X
    Categories: ทดลองอ่านฟูมฟักจอมราชันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 92-93

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 92

แม้จะไม่ทราบเรื่องราวภายในของเรื่องอื้อฉาวในราชวงศ์เรื่องนี้ แต่เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงได้ยินว่าองค์หญิงเสาหวาและบุตรสาวต้องออกจากเมืองหลวงไปไกล นางก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ

ส่วนฉู่เฉียวอี หลังจากที่หมอตรวจดูแล้ว แค่บอกว่าการแท้งบุตรครั้งก่อนไม่ได้พักฟื้นให้ดี มีปัญหาระดูมาไม่ปกติ กินยาสมุนไพรปรับสมดุลสักหน่อยก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว

พอได้ยินเช่นนั้นฉู่เฉียวอีก็ถอนหายใจยาว อารมณ์ดีขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องบรรดาศักดิ์เซี่ยนจู่และเรื่องเปลี่ยนชื่ออีก

ไม่กี่วันต่อมา ซั่นเหวินจวี่ก็กลับมารับฉู่เฉียวอี สองสามีภรรยากลับบ้านกันไปอย่างรักใคร่กลมเกลียว

ตอนนี้เรื่องสำคัญของสกุลฉู่คือกลับไปสร้างศาลบรรพชนที่บ้านเกิด

เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นยุคโบราณหรือยุคปัจจุบันล้วนเป็นเรื่องใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นฮ่องเต้พระราชทานป้ายที่เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของตนเอง กระเบื้องหลังคาของศาลจึงยิ่งไม่ควรดูซอมซ่อ

ดังนั้นโม่เซี่ยวเหนียงในฐานะนายหญิงผู้ดูแลบ้านจึงต้องว่าจ้างช่างก่อสร้างชื่อดังในเมืองมาวาดภาพแบบร่าง ทั้งยังจ้างพวกช่างปูนช่างกระเบื้องในราคาสูง พร้อมทั้งเลือกซื้อวัสดุดีๆ กลับบ้านเกิด

การสร้างเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูลและกลับบ้านอย่างผู้มีเกียรติถือเป็นความปรารถนาในใจของบุรุษผู้มีปณิธานทุกคน ฉู่เซิ่นเองก็ไม่ต่างกัน จึงอาศัยช่วงที่จะสร้างศาลบรรพชนพาครอบครัวกลับไปด้วยกัน

เนื่องจากต้าฉินให้ความสำคัญกับเกษตรกรรม ในราชวงศ์นี้จึงมีการอนุญาตให้ลาหยุดช่วงเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วง ให้ขุนนางที่มีภูมหลังมาจากชนบทกลับบ้านเกิดไปช่วยเหลือชาวนา สังเกตขนบธรรมเนียมของผู้คน และสัมผัสวิถีชีวิตของราษฎรได้

ฉู่เฉียวอีเองก็ไม่อยากพลาดโอกาสอวดบารมีต่อหน้าชาวบ้าน จึงให้สามีลาหยุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงแล้วเดินทางกลับบ้านพร้อมกัน

น่าเสียดายที่ฮั่วสุยเฟิงมีงานที่ต้องรับผิดชอบ ได้ยินว่าเสด็จอาที่โม่เป่ยของเขาหาเรื่องมาให้อีกแล้ว เขาจึงต้องรีบเดินทางกลับไปจัดการ

แต่ก่อนจะจากไปฮั่วสุยเฟิงได้ปรึกษาฉู่เซิ่นเรื่องการแต่งงานกับโม่เซี่ยวเหนียงอย่างจริงจัง

ตอนนี้ช่วงไว้ทุกข์ยังผ่านไปไม่ถึงครึ่งทาง เหลือเวลาอีกครึ่งปีกว่า ความตั้งใจของฮั่วสุยเฟิงคือรอให้ศาลบรรพชนของสกุลฉู่สร้างเสร็จแล้ว ซึ่งก็เป็นเวลาอีกเดือนกว่าๆ จากนั้นพอคำนวณเวลาเดินทางไปกลับก็ใกล้ถึงเวลาแต่งงานพอดี เทียบกับการเดินทางไปกลับที่ลำบาก มิสู้ครั้งนี้เขารับโม่เซี่ยวเหนียงกลับโม่เป่ยไปด้วยกันดีกว่า รอให้หมดช่วงไว้ทุกข์แล้วก็จัดพิธีแต่งงานที่จวนจวิ้นอ๋องที่โม่เป่ย

ฉู่เซิ่นได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วทันที คิดว่าในเรื่องนี้มีความใจร้อนแบบเด็กหนุ่มแฝงอยู่ จึงตอบกลับไปว่า “ข้ากับมารดาบุญธรรมเจ้ายังแข็งแรงดีอยู่ทั้งคู่ แล้วจะส่งบุตรสาวไปให้เจ้าโดยที่ยังไม่ได้เข้าพิธีแต่งงานได้อย่างไร”

เมื่อได้ยินบิดาบุญธรรมถามขึ้นมา ฮั่วสุยเฟิงก็ไม่ได้แสดงอาการรีบร้อน เพียงตอบว่าในพระราชโองการระบุชัดเจนว่าเมื่อการไว้ทุกข์สิ้นสุดลงต้องจัดพิธีแต่งงานทันที เขาไม่ได้รีบร้อน แค่กลัวว่าจะล่าช้าออกไปแล้วจะเป็นการขัดพระราชโองการ

ฉู่เซิ่นผ่านการหล่อหลอมจากบรรดาบุตรที่บ้านจนแผ่ความสงบเยือกเย็นออกมาราวกับพระพุทธองค์ ตอบบุตรชายบุญธรรมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน

“หากเจ้ารีบก็คำนวณเวลากลับมาจัดพิธีแต่งงานที่เมืองหลวงให้แม่นยำ ส่วนที่ว่ากลัวจะล่าช้าออกไปแล้วจะถูกฝ่าบาทตำหนิ ข้าสามารถเข้าวังไปขออภัยโทษจากฝ่าบาทได้ ขอให้ทรงถอนพระราชโองการแล้วพระราชทานหญิงที่มีเรือนอยู่ที่โม่เป่ยให้จวิ้นอ๋อง เพื่อไม่ให้จวิ้นอ๋องแต่งงานกับคู่ครองที่เหมาะสมกันล่าช้า…”

ฮั่วสุยเฟิงประสานมือคารวะแล้วตอบว่า “นี่จะไม่เท่ากับว่าทำให้ข้ากลายเป็นคนอกตัญญูหรือ จะปล่อยให้ท่านพ่อไปบังคับให้ฝ่าบาททรงถอนพระราชโองการที่ล้ำค่าดั่งทองคำจนได้รับความโกรธเกรี้ยวดั่งสายฟ้าฟาดได้อย่างไรกัน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าค่อยกลับมารับเซี่ยวเหนียงที่เมืองหลวงอีกครั้งก็ได้”

ความคิดของฮั่วสุยเฟิงที่จะพาโม่เซี่ยวเหนียงกลับไปโม่เป่ยด้วยจึงยุติลงแต่เพียงเท่านี้

บ่าวรับใช้สกุลฉู่ทั้งหมดเก็บสัมภาระ เตรียมรถม้าและเรือ อีกไม่กี่วันก็จะออกเดินทางกลับบ้านเกิดไปสร้างศาลบรรพชนแล้ว

ก่อนออกเดินทางฮั่วสุยเฟิงได้ชวนโม่เซี่ยวเหนียงไปล่องเรือชมทะเลสาบ นางจึงพาเซิ่งเกอกับน้องสาวคนเล็กไปด้วย

สองพี่น้องตัวเล็กเล่นซุกซนกันไม่หยุดหย่อน

ฮั่วสุยเฟิงเห็นโม่เซี่ยวเหนียงเล่นกับเด็กทั้งสองก็ยิ้มอย่างมีความหมายลึกซึ้ง ก่อนหาโอกาสเข้าไปถามนางใกล้ๆ

“กลัวว่าข้าจะดึงเจ้าไปยืนใต้กำแพงอีกหรือ”

โม่เซี่ยวเหนียงทัดผมไว้หลังใบหู ไม่สนใจเขา เฝ้าหยอกเย้าน้องสาวคนเล็กที่เขาอุ้มอยู่เล่น

ฮั่วสุยเฟิงจึงไปซื้อขนมถั่วหวานจากร้านเล็กๆ ริมทะเลสาบ เกลี้ยกล่อมให้เด็กสองคนไปกินขนมและจับตั๊กแตนที่สนามหญ้าข้างๆ จากนั้นหาหินก้อนใหญ่เรียบๆ ให้โม่เซี่ยวเหนียงนั่ง

พวกสาวใช้และบ่าวรับใช้ต่างยืนอยู่ห่างๆ ทั้งสองจึงมีเวลาคุยกันเป็นส่วนตัว

“ข้ากลับไปจัดการเรื่องทางโม่เป่ยเสร็จแล้วจะกลับมารับเจ้า เจ้าทำตัวดีๆ อยู่กับท่านพ่อท่านแม่บุญธรรมรอข้าดีๆ เล่า”

โม่เซี่ยวเหนียงยังคงมีคำถามอยู่ในใจมาโดยตลอด นางคิดว่าตนเองปฏิบัติต่อน้องชายน้องสาวไม่ต่างกัน แล้วเหตุใดฮั่วสุยเฟิงที่เดิมทีควรมีสตรีรายล้อมจึงยืนกรานที่จะเลือกนาง นางจึงฉวยโอกาสนี้ถามเขา

“มีสตรีมากมายไม่เลือก เหตุใดถึงมาตามตอแยข้า เจ้าก็รู้แก่ใจดีว่าเราอายุห่างกันเท่าไร ความเป็นพี่สาวน้องชายที่มีต่อกันในตอนแรกไม่ดีหรือ ไยต้องทำให้กลายเป็นคู่แต่งงานที่ไม่ลงรอยกันด้วย”

ฮั่วสุยเฟิงกำลังแกะห่อกระดาษน้ำมันของขนมถั่วเขียวให้นาง พอได้ยินนางถามเช่นนั้น เขาก็เงยหน้าขึ้นมองนางด้วยแววตาลึกซึ้ง

“เจ้าก็รู้อยู่แล้วว่าข้าไม่ชอบฟังคำพูดเช่นนี้ แต่ก็ยังจะพูดขึ้นมาอีก หากเจ้ารักและเคารพข้าในฐานะสามีของเจ้า แล้วเราจะเป็นคู่แต่งงานที่ไม่ลงรอยกันได้อย่างไร”

โม่เซี่ยวเหนียงรู้สึกว่าการพูดคุยเรื่องความเข้าใจกันอย่างลึกซึ้งและเรื่องช่องว่างระหว่างวัยกับเด็กหนุ่มในยุคโบราณคงเป็นเรื่องที่ซับซ้อนเกินไป นางจึงถามต่ออย่างตรงไปตรงมา

“หากข้าอายุสี่สิบปีแล้วเจ้าก็เพิ่งจะอยู่ในวัยสามสิบปี กำลังเป็นช่วงเวลาที่ดี เจ้าลองคิดดูเถิด ท่านป้าอายุสี่สิบกว่าปี เจ้ายังจะรักอยู่อีกหรือ”

ฮั่วสุยเฟิงแกล้งดึงเปียยาวของนางที่รวบไว้ที่บ่าเบาๆ “เจ้าคงไม่รู้ว่าในตรอกคณิกาที่เมืองหลวงมีคนชอบหาแต่หญิงวัยกลางคนโดยเฉพาะ บอกว่าเอาใจเก่งกว่าเด็กสาว ก่อนหน้านี้ไม่นานยังมีคุณชายอายุสิบแปดปีคนหนึ่งโวยวายอยากรับสตรีวัยสี่สิบปีเป็นอนุอยู่เลย ทำเอามารดาของเขาร่ำไห้ทุกวัน บอกว่านี่ไม่ใช่รับอนุแล้ว แต่เป็นการรับมารดากลับมาอย่างเห็นได้ชัด เทียบกับคู่ของเขาแล้ว อายุของเราสองคนเหมาะสมกันอย่างยิ่ง ห่างกันเพียงสามปีเท่านั้น…”

เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงได้ยินเขาเอาเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ในตรอกคณิกามาเปรียบเทียบก็หงุดหงิดจนเอามือฟาดหลังเขา

“นี่มันเรื่องน่ารังเกียจอะไรกัน เจ้าเคยไปที่นั่นหรือ แล้วอีกอย่างเราสองคนอายุห่างสามปีเมื่อไรกัน เจ้าเห็นข้าเป็นคนโง่ คำนวณอายุไม่เป็นหรือ”

ฮั่วสุยเฟิงชอบมองท่าทางโกรธของนางเป็นที่สุด พอเห็นพี่สาวสกุลฉู่ทำแก้มป่อง เขาก็หัวเราะออกมา “ข้าจะมีเวลาเพียงนั้นได้อย่างไร เวลากลับจวนมาหาเจ้ายังมีไม่พอด้วยซ้ำ แค่ได้ยินสหายร่วมงานคุยกันในกรมทหารเท่านั้นเอง”

หลังล่องเรือชมทะเลสาบเสร็จแล้ว ฮั่วสุยเฟิงก็กำชับโม่เซี่ยวเหนียงว่าอย่าลืมเขียนจดหมายถึงเขาและต้องเย็บเสื้อชั้นในให้เขาด้วย

โม่เซี่ยวเหนียงไม่ตอบอะไร พาน้องชายน้องสาวทั้งสองกลับจวนโดยไม่หันกลับมามอง

เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงนั่งอยู่บนเรือ ตอนที่มองคลื่นน้ำสีเขียวมรกตและต้นเฟิง สีแดงหนาทึบริมฝั่งทั้งสองด้าน ความรู้สึกอึดอัดในใจที่มีมานานหลังจากการพระราชทานสมรสก็บรรเทาลงในทันตา

เมื่อออกจากเมืองหลวง ห่างไกลจากการชิงไหวชิงพริบ ได้สูดกลิ่นหอมของทุ่งนาและผลไมก็นับว่าได้กลับมาในชนบทท้องทุ่งที่โม่เซี่ยวเหนียงชื่นชอบที่สุดเสียที ส่วนฉู่เฉียวอีเองก็ดูมีความสุขเต็มที่ เรียกโม่เซี่ยวเหนียงให้เอาแหมาดักปลาตัวใหญ่ในน้ำด้วยกัน ขณะที่น้องสาวคนเล็กกับเซิ่งเกอก็หัวเราะอย่างร่าเริง ร้องให้พี่สาวทั้งสองช่วยจับปลาให้พวกเขากิน

แต่สุดท้ายการกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดอย่างเรียบง่ายก็สร้างความตื่นตระหนกให้คนท้องที่ ขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งแห่งราชสำนักกลับบ้านเกิดกลายเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งในหมู่บ้าน

เจ้าเมืองและผู้ช่วยนายอำเภอในท้องที่ต่างออกมารอคอยท่านแม่ทัพและครอบครัวกลับมาด้วยความเคารพ ขณะที่อยู่ห่างจากหมู่บ้านเป็นระยะทางหลายสิบหลี่

ฉู่เซิ่นจึงต้องโอภาปราศรัยกับเหล่าขุนนางท้องถิ่นเล็กน้อย

อาจเพราะตอนนั้นเรื่องชาติกำเนิดของหูซื่อเกือบถูกเปิดเผย ฉู่เซิ่นจึงเตรียมพร้อมนานแล้วที่จะกลับมาอยู่บ้านเกิดทำนาเก็บค่าเช่า

เขาซื้อที่ดินกว้างใหญ่ที่บ้านเกิดและซื้อคฤหาสน์หลังหนึ่งใกล้ทะเลสาบอี้ ส่งคนที่ไว้ใจได้ไปซ่อมแซมมิได้ขาด เปลี่ยนโฉมคฤหาสน์ให้ดูใหม่เอี่ยมแต่เนิ่นๆ แล้ว

ชาวบ้านรู้เพียงว่ามีขุนนางจากเมืองหลวงถูกใจคฤหาสน์หลังนี้ แต่ไม่รู้ว่าเจ้าของมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไร

จนเมื่อเร็วๆ นี้มีผู้ดูแลจากสกุลฉู่ที่กลับมาจัดการธุระเล็กๆ น้อยๆ และสั่งการให้บ่าวรับใช้เข้าๆ ออกๆ จึงมักจะเห็นบ่าวรับใช้ใส่ชุดใหม่ที่สะอาดเรียบร้อยขนย้ายเครื่องเรือนใหม่เอี่ยมทาสีจนมันวาวหรูหราโอ่อ่าเข้ามาในคฤหาสน์ครั้งแล้วครั้งเล่า

ชาวบ้านที่ทนความอยากรู้อยากเห็นไม่ไหวก็พยายามสืบข่าวจากหลายทาง จนได้ยินจากบ่าวไพร่ที่ได้รับการว่าจ้างมาว่าที่แท้คนที่ซื้อคฤหาสน์หลังนี้คือฉู่เซิ่นที่จากบ้านไปเป็นขุนนางในเมืองหลวง!

พึงรู้ว่าสำหรับชนบทที่ห่างไกล ในปีหนึ่งพ่อค้าที่เข้าไปค้าขายในเมืองหลวงนั้นมีเพียงไม่กี่คน ต่อให้ไปบ้างเป็นบางครั้งก็ไม่ได้คิดจะสืบข่าวว่าฉู่เซิ่นดำรงตำแหน่งขุนนางเป็นอย่างไร

และทางบ้านใหญ่สกุลฉู่ แม้ฉู่เซิ่นจะให้คนมาส่งของทุกปี ทว่าของขวัญมาถึงแต่คนไม่มา ดังนั้นฉู่จิ่นในฐานะที่เป็นพี่ใหญ่ก็ไม่รู้เช่นกันว่าตอนนี้ฉู่เซิ่นเจริญรุ่งเรืองไปถึงขั้นไหนแล้ว

เมื่อข่าวว่าเจ้าของคฤหาสน์คือแม่ทัพฉู่เซิ่นขุนนางขั้นหนึ่งของราชสำนักถูกแพร่ออกไป ชาวบ้านในท้องที่ก็ตกใจจนเบิกตากว้าง

เมื่อกลับมาจากการส่งของที่คฤหาสน์สกุลฉู่ก็ยังตั้งใจอ้อมรอบหนึ่ง ดูกำแพงดินมูลที่เคยใช้แยกเรือนของสกุลฉู่อีกครา

เวลานี้เรือนเก่าที่แบ่งให้ฉู่เซิ่นหลังนั้นมีหญ้าขึ้นรก แม้แต่ประตูหน้าต่างก็พังลงมาหมดแล้ว

ชาวบ้านที่เคยออกหน้าทวงความเป็นธรรมให้ฉู่เซิ่นในอดีต เวลานี้เมื่อพูดถึงบุตรชายคนโตสกุลฉู่กับภรรยาใจร้ายและบุตรชายคนรองสกุลฉู่ก็มีแต่จะหัวเราะเยาะที่สองสามีภรรยามองอะไรตื้นเขิน

เพื่อเรือนหลังคากระเบื้องไม่กี่ห้อง ถึงกับยอมเสียความสัมพันธ์ฉันพี่น้อง ช่างน่าไม่อายจริงๆ

ตอนนี้เหยาซื่อไม่ออกจากเรือนแล้ว หลายวันก่อนเรื่องของน้องสามีเพิ่งลือสะพัดมา พวกเพื่อนบ้านต่างพากันพูดชมเชยความเก่งกาจของน้องสามีต่อหน้านาง บางคนบอกว่ารู้แต่แรกแล้วว่าฉู่เซิ่นไม่ใช่คนธรรมดา นางรู้ดีว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะตน จึงย่อมรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง เหตุใดตอนนั้นตนถึงได้เลอะเลือน นึกถึงตอนที่นางไปช่วยดูแลหูซื่ออยู่เดือนอย่างน่าไม่อาย อีกทั้งพูดจาล่วงเกินน้องสามี จนแม้แต่จดหมายที่ส่งไปมาหาสู่กันก็เหลือเพียงไม่กี่ฉบับแล้ว

นับตั้งแต่นั้นความสัมพันธ์ระหว่างสองบ้านก็เริ่มเย็นชาต่อกันเช่นนี้

อันที่จริงในภายหลังฉู่จิ่นก็เคยส่งคนไปสืบดูความเป็นไปของฉู่เซิ่นในช่วงนี้ แต่ได้ยินเพียงว่าเขาถูกส่งไปประจำการยังดินแดนทุรกันดารอย่างซีเป่ยซึ่งมีโจรร้ายชุกชุม คนที่ไปเป็นขุนนางที่นั่นล้วนไม่มีชีวิตรอดกลับมา

ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถูกส่งไปที่นั่นล้วนเป็นคนที่ทำให้ฮ่องเต้ไม่พอพระทัย จึงถูกลดขั้นส่งไปซีเป่ย

เหยาซื่อได้ยินแล้วก็หวาดกลัวอย่างยิ่ง เกรงว่าต่อไปหากครอบครัวน้องสามีก่อเรื่องแล้วจะทำให้ครอบครัวของตนเดือดร้อนไปด้วย จึงอดยินดีไม่ได้ที่ทั้งสองครอบครัวแยกเรือนกันแต่เนิ่นๆ

และในเมื่อน้องสามีไปซีเป่ยแล้วก็ไม่จำเป็นต้องนึกถึงเขาอีก

นางรีบให้ฉู่จิ่นเขียนจดหมายถึงฉู่เซิ่นแล้วฝากคนที่มาส่งของส่งกลับไป เนื้อความบอกฉู่เซิ่นว่าต่อไปไม่ต้องส่งของมาให้อีก ที่เรือนไม่ได้ขาดเหลืออะไร ในเมื่อแยกเรือนไปแล้วต่างคนต่างอยู่ก็พอ

ฉู่เซิ่นได้รับจดหมายแล้วก็ปฏิบัติตามที่พี่ชายบอกในจดหมายจริงๆ นับแต่นั้นมาก็ไม่ค่อยส่งของกลับไปให้บ้านเกิดอีก เพียงแต่บอกในจดหมายฉบับสุดท้ายว่าเงินของตนเอาไปสำรองจ่ายเบี้ยหวัดทหารแล้ว ต่อไปคงต้องขายที่นาที่บ้านเกิด

เหยาซื่อคิดว่าฉู่เซิ่นช่างโง่เขลาสิ้นดี ถึงกับยอมควักเงินตนเองเอาไปสำรองจ่ายเบี้ยหวัดทหาร ต่อให้มีภูเขาทองคำก็คงไม่พอใช้เป็นแน่!

ดูเหมือนบ้านรองจะไม่มีโอกาสฟื้นตัวอีกแล้ว

ลองใคร่ครวญดูแล้ว อันที่จริงทั้งสองบ้านไม่ได้เขียนจดหมายติดต่อกันมาปีกว่าแล้ว

ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ ฉู่เซิ่นจะกลับบ้านเกิดอย่างมีเกียรติ อีกทั้งกลายเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งของราชสำนักอีกด้วย!

บทที่ 93

เรื่องนี้ทำให้เหยาซื่อรู้สึกเสียใจอย่างยิ่ง

แต่โชคดีที่ก่อนหน้านี้นางเพียงปฏิเสธสิ่งของที่น้องสามีส่งมาในจดหมายอย่างสุภาพ ไม่ได้ถึงขั้นแตกหักกัน ยังพอมีหนทางให้แก้ไขอยู่

คงต้องให้คนในเรือนลองไปดูที่คฤหาสน์แห่งนั้นสักหน่อย เผื่อจะได้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอีกครั้ง

ฉู่จิ่นเป็นคนที่มักหลบเลี่ยงปัญหาเสมอ เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องยากลำบาก เขามักโทษเหยาซื่อว่านางมองอะไรตื้นเขิน ตอนนี้น้องชายของเขาเลื่อนตำแหน่งอย่างมีเกียรติกลายเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่ง อีกทั้งเรื่องกลับบ้านเกิดเป็นเรื่องใหญ่เพียงนี้ ถึงกับไม่บอกไม่กล่าวล่วงหน้าให้ตนรู้เรื่อง แสดงว่าโกรธตนแน่แล้ว

เป็นเพราะภรรยาที่บ้านยุยง ทำให้พี่น้องสกุลฉู่แตกคอกัน หากไม่ใช่เพราะนางแล้วจะมีกำแพงดินมูลคั่นกลางคอยตบหน้าเขาอยู่เช่นนี้หรือ

ทั้งสองไม่พ้นต้องทะเลาะกันอีกครา ฉู่จิ่นเคียดแค้นที่เหยาซื่อทำลายอนาคตของเขา

เหยาซื่อร้องไห้คร่ำครวญ บอกว่าตนทำเพื่อสกุลฉู่ สุดท้ายก็ถูกตำหนิไปเสียทุกอย่าง

ในระหว่างที่ทั้งสองทะเลาะกันไม่หยุด เฉียนซื่อภรรยาของฉู่เฉวียนผู้เป็นบุตรชายจึงต้องเข้ามาห้าม

ภรรยาของฉู่เฉวียนคนนี้เป็นบุตรสาวของครอบครัวซิ่วไฉในหมู่บ้าน ตอนนั้นได้ยินว่าฉู่เซิ่นได้ตำแหน่งรองผู้บัญชากองการทหารรักษาพระองค์ และสกุลฉู่ก็เป็นครอบครัวที่มั่งคั่งในท้องถิ่น นางถึงได้แต่งเข้ามา

หลังจากแต่งงานเข้ามาในตระกูล นางไม่เคยพบท่านอารองผู้สูงส่งของสามี จึงพยายามปลอบโยนบิดามารดาสามีว่าท่านอารองกลับมาย่อมเป็นเรื่องดี เหตุใดต้องทะเลาะกันไม่เลิกราด้วย ควรหาวิธีกระชับความสัมพันธ์กับท่านอารองเมื่อได้พบกันจะดีกว่า ถึงอย่างไรฉู่เฉวียนก็สอบไม่ผ่านมาหลายครั้ง ตอนนี้ไม่มีตำแหน่งขุนนาง หากได้ทำงานกับท่านอารองก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอนาคตอีกต่อไป

เมื่อได้ยินลูกสะใภ้เตือนเช่นนั้น เหยาซื่อก็มีแรงฮึดขึ้นมาทันที รีบบอกให้ฉู่จิ่นเลิกทำตัวเป็นคนอวดดีอยู่ในเรือน และรีบไปกระชับความสัมพันธ์กับฉู่เซิ่นเสีย

พวกเขาจึงเตรียมตัวนำไก่ เป็ด และไข่ หิ้วไปที่คฤหาสน์ริมทะเลสาบ

 

น่าเสียดายตอนที่พวกเขาไปถึง ฉู่เซิ่นและครอบครัวยังมาไม่ถึง ผู้ดูแลคฤหาสน์ท่าทางเป็นคนเห็นแก่ผลประโยชน์ มองพวกเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า แม้จะพูดจาอย่างสุภาพ แต่ก็ไม่ได้แสดงความเป็นมิตร

“นายท่านเชิญนั่งก่อน ตอนนี้ท่านแม่ทัพและครอบครัวยังอยู่ระหว่างการเดินทาง อีกไม่นานก็คงจะมาถึง บ่าวไพร่ในคฤหาสน์ต่างกำลังเร่งรีบจัดเตรียมงานอยู่ เกรงว่าจะดูแลขาดตกบกพร่อง หากต้องการมาพบท่านแม่ทัพ อีกสองสามวันค่อยมาจะดีกว่าขอรับ”

เหยาซื่อเห็นคฤหาสน์หลังนี้ใหญ่โตกว้างขวางสุดสายตา ทะเลสาบภายในพื้นที่คฤหาสน์ยังพายเรือได้ด้วย ช่างเหมือนวังในนิทาน เห็นแล้วทำให้รู้สึกอิจฉาตาร้อนยิ่ง

น้องสามีมาเยี่ยมบ้านเกิดครั้งนี้ยังต้องเดินทางไปที่อื่นอีกแน่นอน ปล่อยคฤหาสน์โล่งๆ ไว้จะไม่น่าเสียดายหรือ เอาไว้นางให้ฉู่จิ่นพูดกับน้องสามีว่าเมื่อน้องสามีไปแล้วก็ให้บ้านใหญ่ของพวกนางย้ายเข้ามาเพื่อช่วยดูแลคฤหาสน์ให้ ย่อมเป็นการดีต่อทั้งสองฝ่าย

ดังนั้นเมื่อผู้ดูแลคฤหาสน์ไล่แขกออกไปอย่างสุภาพ เหยาซื่อจึงแสร้งทำเป็นฟังไม่ออก วางท่าเหมือนเป็นเจ้าของบ้านพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“ข้าเป็นพี่สะใภ้ของฉู่เซิ่น มีอย่างที่ไหนน้องชายกลับมา แต่พวกเราต้องรออีกหลายวันค่อยมาพบ จัดห้องให้พวกเราสองสามห้องเถิด พวกเราจะรอที่นี่!”

ผู้ดูแลคฤหาสน์ได้รับคำสั่งจากโม่เซี่ยวเหนียงมาล่วงหน้า จึงรู้วิธีรับมือกับบ้านใหญ่ที่เห็นแก่ผลประโยชน์เช่นนี้

เขาจึงโบกมือสั่งคนจัดห้องให้พวกเหยาซื่อสองห้องทันที

เดิมทีเหยาซื่อนึกว่าพวกเขาจะจัดห้องนอนเจ้าของบ้านภายในคฤหาสน์ให้ นึกไม่ถึงว่าผู้ดูแลคนนั้นบอกว่ายังไม่ได้เก็บกวาด ต้องลำบากพวกนางให้พักห้องคนงานที่ลานด้านนอกไปก่อน

ห้องเล็กไม่ต้องพูดถึง ทว่าในห้องใหม่นี้ถึงกับได้ยินเสียงหนูขบฟันตอนกลางดึกแว่วๆ ทำเอาเฉียนซื่อลูกสะใภ้ที่มีนิสัยขลาดกลัวไม่ได้นอนทั้งคืน ให้ฉู่เฉวียนไล่ตีหนูไปทั่วห้อง

กว่าฟ้าจะสว่างได้ก็แทบแย่ พวกหนูเลิกก่อกวนแล้ว พวกเขากำลังจะหลับตานอน พวกคนงานในคฤหาสน์ก็เริ่มลุกขึ้นมาจัดสวนและตัดแต่งต้นไม้

เสียงตักน้ำล้างหน้า เสียงกินโจ๊ก และเสียงพูดคุยกันดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย แต่ละคนยังตะโกนโหวกเหวกเสียงดังด้วย

ฉู่เฉวียนอยู่ที่เรือนถูกเหยาซื่อตามใจจนกลายเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่เคยต้องทนอะไรเช่นนี้ จึงตะโกนไปทางในเรือนเสียงดังลั่น

“นี่พวกเจ้าจะให้คนอื่นหลับนอนหรือไม่! หุบปากกันให้หมดเดี๋ยวนี้!”

แต่น่าเสียดายที่พวกคนงานต่างกำลังรีบทำงานกันอยู่ หากไม่หาจอบก็ไปรับงานจากผู้ดูแล ทุกคนงานยุ่งกันจนไม่มีเวลาเงยหน้ามองฉู่เฉวียน

กว่าคนงานจะไปกันหมด ความง่วงงุนก็หายไปจนหมดสิ้นเพราะเสียงดังรบกวนจากคนงานพวกนั้น

ยามเที่ยง ฉู่จิ่นมีนิสัยชอบนอนกลางวัน หลังกินอาหารเสร็จเพิ่งนอนหลับไปได้พักหนึ่ง คนงานพวกนั้นก็มาพักผ่อน เสียงพูดคุยดังขึ้นอีกพักหนึ่ง การนอนกลางวันจึงไม่เป็นไปตามที่หวัง

เหตุการณ์วนเวียนเช่นนี้อยู่สองวัน บิดาและบุตรชายสกุลฉู่ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร้องว่าจะกลับบ้าน พวกเขาไม่ได้อยู่ห่างจากที่นี่หนึ่งหมื่นแปดพันหลี่สักหน่อย เอาไว้ฉู่เซิ่นกลับมาถึงคฤหาสน์แล้วค่อยมาก็ยังไม่สาย

เหยาซื่อจึงจำเป็นต้องยอมกลับบ้านไปพร้อมสามี บุตรชาย และลูกสะใภ้ของนาง

 

พวกเขารอคอยอย่างใจจดใจจ่อไปเช่นนี้ ในที่สุดห้าวันต่อมาก็มีข่าวมาว่ารถม้าของแม่ทัพฉู่มาถึงหมู่บ้านแล้ว

เหยาซื่อจึงเตรียมเป็ดไก่อีกครั้ง และคราวนี้ได้พาบุตรสาวกับบุตรเขยไปด้วย ทั้งครอบครัวเดินทางไปที่คฤหาสน์อย่างเอิกเกริก

แต่เมื่อพวกเขามาถึง คราวนี้กลับพบว่ามีรถม้าจอดเรียงกันยาวเหยียดหน้าประตู คหบดีท้องถิ่นและขุนนางที่อยู่ละแวกใกล้เคียงต่างพากันมาคารวะฉู่เซิ่นเพื่อสร้างความคุ้นเคย

นอกจากนี้พวกบ่าวไพร่ที่ฉู่เซิ่นพามาด้วยก็ส่งเสียงดังจนครึกครื้นไปทั่วคฤหาสน์

ถึงแม้ครั้งนี้ฉู่จิ่นจะได้พบกับฉู่เซิ่น แต่พี่น้องยังไม่ทันได้พูดคุยกันก็เห็นกลุ่มขุนนางพากันมาทักทายฉู่เซิ่นแล้ว

ฉู่เซิ่นแบ่งเวลาหันมากล่าวทักทายพี่ชายแล้วก็ไม่มีเวลาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอีก ตามขุนนางเหล่านั้นไปดื่มชาเสวนากันที่ห้องโถงด้านหน้า

ฉู่จิ่นที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเห็นพวกขุนนางท้องถิ่นแล้วก็หวาดหวั่นสั่นกลัว ไม่กล้าเข้าไปใกล้พวกเขาอีก

ส่วนเหยาซื่อเมื่อสบโอกาสก็รีบจูงลูกสะใภ้และบุตรสาวฉู่หม่านเอ๋อร์ไปทักทายหูซื่อที่เพิ่งลงจากรถม้า

บอกตามตรงแม้หูซื่อจะเป็นคนนิสัยอ่อนโยน แต่นางก็โกรธบ้านใหญ่อยู่เช่นกัน

ตอนนั้นสามีตนถูกลดขั้นไปอยู่ซีเป่ย ทั้งครอบครัวต้องประหยัดกินประหยัดใช้เพื่อเอาเงินไปจ่ายเบี้ยหวัดทหาร แม้จะเป็นเช่นนั้นฉู่เซิ่นยังคิดว่าใกล้ถึงวันคล้ายวันเกิดพี่ชายแล้ว จึงเตรียมของให้ทุกคนที่บ้านใหญ่สกุลฉู่ แต่พอสิ่งของหลายคันรถใหญ่ส่งไปที่บ้านเกิดแล้ว กลับถูกเหยาซื่อกลอกตาใส่และพูดเป็นนัยว่าตอนนี้บ้านรองล่วงเกินฮ่องเต้ อย่าลากบ้านใหญ่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเป็นอันขาด ในเมื่อแยกเรือนกันแล้ว ต่อไปหากไม่ต้องติดต่อกันได้ก็อย่าติดต่อกันจะดีกว่า

ผู้ดูแลที่ส่งของให้ครอบครัวฉู่จิ่นในตอนนั้นก็ไม่ค่อยเชื่อหูตนเองเช่นกัน จึงถามนายท่านใหญ่สกุลฉู่โดยตรง แต่นายท่านใหญ่สกุลฉู่มอบจดหมายที่เขียนด้วยลายมือตนเองหนึ่งฉบับให้เขาส่งไปให้แม่ทัพฉู่

เมื่อฉู่เซิ่นได้รับจดหมาย แค่อ่านเนื้อหาคราเดียวก็เข้าใจทุกอย่างทันที บุรุษผู้แข็งแกร่งดุจเหล็ก ในค่ำคืนที่ไม่มีใครอยู่ ถึงกับเดินออกมาจากห้องนอน นั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ใต้ต้นไม้ในเรือนด้านใน

เขาพลิกกายไปมานอนไม่หลับ หูซื่อย่อมไม่ได้นอนเช่นกัน ด้วยกลัวว่าเขาจะหนาว ตอนที่หยิบผ้าคลุมกันลมมาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ที่แว่วอยู่ในสายลมของสามีพอดี

นางรู้สึกใจสลายเพราะเสียงร้องไห้นั้น แต่ก็ไม่เหมาะที่จะเข้าไปหาเขา จึงปล่อยให้เขาระบายความผิดหวังในตัวพี่ชายออกมา

เวลานี้เมื่อเห็นบ้านใหญ่อีกครั้ง หัวใจที่แตกสลายเพราะสามีร้องไห้ในตอนนั้นจึงกลายเป็นเย็นชาขึ้นมา หูซื่อที่ไม่เคยแม้แต่จะโกรธเคืองบ่าวรับใช้ เมื่อเห็นเหยาซื่อเดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้มก็ไม่แม้แต่จะชายตามอง นางเพียงเรียกผู้ดูแลที่เคยส่งของไปให้ครอบครัวฉู่จิ่นในตอนนั้นมาแล้วสั่งให้เขาทวนคำพูดของเหยาซื่อต่อหน้านางอีกครั้ง

ผู้ดูแลจดจำทุกคำได้อย่างแม่นยำและพูดทุกรายละเอียดออกมาอีกรอบหนึ่ง ทำให้เหยาซื่อรู้สึกอับอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

หูซื่อได้รับคำแนะนำจากโม่เซี่ยวเหนียงแบบตัวต่อตัวมาก่อนว่ากลับมาครั้งนี้บ้านใหญ่ที่เห็นแก่ผลประโยชน์อาจเข้ามาตีสนิทอีก หากใจดีกับพวกเขาแม้เพียงเล็กน้อย อีกฝ่ายก็คงจะเกาะอยู่ด้วยไม่ยอมไปไหนอีก ตอนนี้บิดาก็เพิ่งหายดี กำลังอยู่ในช่วงบำรุงร่างกายภายใน ไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับญาติพี่น้องที่ไร้น้ำใจพรรค์นี้ แค่ทำให้พวกเขาอึดอัดใจจนจากไปเองก็พอ

หูซื่อทำหน้าบึ้งตึง พูดต่อหน้าบ่าวไพร่ว่า “ตอนที่สามีข้าถูกลดขั้นย้ายไปซีเป่ย พวกท่านกลัวว่าท่านพี่ทำให้เบื้องบนไม่พอใจแล้วจะเดือดร้อนไปด้วย ทั้งฝากวาจามาบอกและเขียนจดหมายมาเองว่าอย่าได้ติดต่อกันอีก ตอนนี้พวกเราเพิ่งกลับมาถึงหมู่บ้าน พวกท่านก็มาหาทันที ไม่กลัวบ้างหรือว่าจะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย”

แต่ก่อนเหยาซื่อคิดว่าหูซื่อเป็นคนอ่อนแอรังแกง่าย นึกไม่ถึงว่าวันนี้คนที่แสดงอำนาจข่มขู่บ้านใหญ่จะเป็นหูซื่อคนที่พูดคุยด้วยง่ายผู้นี้ นางจึงรับมือไม่ทัน ได้แต่เอ่ยอย่างตะกุกตะกัก

“น้องสะใภ้อย่าถือโทษโกรธเคือง ข้ามองอะไรตื้นเขิน ย่อมคิดผิดไปบ้าง แต่สามีข้าเฝ้าคิดถึงน้องรองของเขาอยู่เสมอและตำหนิข้าไม่ใช่น้อย ช่วงที่ผ่านมานี้เขาก็คิดถึงน้องชายจนป่วยหนัก ต่อมาพอได้ยินว่าน้องรองจะกลับมาเขาถึงอาการดีขึ้น บอกว่าอยากจะมาพบน้องรอง…”

ในเวลานี้เองโม่เซี่ยวเหนียงที่กำลังส่งผ้าคลุมให้สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ก็พูดเสริม “พวกท่านได้พบท่านพ่อแล้ว วันนี้เขาเพิ่งมาถึง ต้องพบปะผู้คนที่จวนมากมาย ขุนนางใหญ่จากทุกแห่งหนก็เดินทางมาไกล คงไม่ดีหากจะให้พวกเขาท้องว่างกลับไป แต่ตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ จัดงานเลี้ยงไม่ได้ คงต้องกินอาหารง่ายๆ สักมื้อ ดื่มชาและของว่างสักหน่อย พูดคุยเรื่องการบริหารงานท้องถิ่น เรื่องพวกนี้ท่านลุงคงไม่มีโอกาสได้พูดแทรก หากพวกท่านอยู่ต่อ พวกบ่าวรับใช้ก็ไม่ว่างมาดูแลเช่นกัน อาจทำให้เราถูกตำหนิว่าดูแลญาติไม่ดี ดังนั้นท่านป้าสะใภ้กับคนอื่นๆ กลับไปเสียดีกว่า หากมีเวลาว่างแล้วค่อยมาใหม่ก็ได้”

นางเอ่ยปากไล่คนตรงๆ เช่นนี้ หากพวกเขายังไม่ไปอีกจะต้องไร้ยางอายเพียงใดกัน

แต่เหยาซื่อรู้สึกเหมือนตนถูกขับไล่โดยคนต่างสกุลสองคน จึงเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “คุณหนูใหญ่ช่างปากเก่งเสียจริง คนสกุลฉู่ยังไม่ทันได้พูดอะไร พวกเจ้าก็มาไล่คนก่อนเสียแล้ว!”

ในขณะนั้นเองประทัดสองเปรี้ยง* ของสกุลฉู่ก็ลงจากรถม้าแล้วเช่นกัน ตอนฉู่เฉียวอีนั่งเรือมักจะอาเจียน ตลอดการเดินทางจึงไม่ราบรื่นนัก พาลทำให้นางอารมณ์ไม่ดี พอเห็นท่านป้าสะใภ้พูดจาเยาะเย้ยเหน็บแนมโม่เซี่ยวเหนียง นางจึงเป็นคนแรกที่ทนฟังไม่ได้

แม้ว่านางชอบเปรียบเทียบตนเองกับโม่เซี่ยวเหนียง แต่ทั้งครอบครัวก็ผ่านความยากลำบากมาด้วยกันหลายปี หูซื่อกับโม่เซี่ยวเหนียงเป็นคนเช่นไรนางย่อมรู้ดี

ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ท่านลุงทำให้บิดาโมโหจนร้องไห้ หูซื่อได้มาเล่าให้นางกับโม่เซี่ยวเหนียงฟังเป็นการส่วนตัว ทั้งยังกำชับไม่ให้พวกนางพูดถึงบ้านใหญ่ต่อหน้าบิดา บิดาจะได้ไม่ต้องเหนื่อยใจ

คุณหนูรองสกุลฉู่ได้ยินคำพูดเหยาซื่อแล้วก็โกรธจัด ถลึงตาอย่างดุดันแล้วโต้ตอบทันที “เซี่ยวเหนียงเป็นเหมือนพี่สาวแท้ๆ ของข้า ท่านอาหูเป็นภรรยาผู้ดูแลบ้าน จะกลายเป็นคนนอกอย่างที่ปากคนนอกกำแพงดินมูลอย่างท่านพูดได้อย่างไร พวกนางอยู่ข้างกายท่านพ่อ ดูแลครอบครัวเรามาโดยตลอด ไม่เคยร้องจะแยกเรือนหรือเอาเปรียบท่านพ่อของข้าเพียงเพราะความยากลำบาก…ท่านป้าสะใภ้ คนที่ยืนอยู่ตรงนี้มีใครไม่รู้เรื่องไร้สาระพวกนั้นของบ้านใหญ่บ้าง หากไม่มีธุระก็เชิญท่านกลับไปดีกว่า บ้านเราไม่มีลมฤดูสารทให้ครอบครัวท่านมารับ**!”

ตอนนี้ฉู่จิ่นไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนแล้ว เพียงแค่ทำหน้าบึ้งตึงตำหนิเหยาซื่อ “ยังไม่รีบไปอีก! ปล่อยให้เด็กมาอบรมสั่งสอนเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”

เฉียนซื่อก็นึกไม่ถึงว่าบ้านรองจะไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ นางรู้สึกอับอายจนต้องดึงฉู่เฉวียนให้กลับบ้าน

ส่วนฉู่เฉวียนกับฉู่หม่านเอ๋อร์พอเห็นบิดามารดาเสียเปรียบก็โกรธจนอ้าปากเตรียมจะโต้กลับ แต่ถูกองครักษ์ร่างกำยำหลายคนที่เดินเข้ามาปิดปากแล้วลากตัวออกไปข้างนอก

หูซื่อเห็นดังนั้นแล้วก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ จึงหันไปถามโม่เซี่ยวเหนียง “ทะ…ทำเช่นนี้จะเหมาะสมหรือ ถึงอย่างไรก็เป็นญาติกัน ลากออกไปเช่นนี้จะดีหรือ”

โม่เซี่ยวเหนียงยิ้มพร้อมกับประคองมารดา จงใจพูดเสียงดังให้เหยาซื่อที่ทำตัวเกรี้ยวกราดได้ยิน “เพราะเห็นว่าเป็นญาติจึงไม่ให้โบยพวกเขา ตอนนี้ข้าเป็นเซี่ยนจู่ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง จะปล่อยให้ชาวบ้านมาด่าทอได้อย่างไร ถึงตอนนั้นข้าจะโบยหรือไม่โบยดีเล่า หากโบยก็เท่ากับทำลายความสัมพันธ์อันดีในหมู่ญาติ หากไม่โบยก็เท่ากับทำตำแหน่งที่ฝ่าบาทพระราชทานต้องมัวหมอง ดังนั้นปิดปากพวกเขาไว้ตั้งแต่ต้นจะดีกว่าเจ้าค่ะ…”

เหยาซื่อได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยในใจว่า เหตุใดลูกเลี้ยงอย่างเซี่ยวเหนียงถึงได้รับถูกแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่

 

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 29 .. 68

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: