X
    Categories: ทดลองอ่านฟูมฟักจอมราชันมากกว่ารัก

ทดลองอ่าน ฟูมฟักจอมราชัน บทที่ 1-2

หน้าที่แล้ว1 of 6

บทที่ 1

อู๋เซี่ยวเซี่ยวไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าตนเองที่เป็นผู้จัดการดารามือทองมากประสบการณ์จะถูกสังคมวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดพร้อมกับเจิงฝาน ศิลปินในสังกัดของเธอที่กำลังโด่งดัง

อันที่จริงพูดให้ถูกต้องคือเจิงฝานไม่ใช่แค่ศิลปินของเธอ แต่ยังเป็นสามีที่แต่งงานกับเธออย่างลับๆ มาหลายปีด้วย

เมื่อข่าวเจิงฝานแต่งงานมาห้าปีแล้วถูกแฉออกมา แฟนคลับของเทพเจิงก็ตกตะลึงเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงจนสติไม่เหลือหลอ จากนั้นก็แห่ขบวนไปเขียนประณามต่อว่าผู้จัดการดาราที่ไร้คุณธรรมทางอินเตอร์เน็ต…อู๋เซี่ยวเซี่ยว

ต้องบอกก่อนว่าสองสามปีมานี้เทพเจิงมีผลงานเพลง จากนั้นก็หันไปเอาดีด้านการแสดง อีกทั้งยังเป็นหนุ่มหล่อผู้มีความเป็นศิลปินที่ติดกลิ่นอายเศร้าๆ ซึ่งถือกำเนิดขึ้นมาในรอบห้าพันปี

ผู้ชายตัวท็อปแบบนี้เรียกได้ว่าเป็นสามีของเด็กสาวและผู้หญิงอีกมากมาย

แต่นึกไม่ถึงว่าผู้ชายที่ชาตินี้พวกเธอถูกลิขิตให้ไม่ได้มาครอบครองจะถูกอู๋เซี่ยวเซี่ยวสาวทึนทึกที่แก่กว่าเขาหกปีเอาไปนอนกกแล้ว!

การแต่งงานที่ไม่เหมาะสมกันแบบนี้ช่างเหมือนฟ้าผ่าเปรี้ยงที่สะเทือนเลื่อนลั่น ทำให้คนที่ได้ยินเรื่องนี้ทำหน้าเศร้าราวกับบุพการีเสีย และทำให้แฟนคลับไม่อาจอวยพรให้ไอดอลอย่างอบอุ่นจริงใจได้

ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่ถูกแฉออกมาพร้อมข่าวแต่งงานลับๆ ของเทพเจิงยังมีเรื่องภายในอันเลวร้ายสารพัด อย่างเช่นอู๋เซี่ยวเซี่ยวควบคุมเรื่องเงินของเทพเจิงมาโดยตลอด และเซ็นสัญญา ‘ขายตัว’ ที่ยาวนานถึงยี่สิบปีกับเทพเจิงในตอนนั้น รวมถึงเรื่องที่ฉวยโอกาสตอนเทพเจิงยังเยาว์วัยไร้เดียงสา ยั่วยวนเทพเจิงและท้องหลอกๆ เพื่อบีบบังคับให้แต่งงานด้วย

หากข่าวลือพวกนี้กลายเป็นเรื่องจริง อู๋เซี่ยวเซี่ยวก็เทียบได้กับเศรษฐีเจ้าของที่ดินในสังคมศักดินาเก่าที่ฉุดคร่าลูกสาวชาวนา เธอไม่เพียงฮุบเงินจากหยาดเหงื่อแรงกายจากการทำงานอย่างหนักหลายปีของศิลปินในสังกัด แต่ยังเป็นศาลาริมน้ำย่อมได้รับแสงจันทร์ก่อน ใช้ประโยชน์จากความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของเจิงฝานในตอนนั้น และใช้อำนาจทำให้ร่างกายของหนุ่มหล่อวัยใสมีมลทินมัวหมอง

สิ่งที่ทำให้บรรดาแฟนคลับยากจะรับได้คืออู๋เซี่ยวเซี่ยวที่ได้ทั้งเงินและผู้ชายทำเหมือนตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ระหว่างที่ยังเป็นสามีภรรยากันอยู่ก็ออกนอกลู่นอกทางไปมีคนอื่น ทั้งยังจะฟ้องหย่าเจิงฝาน โยกย้ายทรัพย์สิน หั่นค่าตัวเจิงฝานกว่าครึ่ง และครึ่งปีที่ผ่านมานี้บริษัทเอเจนซี่ภายใต้ชื่อของเธอยังดองงานเจิงฝาน บีบบังคับให้เขายอมจำนน พักงานของเขาไปมากกว่าครึ่ง และบอกปัดภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของผู้กำกับชื่อดังไปหลายเรื่อง

นี่หมายความว่าอาชีพในวงการบันเทิงของเจิงฝานจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของอู๋เซี่ยวเซี่ยวสาวทึนทึก จึงทำให้เทพเจิงที่อยู่เงียบๆ มาโดยตลอดจำต้องฉีกสัญญาและหันไปเซ็นสัญญากับบริษัทเอเจนซี่อื่น แล้วให้บริษัทใหม่ช่วยจ่ายค่าปรับมหาศาลให้ เขาถึงจะรักษาอาชีพของตนเองไว้ได้

เจิงฝานที่เป็นคนนอบน้อมถ่อมตนและมีจิตใจดีงาม เขาทนลำบากตรากตรำมาหลายปีแล้ว! ติ่งสาวๆ จำนวนมหาศาลที่มีใจปกป้องสามีอยากจะฉีกอู๋เซี่ยวเซี่ยวเป็นชิ้นๆ ใจแทบขาดเพื่อช่วยให้ไอดอลหลุดพ้นออกมาจากโคลนตม

ขณะที่ในอินเตอร์เน็ตวิจารณ์กันอย่างดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ ในโลกความจริงก็มีการกระทำที่รุนแรงต่ออู๋เซี่ยวเซี่ยวเกิดขึ้นด้วย

เช้านี้ตอนที่อู๋เซี่ยวเซี่ยวออกจากบ้าน เธอพบว่ารถสปอร์ตที่จอดไว้ในโรงจอดรถชั้นใต้ดินถูกคนใช้สีพ่นเป็นตัวหนังสือสีดำภาษาจีนและภาษาอังกฤษว่า

 

‘นางแพศยาต้องไม่ได้ตายดี’

 

แต่อู๋เซี่ยวเซี่ยวกลับใจเย็นมาก เธอดื่มนมหนึ่งกล่องในมือแล้วล้วงโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปเก็บหลักฐานไว้ ก่อนแจ้งฝ่ายจัดการทรัพย์สินให้รวบรวมภาพจากกล้องวงจรปิดไปแจ้งตำรวจ

หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วเธอก็ขึ้นเฟอร์รารี่สีแดงอีกคันที่ปกติไม่ค่อยได้ขับเดินทางไปบริษัทตามปกติ

น่าเสียดายที่ในตารางงานอันยุ่งวุ่นวายของวันนี้ได้ถูกลิขิตมาแล้วว่าจะต้องถูกใครบางคนขัดขวาง ไม่อาจทำงานอย่างสงบใจได้

เวลานี้ผู้ชายที่มีใบหน้าหล่อเหลาคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะกว้างของเธอ กินเวลาอันแสนมีค่าของเธอด้วยถ้อยคำจริงใจและปรารถนาดีไปสิบนาทีแล้ว

“เซี่ยวเซี่ยว ผมเองก็ไม่อยากให้คุณถูกคนเสียสติบางคนทำร้าย…ดังนั้นพวกเรารีบหย่ากันโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ดีกว่านะ วางใจได้ ทรัพย์สินระหว่างการแต่งงานของพวกเรา ผมจะยกให้คุณทั้งหมดเลย ผมไม่เอาแม้แต่เฟิน เดียว…”

คำพูดนี้พูดออกมาอย่างใจกว้างและอดทน ต่อให้ถูกบันทึกเสียงเก็บไว้เป็นหลักฐานก็ไร้ที่ติ

ฟังคำพูดนี้แล้วอู๋เซี่ยวเซี่ยวก็เสยผมสั้นให้ดูเรียบร้อย ในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมาจากโน้ตบุ๊ก ดวงตากลมโตมองเจิงฝาน…สามีที่อยู่กินกับเธอมาห้าปีด้วยแววเยาะหยันเต็มเปี่ยม

พอเห็นเขาตอนนี้เธอก็รู้สึกจากใจจริงว่าผู้ชายคนนี้หน้าตาดีมาก ไม่แปลกที่ตอนนั้นเธอจะเลอะเลือน ไม่ยอมเชื่อฟังคำห้ามปรามของพ่อ ยืนกรานจะแต่งงานกับเด็กหนุ่มปอนๆ คนนี้ที่ตอนนั้นยากจนข้นแค้น

กาลเวลาใจกว้างกับผู้ชายมาโดยตลอด หลายปีที่ผันผ่านอย่างรวดเร็วทำให้ใบหน้าที่หล่อเหลาเป็นทุนเดิมของผู้ชายดูมีเสน่ห์เข้มข้นลึกล้ำยิ่งขึ้นอย่างที่ไม่อาจมีในวัยเยาว์

จากสายตามือของอาชีพอย่างอู๋เซี่ยวเซี่ยว เจิงฝานเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จที่สุดเท่าที่เธอเคยปั้นมา หากขัดเกลาและยกระดับฝีมือด้านการแสดงไปเรื่อยๆ ก็สามารถโด่งดังไปจนถึงวัยหกสิบปีได้โดยไม่มีความกดดันใดๆ

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้จัดการดาราอย่างเธอภาคภูมิใจที่สุดคือคนร่วมเตียงควบศิลปินคนนี้ นอกเหนือจากเสน่ห์และฝีมือด้านการแสดงที่ก้าวหน้าขึ้นพร้อมกาลเวลาแล้ว ยังมีเล่ห์เหลี่ยมที่ใช้บีบบังคับให้ภรรยาหย่าและยอมแพ้ซึ่งเตรียมการมาอย่างยาวนาน

นอกจากนี้สามีที่รักของเธอไม่ได้มาคนเดียว ยังมีเด็กสาวหน้าตาน่ารักท่าทางอ่อนหวานคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเขาด้วย อีกฝ่ายสวมชุดสีขาวไว้ผมยาว แผ่กลิ่นอายความเยาว์วัยออกมาทั่วร่าง

เด็กสาวคนนี้เป็นผู้ช่วยของเจิงฝาน ซึ่งตอนนี้กำลังจะได้รับเกียรติให้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการคนใหม่ของเขา…ไป๋ฉีอวี่

อู๋เซี่ยวเซี่ยวมองชายหญิงตรงหน้าคู่นี้ พยายามข่มโทสะที่ทะลักขึ้นมาในใจไม่หยุด ก่อนจะถอดแว่นตา ลูบสันจมูกพลางเอ่ยอย่างเย้ยหยัน

“เจิงฝาน ถ้าคุณพูดมาตรงๆ ว่าจะหย่ากับฉันและยกเลิกสัญญา ฉันไม่มีทางคัดค้านหรอกนะ ทำไมต้องเล่นตุกติกกับฉัน แอบวางแผนซื้อตัวมือรับจ้างโพสต์ทำสงครามน้ำลายแบบนี้ด้วย”

เจิงฝานมีสีหน้าสงบนิ่ง นั่งบนเก้าอี้หมุนอย่างงามสง่า ขายาวไขว้กัน มองสำรวจภรรยาที่อยู่อีกฝั่งของโต๊ะ

แม้ช่วงนี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวจะมีเรื่องมากมายรัดตัวจนหัวหมุน แต่เสื้อสีขาวกระโปรงสีเทา ผมสั้นที่ดัดลอนเล็กน้อยช่วยตกแต่งใบหน้าของเธอที่ได้สัดส่วนงดงามมาแต่เดิมได้เป็นอย่างดี ดวงตาโตดำขลับและจมูกโด่งนั้นก็มีเสน่ห์น่ารักอย่างบอกไม่ถูก

ผู้หญิงวัยสามสิบสี่ปีที่ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน มีเสน่ห์มีสง่าราศีในทุกอิริยาบถนั้นไม่ใช่สิ่งที่เด็กสาวจะเทียบเทียมได้

พูดจากใจจริง ถึงแม้อู๋เซี่ยวเซี่ยวจะแก่กว่าเขาหกปี แต่เธอก็ยังคงงดงามสะกดใจ ตอนนั้นที่เขาตามจีบเธอโดยไม่สนระยะห่างของอายุ นอกเหนือจากที่เธอเป็นเจ้านายของเขาแล้วก็เป็นเพราะเธอดึงดูดใจเขาจริงๆ

