ห้าแล้วสามารถอยู่ด้วยกันได้…เจ้าให้ข้าได้คลายความปรารถนาสักหน่อยได้หรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงรู้ดีว่าที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร นับตั้งแต่นางรู้ว่าตนเองเริ่มตั้งครรภ์ ฮั่วสุยเฟิงก็ละเว้นความปรารถนานั้นด้วยเช่นกัน
เขาอยู่ในวัยที่เต็มเปี่ยมด้วยกำลังวังชา แต่ในจวนไม่มีอนุหรือนางบำเรอ เขาจึงต้องไปที่ค่ายทหาร โดยชกกระสอบทรายหรือฝึกฝนเหล่าทหารเพื่อใช้พลังงานอันล้นเหลือให้หมดไป บัดนี้อุตส่าห์รอจนภรรยาตั้งครรภ์ได้อย่างปลอดภัย ฮั่วสุยเฟิงย่อมมีความคิดอยากจะทำอะไรสักอย่างและมีความกระหายที่อดกลั้นไว้ไม่อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามอู๋เซี่ยวเซี่ยวที่เคยมีประสบการณ์การแท้งบุตรในโลกความจริงยังคงรู้สึกวิตกกังวล แม้ฮั่วสุยเฟิงจะพยายามอ้อนวอน แต่นางก็ไม่ยินยอม เมื่อเป็นเช่นนี้ฮั่วสุยเฟิงจึงต้องยอมลดระดับความต้องการและก้มลงไปกระซิบข้างหูของโม่เซี่ยวเหนียงแทน
คำพูดของฮั่วสุยเฟิงทำให้หูของโม่เซี่ยวเหนียงร้อนจนเหมือนจะทอดไข่ได้ นางอดไม่ได้ที่จะผลักเขาออกพลางกล่าวขึ้น
“ข้าไม่ทำ! จะมีท่วงท่าที่ไม่เหมาะสมมากมายถึงเพียงนั้นได้อย่างไร เจ้าไปเรียนมาจากผู้ใดกันแน่”
ฮั่วสุยเฟิงนอนหนุนตักออดอ้อนนางเหมือนสมัยเด็ก ทำหน้าไม่พอใจแล้วกล่าว “ข้าได้ยินสหายร่วมงานเล่าให้ฟัง พวกเขาบอกว่าอยู่ในค่ายทหารมานาน ตอนกลับบ้านเหล่าภรรยาของพวกเขาล้วนเหมือนยุ้งฉางว่างเปล่าที่เติมไม่รู้จักเต็ม จึงได้ทำตามใจชอบเต็มที่ แต่เจ้า ข้าห่างหายจากการส่งเสบียงให้เจ้ามานานแล้ว แต่เจ้ากลับไม่รู้สึกว่างเปล่าสักนิด…”
โม่เซี่ยวเหนียงหลุดหัวเราะออกมาเพราะคำเปรียบเปรยที่ไร้สาระของเขา ก่อนเอ่ยค่อนขอดว่า “ไม่มีใครสนใจว่าเจ้าจะหอบกระสอบข้าวไปที่ใด หากข้าทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าก็ไปส่งเสบียงที่อื่นเสียเถิด…”
ฮั่วสุยเฟิงเอื้อมมือมาบีบจมูกนางพลางพูดว่า “ข้าก็เลือกคน กับคนอื่นข้าทำไม่ได้ หากเจ้าทำให้ข้าหงุดหงิดอีก ระวังข้าจะทำเช่นโจร จับเจ้ามัดติดเสาไว้ใช้สอย…”
คำพูดนี้โม่เซี่ยวเหนียงเคยได้ยินมาก่อน ตอนที่นางติดตามบิดาเลี้ยงไปปราบโจรที่ซีเป่ย โจรพวกนั้นมีวิธีย่ำยีคนหลายวิธี นึกไม่ถึงว่าฮั่วสุยเฟิงจะหยิบยกเรื่องเช่นนี้มาพูดหยอกล้อ นางจึงอดยื่นมือไปทุบอกเขาไม่ได้
ฮั่วสุยเฟิงหัวเราะรับการทุบตีของภรรยา เสียงหัวเราะที่ลึกและหนักแน่นสะท้อนในแผ่นอกกำยำ
ที่โม่เป่ยยังคงสงบสุขอยู่เบื้องหลัง แต่เซียวเยวี่ยเหอที่อยู่แนวหน้าเปรียบเสมือนคนมีโชค เขาสามารถบุกยึดพื้นที่กว่าสิบเมืองในคราวเดียวด้วยการร่วมมือกับจิ้งอ๋อง
เผ่าหนานอี๋ถูกโจมตีจนไม่สามารถฟื้นกำลังกลับคืนมาได้ และไม่กล้าประจันหน้ากับกองกำลังรักษาการณ์ของต้าฉินอีก
หลังจากสองพ่อลูกสกุลเซียวรักษาแนวหน้าให้มั่นคงได้ พวกเขาก็เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังโม่เป่ยเพื่อรับฮ่องเต้วัยเยาว์แล้วเดินทางไปยังลั่วหยางเมืองหลวงชั่วคราว
ฮ่องเต้วัยเยาว์ในตอนนี้ยังมิได้เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน แต่ใครก็ตามที่สามารถควบคุมราชสำนักย่อยได้ย่อมใช้อำนาจของฮ่องเต้บงการเหล่าขุนนางได้
เมื่อครั้งเกิดศึกสงครามอย่างกะทันหัน สกุลเซียวก็ไม่กล้าปล่อยให้ฮ่องเต้วัยเยาว์และเสี่ยนเหรินไทเฮาอยู่ในสถานการณ์เสี่ยงภัย จึงให้พวกเขาล่าถอยไปเรื่อยๆ แต่เมื่อได้รู้ว่าฮ่องเต้วัยเยาว์เสด็จไปยังโม่เป่ยด้วยการแนะนำของเสี่ยนเหรินไทเฮา คิดจะหยุดยั้งพวกเขาไว้ก็สายเกินไปเสียแล้ว จึงต้องให้นายท่านผู้เฒ่าสกุลเซียวและเซินหยางจวิ้นจู่ที่หลบไปอยู่แนวหลังหนีไปยังโม่เป่ยพร้อมกัน
ตอนนี้เซียวเยวี่ยเหอรักษาสถานการณ์ที่แนวหน้าได้แล้ว และได้รับจดหมายจากท่านปู่ของเขา สั่งให้เขาเตรียมการต้อนรับฮ่องเต้วัยเยาว์กลับสู่เมืองหลวงชั่วคราว
เซียวเยวี่ยเหอเข้าใจเจตนาของท่านปู่ อีกฝ่ายกลัวว่าฮั่วสุยเฟิงจะขึ้นเป็นใหญ่ที่โม่เป่ย กักตัวฮ่องเต้วัยเยาว์ไว้ และฉวยโอกาสนี้เปลี่ยนแปลงการปกครอง
พึงรู้ว่าฮั่วสุยเฟิงเป็นเชื้อสายราชวงศ์แห่งต้าฉิน หากเขามีความทะเยอทะยานจริงๆ ย่อมมีประเด็นที่สามารถนำมาสร้างเรื่องราวได้
แต่สิ่งที่ทำให้คนสกุลเซียวคาดไม่ถึงคือเมื่อพวกเขาเสนอเรื่องการย้ายราชสำนักไปยังลั่วหยาง ฮั่วสุยเฟิงกลับไม่แสดงท่าทีสงสัยหรือขัดขวางแม้แต่น้อย กลับเป็นเสี่ยนเหรินไทเฮาที่กล่าวว่าความปลอดภัยของฮ่องเต้วัยเยาว์เกี่ยวพันถึงบ้านเมือง ไม่เหมาะที่จะเดินทางอย่างระหกระเหินจนเกินไป รอให้กอบกู้เมืองหลวงได้แล้วค่อยหารือเรื่องการย้ายกลับเมืองหลวงก็ยังไม่สาย
หลังสงครามสกุลเซียวได้หาทางเอาชนะใจขุนนางอาวุโสจำนวนมากแล้วดึงมาเป็นพวก ทั้งยังกุมอำนาจทางการทหาร นำข้อแนะนำจากขุนนางเก่าแก่มาบีบบังคับให้เสี่ยนเหรินไทเฮายอมตกลงเรื่องกลับไปยังลั่วหยาง
เสี่ยนเหรินไทเฮาไม่ได้แสดงจุดยืนใดๆ แต่ลับหลังกลับเชิญฉู่เซิ่นมาปรึกษาหารือ
เนื่องจากเสี่ยนเหรินไทเฮาเป็นหญิงม่าย จึงไม่สะดวกที่จะพบขุนนางเพียงลำพัง จึงเชิญหูซื่อและโม่เซี่ยวเหนียงมาพร้อมกันโดยจัดงานเลี้ยงในครอบครัวบังหน้า
เสี่ยนเหรินไทเฮามีเมตตาจัดงานเลี้ยง โม่เซี่ยวเหนียงย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ นางจึงติดตามบิดามารดาไปร่วมงานเลี้ยงด้วย
เมื่อครั้งที่เสี่ยนเหรินไทเฮายังดำรงตำแหน่งเป็นชายารัชทายาท นางสง่างามและสูงส่งเพียงใด แต่หลังจากเผชิญเหตุการณ์กบฏในวังและเหตุโกลาหลอย่างฉับพลันของเผ่าหนานอี๋ หน้าผากจึงมีริ้วรอยราวน้ำค้างแข็งแห้งแตก หางตาและริมฝีปากก็มีร่องเล็กๆ
หลังจากที่เหล่าข้าราชบริพารจัดเตรียมงานเลี้ยงเรียบร้อยแล้ว เสี่ยนเหรินไทเฮาก็สั่งให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องทั้งหมดออกไป ก่อนจะพูดกับฉู่เซิ่น
“เมื่อครั้งที่อดีตฮ่องเต้ยังทรงมีพระชนม์ชีพ พระองค์เคยตรัสกับข้าและฝ่าบาทว่าขุนนางบุ๋นบู๊ทั่วทั้งราชสำนักล้วนมีแผนการในใจของตนเอง เว้นเสียแต่ฉู่เซิ่นที่เป็นคนจริงใจ ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมา พระดำรัสของอดีตฮ่องเต้ยังก้องอยู่ในหูข้าและฝ่าบาท ทั้งยังจดจำติดตรึงอยู่ในใจ ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุวุ่นวายหนานอี๋ครั้งนี้ ข้าจึงยืนหยัดคัดค้านเสียงส่วนมาก และพาฝ่าบาทเดินทางมายังโม่เป่ยเพื่อพึ่งพาฉงเจิ้งจวิ้นอ๋อง แต่แท้จริงแล้วก็มาพึ่งพาท่าน ฉู่เซิ่น!”
ฉู่เซิ่นได้ยินเช่นนั้นก็รีบคุกเข่าลงทันทีและกล่าวว่า “ทั้งอดีตฮ่องเต้และรัชทายาทผู้ล่วงลับล้วนทรงมีเมตตาต่อกระหม่อมอย่างยิ่ง กระหม่อมจดจำบุญคุณนี้ไว้ในใจเสมอพ่ะย่ะค่ะ”
เสี่ยนเหรินไทเฮาแย้มยิ้มอย่างขมขื่นและเอ่ยต่อไปว่า “สกุลเซียวถือเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีและแม่ทัพที่เก่งกล้า แต่ในลั่วหยางมีคหบดีผู้ทรงอำนาจอยู่มากมาย อำนาจซับซ้อนหลายฝ่าย แต่ที่นั่นเป็นสถานที่ที่ราชวงศ์ไร้ซึ่งอำนาจ หากฝ่าบาทเสด็จไปที่นั่น ข้าเกรงว่าพระองค์จะกลายเป็นเครื่องมือของใครบางคน…”
เมื่อพูดมาถึงตรงนี้โม่เซี่ยวเหนียงที่อยู่ด้านข้างก็เข้าใจความหมายทันที
ประโยคเหล่านี้หมายความว่าอดีตฮ่องเต้เชื่อมั่นว่าฉู่เซิ่นบิดาเลี้ยงของนางเป็นขุนนางผู้จงรักภักดีอันดับหนึ่งของแผ่นดิน ดังนั้นก่อนสวรรคตจึงได้กำชับลูกสะใภ้และหลานชายไว้ว่าหากเกิดเรื่องในภายหน้าให้ไปขอความช่วยเหลือจากแม่ทัพฉู่ผู้เปี่ยมด้วยความซื่อสัตย์และคุณธรรม
แต่ในยามนี้สกุลเซียวเหมือนจะฉวยโอกาสที่สถานการณ์วุ่นวายกุมอำนาจในราชสำนักไว้จนหมดสิ้น หากฉู่เซิ่นและบุตรเขยคนโตของเขาไม่แสดงจุดยืน เสี่ยนเหรินไทเฮาก็อาจถูกกดดันให้ต้องยอมทำตามสถานการณ์ ตามสกุลเซียวกลับไปยังลั่วหยาง
เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าอำนาจของสกุลเซียวจะแข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนอำนาจของฮ่องเต้วัยเยาว์ก็จะไม่สามารถควบคุมพวกเขาได้อีกต่อไป
ขณะนี้ผู้เดียวในราชสำนักที่สามารถต่อกรกับสกุลเซียวได้ก็มีเพียงฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องฮั่วสุยเฟิง แต่จวิ้นอ๋องผู้นี้ก็แตกต่างจากฉู่เซิ่นผู้เป็นพ่อตาที่เป็นคนตรงไปตรงมา เพราะเขามีความคิดและแผนการของตนเอง
โดยเฉพาะในที่ประชุมราชสำนักเมื่อวันก่อน เหล่าขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ต่างถกเถียงกันอย่างดุเดือดเรื่องการแปรพระราชฐานของฮ่องเต้วัยเยาว์ว่าจะไปหรืออยู่ ทว่าจวิ้นอ๋องน้อยกลับไม่พูดอะไรสักคำ ยืนเฉยอยู่ท่ามกลางเหล่าขุนนางราวกับเป็นผู้สังเกตการณ์
เสี่ยนเหรินไทเฮาที่ออกว่าราชการหลังม่านประทับอยู่หลังบัลลังก์มังกรพยายามชักจูงให้เขาพูดอะไรบ้าง แต่เขากลับตอบเพียงสั้นๆ
‘กระหม่อมน้อมรับพระประสงค์พ่ะย่ะค่ะ’
แม้ฉู่เซิ่นจะเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี แต่เนื่องจากเขาพักรักษาตัวมาโดยตลอด ทำให้ไม่มีอำนาจในมืออย่างแท้จริง ทว่าบุตรเขยของเขามีอำนาจในโม่เป่ย เสี่ยนเหรินไทเฮาไม่อาจจับความคิดของฮั่วสุยเฟิงได้อย่างชัดเจน จึงเชิญฉู่เซิ่นพร้อมภรรยาและโม่เซี่ยวเหนียงมาเพื่อหยั่งเชิงท่าที
ในเวลานี้เสี่ยนเหรินไทเฮาแสดงท่าทีเศร้าระทมราวกับหญิงม่ายที่กำลังฝากฝังบุตรของตน ฉู่เซิ่นนึกถึงบุญคุณที่รัชทายาทผู้ล่วงลับมีต่อเขา ในใจก็รู้สึกอุ่นวาบขึ้นมา กำลังจะเอ่ยปากตอบตกลง
แต่โม่เซี่ยวเหนียงกลับกล่าวด้วยท่าทีสงบนิ่งว่า “ท่านพ่อป่วยมานาน ไม่ได้ทราบความเปลี่ยนแปลงของราชสำนัก และจวิ้นอ๋องเองก็อยู่ในพื้นที่เล็กๆ ที่ห่างไกล ยิ่งไม่ได้รู้สถานการณ์ทางการเมืองที่ซับซ้อน เดิมทีจวิ้นอ๋องเพียงบอกหม่อมฉันว่าให้ทำหน้าที่ต้อนรับฮ่องเต้และไทเฮาอย่างเต็มที่ รวมถึงต้อนรับเหล่าขุนนางที่มาพึ่งพิงในโม่เป่ยอย่างอบอุ่นให้เหมือนอยู่บ้าน วันนี้เมื่อได้ยินพระดำรัสของไทเฮา หม่อมฉันจึงเข้าใจถึงความจำใจของพระองค์หลายประการ หม่อมฉันจึงขออภัยแทนจวิ้นอ๋องที่ไม่ได้ตระหนักถึงพระประสงค์และแบ่งเบาความกังวลของพระองค์ แต่โชคดีที่ในราชสำนักยังมีเหล่าขุนนางอาวุโสผู้เชี่ยวชาญอยู่มากมาย จึงมิจำเป็นต้องให้จวิ้นอ๋องซึ่งเป็นเพียงท่านอ๋องจากชายแดนที่ห่างไกลมาเสนอความเห็นให้เสียการใหญ่”
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงเอ่ยเช่นนี้ ฉู่เซิ่นก็เริ่มได้สติกลับมา คนอื่นจะเป็นอย่างไรเขาไม่รู้ แต่ฮั่วสุยเฟิงนายน้อยของเขาเป็นคนเจ้าเล่ห์มาตั้งแต่เล็ก หากนึกถึงเหตุการณ์ในที่ประชุมราชสำนักเมื่อวานนี้ที่ฮั่วสุยเฟิงไม่ได้เอ่ยวาจาใด แสดงว่าอีกฝ่ายย่อมมีความตั้งใจบางอย่างแน่นอน
ตอนนี้เสี่ยนเหรินไทเฮาระบายทุกข์ เขาซึ่งเป็นขุนนางอาวุโสฟังเอาไว้ก็ดี แต่ไม่ควรรับปากอะไรโดยเด็ดขาด
ดังนั้นขณะที่โม่เซี่ยวเหนียงช่วยขัดจังหวะบทสนทนา ความกระตือรือร้นในใจของฉู่เซิ่นก็เริ่มเยือกเย็นลงเล็กน้อยและไม่ได้ตกปากรับคำอะไร
ความจริงแล้วที่เสี่ยนเหรินไทเฮาแสดงความทุกข์เรียกร้องความเห็นใจในช่วงนี้ก็เพื่อหวังจะดึงฉู่เซิ่นและโม่เซี่ยวเหนียงให้กลับไปโน้มน้าวจวิ้นอ๋อง
แต่คำพูดของฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่นั้นรัดกุมไร้ช่องโหว่ ทำให้เสี่ยนเหรินไทเฮาไม่สามารถพูดอะไรได้อีก และทำได้เพียงรอดูว่าฉู่เซิ่นจะกลับไปโน้มน้าวจวิ้นอ๋องให้ช่วยฮ่องเต้วัยเยาว์ต้านทานแรงกดดันจากสกุลเซียวเมื่ออยู่ในที่ประชุมราชสำนักได้หรือไม่
เมื่อออกมาจากงานเลี้ยง โม่เซี่ยวเหนียงยืนรอรถม้าอยู่หน้าประตูตำหนักแปรพระราชฐาน
ตำหนักนี้เดิมทีคือจวนโม่เป่ยอ๋อง ด้านหน้ามีคลองเล็กๆ ตัดผ่าน เมื่อมีรถม้ามาก เส้นทางจึงดูเล็กแคบและต้องรอสักพัก
ปรากฏว่าการรอครั้งนี้นางได้เห็นเซียวเยวี่ยเหอก้าวลงมาจากรถม้าพอดี
เซียวเยวี่ยเหอจำไม่ได้ว่านานเท่าไรแล้วที่เขาไม่ได้พบโม่เซี่ยวเหนียง สตรีที่วนเวียนอยู่ในความฝันยังคงงดงามเช่นเคย เพียงแต่รูปร่างที่บอบบางนั้นเห็นหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อย…
ซื่อจื่อใช้ไม้เท้าค้ำยันพลางก้าวลงจากรถม้าอย่างช้าๆ แต่ในใจของเขากลับคิดว่า หากตอนนั้นนางยอมแต่งงานกับข้า เด็กในครรภ์นี้คงเป็นสายเลือดของข้าไปแล้ว
บทที่ 134
อดีตที่ไม่อาจย้อนกลับ เมื่อหันกลับไปมองก็เป็นความเสียใจที่ติดอยู่ในใจไปชั่วชีวิต
เซียวเยวี่ยเหอมองโม่เซี่ยวเหนียงด้วยจิตใจหวั่นไหวไม่สงบ แต่ใบหน้ายังคงแสดงสีหน้าที่เหมาะสม เขาทักทายฉู่เซิ่นที่ยืนอยู่ข้างหน้าโม่เซี่ยวเหนียงตามมารยาท
พูดตามตรงฉู่เซิ่นในตอนนี้รู้สึกชิงชังสกุลเซียวยิ่งนัก หากตอนนั้นไม่ใช่เพราะเซินหยางจวิ้นจู่แห่งสกุลเซียวปากเปราะเปิดเผยเรื่องชาติกำเนิดที่แท้จริงของภรรยาและลูกเลี้ยงของเขา หูซื่อก็คงไม่ต้องตกใจกลัวจนไม่กล้าออกจากจวน
แม้ตอนนี้สกุลเซียวจะฉวยโอกาสในช่วงสงครามฟื้นอำนาจและกุมอำนาจทางการทหารของต้าฉินไว้ได้ แต่ฉู่เซิ่นนั้นดูแคลนคนสกุลเซียวอย่างยิ่ง
ดังนั้นเมื่อเซียวเยวี่ยเหอทักทายเขา เขาก็เพียงแค่นเสียงโดยไม่แม้แต่จะรักษามารยาท ก่อนตรงไปที่ข้างรถม้าของภรรยาและลูกเลี้ยง สะบัดบังเหียนแล้วขับรถม้าจากไป
โม่เซี่ยวเหนียงเองก็ไม่คิดจะทักทายเซียวเยวี่ยเหอก่อน ร่างของหญิงงามปรากฏข้างรถม้าเพียงชั่วขณะ ก่อนกลับเข้าไปซ่อนตัวในม่านรถม้าจนมองไม่เห็น
แต่ระหว่างทางกลับฉู่เซิ่นขับรถม้าและบังเอิญพบขุนนางที่เพิ่งออกจากที่ประชุมในตำหนักแปรพระราชฐาน เขาจึงร่วมเดินทางกับสหายร่วมงานในวันวาน ต่างฝ่ายต่างและสนทนากันเล็กน้อย
สกุลเซียวมีพรรคพวกในราชสำนักมากมาย แต่ก็มีผู้ที่ไม่ชอบพวกเขาเช่นกัน ใต้เท้าเลี่ยวผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น ระหว่างทางเขาจึงพูดถึงเรื่องสกุลเซียวหลายเรื่องให้ฉู่เซิ่นฟัง
หนึ่งในนั้นคือข่าวที่ว่าเซียวเยวี่ยเหอได้ที่ปรึกษามาคนหนึ่ง เป็นเพียงบัณฑิตที่ไม่ได้มีเกียรติยศชื่อเสียงใดๆ แต่ด้วยโอกาสและจังหวะที่ประจวบเหมาะ หากไม่ใช่เพราะที่ปรึกษาผู้นี้ได้ช่วยวางแผนอย่างสุดความสามารถในศึกเมืองฉางเหมียน กองทัพสกุลเซียวก็อาจพ่ายแพ้ย่อยยับไปแล้ว
ฉู่เซิ่นรู้สึกสงสัยจึงถามนามของที่ปรึกษาผู้นั้น ใต้เท้าเลี่ยวผู้นี้มีนิสัยชอบซุบซิบนินทา เมื่อได้ยินฉู่เซิ่นถามก็หัวเราะแล้วตอบ
“พูดไปแล้วแม่ทัพฉู่ก็น่าจะรู้จักเขาเช่นกัน เขาสกุลเซิ่ง เหมือนจะเคยเกี่ยวข้องกับครอบครัวของท่าน…หึๆ ไม่พูดดีกว่า ไม่พูดแล้ว”
โม่เซี่ยวเหนียงซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าได้ยินชัดเจน หัวใจนางพลันกระตุกทันที คนแรกที่นางนึกถึงคือเซิ่งเซวียน
ในนิยายต้นฉบับไม่เพียงแค่พระเอกที่มีออร่าเท่านั้น คุณชายเซิ่งก็มีออร่าพระรองเช่นกัน เขาถูกลิขิตให้ต้องผ่านความเจ็บปวดอย่างลึกซึ้งในสนามรัก จึงจะสามารถเกิดใหม่จากเถ้าถ่านเหมือนพญาหงส์และเปล่งประกายโดดเด่นราวกับได้รับการชุบชีวิตใหม่
แต่ในนิยายต้นฉบับเซิ่งเซวียนเคยเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของฮั่วสุยเฟิง ทว่าตอนนี้กลับกลายมาเป็นที่ปรึกษาของเซียวเยวี่ยเหอ ช่วยให้ซื่อจื่อสร้างชื่อเสียงอันดีงามในฐานะขุนนางคนสำคัญแห่งยุค เรียกได้ว่าพล็อตเรื่องเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว
และเมื่อสืบหาสาเหตุก็เป็นเพราะตัวนางโม่เซี่ยวเหนียงที่ทำให้คู่จิ้น ‘สุยเซวียน’ ไม่สามารถเป็นไปได้
แม้โม่เซี่ยวเหนียงจะไม่ได้รู้สึกเสียดายที่พลาดการแต่งงานกับเซิ่งเซวียนไป แต่ก็อดกังวลไม่ได้ว่าการที่เซิ่งเซวียนเอนเอียงไปทางเซียวเยวี่ยเหอจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อฮั่วสุยเฟิง
สำคัญที่สุดคือหากฮั่วสุยเฟิงเป็นคนเดียวกับที่นางคาดเดาไว้ว่าจะเป็น ‘เขา’ จริงๆ จากความเข้าใจเพียงผิวเผินต่อบทละครเรื่องนี้ เขาจะรับมือกับคู่จิ้น ‘เซวียนเยวี่ย’ ซึ่งเป็นการจับคู่ของพระรองสุดแกร่งที่เป็นคนในพื้นที่คู่นี้ได้อย่างไร
ความกังวลนี้เหมือนต้นหญ้าที่ลุกลามไปทั่ว เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงกลับถึงเรือนและมองจวิ้นอ๋องน้อยที่กำลังนั่งชมเปลเด็กใต้ซุ้มองุ่นอยู่ สายตานั้นก็เผยให้เห็นความเร่งร้อนหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่ได้ดั่งใจ
ทุกคนล้วนพยายามก้าวหน้า มีแต่เจ้าที่เอาแต่จดจ่ออยู่กับการเป็นบิดา! ตั้งใจหน่อยเถิด! เพื่อนนักเรียนฮั่ว!
ฮั่วสุยเฟิงกอดอกมองผลงานที่เขาทำเสร็จด้วยความภาคภูมิใจ จู่ๆ ก็พบว่าโม่เซี่ยวเหนียงยืนอยู่ด้านหลังตนราวกับวิญญาณ ในดวงตาโตเต็มไปด้วยความขมขื่นจนทำให้เขารู้สึกงุนงงขึ้นมาทันที
เขาจึงเอื้อมมือดึงนางมาสวมกอดไว้พร้อมพูดว่า “กลับมาแล้วไม่พูดอะไร ยืนมองอะไรอยู่หรือ”
โม่เซี่ยวเหนียงคิดว่าไม่ว่าอย่างไรนางก็ต้องเตือนฮั่วสุยเฟิงให้ระวังตัวก่อน จึงบอกเล่าเรื่องที่เซิ่งเซวียนไปอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเซียวเยวี่ยเหอให้เขาฟัง
ทว่าฮั่วสุยเฟิงกลับไม่มีสีหน้าประหลาดใจ เพียงตอบเสียงเรียบว่า “ได้ยินว่าเซิ่งเซวียนเป็นดั่งจางเหลียง* โชคชะตานำพาให้ได้รับตำราจากผู้อาวุโส เขามุ่งมั่นศึกษาจนใช้ประโยชน์ได้ จึงสามารถช่วยต้าฉินสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ คาดว่าอนาคตคงรุ่งเรืองสดใส หากตอนนั้นเจ้าแต่งงานกับเขา ป่านนี้คงสุขสบาย มีชีวิตรุ่งโรจน์ไปแล้ว…”
โม่เซี่ยวเหนียงรู้ดีว่าสามีของนางเป็นคนใจแคบ เพราะเขาเคยลักลอบอ่านจดหมายรักระหว่างนางกับเซิ่งเซวียนที่เคยส่งถึงกันในอดีต และมักแสดงความอิจฉาออกมาให้เห็นเป็นประจำ
หากเป็นในยามปกติโม่เซี่ยวเหนียงคงไม่ถือสาและพูดปลอบโยนเขาด้วยถ้อยคำที่อ่อนโยน แต่คราวนี้เมื่อเห็นว่าเขายังคงจับใจความสำคัญไม่ได้ นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโมโหจริงๆ
ทุกคนต่างมุ่งมั่นที่จะก้าวหน้า มีแต่เจ้าที่จมอยู่แต่กับความหึงหวง! มีสติหน่อยเถิด ฮั่วสุยเฟิง!
คิดได้ดังนั้นนางก็คร้านที่จะพูดอะไรอีก หันกายอุ้มท้องกลับห้องเตรียมไปกินผลไม้
แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวฮั่วสุยเฟิงก็ไล่ตามมาทัน เขาโอบเอวของนางไว้แล้วบอกว่า “แค่พูดล้อเล่นเท่านั้นเอง เจ้าก็ทำแง่งอนไปได้ หากลูกเกิดมาหน้าบึ้งตึงเช่นเจ้า เจ้าจะทำอย่างไร”
โม่เซี่ยวเหนียงแค่นเสียงเย็นชา “หากเจ้าคิดว่าข้าแง่งอนก็ไปหาน้องสาวที่อ่อนหวานกว่านี้เถิด อย่างเช่น…” นางตั้งใจจะพูดถึงสตรีในฮาเร็มของฮั่วสุยเฟิงเพื่อยกตัวอย่าง แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ฮั่วสุยเฟิงกลับไม่มีคู่ครองที่มีความสัมพันธ์คลุมเครือเลยสักคน!
จะพูดถึงฉู่เฉียวอี ตอนนี้ฮั่วสุยเฟิงก็นับว่าเป็นพี่เขยของอีกฝ่าย
จะพูดถึงโม่อิ๋งถิงก็ไม่เหมาะ เพราะนางเป็นนางกำนัลข้างกายเสี่ยนเหรินไทเฮา
จะพูดถึงกงซุนฉินหรือเจิ้งหวั่นเซี่ยนจู่ จุดจบของหญิงงามทั้งสองก็ล้วนน่าเศร้า
สรุปว่าคนที่แต่งกับคนอื่นไปแล้วก็ไม่ควรไปทำลายชื่อเสียง คนที่เหลือก็ล้วนไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึง
ฮาเร็มของพระเอกแนวแจ็ค ซู พังทลายจนหมดสิ้น ไม่มีใครให้หยิบยกมาเป็นเป้าโจมตีได้เลยสักคน!
เมื่อตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้ว ฮั่วสุยเฟิงบริสุทธิ์ไร้ตำหนิราวกับดอกบัวบนภูเขาหิมะ ตรงข้ามกับนางที่เคยมีมลทินเรื่องหมั้นหมายและส่งจดหมายรักกับผู้อื่น ถูกลิขิตให้อยู่อย่างไร้เกียรติไร้ศักดิ์ศรีเมื่ออยู่ต่อหน้าสามีไปชั่วชีวิต
เมื่อคิดเช่นนี้โม่เซี่ยวเหนียงก็รู้สึกว่าความมั่นใจลดลงทันที นางกัดริมฝีปากเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “ต่อไปหากเจ้าพูดเรื่องนี้อีกข้าจะไม่คุยกับเจ้า จะได้ไม่ถูกเจ้าหาว่าข้าเป็นคนแง่งอน”
ฮั่วสุยเฟิงยิ้มก่อนจะจูบแก้มพองๆ ของนางแล้วว่า “ตอนนี้ที่โม่เป่ยมีแต่ยุงและแมลงวันน่ารำคาญ เอาไว้พวกมันไปกันหมดแล้วพวกเราจะได้อยู่กันอย่างสงบสุขเสียที”
เมื่อได้ยินฮั่วสุยเฟิงพูดเช่นนี้ โม่เซี่ยวเหนียงก็คิดถึงเจตนาแอบแฝงของเสี่ยนเหรินไทเฮาที่เรียกครอบครัวสกุลฉู่ไปร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ นางจึงเอ่ยขึ้น
“ที่ไทเฮาทรงเรียกท่านพ่อกับข้าเข้าวังวันนี้เพราะต้องการให้เจ้าขัดขวางมิให้ราชสำนักย้ายไปยังลั่วหยาง…”
ฮั่วสุยเฟิงจูงนางเข้าห้อง ให้นางพักผ่อนบนตั่งนุ่ม ก่อนรับป้านชาจื่อซาจากหานเยียนมาดื่มคำหนึ่ง แล้วพูดขึ้น
“ข้าจะขัดขวางไปเพื่ออันใด ในเมื่อเซียวเยวี่ยเหอตั้งใจแน่วแน่ที่จะกอบกู้สถานการณ์อย่างสุดกำลัง จงรักภักดีต่อต้าฉินอย่างเต็มที่ หยุดยั้งสงคราม เช่นนั้นก็ควรให้โอกาสขุนนางเซียวได้สร้างคุณงามความดี”
โม่เซี่ยวเหนียงเงียบไป นางไม่อาจพูดตรงๆ ได้ว่านี่คือโอกาสสำคัญที่เขาจะได้สร้างผลงานเช่นกัน! ในนิยายต้นฉบับเซียวเยวี่ยเหอและฮั่วสุยเฟิงต่างยกหุ่นเชิดขึ้นเป็นฮ่องเต้ ใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในบ้านเมือง ต่างคนต่างต่อสู้เพื่อให้ได้ครองแผ่นดิน สุดท้ายทั้งสองก็เผชิญหน้ากัน ฮั่วสุยเฟิงที่เหนือชั้นกว่าได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดในคราวเดียว
แผนแย่งชิงอำนาจตลอดเส้นทางนี้ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน บทบาทตัวละครพลิกผันได้อย่างน่าดู แต่ฮั่วสุยเฟิงในตอนนี้กลับเหมือนต้องการเป็นเพียงท่านอ๋องท้องถิ่นอยู่ที่โม่เป่ย เฉยชาต่อความขัดแย้งของจงหยวนถึงขั้นสุด ไม่มีแม้กระทั่งความทะเยอทะยานที่จะประกาศตั้งตนเป็นฮ่องเต้
แล้วโม่เซี่ยวเหนียงจะพูดอะไรได้ ยิ่งไปกว่านั้นนางเองก็ไม่ได้ใฝ่ฝันจะเป็นฮองเฮาเช่นกัน ตอนที่นางเพิ่งมาถึงโลกนี้ สิ่งที่หวังเพียงอย่างเดียวคือต้องการหลีกเลี่ยงจุดจบที่น่าอนาถ ตอนนี้นางแค่ต้องการทำความฝันที่จะเป็นมารดาให้สำเร็จ จากนั้นก็เอาศีรษะมุดเข้าไปในกองทราย แสร้งทำไม่รู้ไม่เห็นต่อเรื่องที่อยู่รอบกาย
พูดง่ายๆ เพียงประโยคเดียวก็คือแค่ใช้ชีวิตเล็กๆ ของตนเองให้ดีก็พอ
ดังนั้นในเมื่อฮั่วสุยเฟิงไม่มีความตั้งใจที่จะเข้าร่วมศึกชิงบัลลังก์ของจงหยวน นางก็ไม่ต้องการโบกธงผลักดันให้กำลังใจเขาเช่นกัน แต่หากสกุลเซียวได้รับชะตาของฮั่วสุยเฟิงไปแทนจริงๆ และได้ครอบครองจงหยวนในภายหน้า ด้วยความทะเยอทะยานของเซียวเยวี่ยเหอแล้ว เขาจะปล่อยให้ฮั่วสุยเฟิงมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือ
ฮั่วสุยเฟิงเหมือนจะอ่านความกังวลของโม่เซี่ยวเหนียงออก เขาวางป้านชาลง ก่อนเริ่มปอกส้มให้นางแล้วเอ่ยขึ้น
“วางใจเถิด ข้ารู้ดีว่าต้องทำอะไร เจ้าทำในสิ่งที่ชอบไปก็พอ ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าต้องอยู่อย่างลำบากแน่นอน…”
จากนั้นฮั่วสุยเฟิงก็บอกความตั้งใจนี้แก่พ่อตาฉู่เซิ่น ซึ่งฉู่เซิ่นผู้ที่รีบร้อนจะกลับบ้านเกิดไปเลี้ยงหมูอยู่แล้วก็รู้สึกชื่นชมบุตรเขยที่ยังคงสงบนิ่ง แม้จะมีกลยุทธ์และอำนาจอยู่ในมือก็ตาม
ตามหลักแล้วฮั่วสุยเฟิงมีโอกาสที่จะใช้อำนาจฮ่องเต้สั่งการขุนนาง แต่เขากลับไม่มีความคิดที่จะขัดขวางการจากไปของฮ่องเต้วัยเยาว์ ยังคงยึดมั่นในหน้าที่ขุนนางอย่างน่าชื่นชมสรรเสริญ
ในทางกลับกันสกุลเซียวที่เร่งเร้าให้ฮ่องเต้วัยเยาว์และเสี่ยนเหรินไทเฮาแสดงจุดยืนกลับดูรีบร้อนจนเกินงาม
ในบรรดาขุนนางอาวุโสในราชสำนักยามนี้ ส่วนใหญ่ได้รับการแต่งตั้งจากอดีตฮ่องเต้ซึ่งให้ความสำคัญกับคุณธรรมประจำตน ดังนั้นขุนนางเหล่านี้จึงมีแนวทางการปฏิบัติที่ยึดมั่นในจริยธรรม ใครเล่าจะโง่เง่าหรือมองไม่ออกว่าการที่สกุลเซียวรีบร้อนอยากให้ราชสำนักย้ายไปลั่วหยางนั้นเพราะหวังผลประโยชน์ส่วนตัว
หลังจากเสี่ยนเหรินไทเฮาพาฮ่องเต้วัยเยาว์ไปคร่ำครวญหน้าป้ายวิญญาณของอดีตฮ่องเต้ก็มีคนในกลุ่มขุนนางอาวุโสอดไม่ได้ที่จะกล่าวโทษสกุลเซียวในท้องพระโรงว่าเป็นพวกใจโหดเหี้ยมทะเยอทะยาน
ว่ากันว่าเมื่ออยู่ในอารมณ์โกรธก็ยิ่งหลุดปากพูดโดยไม่ทันไตร่ตรอง วันนั้นในท้องพระโรงจึงทะเลาะกันวุ่นวายใหญ่โต ด่าทอหยาบคายราวกับอยู่ในตลาด สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ลงไม้ลงมือกัน ชาติกำเนิดการอบรมใดๆ ล้วนถูกโยนทิ้งไว้ด้านข้าง เซียวเยวี่ยเหอใช้ไม้เท้าของเขาฟาดศีรษะขุนนางอาวุโสจนเลือดอาบ
ฮ่องเต้วัยเยาว์ไม่สามารถข่มขวัญและควบคุมขุนนางได้ นั่งอยู่บนบัลลังก์ก็เอาแต่ถอยหลัง ขณะที่เสี่ยนเหรินไทเฮาซึ่งเป็นสตรีเพียงคนเดียวในที่นั้นก็ตะโกนสั่งหยุดจากหลังม่าน แต่กลับไม่มีใครยอมฟัง
ขุนนางที่วางตัวเป็นกลางอย่างฉู่เซิ่นจำเป็นต้องก้าวออกมาห้ามปราม รองเท้าขุนนางและหมวกขุนนางกระจัดกระจายไปทั่ว
การวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังของเหล่าขุนนางในตอนนี้ ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องที่ไม่ได้แสดงจุดยืนในเหตุการณ์ใดๆ กลับได้รับเสียงชื่นชมในหมู่ขุนนางเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แม้จวิ้นอ๋องผู้นี้จะตระหนี่ถี่เหนียวไปสักหน่อย ทำให้ขุนนางทั้งราชสำนักต้องกินหัวไช้เท้ากันมานานกว่าหนึ่งเดือน แต่ในเรื่องสำคัญเขายังยึดมั่นในขอบเขตที่ขุนนางพึงมี ไม่เหมือนคนสกุลเซียวที่เพิ่งกุมอำนาจทางการทหารก็เพ้อฝันอยากควบคุมราชวงศ์ บีบบังคับจนเสี่ยนเหรินไทเฮาต้องไปร้องไห้หน้าป้ายวิญญาณของอดีตฮ่องเต้
หลังจากลงไม้ลงมือกันในท้องพระโรง คืนนั้นนายท่านผู้เฒ่าสกุลเซียวก็เรียกบุตรชายและหลานชายมาตำหนิ
โดยเฉพาะเซียวเยวี่ยเหอ เขาว่ากล่าวอย่างรุนแรงว่า “บิดาเจ้ามองการณ์ตื้นเขินมาโดยตลอด แล้วเหตุใดเจ้าถึงโง่เง่าตามเขาไปด้วย แม้ตอนนี้อำนาจทางการทหารจะอยู่ในมือสกุลเซียวเรา แต่แนวหน้าก็เสียหายอย่างหนัก แม้จะขับไล่ชนเผ่าป่าเถื่อนออกไปได้ในตอนนี้ แต่ก็ใช่ว่าจะรักษาแผ่นดินให้มั่นคงได้ ในเมื่อไทเฮาไม่ทรงยินยอมก็ปล่อยให้นางและฮ่องเต้ประทับอยู่ที่โม่เป่ยไป เหตุใดต้องรีบร้อนจนเปิดโอกาสให้คนครหาได้”
ยามนี้เซียวเซิงมีแต่ความหงุดหงิดรำคาญใจ เพราะศึกในท้องพระโรงวันนี้เขาถูกชกเบ้าตา ใบหน้าก็ฟกช้ำไปครึ่งหนึ่ง จึงประคบถุงน้ำแข็งไปพลางพูดไปพลาง
“ข้าคิดว่าหากพาฮ่องเต้และไทเฮาเสด็จกลับลั่วหยางได้ ฮั่วสุยเฟิงจะต้องคัดค้านอย่างแน่นอน เขาต้อนรับเสด็จอย่างหยิ่งยโสเหลือเกิน ชื่อเสียงย่ำแย่ในหมู่ขุนนางอยู่แล้ว หากเขาขัดพระราชประสงค์ของฝ่าบาทจะต้องถูกเหล่าขุนนางตักเตือน เมื่อถึงตอนนั้นพวกเรารับเสด็จกลับลั่วหยางก็จะเป็นการขจัดความทะเยอทะยานของข้าราชบริพารภายนอกอย่างฮั่วสุยเฟิง แต่ใครจะไปคิดว่า…”
เซียวเหยี่ยนรู้ดีว่าคำพูดที่บุตรชายไม่ได้กล่าวออกมานั้นหมายถึงอะไร ใครจะไปคิดว่าฮั่วสุยเฟิงจะคล้ายพ่อตาของเขา ไม่มีความปรารถนาและไม่ต้องการสิ่งใด อีกทั้งไม่มีท่าทีจะขัดขวางเรื่องที่สามารถเปลี่ยนชะตากรรมของแผ่นดินได้
กระทั่งยังมีบางคนเดินทางไปที่จวนโม่เป่ยอ๋องด้วยตนเอง ตอนที่เกลี้ยกล่อมให้จวิ้นอ๋องน้อยรั้งราชวงศ์ไว้ เขากลับพาผู้ที่มาไปชมคอกหมูที่พ่อตาของเขาเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ในจวนโม่เป่ยอ๋อง ทั้งยังสัญญาว่าในช่วงปีใหม่จะนำเนื้อหมูมาแบ่งปันให้เหล่าสหายร่วมงานทุกคนชิมกัน
ท่านอ๋องที่เดิมทีควรต่อต้านสกุลเซียวกลับใช้ชีวิตเรียบเรื่อยเช่นคนในชนบท เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้สกุลเซียวดูรีบร้อนขึ้นหรือ
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ไม่ได้เป็นเพราะบุตรชายและหลานชายของตนมองการณ์ตื้นเขิน แต่เป็นเพราะฮั่วสุยเฟิงช่างเกินความคาดหมาย แม้จะมีอำนาจฮ่องเต้อยู่ในมือ แต่กลับไม่รู้จักใช้ประโยชน์ ทำให้ผู้คนคาดเดาความคิดเขาไม่ถูก
ในสถานการณ์ที่ขี่อยู่บนหลังเสือเช่นในยามนี้ ในเมื่อสกุลเซียวลงมือแล้วก็ต้องกัดฟันเดินหน้าต่อไป มิฉะนั้นเหล่าขุนนางที่พึ่งพาสกุลเซียวอาจมองว่าสกุลเซียวอ่อนแอ ไม่คู่ควรแก่การติดตามก็เป็นได้
หลังจากที่มีการถกเถียงในท้องพระโรงมาหลายครั้ง เซียวเหยี่ยนก็ใช้ไม้เท้ายาวหัวนกที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานมาเข้าเฝ้าด้วยตนเองและขอคำแนะนำจากเสี่ยนเหรินไทเฮา กล่าวถึงบุตรหลานสกุลเซียวที่สร้างผลงานเพื่อแว่นแคว้นมาทุกยุคสมัยด้วยน้ำตานองหน้า แสดงความจงรักภักดีต่อราชวงศ์อย่างสุดซึ้ง ขณะเดียวกันก็อธิบายถึงปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นซึ่งอาจทำให้จิตใจของราษฎรสั่นคลอนหากราชวงศ์ไม่ได้อยู่ที่จงหยวนนาน
สุดท้ายขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่าขิงอ่อน คำกล่าวของนายท่านผู้เฒ่าสกุลเซียวทำให้ผู้ฟังน้ำตาซึม
และท้ายที่สุดฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องผู้ไม่แสดงจุดยืนมาโดยตลอดก็รู้สึกซาบซึ้งจนเอ่ยปาก สั่งให้นำแผนที่มาให้เสี่ยนเหรินไทเฮาและเหล่าขุนนางดู พร้อมกล่าวว่าคำพูดของนายท่านผู้เฒ่าสกุลเซียวถูกต้องอย่างยิ่ง และฮ่องเต้วัยเยาว์ควรกลับจงหยวนเพื่อสร้างความมั่นคงให้ขวัญกำลังใจของทหาร
อย่างไรก็ตามรอบด้านลั่วหยางนั้นว่างเปล่าเกินไป หากสงครามมีการเปลี่ยนแปลง เมื่อใดที่ถูกโจมตีเกรงว่าคงยากที่จะตั้งรับได้ มิสู้ย้ายไปยังเมืองเฟิ่งจะปลอดภัยกว่า
เมืองเฟิ่งนั้นเป็นบ้านเกิดของโม่เซี่ยวเหนียง ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องเข้าด่านก่อน และมีภูเขาหลายลูกกั้นขวางจากโม่เป่ย
พูดตามตรงหากตอนที่สกุลเซียวเริ่มเสนอเรื่องการย้ายราชสำนักแล้วฮั่วสุยเฟิงยื่นข้อเสนอนี้ออกมาในเวลานั้น เขาคงถูกโยนความผิดให้พร้อมถูกใส่ร้ายป้ายสีว่าไม่ยอมปล่อยให้ราชสำนักไปอยู่ไกล มีใจคิดร้ายทะเยอทะยานและมีเจตนาแอบแฝง
แต่ตอนนี้เหล่าขุนนางในราชสำนักต่างถกเถียงกันไปแล้ว สู้ก็สู้กันไปแล้ว ไม่มีใครเหลือเรี่ยวแรงแล้ว
จิตใจที่บริสุทธิ์และมีความปรารถนาเพียงน้อยนิด อีกทั้งไม่แยแสต่ออำนาจของท่านอ๋องผู้นี้เป็นที่ประจักษ์ของเหล่าขุนนางเช่นกัน ช่างยากเย็นยิ่งนักกว่าจวิ้นอ๋องจะเลิกพูดเรื่องเลี้ยงหมูเชือดหมูแล้วพูดเรื่องจริงจังเสียที เหล่าขุนนางทั้งหลายจึงพากันใคร่ครวญถึงคำแนะนำของเขาอย่างตั้งใจและพยักหน้าเห็นด้วย
แต่เซียวเยวี่ยเหอกลับขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะมองแผนที่
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่เขารู้ดีว่าฮั่วสุยเฟิงทำอะไรไว้บ้างในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในโม่เป่ย อ้างว่าเปิดเส้นทางน้ำให้กับศิษย์พี่หญิงของเขา แต่แท้จริงแล้วขุดแม่น้ำที่เชื่อมกับเส้นทางทะเลในพื้นที่ของโม่เป่ยที่ไม่ได้อยู่ติดทะเล
แม้เมืองเฟิ่งจะไม่ได้อยู่ในโม่เป่ย แต่หากกองทัพของฮั่วสุยเฟิงใช้แม่น้ำภายในที่ขุดเชื่อมจากโม่เป่ยก็จะเดินทางอ้อมผ่านทางทะเลและไปถึงเมืองเฟิ่งได้ภายในวันเดียว
เช่นนี้ราชวงศ์…มิเท่ากับว่ายังอยู่ในกำมือของฮั่วสุยเฟิงหรือ
บุรุษผู้นี้ทำเป็นไม่สนใจโลกภายนอก แต่กลับลอบใช้เล่ห์เหลี่ยมในเวลานี้!
ทว่าคำพูดเหล่านี้เขาไม่อาจพูดออกมาตรงๆ ในท้องพระโรงได้ เพราะในช่วงนี้ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องไม่เคยพูดรั้งให้ราชวงศ์อยู่ที่นี่แม้แต่คำเดียว
หากเขาพูดออกไปตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการใส่ร้ายป้ายสีผู้จงรักภักดี และเปิดเผยว่าสกุลเซียวต่างหากที่มีจิตคิดร้ายอยากควบคุมฮ่องเต้วัยเยาว์
ท้ายที่สุดเสี่ยนเหรินไทเฮาก็เอ่ยปากยอมรับคำแนะนำของฮั่วสุยเฟิง ราชสำนักจะย้ายกลับเข้าไปในด่านและตั้งหลักอยู่ที่เมืองเฟิ่งชั่วคราว รอจนกระทั่งสถานการณ์ในจงหยวนสงบลงแล้วค่อยกลับเมืองหลวง
จวิ้นอ๋องน้อยซึ่งทำให้ข้อขัดแย้งในราชสำนักยุติลงในช่วงเวลาสำคัญได้รับคำชื่นชมจากเหล่าขุนนางว่า “สมแล้วที่เป็นท่านอ๋องแห่งชายแดนที่ได้รับการยกย่องจากอดีตฮ่องเต้ ไม่สนใจลาภยศชื่อเสียง ทั้งยังจงรักภักดีต่อราชวงศ์ สมควรเป็นกระดูกสันหลังของต้าฉิน!”
เพื่อยกย่องสามีผู้เก่งกาจ โม่เซี่ยวเหนียงจึงตั้งใจสั่งให้ครัวทำกระดูกตุ๋นหม้อใหญ่ เพื่อใช้กระดูกบำรุงกระดูก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 9 ก.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.