X
    Categories: ทดลองอ่านฟูมฟักจอมราชันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 135-136

หน้าที่แล้ว1 of 8

บทที่ 135

โม่เป่ยอยู่ติดกับดินแดนทางทิศตะวันตก มีขบวนพ่อค้าต่างๆ ผ่านไปมามากมาย เครื่องเทศจึงมีครบครัน ดังนั้นกระดูกตุ๋นน้ำปรุงรสจึงอร่อยอย่างยิ่ง รสชาติกลมกล่อมพอดี อีกทั้งภายนอกยังมีมันสีแดงสดเคลือบอยู่ด้านบน

หานเยียนนำหลอดเงินสองหลอดมาให้เจ้านายใช้ดูดไขกระดูก เพื่อแก้เลี่ยนห้องครัวยังจัดผักสดตามฤดูกาลมาหั่นฝอย ราดด้วยน้ำราดงารสเค็ม นอกจากนี้ยังมีหมั่นโถวแป้งเกาลัดร้อนๆ ลูกเล็กๆ สองเข่ง ซึ่งไส้ข้างในเป็นไส้พุทราแดงที่โม่เซี่ยวเหนียงชอบ กินคู่กับน้ำแกงไข่น้ำฟักเขียวเคี่ยวกับกุ้งแดง

หลังปรนนิบัติกระดูกสันหลังของต้าฉินให้กินกระดูกแล้ว โม่เซี่ยวเหนียงก็ค่อยๆ กินทีละคำอย่างเอร็ดอร่อย

อาจเพราะทารกในครรภ์เริ่มเติบโตขึ้น โม่เซี่ยวเหนียงจึงยิ่งกินเก่ง แต่พอกินหมั่นโถวไปได้ครึ่งเข่งฮั่วสุยเฟิงก็ยกจานออกไป

“กินต่อไม่ได้แล้ว หลายวันก่อนหมอกำชับไว้ว่าหากช่วงเดือนท้ายๆ ของการตั้งครรภ์กินมากเกินไป ทารกจะตัวใหญ่ ทำให้คลอดยาก” ฮั่วสุยเฟิงมองโม่เซี่ยวเหนียงที่ยังอยากแทะกระดูกพลางเกลี้ยกล่อมอย่างอ่อนโยน

ในสังคมโบราณไม่มีการผ่าคลอดและไม่มีการระงับอาการปวดระหว่างคลอด ดังนั้นการคลอดบุตรจึงเปรียบเสมือนการผ่านประตูผี

เมื่อฮั่วสุยเฟิงพูดเช่นนี้ โม่เซี่ยวเหนียงจึงหยุดกินทั้งที่ยังไม่สาแก่ใจ ปล่อยให้เขาใช้ฝักเจ้าเจี่ยวและน้ำอุ่นล้างมือให้ จากนั้นก็ตามฮั่วสุยเฟิงไปเดินเล่นที่สวนในจวนเพื่อช่วยย่อยอาหาร

 

เมื่อเทียบกับขุนนางคนอื่นที่แตกตื่นวุ่นวายจนบ้านแทบแตกแล้ว ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องดูเหมือนจะว่างจนแทบไม่มีอะไรทำ

แม้ช่วงนี้ราชวงศ์และเหล่าขุนนางจะวุ่นวายกับการย้ายเมืองหลวงไปยังเมืองเฟิ่ง แต่เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับฮั่วสุยเฟิงมากนัก

เพราะมีขุนนางสกุลเซียวที่เก่งกาจทั้งบ้าน เขาผู้เป็นขุนนางชายแดนจึงไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวจนเป็นการแย่งผลงานของสกุลเซียว

ทว่าการย้ายเมืองหลวงต้องใช้เงิน แม้เซียวเยวี่ยเหอไม่อยากให้ฮั่วสุยเฟิงโดดเด่น แต่ก็หวังว่าเขาจะยอมควักเงินเพื่อแสดงความจงรักภักดี

เช้านี้เซียวเยวี่ยเหอพาขุนนางอาวุโสสี่ห้าคนมาที่จวนโม่เป่ยอ๋องอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน และนั่งอยู่เกือบครึ่งค่อนวัน

โม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้ออกมาปรากฏตัว แต่ได้ยินจากบ่าวไพร่ที่คอยรับใช้ในห้องโถงด้านหน้าว่าที่ปรึกษาสกุลเซิ่งที่เซียวเยวี่ยเหอพามาด้วยนั้นร้ายกาจยิ่ง อ้างตำราพูดจาอย่างมีหลักการ ทำเหมือนว่าหากจวิ้นอ๋องไม่ควักเงินก็เท่ากับเป็นคนเลวที่ไม่เคารพฮ่องเต้

แต่จวิ้นอ๋องกลับไม่พูดอะไรทั้งสิ้น และไม่เรียกบ่าวไพร่ให้ยกชามาด้วย ปล่อยให้ที่ปรึกษาและเหล่าขุนนางอาวุโสพูดจนคอแห้ง จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมของตนออก เผยให้เห็นเสื้อด้านในเก่าๆ ที่โม่เซี่ยวเหนียงเคยเย็บซ่อมแซมให้ช่วงสงคราม ซึ่งบริเวณรักแร้ที่ขาดไปนั้นยังมีรอยปะชุนอยู่ด้วย

จวิ้นอ๋องกล่าวขึ้นราวกับติดอยู่ในห้วงทะเลแห่งความทุกข์ที่กว้างใหญ่จนกลับฝั่งไม่ได้ เขากล่าวว่าโม่เป่ยต้องเผชิญสงครามติดต่อกันมาหลายปี เบี้ยหวัดทหารก็ต้องอาศัยสตรีในบ้านตนประหยัดอดออมคิดคำนวณให้ เสื้อผ้าชุดนี้ก็เป็นชุดที่ภรรยาของเขาเย็บแก้ให้ใหม่ด้วยตนเอง และเขาก็สวมใส่เช่นนี้มาโดยตลอด

ราชวงศ์ลี้ภัยมายังโม่เป่ย การซ่อมแซมจวนทุกแห่งและการจัดหาที่อยู่ให้ชนชั้นสูงทั้งหลายนั้นล้วนต้องใช้เงินของเขาเอง ทั้งโม่เป่ยในตอนนี้ถูกขูดรีดจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว แม้แต่จวิ้นอ๋องผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขายังต้องใส่เสื้อที่มีรอยปะชุน แล้วชาวบ้านธรรมดาจะไปเหลืออะไร

สุดท้ายฮั่วสุยเฟิงก็กล่าวว่า “แม้ขุนนางและราษฎรของโม่เป่ยจะมีใจจงรักภักดีต่อฮ่องเต้ แต่ก็อุทิศตนทำงานอย่างถึงที่สุดแล้ว ไม่สามารถหาเงินมาได้เพียงพอ ขอให้พวกท่านทั้งหลายไปหาเงินกันที่อื่นเถิด”

เพราะเหล่าขุนนางกลุ่มนี้ถูกเซียวเยวี่ยเหอเรียกรวมตัวหลังประชุมเช้าจนไม่มีใครได้ทันเตรียมตัว จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าจวิ้นอ๋องจงใจใส่เสื้อผ้าเก่าแสร้งทำตัวน่าสงสาร อีกทั้งเรื่องที่เสื้อผ้าของเขาฉีกขาดระหว่างอยู่ในค่ายทหารก็เป็นที่รับรู้กันทั่วในราษฎรท้องถิ่น ชายาจวิ้นอ๋องเองก็ใช้ชีวิตอย่างตระหนี่ถี่เหนียวจนเหล่าสตรีในเมืองแย่งกันเลียนแบบ

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจบีบบังคับให้ครอบครัวที่ตกอับต้องเสียสละได้อีก!

อย่างไรก็ตามที่ปรึกษาสกุลเซิ่งของเซียวเยวี่ยเหอกลับนำสมุดบัญชีเล่มหนึ่งออกมาอย่างไม่รีบร้อน ในนั้นมีบันทึกการติดต่อทางการเงินระหว่างจวนโม่เป่ยอ๋องกับกองเรือของสกุลหง จากบันทึกนี้แสดงให้เห็นว่าจวนโม่เป่ยอ๋องไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินทอง ทั้งยังร่ำรวยถึงขั้นเทียบเท่าความมั่งคั่งของทั้งแคว้นได้

บรรดาขุนนางทั้งหลายอดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาและเริ่มพูดจาเหน็บแนม

ฮั่วสุยเฟิงกลับตอบด้วยน้ำเสียงประชดประชันว่า “ที่ปรึกษาที่ใต้เท้าเซียวเชิญมาผู้นี้ช่างละเอียดถี่ถ้วนยิ่งนัก แม้แต่คนทำบัญชีของข้ายังบันทึกได้ไม่ชัดเจนเท่านี้ แต่ขอให้ท่านเซิ่งเข้าใจด้วยว่าข้าไม่เคยทำการค้า เพียงแต่ภรรยาเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ นางใช้สินเดิมของตนเองร่วมลงทุนทำกิจการร้านค้ากับสกุลหง นางจะได้กำไรหรือขาดทุนข้าไม่เคยยุ่งเกี่ยว ดูจากบัญชีของท่านเซิ่งแล้ว ภรรยาข้าคงได้กำไร แต่การริบสินเดิมของภรรยาและบุตรสาวนั้นข้าไม่อาจทำได้…ท่านเซิ่ง ดูจากลักษณะท่าทางของท่านแล้วคงมิใช่คนที่พึ่งพาสตรี ข้าขอแนะนำว่าต่อไปอย่าได้ทำเช่นนี้เด็ดขาด มิฉะนั้น…จะหาสตรีมาแต่งงานด้วยไม่ได้!”

ทันทีที่คำพูดนี้จบลงท่านเซิ่งที่ยังหนุ่มแน่นผู้นั้นกลับมีสีหน้าไม่สู้ดี มีคนในเล่าลือกันว่าเขายังไม่ได้แต่งงาน และเขาก็เหมือนจะมีอนุเพียงหนึ่งคน แต่ภายหลังนางหนีไปกับผู้อื่นแล้ว เขาจึงอยู่ตัวคนเดียวและไม่คิดจะแต่งภรรยาด้วย

หลังจากกล่าวเช่นนั้นฮั่วสุยเฟิงก็ไม่ไว้หน้าใครอีก พูดเพียงว่าจะกินอาหารแล้ว ที่จวนมีเพียงน้ำแกงหัวไช้เท้า จะไม่รั้งทุกคนไว้ ดังนั้นจึงไล่พวกเขาออกไปทั้งหมด

 

โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกว่าฮั่วสุยเฟิงทำตัวเหมือนคนตระหนี่ถี่เหนียว ตอนที่ทั้งสองเดินเล่นในลานบ้าน นางจึงกล่าวถึงเรื่องนี้

“แค่ขอเงินเท่านั้น จะให้มากให้น้อยพวกเราก็เป็นคนตัดสินใจเอง จะปล่อยให้ฮ่องเต้เสด็จโดยที่พวกเราไม่ให้เงินสักนิดได้อย่างไร ถึงอย่างไรก็ต้องให้ไปบ้าง ทุกคนจะได้มองพวกเราดีขึ้น…แล้วเสื้อตัวนั้นข้าบอกให้เจ้าทิ้งไปนานแล้ว เหตุใดเจ้ายังเอามาใส่อีก”

โม่เซี่ยวเหนียงเคยทำงานเป็นผู้จัดการดาราจนเคยชิน ทุกเรื่องต้องรักษาน้ำใจของทั้งสองฝ่ายไว้บ้าง เช่นนี้ในวันหน้าหากทำอะไรจะได้มีทางหนีทีไล่ให้ประนีประนอม

แต่ฮั่วสุยเฟิงกลับจ้องมองนางแล้วกล่าวว่า “เสื้อผ้าที่เจ้าทำเองกับมือข้าเคยทิ้งสักตัวหรือ โชคดีที่วันนี้ใส่มัน จึงทำตัวน่าสงสารได้พอดี หากไทเฮาทรงส่งคนมา ข้าย่อมต้องให้เกียรติ แต่วันนี้พวกที่มาตอนเช้ามันตัวอะไรกันเล่า ใครจะไปไว้หน้า!”

โม่เซี่ยวเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เห็นว่ากลุ่มคนที่มาขอเงินวันนี้จับคู่กันผิดจริงๆ เซียวเยวี่ยเหอกับฮั่วสุยเฟิงปกติคุยกันไม่ถูกคอ ไม่พูดกันมากกว่าครึ่งประโยค ส่วนเซิ่งเซวียนหากพูดตามตรงเขาเคยเป็นคนรักเก่าของนาง การที่ตั้งหน้าตั้งตามาขอเงินจากฮั่วสุยเฟิงผู้มีนิสัยชอบหึงหวงผู้นี้ หากได้เงินไปก็แปลกแล้ว

เสียแรงที่สองคนนี้เป็นคนฉลาดแท้ๆ แต่เหตุใดถึงทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้ได้

เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงถามถึงประเด็นนี้ ฮั่วสุยเฟิงกลับแค่นเสียงเย็นชาแล้วตอบว่า “การมาขอเงินนั้นเป็นข้ออ้าง ที่จริงแล้วมาหาคนต่างหาก พวกเขานำสมุดบัญชีนี้ออกมา ที่มีทั้งทรัพย์สินของจวนโม่เป่ยอ๋อง มีทั้งทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้า เดิมทีเพราะต้องการเผชิญหน้ากับเจ้า”

การตรวจสอบบัญชีเป็นงานที่ละเอียด หากโม่เซี่ยวเหนียงยอมออกมาก็คงต้องเสียเวลาโต้ตอบกับพวกเขาไม่ต่ำกว่าครึ่งค่อนวัน และดวงตาสุนัขสองคู่ก็คงจะได้เห็นคนในฝันที่หลบซ่อนอยู่ในจวนโม่เป่ยอ๋องสมใจ

พอคิดถึงตรงนี้ฮั่วสุยเฟิงก็รู้สึกโมโหขึ้นมา ภรรยาข้าท้องโตแล้วแท้ๆ แต่ยังดึงดูดผึ้งล่อผีเสื้ออยู่ รูปลักษณ์ที่ส่งเสริมความรักเช่นนี้ควรแก้อย่างไรดี

ทว่าโม่เซี่ยวเหนียงไม่คิดว่าพวกเขาทั้งสองมีเจตนาเช่นนั้น เพียงรู้สึกว่าฮั่วสุยเฟิงตระหนี่ถี่เหนียวและมีนิสัยชอบหึงหวงเท่านั้น

นางหัวเราะแล้วกล่าวว่า “ฮ่องเต้และไทเฮาทรงไม่มีเงินในตอนนี้ พวกเราต้องออกเงินช่วยก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เรื่องเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่ควรทำตัวโดดเด่นเกินไป หากเซียวเยวี่ยเหอยังยืนกรานจะคิดว่าจวนโม่เป่ยอ๋องเรามีเงินนัก ข้าก็จะนำสินเดิมของตนเองออกมา เพียงแต่เหล่าฮูหยินของบ้านอื่นๆ ก็ต้องตอบรับกันทุกคนด้วย ส่วนเซินหยางจวิ้นจู่ออกเงินเท่าไร ข้าก็จะออกเป็นสองเท่า แต่เงินนี้ต้องไม่ให้อยู่ในความดูแลของสกุลเซียว ต้องให้เจ้าทูลฝ่าบาทให้ทรงมอบหมายแก่ขุนนางอาวุโสที่น่าเชื่อถือของกรมอากรดูแล…”

เมื่อเป็นเช่นนี้คนยิ่งมากก็ยิ่งแข็งแกร่ง และไม่มีผู้ใดสามารถกล่าวได้ว่าฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องตระหนี่ถี่เหนียวไม่ยอมออกเงิน

ฮั่วสุยเฟิงโบกมือพลางกล่าว “สินเดิมเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าจะพอทำอะไรได้ เจ้าอยากออกเงินสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีเท่าไรก็เอาเงินส่วนกลางเติมเข้าไปก็แล้วกัน” ความจริงแล้วสมุดบัญชีที่เซียวเยวี่ยเหอนำมาส่วนใหญ่เป็นกิจการที่ฮั่วสุยเฟิงทำร่วมกับสกุลหงอย่างลับๆ จวิ้นอ๋องสกุลฮั่วแห่งโม่เป่ยร่ำรวยมั่งคั่งก็จริง แต่เขาก็ขึ้นชื่อว่าเป็นไก่เหล็กตัวหนึ่ง นอกจากภรรยาของเขาแล้วก็ไม่อยากจ่ายเงินให้ใครอื่น!

