บทที่ 5
ตามที่บทละครเขียนไว้แขวนโคมแดงคือการเปิดประตูเรือนทำงานเป็นนางคณิกา แม้หูซื่อจะทำเช่นนี้จริงๆ ยามจวนตัว แต่คำพูดนี้พอออกมาจากปากบุตรสาววัยสิบสองปีก็เท่ากับเป็นการอกตัญญูอย่างใหญ่หลวง
หูซื่อทนไม่ไหวอีกต่อไป เอื้อมมือไปหยิกแก้มตอบของบุตรสาว ตอนแรกคิดจะลงโทษปากนางให้หนักเสียหน่อย เด็กหญิงดีๆ ที่ใดพูดจาส่งเดชแต่งเรื่องว่ามารดาเป็นนางคณิกาได้
แต่เนื้อหนังที่มือหยิกนั้นมีเพียงน้อยนิด มีความอิ่มเอิบอย่างที่เด็กหญิงในวัยนี้ควรมีเสียที่ใดกัน พอนึกมาถึงตรงนี้มือนั้นก็ออกแรงไม่ลง หูซื่อทิ้งบุตรสาวไว้แล้วเข้าไปในห้องด้านใน คลุมผ้าห่มเก่าๆ พลางร้องไห้สะอึกสะอื้น
ที่ควรพูดอู๋เซี่ยวเซี่ยวก็พูดหมดแล้ว รอดูเพียงว่าหูซื่อจะคิดตกในเรื่องนี้หรือไม่ ถึงอย่างไรนางก็ไม่สามารถเอามีดจ่อคอหูซื่อบังคับให้อีกฝ่ายไปหาคนแต่งงานใหม่ได้
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นดังสะท้อนอยู่ในห้อง อู๋เซี่ยวเซี่ยวลุกขึ้นเก็บชามกับตะเกียบแล้วเดินไปที่ริมบ่อในลานบ้าน ก่อนใช้น้ำในถังไม้ล้างชามกับตะเกียบของพวกนางสองแม่ลูกจนสะอาด
นางไม่กล้าคิดอย่างจริงจังว่าหลังจากที่ตนเองตายด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ แม่ของนางจะโศกเศร้าเพียงใด แต่ดูจากนิสัยที่ไม่คิดอะไรมากมาโดยตลอดของคุณหูแม่ของนาง ไม่นานก็น่าจะหลุดพ้นจากความโศกเศร้าได้
หลังจากพ่อเสียชีวิตก็มีคุณอาโสดๆ หลายคนที่ครอบครัวรู้จักมานานส่งสายตาให้แม่บ่อยครั้ง เห็นทีว่าตอนที่แม่ในโลกความเป็นจริงของนางจะแต่งงานใหม่คงไม่ต้องให้ใครมาเกลี้ยกล่อมเช่นนี้…
แต่พอนางตายคราวนี้ เจิงฝานชายโฉดกับหญิงชั่วนั่นก็คงสมใจเป็นแน่
ครั้นนึกขึ้นได้ว่าตนเองเพิ่งใช้เงินก้อนโตให้คนไปซื้อภาพลักลอบเป็นชู้กันของสองคนนั้นมาและยังไม่ทันได้ระเบิดพลังนิวเคลียร์ที่มีอยู่ อู๋เซี่ยวเซี่ยวก็กุมข้อมืออีกข้างของตนเองด้วยความอึดอัดขัดใจ
แต่ตอนนี้ท้องที่ว่างเปล่าส่งผลต่อจิตใจที่สุด นางไม่มีเวลาเรียบเรียงเหตุการณ์เล็กน้อยยิบย่อยก่อนที่ตนเองจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ได้แต่คิดใคร่ครวญว่าจะป้องกันชะตากรรมอันน่าเศร้าที่ต้องตายอย่างอนาถอีกครั้งในโลกที่แปลกประหลาดใบนี้ได้อย่างไร
หลังจากนั้นเสียงร้องไห้ของหูซื่อก็เงียบลงเมื่อถึงกลางดึก
วันรุ่งขึ้นดวงตาคู่นั้นร้องไห้จนบวมแดงเหมือนผลท้อสุกงอม
อู๋เซี่ยวเซี่ยวเอาผ้าเช็ดหน้าจุ่มน้ำให้หูซื่อประคบตา หูซื่อก็รับมาโดยไม่พูดอะไร สองแม่ลูกใจสื่อถึงกัน ไม่มีใครพูดถึงเรื่องยามเย็นของเมื่อวาน
แต่พอถึงยามบ่ายตอนที่จางมามา* ซึ่งเปิดร้านขายของชำที่ถนนมาเอาหน้ารองเท้าปักลาย หูซื่อก็ชวนให้จางมามานั่ง หลังประจบเอาใจบอกว่าอีกฝ่ายเป็นคนกว้างขวาง คบหากับผู้คนมากหน้าหลายตาแล้วก็พูดพึมพำเป็นนัยอย่างลังเลว่าตนอยากหาคนที่พึ่งพิงได้
แม้หูซื่อจะพูดเป็นนัย แต่จางมามาก็เข้าใจทันที
นางมองหูซื่อตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าคราหนึ่ง ตอนนั้นที่ภรรยานอกสมรสผู้นี้มาปักหลักที่ถนนของพวกนาง รูปโฉมอ่อนหวานน่าหลงใหลเช่นนี้ชวนให้บุรุษทั้งถนนชะเง้อคอมอง
แต่น่าเสียดายที่คุณชายรองสกุลโม่พอจากไปแล้วก็ไม่ได้สนใจไยดี บุปผาแม้งดงามหยาดเยิ้มเพียงใด หากไม่ใส่ปุ๋ยย่อมเหี่ยวเฉา สภาพของอีกฝ่ายในเวลานี้ดูผ่ายผอมซูบซีดไปมาก
หากไม่ใช่เพราะสกุลโม่มีชื่อเสียงและมีอำนาจอยู่ที่นี่ อีกทั้งไม่ได้พูดออกมาตรงๆ ว่าไม่ต้องการสองแม่ลูกคู่นี้แล้ว พวกบุรุษเสเพลบ้านใกล้เรือนเคียงคงจะปีนกำแพงเรือนภรรยานอกสมรสสกุลหูผู้นี้แล้ว
ทว่าตอนนี้หูซื่อกลับเอ่ยปากขึ้นเองว่าต้องการหมั้นหมายกับตระกูลอื่น แต่จางมามาก็ไม่กล้าตอบรับส่งเดช
นางเอ่ยถาม “เจ้า…มีสัญญาซื้อขายตัวอยู่ที่สกุลโม่ใช่หรือไม่”
หูซื่อรีบตอบ “ตอนนั้นคุณชายรองโม่สงสารข้า ไม่อยากใช้สัญญาซื้อขายตัวมาควบคุมข้า เขาบอกว่าเผาทิ้งไปแล้ว”
แต่จางมามากลอกตาแล้วถามอีกว่าคุณชายรองสกุลโม่นั้นให้ทรัพย์สินของมีค่าอะไรกับหูซื่อบ้าง ถึงอย่างไรหูซื่อก็ให้กำเนิดบุตรแก่เขา เขาก็ควรจะให้ของขวัญอะไรบ้าง
หูซื่อตอบตามตรงว่าแค่ให้เงินค่าใช้จ่ายทุกเดือนเท่านั้น เครื่องประดับที่เหลืออยู่ก็เอาไปจำนำหมดแล้วในปีนี้เพราะไม่ได้รับเงินค่าใช้จ่าย
หลังสอบถามเรื่องที่สงสัยใคร่รู้จนพอใจ จางมามาก็ตกปากรับคำตามมารยาทว่านางจะดูให้ว่ามีคนที่เหมาะสมหรือไม่ ก่อนจะลุกขึ้นจากไป
อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่ยืนฟังอยู่ข้างม่านประตูมาโดยตลอดทอดถอนใจ นางรู้ว่าแม่สื่อแถวนี้หวังพึ่งพาไม่ได้ ต่อให้หูซื่อกระตือรือร้นที่จะแต่งงานใหม่ ทว่าหญิงม่ายลูกติดจะไปฝากชีวิตกับบุรุษที่เหมาะสมได้ที่ใด
อีกทั้งบุรุษผู้นี้ต้องพึ่งพาได้และไม่ถือสาที่จะพาลูกติดอย่างนางไปด้วย
แม้หูซื่อจะตั้งใจแล้ว แต่ตอนนี้ก็ยังไม่อาจคาดหวังอะไรได้ หลังส่งจางมามากลับไปก็ทำได้เพียงนั่งเศร้าอยู่ที่ขอบเตียงเตาเพียงลำพัง
แต่ตอนที่นางมองผ่านหน้าต่างไปก็เห็นโม่เซี่ยวเหนียงบุตรสาวของตนกำลังพยายามหมุนรอกตักน้ำอยู่
หูซื่อมองแขนขาเล็กบอบบางของบุตรสาว ยามหิ้วถังน้ำก็ดูน่าอกสั่นขวัญแขวน จึงถามโม่เซี่ยวเหนียงว่าจะเอาถังน้ำไปทำอะไร
โม่เซี่ยวเหนียงตอบอย่างจริงจังว่าจะต้มน้ำให้มารดาอาบ
หูซื่อซูบผอมไปมากเพราะชีวิตที่ลำบากยากแค้น แต่สำคัญที่สุดคือร่างกายสกปรกยิ่ง สตรีมอมแมมเช่นนี้ อนาคตในตลาดการแต่งงานจะเป็นไปด้วยดีได้อย่างไร อู๋เซี่ยวเซี่ยวคิดจะให้หูซื่อจัดการตนเองให้สะอาดสะอ้าน
แต่หูซื่อได้ยินแล้วก็ฝืนยิ้ม ลูบศีรษะของบุตรสาวก่อนจะเอ่ยขึ้น “ข้ารู้ว่าเจ้ารักสะอาด แต่ที่พูดกับเจ้าก่อนหน้านี้เจ้าลืมไปแล้วหรือ หญิงม่ายลูกติดอย่างข้าไม่มีผู้ใดช่วยเฝ้าเรือน…ดูสกปรกสักหน่อยจะดีกว่า…”
พอหูซื่อพูดเช่นนี้โม่เซี่ยวเหนียงก็เข้าใจทันที
นางลืมไปแล้วว่านี่ไม่ใช่สมัยปัจจุบันที่สตรีจะสร้างเนื้อสร้างตัวเองได้ นอกจากหูซื่อจะขาดแคลนเงินแล้วยังต้องคอยระวังความปลอดภัยส่วนตัวของสองแม่ลูกอย่างพวกนางตลอดเวลา แม้พวกนางจะอาศัยอยู่ในเมือง ความสงบเรียบร้อยก็ถือว่าอยู่ในระดับที่ดี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นครอบครัวที่ไม่มีบุรุษเป็นหัวหน้าครอบครัว
สกปรกซอมซ่อสักหน่อยเป็นเพียงวิธีปกป้องตนเองของสตรีเท่านั้น
จากเรื่องนี้เห็นได้ว่าแม้หูซื่อมีชาติกำเนิดไม่ดี แต่ก็ไม่ใช่สตรีที่คิดจะใช้ชีวิตโดยอาศัยแต่ความงามของสตรี พอนึกถึงเรื่องที่อีกฝ่ายเลือกเส้นทางนั้นเพราะตนมีไข้สูงจนชักกระตุกก็ยิ่งชวนสะอื้นอย่างไม่อาจทนได้
อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่กลายเป็นโม่เซี่ยวเหนียงหวังจากใจจริงว่าหูซื่อจะได้แต่งกับคนดีๆ ให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของสตรีชะตาอาภัพผู้นี้ได้มีที่พึ่งพิง
หลังสองแม่ลูกพูดคุยกันเสร็จ หูซื่อก็หวีผมให้บุตรสาวครู่หนึ่งแล้วพากันออกไปหาซื้อเข็มกับด้าย
แม้อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่กลายเป็นโม่เซี่ยวเหนียงจะสงสัยว่าทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเป็นภาพลวงตาของคนตายล้วนๆ แต่ตอนที่อยู่ในฉากบนถนนที่ผู้คนเบียดเสียดคับคั่งเดินขวักไขว่ มองร้านรวงรอบๆ ธงร้านค้าปลิวไสว กระเบื้องเคลือบชายคาบ้านคนมั่งมี บ้านเรือนที่งดงาม นางก็ยังคงมองเหม่อด้วยความตกตะลึงอยู่ดี
เมื่อก่อนนางไปโรงถ่ายทำภาพยนตร์ระดับท็อปในประเทศหลายแห่งเป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้ดูโบราณแท้ๆ เช่นนี้
นี่เป็นการยืนยันอีกครั้งว่านางทะลุมิติมาอยู่ในยุคโบราณแล้วจริงๆ
แต่ยุคสมัยที่เลียนแบบสมัยซ่งนี้ วิถีชีวิตของผู้คนเหมือนจะเปิดกว้าง ทุกแห่งล้วนมีสตรีจับกลุ่มกันเดินผ่านไปมาในย่านการค้า บางครั้งก็มีเกวียนเทียมวัวหลายประเภทและมีรถม้าวิ่งผ่านไปมา กลุ่มคนจอแจราวกับคลื่นที่ซัดสาดทะลักออกมา อีกครู่หนึ่งก็รวมตัวกันอยู่ที่หนึ่ง มีระเบียบซ่อนอยู่ในความวุ่นวาย
โม่เซี่ยวเหนียงในตอนนี้คิดว่าตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน ทั้งวันมีแต่การประชุมน้อยใหญ่และต้องไปร่วมงานเลี้ยงดื่มสังสรรค์ น้อยมากที่จะมีเวลาว่างไปพักผ่อน แต่ตอนนี้กลับว่างอย่างยิ่ง ได้มาผ่อนคลายกายและใจถึงยุคโบราณ
นางถอนใจยาวเหยียด แม้ไม่ได้ยินยอมพร้อมใจ แต่ก็เผลอซื้อทัวร์โลว์คอสต์ไปแล้ว ทุกวันกินแต่โจ๊ก กินจนแทบอยากจะกัดแขนหนึ่งคำให้หายหิวจริงๆ
หูซื่อเห็นโม่เซี่ยวเหนียงผ่านหน้าแผงขายน้ำแกงต้มกระดูกหมู พอได้กลิ่นแล้วก็ทำท่าทางเหมือนจะเดินต่อไม่ได้ ในใจก็รู้สึกย่ำแย่เช่นกัน จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“หลายวันนี้ข้าเย็บหน้ารองเท้าได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ประเดี๋ยวซื้อเข็มกับด้ายเสร็จแล้วจะไปดูที่แผงขายปลาสักหน่อย หากมีปลาตัวเล็กๆ จะซื้อมาแกะเนื้อทำน้ำแกงปลาให้เจ้ากิน”
ถึงแม้อู๋เซี่ยวเซี่ยวจะควบคุมน้ำลายในกระพุ้งแก้มไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็ไม่ใช่เด็กแล้ว พอได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้นทันที
“ท่านแม่ ข้าไม่อยากกิน ตอนนี้ฤดูร้อนผ่านไปแล้ว เก็บเงินไว้มากๆ สักหน่อยเถิด พอเข้าฤดูหนาวจะได้มีถ่านเผาไฟใช้”
หูซื่อไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดหลังป่วยหนักบุตรสาวของตนนับวันก็ยิ่งรู้ความ ไม่ทำสีหน้าบึ้งตึงเช่นแต่ก่อน ทั้งวันประเดี๋ยวก็ขุ่นเคืองว่าบิดาไม่สนใจพวกนาง ประเดี๋ยวก็ตำหนิที่นางมีชาติกำเนิดไม่ดี ทำให้บุตรสาวลำบากไปด้วย
เมื่อสองแม่ลูกกลมเกลียวกันดี ในใจหูซื่อก็รู้สึกผ่อนคลายมาก หลังซื้อเข็มกับด้ายเสร็จ คิดอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ไปที่หน้าแผงขายซาลาเปา ซื้อซาลาเปาไส้ผักรวมร้อนกรุ่นลูกหนึ่งให้โม่เซี่ยวเหนียงกิน
อู๋เซี่ยวเซี่ยวอยากกินจะแย่แล้ว พอหูซื่อพานางเข้าไปในตรอกที่ผู้คนไม่ค่อยพลุกพล่านแล้วนางก็เริ่มกัดซาลาเปา
แม้ไส้ซาลาเปาลูกนั้นจะเป็นผักรวมจากป่าเขา แต่ก็ผ่านการคลุกมันหมูมา พอกัดไปหนึ่งคำน้ำมันก็อบอวลอยู่บนปลายลิ้น อู๋เซี่ยวเซี่ยวกินไปพลางน้ำตาคลอไปพลาง
แต่พอกินไปสองสามคำแล้วก็ส่งซาลาเปาที่เหลือให้หูซื่อ มารดาเองก็ไม่ได้กินอาหารดีๆ มาหลายวันแล้วเช่นกัน กินสักหน่อยจะได้หายอยาก
ทว่าหูซื่อทำใจกินไม่ลง เอาแต่บอกว่าตนไม่หิว ให้โม่เซี่ยวเหนียงกินให้หมด
สองแม่ลูกผลักกันไปผลักกันมา จู่ๆ ก็มีเงาดำเล็กพุ่งออกมาจากด้านข้าง แย่งซาลาเปาลูกใหญ่ไป
อู๋เซี่ยวเซี่ยวตาค้าง มองสิ่งตรงหน้าที่เหมือนลูกสุนัขสีดำกินซาลาเปาจนหมดภายในไม่กี่คำ
หูซื่อกลั้นโทสะไม่อยู่ ถามเสียงสั่น “นี่เด็กจากบ้านใดกัน เหตุใดถึงมาแย่งของกินของผู้อื่น”
เด็กชายที่ดูเหมือนอายุเพียงเจ็ดแปดขวบผู้นั้นกินคำสุดท้ายเสร็จแล้วก็เช็ดปากทีหนึ่ง ไม่พูดไม่จา หันหลังจะจากไป
อู๋เซี่ยวเซี่ยวจะปล่อยโจรน้อยผู้นี้ไปได้อย่างไร นางก้าวเข้าไปกระชากคอเสื้อเด็กชายทันที
คิดไม่ถึงว่าเด็กชายผู้นั้นจะรู้วรยุทธ์ พอถูกกระชากคอเสื้อแล้วเขาก็ใช้แรงอย่างชาญฉลาด พลิกมือหมายจะบิดข้อมือของอู๋เซี่ยวเซี่ยว แรงจากมือนั้นมากไม่ใช่เล่น ไม่เหมือนเด็กน้อยจริงๆ
อู๋เซี่ยวเซี่ยวได้รับการศึกษาชั้นเลิศมาตั้งแต่เด็ก อู๋เซินรู้สึกว่าลูกสาวของตนเองสะสวย กลัวว่าลูกสาวจะเสียเปรียบ จึงตั้งใจจัดคอร์สเทควันโดและยูโดให้
สองคอร์สนี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวเรียนจนเชี่ยวชาญได้ขั้น พอเห็นโจรน้อยผู้นี้จะโจมตีอีกหลายที นางจึงพลิกข้อมือเปลี่ยนท่าเขาทันที จากนั้นเรียวขาใต้กระโปรงก็วาดสูงขึ้นเป็นท่ากรรไกรเกี่ยวรัดโจรน้อยกดลงกับพื้น
ตอนนี้ไม่ใช่แค่โจรน้อยที่มีสีหน้าตกตะลึง หูซื่อที่อยู่ข้างๆ ก็ตกใจไม่น้อยเช่นกัน บุตรสาวของตนกล้าหาญเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน เมื่อครู่นี้นางตาลายไปชั่วขณะ รู้สึกเพียงว่ากระโปรงของบุตรสาวสะบัดพลิ้ว ร่างพลิกคราหนึ่งแล้วทำให้เด็กชายผู้นั้นล้มลงกับพื้น
เคราะห์ดีที่ไม่มีใครเห็น หาไม่แล้วเด็กหญิงที่ทำเช่นนี้เท่ากับประพฤติตนไม่เหมาะไม่ควร
แต่เด็กเหลือขอนั่นเห็นได้ชัดว่าเป็นโจรโดยกำเนิด แม้จะถูกคุมตัวแล้วก็ยังคงขัดขืนอย่างสุดกำลัง
พอเห็นว่าเด็กชายกำลังจะกัดบุตรสาวตน หูซื่อก็รีบเข้าไปช่วยกดศีรษะของเด็กชายให้บุตรสาวแล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นบุตรบ้านใด เหตุใดจึงทำตัวเป็นอันธพาลเช่นนี้”
เด็กชายผู้นั้นปิดปากเงียบ แต่อู๋เซี่ยวเซี่ยวรู้วิธีรับมือกับเด็กสารเลวเช่นนี้ จึงถลึงตาใส่แล้วเอ่ยขึ้น “หากไม่เรียกบิดามารดาเจ้ามาก็จะจับตัวเจ้าไปฟ้องศาล ขังเจ้าไว้ในคุก!”
พอพูดว่าจะพาไปหาตำรวจก็ได้ผลดังคาด ในที่สุดเด็กชายสกปรกมอมแมมนั่นก็อ้าปากพูด “บิดา…บิดาข้าป่วย เงินค่าเดินทางก็ถูกขโมยไป เขาถูกโจรทำร้าย นอนอยู่ที่อารามร้างนอกเมืองทางทิศตะวันตก ไม่มีผู้ใดดูแล…ข้าจะชดใช้ซาลาเปาให้เจ้า รีบปล่อยข้าเร็วๆ!”
บทที่ 6
พอเด็กชายพูดว่า ‘จะชดใช้ซาลาเปาให้’ ก็ใช้มืออีกข้างล้วงหมั่นโถวลูกใหญ่ที่เริ่มแข็งลูกหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วส่งให้โม่เซี่ยวเหนียงจริงๆ ไม่รู้เช่นกันว่าไปขโมยมาจากที่ใด
“เมื่อครู่พวกเจ้าไม่มีใครยอมกิน เกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา ข้าเพียงเห็นแล้วรำคาญจึงช่วยกินแทนพวกเจ้า…” เด็กชายอาจจะรู้ว่าของกินที่ตนเองล้วงออกมานั้นไม่เหมาะที่จะเอามาชดใช้คืน จึงแก้ต่างให้ตัวเองเสียงเบา
เด็กชายมีของกินอยู่ในอกเสื้อแต่กลับไม่กิน ทว่าหิวจนหน้ามืดจึงอดแย่งซาลาเปาที่ผู้อื่นกินเหลือครึ่งหนึ่งไม่ได้ ไม่รู้เช่นกันว่าตั้งใจจะเอาหมั่นโถวลูกใหญ่กลับไปให้ใคร
ล้วนเป็นคนหิวโซในใต้หล้าเช่นเดียวกัน อู๋เซี่ยวเซี่ยวรู้สึกว่าหากตนโมโหโจรน้อยก็จะทำตัวเป็นเด็กไปสักหน่อย พอได้ยินเขาพูดเช่นนี้จึงคลายมือจะเรียกเขาให้ลุกขึ้น ทว่าโจรน้อยกลับทำหน้ายู่นิ่งอยู่กับที่ งอแขนอีกข้างไว้ ไม่ยอมลุกขึ้นมา
ที่แท้เมื่อครู่นี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวเผลอใช้แรงมากเกินไป ดึงแขนข้างนั้นของเขาจนกระดูกหลุดออกจากข้อต่อ ทำให้เจ็บมาก ทว่าเด็กชายดูเหมือนจะเป็นคนหัวรั้น ถึงกับเงียบกริบ แต่มีเหงื่อไหลจากขมับ กัดฟันไม่ร้องออกมา
หูซื่อเป็นคนจิตใจดี เด็กชายผู้นี้อายุน้อยและหิวโซด้วย นางย่อมไม่ถือสาหาความเขา และยิ่งไม่อาจปล่อยเขาไว้โดยไม่ไยดี ดังนั้นนางจึงพาเขาไปหาหมอเถื่อนที่ถนน ใช้เงินไปสามอีแปะ* ให้หมอช่วยทำให้แขนของเขากลับเข้าที่ นางคิดว่าต้องบอกให้บิดาของเด็กคนนี้รู้ถึงต้นสายปลายเหตุ ภายหลังจะได้ไม่มีเรื่องกวนใจที่พูดไม่กระจ่าง จึงพาเด็กชายไปที่อารามร้างทางทิศตะวันตกของเมือง
ครั้นไปถึงที่นั่นก็เห็นบุรุษฉกรรจ์ร่างสูงกำยำนอนอยู่ในกองหญ้าจริงๆ เขาเหมือนจะป่วยหนัก แก้มเป็นสีแดงก่ำ หูซื่อไม่รู้จะทำอย่างไร ทำได้เพียงส่งเสียงเรียกบุรุษผู้นั้น แต่ไม่เห็นเขาฟื้นขึ้นมา
อู๋เซี่ยวเซี่ยวเห็นว่าในถ้วยกระเบื้องแตกด้านข้างมีน้ำ จึงถือถ้วยกระเบื้องเดินไปพรมน้ำลงบนใบหน้าบุรุษผู้นั้น ถึงทำให้เขาฝืนลืมตาขึ้นมาได้ในที่สุด
หูซื่ออธิบายเรื่องราวทั้งหมดกับบุรุษที่ไม่รู้ว่าสติแจ่มชัดหรือเลอะเลือนผู้นั้นด้วยเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา หลังจากเล่าว่าแม้เด็กชายข้อต่อแขนจะเคลื่อน แต่หมอบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว จากนั้นก็จะพาโม่เซี่ยวเหนียงผู้เป็นบุตรสาวออกไปจากที่นั่น
แต่บุรุษผู้นั้นเรียกนางด้วยเสียงแหบแห้ง ขอร้องให้นางไปตามคนสกุลโม่ที่อยู่ในเมือง เขาบอกเพียงว่าเป็นญาติห่างๆ ของสกุลโม่มาขอพึ่งพาอาศัย แต่ระหว่างทางถูกโจรปล้นชิงค่าเดินทางไปหมด อีกทั้งได้รับบาดเจ็บ ขอให้สกุลโม่ส่งคนมาช่วย
พอได้ยินดังนั้นหูซื่อก็ชะงักฝีเท้า แม้สกุลโม่จะปฏิบัติกับนางอย่างใจร้ายใจดำ แต่ถึงอย่างไรคุณชายรองสกุลโม่ก็เป็นบิดาของบุตรสาวนาง เมื่อเห็นว่าญาติห่างๆ ของสกุลโม่เดือดร้อน นางจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร
หูซื่อจึงรีบเอาป้ายคำสั่งที่ทำจากเหล็กหล่อชิ้นหนึ่งที่บุรุษผู้นั้นยื่นส่งให้นางพาโม่เซี่ยวเหนียงไปหาคนที่คฤหาสน์เก่าสกุลโม่
ปรากฏว่าพ่อบ้านผู้นั้นพินิจมองหูซื่อตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า พลิกดูป้ายนั้นครู่หนึ่งแล้วก็โยนลงพื้นแล้วแค่นหัวเราะก่อนเอ่ยขึ้น
“ญาติอะไรกัน ข้าอยู่สกุลโม่มาหลายปียังไม่เคยได้ยินมาก่อน เสี่ยวเหนียง นี่เจ้าสรรหาวิธีมาเล่นงานสกุลโม่อย่างนั้นหรือ ยังไม่รีบไปอีก! นายท่านผู้เฒ่ากำชับไว้ว่าหากเจ้ากล้าเข้าเรือนสกุลโม่ให้ตบปากเจ้าเสีย!”
หูซื่อเห็นสีหน้าของบ่าวไพร่สกุลโม่ที่ชอบดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นจนเคยชินก็ได้แต่เก็บป้ายนั้นแล้วก้มหน้าเดินจากไป
ตอนที่หูซื่อกลับมาถึงอารามร้าง นางบอกบุรุษผู้นั้นว่าสกุลโม่ไปไกลถึงไหวซานแล้ว อีกทั้งบ่าวไพร่พวกนั้นก็บอกว่าไม่รู้จักเขา บุรุษผู้นั้นมีสีหน้าผิดหวัง เขาอดทนตลอดทางมาจนถึงที่นี่ ตอนนี้เห็นทีว่าคงหวังพึ่งพาสกุลโม่ไม่ได้แล้ว
พอเห็นว่าหูซื่อกำลังจะไป เขาจึงได้แต่กล่าวขอบคุณสตรีผู้นี้แล้วเอ่ยว่า “สุยเฟิง เจ้าแย่งอาหารของผู้อื่น ทำตัวไร้เหตุผลยิ่งนัก ยังไม่รีบขออภัยท่านอาผู้นี้อีก”
หูซื่อนั้นไม่เป็นไร แต่อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคำว่า ‘สุยเฟิง’ แล้วก็เหมือนถูกสกัดจุดไปครึ่งร่าง มีท่าทางตกตะลึง
เนื่องจากพระเอกในบทละครเรื่อง ‘ฟูมฟักจอมราชัน’ มีชื่อว่าฉู่สุยเฟิง ฉากที่อยู่ตรงหน้านางในตอนนี้ก็สอดคล้องกับเส้นเรื่องในบทละครนั้น
เดิมทีพระเอกคนนี้เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของราชวงศ์โม่เป่ย น่าเสียดายที่ภายในราชวงศ์เกิดเหตุจลาจล บิดาของเขาเสียชีวิต เสด็จอาก่อกบฏ น้องร่วมสาบานที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของบิดา…ฉู่เซิ่นเป็นผู้เสี่ยงชีวิตช่วยเขาออกมา เด็กชายจึงเปลี่ยนชื่อเป็นฉู่สุยเฟิง ทั้งสองปลอมตัวเป็นสองพ่อลูกตลอดทางหนีเข้ามาภายในด่าน
เพียงแต่หลังจากที่ฉู่เซิ่นถูกมือสังหารโม่เป่ยตามสังหารกลางทางแล้วได้รับบาดเจ็บ บาดแผลติดเชื้อ พอมาถึงในเมืองก็ไข้ขึ้นสูงไม่ฟื้น สุดท้ายก็สิ้นใจในอารามร้าง
นับแต่นั้นพระเอกก็โดดเดี่ยวเดียวดาย เดินทางอ้อมคดเคี้ยวไปยังไหวซาน บังเอิญโม่อิ๋งถิงบุตรสาวที่เกิดกับภรรยาเอกของคุณชายใหญ่สกุลโม่มาไหว้พระพอดี ตอนท้ายไปๆ มาๆ สกุลโม่ก็รับเขาไว้เป็นบุตรชายบุญธรรม ในที่สุดก็ได้เติบโตขึ้นเป็นเด็กหนุ่ม
โม่อิ๋งถิงญาติผู้พี่ของโม่เซี่ยวเหนียงผู้นั้นก็เป็นภรรยาคนแรกในบรรดาภรรยาแปดคนของพระเอก ทั้งสองเติบโตด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก เป็นรักแรกในวัยเยาว์ของพระเอก เป็นกุหลาบขาวดอกหนึ่งในหัวใจของเขา
แน่นอนว่าสุดท้ายรักแรกของพระเอกก็โชคร้ายถูกคนชั่วทำร้าย วิญญาณกลับคืนสู่สวรรค์ขณะที่กำลังตั้งครรภ์ นับจากนั้นพระเอกก็เจ็บปวดรวดร้าวแทบใจสลาย ไร้หัวจิตหัวใจ จำต้องแต่งภรรยาอีกเจ็ดคนมาเพื่อกล่อมเกลาตนเอง และผู้ที่ทำให้โม่อิ๋งถิงตายก็มิใช่ใครอื่น คือนางโม่เซี่ยวเหนียงนั่นเอง…
เพียงแต่เนื่องจากการทะลุมิติของอู๋เซี่ยวเซี่ยวทำให้การเสียชื่อเสียงและการได้รับความอัปยศอดสูของหูซื่อล่าช้าออกไป มิฉะนั้นหูซื่อในเวลานี้ย่อมไม่มีทางพาบุตรสาวมาเดินซื้อของอย่างสบายใจได้แน่ มีแต่จะเก็บตัวสะอื้นไห้อยู่ในเรือน และยิ่งไม่มีทางพบเรื่องที่ฉู่สุยเฟิงฉกชิงซาลาเปา
ดังนั้นเส้นเรื่องสองเส้นที่ยังไม่มาบรรจบกันก็ได้มาบรรจบกันล่วงหน้าเช่นนี้
นึกมาถึงตรงนี้อู๋เซี่ยวเซี่ยวก็ดึงสาบเสื้อของหูซื่อ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ท่านแม่ พวกเราหาวิธีช่วยท่านลุงผู้นั้นเถิด มิฉะนั้นหากเขาตายไป ทิ้งน้องชายตัวน้อยผู้นี้ไว้แล้วจะน่าสงสารเพียงใดกัน”
เนื่องจากอ่านบทละครหลากหลายแนวมานานปี อู๋เซี่ยวเซี่ยวจึงรู้ซึ้งถึงความน่ากลัวของพระเอกดี และนางก็ไม่มีความกล้าที่จะไปสังหารฆ่าฟันผู้คน เช่นนั้นก็ชิงบีบคอพระเอกให้ตายตอนที่เขายังเป็นเด็กดีกว่า
ในเมื่อวันหน้าอาจมีความแค้นเรื่องที่นางไปสังหารภรรยาของเขา ตอนนี้ก็ลองช่วยบิดาบุญธรรมของเขาดูสักหน่อย
สังหารภรรยากับช่วยบิดาบุญธรรมอะไรจะสำคัญกว่ากัน
ดีไม่ดีวันหน้าตอนที่พระเอกจะแทงนางก็ยังมีความหลังให้พูดคุยกันได้บ้าง
เดิมทีหูซื่อก็เป็นคนที่ไม่มีความคิดเห็นอะไรอยู่แล้ว กอปรกับใจอ่อน เห็นบุรุษผู้นั้นน่าสงสารก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้พอได้ยินบุตรสาวพูดเช่นนี้ นางเองก็คิดว่าเรื่องที่เกี่ยวพันถึงชีวิตคนเป็นเรื่องใหญ่ จะทิ้งญาติห่างๆ ของสกุลโม่ผู้นี้ไว้โดยไม่เหลียวแลก็ไม่ดี
เพียงแต่จะช่วยอย่างไร ในใจนางกลับไม่มีแผนการ
อู๋เซี่ยวเซี่ยวเดินเข้าไปแหวกสาบเสื้อบุรุษผู้นั้น มองคราเดียวก็รู้ว่าบาดแผลที่หน้าอกของเขาเริ่มเน่า ต้องจัดการบาดแผลให้เรียบร้อยเพื่อป้องกันไม่ให้อาการย่ำแย่ลงไปอีก แต่ตอนนี้ไม่มียาฆ่าเชื้อ จะทนผ่านด่านที่เหลือได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเขาแล้ว
อารามร้างเก่าแก่ทรุดโทรมแห่งนี้ไม่ใช่ที่ที่เหมาะจะอยู่อาศัย เคราะห์ดีเรือนเล็กของหูซื่ออยู่ห่างออกไปไม่ไกล หูซื่อจึงไม่สนข้อห้ามที่ว่าบุรุษสตรีไม่ควรใกล้ชิด หาไม้มาให้ฉู่เซิ่นยันแล้วเดินกลับบ้าน
เวลานี้ฟ้ามืดแล้ว หูซื่อคิดเพียงว่าช่วยคนเป็นเรื่องสำคัญ จึงไม่ทันสนใจรักษาระยะห่างกับบุรุษ ประคองบุรุษผู้นั้นเข้าไปในเรือนเล็กของตนโดยมีบุตรสาวและเด็กชายคอยช่วย
เนื่องจากกลับมาถึงค่ำ บ้านใกล้เรือนเคียงทั้งซ้ายขวาปิดประตูเรือนกันหมดแล้ว จึงลดคำซุบซิบนินทาจากเพื่อนบ้านไปได้
แม้จะรู้จักกันได้ไม่ถึงครึ่งวัน แต่ฉู่เซิ่นก็มองออกว่าหูซื่อเป็นสตรีที่มีจิตใจดีงาม เขาล้วงดาบพกเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อตน ก่อนไหว้วานให้หูซื่อเอาไปจำนำ แลกเงินเอาไว้ไปหาหมอ
ก่อนหน้านี้เขาไม่ได้ให้ฉู่สุยเฟิงที่อายุเจ็ดขวบเอาดาบไปจำนำ หนึ่งเพราะนี่คือของป้องกันตัว สองคือนี่เป็นอาวุธที่รักยิ่ง หากไม่สุดวิสัยจะตัดใจจำนำลงได้อย่างไร
เดิมทีนึกว่าจะทนบาดแผลนี้ได้ แต่ยามค่ำคืนกลับเป็นไข้จนสติพร่าเลือน หากไม่ได้น้ำเย็นพรมใบหน้าจากโม่เซี่ยวเหนียง ฉู่เซิ่นคงเป็นไข้หมดสติจริงๆ ไปแล้ว ไม่ทันได้กำชับฉู่สุยเฟิงที่อายุยังน้อยว่าควรรับมืออย่างไรด้วยซ้ำ
หูซื่อรู้ว่าอาการบาดเจ็บของฉู่เซิ่นจะรอช้าไม่ได้ นำดาบพกไปที่โรงจำนำในคืนนั้นทันที
กิจการของโรงจำนำเปิดทั้งวันทั้งคืน ของที่เข้าโรงจำนำจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นของโจรที่ได้มาอย่างไม่สุจริต โดยทั่วไปจะหลบคนเอามาขายในยามวิกาล และการเปิดกิจการโรงจำนำ อยากจะหาเงินก็ต้องใจกล้าสักหน่อย เจ้าของโรงจำนำจึงต้องเดินเส้นทางมืดดำอย่างเลี่ยงได้ยาก ปิดตาข้างหนึ่งไม่สนใจที่มาของสิ่งของเหล่านั้น
ลูกจ้างที่โรงจำนำรับดาบพกมาแล้วก็ไม่แม้แต่จะถาม เห็นว่าดาบพกทำจากบางอย่างที่หนักอึ้ง ดูไม่ธรรมดาจริงๆ อีกทั้งเห็นสตรีผู้นี้มาในยามค่ำคืน เกรงว่าคงจะได้ดาบพกมาอย่างไม่ถูกต้อง จึงกดราคาต่ำอย่างไม่สมเหตุสมผล นับเงินห้าตำลึงจ่ายให้หูซื่อ นางหยิบเงินมาแล้วก็รีบไปเชิญหมอต่อทันที
หมอเองก็รีบรุดมาถึง จากนั้นใช้ทักษะอันช่ำชองเผามีดคว้านเนื้อ โรยผงยาห้ามเลือด แล้วส่งเทียบสั่งยาแก้อักเสบให้หูซื่อไปหามาต้มให้ผู้บาดเจ็บดื่ม
สรุปว่าบุรุษในบทละครที่เดิมทีควรจะหมดลมหายใจ หลังจากเป็นไข้ต่อเนื่องสามวันแล้วในที่สุดไข้ก็ลดลง สีหน้าก็ดีขึ้นหลังจากที่ได้หูซื่อกับโม่เซี่ยวเหนียงบุตรสาวอายุสิบสองปีดูแลอย่างเอาใจใส่
แต่เรื่องที่ในเรือนเล็กของหูซื่อมีบุรุษก็เหมือนกระดาษห่อไฟไม่ได้ สตรีที่เป็นเพื่อนบ้านของหูซื่อเอาหูแนบกำแพงได้ยินข้างบ้านมีเสียงพูดของบุรุษ จึงออกไปเที่ยวพูดส่งเดชทันที
ภายในเวลาไม่กี่วันก็เล่าลือกันทั่วหัวถนนและท้ายตรอกว่าหูซื่อเป็นคนที่ตัดสินจากภายนอกไม่ได้จริงๆ เจ้าบ้านเพิ่งจากไปได้ไม่ถึงหนึ่งปี ถึงกับรับบุรุษมาอยู่ในเรือนอย่างเงียบเชียบ
คราวนี้จางมามาแม่สื่อประจำถนนผู้นั้นจึงมีข้ออ้างบอกปัด ฉวยโอกาสมาเอาเสื้อผ้าที่ซักและลงแป้งมองเข้าไปในเรือนด้วยความอยากรู้อยากเห็นพลางพูดคุยกับหูซื่อว่านางมิใช่คนไร้น้ำใจไม่ยอมช่วยเหลือ เมื่อหูซื่อเอ่ยปากกับนาง พอนางหมุนกายจากไปแล้วก็ตั้งใจรีบหาคนที่เหมาะสมให้อย่างสุดความสามารถ
ภรรยาเอกของคนขายเนื้อสกุลจางที่อยู่ทางทิศใต้ของเมืองไม่มีบุตร ต้องการหาอนุเข้าบ้าน แต่เดิมคนขายเนื้อถูกใจที่หูซื่อเคยมีบุตรมาก่อน มั่นใจว่าพอแต่งเข้ามาแล้วจะมีทายาทเต็มบ้านเหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขา ดีกว่าเด็กสาวพวกนั้นที่ไม่รู้ว่าจะออกไข่ได้หรือไม่ แต่ใครจะรู้ว่าพอเรื่องที่หูซื่อลอบเลี้ยงดูบุรุษหลุดลอดออกไป เขาก็พูดจาเหน็บแนมจางมามาทันที ทำเอานางลำบากใจไม่น้อย
หูซื่อที่ถูกกระทบกระเทียบเปรียบเปรยทั้งทางตรงทางอ้อมก็อับอายสุดทน รีบขออภัยซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายค่าซักผ้าและลงแป้งห้าอีแปะก็ไม่เอาแล้ว ถือเสียว่าเลี้ยงจางมามาดื่มชากินผลไม้
จางมามาบอกเลิกคำสัญญาได้ อีกทั้งยังได้เปรียบอีกฝ่าย นางย่อมพออกพอใจอย่างยิ่ง จากนั้นก็หันกายเดินบิดบั้นท้ายอวบอ้วนจากไปอย่างไม่เกรงใจ
อู๋เซี่ยวเซี่ยวพาฉู่สุยเฟิงไปซักผ้าที่ลานบ้าน เห็นเหตุการณ์ที่หูซื่อถูกทำให้อับอายก็รู้สึกเสียใจเช่นกัน
หูซื่อมีพื้นเพเป็นนักแสดงงิ้ว อีกทั้งเป็นภรรยานอกสมรสที่ตระกูลใหญ่ทิ้งขว้าง ตอนนี้เพราะช่วยฉู่เซิ่นจึงทำให้ตนเองเสียชื่อในหมู่เพื่อนบ้าน ชีวิตหลังจากนี้ก็ยิ่งหมดหวัง
นี่ทำให้อู๋เซี่ยวเซี่ยวตระหนักได้อย่างลึกซึ้งอีกครั้งว่าที่นี่ไม่ใช่ยุคสมัยที่นางอยู่ ประสบการณ์ในการแก้ปัญหาของนางใช้ไม่ได้กับที่นี่
พึงรู้ว่าในยุคสมัยของนาง ต่อให้ถูกโจมตีอย่างรุนแรงทางอินเตอร์เน็ต ทั้งถูกด่าทอและถูกเขียนต่อว่า ขอเพียงนางอู๋เซี่ยวเซี่ยวมีจิตใจเข้มแข็งก็สามารถยืนหยัดในเส้นทางของตนเอง ใช้ชีวิตต่อไปได้
แต่หูซื่อไม่ใช่อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่อยู่ในยุคปัจจุบัน สตรีบอบบางผู้นี้ หากทุกคนบนถนนสายนี้ถ่มน้ำลายใส่คนละทีก็คงทำให้อีกฝ่ายจมน้ำลายจนตายทั้งเป็น
และในนิยายต้นฉบับหลังจากหูซื่อรับแขกเพื่อช่วยบุตรสาวแล้วก็แค่มีชีวิตอยู่ไปวันๆ เพียงเพื่อเลี้ยงบุตรสาวให้เติบใหญ่เท่านั้น
แต่หลังจากที่โม่เซี่ยวเหนียงถูกแขกย่ำยีจนมีมลทิน นางก็รับความสะเทือนใจไม่ได้ กอปรกับถูกโม่เซี่ยวเหนียงบุตรสาวในนิยายต้นฉบับด่าทออย่างเกรี้ยวกราด นางจึงกระโดดบ่อน้ำตายด้วยความรู้สึกผิด
โยนพล็อตนิยายต้นฉบับที่เหมือนอุจจาระสุนัขทิ้งไปก่อนยังไม่ต้องพูดถึง หลังอู๋เซี่ยวเซี่ยวมาอยู่ในโลกที่ไม่คุ้นเคยใบนี้ นางก็ได้บทเรียนที่ประทับฝังลึกลงไปในใจอีกครั้ง นั่นก็คือชื่อเสียงของสตรีต้องทะนุถนอมดั่งนัยน์ตา ทุกเรื่องต้องไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน จะเดินพลาดไม่ได้แม้เพียงครึ่งก้าว!
และฉู่เซิ่นที่ยืนอยู่หน้าประตูเรือนก็ได้ยินคำพูดของจางมามาเมื่อครู่นี้เช่นกัน
สองสามวันมานี้เขารู้ตัวตนของหูซื่อกระจ่างแจ้งแล้วเช่นกัน ที่แท้นางเป็นภรรยานอกสมรสของคุณชายรองสกุลโม่ แต่คุณชายรองสกุลโม่ผู้นั้นพอได้นางแล้วก็ทอดทิ้ง ตอนนี้ไม่ยอมดูแลนางแล้ว
ดูจากสภาพในเรือนเล็กของนางก็เห็นได้ว่าสองแม่ลูกคู่นี้อยู่กันอย่างยากลำบากเพียงใด และตอนนี้หูซื่อก็เสียชื่อเสียงเพราะช่วยชีวิตเขา ในใจของฉู่เซิ่นนั้นรู้สึกทรมานยิ่งนัก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 21 มิ.ย. 68
Comments
comments
No tags for this post.