บทที่ 94
โม่เซี่ยวเหนียงตักเตือนไปเช่นนี้ ในที่สุดคนของบ้านใหญ่ก็กลับไปด้วยความไม่พอใจ
ตลอดการเดินทางนี้ช่างเหนื่อยล้าจริงๆ โม่เซี่ยวเหนียงไม่อยากเสียเวลาไปกับญาติที่เห็นแก่ตัวพวกนี้ เนื่องจากพื้นที่คฤหาสน์ใหญ่โตเหลือเกิน ผู้ดูแลได้เตรียมเกี้ยวเบาะนุ่มไว้หลายหลัง หลังเชิญคุณหนูและฮูหยินขึ้นไปนั่งเรียบร้อยแล้วก็ให้คนแบกไปยังเรือนของแต่ละคน
พวกบ่าวไพร่ต้มน้ำไว้ให้คุณหนูและฮูหยินล่วงหน้า โปรยน้ำหอมจากกลีบดอกไม้ให้บรรดานายหญิงได้แช่น้ำอุ่นคลายความเหนื่อยล้า
ขณะที่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า โม่เซี่ยวเหนียงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางจึงเรียกให้คนไปบอกฉู่เฉียวอีว่าอย่าเพิ่งแช่น้ำ ขอให้หมอตรวจชีพจรก่อน
ตลอดการเดินทางครั้งนี้ฉู่เฉียวอีกินอะไรก็ไม่ถูกปาก อีกทั้งมีอาการง่วงงุน ให้หมอตรวจสักหน่อยจะเหมาะกว่า
ปรากฏว่าไม่นานนักหานเยียนก็เข้ามาบอกด้วยความยินดีปรีดาว่าหมอตรวจชีพจรแล้วพบว่าฉู่เฉียวอีตั้งครรภ์ สามีของฉู่เฉียวอีก็ดีใจจนทำอะไรไม่ถูก
โม่เซี่ยวเหนียงเองก็รู้สึกโล่งใจไปด้วย นางจึงสั่งให้หานเยียนไปบอกมารดา และรอให้บิดากลับมาจากการดื่มสุรา จะได้บอกให้เขารู้ข่าว
วันรุ่งขึ้น ฉู่เฉียวอีเดินเข้ามาหาโม่เซี่ยวเหนียงด้วยใบหน้าที่ฉายแววปีติยินดี
โม่เซี่ยวเหนียงเพิ่งกินอาหารเช้าเสร็จ ที่ชนบทยามเช้าและยามเย็นอากาศหนาวเย็นมาก นางจึงสวมเสื้อขนสัตว์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ดีดลูกคิดอยู่ที่โต๊ะเล็ก
ฉู่เฉียวอีเดินเข้ามาดึงโต๊ะพี่สาวออกไปทันทีแล้วบอกว่า “เป็นถึงเซี่ยนจู่แล้วยังจะมานั่งดีดลูกคิดเหมือนคนทำบัญชีที่ร้านอยู่อีก เจ้ารู้เรื่องของข้าแล้วใช่หรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงจำต้องถือพู่กันด้วยมือข้างหนึ่ง ถือสมุดบัญชีด้วยมืออีกข้างหนึ่ง รีบจดตัวเลขที่เพิ่งคำนวณเสร็จเมื่อครู่นี้แล้วเอ่ยตอบ
“เมื่อวานข้าเป็นคนเรียกหมอมาเองแล้วจะไม่รู้ได้อย่างไร เจ้าเองก็กำลังจะเป็นมารดาแล้ว เหตุใดถึงใจร้อนเช่นนี้ รีบวางโต๊ะลงเถิด ค่อยๆ ยืดตัว”
สาวใช้ของฉู่เฉียวอีที่อยู่ข้างๆ รีบรับโต๊ะเล็กไปจากนายหญิงของตนแล้ววางกลับไปให้คุณหนูใหญ่สกุลฉู่เช่นในตอนแรก
โม่เซี่ยวเหนียงเก็บสมุดบัญชีแล้วพูดต่อ “แม้ว่าช่วงก่อนหน้านี้ฝ่าบาทจะทรงมีพระพระเมตตารับสั่งให้กรมอากรจ่ายเงินชดเชยเบี้ยหวัดทหารซีเป่ยที่ค้างชำระ ทำให้เงินในคลังของบ้านเราคล่องตัวขึ้น แต่อะไรที่ประหยัดได้ก็ยังต้องประหยัด ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการสร้างศาลบรรพชนต้องคำนวณให้ละเอียด จะได้ไม่เกิดการหลอกลวงทั้งเบื้องสูงเบื้องล่างและไม่ทำให้เงินขาดบัญชี”
เห็นได้ชัดว่าฉู่เฉียวอียังคงจมจ่อมอยู่ในความสุขใจกับข่าวดีที่มาอย่างกะทันหันเมื่อวานนี้ นางนั่งลงข้างๆ โม่เซี่ยวเหนียงและใช้ไหล่ดันอีกฝ่าย
“หมอโรคสตรีที่เจ้าหามาให้ข้านี่เก่งจริงๆ! แค่ยาสองสามชุดข้าก็ตั้งครรภ์แล้ว ถ้าได้พบหมอเร็วกว่านี้ บุตรข้าคงได้วิ่งเล่นเต็มบ้านแล้ว”
โม่เซี่ยวเหนียงทำหน้าจริงจัง “หมอผู้นั้นก็พูดอยู่ว่าการแท้งก่อนหน้านี้ของเจ้าบั่นทอนสุขภาพไปบ้าง ถ้ามีบุตรเร็วกว่านี้ เจ้าจะต้องลำบากแน่นอน มิสู้พักฟื้นและดูแลสุขภาพสักสองสามปีแล้วค่อยมีจะเหมาะสมกว่า ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้าจะตั้งครรภ์ ต่อให้เจ้าร่ำไห้ต่อหน้าท่านพ่อให้ตาย ท่านพ่อก็คงไม่ยอมให้เจ้าเดินทางกลับบ้านเกิดเด็ดขาด ช่วงสามเดือนแรกนี้สำคัญยิ่ง เจ้าต้องพักฟื้นอยู่ในจวน ห้ามไปไหนทั้งนั้น”
พอได้ยินเช่นนี้แล้วฉู่เฉียวอีก็ทำหน้าลังเล โม่เซี่ยวเหนียงรู้ว่านางต้องกำหนดวันไปเยี่ยมสกุลเยวี่ยแล้วเป็นแน่ คงเตรียมตัวจะพาบุตรเขยสกุลซั่นไปพบมารดา
แม้รู้ว่าฉู่เฉียวอีไม่ชอบฟัง แต่เห็นแก่บิดาเลี้ยง โม่เซี่ยวเหนียงจึงต้องอธิบายอย่างชัดเจน “ตอนนั้นที่เจ้าตั้งครรภ์ เยวี่ยซื่อก็ไปสร้างปัญหาให้บ้านสามีเจ้าพักใหญ่ แม้นางเป็นมารดาแท้ๆ ของเจ้าและหวังดีต่อเจ้าอย่างแท้จริง แต่ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตในชนบทมานาน ความคิดหลายอย่างอาจไม่ถูกต้องเสมอไป เจ้าเป็นคุณหนูในห้องหอที่เคยเข้าสำนักศึกษาสตรีมา ตอนนี้อยู่ในสกุลซั่นก็เป็นตระกูลบัณฑิตแห่งยุค เจ้าลองคิดดูให้ดีว่าบิดามารดาสามีเจ้าประพฤติตนและจัดการเรื่องราวอย่างไร เทียบกันแล้วอยู่บนเส้นทางเดียวกับมารดาเจ้าหรือไม่ การไปเยี่ยมมารดาเจ้าเพื่อแสดงความกตัญญูใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่หากฟังคำพูดของมารดาเจ้า กลับมาแล้วทะเลาะกับสามี ข้าคิดว่าการเปิดหูเปิดตาในเมืองหลวงของเจ้าก็คงเสียเปล่าแล้ว มิสู้กลับมาเลี้ยงหมูอยู่ที่บ้านนอก ด่าทอพวกสตรีที่ขัดตาสองสามคนผ่านกำแพงเรือนทุกวันให้สาแก่ใจยังจะดีกว่า…”
คำพูดนี้จี้ใจดำฉู่เฉียวอีอย่างยิ่ง ถึงแม้นางจะหูเบาเพียงใด แต่ก็ฟังเข้าใจว่าความจริงแล้วหากคิดให้ดี ใช่ว่านางจะไม่รู้ว่ามารดาชอบคิดอะไรตื้นเขิน มิฉะนั้นก็คงไม่ทอดทิ้งบิดาไปเช่นนั้น และไปแต่งงานใหม่กับชายชราเจ้าของที่ดินในหมู่บ้าน
ดังนั้นพอนึกว่าตนฟังคำมารดาแล้วจะไปอาละวาด ทำให้ทะเลาะกับบิดามารดาสามีจนเกิดรอยร้าว ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะบิดาเลื่อนขั้น เกรงว่าสามีนางคงจะเห็นด้วยกับความตั้งใจของมารดาเขา รับอนุเข้ามาแล้ว
แม้โม่เซี่ยวเหนียงจะพูดอย่างไม่ไว้หน้า แต่เพราะพูดจี้ปมในใจของฉู่เฉียวอี อีกฝ่ายจึงเถียงกลับได้ยาก
ฉู่เฉียวอีฟังอย่างเงียบๆ ก่อนจะปรึกษาโม่เซี่ยวเหนียงอย่างลังเล “แต่ว่ามารดาข้าส่งจดหมายมาบอกว่าให้ข้าพาสามีกลับไปเยี่ยมนาง นางจะได้มีหน้ามีตาบ้าง…จะไม่ไปพบมารดาก็คงไม่ได้ใช่หรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “หากเจ้ายอมฟังข้าก็บอกนางว่าเจ้าต้องอยู่ดูแลครรภ์ จะส่งของกับเงินไปให้แทนก็ได้ นางอยู่ในครอบครัวคนสกุลวัง เงินทองคงไม่พอใช้ หากเจ้าส่งเงินไปจะมีประโยชน์ยิ่งกว่าเจ้าไปเองเสียอีก ส่วนการพาน้องเขยซั่นไปนั้น…เจ้าอย่าพาไปจะดีกว่า สามีเจ้ากับมารดาเจ้าไม่ค่อยถูกกันอยู่แล้ว ไยต้องพาไปให้เกิดปัญหาด้วยเล่า”
ฉู่เฉียวอีที่เคยสูญเสียบุตรมาแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ก็กังวลกับครรภ์ของตนเช่นกัน นานๆ ทีจะฟังคำพูดของโม่เซี่ยวเหนียงอย่างว่าง่าย จึงไปจัดการให้คนส่งเงินไปให้สกุลเยวี่ยแทน
แม้ฉู่เฉียวอีจะออกไปจากคฤหาสน์ไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความคิดที่จะกลับบ้านอย่างมีเกียรติของนาง
หลังจากนั้นบรรดาคุณหนูจากสำนักศึกษาสตรีในตอนนั้นล้วนได้รับเทียบเชิญมาเที่ยวเล่นพักผ่อนหย่อนใจที่คฤหาสน์ริมทะเลสาบ
แต่เหล่าสหายร่วมเรียนในตอนนั้น เวลานี้แต่งงานมีบุตรกันหมดแล้ว ไม่ใช่เด็กสาววัยแรกแย้มที่หัวเราะเล่นกันเหมือนเมื่อก่อน แต่พอนึกถึงเรื่องสนุกสนานที่เคยร่ำเรียนด้วยกันในตอนนั้นก็ยังคงเป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงอย่างเพลิดเพลิน
เหล่าสหายร่วมเรียนมารวมตัวกัน แต่กลับขาดคุณหนูเซิ่งเหยียนเสวี่ยจากสกุลเซิ่งไปเพียงคนเดียว
ทุกคนที่นั่งอยู่ในที่นี้ต่างก็รู้สาเหตุที่นางไม่มา คงเพราะสกุลเซิ่งกับสกุลฉู่ยกเลิกการหมั้นหมาย การพบกันอีกครั้งคงน่าอึดอัด ทุกคนรู้ดีแก่ใจจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้
ฉู่เฉียวอีสงสัยใคร่รู้ จึงฉวยโอกาสตอนที่โม่เซี่ยวเหนียงไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าถามความเป็นไปของเซิ่งเซวียนในช่วงนี้จากสหายที่สนิทสนมกัน
คุณหนูคนหนึ่งเบ้ปากแล้วกล่าวว่า “คุณชายเซิ่งรูปงามดุจพานอัน และมากความสามารถ อยู่ที่นี่นับว่าเป็นคนที่สูงส่งและมีคุณธรรมดีงาม ภายหลังเขาไปเมืองหลวง หมั้นหมายกับพี่สาวเจ้า ทุกคนยังพูดกันว่าคราวนี้เขามีอนาคตไกลไร้ที่สิ้นสุดแน่ นึกไม่ถึงว่าตอนเขากลับมาไม่เพียงสอบไม่ผ่าน แต่ยังพาอนุที่ชื่อปี้หวนกลับมาด้วย พวกเราถึงได้รู้ว่าเขายกเลิกการหมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่ฉู่แล้ว”
ฉู่เฉียวอีฟังแล้วหัวเราะเยาะ “คนอย่างคุณชายเซิ่ง พี่สาวของข้าไม่อาจเอื้อม เป็นคุณชายดีๆ กลับไม่แต่งภรรยา ทว่ารับอนุก่อน ช่างเป็นคนที่ภายนอกงดงาม แต่ภายในเละเทะสิ้นดี…”
อันที่จริงจะว่าไปแล้วคุณหนูพวกนี้ต่างรู้ว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉู่อายุยี่สิบสามปี แต่ยังไม่ได้แต่งงานสักที อีกทั้งไม่รู้ด้วยว่ามีการหมั้นหมายกับใครหรือไม่ พวกนางจึงคอยเอาใจใส่เรื่องนี้มาโดยตลอด เพียงแต่ไม่ได้เอ่ยถามเท่านั้น
ตอนนี้โม่เซี่ยวเหนียงไม่อยู่ มีคนระงับความอยากรู้อยากเห็นไว้ไม่ไหว จึงถามฉู่เฉียวอีว่าคุณหนูใหญ่สกุลฉู่ได้หมั้นหมายกับใครแล้วหรือยัง
ทุกวันนี้ฉู่เฉียวอีที่อยู่ในเมืองหลวงก็ไม่ได้ขัดเกลาตนเองเสียเปล่า นางไม่ใช่เด็กสาวที่โอ้อวดอาภรณ์และเครื่องประดับอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้คิดจะโอ้อวดอยู่บ้าง แต่ก็แสร้งทำเป็นเล่าถึงอย่างเรียบง่าย ประคองถ้วยชาไปพลางเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจไปพลาง
“ท่านพ่อได้รับความไว้วางใจจากฝ่าบาท ข้าแต่งงานเร็วจึงไม่ได้รับพระเมตตาจากฝ่าบาท แต่พี่สาวกลับได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างยิ่ง ฝ่าบาทตรัสกับท่านพ่อว่าไม่ควรรีบร้อนให้พี่สาวแต่งงาน สุดท้ายฝ่าบาทก็ทรงมีพระราชโองการพระราชทานการสมรสแก่ฉงเจิ้งจวิ้นอ๋อง ให้พี่สาวแต่งงานกับจวิ้นอ๋อง”
คำพูดที่เล่าด้วยน้ำเสียงเรียบๆ นี้ทำให้บรรดาคุณหนูที่นั่งอยู่พากันร้องอุทานด้วยความตื่นเต้น ต่างพากันกล่าวว่าฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่ช่างวาสนาดีโดยแท้ ถึงกับได้รับสมรสพระราชทานจากฮ่องเต้ อีกทั้งคนที่แต่งงานด้วยยังเป็นชนชั้นสูงสกุลฮั่ว คู่ครองที่ดีเช่นนี้หากให้พวกนางรอไปจนถึงอายุยี่สิบสี่หรือยี่สิบห้าปีก็เต็มใจเช่นกัน
ระหว่างนั้นก็มีคนถามขึ้นว่าฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องผู้นี้เป็นใคร แต่ฉู่เฉียวอีกลับไม่ตอบคำถาม เปลี่ยนเรื่องอย่างสงบเยือกเย็น
ในสายตาคุณหนูรองสกุลฉู่ แค่โอ้อวดให้พอเหมาะพอควรก็พอ ไม่จำเป็นต้องมากเกินไปนัก เพราะหากใครฟังออกว่าที่จริงแล้วจวิ้นอ๋องสกุลฮั่วผู้นั้นคือฉู่สุยเฟิงที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ในบ้านพวกนางก็อาจสงสัยได้ว่าเป็นการจับคู่กันเองจากภายใน ทำให้ไม่อาจสะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ของสมรสพระราชทานจากราชวงศ์ได้
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงได้ยินเฉียวอีเล่าให้ฟังในภายหลังย่อมเข้าใจเจตนาของนางเป็นอย่างดี เพียงแค่จิ้มหน้าผากอีกฝ่ายเบาๆ แล้วกล่าวขึ้น
“ดูเจ้าทำเข้า ต่อไปอย่าพูดถึงสกุลเซิ่งอีก ในเมื่อถอนหมั้นกันไปแล้ว ใครจะแต่งงานกับใครก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก”
หลังจากโม่เซี่ยวเหนียงพูดกับฉู่เฉียวอีได้ไม่นาน นางก็บังเอิญได้พบเซิ่งเซวียนที่ไม่ได้พบกันหลายปี
วันนั้นโม่เซี่ยวเหนียงออกจากจวนไปเลือกสถานที่ตั้งศาลบรรพชน หมอดูภูมิลักษณ์ที่จ้างมาด้วยเงินก้อนโตได้ตรวจสอบแล้วว่าทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของหมู่บ้านนั้นดีที่สุด พลังหยางขึ้นสูง ไม่มีบ้านเรือนหรือไร่นาขวางอยู่ด้านหลัง เหมาะสมอย่างยิ่งในการกดทับพลังหยินของศาลบรรพชนและสิ่งศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ
ฉู่เซิ่นใช้ไม้เท้าค้ำเดินวนดูกับหมอดูภูมิลักษณ์รอบหนึ่งแล้วก็หมดแรง จึงกลับไปพักผ่อนที่คฤหาสน์ก่อน ส่วนโม่เซี่ยวเหนียงก็นั่งพักอยู่ในศาลา เฝ้าดูช่างตอกเสา รอตรวจสอบว่าพื้นที่นี้เหมาะสมที่จะวางรากฐานหรือไม่
ในขณะนั้นเองนางก็บังเอิญเหลือบตาขึ้นมาเห็นบุรุษรูปร่างสูงผอมคนหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้สูงบนเนินเขา กำลังมองมาที่นางอย่างตกตะลึง
ชั่วขณะที่มองกลับไปนั้น โม่เซี่ยวเหนียงแทบจำเขาไม่ได้ บุรุษที่เคยผอมบางและสง่างามในความทรงจำ บัดนี้กลับกลายเป็นผู้มีแววตาลึกซึ้งและมีรอยประทับลึกตรงหว่างคิ้ว
แต่สายตาที่มองอย่างจดจ่อนั้นยังคงเป็นสายตาเดียวกับตอนที่เขาเคยมองนางอย่างขวยเขินในห้องเรียน
เพียงแต่ในตอนนั้นช่างหอมหวาน ทว่าตอนนี้กลับถูกทิ้งไว้นานจนขึ้นราและกินไม่ได้แล้ว
โม่เซี่ยวเหนียงหันหน้าหนีไปอย่างเงียบๆ ไม่มองเขาอีก
แต่เขาก็ไม่ยอมไปไหน จนกระทั่งโม่เซี่ยวเหนียงลุกขึ้นเตรียมจะขึ้นเกี้ยว เขาถึงเดินเข้ามา ทว่าถูกองครักษ์ขวางไว้จึงเข้ามาใกล้ไม่ได้
เขาพูดอย่างเร่งรีบว่า “คุณหนูใหญ่ฉู่ ขอพูดคุยด้วยสักหน่อยได้หรือไม่”
หานเยียนที่อยู่ข้างๆ โม่เซี่ยวเหนียงกล่าวเสียงเย็นว่า “คุณหนูของบ่าวตอนนี้ได้รับพระราชทานตำแหน่งฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่จากฝ่าบาทแล้ว ท่านควรเคารพตำแหน่งคุณหนูของบ่าวด้วย”
เซิ่งเซวียนเห็นโม่เซี่ยวเหนียงเข้าไปนั่งในเกี้ยวโดยไม่ลังเลก็ยิ่งร้อนรน รีบพูดอีกว่า “ตอนนั้นข้าอ่อนประสบการณ์ ยกเลิกสัญญาหมั้นหมายกับเจ้าด้วยความโง่เขลาเบาปัญญาโดยไม่ได้พูดคำสุดท้ายด้วยซ้ำ เจ้า…คงยังโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่ อีกทั้งข้าได้ยินมาว่าเจ้าถูกยกให้แต่งกับสุยเฟิง…นี่…นี่ช่างไม่เหมาะสมเอาเสียเลย…ทั้งหมดนี้เป็นความผิดของข้าที่ทำให้เจ้าต้องเดือดร้อน…”
ในสายตาของเซิ่งเซวียน ฮั่วสุยเฟิงเป็นแค่เด็กน้อยที่เคยร่วมศึกษาเล่าเรียนในห้องเดียวกับเขา แล้วสุดท้ายเหตุใดโม่เซี่ยวเหนียงถึงถูกยกให้แต่งกับฝ่ายนั้นได้
หรือว่าเป็นเพราะเขาทำให้นางเสียเวลาจนแต่งไม่ออก ฮั่วสุยเฟิงถึงได้แต่งกับพี่สาวสกุลฉู่เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ เมื่อคิดถึงตรงนี้เซิ่งเซวียนก็รู้สึกเสียใจอย่างไม่อาจบรรยาย
แต่โม่เซี่ยวเหนียงกลับไม่อยากฟังคำพูดของเขา เอ่ยด้วยเสียงอันดังว่า “ในเมื่อเราได้ถอนสัญญาหมั้นหมายกันไปแล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกันอีก คุณชายเซิ่งเองก็รับปี้หวนเป็นภรรยาแล้ว ได้ทำตามความปรารถนาในตอนแรกที่ต้องการรับผิดชอบจนถึงที่สุด ดูแลนางตลอดชีวิต ส่วนเรื่องการแต่งงานของข้า มีฝ่าบาทและบิดาข้าเป็นผู้ตัดสินใจ คุณชายเซิ่งไม่ต้องเป็นกังวล นี่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับท่านทั้งสิ้น”
นางพูดจบแล้วก็สั่งให้คนแบกเกี้ยวจากไปโดยไว
บทที่ 95
เซิ่งเซวียนไม่ได้วิ่งตาม เพียงแต่จ้องมองไปทางที่เกี้ยวจากไปด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
โม่เซี่ยวเหนียงนั่งอยู่ในเกี้ยว ถอนหายใจออกมาอย่างเงียบๆ ความรู้สึกของนางไม่ได้สงบนิ่งอย่างที่แสดงออก เพียงแต่ไม่อยากสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปกับเรื่องไร้สาระ ดังนั้นหลังลงจากเกี้ยวแล้วนางก็เร่งให้คนหาภาพแบบร่างและจัดทำงบค่าใช้จ่าย เมื่อสมองเต็มไปด้วยงานก็จะไม่มีเวลามานึกถึงเรื่องราวในอดีตอีก
ชีวิตในชนบทโดยรวมแล้วผ่อนคลายกว่าในเมืองหลวงมาก
โดยเฉพาะสำหรับเด็กๆ อย่างเซิ่งเกอและน้องสาวคนเล็ก ทั้งสองต่างเล่นสนุกจนลืมตัว ชอบไปวิ่งไล่จับเป็ดที่ริมสระน้ำเป็นพิเศษ
ไม่กี่วันก่อนเซิ่งเกออุ้มลูกสุนัขตัวน้อยจากผู้เช่าที่ดินในคฤหาสน์กลับมา ส่วนน้องสาวคนเล็กก็พร่ำบ่นว่าอยากอุ้มลูกแมวกลับมาบ้าง
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงจัดการเรื่องงบค่าใช้จ่ายเสร็จแล้ว เรื่องที่เหลือก็มีผู้ดูแลทั้งเล็กใหญ่คอยรับผิดชอบ หากมีปัญหาก็แค่รายงานนาง นางจึงมีเวลาว่างพาน้องชายและน้องสาวพร้อมกับบ่าวไพร่ไปเล่นนับเป็ดและวิ่งไล่จับลูกสุนัขที่ริมทะเลสาบใกล้คฤหาสน์
แต่เหมือนสวรรค์จะทนให้โม่เซี่ยวเหนียงอยู่ว่างไม่ได้ จึงส่งคนมาให้นางรู้สึกขยะแขยงเสียอย่างนั้น
วันนั้นฉู่เฉียวอีอยู่ดูแลครรภ์อยู่ในคฤหาสน์ ส่วนโม่เซี่ยวเหนียงออกมาพักผ่อนหย่อนใจริมทะเลสาบพร้อมกับสหายร่วมเรียนหญิงสองสามคน นั่งคุยเล่นกันในศาลาริมทะเลสาบพลางมองเด็กๆ ที่พวกนางพามาด้วยเล่นกับเซิ่งเกอและน้องสาวคนเล็ก
ในตอนนี้เองจู่ๆ ก็มีสตรีที่แต่งกายเหมือนหญิงออกเรือนแล้วเดินมาทางศาลาพร้อมกับสาวใช้หนึ่งคน เมื่อถูกองครักษ์ขวางไม่ให้เข้าใกล้ หญิงคนนั้นก็ทรุดลงคุกเข่ากับพื้นและกล่าวด้วยความโศกเศร้า
“คุณหนูใหญ่ฉู่ ข้ารู้ตัวว่าทำผิดต่อท่าน ทำลายความสัมพันธ์อันดีของท่านกับคุณชายเซิ่งในตอนนั้น แต่ตอนนี้เขาเป็นสามีของข้าแล้ว ขอท่านโปรดเมตตา อย่าได้แย่งชิงกับหญิงต่ำต้อยอย่างข้าเลย!”
ริมทะเลสาบเงียบสงบ เด็กๆ กำลังแบ่งขนมเกาลัดกันกินพอดี จากนั้นเสียงจึงเงียบลง มีเพียงเสียงแหลมสูงที่แฝงแววหดหู่ของสตรีผู้นั้นที่สะท้อนกลับมา
โม่เซี่ยวเหนียงเหลือบตามอง ลักษณะท่าทางน่าสงสารเช่นนั้น ไม่มีทางจำผิดแน่ นางคือปี้หวนผู้มีชะตาชีวิตที่น่าเวทนา
ดูจากการแต่งกายที่สวมใส่เสื้อผ้าธรรมดาและปักปิ่นไม้ของปี้หวน อีกฝ่ายใช้ชีวิตอยู่ในสกุลเซิ่งไม่ราบรื่นนัก แต่ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดถึงต้องออกมาตากแดดร้องไห้คร่ำครวญริมทะเลสาบเช่นนี้
โม่เซี่ยวเหนียงยังไม่ทันได้พูดอะไร หานเยียนสาวใช้คนสนิทของนางก็พูดขึ้นว่า “หญิงชาวบ้านหยาบคายผู้นี้มาจากที่ใดกัน เซี่ยนจู่ของเราเคยรู้จักเจ้าด้วยหรือ เหตุใดถึงเอาแต่เรียกว่าคุณหนูใหญ่ ยังไม่รีบลากนางออกไปอีก อย่าให้มารบกวนความเพลิดเพลินของแขกทั้งหลาย”
แต่วันนี้ปี้หวนดูเหมือนตั้งใจจะพูดกับโม่เซี่ยวเหนียงให้ได้ แม้จะถูกองครักษ์ดึงรั้งไว้ นางก็ยังยื่นคอพูดต่อไป
“แม้ว่าตอนนี้คุณหนูใหญ่ฉู่จะเป็นเซี่ยนจู่ แต่ก็ไม่มีเหตุให้ใช้อำนาจกดขี่ผู้คนเช่นนี้! อย่างน้อยก็ควรให้ข้าได้พูดจนจบ!”
โม่เซี่ยวเหนียงเคยคิดว่าปี้หวนเป็นคนที่ไม่ธรรมดา นางเป็นสาวใช้ที่มาจากชนชั้นล่าง แต่รู้จักประเมินสถานการณ์ มองหาเป้าหมายจนพบเซิ่งเซวียนผู้ที่ทั้งใจดีและหลอกง่าย สุดท้ายก็วางแผนแต่งงานกับเขาสำเร็จ แม้จะไม่ได้เป็นภรรยาเอก แต่ก็ยังได้เป็นอนุ จึงไม่น่าจะโง่งม
แต่วันนี้ไม่รู้ว่าปี้หวนกินยาอะไรผิดมาจึงกล้าวางแผนเล่นนาง ปี้หวนดูเหมือนจะตั้งใจเลือกช่วงเวลาที่เหล่าคุณหนูทั้งหลายมารวมตัวกันเพื่อร้องตะโกนกล่าวหานางให้เสียชื่อเสียง
เมื่อเป็นเช่นนี้หากนางไล่ปี้หวนไปก็คงตกหลุมพรางอีกฝ่าย ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ล้วนเป็นคุณหนูและฮูหยินที่มีหน้ามีตาในท้องถิ่น ข้อกล่าวหาที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุนี้ไม่รู้จะกลายเป็นเรื่องเล่าต่อไปอย่างไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้โม่เซี่ยวเหนียงจึงสั่งให้องครักษ์หยุดดึงรั้งปี้หวน อีกทั้งกระซิบกับสาวใช้อีกคนที่อยู่ข้างๆ หลังกำชับสองสามประโยคแล้ว สาวใช้คนนั้นก็หันกายเดินออกไปทันที จากนั้นโม่เซี่ยวเหนียงจึงอนุญาตให้ปี้หวนเข้ามาพูดคุย
ปี้หวนเดินเข้ามาด้วยน้ำตานองหน้า ทันทีที่คุกเข่าลงต่อหน้าโม่เซี่ยวเหนียง นางก็เริ่มร่ำไห้พร่ำพูดคำเดิมซ้ำไปมา
โม่เซี่ยวเหนียงนั่งเงียบๆ ไม่พูดอะไร ปล่อยให้ปี้หวนพูดไปเกือบครึ่งชั่วยาม ส่วนคุณหนูคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ต่างมองหน้ากันด้วยความงุนงง ใจอยากจะหาข้ออ้างกลับก่อน แต่ถูกโม่เซี่ยวเหนียงรั้งตัวไว้
พอปี้หวนพูดซ้ำๆ จนหมดความน่าสนใจ เสียงก็เริ่มแหบแห้ง โม่เซี่ยวเหนียงจึงพูดขึ้นว่า “ขอถามสักคราว่าเจ้าชื่ออะไร และสามีของเจ้าคือใคร”
คำพูดนี้สะท้อนกลับไปเหมือนตบหน้าปี้หวนสองฉาด นี่เป็นการบอกปี้หวนตรงๆ ว่าโม่เซี่ยวเหนียงไม่รู้จักนาง นางมาร้องไห้ด้วยเรื่องอันใดกัน
แต่ปี้หวนไม่ใช่คนธรรมดา สีหน้านางไม่เผยความลำบากใจแม้แต่น้อย เพียงเช็ดน้ำตาแล้วกล่าวว่า “เซี่ยนจู่คงจะเป็นผู้สูงศักดิ์ที่มีนิสัยหลงลืม ข้าคือปี้หวนอนุภรรยาของคุณชายเซิ่งเซวียน ครั้งนั้นข้ายังเคยคุกเข่าขอร้องให้ท่านช่วยเมตตาให้ข้าได้สมหวังกับคุณชายเซิ่ง ท่านลืมไปแล้วหรือเจ้าคะ”
โม่เซี่ยวเหนียงจึงพูดขึ้นเหมือนนึกขึ้นได้ “อ้อ ที่แท้ก็เป็นเจ้านี่เอง…ไม่พบกันหลายปี เจ้าดูแก่ชราลงมากจนข้าจำไม่ได้…”
สามีหนุ่มปากร้ายผู้นั้นที่ฮ่องเต้พระราชทานแก่นางพูดเรื่องรอยย่นแทงใจดำนางหลายครั้ง ทำให้นางได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าจุดตายของสตรีอยู่ตรงที่ใด
นางจึงหัดเอามาใช้บ้าง ถือโอกาสแทงมีดใส่สตรีตรงหน้าผู้นี้
นอกจากนี้ยังเป็นการบอกเป็นนัยกับคนรอบข้างด้วยว่าแม้นางจะเกี่ยวข้องกับเซิ่งเซวียนและสตรีผู้นี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ผ่านมานานหลายปีแล้ว ตอนนี้สตรีผู้นี้มาร้องไห้กับนางช่างเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี
ทันทีที่โม่เซี่ยวเหนียงพูดออกไป ฮูหยินที่อยู่โดยรอบก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่
สีหน้าที่นิ่งสงบของปี้หวนพลันเปลี่ยนไป นางกัดฟัน สูดหายใจลึกแล้วกล่าวว่า “ข้าไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเหมือนอย่างเซี่ยนจู่ อีกทั้งต้องคอยรับใช้สามีที่ร่ำเรียนทั้งกลางวันกลางคืน และต้องคอยดูแลมารดาสามี ย่อมดูแก่ชราลงเป็นธรรมดา แต่ตอนนี้ข้าต้องพึ่งพาสามีที่หวังว่าจะประสบความสำเร็จในสักวันหนึ่ง หวังว่าเซี่ยนจู่จะเมตตาละเว้นสามีของข้า อย่าทำให้สามีของข้าให้ไขว้เขวอีก หลายวันก่อนหลังจากพบท่าน เขากลับมาแล้วก็ไม่กินไม่ดื่ม หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเขาคงต้องตายแน่…เซี่ยนจู่ ได้โปรดช่วยพูดให้เขากินอะไรสักหน่อยเถิด…”
คำพูดนี้ฟังดูเหมือนเป็นความจริงทุกคำ ชวนให้คนฟังคิดไปไกล
หานเยียนที่อยู่ข้างๆ ฟังแล้วก็โมโห จึงพูดเสียงดังว่า “หลายวันก่อนเห็นได้ชัดว่าเซี่ยนจู่ของเราตามท่านแม่ทัพไปตรวจเลือกที่ตั้งศาลบรรพชน แต่กลับเป็นคุณชายของเจ้าที่วิ่งมาอย่างกระวนกระวายขอร้องให้ได้พูดกับเซี่ยนจู่ของเรา ตอนนั้นเซี่ยนจู่ขึ้นเกี้ยวไปแล้ว ไม่ได้สนใจจะพูดอะไรกับเขา เขาจะกินหรือไม่กิน จะตายหรือไม่ตาย เกี่ยวอะไรกับเซี่ยนจู่ของเราด้วยเล่า เจ้าไม่ไปขอร้องหมอ แต่กลับมาขอร้องเซี่ยนจู่ของเรา คิดจะทำให้เซี่ยนจู่เสื่อมเสียชื่อเสียงหรือ น่ารังเกียจยิ่งนัก!”
แต่ปี้หวนกลับร้องไห้น้ำตานองหน้า “ข้าหรือจะกล้าทำให้เซี่ยนจู่เสื่อมเสียชื่อเสียง ข้าเพียงขอร้องให้เซี่ยนจู่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตที่มีกับสามีข้า ช่วยพูดกับเขาสักหน่อย ท่านจะทนดูสามีของข้าหดหู่ซึมเซาจนตายไปเช่นนี้ได้หรือ”
โม่เซี่ยวเหนียงเพียงแค่ยิ้มบางๆ แล้วกล่าวว่า “เจ้าเล่าเรียนมาน้อย และเป็นคนที่เห็นแต่ความผิดของผู้อื่นเสมอ เรื่องบางเรื่องข้าคงอธิบายให้เจ้าฟังไม่เข้าใจ เมื่อครู่ข้าได้ส่งคนไปตามมารดาสามีของเจ้ามาแล้ว เอาไว้นางมาแล้วข้าจะพูดคุยกับนางเอง”
เมื่อปี้หวนได้ยินเช่นนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างแท้จริง ที่นางมาวันนี้ตั้งใจจะมาก่อกวนให้โม่เซี่ยวเหนียงโกรธ เรียกได้ว่ามีเจตนาแอบแฝง
ในตอนนั้นนางวางแผนกดดันให้เซิ่งเซวียนแต่งนางเป็นภรรยา แต่เซิ่งเซวียนกลับยอมพุ่งชนเสาให้ตายดีกว่าจะแต่งกับนาง
ภายหลังเซิ่งฮูหยินมารดาของเซิ่งเซวียนกลัวว่าปี้หวนจะเปิดเผยเรื่องที่เซิ่งเซวียนมีความสัมพันธ์กับสาวใช้ในช่วงไว้ทุกข์ จึงตัดสินใจให้นางเตรียมตัวเข้าพิธีและยกเข้าเรือนเป็นอนุของบุตรชาย
ทว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเซิ่งเซวียนไม่ยอมพูดกับนางแม้แต่คำเดียวและไม่นอนร่วมห้องด้วย อีกทั้งเซิ่งฮูหยินมารดาสามีก็ไม่ชอบใจนางหลายอย่าง ถ้าไม่ใช่เพราะนางมีตั๋วเงินที่ซื่อจื่อให้มาเป็นรางวัลและกุมจุดอ่อนของเซิ่งเซวียนไว้ นอกจากนี้ท่านน้าของนางซึ่งเป็นอันธพาลที่ทำได้ทุกอย่างก็คอยข่มขู่เซิ่งฮูหยินอยู่ มิฉะนั้นนางคงถูกเซิ่งฮูหยินเล่นงานไปแล้ว
แต่ช่วงเวลาของสตรีก็มีเพียงเท่านี้ ความรักที่นางมีต่อเซิ่งเซวียนจืดจางไปหมดแล้วในหลายปีมานี้ที่อยู่ร่วมกันอย่างเย็นชา นางเสียใจที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ตนเองดื้อรั้นอยากแต่งกับเขา
ในใจของหนอนหนังสือผู้นั้นมีสตรีเพียงหนึ่งเดียว หลังจากสูญเสียนางไปเขาก็จ่มจอมกับความหลังจนเสียสติ และเงินที่ปี้หวนมีก็แทบไม่เหลือแล้วเพราะท่านน้าติดพนัน ตอนนี้อยากจะไปไหนก็ไปไม่ได้
แต่ตอนนี้นางเห็นโอกาสที่จะได้เปลี่ยนชีวิต มีคนจากเบื้องบนสั่งการมา หากนางทำงานนี้สำเร็จจะได้รับเงินทอง ถึงตอนนั้นนางก็ไปจากสกุลเซิ่งได้ และไปใช้ชีวิตอย่างสุขสบายของตนเอง
ดังนั้นวันนี้นางจึงอ้างว่าจะไปขอบุตรที่ศาลเจ้าแม่ ทั้งยังพาสาวใช้ออกมาด้วย จากนั้นก็ตรงมาร้องไห้ฟูมฟายที่นี่ ขอเพียงทำให้โม่เซี่ยวเหนียงโมโหจนถึงขั้นที่ต่อว่าและตบตีนางได้ นางก็มั่นใจเต็มเปี่ยมว่าจะทำให้โม่เซี่ยวเหนียงเสื่อมเสียชื่อเสียงได้
แต่คาดไม่ถึงว่าไม่ว่านางจะพูดอย่างไร โม่เซี่ยวเหนียงกลับนิ่งสงบไม่หวั่นไหว ปล่อยให้นางแสดงละครไปเรื่อยๆ จนตอนหลังถึงได้บอกอย่างไม่รีบร้อนว่าได้เชิญมารดาสามีของนางมาแล้ว
ไม่นานนักหลังจากโม่เซี่ยวเหนียงพูดจบ เซิ่งฮูหยินมารดาสามีของปี้หวนก็มาถึงอย่างรีบร้อน เมื่อลงจากรถม้าเห็นปี้หวนที่ปล่อยผมยาวสยายร้องไห้ฟูมฟายอยู่ นางก็เดือดดาลขึ้นมา
เซิ่งฮูหยินเคยประสบกับเรื่องร้ายในครอบครัว ทำให้นางต้องระวังตัวในทุกเรื่อง กลัวว่าจะทำให้ราชสำนักไม่พอใจและเกิดเรื่องใหญ่ตามมาในภายหลัง
แต่ตอนนี้ปี้หวนนางคนชั้นต่ำผู้นี้กลับล่วงเกินเซี่ยนจู่ที่ฮ่องเต้แต่งตั้งด้วยตนเอง เอาชื่อเสียงบุตรชายของตนมาเป็นเครื่องมือทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง
เมื่อสาวใช้ของโม่เซี่ยวเหนียงพาคนมาส่งข่าว เซิ่งฮูหยินก็โมโหจนร่างสั่น พาบ่าวรับใช้รีบร้อนเดินทางมา ตั้งใจจะปิดปากนางคนชั้นต่ำแล้วลากตัวกลับไป
เมื่อปี้หวนเห็นว่าเซิ่งฮูหยินมาถึงก็ลอบร้องในใจว่าแย่แล้ว และวันนี้ดูเหมือนเซิ่งฮูหยินจะไม่คิดแสร้งทำตัวดีอีกต่อไป ดวงตาของนางฉายแววอำมหิต ปี้หวนมั่นใจว่าหากนางล้มเหลวกลับไปในวันนี้ เซิ่งฮูหยินอาจส่งคนมาโยนนางลงบ่อยามกลางดึกอย่างแน่นอน
ดังนั้นนางจึงตัดสินใจยอมเสี่ยงทุกอย่าง ลงมือให้ถึงที่สุด ออกแรงบีบถุงเลือดที่ใส่ไว้ในกระเพาะปัสสาวะหมูซึ่งผูกไว้ที่ขา เลือดไหลทะลักเปรอะเปื้อนถุงเท้าสีขาวใต้กระโปรงนางทันที จากนั้นก็ร้องไห้เสียงดัง
“เซี่ยนจู่โปรดไว้ชีวิตด้วย โปรดเมตตาบุตรในครรภ์ข้าด้วย…”
แผนการเดิมของนางคือตอนที่โม่เซี่ยวเหนียงถูกยั่วโมโหแล้วลงโทษนาง นางค่อยบีบถุงเลือดให้แตก
แต่ตอนนี้ทำได้เพียงลงมือเช่นนี้ ถึงอย่างไรคุณหนูทุกคนก็อยู่ที่นี่ เมื่อมีคนพูดมากเข้า ข่าวลือก็กลายเป็นจริงได้
ขอเพียงทำให้ข่าวลือแพร่ออกไปอย่างอึกทึกครึกโครม ถึงตอนนั้นย่อมมีรายงานกล่าวโทษว่าฉู่เซิ่นกลับบ้านเกิดแล้วโอ้อวดบารมี ให้ท้ายบุตรสาวจนก่อความวุ่นวายในชนบท รังแกชาวบ้าน…ปี้หวนเป็นคนใจกล้ามาโดยตลอด ท่าทางที่จับท้องร้องไห้ตะโกนช่างเหมือนเด็กสาวไร้ที่พึ่งพาที่ถูกสตรีสูงศักดิ์ข่มเหง
ทางด้านเซิ่งฮูหยินตกตะลึงเล็กน้อย เดิมทีก็สงสัยว่าไม่เห็นปี้หวนร่วมห้องกับบุตรชายเท่าใดนัก แต่พอคิดดูแล้วนางก็อาจตั้งครรภ์จริงๆ ก็ได้ ส่วนโม่เซี่ยวเหนียงก็ไม่รีบร้อน เพียงถามสาวใช้ที่ส่งไป
“ได้เชิญหมอมาพร้อมกันด้วยหรือไม่”
สาวใช้ยอบกายคารวะแล้วตอบว่า “บ่าวกลัวว่าเชิญมาคนเดียวจะตรวจไม่แม่นยำ จึงเชิญมาคราเดียวสามคนเจ้าค่ะ”
โม่เซี่ยวเหนียงโบกมือให้หมอสามคนที่ถือล่วมยาเดินเข้ามาตรวจชีพจรของปี้หวน ปี้หวนเห็นดังนั้นมีหรือจะยอม นางพยายามดิ้นรนขัดขืน แต่ถูกองครักษ์สองคนก้าวเข้ามากดร่างไว้แน่น
ไม่นานนักหมอคนหนึ่งก็พูดอย่างประหลาดใจว่า “ชีพจรปกติดี ไม่เหมือนคนที่ตั้งครรภ์หรือแท้งสักนิด!” หมออีกสองคนพอตรวจแล้วก็เห็นด้วยกับวาจาของเขา
เวลานี้หากเซิ่งฮูหยินยังดูไม่ออกอีกว่าแผนการของปี้หวนคืออะไรก็ถือว่าใช้ชีวิตมาครึ่งค่อนได้อย่างสูญเปล่าแล้ว นางถลึงตาจ้องด้วยความโกรธพร้อมกับเดินเข้าไปเลิกชายกระโปรงของปี้หวนขึ้น เห็นกางเกงข้างใต้นั้นเต็มไปด้วยเลือด
ถุงเลือดปลอมซึ่งผูกไว้ที่ขาเผยออกมาให้เห็นทันที ทำให้บรรดาคุณหนูและฮูหยินที่มองดูอยู่ต่างตกใจและเริ่มซุบซิบกันเบาๆ
“นี่มีเจตนาใช้อุบายข่มขู่เซี่ยนจู่หรือ อนุจากครอบครัวไหนกัน ไม่กลัวบ้างหรือว่าจะทำให้ครอบครัวสามีเดือดร้อน”
“ตอนนั้นคุณชายเซิ่งต้องเสียสติไปแล้วเป็นแน่ที่ยอมละทิ้งการแต่งงานกับสกุลฉู่เพื่อคนชั้นต่ำเช่นนี้”
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 30 ก.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.