 

วันต่อมาฮั่วสุยเฟิงก็ทูลฮ่องเต้วัยเยาว์ไปเช่นนั้น เมื่อเขากล่าวออกไปแล้วเหล่าสตรีสูงศักดิ์ทั่วโม่เป่ยก็รวมกลุ่มแล้วกรูกันมาที่จวนโม่เป่ยอ๋องอีก

กลุ่มฮูหยินที่เป็นผู้นำทั้งหลายถามโม่เซี่ยวเหนียงอย่างไม่เกรงใจว่าเซี่ยนจู่ทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร เหตุใดถึงลากพวกนางเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างโจ่งแจ้ง ทั้งยังให้พวกนางออกเงินด้วย

ครั้งนี้โม่เซี่ยวเหนียงตั้งใจพาฉู่เฉียวอีออกมาต้อนรับเหล่าฮูหยินกลุ่มนี้ด้วย

ในที่สุดฉู่เฉียวอีก็ได้แสดงความสามารถของตนเอง นางเพียงเหลือบมองเว่ยฮูหยินหลานสาวของเซินหยางจวิ้นจู่แล้วกล่าวขึ้น

“เรื่องนี้คงต้องไปถามท่านป้าของเว่ยฮูหยินเอาเอง ราชสำนักขาดเงินก็เป็นเรื่องของเหล่าบุรุษ แต่เซียวเยวี่ยเหอบุตรชายท่านป้าของท่านกลับพาที่ปรึกษาจากจวนมาตั้งตารอตรวจสอบบัญชีสินเดิมของพี่สาวข้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนเสียจนดูเหมือนว่าหากไม่นำเงินเก็บส่วนตัวออกมาก็จะกลายเป็นคนอกตัญญูอย่างไรอย่างนั้น พี่สาวข้ายังตั้งครรภ์อยู่ บุตรยังไม่ทันคลอด เงินเก็บส่วนตัวที่จะใช้ตั้งหลักปักฐานในชีวิตก็ต้องถูกแบ่งไปกว่าครึ่ง! แล้วอย่างไรเล่า หรือทั่วทั้งโม่เป่ยมีเพียงพี่เขยข้าคนเดียวที่จงรักภักดีต่อบ้านเมือง แล้วฮูหยินทั้งหลายไม่คิดจะสนับสนุนให้สามีตนเองแสดงความจงรักภักดีอย่างเต็มที่บ้างหรือ”

จากนั้นโม่เซี่ยวเหนียงก็ไม่กล่าวอะไรแม้แต่คำเดียว ปล่อยให้ฉู่เฉียวอีพูดจาประชดประชันอย่างเจ็บแสบเยาะเย้ยสกุลเซียวจนเละเทะ มองคราเดียวก็รู้ว่ามีความคับแค้นสะสมอยู่ไม่น้อย

เวลานี้บรรดาฮูหยินคนอื่นๆ ก็เริ่มเข้าใจว่าที่แท้การบริจาคสินเดิมของสตรีนี้เป็นความคิดริเริ่มมาจากสกุลเซียว และด้วยคำพูดเยาะเย้ยเสียดสีที่จี้ใจดำของฉู่เฉียวอี กองทัพที่มารุมตำหนิจึงละอายใจไม่กล้าแม้แต่จะกินขนม ทุกคนพากันหันเหเป้าหมายไปยังสกุลเซียวแทน

 

พอเหล่าฮูหยินบุกมา เซินหยางจวิ้นจู่จึงต้องพาฉีซืออินลูกสะใภ้ออกมาปลอบใจบรรดาฮูหยินเพื่อระงับความไม่พอใจของพวกนาง เรื่องนี้ได้ผ่านการใคร่ครวญจากราชสำนักแล้ว ฮั่วสุยเฟิงยังบีบบังคับให้เซินหยางจวิ้นจู่ออกหน้า แม้นางจะเจ็บตัวแต่ก็จำต้องทำ ดังนั้นบรรดาฮูหยินจึงเริ่มปรึกษากันว่าจะบริจาคเงินเท่าไร ตกลงกันว่าทุกคนต้องอย่าทำตัวเป็นตระกูลร่ำรวย แค่ออกเงินเป็นจำนวนที่พอเหมาะพอควรเพื่อให้สามีของพวกนางยังคงรักษาหน้าตาไว้ได้ก็พอ

อย่างไรก็ตามมารดาของฉีซืออินเป็นมารดาเลี้ยง และทรัพย์สินส่วนตัวของนางก็มีไม่มาก จำนวนเงินที่นำมาบริจาคนั้นไม่น่าดูนัก ทำให้เซินหยางจวิ้นจู่ต้องช่วยเติมให้นาง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าเมื่อครู่ท่อนไม้ท่อนนี้เอาแต่ยืนฟังโดยไม่พูดอะไรเพื่อช่วยตนที่เป็นมารดาสามีเลยสักนิด ราวกับแค่กำลังฟังเรื่องตลกขบขัน ลูกสะใภ้เช่นนี้ไม่สามารถมัดใจบุตรชายของตนได้ ให้กำเนิดหลานก็ไม่ได้ ทั้งยังไม่มีทรัพย์สินมารักษาหน้าตาศักดิ์ศรีอีก ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก

เมื่อบรรดาฮูหยินจากไปแล้ว เซินหยางจวิ้นจู่ก็หาเรื่องตำหนิฉีซืออิน นางก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร รอเซินหยางจวิ้นจู่ระบายอารมณ์จนพอใจ ฉีซืออินก็กลับเรือนของตน

แต่ขณะที่เดินออกมาก็บังเอิญพบเซียวเยวี่ยเหอ นางเพียงก้มหน้าคารวะโดยไม่กล่าวอะไรกับสามีสักคำแล้วเดินจากไป เวลานี้ทั้งสองอยู่ในสภาพที่เรียกได้ว่าเคารพและให้เกียรติกันอย่างเย็นชา

เมื่อเซินหยางจวิ้นจู่เห็นเซียวเยวี่ยเหอผู้เป็นบุตรชายเข้ามา จึงถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “อยู่ดีไม่ว่าดี เหตุใดเจ้าต้องไปหาผลประโยชน์กับสกุลฮั่วด้วย ทำให้ฮูหยินทั้งเมืองมาพร่ำบ่นข้า แทบจะกินสตรีสกุลเซียวเราเพื่อระบายโทสะเสียให้ได้!”

เซียวเยวี่ยเหอรู้สถานการณ์ในจวนเมื่อตอนกลางวันแล้ว จึงกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ฮั่วสุยเฟิงนั่นร่วมมือกับพ่อค้าหาเงินเข้ากระเป๋า แต่กลับโยนเรื่องนี้ให้ภรรยา เขาเอาเรื่องสินเดิมของสตรีมาอ้างเพื่อเอาเงินจากฮูหยินทั้งเมือง เซี่ยวเหนียงแต่งงานกับคนไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ แล้วในอนาคตจะทำเช่นไร”

เซินหยางจวิ้นจู่โมโหจนขว้างเตาอุ่นในมือไปที่เท้าของเซียวเยวี่ยเหอ “ตื่นเสียทีเถิด! นางใกล้จะคลอดอยู่แล้ว เจ้ายังคิดถึงนางไปเพื่ออันใด มารดากับภรรยาเจ้าถูกขูดรีดทรัพย์สินไปแล้ว แต่เจ้ากลับสงสารนาง เดิมทีตอนลี้ภัยกันมาทรัพย์สินส่วนตัวที่แต่ละจวนนำมาด้วยก็มีไม่มากอยู่แล้ว ตอนนี้เจ้าก่อเรื่องขึ้นมาจนทุกจวนต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันหมด ความโกรธเคืองคงจะพุ่งไปถึงสวรรค์แล้ว! จวนโม่เป่ยอ๋องไม่ได้ตามไปถึงเมืองเฟิ่งย่อมไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้ใดไม่พอใจ แต่สกุลเซียวเรายังต้องเกี่ยวข้องกับเหล่าขุนนาง! วันหน้าข้าไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่ใดคงถูกคนมองด้วยสายตาเหยียดหยามเป็นแน่ แล้วต่อไปจะให้ข้าออกจากจวนอย่างไร”

เซียวเยวี่ยเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยเสียงเย็นชา “แค่ออกเงินเล็กน้อยเท่านั้น ท่านแม่คิดมากเกินไปแล้ว! รอให้สกุลเซียวเรายึดแผ่นดินคืนมาได้ เมื่อพวกนางได้ที่ดินและร้านค้ากลับคืนมาจะซาบซึ้งใจต่อสกุลเซียวเราไม่ทันเสียด้วยซ้ำ แล้วจะมองท่านแม่ด้วยสายตาเหยียดหยามได้อย่างไรเล่า”

เซินหยางจวิ้นจู่เหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงเพียงโบกมือให้บุตรชายออกไป

เวลานี้นางเริ่มรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้ให้เซียวเยวี่ยเหอแต่งงานกับคุณหนูใหญ่สกุลฉู่ เว่ยฮูหยินหลานสาวของนางมารายงานสถานการณ์ตอนที่โม่เซี่ยวเหนียงรับมือกับฮูหยินจวนต่างๆ เรียกว่าสงบนิ่งแม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ไม่ตื่นตระหนกลนลานแม้แต่น้อย เทียบกับฉีซืออินลูกสะใภ้ในเวลานี้ของนางแล้ว ฝ่ายนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมกว่ามาก

ตอนนั้นนึกว่าแม่นางผู้นี้เกิดจากภรรยานอกสมรส เมื่อข่าวอื้อฉาวถูกเปิดเผยออกไป บ้านสามีจะต้องถูกลากลงโคลนไปด้วยแน่นอน บุตรชายนางย่อมไม่ได้ผุดได้เกิดอีก

แต่คุณหนูใหญ่สกุลฉู่ผู้นี้วาสนาดี แม้เผชิญพายุคลื่นใหญ่ที่อาจพัดคนให้จมมิดสิ้นชีพหลายครั้งหลายครา แต่นางก็สามารถผ่านพ้นไปได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง อีกทั้งยังเป็นผู้เกื้อหนุนสามีและบิดาเลี้ยงอย่างแท้จริง ดูจากฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องที่เดิมทีเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้รากฐาน แต่ตอนนี้กลับยืนหยัดทัดเทียมสกุลเซียวได้แล้ว ช่างเหมือนเรื่องราวในงิ้วโดยแท้

ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว บุตรชายของนางยังคงมีแต่โม่เซี่ยวเหนียงอยู่เต็มหัวใจ ในห้องหนังสือก็ยังแขวนภาพเหมือนของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย ไม่อาจให้คนนอกได้เห็นจริงๆ หากตอนนั้นเซียวเยวี่ยเหอแต่งงานกับโม่เซี่ยวเหนียง สกุลเซียวคงมีหลานชายสายตรงวิ่งเล่นเต็มจวนไปแล้ว…

เมื่อคิดถึงฉีซืออินลูกสะใภ้ที่นับวันยิ่งพูดน้อยลงทุกที เซินหยางจวิ้นจู่ก็ยิ่งปวดศีรษะ คุณหนูตระกูลใหญ่จะมีประโยชน์อะไรในยุคสมัยที่วุ่นวายเช่นนี้ คล่องแคล่วและทำงานดีสู้สตรีธรรมดาที่เติบโตมาจากตลาดไม่ได้ด้วยซ้ำ!

 

ในที่สุดเหตุการณ์วุ่นวายเรื่องการบริจาคเงินก็ผ่านไปได้ด้วยดี ฮ่องเต้วัยเยาว์มีค่าเดินทางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สามารถเดินทางอย่างสมพระเกียรติได้แล้ว

ว่ากันว่าทางเมืองเฟิ่งไม่มีตำหนักแปรพระราชฐานที่เหมาะสมสำหรับฮ่องเต้วัยเยาว์ สกุลเซียวจึงต้องรับหน้าที่จัดเตรียมทุกอย่าง แต่โชคดีที่จิ้งอ๋องเป็นคนใจกว้าง ยินดีควักเงินส่วนตัวสร้างตำหนักแปรพระราชฐานแก่ฮ่องเต้วัยเยาว์ อีกทั้งได้ยินว่าในเวลานี้เสิ่นหรงบุตรสาวคนเดียวของเขาก็อยู่ที่เมืองเฟิ่งเพื่อจัดการเรื่องรับเสด็จแทนบิดา

ฮั่วสุยเฟิงไปส่งขบวนที่ประตูเมือง ก่อนอ้างว่าอาการบาดเจ็บเก่ากำเริบ ไม่ยอมเดินทางไปส่งต่อ จึงกลับจวนไปอย่างสบายใจ

แต่ที่โม่เป่ยยังมีบางคนที่ไม่อยากให้ฮ่องเต้วัยเยาว์ออกจากดินแดนไป เมื่อโม่เป่ยอ๋องฮั่วซานคิดถึงเรื่องที่ตนเองถวายบัลลังก์มังกรทองคำไปแล้ว แต่กลับไม่สามารถรั้งโอรสสวรรค์ไว้ได้ก็รู้สึกเสียดายยิ่ง

แม้ในนามเขาจะเป็นโม่เป่ยอ๋อง แต่ในด้านอำนาจเขาไม่อาจเทียบเท่าฮั่วสุยเฟิง เดิมทีเขาหวังจะดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องตามหลักการของราชวงศ์ เพื่อประจบเอาใจราชสำนักและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานของตนในโม่เป่ย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮ่องเต้วัยเยาว์และเสี่ยนเหรินไทเฮารับสิ่งของจากเขาไปแล้ว แต่กลับไม่ทำอะไรทั้งสิ้น นั่งเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่นดีก็จากไปเสียแล้ว

ฮั่วซานและภรรยาต่างไม่ใช่คนใจกว้างอะไรนัก ทั้งคู่จึงได้แต่ตำหนิกันและกันด้วยความผิดหวังในยามราตรี จนฮั่วซานต้องค้นหา ‘เพลงเซาปิ่ง’ ที่กงซุนฉินทิ้งไว้แล้วนำมาเปิดอ่านอีกครั้ง

บทที่ 136

นอกจากเหตุการณ์บางเรื่องที่ดูเหมือนจะตรงกับที่ทำนายไว้อยู่บ้าง ที่เหลือล้วนเต็มไปด้วยการพยายามเชื่อมโยงเรื่องราวที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันอย่างฝืนๆ และไม่ได้ใกล้เคียงกับความเป็นจริงสักนิด

เพลงเซาปิ่งหนาๆ หนึ่งเล่มดูเหมือนจะกลายเป็นเพียงกองกระดาษไร้ค่าไปแล้ว

อย่างไรก็ตามชุยซื่อกลับจับความหมายบางอย่างจากประโยคหนึ่งในนั้นได้ จึงชี้ให้เห็นคำทำนายที่กล่าวถึงสตรีผู้เก่งกาจแห่งยุค…บุตรสาวของจิ้งอ๋อง แล้วกล่าวขึ้น

“คำทำนายข้ออื่นดูไม่ออกว่ามีอะไร แต่สตรีผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นคนสำคัญจริงๆ ได้ยินว่าแม้จะเป็นสตรี แต่ก็เก่งกล้าทั้งบุ๋นและบู๊ คอยวางแผนให้บิดา ตอนนี้นางอยู่ที่เมืองเฟิ่ง ทำหน้าที่รับเสด็จฝ่าบาทแทนจิ้งอ๋อง ดูเหมือนว่าจะโดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีก”

เมื่อฮั่วซานได้ยินดังนั้นก็ฮึดฮัดด้วยความไม่พอใจ หากไม่ใช่เพราะฮั่วสุยเฟิงไม่ได้ความ ไม่รั้งฮ่องเต้วัยเยาว์ไว้ คนที่ควรโดดเด่นในโม่เป่ยตอนนี้ก็ควรเป็นเขาโม่เป่ยอ๋องฮั่วซานต่างหาก…

ตอนนั้นเองชุยซื่อก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามสามีว่า “เสด็จพ่อที่อยู่ในเรือนตะวันตกจะไม่ไหวแล้ว ได้ยินว่าเอาแต่เรียกหาหมอ…”

หลังจากฮั่วเหยียนเหลยถูกฮั่วซานบุตรชายของตนเองกักขังก็ได้สัมผัสกับชีวิตที่ยากลำบากอย่างที่ฮั่วซานเคยเผชิญในวัยเด็กอย่างเต็มที่ อาหารแต่ละมื้อไม่เคยตรงเวลาไม่ว่า ส่วนใหญ่เป็นเพียงอาหารเหลือและเย็นชืด ฮั่วเหยียนเหลยที่เคยใช้ชีวิตอย่างหรูหราและเคยชินกับอาหารอันโอชะ รวมถึงท้องที่ถูกทะนุถนอมมาอย่างดีนั้นจะทนรับความทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้อย่างไร

ยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายสุดที่รักของเขาถูกคนโหดเหี้ยมผู้นี้สังหาร ความโกรธแค้นที่สะสมอยู่ในใจทำให้เขาส่งเสียงด่าทอทุกวัน ร่างพ่วงพีราวกับถุงหนังไร้ลม ผ่ายผอมจนเหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก สุดท้ายเขาก็ป่วยหนักจนลุกไม่ขึ้น

เมื่อฮั่วซานได้ยินเรื่องนี้เขากลับไม่สนใจแม้แต่น้อย เพียงพูดเบาๆ ว่า “หากข้าลงมือสังหารเสด็จพ่อ ข้าจะถูกคนทั้งใต้หล้ารังเกียจเหยียดหยาม แต่หากเสด็จพ่อจากไปด้วยโรคภัย นั่นเท่ากับเป็นชะตาฟ้าลิขิต มิใช่สิ่งที่พวกเราจะแก้ไขได้ บอกให้องครักษ์เรือนตะวันตกคอยจับตาดู หากเสด็จพ่อเหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายให้เรียกญาติสนิทมิตรสหายของสกุลฮั่วมาดูใจ จะได้ไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าข้าโหดเหี้ยมอำมหิตฆ่าบิดาของตนเอง…”

ชุยซื่อที่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันกับชื่อเสียงของสามี จึงรีบจดจำไว้และวางแผนหาองครักษ์ที่อายุมากและมีประสบการณ์มาจับตาดูช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตของบิดาสามีโดยเฉพาะ

 

ช่างน่าเศร้าที่ฮั่วเหยียนเหลยซึ่งเคยยิ่งใหญ่ในโม่เป่ยมาครึ่งชีวิตกลับถูกญาติพี่น้องรังเกียจ เพราะในอดีตเขาได้ลงมือสังหารฮั่วเหยียนถิงพี่ชายผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งของตน

ตอนนี้บุตรชายอนุของเขาก็เอาเยี่ยงอย่าง จับบิดาของตนเองกักขังไว้ คนในวงศ์ตระกูลก็ไม่ได้ส่งเสียงคัดค้านใดๆ เพียงแต่เมื่อได้รับข่าวว่าฮั่วเหยียนเหลยใกล้จะสิ้นใจแล้ว คนในตระกูลก็ส่งคนรุ่นอาวุโสฝ่ายบิดาไปถามฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องว่าจะไปดูเขาด้วยกันหรือไม่

ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องกลับกล่าวว่า “สมัยที่เสด็จพ่อข้ายังมีชีวิตอยู่รักใคร่เอ็นดูน้องชายผู้นี้ที่สุด แต่น่าเสียดายที่หลังจากเสด็จพ่อข้าจากไปแล้ว ดูเหมือนว่าเขาผู้นี้กลับไม่เคยทำพิธีไว้อาลัยให้พี่ชาย เพื่อไม่ให้พี่น้องต้องมีเรื่องบาดหมางกันในปรโลก มิสู้ใช้โอกาสที่เสด็จอายังมีลมหายใจอยู่เชิญมาร่วมพิธีเซ่นไหว้ป้ายวิญญาณเสด็จพ่อข้าดีกว่า…”

เมื่อคนในตระกูลได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจทันทีว่าฮั่วสุยเฟิงต้องการจะไต่สวนเสด็จอาของตนเองที่หน้าป้ายวิญญาณของอดีตโม่เป่ยอ๋องผู้ล่วงลับ

ทว่าเมื่อนำคำพูดนี้ไปบอกโม่เป่ยอ๋องฮั่วซาน เขากลับไม่พอใจ แม้บิดาของเขาจะเคยก่อความผิดฐานสังหารพี่ชาย แต่ก็ประกาศต่อผู้คนไปแล้วว่าฮั่วเหยียนถิงตายด้วยโรคภัย

นั่นเป็นการปกปิดเรื่องอื้อฉาวในครอบครัวและรักษาหน้าตาเอาไว้

แต่การที่ฮั่วสุยเฟิงทำเช่นนี้เท่ากับประกาศให้ผู้คนรับรู้ว่าตอนนั้นบิดาของเขาเคยวางแผนช่วงชิงตำแหน่งอ๋องจากเสด็จลุง เช่นนี้ตำแหน่งโม่เป่ยอ๋องของเขาก็จะดูไม่ชอบธรรมตามไปด้วย ดังนั้นการขออภัยต่อหน้าป้ายวิญญาณจึงเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้โดยเด็ดขาด

ฮั่วซานปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่ยอมให้บิดาต้องไปขายหน้าต่อหน้าผู้คนก่อนตาย

น่าเสียดายที่ฮั่วสุยเฟิงตั้งใจแน่วแน่ที่จะให้บิดาของตนที่อยู่ในปรโลกได้เห็นภาพของฆาตกรหมอบลงกับพื้นขออภัยต่อหน้าป้ายวิญญาณ ด้วยเหตุนี้จึงนำกองทัพใหญ่มาประชิดเมือง โดยอ้างว่าเป็นการ ‘น้อมเชิญ’ ฮั่วเหยียนเหลยไปทำพิธีไว้อาลัยต่อพี่ชายผู้ล่วงลับ

ฮั่วซานไม่คาดคิดว่าจู่ๆ ฮั่วสุยเฟิงจะกลับหน้ามือเป็นหลังมือเช่นนี้ พึงรู้ว่าฮ่องเต้วัยเยาว์เพิ่งประกาศพระราชโองการยกย่องว่าโม่เป่ยอ๋องเช่นเขาเป็นขุนนางผู้เปี่ยมคุณธรรมและจงรักภักดีเมื่อไม่นานมานี้!

ผลลัพธ์คือหลังฮ่องเต้วัยเยาว์จากไปได้ไม่นาน บัลลังก์มังกรทองคำยังไม่ทันเย็นดี! ฮั่วสุยเฟิงก็นำกองทัพใหญ่มาประชิดเมืองกดดันเสียแล้ว การทำเช่นนี้มิใช่การก่อกบฏและตบหน้าราชวงศ์หรือ

แต่ฮั่วสุยเฟิงมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แค่ย้ายราชสำนักก็น่าปวดศีรษะมากพอแล้ว มีหรือจะมาใส่ใจเรื่องภายในของสกุลฮั่วแห่งโม่เป่ย

ก่อนหน้านี้เขาไม่อาจแตะต้องโม่เป่ยได้เพราะถูกราชสำนักต้าฉินควบคุมอยู่ ทว่าบัดนี้ราชวงศ์ยังเอาตัวไม่รอด หากไม่ใช้โอกาสนี้รวมโม่เป่ยให้เป็นหนึ่งแล้วจะรอเวลาใดอีก

แม้ฮั่วซานจะเป็นเพียงบุตรชายอนุ แต่ก็เป็นบุตรชายของฮั่วเหยียนเหลยเช่นกัน โลหิตที่ไหลเวียนอยู่ในกายล้วนเป็นโลหิตอสรพิษ หากไม่ถอนรากถอนโคนทิ้งเสียจะสบายใจได้อย่างไร

ดังนั้นการที่ฮั่วซานปฏิเสธไม่ยอมส่งมอบบิดาของตนเองจึงเข้าทางฮั่วสุยเฟิงพอดี เขาสามารถยกทัพมาประชิดเมืองได้โดยมีเหตุผลที่ชอบธรรม

ทว่าฮั่วซานไม่ใช่คนที่มีคุณธรรมสูงส่งแต่อย่างใด เขาเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญในการประเมินสถานการณ์ เมื่อเห็นฮั่วสุยเฟิงหยาบคายไร้เหตุผลเช่นนี้ก็รีบยื่นข้อเสนอส่งมอบบิดาของตนเองทันที แต่ฮั่วสุยเฟิงกลับปฏิเสธ โดยกล่าวเพียงว่าการไปต้อนรับเสด็จอาด้วยความเคารพต้องเข้าเมืองไปด้วยตนเองจึงจะถือว่าแสดงความจริงใจ

พูดง่ายๆ ก็คือฮั่วซานจะส่งตัวบิดาของตนเองตอนนี้ก็สายเกินไปเสียแล้ว!

 

หลังจากปิดล้อมเมืองเป็นเวลาสามวันสามคืน ประตูเมืองก็เปิดออกในที่สุด ทว่าในกลุ่มคนที่ออกมาต้อนรับฮั่วสุยเฟิงกลับไม่เห็นฮั่วซานและภรรยา

ภายหลังจึงได้รู้ว่าทั้งสองหลบหนีไปตามเส้นทางลับในเมืองที่ถูกบันทึกไว้ในเพลงเซาปิ่ง

ชาติที่แล้วกงซุนฉินเป็นผู้รับผิดชอบจัดการการลาดตระเวนภายในเมือง จึงพบทางลับมากมายที่บรรพชนสกุลฮั่วสร้างไว้ มีหลายเส้นทางที่แม้แต่ฮั่วสุยเฟิงก็ยังไม่รู้ กงซุนฉินวาดแผนที่ทางลับทั้งหมดมอบให้ฮั่วซานและภรรยาเพื่อแสดงความสามารถของตนเอง คิดไม่ถึงว่ากลับเป็นการช่วยให้ทั้งสองหนีรอดไปได้ในที่สุด

หลังสะสมกำลังมานานหลายปี ฮั่วสุยเฟิงก็สามารถเข้ายึดเมืองหลักได้สำเร็จ ฟื้นฟูตระกูลสายตรงของสกุลฮั่วทันที

คืนนั้นฮั่วเหยียนเหลยถูกฮั่วสุยเฟิงลากลงจากเตียงกับมือ และถูกคุมตัวไปยังศาลบรรพชนสกุลฮั่ว

โม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้ไป ฮั่วสุยเฟิงบอกว่านางตั้งครรภ์ ไม่ควรเห็นภาพโหดร้ายนองเลือด ภายหลังได้ยินเมิ่งขุยเล่าว่าฮั่วสุยเฟิงใช้เนื้อบดหนึ่งถาดทำพิธีเซ่นไหว้บิดาผู้ล่วงลับ

โม่เซี่ยวเหนียงฟังยังไม่ทันจบก็รีบโบกมือไล่เขาออกไปแล้วอาเจียนไม่หยุด นางถึงกับเริ่มสงสัยในความคิดของตนก่อนหน้านี้ที่คาดเดาว่าฮั่วสุยเฟิงอาจเป็นคนที่ทะลุมิติมา

หากเป็น ‘เขา’ ซึ่งเป็นคนที่ได้รับการปลูกฝังแนวคิดด้านกฎหมายสมัยใหม่อย่างลึกซึ้ง เหตุใดถึงได้โหดเหี้ยมอำมหิตเพียงนี้ ราวกับว่าฮั่วเหยียนเหลยคือศัตรูสังหารบิดาของเขาจริงๆ ก็มิปาน!

อย่างไรก็ตามฮั่วสุยเฟิงยังถือว่าคำนึงถึงหน้าตาของสกุลฮั่วอยู่บ้าง จึงประกาศต่อผู้คนว่าฮั่วเหยียนเหลยเสียชีวิตด้วยโรคภัยที่หน้าป้ายวิญญาณบิดา

สถานการณ์ในโม่เป่ยพลิกผันอย่างกะทันหัน เห็นได้ชัดว่าฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องลุกขึ้นมาก่อกบฏโดยไม่สนใจการแต่งตั้งจากราชสำนัก

แต่เสี่ยนเหรินไทเฮาชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียแล้ว จึงระงับเรื่องที่ขุนนางผู้ตรวจการจำนวนมากยื่นฎีกากล่าวโทษฮั่วสุยเฟิง และให้ฮ่องเต้วัยเยาว์ออกพระราชโองการคืนตำแหน่งโม่เป่ยอ๋องแก่ฮั่วสุยเฟิง

นับแต่นั้นฮั่วสุยเฟิงก็ได้รวบรวมดินแดนเก่าของโม่เป่ยเป็นปึกแผ่นและสามารถหันไปกวาดล้างชนเผ่าที่ก่อความวุ่นวายทางแดนเหนือเพื่อสร้างความมั่นคงให้แนวหลัง

ตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงกลายเป็นชายาโม่เป่ยอ๋องแล้ว แต่เนื่องจากใกล้คลอดเต็มที แม้แต่พิธีแต่งตั้งบรรดาศักดิ์โม่เป่ยอ๋องก็ยังถูกเลื่อนออกไป

ฮั่วสุยเฟิงคิดว่ารอให้โม่เซี่ยวเหนียงคลอดเสร็จก่อนแล้วค่อยจัดพิธีก็ยังไม่สาย

แต่ในช่วงเวลานี้เองก็เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ขึ้นที่เมืองเฟิ่ง

ตอนย้ายราชสำนักมีการเร่งให้ขุนนางตำแหน่งสูงเดินทางไปก่อน ส่วนบรรดาครอบครัวขุนนางหลายคนยังไม่ได้เดินทางตามไปด้วย

คนสกุลเซียวเองก็ไม่ได้แย่งชิงเดินทางไปในกลุ่มแรกเพื่อแสดงความใจกว้าง

แต่เมื่อขบวนที่สองออกเดินทาง พวกเขากลับถูกโจรดักปล้นกลางทาง คนในครอบครัวหลายคนถูกพวกโจรโจมตีจนกระจัดกระจายกันไป บางคนซ่อนตัวในพุ่มหญ้าหรือกองหินข้างทาง สุดท้ายก็ได้รับการช่วยเหลือจากทหารที่ตามมาช่วยภายหลัง แต่ก็มีบางคนที่เหมือนจะถูกพวกโจรจับตัวไป หาตัวอย่างไรก็หาไม่พบ

และฉีซืออินภรรยาเอกของเซียวเยวี่ยเหอก็กลายเป็นหนึ่งในรายชื่อผู้สูญหาย

ตอนที่เรื่องนี้เกิดขึ้นใหม่ๆ สกุลเซียวพยายามปกปิดเรื่องอื้อฉาวนี้ โดยบอกกับคนนอกว่าฉีซืออินขวัญเสียจนล้มป่วย

แต่ไม่ถึงสองวันข่าวลือกลับแพร่กระจายไปทั่วเมืองเฟิ่ง ว่ากันว่าข่าวนี้ถูกแพร่ออกมาจากบรรดาอนุซึ่งกำลังเป็นที่โปรดปรานของเซียวเยวี่ยเหอ จะปิดข่าวก็ทำไม่ได้ ซึ่งหมายความว่าต่อให้ฉีซืออินถูกช่วยกลับมา นางก็ทำได้เพียงจบชีวิตตนเองเพื่อแสดงความบริสุทธิ์เท่านั้น

เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงได้ยินเรื่องนี้ก็รู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง รู้สึกว่าทั้งสกุลเซียวมีเพียงฉีซืออินผู้เดียวที่มีคุณธรรมสูงส่งและประพฤติตนอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง แต่นางกลับต้องพบจุดจบเช่นนี้ ช่างน่าเศร้าจริงๆ

แม้จะใกล้คลอดเต็มที แต่โม่เซี่ยวเหนียงกลับต้องขยันเดินให้มากขึ้น ถึงอย่างไรก็ต้องคลอดเอง หากกระดูกเชิงกรานไม่แข็งแรงก็จะเป็นอุปสรรคได้

หลังจวนโม่เป่ยอ๋องมีภูเขาลูกเล็กๆ ลูกหนึ่ง บนภูเขาเต็มไปด้วยต้นหม่อน จึงมีการเลี้ยงไหมและมีโรงสาวไหมขนาดเล็ก

โรงเลี้ยงไหมของจวนโม่เป่ยอ๋องเองก็อยู่บนภูเขาลูกนี้เช่นกัน เมื่อว่างไม่มีอะไรทำ ฮั่วสุยเฟิงจึงแต่งกายธรรมดาเรียบง่ายไปเดินเล่นบนภูเขาพร้อมโม่เซี่ยวเหนียง

บริเวณจวนโม่เป่ยอ๋องในเวลานี้สงบเงียบลงมาก หลังราษฎรต้องทนทุกข์จากสงครามมาอย่างยาวนาน ในที่สุดก็ได้พบกับช่วงเวลาแห่งความสงบสุขที่หาได้ยากเสียที

ภูเขาลูกเล็กๆ นั้นเป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักผ่อนที่เหล่าคนร่ำรวยในเมืองชื่นชอบ มีแผงขายของเรียงรายตลอดทาง อีกทั้งมีอาหารเลิศรสนานาชนิดให้กินด้วย

เมื่อได้กลิ่นหอมมาตลอดทาง โม่เซี่ยวเหนียงก็ต้องหยุดเดิน แม้จะไม่กล้ากินมาก แต่เพียงได้ลิ้มรสสักนิดก็ยังดี ดังนั้นถนนอันร่มรื่นด้วยเงาของต้นไม้ที่ทอดขึ้นภูเขาสายนี้จึงมีทิวทัศน์ที่งดงามเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง

หญิงงามผุดผาด รูปร่างบอบบาง แต่หน้าท้องนูน สวมกระโปรงยาวหลวมๆ เดินลงจากรถม้าครั้งแล้วครั้งเล่า มองของกินเล่นต่างๆ นานาบนแผงด้วยดวงตาเป็นประกายและลิ้มชิมอาหารไม่หยุด

ข้างกายนางคือบุรุษรูปร่างสูงใหญ่รูปโฉมหล่อเหลาที่คอยมองหญิงงามท้องโตผู้นี้ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความพะเน้าพะนอ ดูก็รู้ทันทีว่าทั้งสองเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กลมเกลียวกันอย่างยิ่ง

โม่เซี่ยวเหนียงรู้จักของกินเล่นบนถนนสายนี้ดีเพราะเคยมาเที่ยวแล้ว นางเอ่ยชมขาแกะพริกไทยของแผงเล็กๆ แผงหนึ่งไม่หยุดปาก

ขาแกะต้มจนเปื่อยนุ่มในน้ำแกงที่เคี่ยวเป็นเวลานาน ถูกตักขึ้นมาแล้วแล่เอ็นและเนื้อเป็นชิ้นเล็กๆ คลุกเคล้ากับผักหั่นฝอย ต้นหอม และพริกไทย ก่อนสอดไส้เข้าไปในแผ่นแป้งงาบางกรอบ พอกัดเข้าไปคำหนึ่งก็อร่อยจนแทบน้ำตาไหล

คราวก่อนโม่เซี่ยวเหนียงกินไปครั้งหนึ่งแล้วไม่อาจลืมรสชาติได้ คราวนี้จึงตั้งใจชวนฮั่วสุยเฟิงที่มัวแต่ยุ่งกับราชกิจให้มาด้วยกัน เพื่อจะได้ลองชิมแป้งกรอบไส้เอ็นแกะและเนื้อขาแกะ

เห็นนางเล่าอย่างตื่นเต้นมีความสุข ฮั่วสุยเฟิงก็อดเอื้อมมือมาหยิกแก้มนางด้วยความรักใคร่เอ็นดูไม่ได้ “เหตุใดข้าถึงไม่รู้มาก่อนว่าเจ้าตะกละตะกลามเพียงนี้”

โม่เซี่ยวเหนียงก้มหน้าปอกมะพลับลูกหนึ่ง แต่รอยยิ้มที่มุมปากกลับค่อยๆ จางหายไปเล็กน้อย

ตั้งแต่มาอยู่ในยุคโบราณ หลังจากผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมา นางก็ให้ความสำคัญกับการกินเป็นพิเศษ แทบทุกมื้ออาหารจะกินจนรู้สึกเหมือนมีเพลงประกอบที่ปลายลิ้น กินอย่างตั้งใจและดื่มด่ำยิ่ง

คนทั้งจวนต่างรู้ว่านางเป็นคนที่พิถีพิถันในเรื่องการกินดื่ม

แต่หากย้อนกลับไปในชีวิตของอู๋เซี่ยวเซี่ยวยุคปัจจุบัน นางเป็นคนทำงาน มีจังหวะชีวิตที่เร่งรีบ จึงไม่ค่อยแสวงหาในด้านอาหารการกินและไม่ค่อยพิถีพิถันนัก

บางครั้งตอนที่นางต้องพาศิลปินเดินสายโปรโมตงาน อาหารที่กินก็เป็นเพียงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปหนึ่งถ้วยเท่านั้น ภายหลังเมื่อกระเพาะอาหารมีปัญหา อาหารหลายๆ อย่างก็กินไม่ได้ ตอนนี้พอคิดย้อนกลับไปก็รู้สึกเหมือนเวลาที่ผ่านมาเป็นการใช้เวลาไปอย่างสูญเปล่า และวิ่งไล่ตามโดยที่ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร

คำพูดของฮั่วสุยเฟิงที่แปลความได้ว่า ‘นางไม่ใช่คนพิถีพิถันเรื่องกินดื่ม’ นั้นไม่รู้ว่าพูดออกมาด้วยความรู้สึกใด

แต่นางก็เลือกที่จะไม่ถาม เพียงยื่นมะพลับในมือที่ปอกเปลือกแล้วไปจ่อที่ปากเขา ให้เขากัดหนึ่งคำ

ขณะนั้นเองพวกเขาก็มาถึงแผงขายแป้งกรอบไส้เอ็นแกะและเนื้อขาแกะ

เมิ่งขุยเดินนำไปซื้อแป้งกรอบมาสองชุด

ในเวลานี้เองจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญของสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นไม่ไกล เมิ่งขุยจึงสั่งให้เหล่าองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่ข้างรถม้า

จากนั้นเขาก็นำคนสองสามคนวิ่งตรงไปยังพื้นที่ด้านล่างของเนินเขา…ปรากฏว่ามีหัวขโมยกำลังลักขโมยเงินจากสตรีผู้หนึ่งอยู่ สาวใช้ผู้กล้าหาญของสตรีผู้นั้นรีบโผเข้ากอดขาของหัวขโมยไว้ ไม่ยอมปล่อยให้มันหนีไปได้

หัวขโมยอับอายจนโกรธ ยกขาขึ้นถีบสาวใช้ สตรีที่อยู่ด้านข้างเห็นดังนั้นก็คว้าก้อนหินขึ้นมาปาใส่หัวขโมย

เมิ่งขุยตรงเข้าไปจับกุมหัวขโมยที่ล้วงมีดจากอกเสื้อได้ทันเวลา จากนั้นก็สั่งให้คนจับมัดไว้และหันไปถามความเป็นมาจากสตรีผู้นั้น

วันนี้แดดไม่แรงเท่าใดนัก แต่สตรีผู้นั้นสวมหมวกคลุมศีรษะและก้มหน้าต่ำ ปล่อยให้สาวใช้เป็นคนพูดแทน จนกระทั่งค้นตัวหัวขโมยและได้กระเป๋าเงินคืน นางจึงเอื้อมมือมารับพลางกล่าวขอบคุณเสียงเบาแล้วทำท่าจะจากไป

ตอนนี้เองโม่เซี่ยวเหนียงที่นั่งอยู่บนรถม้าก็มองมาทางด้านล่างของเนินเขาจากหน้าต่าง พอเห็นรูปร่างของสตรีผู้นั้น นางก็รู้สึกคุ้นตาอย่างประหลาด

ลมพัดผ่านมาพอดี ทำให้หมวกคลุมศีรษะของสตรีผู้นั้นปลิวหล่น โม่เซี่ยวเหนียงเห็นใบหน้าด้านข้างของสตรีผู้นั้นชัดเจนทันที จึงอดร้องเรียกอีกฝ่ายไม่ได้

“ฉีซื่อ?”

แม้สตรีผู้นั้นจะสวมใส่เสื้อผ้าสีครามเรียบง่ายเช่นหญิงชาวบ้านธรรมดา ไร้ซึ่งเครื่องประดับหรูหรา แต่ท่วงท่าที่สง่างามสูงส่งดังดอกกล้วยไม้ป่านั้นบ่งบอกว่านางคือฉีซืออินสตรีมากความสามารถในวันวานของเมืองหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อเห็นว่าโม่เซี่ยวเหนียงจำนางได้ ฉีซืออินก็เร่งฝีเท้า อยากออกไปจากถนนหลัก ทว่าเมิ่งขุยเข้ามาขวางทางไว้ ไม่ยอมปล่อยให้นางไป

โม่เซี่ยวเหนียงเห็นท่าทางอีกฝ่ายไม่อยากยอมรับว่ารู้จักกัน จึงเอ่ยขึ้น “ที่เมืองเฟิ่งใครๆ ก็ตามหาฮูหยินกันแทบพลิกแผ่นดิน เหตุใดฮูหยินถึงไม่ยอมแสดงตัวว่ารู้จักสหายเก่าเล่า”

ฉีซืออินรู้ดีว่าไม่อาจปิดบังร่องรอยของตนเองได้อีก ใบหน้าของนางพลันซีดขาว ได้แต่ยืนนิ่งอยู่กับที่

ขณะที่เพ่ยฉินสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ทรุดลงคุกเข่าพร้อมกล่าวขอร้องว่า “ใครๆ ต่างก็เล่าลือว่าเซี่ยนจู่มีเมตตา ขอท่านโปรดทำเหมือนว่ามิได้พบเห็นพวกเราสองคนได้หรือไม่เจ้าคะ คุณหนูของบ่าวถูกคนชั่วใส่ร้ายป้ายสี ทำลายชื่อเสียงอันดีงาม หากกลับไปตอนนี้มีเพียงหนทางเดียวคือต้องปลิดชีวิตตนเองเพื่อรักษาหน้าตาของสกุลเซียวเท่านั้น สวรรค์มีเมตตาปกป้องทุกสรรพสิ่ง ขอเซี่ยนจู่โปรดเมตตาด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

แท้จริงแล้วต้นตอของข่าวลือที่ว่าฉีซืออินถูกโจรจับตัวไปเป็นฝีมือของโม่อิ๋งหลันคุณหนูจากบ้านรองของสกุลโม่ที่แต่งเข้าสกุลเซียว

ตอนนั้นเนื่องจากโม่อิ๋งหลันมีรูปโฉมคล้ายโม่เซี่ยวเหนียงอยู่บ้าง จึงได้รับความโปรดปรานจากเซียวเยวี่ยเหอจนตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาว แต่ด้วยนิสัยเจ้าเล่ห์เพทุบายของนาง ทำให้ถูกเซียวเยวี่ยเหอทอดทิ้ง กระทั่งบุตรสาวที่คลอดออกมาก็ไม่สามารถเลี้ยงดูเองได้ ถูกนำไปให้ฉีซืออินเป็นผู้เลี้ยงดูแทน

แต่ต่อมาเซียวเยวี่ยเหอต้องออกรบต่อกรกับเผ่าหนานอี๋ เนื่องจากสถานการณ์การรบนั้นอันตรายยิ่ง อนุทั้งจวนไม่มีใครยอมติดตามกองทัพไปด้วย มีเพียงโม่อิ๋งหลันที่ได้รับคำแนะนำจากนายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่ผู้เป็นท่านปู่ ทำให้นางกัดฟันอาสาติดตามไปยังค่ายแนวหน้าด้วย

พอเซียวเยวี่ยเหอกลับมาพร้อมชัยชนะ โม่อิ๋งหลันก็ตั้งครรภ์อีกครั้งและให้กำเนิดบุตรชายอีกหนึ่งคน

บุตรสาวถูกฉีซื่อรับไปเลี้ยงดูก็แล้วไป แต่บุตรชายจะปล่อยให้ผู้อื่นมาอุ้มไปอีกได้อย่างไร

นอกจากนี้ตลอดหลายปีที่ผ่านมาสกุลโม่มีฐานะสูงส่งขึ้นเรื่อยๆ โม่อิ๋งหลันจึงไม่ยอมอยู่ในฐานะอนุอีกต่อไป นางจึงใช้ความคิดวางแผนไปไม่น้อย

ครั้งนั้นตอนที่ถูกพวกโจรดักปล้นกลางทาง ฉีซืออินต้องการปกป้องบุตรที่เกิดจากอนุในจวน จึงสั่งให้พวกอนุพาบุตรหลบเข้าไปในพุ่มไม้ ส่วนตนเองพร้อมสาวใช้ก็พากันผลักหีบสมบัติไปที่เนินเขาเพื่อเตรียมเทลงไปล่อความสนใจพวกโจร

ขณะที่นางกำลังผลักหีบสมบัติอยู่นั้น จู่ๆ นางและสาวใช้ก็ถูกคนผลักจากด้านหลังจนกลิ้งตกลงไปจากเนินเขาแล้วตกลงไปในน้ำ ขณะนั้นเพ่ยฉินหันกลับไปมองก็เห็นว่าคนที่ผลักนางคือสาวใช้ข้างกายโม่อิ๋งหลัน

โชคดีที่ฉีซืออินและเพ่ยฉินเคยถูกเลี้ยงดูอยู่ในชนบทเมื่อหลายปีก่อน ทั้งยังว่ายน้ำเป็น จึงรอดพ้นจากหายนะครั้งนี้มาได้

อย่างไรก็ตามหลังจากนางและเพ่ยฉินพยายามขึ้นฝั่งแล้วตามหาคนอื่นมาตลอดทาง นางก็ได้รู้ว่าเรื่องที่นางถูกโจรลักพาตัวแพร่กระจายไปทั่วแล้ว

ฉีซืออินไตร่ตรองเงียบๆ แล้วตัดสินใจนำเครื่องประดับติดตัวออกขาย ก่อนจะเดินทางโดยไม่เปิดเผยตัวตนเพื่อหาสถานที่ซ่อนตัว

แต่นึกไม่ถึงว่านางจะได้พบกับโม่เป่ยอ๋องและชายา

 

(ติดตามต่อได้ในรูปแบบฉบับเต็มได้ในเดือนกันยายน 2568)

 

หน้าที่แล้ว1 of 8

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: