X
    Categories: ทดลองอ่านฟูมฟักจอมราชันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 90-91

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 90

การเปลี่ยนแปลงในวังที่ล้มเหลว ทำให้บิดาของเซียวเยวี่ยเหอไม่ผ่านบททดสอบทองแท้ทนไฟ โชคดีที่เซียวเหยี่ยนพยายามกอบกู้สถานการณ์อย่างสุดกำลัง โดยร่วมมือกับฮั่วจวิ้นอ๋องที่พากันบุกเข้าวัง

ส่วนหลานชายอย่างเซียวเยวี่ยเหอที่ยอมตายแต่ไม่ยอมจำนนก็ไม่ทำให้ผิดหวัง แม้จะถูกดาบคมตัดเอ็นข้อเท้าขาด แต่ยังคงรักษาเกียรติของสกุลเซียวที่พึงมีไว้ได้

ด้วยเหตุนี้หนังสือสวามิภักดิ์ที่เซียวเซิงเขียนด้วยมือของตนจึงถูกฮ่องเต้สั่งฉีกทำลายอย่างลับๆ อย่างไรเสียเซียวเซิงไม่สามารถกลับไปบัญชาการในกรมทหารได้อีก และเซียวเยวี่ยเหอก็ต้องเข้ามารับหน้าที่แทนบิดาของเขาในกรมทหาร แต่ด้วยร่างกายที่พิการ ไม่สามารถขึ้นม้าหรือจับอาวุธได้ อย่างมากก็แค่เข้าไปทำงานเพื่อแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ทรงแยกแยะบุญคุณกับความแค้นชัดเจน ให้รางวัลและลงโทษอย่างยุติธรรมเท่านั้น

ความรุ่งโรจน์ครั้งอดีตในกรมทหารของสกุลเซียวจึงไม่มีอีกแล้ว เซียวเยวี่ยเหอก็เพียงแค่ทำงานในกองเอกสารของกรมทหาร ใช้ชีวิตไปวันๆ ตามหลังเหล่าขุนนางชั้นสูงทั้งหลาย

นึกไม่ถึงว่าในวันนี้เมื่อเหล่าสหายใหม่ได้ดื่มสุราร่วมกันก็บังเอิญเห็นว่าฮั่วสุยเฟิงกำลังพูดคุยอยู่ข้างรถม้าบนถนนพอดี

คนที่คุ้นเคยกันจึงเรียกฮั่วสุยเฟิงขึ้นมา

มีคุณชายหลายคนที่อายุราวสิบเจ็ดหรือสิบแปดปี เมื่อเห็นฮั่วสุยเฟิงเดินมาจากที่ไกลๆ ก็เอ่ยหยอกล้อ “ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋อง ท่านรอไม่ไหวแล้วหรืออย่างไร ถึงกับไปขวางรถม้าสตรีสกุลฉู่บนถนน ถ้าพวกเราไม่เรียก ท่านคงพูดกับคุณหนูสกุลฉู่ไม่รู้จบเลยใช่หรือไม่”

ฮั่วสุยเฟิงไม่ได้รับจอกสุราที่ใครบางคนยื่นมาให้ แต่กลับยกชายเสื้อนั่งลงแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ “ท่านพ่อบุญธรรมห่วงใยบุตรสาว เห็นว่าข้าจะไปคารวะที่จวน จึงสั่งให้ข้าแวะรับนางด้วย ข้าช่วยทำธุระให้ท่านพ่อบุญธรรม แต่กลับถูกพวกท่านกล่าวหาเช่นนี้ ต้องการจะทำลายชื่อเสียงของฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่หรือไร อย่าว่าแต่ท่านพ่อบุญธรรมที่รักและเป็นห่วงบุตรสาวอย่างยิ่งจะไม่ยอมปล่อยพวกท่าน ข้าเองก็ไม่อาจปล่อยให้คนที่พูดจาว่าร้ายออกจากหอสุรานี้ไปได้เช่นกัน…”

คำพูดนี้กึ่งล้อเล่นกึ่งจริง กอปรกับฮั่วสุยเฟิงเป็นคนที่มีท่าทางน่าเกรงขามดุจพญายมมาตั้งแต่เด็ก จึงไม่มีใครกล้าหยอกล้อเรื่องโม่เซี่ยวเหนียงแห่งสกุลฉู่ต่อ

ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็มีพระราชโองการแต่งตั้งลูกเลี้ยงหญิงของแม่ทัพฉู่ให้เป็นเซี่ยนจู่แล้ว ว่ากันตามตรงแม้แต่บุตรสาวแท้ๆ ก็ยังไม่ได้รับเกียรติเช่นนี้ เหตุใดลูกเลี้ยงกลับได้รับกันเล่า คำตอบนั้นชัดเจนว่าเพราะลูกเลี้ยงผู้นี้หมั้นหมายกับฉงเจิ้งจวิ้นอ๋อง จึงต้องได้รับการยกย่องให้สูงขึ้นอีกขั้นเพื่อให้เกียรติแก่จวิ้นอ๋องหนุ่ม

ทว่ายังมีสิ่งที่ทุกคนคิดร้อยครั้งแล้วก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี นั่นคือหากต้องการตอบแทนจวิ้นอ๋องจริง เหตุใดจึงไม่เลือกสตรีวัยแรกรุ่นจากตระกูลชั้นสูง แต่กลับไปเลือกสตรีที่อายุเกือบจะยี่สิบสามปีแล้ว แม้ว่าตอนนี้ฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่จะเป็นหญิงงามที่โดดเด่น แต่ก็ไม่ควรพระราชทานการสมรสเช่นนี้

มีคนอดไม่ได้ เอ่ยถามขึ้นอีกว่า “จวิ้นอ๋องน้อย ดูเหมือนท่านจะอายุน้อยกว่าฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่ใช่หรือไม่ น่าจะห่างกัน…ห้าปี?”

ฮั่วสุยเฟิงยังคงสงบนิ่ง คีบอาหารโดยที่คิ้วไม่ขยับพลางตอบ “ข้าอายุยืด ความจริงแล้วจึงห่างกันแค่สี่ปีเท่านั้น อีกทั้งวันคล้ายวันเกิดของเซี่ยนจู่อยู่ช่วงต้นปี หากนับตามเดือนแล้วก็ห่างกันแค่สามปีเท่านั้นเอง”

ตอนนี้คนทั้งโต๊ะพยายามนับนิ้วคำนวณแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จ อีกทั้งไม่มีลูกคิดอยู่ในมือด้วย…ที่บอกว่าอายุยืดมันคืออย่างไรกันแน่ ถึงสามารถยืดอายุไปได้หลายปีเพียงนี้

ทว่าเมื่อเห็นท่าทางที่ดูเป็นผู้ใหญ่เกินวัยของฮั่วสุยเฟิงก็เห็นว่าเขาดูสุขุมเยือกเย็นจริงๆ หากบอกว่าเขาอายุประมาณยี่สิบปี ถ้ามองอย่างผิวเผินก็พอจะเชื่อได้ นอกจากนี้ท่าทางของจวิ้นอ๋องก็ไม่เหมือนพูดอย่างส่งเดช เขาอาจจะไม่ได้อ่อนกว่าอีกฝ่ายเพียงนั้นจริงๆ ก็ได้!

ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่เขาเหลือบตามองไปทางคนถามด้วยสายตาเย็นเยือกเมื่อครู่นี้ก็ทำให้ทุกคนรู้สึกว่าจวิ้นอ๋องผู้นี้คงจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น หากใครกล้าเอ่ยเรื่องสมรสพระราชทานที่ไม่เหมาะสมนี้ขึ้นมาอีก คงได้โดนปาดคอในตรอกมืดแน่นอน

หลังจากที่ทุกคนหัวเราะพูดคุยกันแล้ว ต่างก็รู้แจ้งแก่ใจ จึงไม่มีใครกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีก

ฮ่องเต้คงจับคู่ส่งเดช เพราะทรงรำลึกถึงบุญคุณที่แม่ทัพฉู่ช่วยชีวิต จึงหาทางออกให้หญิงทึนทึกที่บ้านเขา ทำให้การแต่งงานของจวิ้นอ๋องหนุ่มต้องกลายเป็นเช่นนี้

แต่มีภรรยาเอกที่อายุมากกว่าก็ดีเช่นกัน ต่อไปหากฮั่วสุยเฟิงต้องการรับอนุก็สามารถอ้างเหตุผลนี้ได้ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้จวิ้นอ๋องที่ยังหนุ่มยังแน่นและแข็งแรงต้องมีหญิงชราหน้าเหลืองข้างกายเพียงคนเดียว!

ไม่ชอบหญิงสูงวัยที่อายุมากเกินไปซึ่งฮ่องเต้พระราชทานก็ยังรับอนุที่อายุน้อยๆ ได้อีกหลายคน เรื่องนี้แม้แต่ฮ่องเต้ก็ตรัสอะไรมากไม่ได้ ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ยุติธรรมกับฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องไม่น้อยใช่หรือไม่

ขณะที่ทุกคนต่างรู้สึกสงสารฮั่วสุยเฟิง มีใครคนหนึ่งดื่มสุราเงียบๆ แต่เพลิงโทสะในใจโหมลุกโชติช่วงมากขึ้นทุกที

คนที่ส่งสายตาดุจคมมีดใส่จวิ้นอ๋องน้อยหลายครั้งหลายคราก็คือเซียวเยวี่ยเหอ

คนอื่นอาจไม่รู้สาเหตุภายใน แต่เขารู้เรื่องราวส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด

แต่ก่อนซื่อจื่อไม่ชอบฮั่วสุยเฟิง คิดว่าฮั่วสุยเฟิงจับตามองพี่สาวของตนมากเกินไป ตอนแรกเขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้เพียงห่วงใยพี่สาว เป็นแค่เด็กไร้มารยาทคนหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องลดตัวไปถือสาหาความ

แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ซื่อจื่อจัดการให้คนวางแผนเล่นงานเซิ่งเซวียนคู่หมั้นคนก่อนของโม่เซี่ยวเหนียง อีกทั้งคอยช่วยปิดบังความลับเรื่องชาติกำเนิดให้โม่เซี่ยวเหนียงมาตลอดด้วย เขาทำทุกอย่างทั้งเรื่องดีเรื่องชั่ว เพื่อดึงรั้งโม่เซี่ยวเหนียงไว้จนกลายเป็นหญิงทึนทึกที่แต่งไม่ออก

อีกทั้งด้วยความกลัวว่าเมื่อนางอยู่ที่ซีเป่ยจะไปแต่งงานกับใครง่ายๆ ซื่อจื่อถึงกับให้คนแฝงตัวไปอยู่ที่ซีเป่ย หากฉู่เซิ่นถูกใจบุรุษคนใด เขาก็ต้องสร้างภูมิหลังดำมืดสกปรกให้บุรุษที่ถูกเลือกคนนั้น

การวางแผนอย่างเอาใจใส่เช่นนี้ก็เพียงเพื่อหวังว่าจะมีสักวันหนึ่งที่โม่เซี่ยวเหนียงจะตระหนักและสำนึกผิด รู้ว่าคู่ชีวิตที่ถูกลิขิตไว้ของตนเองคือเขาเซียวเยวี่ยเหอ

ต้นไม้ที่ตนรดน้ำใส่ปุ๋ยกำลังจะออกผลอุดมสมบูรณ์ แต่กลับถูกน้องชายของโม่เซี่ยวเหนียงที่เพิ่งเปลี่ยนสกุลมาตัดหน้าระหว่างทาง แย่งชิงเอาไปอย่างหน้าตาเฉย

ฮ่องเต้พระราชทานสมรสหรือ แต่ตามความเห็นของเขาเป็นเพราะฮั่วสุยเฟิงร้องขอฮ่องเต้เองมากกว่า!

ไม่แปลกใจที่แต่ก่อนเด็กบ้านั่นเฝ้าระวังโม่เซี่ยวเหนียงอย่างไม่ละสายตา เห็นได้ชัดว่าเฝ้าคิดถึงพี่สาวสกุลฉู่ผู้งดงามมาโดยตลอดต่างหาก!

ความพยายามอย่างหนักที่ผ่านมาของตนกลับกลายเป็นการตัดชุดแต่งงานให้คนผู้นี้ไปเสียแล้ว!

บัดซบ ตอนที่ข้าชอบเซี่ยวเหนียง เจ้าน่าจะยังฉี่รดที่นอนอยู่ด้วยซ้ำ!

คิดมาถึงตรงนี้เซียวเยวี่ยเหอก็ระงับความโกรธในใจไม่อยู่อีกต่อไป เขาวางจอกสุราลงและกล่าวว่า “ดูจากสีหน้าของจวิ้นอ๋องที่สุขใจเต็มเปี่ยมแล้ว ช่างเป็นคู่สวรรค์สรรค์สร้างจริงๆ! แต่น่าเสียดาย เพราะการไว้ทุกข์ของแว่นแคว้น จึงต้องเลื่อนไปอีกหนึ่งปีถึงจะแต่งงานได้ ในปีนี้จวิ้นอ๋องต้องดูแลสุขภาพให้ดีเล่า เติบโตให้มากขึ้นอีกหน่อย มิฉะนั้นผู้อื่นเห็นแล้วคงคิดว่าเป็นคนละรุ่นกับเจ้าสาว…”

คำพูดนี้ช่างแฝงนัยของการท้าทายอย่างเข้มข้นจริงๆ ทำให้คนทั้งโต๊ะอึดอัด พากันมองไปที่ฮั่วสุยเฟิงเพื่อดูว่าเขาจะตอบโต้อย่างไร

แต่จวิ้นอ๋องน้อยกลับมีความอดทนอย่างน่าทึ่ง แม้ว่าจะถูกเยาะเย้ยว่าแต่งกับสตรีที่อายุมากกว่า ทว่าใบหน้ากลับระบายรอยยิ้มแล้วเอ่ยตอบ

“ซื่อจื่อพูดถูก ในหนึ่งปีนี้ข้าต้องดูแลสุขภาพอย่างดีแน่นอน มิฉะนั้นอาจมีคนชะเง้อคอรอพระเมตตาอันยิ่งใหญ่จากฮ่องเต้ หวังว่าจะพระราชทานรางวัลเป็นหญิงงามสะพรั่งสง่าผ่าเผยอย่างเซี่ยนจู่ แต่ก็ไม่ได้รับพระราชทานเสียที! หากข้าเป็นอะไรไปจะไม่เท่ากับว่าปล่อยให้คนอื่นได้โอกาสนี้ไปจนทำให้ข้าโมโหตายหรือ”

คำพูดนี้กระทบใจเซียวเยวี่ยเหออย่างแรง ทำให้เขาโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ

แต่ไม่มีใครในโต๊ะที่รู้ว่าซื่อจื่อหลงใหลในตัวโม่เซี่ยวเหนียง ทุกคนเพียงแค่คิดว่าเซียวเยวี่ยเหอดื่มมากจนหลุดปากพูดออกมาโดยไม่ทันยั้งคิด

ฮั่วสุยเฟิงเห็นว่าคุยกับคนพวกนี้ไม่ถูกคอและไม่ได้อยากดื่มสุราด้วย หลังโอภาปราศรัยกันเพียงครู่หนึ่งแล้วก็หันกายเดินลงจากหอสุราไป

ตอนที่ทุกคนน้อมส่งจวิ้นอ๋องแล้วกลับมาดื่มกันต่อ จู่ๆ ก็มีคนสังเกตเห็นว่ามีเลือดไหลออกมาจากมือของเซียวเยวี่ยเหอ จึงร้องออกมาด้วยความตกใจ

เซียวเยวี่ยเหอโยนจอกสุราที่บีบจนแตกทิ้งลงพื้นแล้วรับผ้าที่บ่าวรับใช้ส่งให้มาพันมือ ก่อนเอ่ยเรียบๆ “เมื่อครู่อาการเจ็บขากำเริบ ปวดจนทนไม่ไหว จึงบีบจอกสุราจนแตก…ทุกท่านสนุกกันต่อเถิด ข้าขอตัวกลับก่อน”

ขณะที่พูดเขาก็ลุกขึ้น เพียงแต่ร่างกายสูงใหญ่ของเขาไม่ได้เดินออกไปอย่างสง่าผ่าเผยเช่นเมื่อก่อน มือจับไม้เท้าหอมสลักลายเคลือบทอง เดินขากะเผลกไปที่บันได

เมื่อเห็นว่าซื่อจื่อจากไปแล้วก็อดถอนหายใจด้วยความสะเทือนใจไม่ได้ “น่าเสียดายจริงๆ อดีตหนุ่มรูปงามแห่งเมืองหลวง ตอนนี้ต้องมาอยู่ในสภาพขาพิการ”

แต่มีคนไม่เห็นด้วย “ขาพิการก็ยังช่วยรักษาชื่อเสียงขุนนางผู้จงรักภักดีร้อยปีของสกุลเซียวไว้ได้ มิฉะนั้นเจ้าคิดว่าสกุลเซียวจะเป็นเช่นไร ไม่แปลกที่เมื่อครู่เขาจะหงุดหงิดจวิ้นอ๋องน้อย เคยได้ยินหรือไม่ว่าค่ายทหารบุตรหลานจากเซียงซี ของสกุลเซียวถูกโจมตีวุ่นวายและจัดระเบียบใหม่ ได้ยินว่าส่วนใหญ่ถูกรวมเข้ากับโม่เป่ยไปอยู่ในความดูแลของจวิ้นอ๋องน้อย”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็ตระหนักได้ทันทีว่าแม้ภายนอกฮ่องเต้จะชมเชยสกุลเซียว ทว่าจากสถานการณ์ตรงหน้านี้เป็นการเลื่อนขั้นอย่างเปิดเผย แต่ลดสถานะสกุลเซียวอย่างลับๆ! ไม่รู้ว่าจะอาศัยคนขาพิการประคองฐานะของสกุลเซียวไว้ได้หรือไม่

พักข่าวซุบซิบอันร้อนแรงในหอสุราไว้ก่อน มาเล่าถึงสกุลฉู่ที่วันนี้กำลังจะกินอาหารร่วมกันในครอบครัว

ฉู่เฉียวอีที่แต่งงานออกไปแล้วพาซั่นเหวินจวี่สามีของนางกลับมาเยี่ยมบ้านเดิม

เพียงแต่นิสัยอิจฉาของฉู่เฉียวอีกำเริบอีกแล้ว หลายวันมานี้นางมักถูกสหายสนิทซักถามว่าเหตุใดพี่สาวไม่แท้ของนางถึงได้รับบรรดาศักดิ์ ส่วนนางที่เป็นบุตรสาวแท้ๆ กลับไม่ได้ นางจึงยิ่งไม่พอใจมากขึ้น

เมื่อเข้าจวนมานางก็กล่าวกระทบกระเทียบพี่สาวหลายคำจนสามีที่สุภาพเรียบร้อยของนางต้องดึงแขนเสื้อนางหลายที

แต่โม่เซี่ยวเหนียงรู้ว่าฉู่เฉียวอีเป็นคนมองอะไรตื้นเขิน ถูกคนอื่นยุยงง่ายมาตั้งแต่เด็ก หากเป็นเรื่องเล็กน้อยนางก็มักจะไม่ใส่ใจคำพูดเหน็บแนมของฉู่เฉียวอี ปล่อยให้อีกฝ่ายพูดไป

โชคดีที่ฉู่เซิ่นถูกหูซื่อประคองออกมาจากด้านหลังพอดี ฉู่เฉียวอีจึงหยุดพูด นั่งลงข้างบิดาแล้วถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ

ไม่นานนักฮั่วสุยเฟิงก็กลับมาจากหอสุรา หลังจากคารวะบิดามารดาบุญธรรมเสร็จแล้วเขาก็เริ่มทักทายซั่นเหวินจวี่

หลังจากพักฟื้นร่างกายมาหลายเดือน ในที่สุดฉู่เซิ่นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นได้ แต่ตอนอยู่ที่ซีเป่ยปราบปรามโจรร้ายทั้งวัน ร่างกายเสื่อมโทรมลงอย่างยิ่ง และตอนนี้ก็อายุมากแล้ว แม้พักฟื้นแล้ว ทว่าร่างกายก็ยังอ่อนแออยู่

หูซื่อจึงอยู่ในโลกของอาหารยาตามตำรับโบราณ เอาแต่ค้นคว้าตำรับอาหารบำรุงสุขภาพทั้งวัน ลำพังแค่เกี๊ยวหมูป่าเห็ดหอมในวันนี้ก็ยังผสมสมุนไพรบำรุงเลือด เอายกขึ้นโต๊ะร้อนๆ ให้ทุกคนได้กินบำรุงเลือดลม

เซิ่งเกอตอนนี้อายุเก้าขวบกว่าแล้ว ได้รบกวนอาจารย์ช่วยตั้งชื่อให้ใหม่ว่าฉู่อวิ๋นเซิ่ง ส่วนน้องสาวคนเล็กก็ได้ชื่อใหม่เช่นกันว่าฉู่เฉียวซิน

นอกจากนี้แม้กระทั่งโม่เซี่ยวเหนียงก็ได้รับชื่อใหม่ด้วยว่าฉู่เฉียวเสี่ยว ซึ่งมีเสียงคล้ายกับคำว่า ‘เซี่ยว’ ชื่อเดิมของนางพอดี

โม่เซี่ยวเหนียงจึงกล่าวว่า ‘ท่านพ่อท่านแม่ ชื่อนี้ออกเสียงยาก เอาไว้บันทึกให้สง่างามอยู่ในผังวงศ์ตระกูลก็พอแล้ว ยามปกติก็เรียกข้าว่าเซี่ยวเหนียงเช่นเดิมเถิด’

เรื่องที่โม่เซี่ยวเหนียงพูดถึงนี้คือเรื่องที่สกุลฉู่กำลังจะสร้างศาลบรรพชนและรวบรวมเรียบเรียงชื่อในผังวงศ์ตระกูลใหม่

เนื่องจากหมู่นี้ฮ่องเต้บรรทมไม่หลับกลางดึกอีกแล้ว จึงส่งคนมาถามเรื่องศาลบรรพชนของสกุลฉู่และตรัสว่าจะทรงเขียนป้ายลายพระหัตถ์ของตนเองเพื่อแสดงถึงความใกล้ชิดสนิทสนมกับแม่ทัพฉู่

แต่สกุลฉู่ไม่ได้เป็นตระกูลสูงศักดิ์มาก่อน ผังวงศ์ตระกูลก็บันทึกแบบขาดๆ หายๆ นับประสาอะไรกับศาลบรรพชน แต่ก็ไม่อาจขัดความปรารถนาดีของฮ่องเต้ได้ พวกเขาจึงต้องรีบเร่งจัดการ

ดังนั้นจึงฉวยโอกาสตอนที่ฉู่เซิ่นยังไม่หายบาดเจ็บและไม่ต้องเข้าประชุมราชสำนัก เดินทางกลับบ้านเกิดเพื่อจัดการเรื่องนี้อย่างเหมาะสมด้วยตนเอง และก่อนหน้านั้นก็ต้องสลัดกลิ่นอายบ้านนอกในชื่อของบรรดาบุตรที่บ้านไปก่อน จะได้เหมาะแก่การบันทึกลงผังวงศ์ตระกูล

แต่เรื่องปกติธรรมดาเช่นนี้ฉู่เฉียวอีกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาอีก นางหลุบตาเอ่ยขึ้น “ทุกคนเปลี่ยนเป็นชื่อที่สง่างามกันหมด แต่เหตุใดชื่อข้าถึงไม่ได้เปลี่ยนบ้างเล่า”

ฉู่เซิ่นที่ตอนนี้โทสะไม่ได้พลุ่งพล่านเหมือนสมัยหนุ่มๆ พอได้ยินคำพูดของฉู่เฉียวอีแล้วกลับมีท่าทางอ่อนโยนและไม่ได้โยนตะเกียบทิ้ง เพียงบอกนางเสียงเรียบ

“ที่บ้านมีเจ้าคนเดียวที่แต่งออกไปแล้ว ตอนนี้ถือว่าเจ้าเป็นคนของสกุลซั่น แล้วจะให้ข้าเปลี่ยนชื่อเจ้าได้อย่างไร หากเจ้าคิดว่าชื่อไม่ดีก็เอาพู่กันไปแก้เองในผังวงศ์ตระกูลเถิด แก้เป็นบรรพบุรุษของสกุลฉู่ จะได้สูงส่งมากพอ!”

บทที่ 91

จะว่าไปแล้วบรรดาบุตรในบ้านมีเพียงชื่อของฉู่เฉียวอีคนเดียวที่ตั้งใจตั้งให้ ฉู่เฉียวอีเป็นบุตรสาวคนโตและเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของฉู่เซิ่น ตอนนั้นขอให้อาจารย์ในหมู่บ้านตั้งชื่อให้ ถึงได้ชื่อที่ไพเราะเช่นนี้มา

แล้วโม่เซี่ยวเหนียงกับน้องสาวคนเล็กก็ใช้ตัว ‘เฉียว’ จากชื่อของฉู่เฉียวอีมิใช่หรือ ดังนั้นพอได้ยินว่าฉู่เฉียวอีไม่พอใจชื่อของตน ฉู่เซิ่นก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาบ้างแล้วเช่นกัน

ตอนนี้ที่บ้านก็นับว่าเป็นครอบครัวที่มีหน้ามีตาในเมืองหลวง มีทุกอย่างไม่ขาดแคลนอะไร แต่บุตรสาวของตนคนนี้มักจะหาเรื่องมาแข่งขันแย่งชิงตลอด ราวกับเขาเป็นหนี้นางอย่างไรอย่างนั้น

ฉู่เฉียวอีอธิบายด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจอย่างยิ่ง “ข้าไม่กล้าเปลี่ยนชื่อของตนเองส่งเดช ท่านพ่อก็ช่างปรักปรำข้าจริงๆ! ข้าแค่เห็นว่าบ้านเรามีเซี่ยนจู่ พวกสหายสนิทของข้าก็เอาแต่ถามว่าเหตุใดข้าถึงไม่ได้รับบรรดาศักดิ์บ้าง…ตอนนี้เด็กๆ ที่บ้านเปลี่ยนชื่อกันหมด แต่ข้าไม่ได้เปลี่ยนด้วย ไม่รู้ว่าพวกนางจะหัวเราะเยาะข้าลับหลังอย่างไรบ้าง…”

ซั่นเหวินจวี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ รู้สึกอับอายจนแทบอยากจะมุดลงไปใต้โต๊ะ เขาไม่กล้ายื่นมือไปปิดปากฉู่เฉียวอีตรงๆ จึงได้แต่ดึงแขนเสื้อของนางอยู่ใต้โต๊ะ

เมื่อฉู่เฉียวอีอยู่กับครอบครัวของตนเองก็ไม่ได้คิดจะรักษาภาพลักษณ์ นางเพียงสะบัดมือแล้วกล่าวว่า “ท่านทำอะไร จะดึงแขนเสื้อข้าขาดอยู่แล้ว!”

ฉู่เซิ่นไม่รู้จริงๆ ว่าฉู่เฉียวอียังฝังใจเรื่องบรรดาศักดิ์เซี่ยนจู่ ตอนนี้พอได้ยินนางพูดออกมาตรงๆ จากที่ตอนแรกโกรธเคืองบุตรสาวกลับกลายเป็นขบขันแทน

เขาวางตะเกียบลงแล้วพูดกับฉู่เฉียวอีว่า “ตำแหน่งที่ฮ่องเต้พระราชทานนั้นไม่ใช่เพราะเซี่ยวเหนียงเป็นบุตรสาวข้าเพียงอย่างเดียว แต่เพราะนางเป็นคู่หมั้นของฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องด้วย การแต่งตั้งนางเป็นเซี่ยนจู่เป็นการให้เกียรติฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องที่มีความดีความชอบในการปราบปรามกบฏ หากเจ้าอิจฉาก็จงปรนนิบัติดูแลสามีให้ดี ให้เขาไม่ต้องกังวลเรื่องภายในเรือน จะได้ทุ่มเททำงานรับใช้ราชสำนัก หากเขาได้รับการปูนบำเหน็จเลื่อนขั้น เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะเป็นนายหญิงตราตั้งหรือเซี่ยนจู่ก็ย่อมได้”

ซั่นเหวินจวี่เองก็รีบกล่าวขึ้น “เป็นเพราะบุตรเขยอย่างข้าไม่ได้ความ ตอนนี้เป็นเพียงอาลักษณ์ลำดับรองขั้นห้าเท่านั้น ไม่อาจช่วงชิงเกียรติยศมาให้ท่านพ่อได้”

ตอนนี้ฉู่เซิ่นถึงได้รู้ตัวว่าตนเผลอเอยพาดพิงบุตรเขยคนรองเข้า จึงรีบรินสุราให้บุตรเขยคนรองด้วยตนเองแล้วกล่าวขึ้น

“ตอนที่บิดาเจ้ายอมให้เจ้าแต่งบุตรสาวที่ไม่ได้ความของข้าเป็นภรรยา ข้าก็รู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณแล้ว จนถึงตอนนี้บ้านเจ้าก็ดูแลนางเป็นอย่างดี ข้าเองก็ซาบซึ้งใจ ทั้งบ้านเรามีเจ้าเป็นขุนนางบุ๋นเพียงคนเดียว ต่อไปอนาคตเจ้ายังอีกยาวไกล จะมีอะไรไม่ได้ความกันเล่า พวกเจ้าสองสามีภรรยากลมเกลียว ครอบครัวสงบสุข นั่นคือสิ่งที่ข้าหวังมากที่สุดในฐานะบิดาแล้ว…”

สุดท้ายเมื่อได้ยินบิดากล่าวเช่นนี้ ฉู่เฉียวอีก็หยุดตัดพ้อ หลังจากที่ทั้งครอบครัวกินเกี๊ยวหมูป่ากันอย่างชื่นมื่นเสร็จแล้ว ซั่นเหวินจวี่จึงขอลาพ่อตาและแม่ยาย ปล่อยให้ฉู่เฉียวอีพักอยู่กับครอบครัวสักสองสามวัน ส่วนตนก็กลับไปก่อน

ความจริงแล้วสาเหตุที่ฉู่เฉียวอีอยู่ต่อเป็นเพราะหมอผู้เชี่ยวชาญด้านโรคสตรีที่เคยเสาะหามานานได้เดินทางมาถึงเมืองหลวงแล้ว ฉู่เฉียวอีอยู่ที่บ้านจะได้ตรวจอาการสักหน่อย ให้หมอช่วยปรับสภาพร่างกายเพื่อเตรียมตัวมีบุตรสืบสกุลให้สกุลซั่น

ฉู่เฉียวอีไม่มีวี่แววว่าจะตั้งครรภ์อีก ก่อนหน้านี้ฮูหยินสกุลซั่นก็ซื้อสาวใช้มาแล้ว อีกสองวันเตรียมจะให้นางแต่งเข้าห้องบุตรชาย แต่นึกไม่ถึงว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในวังหลวงขึ้นเสียก่อน

เมื่อเห็นว่าบิดาของฉู่เฉียวอีมีตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ และกลายเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่ง อีกทั้งเป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ อารมณ์ฉู่เฉียวอีก็รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน จึงด่าว่าตบตีสาวใช้ที่ยังไม่เข้าพิธีคนนั้นจนแทบดูไม่ได้

นอกจากนี้ยังมีการไว้ทุกข์ให้รัชทายาท หากบุตรชายรับอนุก็เท่ากับแสดงให้เห็นว่าไม่สนใจการไว้ทุกข์และคำนึงถึงแต่ความสุขสำราญของตน ดังนั้นพอฮูหยินสกุลซั่นจึงชั่งน้ำหนักดูแล้วจึงขายสาวใช้คนนั้นไปเมื่อหลายวันก่อน

สกุลซั่นให้เกียรติ แต่คนสกุลฉู่ก็ไม่ควรเห็นเป็นเรื่องธรรมดา จึงต้องรักษาโรคของบุตรสาวให้หายโดยไว เพื่อสืบสกุลให้สกุลซั่นในเร็ววัน

แม้ฉู่เฉียวอีจะอิจฉาโม่เซี่ยวเหนียงทุกเรื่อง แต่ความจริงแล้วโม่เซี่ยวเหนียงคิดว่าตนควรจะอิจฉาฉู่เฉียวอีมากกว่า ฉู่เฉียวอีมีครอบครัวและบิดามารดาสามีที่มีคุณธรรมซื่อตรงเช่นนั้น แม้แต่เรื่องที่จะรับนางบำเรอให้บุตรชายก็ยังทำไม่ลง ช่างหาได้ยากยิ่งนักในสมัยโบราณ

หากทำได้นางก็อยากจะสลับตัวกับฉู่เฉียวอีจริงๆ ตำแหน่งเซี่ยนจู่ที่ไร้ประโยชน์นี่นางไม่ได้ต้องการแม้แต่น้อย

หลังเดินมาส่งซั่นเหวินจวี่กลับไปแล้ว โม่เซี่ยวเหนียงก็หันกลับมาเห็นฮั่วสุยเฟิงที่ทำตัวติดกับนางตลอดเวลาราวกับยาหนังสุนัข นางจึงเอ่ยขึ้น

“จวิ้นอ๋อง ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ท่านควรจะกลับได้แล้ว”

เนื่องจากคนที่ออกมาส่งซั่นเหวินจวี่มีเพียงโม่เซี่ยวเหนียงกับฮั่วสุยเฟิงสองคน เวลานี้ที่หน้าประตูนอกจากคนเฝ้าประตูแล้วก็มีเพียงสาวใช้สองคนเท่านั้น

ฮั่วสุยเฟิงเอื้อมมือดึงโม่เซี่ยวเหนียงไปอยู่ใต้กำแพงมืดด้านข้าง

โม่เซี่ยวเหนียงไม่ทันระวัง นางสะดุ้งตกใจแล้วพูดอย่างโกรธเคือง “เจ้าจะทำอะไร!”

จู่ๆ ฮั่วสุยเฟิงก็ก้มลงจุมพิตแก้มนางคราหนึ่ง “ข้าก็จะไปแล้วเช่นกัน อยากคุยเรื่องส่วนตัวกับเจ้าสักหน่อย”

ตอนนี้คงเป็นเพราะมีพระราชโองการจากฮ่องเต้ลงมาแล้ว จวิ้นอ๋องน้อยผู้นี้จึงเริ่มมั่นใจในชัยชนะมากขึ้น เห็นพี่สาวสกุลฉู่เป็นเนื้ออันโอชะในจานของตนไปแล้ว แม้จะบอกว่ายังไม่ถึงเวลาอาหาร ไม่อาจกินได้อย่างจุใจ แต่การยื่นนิ้วออกมาลิ้มลองรสน้ำแกงเล็กน้อยนั้นย่อมต้องทำ

ฮั่วสุยเฟิงเพิ่งพูดจบก็ทำท่าจะเข้ามาจุมพิตอีกครั้ง แต่โม่เซี่ยวเหนียงรีบยกมือขึ้นปิดปากเขาไว้ พร้อมกับพูดเสียงเบาๆ อย่างขุ่นเคือง

“คิดว่ามาเที่ยวตรอกคณิกาหรือไร อยากจุมพิตก็จุมพิต ไม่กลัวหรือว่าข้าจะฟ้องท่านพ่อหรือ”

แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ไม่อาจเอาฉู่เซิ่นมาขู่ให้จวิ้นอ๋องน้อยกลัวได้อีกแล้ว เขาแค่เอ่ยด้วยความน้อยใจ “ตอนสหายร่วมงานดื่มสุรากันมักพูดกันว่าริมฝีปากของสตรีนั้นหวานยิ่งกว่าสุรา เสียดายที่ข้าโตจนป่านนี้แล้วกลับไม่เคยรู้รสชาติของมัน เจ้าช่วยทำให้ข้าได้รู้สักหน่อยเถิด แล้วต่อไปข้าจะไม่ทำอีก”

มือของโม่เซี่ยวเหนียงข้างนั้นเปลี่ยนมาหยิกแก้มเขาแรงๆ “สหายร่วมงานเช่นไรกัน ถึงได้พูดเรื่องเช่นนี้! ถ้าเจ้าอยากรู้ก็ไปหานางคณิกาที่รับหน้าที่ดื่มสุราเป็นเพื่อนเถิด พวกนางทุกคนอมไหน้ำผึ้งไว้ในปากทั้งนั้น! ถ้ายังกล้ามารบกวนข้าอีก ข้าจะไปทูลฮ่องเต้ให้พระองค์ทรงรู้ว่าเจ้าทำอะไรไว้บ้างในช่วงที่ยังไว้ทุกข์อยู่!”

คราวนี้จวิ้นอ๋องน้อยจึงปล่อยมือในที่สุด แต่ยังคงฉุดรั้งโม่เซี่ยวเหนียงอยู่และยืนอ้อยอิ่งอยู่ใต้กำแพงมืดนานพักใหญ่

เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงส่งตัววุ่นวายนั่นจากไปแล้ว หานเยียนที่อยู่ข้างๆ ก็รีบเข้ามากระซิบว่า “คุณหนู ผมท่านยุ่งหมดแล้ว…”

โม่เซี่ยวเหนียงจึงต้องหยิบคันฉ่องพกขนาดเล็กจากมือหานเยียนมาหวีผมของตน แต่หวีไปเรื่อยๆ ในใจก็หงุดหงิดขึ้นมาอีก นึกถึงตอนที่นางหมั้นหมายกับเซิ่งเซวียนก็ไม่เห็นคุณชายเซิ่งจะบ้าตัณหาเช่นนี้ นางกับเขารักษามารยาทอย่างเหมาะสม เพียงแต่ในจดหมายที่ส่งหากันอาจมีความใจกล้าขึ้นมาสักหน่อย แสดงความรักภายในใจออกมาอย่างอาจหาญ

เมื่อนึกถึงความรักบริสุทธิ์ไร้เรื่องชู้สาวระหว่างเพื่อนทางจดหมายเมื่อครั้งนั้นแล้วนึกถึงเจ้าลูกหมาป่าที่เมื่อครู่แทบจะแลบลิ้นน้ำลายไหล ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับดินจริงๆ!

อีกทั้งฮั่วสุยเฟิงยังใจกล้าบ้าบิ่นถึงขั้นทำตัวเหิมเกริมหน้าจวนสกุลฉู่เช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าสมกับที่เป็นพระเอกในนิยายแนวฮาเร็ม นอกจากการต่อสู้แย่งชิงอำนาจทางการเมืองก็ฉวยโอกาสกับสตรีเมื่อสบช่องแม้เพียงเล็กๆ น้อยๆ ไม่ปล่อยให้หน้ากระดาษเสียเปล่าแม้แต่นิดเดียว

หลังจากโม่เซี่ยวเหนียงหวีผมเสร็จก็รู้สึกว่าแก้มจนเองในคันฉ่องแดงเรื่อ ทั้งยังรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั่วร่างอย่างบอกไม่ถูก นางจึงไม่รีบกลับเข้าจวน อยู่รับลมเย็นที่หน้าประตูสักพักก่อนจะหันกายเดินเข้าไป

 

วันพรุ่งนี้ฉู่เฉียวอีเตรียมตัวจะไปพบหมอ ต้องทำความสะอาดร่างกายก่อนเพื่อฝังเข็มปรับเลือดลม นางจึงอาบน้ำล่วงหน้า พอเช้าวันรุ่งขึ้นก็พร้อมพบหมอได้ทันที

หลังจากอาบน้ำเสร็จ ฉู่เฉียวอีนั่งกินองุ่นอยู่ที่ลานเล็ก พอเห็นโม่เซี่ยวเหนียงเพิ่งกลับมาก็อดเอ่ยอย่างอิจฉาไม่ได้

“แค่ไปส่งคนเท่านั้น นานถึงเพียงนี้เชียว มีอะไรที่คุยกันไม่จบไม่สิ้นหรือ สมัยก่อนพวกเจ้าเล่นด้วยกันยังคุยกันไม่พอเช่นนั้นหรือ”

โม่เซี่ยวเหนียงอดทนกับฉู่เฉียวอีมาตลอดทั้งเย็น ตอนนี้ไม่อยากจะทนอีกแล้ว จึงหันกายเดินกลับเรือนของตน ทว่าฉู่เฉียวอีมองเห็นสีหน้าของโม่เซี่ยวเหนียงไม่ชัดเจน จึงเดินตามมาแล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เจ้าว่าเหตุใดฮ่องเต้จึงพระราชทานเจ้าแก่เขา พระองค์ไม่รู้หรือว่าพวกเจ้าอายุห่างกันเพียงใด เจ้ากับท่านพ่อกลับมาช้ากว่าสุยเฟิงหลายวัน คงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้องค์หญิงเสาหวาเคยหมายตาสุยเฟิงไว้ หลายครั้งที่งานเลี้ยงนางมักจะรีบเข้าไปพูดคุยกับเขา อีกทั้งบุตรสาวขี้โรคของนางคนนั้นก็รีบตามมาด้วย เรียกสุยเฟิงว่าญาติผู้พี่ ข้าเห็นแล้วก็รู้ว่านางถูกใจเขา แต่นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายสุยเฟิงจะแต่งงานกับเจ้า…”

โม่เซี่ยวเหนียงรู้ดียิ่งกว่าฉู่เฉียวอีว่าองค์หญิงเสาหวาเป็นคนเช่นไร ฝ่ายนั้นไม่มีทางโมโหตาย แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นจริง ก่อนหน้านั้นนางก็จะลากคนที่ทำให้ตนเองโมโหตายมาสับเป็นพันชิ้นหมื่นชิ้นก่อน

สิ่งสำคัญที่สุดคือก่อนหน้านี้องค์หญิงเสาหวาก็เคยหมายตาเซียวเยวี่ยเหอ ทว่าเซียวเยวี่ยเหอมีใจให้โม่เซี่ยวเหนียง จึงทำให้องค์หญิงเสาหวาก่อเรื่องใหญ่โต จ้างพวกโจรมาลักพาตัวนาง

แล้วตอนนี้องค์หญิงเสาหวายังหมายตาฮั่วสุยเฟิงอีก แต่ฮั่วสุยเฟิงกลับจะแต่งงานกับโม่เซี่ยวเหนียง เรื่องนี้จะไม่ทำให้องค์หญิงเสาหวาโกรธจนโทสะปะทุหรือ

แต่ตอนที่โม่เซี่ยวเหนียงถามฉู่เฉียวอีว่าองค์หญิงเสาหวาเคยเจรจาเรื่องแต่งงานกับฮั่วสุยเฟิงหรือไม่ ฉู่เฉียวอีกลับไม่รู้เรื่อง แต่นึกขึ้นได้ว่าเหมือนงานเลี้ยงในวังครั้งสุดท้ายก่อนเกิดการก่อกบฏ หานอวิ้นเซี่ยนจู่นามหวันหวั่นผู้นั้นนั่งอยู่ในงานเลี้ยงครู่หนึ่งแล้วก็หายตัวไป

หลังจากนั้นก็ไม่เห็นสองแม่ลูกคู่นี้ปรากฏตัวอีก

โม่เซี่ยวเหนียงนึกถึงวิธีการอันโหดเหี้ยมขององค์หญิงเสาหวาแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาทันที

วันถัดมา โม่เซี่ยวเหนียงจึงไปถามฮั่วสุยเฟิงที่มาขอกินอาหารว่า “องค์หญิงเสาหวาเคยเจรจาเรื่องแต่งงานกับเจ้าหรือไม่”

ฮั่วสุยเฟิงเห็นสีหน้าตึงเครียดราวกับเผชิญกับศัตรูร้ายกาจของนางแล้วก็คลี่ยิ้มบางๆ “ข้าเป็นเพียงญาติห่างๆ ของเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังตกอับ แน่นอนว่าไม่กล้าล่วงเกินพระธิดาองค์โปรดของฝ่าบาท อีกทั้งเหมาะสมกับบุตรสาวขี้โรคของนางพอดี นางย่อมเคยกล่าวถึงเรื่องแต่งงาน”

โม่เซี่ยวเหนียงได้ยินคำตอบแล้วก็รู้สึกปวดศีรษะ นางรีบถามต่อด้วยความกังวล “แล้วเจ้าตอบไปว่าอย่างไร”

ฮั่วสุยเฟิงจงใจแสร้งทำเป็นเงียบ รอจนโม่เซี่ยวเหนียงอยากรู้จนทนไม่ไหวและจะยื่นมือมาดึงหูเขา เขาถึงค่อยๆ ตอบ

“นางเพิ่งจะเอ่ยปาก บุตรสาวของนางก็ดื่มสุราในงานเลี้ยงจนเมามายแล้วไปทำเรื่องบัดสีกับบุตรชายขององค์ชายรองในตำหนักข้างเคียง ถูกนางกำนัลจับได้แล้วทูลรายงานต่อฮ่องเต้ ฮ่องเต้กริ้วอย่างยิ่ง ทรงเรียกองค์หญิงเสาหวาไปดุด่าในห้องทรงพระอักษรว่ามารดาเป็นเช่นไร บุตรก็เป็นเช่นนั้น ครอบครัวนี้ประพฤติตนไม่เหมาะสม ทำให้ราชสำนักเสื่อมเสีย นางจึงไม่มีเวลามาตอแยข้าอีก”

ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ฮั่วสุยเฟิงพูด เหตุการณ์วุ่นวายในตอนนั้นทำให้คนที่รู้เรื่องตกตะลึงอ้าปากค้างกันทั้งนั้น

ฮั่วเวยบุตรชายชายาเอกขององค์ชายรองนั้นมีภรรยาเอกอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้เหตุการณ์นี้จึงจบลงยาก องค์หญิงเสาหวาอยากให้ฮั่วเวยหย่าภรรยาและแต่งบุตรสาวของนางเป็นภรรยาเอกแทน

แต่น่าเสียดายที่ภรรยาเอกของฮั่วเวยเป็นบุตรสาวแท้ๆ ของน้องสาวภรรยาของน้องชายเชียนฮุ่ยกุ้ยเฟยผู้ล่วงลับ จึงนับว่ามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันหลายชั้น

แม่ยายของบุตรชายองค์ชายรองเป็นน้องสาวภรรยาของน้องชายเชียนฮุ่ยกุ้ยเฟย อาศัยเส้นสายของพระมาตุลา พระมาตุลาผู้นี้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ตั้งแต่เด็ก ไม่เกรงกลัวองค์หญิงเสาหวาที่มีนิสัยเอาแต่ใจอยู่แล้ว นึกถึงครั้งนั้นมารดาขององค์หญิงเสาหวาก็แข่งขันกับพี่สาวเขาเพื่อที่จะได้รับความโปรดปรานของฮ่องเต้อยู่หลายครั้งหลายครา แล้วมีความจำเป็นอะไรที่เขาจะต้องไว้หน้านางด้วย

พอได้ยินว่าองค์หญิงเสาหวาเร่งให้หลานเขยบ้านตนหย่าหลานสาวของเขา เขาจึงบุกไปถึงจวนทะเลาะกับองค์หญิงเสาหวาจนอลหม่านวุ่นวายยังไม่พอ ถึงกับคว้ากรรไกรมาตัดผมองค์หญิงเสาหวาแล้ววิ่งไปร้องไห้หน้าหลุมฝังศพของพี่สาวที่ด่วนจากไป พร้อมกับบอกว่าตอนนี้ครอบครัวถูกรังแกจนเป็นเช่นนี้

องค์หญิงเสาหวาเคยได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้เสียที่ไหน นางอาละวาดไปถึงในวัง ร้องขอความเป็นธรรมจากฮ่องเต้โดยเอาผมที่เหมือนถูกสุนัขกัดมาให้ดู ต้องการจะให้ฮั่วเวยหย่าภรรยาให้จงได้และแต่งตั้งบุตรสาวของนางเป็นภรรยาเอกแทน

แน่นอนว่าหลังจากนั้นก็เกิดเหตุการณ์กบฏขององค์ชายรอง องค์หญิงเสาหวาและบุตรสาวของนางก็ถูกชายาเหลียนเฟยหลอกเข้าไปในวังด้วยเช่นกัน

กล่าวกันว่าตอนนั้นพวกองครักษ์รวมตัวกันอยู่ในห้องหนึ่ง ย่ำยีสองแม่ลูกคู่นี้จนหมดสภาพ มองคราเดียวก็รู้ว่าพระมาตุลาเล่นสกปรกเพื่อระบายความโกรธ

เมื่อเหตุการณ์กบฏในวังสงบลง ตอนที่หาสองแม่ลูกคู่นั้นพบ พวกนางก็เสียสติไปแล้ว ฮ่องเต้เองก็ยอมรับเรื่องอัปยศเช่นนี้ไม่ได้ จึงปรึกษากับราชบุตรเขย ต้องการปกปิดเรื่องนี้ไม่ให้ผู้อื่นรู้ จึงส่งสองแม่ลูกไปไกลจากเมืองหลวง

โม่เซี่ยวเหนียงเองก็เพิ่งได้ใคร่ครวญเรื่องนี้ในภายหลัง รู้สึกสงสัยขึ้นมาว่าการก่อกบฏอย่างรีบเร่งขององค์ชายรองนั้นเป็นเพราะถูกสตรีใจหยาบอย่างองค์หญิงเสาหวากดดันหรือไม่

เพียงแต่เหตุใดหานอวิ้นเซี่ยนจู่ถึงได้ยอมมีสัมพันธ์ลับๆ กับญาติผู้พี่ฮั่วเวยที่มีพุงพลุ้ยและดูดิบเถื่อนผู้นั้น ซึ่งก็เป็นปริศนาที่ยังไม่อาจคลี่คลายได้

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 27 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: