บทที่ 96
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ เซิ่งฮูหยินโกรธจนร่างสั่น นางรีบคุกเข่าลงที่พื้นร้องขอความเมตตาและขออภัยฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่
“ข้าดูแลอนุของบุตรชายไม่ดี ปล่อยให้นางมารบกวนเซี่ยนจู่ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าละอายของครอบครัวเรา ขอเซี่ยนจู่โปรดให้อภัยด้วย ข้าจะกลับไปลงโทษนางคนชั้นต่ำผู้นี้ให้จงหนักแน่นอน”
แต่ฮุ่ยหมิ่นเซี่ยนจู่เพียงยิ้มบางกล่าวว่า “วันนี้ข้าเพียงแค่พาน้องชายน้องสาวมาเที่ยวเล่นที่ทะเลสาบ แต่กลับเผชิญเคราะห์ร้ายโดยไม่คาดคิด โชคดีที่คุณหนูและฮูหยินทั้งหลายอยู่ที่นี่และเป็นพยานให้ข้าได้ ตอนนี้บิดาของข้าได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ เป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งในราชสำนัก บุตรอย่างเรายิ่งต้องระวังการกระทำของตนเอง หากปล่อยให้เรื่องนี้แพร่ออกไปอย่างคลุมเครือก็คงเหมือนที่ปี้หวนพูดว่าข้าใช้อำนาจข่มเหงจนทำให้นางแท้งบุตร ในเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว นี่ไม่ใช่เพียงเรื่องในครอบครัวของเซิ่งฮูหยินอีกต่อไป ข้าคงต้องแจ้งให้ทางการลงบันทึกไว้ และจะได้แก้ไขความเข้าใจผิดด้วย”
เมื่อเซิ่งฮูหยินเห็นอดีตว่าที่ลูกสะใภ้จะจัดการด้วยความเป็นธรรมเช่นนี้ ในใจก็รู้สึกหวาดหวั่น จึงพูดเสียงสั่นเครือ
“เซี่ยนจู่ ท่าน…ไม่ต้องจัดการอย่างไร้เยื่อถึงเพียงนี้ก็ได้กระมัง หากจะแค้นก็ขอให้แค้นข้าที่ไม่สามารถดูแลบ้านให้ดี จนปล่อยให้นางคนชั้นต่ำเจ้าเล่ห์ผู้นี้เข้ามาในครอบครัว…”
แต่โม่เซี่ยวเหนียงไม่อยากฟังนางพูดถึงเรื่องราวในอดีตอีก จึงลุกขึ้นแล้วกล่าวเรียบๆ “พวกเราต่างก็เป็นสตรีในเรือน ต้องเผชิญกับคนเจ้าเล่ห์เพทุบายเช่นนาง เป็นใครย่อมไม่อาจสู้ได้ โชคดีที่คนเป็นขุนนางเห็นโลกมามาก ท่านพูดกับข้าก็ไม่มีประโยชน์ แค่รอฟังว่าเจ้าเมืองจะตัดสินคดีนี้อย่างไรก็พอ” พูดจบก็หันหลังเดินจากไป
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงเข้าไปนั่งในเกี้ยวกลับมีเหงื่อเย็นไหลออกมาจากต้นคอ
ตอนที่ปี้หวนเริ่มโวยวายแรกๆ โม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้สนใจอะไรนัก คิดว่าเป็นเพียงการหาเรื่องเรียกร้องผลประโยชน์เท่านั้น
นางเคยเปิดบริษัทเอเจนซี่ เคยพบแอนตี้แฟนมาแล้วทุกประเภท นางยึดมั่นในหลักการสำคัญสามข้อ ได้แก่ ไม่ปะทะ ไม่ด่าทอตอบโต้ และต้องมีพยานเสมอ โม่เซี่ยวเหนียงจึงสั่งให้คนไปตามเซิ่งฮูหยินมาตั้งแต่แรก
แต่ตอนที่สั่งคนไปตามเซิ่งฮูหยิน จู่ๆ โม่เซี่ยวเหนียงก็สะดุดใจนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงสั่งให้เชิญหมอมาด้วย
แผนการแต่ละขั้นของปี้หวนต่อจากนี้เรียกได้ว่าโม่เซี่ยวเหนียงคาดการณ์ไว้หมดแล้วทุกอย่าง จะพูดให้ละเอียดลึกซึ้งสักหน่อยก็คือเหมือนกับเหตุการณ์ที่โม่เซี่ยวเหนียงตัวประกอบหญิงผู้ชั่วร้ายในนิยายต้นฉบับถูกสกุลเซียวยุยง นางจึงส่งสาวใช้ของตนไปสร้างเรื่องใส่ร้ายผู้ใต้บังคับบัญชามือขวาของพระเอก
ในนิยายต้นฉบับมีการผูกถุงเลือดไว้ที่ขาเช่นกัน แล้วสาวใช้ก็ไปร้องไห้ฟูมฟายสร้างความวุ่นวายต่อหน้าภรรยาเอกของขุนนางผู้นั้นจนภรรยาเอกของเขาโกรธจัด ผลักสาวใช้จนล้ม ทำให้เลือดไหลไม่หยุด…
และเรื่องนั้นก็กลายเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการฟ้องร้องถอดถอนขุนนางผู้นั้นและฮั่วสุยเฟิงออกจากราชสำนัก
แม้ว่าสถานการณ์นี้จะมีสาเหตุของความวุ่นวายที่แตกต่างกัน แต่อุบายกลับเหมือนกันยิ่ง ต่างพุ่งเป้าไปที่ความประพฤติอันไม่เหมาะสมของครอบครัวขุนนาง แล้วจะไม่ให้โม่เซี่ยวเหนียงระมัดระวังตัวได้อย่างไร
และแม้ว่าเซิ่งฮูหยินจะขอร้อง ไม่อยากให้เรื่องนี้เปิดเผยต่อฝูงชน แต่โม่เซี่ยวเหนียงก็ไม่อาจตอบตกลงได้ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีปี้หวนก็เป็นคนของเซียวเยวี่ยเหอ หากนางได้รับคำสั่งจากสกุลเซียวก็ยิ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล!
นางจึงตัดสินใจนำเรื่องนี้ไปแจ้งทางการ มีทั้งพยานและหลักฐานอยู่ครบ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครนำเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างกล่าวหาว่าบิดาเลี้ยงของนางมีความผิดในภายหลัง
เพียงแต่ความรู้สึกที่ถูกจับตามองเช่นนี้ทำให้นางอึดอัด เหมือนกับตอนที่ศิลปินในสังกัดของนางถูกโจมตีโดยคู่แข่งได้ว่าจ้างมือรับจ้างโพสต์เพื่อปั่นข่าว รอเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวในวันจันทร์ รอให้กระแสคนถล่มใส่เหมือนระเบิด
หลังจากกลับถึงจวน โม่เซี่ยวเหนียงก็ไปพบฉู่เซิ่น พร้อมเตือนบิดาเลี้ยงว่าแม้ตอนนี้เขากำลังพักฟื้นอยู่ที่จวนก็ต้องระวังทิศทางการเมืองในราชสำนักด้วย
นอกจากนี้นางยังถามเขาอย่างอ้อมๆ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับสกุลเซียวเป็นเช่นไร
ฉู่เซิ่นเห็นว่าที่บุตรสาวคนโตมาพูดคุยกับเขาอย่างจริงจังเช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลแน่นอน หลายครั้งที่ตนเสี่ยงอันตราย แต่ล้วนเป็นเพราะสายตายาวไกลของลูกเลี้ยงผู้นี้ เขาจึงนำหน้าผู้อื่นไปหนึ่งก้าว ดังนั้นเขาไม่กล้าพูดอย่างไม่ใส่ใจว่าโม่เซี่ยวเหนียงวิตกกังวลเกินเหตุ
เมื่ออยู่ในชนบท การเปลี่ยนแปลงในราชสำนักเป็นเช่นไรย่อมถูกปิดกั้นอยู่บ้าง ตอนนี้ราชสำนักมีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง ข่าวก็ส่งมาไม่ถึงหูเขาเช่นกัน
โม่เซี่ยวเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวกับฉู่เซิ่นว่า “ตอนนี้ที่ดินสำหรับสร้างศาลบรรพชนเลือกไว้เสร็จแล้ว หากท่านพ่อไม่มีธุระอะไรจะกลับไปยังเมืองหลวงก่อนก็ได้ แต่ต้องจำไว้ให้ดีว่าถึงแม้ท่านจะได้รับพระเมตตาจากฮ่องเต้ แต่อำนาจสวรรค์ยากจะคาดเดา ทุกอย่างล้วนต้องระมัดระวัง…”
ฉู่เซิ่นย่อมบอกโม่เซี่ยวเหนียงว่าไม่ต้องกังวล และเขาจะรีบเดินทางกลับเมืองหลวงก่อน
ในวันรุ่งขึ้น โม่เซี่ยวเหนียงได้เรียกช่างฝีมือมา จากนั้นก็มีการปรับลดขนาดและงบค่าใช้จ่ายในการสร้างศาลบรรพชนลงไปมาก
ขณะเดียวกันก็ยังเรียกหัวหน้าคนงานที่ดูแลคฤหาสน์มาและเขียนจดหมายถึงหลงจู๊ร้านค้าในที่ต่างๆ เพื่อตรวจสอบค่าใช้จ่ายในบัญชีช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ พร้อมกับสั่งว่าหากใครก่อปัญหาให้แจ้งนางทันที นอกจากนี้ยังย้ำเตือนพวกเขาด้วยว่าไม่ให้อ้างกิจการของท่านแม่ทัพไปโอ้อวดบารมีกับชาวบ้าน ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามยอมเสียเปรียบดีกว่าจะให้เกิดปัญหา หากกล้าอ้างชื่อท่านแม่ทัพไปกดขี่ข่มเหงชาวบ้าน แม้ไม่ถูกลงโทษด้วยกฎหมายก็จะถูกลงโทษด้วยกฎของตระกูลอย่างแน่นอน
ฉู่เฉียวอีเห็นว่าในแต่ละวันมีจดหมายส่งมาไม่หยุด และมีหลงจู๊ของร้านค้ามารายงานไม่ขาดสาย นางก็รู้สึกว่าทนดูไม่ได้ จึงเอ่ยขึ้น
“ท่านพ่อก็ไม่อยู่ แล้วเจ้าทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เรื่องวุ่นวายเช่นนี้ไปเพื่ออันใด”
ตอนนี้กิจการของสกุลฉู่ใหญ่โตยิ่ง โม่เซี่ยวเหนียงทำงานยุ่งจนแทบไม่ได้เงยหน้าลืมตา พอได้ยินคำพูดแดกดันของฉู่เฉียวอีก็เพียงแต่ใช้พู่กันชี้ไปที่หน้าประตู
ฉู่เฉียวอีเบิกตากว้างร้องถาม “จะทำอะไร จะไล่ข้าออกไปหรือ”
โม่เซี่ยวเหนียงเอ่ยขึ้น “หากเจ้ามีเวลามาคุยเล่นก็ไปหาท่านอาหูของเจ้าเถิด ตอนนี้ข้ายุ่งจนหน้าแทบไม่ได้เงย คนเดินขวักไขว่ไปมา ระวังจะชนเจ้ากับเด็กในครรภ์ ถึงตอนนั้นจะให้ข้าชดใช้ก็ชดใช้ไม่ไหว”
ฉู่เฉียวอีโมโห จึงสะบัดผ้าเช็ดหน้า “เจ้าอวดดีไปเถิด อวดดีอยู่ที่สกุลฉู่เราได้อีกไม่กี่วันแล้ว เมื่อไปโม่เป่ยเจ้าก็คอยดูเถิดว่าสุยเฟิงเด็กนั่นจะยอมให้เจ้าจัดการงานในจวนหรือไม่!”
ฉู่เฉียวอีเป็นคนไม่ใส่ใจเรื่องเล็กน้อย คิดแค้นเรื่องฮั่วสุยเฟิงมาตั้งแต่เล็กจนโต ในสายตาคุณหนูรองสกุลฉู่ ฮั่วสุยเฟิงไม่เคยเชื่อฟังคำสั่งใคร คิดอยากจะทำอะไรก็ทำ บางครั้งก็ทำเป็นไม่สนใจคำพูดของบิดานาง มีความคิดชัดเจนและมีหลักการเป็นของตนเอง นางไม่เคยเห็นเขาเกรงกลัวใคร แม้แต่โม่เซี่ยวเหนียงที่วางตัวสง่าผ่าเผยจนเป็นนิสัย บางครั้งก็ยังถูกเขายั่วโมโหจนเต้นเร่าๆ
และโม่เซี่ยวเหนียงก็เป็นคนที่มีนิสัยชอบควบคุมผู้อื่น ไม่รู้ว่าเมื่อแต่งงานกับฮั่วสุยเฟิงแล้ว จวิ้นอ๋องน้อยผู้นั้นจะยอมให้นางควบคุมหรือไม่!
น่าเสียดายที่ในสายตาโม่เซี่ยวเหนียง ผู้ที่ทำให้นางทุ่มเทแรงใจถึงเพียงนี้ได้ นอกจากหูซื่อผู้เป็นมารดาแล้วก็มีเพียงฉู่เซิ่นผู้เป็นบิดาเลี้ยงเท่านั้น
อู๋เซี่ยวเซี่ยวจำได้ว่าเจิงฝานอดีตสามีเคยวิจารณ์ว่านางเป็นสาวสวยผู้เย็นชาและต้องใช้เวลาในการพัฒนาความสัมพันธ์ บางครั้งนึกว่าละลายความเย็นชาของนางได้แล้ว แต่พอเอื้อมมือแตะกลับยังคงเย็นเฉียบ ทำให้ไม่รู้สึกใกล้ชิดสนิทสนม
ตอนนั้นอู๋เซี่ยวเซี่ยวนึกว่าเขาพูดเล่น จึงไม่ได้โต้แย้งอะไร แต่ในใจนางยอมรับว่าที่เขาพูดมาก็มีเหตุผลอยู่บ้าง
ในด้านความรักนางเป็นคนที่รอให้คนอื่นเข้าหา อีกทั้งความรู้สึกก็ช้าจริงๆ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่านางเป็นคนที่ไม่รู้สึกอะไรกับความเอาใจใส่ของคนอื่น แต่ความอบอุ่นของนางซุกซ่อนอยู่ลึกในใจเสมอมา แสดงออกทางคำพูดไม่เป็น ทำเป็นเพียงใช้การกระทำปกป้องคนที่นางรักให้ปลอดภัยอย่างเงียบๆ
ด้วยเหตุนี้ตอนนั้นเจิงฝานที่มักจะพร่ำบ่นว่านางเย็นชาและทำให้คนอื่นรู้สึกถึงระยะห่างจึงถูกนางปั้นและสนับสนุนด้วยมือตนเองจนกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ที่มีผู้ติดตามมากมาย
แต่น่าเสียดายที่บางครั้งการทุ่มเทให้อย่างสุดตัวก็สู้ผู้หญิงที่แสดงความอ่อนแอและพูดจาอ่อนหวานนุ่มนวลไม่ได้ สุดท้ายเจิงฝานก็ยังทรยศความจริงใจของนางและเหยียบย่ำความรักของนาง
ความรักไม่ได้น่าเชื่อถือถึงเพียงนั้น เจิงฝานเป็นเช่นนั้น เซิ่งเซวียนก็เช่นกัน
แต่ความรักของคนในครอบครัวไม่เคยทำให้นางผิดหวัง ไม่ว่านางจะเป็นอู๋เซี่ยวเซี่ยวหรือโม่เซี่ยวเหนียง พ่อและบิดาเลี้ยงทั้งสองชาติล้วนรักและดูแลเอาใจใส่นางเป็นอย่างดี
แต่น่าเสียดายที่ในยุคปัจจุบันนางนึกว่าพ่อของนางจะแข็งแกร่งเช่นนั้นตลอดไป ไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าธุรกิจของเขาตกอยู่ในความยากลำบากจนทำให้เขาโดดเดี่ยวไม่มีใครช่วยเหลือ เขายังทำตัวเป็นซูเปอร์แมนที่รบไม่เคยแพ้และแสร้งทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้านาง แต่กลับจากไปอย่างกะทันหันภายใต้แรงกดดันและความวิตกกังวล
นี่คือความเสียใจมากที่สุดของอู๋เซี่ยวเซี่ยว และตอนนี้นางได้มาเกิดใหม่ในยุคโบราณนี้ สวรรค์มอบพ่อให้นางอีกครั้ง แม้ไม่ใช่พ่อแท้ๆ แต่เขาก็มอบความรักของพ่อให้นางอย่างไม่ด้อยไปกว่ากัน
โม่เซี่ยวเหนียงหวังว่าครั้งนี้นางจะไม่มีสิ่งใดมารบกวนใจ สามารถปกป้องบิดาเลี้ยงผู้นี้ให้ปลอดภัยได้
การแต่งงานในภายภาคหน้าระหว่างนางกับจวิ้นอ๋องน้อยจะเป็นเช่นไร เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่นางกังวลเป็นอันดับหนึ่งในใจ ถึงอย่างไรนางก็ได้เรียนรู้ความไม่น่าเชื่อถือของความรักมาอย่างเต็มที่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นนางกับเด็กแสบฮั่วสุยเฟิงนั่นไม่ได้มีความรักให้พูดถึงแม้แต่น้อยอยู่แล้ว อย่างมากก็แค่ความผูกพันในครอบครัวที่ทะเลาะกันและเติบโตมาด้วยกันเท่านั้นเอง
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถึงแม้ในวันข้างหน้าฮั่วสุยเฟิงจะรังเกียจที่นางแก่ชราและทำไม่ดีต่อนาง นางก็ไม่มีทางไม่พอใจและกังวล แค่ลาจากกันด้วยดี ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปก็พอ
และถ้าฮั่วสุยเฟิงไม่ยอมให้นางจัดการดูแลจวน…นั่นก็ยอดเยี่ยมไม่น้อย! พึงรู้ว่าตอนแรกนางเองก็วางแผนว่าจะใช้ชีวิตในยุคโบราณนี้เหมือนมาเที่ยวพักผ่อนอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ที่เหน็ดเหนื่อยราวกับโปรแกรมเมอร์ซึ่งทำงานหนักจนเกือบตายเช่นนี้ ทั้งหมดล้วนเป็นเพราะได้ความรักดุจดั่งขุนเขาของบิดาเลี้ยงช่วยประคองไว้ หากวันหน้าแต่งงานกับฮั่วสุยเฟิงแล้วต้องเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้ นางจะประท้วงไม่ยอมทำงานแน่นอน
เขาย่อมมีหญิงงามรอบกายมากมาย และเส้นเรื่องที่จะดำเนินต่อไปในวันหน้ายังมีเทพพยากรณ์จูเก่อ หญิงมาออกโรง ช่วยให้เขารวมแผ่นดินเป็นหนึ่งได้สำเร็จอีก แล้วมือสมัครเล่นอย่างนางจะมีปัญญาไปแย่งบทได้อย่างไร
ทว่าดูเหมือนว่าความปรารถนาที่เรียบง่ายนี้จะเป็นจริงได้ยาก ไม่ถึงครึ่งเดือนหลังฉู่เซิ่นจากไปก็มีคนมาเคาะประตูคฤหาสน์ที่ชนบทในค่ำคืนที่ฝนฤดูใบไม้ร่วงโปรยปราย
ตอนที่โม่เซี่ยวเหนียงได้ยินเสียงผู้ที่มาในยามวิกาล ทุกคนต่างเข้านอนกันหมดแล้ว
นางเพิ่งลุกขึ้นมาคลุมเสื้อก็มีคนคลุมเสื้อฟางกันฝนเดินเข้ามาในเรือนของนาง
โม่เซี่ยวเหนียงชะโงกมองไปทางหน้าต่างที่แง้มอยู่เล็กน้อย เห็นบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งกำลังถอดหมวกสานและแกะเชือกผูกเสื้อฟางกันฝน แสงไฟสลัวที่ระเบียงสาดส่องใบหน้าด้านข้างของเขา เงาด้านข้างจมูกโด่งงามดูเหมือนยอดเขาเล็กแหลม
เมื่อเห็นโม่เซี่ยวเหนียงชะโงกหน้าออกมา เขาก็ยื่นมือเปียกๆ มาบีบปลายจมูกนางเบาๆ แล้วพูดว่า “อย่าเพิ่งนอน รีบเก็บของแล้วไปกับข้า!”
ผู้ที่มาคือฮั่วสุยเฟิงที่เดิมทีควรไปรีบเดินทางไปโม่เป่ย! เขามาครั้งนี้เอาจดหมายที่เขียนด้วยลายมือของฉู่เซิ่นมาด้วย
ในจดหมายที่เขียนถึงหูซื่อมีเพียงการแจ้งข่าวว่าปลอดภัยดี แต่จดหมายที่ส่งให้โม่เซี่ยวเหนียงกลับเขียนถึงสถานการณ์อันตรายในราชสำนัก…ฮ่องเต้ประชวรหนัก รัชทายาทพระองค์ใหม่เป็นพระโอรสของรัชทายาทพระองค์ก่อน อีกทั้งเขาอายุยังน้อยเกินกว่าจะปกครองบ้านเมืองได้เอง
ฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งพระนัดดาเป็นรัชทายาทแทนพระโอรส ขุนนางใหญ่หลายคนล้วนไม่เห็นด้วย
ตอนนี้ในราชสำนักมีคลื่นใต้น้ำเป็นระลอกเล็กๆ ขุนนางใหญ่มากมายต่างถวายฎีกาขอให้ฮ่องเต้ยกเลิกพระราชโองการแต่งตั้งพระนัดดาเป็นรัชทายาทอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วเปลี่ยนมาแต่งตั้งองค์ชายสามผู้มีชื่อเสียงที่ดีและมีความสามารถแทน
แม้ว่ามารดาของเขาจะมีชาติกำเนิดต้อยต่ำ เป็นเพียงนางกำนัลที่ทำหน้าที่เทกระโถน แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นพระโอรสของฮ่องเต้ ทั้งยังเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีความสามารถในการปกครองบ้านเมืองเองได้ จะได้ไม่มีญาติฝ่ายมารดาที่มีอำนาจขึ้นมาเพราะช่วยเหลือเกื้อหนุนฮ่องเต้วัยเยาว์จนกลายเป็นภัยแฝงของราชสำนัก
ส่วนญาติฝ่ายมารดาของรัชทายาทองค์ปัจจุบันย่อมไม่ยอมนิ่งดูดาย ทั้งสองฝ่ายต่างเคลื่อนไหวอย่างลับๆ งัดกลยุทธ์มาเผชิญหน้ากันอย่างเต็มกำลังทั้งในทางลับและที่แจ้ง
แม้ฉู่เซิ่นไม่อยากเข้าร่วมกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางกระแสน้ำวนย่อมถูกกลุ่มขุนนางที่สนับสนุนองค์ชายสามมองเป็นพรรคพวกของรัชทายาทไปแล้ว และต้องการกำจัดเขาให้พ้นทางจึงจะสบายใจ
ฉู่เซิ่นกลับไปได้ทันเวลา วันนั้นตอนที่เขายกเลิกการลาป่วยและเข้าราชสำนักด้วยตนเองก็พบรายงานฟ้องร้องเขาฉบับหนึ่งพอดี
รายงานฉบับนั้นมีเจตนาชั่วร้ายอย่างยิ่ง กล่าวถึงชาติกำเนิดของภรรยาฉู่เซิ่นว่าเป็นเพียงนักแสดงงิ้วผู้ต่ำต้อย รวมทั้งเปิดเผยว่าลูกเลี้ยงของเขาโม่เซี่ยวเหนียงเป็นบุตรนอกสมรส
จากนั้นก็กล่าวหาว่าฉู่เซิ่นจงใจปิดบังฮ่องเต้ ปล่อยให้ลูกเลี้ยงที่มีชาติกำเนิดต้อยต่ำเช่นนี้ได้รับพระเมตตาแต่งตั้งเป็นเซี่ยนจู่ นอกจากนี้ยังบรรยายอย่างลึกซึ้งว่าสตรีผู้นี้หยิ่งผยองอวดดี อิจฉาริษยา และเนื่องจากอดีตคู่หมั้นยกเลิกการหมั้นหมาย ระหว่างที่กลับบ้านเดิมถึงกับทำร้ายอนุของเขาจนแท้งบุตร…
รายงานฉบับนั้นกล่าวหาอย่างรุนแรง มีพยานและหลักฐานจากบ้านเกิดเมืองเฟิ่งครบถ้วน เจตนาคือต้องการกล่าวหาว่าคุณธรรมประจำตนของฉู่เซิ่นด่างพร้อย มีความผิดฐานปิดบังความจริงต่อฮ่องเต้
บทที่ 97
อู๋เซี่ยวเซี่ยวเพิ่งมารู้ในภายหลังว่าการโต้เถียงในท้องพระโรงวันนั้นดุเดือดอย่างยิ่ง
ตลอดชีวิตของฉู่เซิ่นใช้ดาบมากใช้ปากน้อย โชคดีก่อนที่เขาจะไป ลูกเลี้ยงที่จวนได้ช่วยซักซ้อมพูดคำให้การกับเขาอย่างเรียบร้อย กระทั่งเขียนบทให้เขาอย่างมีลำดับขั้นตอนชัดเจนด้วย
เขาเริ่มต้นด้วยการโต้แย้งเรื่องที่ลูกเลี้ยงทำร้ายอนุของผู้อื่น เพียงกล่าวว่าเรื่องนี้ได้รายงานไปยังที่ว่าการท้องถิ่นแล้ว มีพยานและหลักฐานครบถ้วน อนุผู้นั้นมิได้ตั้งครรภ์ ทว่ามัดถุงเลือดไว้เพื่อข่มขู่ผู้อื่น
อีกทั้งเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ถึงครึ่งเดือน เขาเองก็เพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวง เหตุใดถึงมีคนรายงานเรื่องนี้แล้ว ต่อให้เขียนรายงานก็ต้องเรียบเรียงถ้อยคำสักคืน! ดูเหมือนว่าคนที่บงการวางแผนจะรีบร้อนจนทนไม่ไหว ไม่รอจดหมายตอบกลับจากบ้านเกิดก็คิดจะใส่ร้ายป้ายสีผู้อื่น พยายามทำให้สกุลฉู่เสื่อมเสียชื่อเสียงด้วยเรื่องจริงปนเรื่องเท็จ
คงจะนึกไม่ถึงว่าเขาจะมาเมืองหลวงเร็วผิดคาด ฝ่ายนั้นมีเจตนาอันใดกันแน่
ฉู่เซิ่นเป็นแม่ทัพ จ้องตาเขม็งเค้นถามขุนนางที่เขียนรายงานด้วยท่าทางน่าเกรงขาม
ขุนนางทัดทานที่ถูกผลักไปเป็นทัพหน้ายังด้านหน้าท้องพระโรงก็ไม่ยอมแพ้ รีบซักถามเรื่องที่คุณธรรมประจำตนของฉู่เซิ่นเสื่อมเสีย แต่งนักแสดงงิ้วเป็นภรรยา ส่วนบุตรนอกสมรสของภรรยาต่ำต้อยก็ได้รับพระเมตตา ทั้งยังขุดเรื่องที่ฉู่เซิ่นร่ำรวยแล้วอ้างว่าขอแยกเรือนเพื่อที่จะไม่แสดงความกตัญญูต่อพี่ชายด้วย
สมัยก่อนฉู่เซิ่นไม่ได้รู้จักมักคุ้นกับพวกขุนนางบุ๋นมากนัก จึงไม่ค่อยเข้าใจขุนนางบุ๋นพวกนี้ที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ ทว่ากลับชอบอยู่ที่เรือนเค้นสมองขบคิดว่าจะขุดคุ้ยเรื่องเสียหายของผู้อื่นเท่าไรนัก แต่ตอนนี้เขารู้สึกชื่นชมความสามารถในการทำให้ชื่อเสียงของผู้อื่นเสียหายของคนพวกนี้อย่างไร้ข้อกังขา
แต่คนที่เขาชื่นชมเลื่อมใสยิ่งกว่าคือโม่เซี่ยวเหนียงลูกเลี้ยงของตน ก่อนออกเดินทางโม่เซี่ยวเหนียงส่งร่างหนังสือที่เตรียมไว้หนาพอๆ กับสมุดบัญชีให้เขา เขาเองยังตกตะลึงไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าเซี่ยวเหนียงตื่นตูมกับเรื่องเล็กน้อย ถึงกับเรียบเรียงเรื่องในหลายปีมานี้ที่สกุลฉู่อาจถูกผู้อื่นตำหนิอย่างละเอียด ควรจะโต้แย้งและตอบคำถามอย่างไรล้วนเขียนไว้อย่างชัดเจนหมด
เนื่องจากกลัวว่าบิดาเลี้ยงจะไม่อ่าน โม่เซี่ยวเหนียงยังบอกเขาในสภาพที่ดวงตานางเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอยด้วยว่าสิ่งเหล่านี้นางใช้เวลาเขียนถึงหนึ่งวันหนึ่งคืน หากเขาไม่อ่านก็คงทำให้ความตั้งใจของนางต้องเสียเปล่าแล้ว
ดังนั้นฉู่เซิ่นจึงอ่านร่างหนังสือนั้นมาตลอดทาง เมื่อได้ยินขุนนางทัดทานโจมตีเรื่องภรรยารักของตนก็โต้กลับอย่างไม่ลังเลทันที
‘หูซื่อผู้เป็นภรรยาเคยเป็นนักแสดงงิ้ว กระหม่อมได้ทูลฝ่าบาทอย่างชัดเจนไปเรียบร้อยแล้ว มิกล้าปิดบังฝ่าบาทแต่อย่างใด ขอฝ่าบาทโปรดทรงพิจารณาด้วยพ่ะย่ะค่ะ! ส่วนตอนแยกเรือนกับพี่ชาย ตอนนั้นกระหม่อมยังเป็นคนบ้านนอกไร้ชื่อเสียง ทรัพย์สินที่หาได้มาหลายปีก็ยกให้ครอบครัวพี่ชายทั้งหมด มรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของที่บ้านก็ได้รับแบ่งมาเพียงเรือนเก่าทรุดโทรมหลังหนึ่งเท่านั้น หลังจากนั้นเมื่อเป็นขุนนางแล้ว แม้งานยุ่งจนไม่ได้กลับบ้านเกิด แต่ของขวัญและเงินทองก็ส่งไปให้พี่ชายมิได้ขาด จะมากล่าวหาว่ากระหม่อมไม่กตัญญูต่อพี่ชายได้อย่างไร’
ขณะที่พูดก็ยังทูลให้ฮ่องเต้อนุญาตให้เขาส่งบ่าวรับใช้ไปนำหนังสือการแบ่งทรัพย์สินในครอบครัวที่เก็บไว้ที่จวนมา ซึ่งในนั้นมีรายละเอียดการแบ่งเงิน ที่ดิน เรือน และของที่ให้ทุกเทศกาลปีใหม่ครบถ้วน เนื่องจากเขาเดินทางโดยแวะที่จุดพักม้าและใช้ม้าของทางการจึงมีบันทึกไว้ทุกอย่าง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีจดหมายของพี่ชายที่ไม่ให้เขาติดต่อไปอีกเพราะกลัวว่าตนเองจะเดือดร้อนด้วย
สุดท้ายใครกันแน่ที่เย็นชาไร้น้ำใจ ใครมีตาก็ต้องเห็นชัดเจนกันทั้งนั้น
ช่วงนี้ฮ่องเต้ทรงเหนื่อยล้าพระวรกาย ยามค่ำคืนบรรทมไม่สนิท ใครจะคิดว่าจะมีขุนนางทัดทานรวมกำลังเปิดฉากโจมตีขุนนางฉู่ที่รักตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้
ในท้องพระโรงเป็นยุทธจักรที่เต็มไปด้วยแสงดาบเงากระบี่ ความจริงแล้วสถานการณ์ที่ขุนนางทัดทานมารวมตัวกันโจมตีขุนนางผู้โชคร้ายอย่างดุเดือดเป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง
ขุนนางทัดทานล้วนมีฟันเหล็กฟันสำริด เมื่อกัดใครเข้า หากไม่ตายก็หนังถลอก ดังนั้นเพิ่งเริ่มเปิดฉาก ฮ่องเต้ก็รู้สึกสงสารผู้มีพระคุณช่วยชีวิตตนที่ไปหาเรื่องขุนนางทัดทานพวกนี้เข้า
แต่นึกไม่ถึงว่าขุนนางฉู่ที่รักนอกจากจะมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ฝีปากก็ยังไม่อ่อนด้อยอีกด้วย โต้แย้งอย่างมีเหตุผลและมีหลักฐาน เมื่อไรควรถลึงตาก็ถลึงตา ถึงกับด่าทอจนขุนนางทัดทานผู้เป็นหัวหน้าพูดจาตะกุกตะกักไปแล้ว
และในวันนั้นบนต้นไม้ท่ามกลางเหตุการณ์กบฏในวัง ตอนที่คิดว่าหมดหวังที่จะหนีรอดแล้ว ขุนนางฉู่ที่รักได้คุยเล่นกับฮ่องเต้เพื่อให้เขาผ่อนคลาย เล่าเรื่องทุกอย่างในครอบครัวของตนให้ฮ่องเต้ฟังหมดแล้ว
หลังจากที่ฮ่องเต้ผ่านเหตุการณ์ก่อกบฏแย่งชิงอำนาจขององค์ชายรองมาก็รู้สึกผิดหวังกับความสัมพันธ์ในครอบครัวอย่างยิ่ง
แม้ว่าฉู่เซิ่นจะมั่งคั่งสักเพียงใด เขาก็ไม่ยอมทอดทิ้งภรรยาผู้ต่ำต้อย ทั้งยังเลี้ยงดูลูกเลี้ยงเสมือนบุตรแท้ๆ อย่างใจกว้างและมีคุณธรรม มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้ ตลอดชีวิตของฮ่องเต้ไม่ค่อยยกย่องผู้ใดนัก แต่กลับรู้สึกชื่นชมแม่ทัพฉู่ผู้ซึ่งในตอนแรกฮ่องเต้ไม่ได้มองเขาในแง่ดีนัก ทว่าตอนนี้ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าฉู่เซิ่นเป็นบุรุษที่มีความสามารถโดดเด่น มีความเที่ยงธรรมและซื่อตรง เป็นขุนนางและมิตรสหายที่ทำให้รู้สึกสบายใจ
ดังนั้นเมื่อขุนนางทัดทานหยิบยกเรื่องภรรยาและลูกเลี้ยงของฉู่เซิ่นมาโจมตี ฮ่องเต้จึงทำหน้าเคร่งขรึมแล้วตรัสว่า ‘ฉู่เซิ่นมิได้มีชาติตระกูลสูงส่งเหมือนพวกท่านที่อยู่ในท้องพระโรงนี้ เขาเป็นเพียงขุนนางผู้หนึ่ง เขาอยู่ที่ชนบท มีชาติกำเนิดไม่สูงส่ง เขาเคยบอกเราว่าเขาเป็นเพียงคนยากจนที่มีบุตรสาวหนึ่งคน การได้แต่งงานใหม่ถือเป็นวาสนา เขาย่อมไม่อาจเลือกชาติตระกูลของสตรีที่ยินดีจะแต่งงานกับเขาได้ ขอเพียงเป็นสตรีที่มีคุณธรรมและดูแลบ้านเรือนได้ก็ถือว่าเป็นภรรยาที่ดี ทั้งยังควรเคารพรักนางไปตลอดชีวิต…’ พอตรัสมาถึงตรงนี้แล้วก็หายใจไม่ค่อยออก ไอเบาๆ แล้วตรัสต่อ ‘ส่วนเราก็ต้องบอกว่าผู้เป็นแม่ทัพสามารถออกรบสังหารศัตรูและรับใช้บ้านเมืองด้วยความจงรักภักดีได้ก็ถือว่าเป็นแม่ทัพที่ดี! แต่พวกท่านกลับปล่อยปละละเลยกิจการบ้านเมือง มัวแต่มาสนใจเรื่องครอบครัวของฉู่เซิ่นโดยไม่หลับไม่นอน ช่างเป็นการกระทำที่ไร้สาระสิ้นดี!’
เวลานี้มีขุนนางทัดทานทูลด้วยความไม่พอใจว่า ‘ในเมื่อเป็นขุนนางเช่นกัน จะมีความแตกต่างระหว่างขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ได้อย่างไร หากคุณธรรมประจำตนเสื่อมเสียย่อมต้องถูกประณาม และควรได้รับการลงโทษเพื่อเป็นเยี่ยงอย่างพ่ะย่ะค่ะ!’
ฉู่เซิ่นรีบประสานมือคารวะอยู่ข้างๆ และกล่าวว่า ‘กระหม่อมก็เห็นว่าไม่เป็นธรรมเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ! ขุนนางทัดทานเหล่านี้ล้วนมาจากการสอบคัดเลือกขุนนาง มีความชำนาญในการโต้เถียงด้วยคำพูดรื่นหู ใช้วาจาโจมตีพวกขุนนางฝ่ายบู๊ แล้วคนหยาบซึ่งไม่ค่อยได้เล่าเรียนหนังสืออย่างพวกกระหม่อมจะรับมือได้อย่างไร หากจะให้เป็นธรรม กระหม่อมขอฝ่าบาทโปรดทรงอนุญาตให้กระหม่อมประลองกับพวกเขาในสนามฝึก หากกระหม่อมถูกพวกเขาแทงหนึ่งแผล กระหม่อมจะไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียวพ่ะย่ะค่ะ!’
เมื่อขุนนางทัดทานผู้เป็นหัวหน้าได้ยินเช่นนั้นก็ร้อนใจ คิดในใจว่าฉู่เซิ่นพูดเช่นนี้ยังบอกว่าตนเองโต้เถียงไม่เก่งอีกหรือ โต้เถียงโดยมีทั้งพยานและหลักฐานครบถ้วนเช่นนี้ แล้วยังจะจับเขาไปที่สนามฝึกอีก เขาจะมีปัญญาไปแทงฉู่เซิ่นหนึ่งแผลได้อย่างไร เห็นกลิ่นอายสังหารยามฉู่เซิ่นถลึงตาแล้ว เขาคงได้ถูกสับจนแหลกเป็นเนื้อบดแน่!
ครั้นเห็นฮ่องเต้ครุ่นคิดด้วยสีหน้าจริงจังถึงความเป็นไปได้ของการประลองกันของขุนนางฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊แล้ว ในที่สุดก็มีคนออกมาไกล่เกลี่ยสถานการณ์
เซียวเยวี่ยเหอจากกรมทหารเอ่ยขึ้นเป็นคนแรกว่าขุนนางทัดทานอุทิศตนเพื่อบ้านเมือง การตรวจสอบความประพฤติของขุนนางทั้งหลายอย่างละเอียดเป็นเรื่องที่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง แต่ในเมื่อคุณธรรมประจำตนของแม่ทัพฉู่มิได้มีความผิดใหญ่โตก็ควรให้เรื่องจบลงเพียงเท่านี้
ฮ่องเต้เองก็เหนื่อยล้าแล้ว มิได้สนใจว่าขุนนางทัดทานยังอยากหาเรื่องไม่ยอมปล่อยผ่าน เพียงโบกแขนเสื้อประกาศเลิกประชุมทันที
แม้ว่าฉู่เซิ่นจะสามารถโต้เถียงได้อย่างมีคมคายและได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในท้องพระโรง แต่เรื่องชาติกำเนิดของภรรยาและลูกเลี้ยงก็ถูกเปิดเผยจนหมดสิ้น
คำนินทาของผู้คนช่างน่ากลัวยิ่งนัก!
เขาไม่กล้าคิดว่าเด็กสาวในห้องหออย่างโม่เซี่ยวเหนียงจะถูกคำนินทาให้ร้ายในเมืองหลวงกลบฝังจนเป็นเช่นไร ดังนั้นจึงตัดสินใจเขียนจดหมายหาฮั่วสุยเฟิงทันที ให้อีกฝ่ายวกกลับมาในระหว่างที่กำลังเดินทางอยู่ พาโม่เซี่ยวเหนียงไปโม่เป่ยด้วย รอให้สิ้นสุดช่วงไว้ทุกข์แล้วก็จัดพิธีแต่งงานทันที
เมื่อโม่เซี่ยวเหนียงรู้สาเหตุของเรื่องราวกระจ่างแจ้งแล้ว ขณะที่กำลังจะถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกก็ได้ยินคำพูดที่ว่าบิดาเลี้ยงจัดการให้นางไปโม่เป่ย นางจึงรีบเอ่ยทันที
“ข้าไม่จำเป็นต้องไปที่นั่น คำนินทาให้ร้ายพวกนั้นทำอะไรข้าไม่ได้”
แต่โชคร้ายที่จวิ้นอ๋องน้อยที่ตากฝนมาตอนนี้ได้ถือกระบี่อาญาสิทธิ์มารับคุณหนูใหญ่สกุลฉู่อย่างชอบธรรม ดังนั้นเขาจึงฟังเฉพาะสิ่งที่ตนเองอยากฟังเท่านั้น ทำเป็นไม่ได้ยินคำปฏิเสธของโม่เซี่ยวเหนียง หันไปบอกหานเยียนผู้เป็นสาวใช้โดยพลัน
“ทำตามคำสั่งของนายท่านของพวกเจ้า รีบเตรียมข้าวของสำคัญให้คุณหนู ที่เหลือนั้นพอไปถึงโม่เป่ยแล้วค่อยหาซื้อใหม่”
โม่เซี่ยวเหนียงร้อนใจ ถลึงตาใส่เขา “นี่เป็นจวนข้าหรือจวนเจ้า เจ้ามาสั่งการเช่นนี้ได้ด้วยหรือ”
ฮั่วสุยเฟิงค่อยๆ คลี่ยิ้มให้นาง “แม้แต่เจ้าก็ใกล้จะเป็นของข้าแล้ว ยังจะแบ่งแยกของเจ้าของข้าอะไรอีก…”
ยังไม่ทันขาดขำเขาก็อุ้มโม่เซี่ยวเหนียงพาดบ่า รับร่มเคลือบน้ำมันคันใหญ่จากซิวจู๋บ่าวรับใช้ที่อยู่ข้างๆ มา แล้วพาโม่เซี่ยวเหนียงออกจากจวนไปอย่างรวดเร็ว
ฮั่วสุยเฟิงเติบใหญ่ในจวนนี้มาตั้งแต่เล็ก บ่าวไพร่ทั้งเรือนในและเรือนนอกต่างเห็นเขาเป็นคุณชายของตน ดังนั้นการที่จู่ๆ เขาอุ้มคุณหนูใหญ่ออกไปเช่นนี้ จึงไม่มีใครคิดว่าจะต้องรับมือเช่นไร
อีกทั้งจวิ้นอ๋องน้องก็ขายาวก้าวไว ไม่นานนักก็ออกมาจากเรือนด้านนอก จัดแจงให้โม่เซี่ยวเหนียงอยู่ในรถม้าของตนเรียบร้อย แม้แต่ห่อสัมภาระก็ไม่สนใจแล้ว ตะโกนบอกคนขับรถม้าทันที
“รีบออกเดินทาง!”
รถม้าคันนั้นจึงเปรียบเสมือนถูกขันสายให้ตึง แล่นอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทาง
แต่ในเสียงพายุฝนราวกับมีใครบางคนตะโกนเรียกชื่อโม่เซี่ยวเหนียงด้วยความเจ็บปวด
ฮั่วสุยเฟิงกดร่างคุณหนูใหญ่ฉู่ที่ดิ้นไม่หยุดพลางชะโงกหน้าออกไปข้างนอกหน้าต่างรถม้า ทันใดนั้นก็เห็นเซิ่งเซวียนที่ถูกฝนสาดจนเปียกปอนกำลังวิ่งตามมา
เดิมทีหลังจากที่เกิดเรื่องปี้หวนใส่ร้ายโม่เซี่ยวเหนียง เซิ่งเซวียนก็สับสนอย่างยิ่ง หลายวันมานี้วนเวียนอยู่หน้าคฤหาสน์สกุลฉู่ หวังว่าจะได้พบหน้าโม่เซี่ยวเหนียงอีกสักครั้งเพื่ออธิบายว่าตนเองไม่รู้เรื่องนี้
แต่นึกไม่ถึงว่าคืนนี้เขานอนไม่หลับจนทนไม่ไหว ตอนที่มาวนเวียนอยู่หน้าคฤหาสน์สกุลฉู่อีกครั้งกลับเห็นภาพโม่เซี่ยวเหนียงถูกฮั่วสุยเฟิงที่เติบโตเป็นหนุ่มเต็มตัวอุ้มพาดบ่าและถูกจับยัดใส่รถม้า…
เหตุการณ์นี้ช่วยยืนยันอีกครั้งว่าโม่เซี่ยวเหนียงไม่ได้เต็มใจแต่งงานกับฮั่วสุยเฟิง!
คุณหนูใหญ่สกุลฉู่ เด็กสาวที่เรียบร้อยสง่างามเช่นนั้น เวลานี้กลับได้รับการปฏิบัติอย่างหยาบคายเช่นนี้ ฮั่วสุยเฟิง…ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้เขาก็โยนร่มในมือทิ้ง ไม่สนใจบ่าวรับใช้ที่ตะโกนเรียกตนอยู่ข้างหลัง วิ่งไล่ตามรถม้าคันนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย
แต่ม้าที่เทียมรถม้าล้วนเป็นม้าพันธุ์ดีจากนอกด่าน พวกมันวิ่งตะบึงไปตลอดทาง เซิ่งเซวียนจะตามทันได้อย่างไร เพียงถูกน้ำโคลนสาดกระเซ็นใส่เต็มร่าง ก่อนจะล้มลงบนพื้น
ท่ามกลางลมหนาวในสายฝนฤดูใบไม้ร่วง เซิ่งเซวียนขยุ้มผมตนเองแน่น ร้องไห้โฮด้วยความเจ็บปวด…
ทางด้านจวิ้นอ๋องน้อยที่ชะโงกหน้าไปมอง พอหันกลับมาก็รู้สึกหงุดหงิดเช่นกัน เขากดร่างโม่เซี่ยวเหนียงที่พยายามจะสั่งให้คนขับรถม้าหยุดแล้วถามนางตรงๆ
“เหตุใดเซิ่งเซวียนถึงมาอยู่หน้าคฤหาสน์สกุลฉู่”
หากเขาไม่พูด โม่เซี่ยวเหนียงเองก็ยังไม่รู้ว่าเซิ่งเซวียนไล่ตามมา พอได้ยินดังนั้นก็อยากชะโงกหน้าออกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่กลับถูกฮั่วสุยเฟิงกดคอไว้ไม่ยอมให้ทำเช่นนั้น
อันที่จริงโม่เซี่ยวเหนียงอารมณ์ไม่ดีเลยสักนิด โดยเฉพาะตอนที่เผชิญหน้ากับคนที่ไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้นอย่างฮั่วสุยเฟิง เวลานี้นางสุดจะทนแล้วจริงๆ จึงดึงแขนเขาแล้วกัดแรงๆ ที่หลังมือ จากนั้นก็ก่นด่า
“ท่านพ่อให้เจ้ามารับข้าเช่นนี้หรือ ไม่ต่างอะไรจากโจรร้ายที่ซีเป่ยสักนิด! หากข้ามีทหารอยู่ในมือ ข้าจะกำจัดเจ้าเดี๋ยวนี้!”
ฮั่วสุยเฟิงเห็นว่านางไม่ได้รู้สึกสงสารเซิ่งเซวียนที่นอนแช่โคลนอยู่ จึงค่อยโล่งใจขึ้น เขาเอนกายพิงผนังรถม้า กางแขนกางขาแล้วพูดกับนาง
“เอาเถิด กำจัดข้าได้เลย ข้าจะไม่ขัดขืนคุณหนูใหญ่ฉู่…”
เพียงแต่ขณะที่เขาพูด ดวงตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย ขายาวงอขึ้นเล็กน้อย สาบเสื้อคลายออก ท่าทางเกียจคร้านเฉื่อยชา เสียงทุ้มต่ำแหบพร่า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นท่าทางที่ดูเย้ายวน
หากกระโจนเข้าไปกำจัดเขาจริงก็อาจเป็นการขว้างซาลาเปาเนื้อใส่สุนัข เป็นการเลี้ยงสุนัขไปเสียเปล่า!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ส.ค. 68
Comments
comments
No tags for this post.