แต่ต่อให้ผู้หญิงงามสง่าสักเพียงใด เมื่อกลายเป็นภรรยาของตนแล้ว นานวันเข้าย่อมหมดรสชาติสดใหม่ ทว่าความตื่นเต้นที่จางหายไม่ใช่เหตุผลแท้จริงที่ทำให้เจิงฝานอยากหย่า

ขณะที่เจิงฝานนับวันยิ่งโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เริ่มรู้สึกว่าตนเองหยุดอยู่ที่เดิม ถูกกักขังอยู่กับการแต่งงาน

ตอนนั้นเขาตัดสินใจแต่งงานอย่างวู่วามเกินไป! มาตอนนี้เขารู้สึกว่าเส้นทางข้างหน้าของตนยังอีกยาวไกล และอู๋เซี่ยวเซี่ยวอาจไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดที่เหมาะจะเดินเคียงคู่ไปกับเขาต่อ

แต่อู๋เซี่ยวเซี่ยวเหมือนไม่เข้าใจว่าช่องว่างที่นับวันยิ่งกว้างขึ้นของพวกเขาทั้งสองได้กลายเป็นช่องว่างที่ไม่อาจข้ามผ่านไปได้แล้ว

เมื่อเผชิญกับการตำหนิของอู๋เซี่ยวเซี่ยว เขานึกว่าเธอจะไม่ยอม จึงเอ่ยขึ้นอย่างหมดความอดทน “เรื่องพวกนี้ที่คุณพูดผมไม่รู้เรื่องเลยนะ อาจถูกพนักงานระดับล่างเอาไปเล่าลือกันผิดๆ ก็ได้…ช่างเถอะ ตอนนี้จะมาสืบหาว่าใครชักนำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว ถึงอย่างไรคุณกับผมก็งานยุ่งมาก เจอกันน้อย ห่างกันเยอะ ในเมื่อหมดใจแล้วเราอยู่ด้วยกันไปจะมีความหมายอะไร เซี่ยวเซี่ยว คุณน่าจะหัดมองไปข้างหน้าบ้างนะ…”

อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่สะสมพลังงานลบมาทั้งเช้าเริ่มโมโหขึ้นมาบ้างแล้ว เธอไม่อยากฟังคำพูดสวยหรูพวกนั้นของเขาอีกจึงเอ่ยขึ้น

“เจอกันน้อยห่างกันเยอะหรือคุณตั้งใจออกนอกลู่นอกทางกันแน่ ตอนแรกเห็นแก่ที่คุณเป็นนักแสดงในสังกัดฉัน ฉันตั้งใจว่าจะจัดการอย่างเป็นกลาง พยายามแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องงานของเราให้ดีที่สุด ปกป้องภาพลักษณ์นักแสดงที่ดีของคุณ…แต่คุณไป๋คนนั้นของคุณใจร้อนเกินไปจริงๆ ดึงดันจะสาดโคลนใส่หัวฉันให้ได้”

ไป๋ฉีอวี่ได้ยินแบบนี้แล้วน้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มองอู๋เซี่ยวเซี่ยวด้วยท่าทางทำอะไรไม่ถูก “พี่อู๋ เรื่องพวกนี้ที่คุณพูด…ฉันไม่รู้เรื่องเลย ฉันไม่ได้…”

เรื่องมาจนถึงป่านนี้ อู๋เซี่ยวเซี่ยวได้ยินเด็กสาวเรียกตนว่า ‘พี่’ แล้วก็รู้สึกขยะแขยงจริงๆ ถึงเธอจะเป็นผู้จัดการของเจิงฝาน แต่เพื่อไม่ให้เขารู้สึกว่าถูกเธอขัดขวางไปเสียทุกเรื่องและให้เขาได้มีพื้นที่อิสระ ประกอบกับความยุ่งวุ่นวายของงานตนเอง เธอจึงปล่อยให้เจิงฝานทำอะไรตามสบายมาโดยตลอด

น่าเสียดายที่เจิงฝานแสดงเก่งเหลือเกิน แผนการเองก็ล้ำลึกมากด้วย หากไม่ใช่เพราะเจิงฝานเอ่ยปากว่าจะหย่า เธอก็คงไม่สังเกตเห็นว่าเจิงฝานกับไป๋ฉีอวี่คนนี้แอบกินกันลับๆ มานานแล้ว

และเรื่องที่ไป๋ฉีอวี่แอบซื้อตัวมือรับจ้างโพสต์ก็เป็นสื่ออิสระที่สนิทสนมกับอู๋เซี่ยวเซี่ยวสองสามแห่งส่งวีแชต มาบอกเธอเมื่อวาน

ตอนนี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวขี้เกียจจะเล่นละครบริสุทธิ์ใสซื่อกับไป๋ฉีอวี่ เธอเอ่ยด้วยสีหน้าเฉยชา “อย่าเรียกพี่ ฉันไม่มีน้องสาวหน้าไม่อายอย่างเธอ เธอบอกว่าเธอไม่รู้เรื่อง แล้วเธอรู้วิธียั่วยวนผู้ชายที่แต่งงานแล้ว ปีนขึ้นเตียงผู้ชายที่แต่งงานแล้วอย่างไร้ยางอายได้อย่างไร…”

“พอได้แล้ว!”

อู๋เซี่ยวเซี่ยวยังพูดไม่จบ เจิงฝานก็ตัดบทเธอด้วยสีหน้าหมดความอดทน

“ความรู้สึกของคุณกับผมไม่มีทางเอากลับคืนมาได้แล้ว เลิกรากันแต่โดยดีดีกว่านะ ผมไม่อยากให้คุณทำลายอนาคตและอาชีพของตัวเองเพียงเพราะความโกรธล้วนๆ ถึงอย่างไรตอนนี้คุณ…ก็ต้องการเงินมาก”

เจิงฝานพูดเรื่องจริง ศิลปินในสังกัดบริษัทเอเจนซี่ของอู๋เซี่ยวเซี่ยวกว่าครึ่งอยู่ในช่วงที่กำลังจะหมดสัญญา อีกทั้งพวกเขาทั้งสองแต่งงานกันอย่างลับๆ แม้แต่คนในวงการก็มีแค่ไม่กี่คนที่รู้เรื่อง รวมไปถึงสงครามน้ำลายก่อนหน้านี้ยังผลกระทบอย่างเลวร้ายต่อภาพลักษณ์ของอู๋เซี่ยวเซี่ยว

บรรดาแฟนคลับของศิลปินหนุ่มหล่อวัยรุ่นหลายคนในสังกัดบริษัทได้รวมตัวกันตั้งกลุ่มช่วยเหลือไอดอลขึ้นมา บอกเล่าความเคียดแค้นชิงชังให้ไอดอลของตนได้รู้ พร้อมขอร้องพวกเขาจากใจจริงว่าไม่ให้ต่อสัญญากับบริษัทเอเจนซี่ของอู๋เซี่ยวเซี่ยว หลีกเลี่ยงมือมารสาวบ้าตัณหาที่ยื่นมาหาไอดอลของตน

เนื่องจากอู๋เซี่ยวเซี่ยวชอบของใหม่เบื่อของเก่า ข่าวการไล่ล่าศิลปินชายจึงเล่าลือกันหนาหู บรรดาศิลปินชายก็พากันเลี่ยงไม่ให้เกิดข้อสงสัย ไปหาบริษัทเอเจนซี่อื่นอย่างเปิดเผยบ้างกึ่งเปิดเผยบ้าง

ตอนนี้เจิงฝานก็เปิดเผยว่าจะฉีกสัญญาและหันไปซบอกบริษัทเอเจนซี่ใหม่แล้ว

ด้วยความช่วยเหลือด้านการเงินของบริษัทเอเจนซี่ใหม่ เขาเอาเงินค่าปรับก้อนใหญ่มาจ่ายให้อู๋เซี่ยวเซี่ยว นับว่าทำให้ชื่อเสียงผู้ขูดรีดศิลปินที่เผด็จการและไร้คุณธรรมของอู๋เซี่ยวเซี่ยวกลายเป็นความจริงขึ้นมา

ส่วนการหย่าของศิลปินอย่างเจิงฝาน ในตอนแรกแม้ไม่ตาย แต่ก็ต้องถูกถลกหนังไปครึ่งชั้น

ทว่าเจิงฝานมีภาพลักษณ์เป็นคนอดทนและสำรวมมาโดยตลอด ประกอบกับภาพลักษณ์หญิงแกร่งของอู๋เซี่ยวเซี่ยวที่ชอบบงการและพูดคำไหนคำนั้น ทำให้เขาได้คะแนนสงสารจากแฟนคลับและคนที่ไม่เกี่ยวข้องมากมาย

แล้วช่วงนี้ยังมีภาพที่อู๋เซี่ยวเซี่ยวไปปรากฏตัวในงานดื่มสังสรรค์ต่างๆ ทั้งยังโอบไหล่แตะหลังดื่มกับผู้ชายหลากหลายแบบเผยแพร่ออกมาทางอินเตอร์เน็ต

ส่วนเหล่าแฟนคลับที่ให้ความสนอกสนใจก็ขุดรูปเจิงฝานช่วงหลายปีมานี้ในสถานการณ์ต่างๆ ขณะที่เขากำลังจ้องมองอู๋เซี่ยวเซี่ยวทั้งตอนตั้งใจและเผลอไผล ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยการพะเน้าพะนอเอาใจ นี่จึงเป็นการยืนยันคำพูดแต่ก่อนของเจิงฝานที่ว่า…ในเรื่องความรักเขาไม่เคยใส่ใจอุปสรรคด้านอายุ

เบาะแสทุกอย่างแสดงให้เห็นว่าเจิงฝานไม่ได้เกาะผู้หญิงกิน เขาเคยรักอู๋เซี่ยวเซี่ยว รักจนสลักลึกเข้าไปในหัวใจ ทั้งยังมีความอดทนและเสียสละ

แต่สาวทึนทึกติดเหล้าติดผู้ชายอย่างอู๋เซี่ยวเซี่ยวกลับแตกต่างจากโอป้า เจิงฝานที่ปกติอยู่แต่บ้านไม่ค่อยไปไหน และไม่ไปร่วมงานเลี้ยงค็อกเทลอย่างเห็นได้ชัด

อู๋เซี่ยวเซี่ยวทำลายความรักของเทพบุตรที่ห้าพันปีจะเจอได้สักครั้ง

เทพดอกบัวติดหล่มโคลน* ตอนนี้ความเห็นของสาธารณชนยากที่จะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่างเป็นไปในทิศทางเดียวกันที่ว่าอยากให้ท่านเทพจะหย่าและหนีไปจากความทรมานของการแต่งงานที่ไม่คู่ควรได้สำเร็จ

ตอนนี้ต่อให้อู๋เซี่ยวเซี่ยวหันมาตอบโต้ ชักนำความเห็นให้ไปในทิศทางที่ว่าเจิงฝานนอกใจระหว่างที่เป็นสามีภรรยากันก็ไม่อาจพลิกกระแสวิพากษ์วิจารณ์ได้ มีแต่จะยิ่งทำให้ใครต่อใครสงสารเจิงฝานมากขึ้นเท่านั้น

ถึงอย่างไรเมื่อเทียบกับอู๋เซี่ยวเซี่ยวหญิงแกร่งทึนทึกเจนโลกวัยสามสิบสี่ปีแล้ว คุณหนูไป๋เด็กสาวแสนสวยที่อ่อนกว่าเจิงฝานสามปี เพิ่งจบมหาวิทยาลัย งามสง่าน่ารัก อ่อนโยนและบริสุทธิ์ต่างหากที่คู่ควรกับเทพเจิง

เจิงฝานมีคุณหนูไป๋ที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลคอยสนับสนุนอย่างลับๆ อยู่ ต่อให้หย่าออกมาตัวเปล่าก็ย่อมมีกำลังสู้ศึกน้ำลายศึกนี้จนชนะอู๋เซี่ยวเซี่ยวแน่นอน

 

เมื่อการเจรจาล้มเหลว เทพเจิงกับผู้จัดการท่าทางบอบบางคนใหม่ก็เดินออกไปด้วยสีหน้าเย็นชา

หลังจากนั้นเสิ่นเยวี่ยรองประธานบริษัทและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจมาหลายปีของอู๋เซี่ยวเซี่ยวก็เดินเข้ามา มองเพื่อนสนิทที่ทำงานต่อด้วยสีหน้าสงบนิ่งอย่างเป็นกังวล อดเอื้อมมือไปปิดโน้ตบุ๊กของอีกฝ่ายไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เลิกแกล้งทำเป็นเยือกเย็นได้แล้ว ฉันร้อนใจจะแย่แล้วนะ ตอนนั้นเตือนเธอแล้วว่าอย่าแต่งงานกับเขา ถึงจะแต่งงานก็ต้องจัดให้ใหญ่โต ให้คนรู้ว่าเธอทุ่มเทเสียสละแค่ไหน…ตอนนี้เป็นไงล่ะ เลี้ยงหมาป่าตาขาว จนอ้วนท้วนแข็งแรงแล้วกลับมาแว้งกัด พูดว่าเธอท้องหลอกๆ เพื่อบีบบังคับให้แต่งงานด้วย! นอกใจระหว่างที่เป็นสามีภรรยากัน…ถุย! ถ้าไม่ใช่เพราะมัน มดลูกเธอจะเสียหายและมีลูกยากมาจนถึงตอนนี้ได้อย่างไร”

เสิ่นเยวี่ยเป็นทั้งพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจและเพื่อนสนิทของอู๋เซี่ยวเซี่ยวมาหลายปี ย่อมรู้ความลับของสามีภรรยาคู่นี้เป็นอย่างดี พอพูดไปเรื่อยๆ เธอก็ยิ่งโมโห

“ไหนจะว่าเธอว่าทั้งติดเหล้าทั้งบ้าผู้ชายอีก แล้วมันบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนดอกบัวเหมือนเทพบุตรนักเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะเธอไปผูกมิตรทุกที่ ดื่มจนเลือดออกในกระเพาะอาหารเพื่อหาลู่ทางให้มันอย่างสุดกำลัง มันจะอยู่อย่างสุขสบายไร้กังวลดังเป็นพลุแตกเหรอ ไอ้คนหน้าไม่อาย ได้ประโยชน์แล้วมาเสแสร้งทำตัวเป็นเหยื่อ ตอนนั้นถ้าไม่ใช่เพราะมันตามจีบอย่างหน้าด้านหน้าทน เธอไม่มีทางแต่งงานกับนักแสดงระดับล่างที่จนกรอบถึงขั้นที่ต้องอดมื้อกินมื้อหรอก เธอน่าจะฟังพ่อเธอตั้งแต่แรก แต่งงานไปเป็นคุณนายบ้านคนรวยซะ!”

บทที่ 2

เมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนที่สนิทกันมาหลายปี อู๋เซี่ยวเซี่ยวก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร เธอพิงพนักเก้าอี้อย่างหมดเรี่ยวแรง ในที่สุดใบหน้างามก็เผยอารมณ์หดหู่ออกมา

เธอคิดมาตลอดว่าตนเองแข็งแกร่ง สามารถรับผิดชอบทุกอย่างคนเดียวได้ เดินอยู่ในเมืองใหญ่ หากมีฝีมือจะทำอะไรก็ง่ายดาย

แต่ความเป็นจริงได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเธอมองโลกในแง่ดีและตามืดบอดเกินไป

ความรักกับอาชีพการงานเคยทำให้เธอรู้สึกภาคภูมิใจ แต่ไม่รู้ว่าเธอจัดการมันจนเละเทะไปหมดตั้งแต่เมื่อไร

ในสังกัดมีนักแสดงจำนวนมาก ทำให้บอสใหญ่อย่างเธอไม่สามารถดูแลสามีได้ทุกเรื่อง เธองานยุ่ง จึงไม่สามารถตัวติดกับเขาได้ตลอดเวลาเหมือนตอนแรกๆ ตารางงานทั้งหมดถูกส่งให้ผู้จัดการและผู้ช่วยที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาไปดูแล ดังนั้นจึงทำให้เธอกับเจิงฝานเจอกันน้อยห่างกันเยอะ

เธอคิดเสมอว่าเขาจะรับรู้ถึงความทุ่มเทและความเสียสละของเธอทุกอย่าง แต่ยิ่งเป็นความรักที่สดใหม่และมีชีวิตชีวามากเท่าไร อายุของมันก็ยิ่งสั้นลงเท่านั้น

แล้วก็นึกไม่ถึงเลยว่าผู้ช่วยตัวน้อยที่เข้ามาในบริษัทได้ไม่ถึงปีอย่างไป๋ฉีอวี่จะเป็นคุณหนูบ้านรวยที่ปกปิดฐานะที่แท้จริง อีกทั้งยังลุ่มหลงในตัวเจิงฝานมานานหลายปี

ปรากฏว่าหลังจากที่ไป๋ฉีอวี่ดูแลเจิงฝานอย่างใกล้ชิดได้หนึ่งปีก็ไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปสปาร์กกันตอนไหน

และฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้การแต่งงานซึ่งเปราะบางมานานแล้วมุ่งหน้าไปสู่ความล้มเหลวก็คือการจากไปด้วยโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลันของพ่ออู๋เซี่ยวเซี่ยว

อู๋เซินทำธุรกิจมาหลายปี จู่ๆ เงินทุนหมุนเวียนก็ขาดสภาพคล่องเพราะตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซา ผลจากการสร้างช็อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่หลายแห่งพร้อมกันคือเขาเป็นหนี้ธนาคารสูงถึงหลายพันล้านหยวน

จากทายาทตระกูลเศรษฐีรุ่นที่สอง อู๋เซี่ยวเซี่ยวกลายเป็นนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ใจดำทันควัน ลูกจ้างบริษัทของพ่อมักรวมตัวกันถือป้ายทวงเรียกเงินเดือนอยู่หน้าประตูบริษัทของเธอ รวมถึงทีมวิศวกรก่อสร้างแต่ละแห่งที่ช่วยสำรองเงินจ่ายไปก่อนมาตลอด ตอนนี้ก็พากันมาทวงเงินค่าก่อสร้างด้วยเช่นกัน

ในไม่ช้าหน้าประตูบริษัทเอเจนซี่ที่แฟนคลับมารวมตัวกันเป็นประจำก็มักมีคนหลายประเภทรวมกลุ่มกันมาร้องโหวกเหวกโวยวาย ด่าทอสาปแช่งไม่จบไม่สิ้น

เจิงฝานขอหย่ากับเธอในเวลานี้และเป็นฝ่ายลงมือจัดการก่อน พูดเรื่องแต่งงานลับๆ มาหลายปีพร้อมกับเรื่องน่าเศร้าที่ชักนำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากสังคม ฟังดูตื้นตันกระตุ้นต่อมน้ำตาของผู้คน เป็นการกระทำที่ฉลาดอย่างยิ่ง

แม้เขาจะคุยโวว่าหย่าไปตัวเปล่า มอบทรัพย์สินทั้งหมดให้อู๋เซี่ยวเซี่ยว แต่ความใจกว้างที่แสดงความเป็นผู้ชายอย่างเต็มที่แบบนี้ก็แลกมาซึ่งความเห็นใจจากกระแสสังคม ทำให้ภาพลักษณ์ผู้ชายใจประเสริฐของเขาแข็งแกร่งและได้รับความนิยมสูงขึ้น

ขอแค่ยังเป็นที่นิยมอยู่ จะหาเงินเอาทรัพย์สินกลับมาก็แค่รับงานพรีเซ็นเตอร์โฆษณาไม่กี่ตัวเท่านั้น

ในทางกลับกันถ้าเขายังผูกติดอยู่กับอู๋เซี่ยวเซี่ยว ต่อให้หาค่าพรีเซ็นเตอร์โฆษณามาได้มากแค่ไหนก็ไม่พอโปะหนี้ก้อนโตที่พ่อของอู๋เซี่ยวเซี่ยวทิ้งไว้ให้ ดีไม่ดียังจะถูกเรือใหญ่ที่กำลังจะจมลากเข้าไปในน้ำวนอันเชี่ยวกรากและยากที่จะเป็นอิสระได้อีก

แต่ว่า…เขาวางแผนเก่งไปเกินไปหน่อยไหม

ตั้งแต่ครึ่งปีก่อนเจิงฝานแอบบอกอู๋เซี่ยวเซี่ยวว่าอยากพักผ่อนสักหน่อย ให้เธอเอางานพรีเซ็นเตอร์โฆษณาและงานต่างๆ ที่อยู่ในมือเขาส่งต่อให้เด็กใหม่ในสังกัดเธอ

สามีภรรยาพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้วคนอื่นรู้ได้อย่างไร เขาเองก็ไม่เคยมีท่าทีว่าจะเปิดเผยเรื่องอยากพักผ่อนต่อหน้าผู้คน นี่จึงเป็นสาเหตุให้คนอื่นเข้าใจผิดว่าอู๋เซี่ยวเซี่ยวคิดจะควบคุมเจิงฝาน จงใจตัดช่องทางของเขาและดองงานเขา

ตอนนี้ทุกเรื่องตระเตรียมพร้อมสรรพ เจิงฝานพบคนหนุนหลังคนใหม่อย่างไป๋ฉีอวี่แล้วมาโจมตีคนเก่าอย่างเธอคนนี้อย่างกำเริบเสิบสาน คิดจะถอนตัวอย่างหมดจดจากการแต่งงานห้าปีนี้

และดูเหมือนว่านอกจากจะเซ็นใบหย่าแต่โดยดี เธอก็ไม่มีทางถอยอื่นให้กล่าวถึง

พึงรู้ว่าเธอเป็นผู้จัดการดารา หากปล่อยข้อมูลลับที่เกี่ยวข้องกับเจิงฝานออกไปในเวลานี้ ไม่แยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว สาดโคลนใส่สามีเก่าเพื่อทวงความบริสุทธิ์ให้ตนเอง ถึงตอนนั้นกระแสสังคมจะรุนแรงยิ่งกว่าเก่า

แล้วในสายตาของนักแสดงคนอื่น ผู้จัดการดาราที่น่ากลัวแบบนี้ใครยังจะกล้าเอาอาชีพการแสดงของตนเองมาฝากไว้ในมือของอู๋เซี่ยวเซี่ยวอีก

และเมื่อไรที่อาชีพการงานของอู๋เซี่ยวเซี่ยวพังลง สกุลอู๋ที่จมบ่อโคลนก็จะยิ่งเหมือนเกล็ดน้ำค้างซ้ำเติมหิมะขาวโพลน ไม่เหลือพื้นที่ให้ประนีประนอม

แม้ความเป็นจริงจะบีบบังคับ แต่ในวัยสามสิบสี่ปีที่การแต่งงานล้มเหลว เธอไม่อาจดื่มเหล้าเมามายโศกเศร้าคร่ำครวญเหมือนผู้หญิงอายุยี่สิบปีได้

หากมีเวลามาเศร้า เธอก็จะเอามาเศร้ากับพ่อของตนเองที่เป็นโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลัน พ่อรักเธอขนาดนั้น และทำทุกอย่างเพื่อให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเธอเสมอ แต่ในตอนที่พ่อต้องการความช่วยเหลือที่สุด เธอกลับทำอะไรเพื่อพ่อไม่ได้เลย

หญิงสาวลูบหยกดำกลมกลึงที่คอชิ้นนั้น นี่คือหยกที่พ่อได้มาจากอารามแห่งหนึ่งใกล้พม่าตอนเธออายุหกขวบ ว่ากันว่ามีพลังที่สื่อถึงวิญญาณและความเป็นความตายได้

แน่นอนว่าอู๋เซี่ยวเซี่ยวไม่มีทางเชื่อเรื่องลี้ลับที่เอามาหลอกนักท่องเที่ยวพวกนั้น ตอนนี้ที่เธอใส่หยกชิ้นนี้ไว้ตลอดเพียงเพราะเห็นว่านี่คือความทรงจำที่พ่อทิ้งไว้ให้เธอ

เธอในตอนนี้มีแต่ต้องทำงานต่อไป สะสางเรื่องวุ่นวายในบริษัทและในชีวิต แบกรับภาระเดินหน้าต่อ

และความเศร้าพวกนั้นต่อให้อยู่ต่อหน้าเพื่อนสนิทก็ไม่จำเป็นต้องร้องไห้คร่ำครวญ ตีโพยตีพายเหมือนสะใภ้เสียงหลิน

เธอจึงพยายามควบคุมอารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ในใจ ชูบทละครหนาๆ ในมือ เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างไม่ใส่ใจ “บทละคร ‘ฟูมฟักจอมราชัน’ นี่เธอฟันธงแล้วเหรอ บทแนวฮาเร็มแบบนี้จะปังเหรอ”

เสิ่นเยวี่ยรู้ว่าอู๋เซี่ยวเซี่ยวตั้งใจเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ก็ทำได้แค่เห็นใจเพื่อน ไม่พูดแทงใจดำอีก เปลี่ยนมาคุยเรื่องงานแทน

“บทละครนี้ก่อนหน้านี้ฉันอุตส่าห์ไปแย่งมาได้ นิยายต้นฉบับเป็นงานเขียนชื่อดังในเว็บนิยายเว็บใหญ่ ถึงพล็อตจะน้ำเน่าแนวฮาเร็ม แต่ปัจจุบันนักอ่านชอบแนวนี้แหละ พล็อตเลิศ ได้รับความนิยมมาก ก่อนหน้านี้เธออยากเปลี่ยนแนวให้…เจิงฝานไม่ใช่เหรอ ฉันก็เลยไปแย่งบทเย็นชาใจดำแบบนี้มาให้…”

อู๋เซี่ยวเซี่ยวพลิกเปิดดูบทละคร สองสามวันมานี้เธออ่านนิยายต้นฉบับอย่างเร่งรีบ ความจริงแล้วเมื่อเทียบกับนิยายต้นฉบับ บทละครมีการปรับเปลี่ยนไปมาก เหมาะสำหรับเอามาฉายบนจอโทรทัศน์ แต่น่าเสียดายที่เจิงฝานย้ายไปซบบริษัทเอเจนซี่ใหม่แล้ว บทนี้ถูกลิขิตไว้แล้วว่าต้องเปลี่ยนตัวนักแสดง แต่ในหมู่นักแสดงชายภายใต้สังกัดของเธอ คนที่เหมาะจะเป็นพระเอกเจ้าเสน่ห์เจนโลกแบบนี้เดิมทีก็มีไม่มากอยู่แล้ว หากไม่สามารถเข้าถึงบทบาทได้ ยิ่งงานเขียนชื่อดังมากก็ยิ่งย้อนกลับมาทำร้ายนักแสดงอย่างรุนแรง ช่างน่าปวดหัวจริงๆ

อาจเป็นเพราะรู้ว่าอู๋เซี่ยวเซี่ยวกำลังลังเล จู่ๆ เสิ่นเยวี่ยก็มีสีหน้าสดชื่นขึ้นมาทันตา เธอลดเสียงลงแล้วเอ่ยขึ้น

“เธอลองเดาซิ ช่วงนี้มีเทพระดับซูเปอร์สตาร์คนไหนที่ติดต่อฉันมา สนใจจะเซ็นสัญญากับบริษัทเรา”

อู๋เซี่ยวเซี่ยวเลิกคิ้ว นึกไม่ออกว่ามีเทพองค์ไหนในวงการที่กล้ากระโดดลงปลักโคลนของมารสาวบ้าตัณหาการเงินล้มละลายอย่างเธอในยามวิกฤตนี้

เสิ่นเยวี่ยเก็บท่าทางลิงโลดไม่อยู่ เอ่ยขึ้นว่า “ซุป’ตาร์เซินหย่วน! เธอดูสิ เธอยังไม่ถือว่าดวงซวยนะ ยามสัปหงกมีคนส่งหมอนมาให้หนุน พระเอกเรื่อง ‘ฟูมฟักจอมราชัน’ เหมาะกับเซินหย่วนพอดีเลย!”

ตอนนี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวตกใจเข้าแล้วจริงๆ

จะว่าไปแล้วระดับของเซินหย่วนอยู่เหนือเจิงฝานไปไกลมาก

ซูเปอร์สตาร์หนุ่มคนนี้ห่างหายจากจอโทรทัศน์ไปนานแล้ว เขามุ่งมั่นอยู่กับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ของตะวันตก มิหนำซ้ำยังเป็นกรรมการประจำในเทศกาลภาพยนตร์อีกมากมาย

แม้บางครั้งเซินหย่วนจะรับงานพรีเซ็นเตอร์โฆษณาแบรนด์หรูระดับแนวหน้าอยู่บ้าง แต่เวลาส่วนใหญ่มักผลุบๆ โผล่ๆ ไม่สนใจที่จะเปิดเผยตัวต่อสาธารณะบ่อยๆ เพื่อรักษาความฮอตเหมือนอย่างเจิงฝาน

ดังนั้นที่เสิ่นเยวี่ยบอกว่าเซินหย่วนยอมลดค่าตัวมาอยู่ภายใต้สังกัดบริษัทเอเจนซี่ของพวกเธอที่ดูแลศิลปินดาราที่มีฐานแฟนคลับเยอะเป็นหลักจึงเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงจริงๆ

ที่สำคัญที่สุดคือจะว่าไปแล้วอู๋เซี่ยวเซี่ยวกับเซินหย่วนก็นับว่ายังเป็นคนที่เคยรู้จักกันมาก่อน

ตอนนั้นอู๋เซี่ยวเซี่ยวก่อตั้งบริษัทเอเจนซี่ภายใต้การสนับสนุนด้านทุนทรัพย์จากพ่อ เซินหย่วนกับเจิงฝานเป็นนักแสดงที่เธอเซ็นสัญญาด้วยเป็นครั้งแรก

แต่ตอนนั้นอู๋เซี่ยวเซี่ยวกับเจิงฝานแอบคบกันอยู่ จึงมีความลำเอียงในเรื่องงานอย่างเลี่ยงได้ยาก เธอปฏิบัติต่อเซินหย่วนอย่างเย็นชา ประกอบกับเซินหย่วนมีนิสัยแปลกๆ เข้ากับคนอื่นยาก จึงทำให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับนิสัยว่าง่ายเป็นมิตรของเจิงฝาน

หลังจากปะทะกันในเรื่องงานสองสามครั้ง ทำให้อู๋เซี่ยวเซี่ยวยิ่งไม่ชอบเซินหย่วนเข้าไปใหญ่ เด็กใหม่อย่างเขาในตอนนั้นย่อมไม่ได้รับการดูแลเป็นพิเศษอะไรจากบริษัท

ต่อมาเซินหย่วนหมดสัญญาหนึ่งปีแล้วเปลี่ยนไปอยู่กับบริษัทเอเจนซี่อื่น เนื่องจากการแสดงของเขาเข้าขั้นและเข้าตาผู้กำกับชื่อดัง เล่นภาพยนตร์ม้ามืดทุนต่ำทำรายได้ถล่มทลายทั่วโลกเรื่องหนึ่ง นับจากนั้นก็ดังเปรี้ยงปร้างประสบความสำเร็จในชั่วข้ามคืน ได้รับการสนับสนุนและการยกย่องอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด ไม่ใช่นักแสดงที่คนธรรมดาอย่างเธอจะแตะต้องได้มานานแล้ว

แต่ตอนนี้เซินหย่วนตั้งใจจะกลับมายังบริษัทเอเจนซี่ที่กำลังง่อนแง่นของเธอ

ซูเปอร์สตาร์คนนี้ตั้งใจจะเป็นเทพผู้ช่วยให้ปุถุชนข้ามพ้นห้วงทุกข์อย่างนั้นเหรอ หรือจะมาเยาะเย้ยพี่สาวดวงซวยอย่างฉันคนนี้ที่กำลังจะหย่ากันแน่

อู๋เซี่ยวเซี่ยวคิดใคร่ครวญอย่างละเอียด รู้สึกว่าน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ถึงอย่างไรในช่วงเวลาหลายปีมานี้ สองสามครั้งที่เธอพบกับเซินหย่วนล้วนไม่น่าพึงพอใจนัก

ความใจแคบและความปากร้ายของเซินหย่วนได้เปลี่ยนความเข้าใจต่อขอบเขตความชั่วร้ายของผู้ชายให้เธอใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า…แน่นอนว่าความเข้าใจที่เธอมีต่อสิ่งมีชีวิตอย่างผู้ชายนี้ เดิมทีก็เรียกได้ว่าตื้นเขิน

สามีที่เธอแต่งงานด้วยอย่างลับๆ มาห้าปีทำให้เธอตระหนักรู้ถึงระดับความโง่เขลาของตนเองในการแยกแยะผู้ชายเฮงซวยในด้านชีวิตรัก

ดังนั้นกิ่งมะกอกที่ดูเหมือนมีไมตรีที่เซินหย่วนยื่นมาให้ อู๋เซี่ยวเซี่ยวจึงไม่อาจรับไว้ เธอจะได้ไม่ต้องไปกระตือรือร้นพูดคุยกับเขา แล้วสุดท้ายกลับได้มาซึ่งการเยาะเย้ยจากเซินหย่วน เป็นสุนัขจนตรอกที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะ เป็นคางคกที่ริอ่านกินเนื้อซูเปอร์สตาร์

 

งานของทั้งวันสิ้นสุดลงท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดครึ้มหม่นมัว

เธอเอาบทละครใส่กระเป๋าเอกสาร ตั้งใจว่าจะเอากลับบ้านไปอ่านต่ออีกสักหน่อยเพื่อพิจารณาคัดเลือกนักแสดง จากนั้นเธอก็มาเอารถที่โรงจอดรถชั้นใต้ดินของบริษัท จะกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้านสกุลอู๋

แต่ที่โรงจอดรถชั้นใต้ดินซึ่งอยู่ห่างออกไปไกล เธอเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งยืนพิงข้างรถเธอ

แม้ฝ่ายนั้นจะสวมหมวกแก๊ปและใส่แว่นกันแดด แต่อู๋เซี่ยวเซี่ยวยังจำจมูกโด่งๆ และกลีบปากที่ดูเย็นชานิดๆ นั้นได้ ผู้ชายที่ยืนพิงข้างรถเธอคนนี้คือเซินหย่วน ซูเปอร์สตาร์ผู้ยืนอยู่บนหอคอยสูงเทียมเมฆ

อู๋เซี่ยวเซี่ยวชะงักฝีเท้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเซินหย่วนถึงมาปรากฏตัวที่นี่

เซินหย่วนเห็นอู๋เซี่ยวเซี่ยวที่แต่งตัวด้วยกระโปรงทรงดินสอสีเทาเดินมา เขามองสำรวจขายาวของหญิงสาวที่ถูกรองเท้าส้นสูงหกนิ้วขับเน้นให้ดูตรงแหน็วอย่างเชื่องช้าและเสียมารยาท ก่อนจะมองดวงตาที่ปกปิดความเหนื่อยล้าเอาไว้ไม่ค่อยมิดของหญิงสาวแล้วเอ่ยช้าๆ

“ขึ้นรถแล้วค่อยคุยกัน”

ความสุขุมเยือกเย็นของการเปลี่ยนจากแขกมาเป็นเจ้าบ้านแบบนี้เหมาะกับบุคลิกหยิ่งยโสของเซินหย่วนมาก และเป็นการเตือนอู๋เซี่ยวเซี่ยวอีกครั้งว่าผู้ที่อยู่ตรงหน้านี้กลายเป็นเทพไปแล้ว ไม่ใช่เด็กหนุ่มแปลกๆ ที่จ้องเธอโดยไม่พูดไม่จาอยู่หน้าโต๊ะทำงานของเธอ ปล่อยให้เธอพูดเยาะเย้ยตามใจชอบในตอนนั้นอีกแล้ว

อู๋เซี่ยวเซี่ยวเองก็ค่อนข้างแปลกใจอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าเซินหย่วนคิดอะไรอยู่ เธอจึงเปิดประตูขึ้นรถพลางพูดกับเซินหย่วน

“ตอนนี้ฉันมีแต่เรื่อง ไม่รู้ว่าแถวบริษัทมีปาปารัซซี่ของสื่อตามอยู่หรือเปล่า ถ้าคุณไม่กลัวติดร่างแหไปด้วยก็ขึ้นรถสิ”

อู๋เซี่ยวเซี่ยวพูดเรื่องจริง แต่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำให้ซุป’ตาร์เซินหย่วนคนนี้ถอยหนี เขาแค่ยกมุมปากอย่างเย้ยหยัน ก่อนเปิดประตูฝั่งที่นั่งข้างคนขับแล้วขึ้นมานั่งข้างอู๋เซี่ยวเซี่ยว

พอได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ของผู้ชายโชยเข้ามาในรถ คิ้วของอู๋เซี่ยวเซี่ยวก็ขมวดเล็กน้อย

นี่เป็นน้ำหอมกลิ่นที่ผู้ชายใช้ กลิ่นสะอาดและสดชื่น ทำให้จิตใจผ่อนคลาย

แม้จะเป็นน้ำหอมผู้ชาย แต่นี่ก็เป็นน้ำหอมที่อู๋เซี่ยวเซี่ยวชอบใช้ที่สุด เธอชอบฉีดน้ำหอมกลิ่นนี้ทุกวัน

นึกไม่ถึงว่าวันนี้เซินหย่วนจะฉีดน้ำหอมกลิ่นนี้เหมือนกัน เพียงแต่กลิ่นไม่เหมือนกัน มันผสมกลิ่นกายที่แตกต่าง จึงออกมาเป็นบรรยากาศที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

กลิ่นหอมแบบเดียวกันอบอวลมาจากร่างของซูเปอร์สตาร์ที่โด่งดังด้วยความทะนงตนมาโดยตลอดให้กลิ่นที่แฝงการรุกรานจู่โจมอย่างบอกไม่ถูก

 

ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 มิ.. 68

หน้าที่แล้ว1 of 6

Comments

comments

No tags for this post.
Jamsai Editor: