บทที่ 7
หูซื่อหลังส่งจางมามาไปแล้วก็มีท่าทางเซื่องซึม แต่ตอนที่หันกลับมาเห็นบุตรสาวก็ฝืนทำเป็นยิ้มร่าเริง กระตุ้นให้ตนเองฮึกเหิมแล้วไปล้างปลาต้มน้ำแกงในครัว
ต้องขอบคุณดาบพกเล่มนั้น หลายวันนี้ไม่ว่าหูซื่อกับบุตรสาวหรือฉู่เซิ่นสองพ่อลูกคู่นั้น ในด้านอาหารการกินนั้นค่อนข้างสบายขึ้นมาก ฉู่เซิ่นมีบาดแผล จำเป็นต้องบำรุงพักฟื้น หูซื่อจึงซื้อปลาตัวใหญ่มาหนึ่งตัว หั่นเป็นสามส่วน แบ่งเอาไปตุ๋นน้ำแกง ผัดน้ำแดง และส่วนสุดท้ายเอาไปหมักเกลือ เก็บไว้สองสามวันค่อยนึ่งกับถั่วเหลืองกิน
นางถูกบิดามารดาขายเข้าคณะงิ้วตั้งแต่เด็ก จะยกมือวางเท้าล้วนมีจริตไปเสียทุกอิริยาบถ ต่อให้เด็ดผักหั่นหัวหอมนิ้วก็กรีดกรายราวกับดอกกล้วยไม้ ดูนุ่มนวลไม่รีบร้อน
เนื่องจากอยู่ในเรือนของตนเอง หูซื่อจึงไม่จำเป็นต้องจงใจทำตัวสกปรกมอมแมม ใบหน้านั้นก็สะอาดสะอ้านขึ้น ผมดำขลับก็มัดด้วยผ้าขาว ผมดำหลายปอยปรกข้างแก้ม ขับเน้นดวงหน้ารูปไข่ให้ยิ่งงดงามผุดผาด
แม้ฉู่เซิ่นจะเป็นชาวจงหยวน แต่อยู่ที่โม่เป่ยมานาน เห็นสตรีโม่เป่ยร่างสูงใหญ่จนชินตา ไม่ได้สัมผัสสตรีร่างแบบบางดุจต้นหลิวมานาน จึงเผลอมองนานไปสักหน่อย
จนกระทั่งหูซื่อเตรียมหอบฟืนไปจุดไฟที่เตา เขาจึงรีบเดินเข้าไปแล้วเอ่ยว่า “งานหยาบพวกนี้ให้ข้าทำเถิด!”
หูซื่อเองก็รีบเอ่ย “คุณชายฉู่ แผลท่านยังไม่หายดี จะรบกวนท่านได้อย่างไร”
แต่ฉู่เซิ่นไม่พูดพร่ำทำเพลง หอบฟืนไปจุดไฟที่เตาทันที
ฉู่สุยเฟิงเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นมาช่วยบิดาบุญธรรมจุดไฟ เพียงแต่ตอนที่ลุกขึ้นมาเขาจงใจสะบัดมือจนน้ำแป้งเลอะเทอะทั่วศีรษะของโม่เซี่ยวเหนียง
หลังจากเด็กเหลือขอนั่นล้างหน้าล้างตาจนสะอาดแล้วก็เผยใบหน้าเกลี้ยงเกลาคิ้วหนาตาโต คางแหลมเล็กน้อยออกมา หากอยู่ในยุคปัจจุบันสามารถเดบิวต์เป็นนายแบบเด็ก เปิดร้านขายของในเถาเป่า จนขายดีได้
น่าเสียดายที่รูปโฉมอันยอดเยี่ยมนั้นไม่ได้มาพร้อมกับนิสัยที่ไร้เดียงสาน่ารักแต่อย่างใด
ภารกิจอันดับหนึ่งของผู้ที่เป็นพระเอกก็คือแบ่งแยกบุญคุณกับความแค้นออกจากกันอย่างชัดเจน
ผู้ที่มีบุญคุณคือท่านอาหูซื่อที่มีเมตตาและจิตใจดี ผู้ที่มีความแค้นคือเด็กหยาบคายที่ดึงแขนเขาจนข้อหลุดในตอนนั้น
สรุปก็คือฉู่สุยเฟิงที่อายุเพิ่งครบเจ็ดขวบเห็นโม่เซี่ยวเหนียงขัดตาเสียแล้ว
อู๋เซี่ยวเซี่ยวที่กลายเป็นโม่เซี่ยวเหนียงเช็ดแป้งบนใบหน้าเงียบๆ อยากไปถลกหนังหน้าเด็กเหลือขอนั่น แต่พอคิดว่าภายภาคหน้าฉู่สุยเฟิงจะเอาดาบแทงนางแล้วหั่นศพเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยก็ก้มหน้าซักผ้าต่อไปโดยไม่พูดอะไรทั้งสิ้น
ตอนนี้พอมาคิดดูอีกที ในยุคปัจจุบันนางแต่งกับสามีที่อายุห่างกับตนเองหกปี ความแตกต่างของอายุนั้นพอๆ กับนางและฉู่สุยเฟิงในตอนนี้ ทันใดนั้นขนพลันลุกเกรียวขึ้นมาทั้งร่าง
ห่างกันหกปีเชียว ไม่ใช่แค่ทางร่างกาย แต่จิตใจก็ด้วย!
บุรุษที่ทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมโตจะเข้าใจหรือว่าหน้าที่กับความรับผิดชอบคืออะไร ยิ่งตอนนี้พอมองเด็กบ้าที่แอบหันมายิ้มอย่างเสแสร้งให้ นางก็ถอนใจในความเลอะเลือนของตนที่ถูกบุรุษหนุ่มทำให้ลุ่มหลงในราคะ
นางที่กลายเป็นโม่เซี่ยวเหนียงเตือนตนเองว่า ไม่ง่ายเลยที่ได้เกิดใหม่อีกครั้ง ในโลกที่แปลกประหลาดนี้ หากข้าสามารถหลบหลีกหนามอันแหลมคมของพระเอกได้อย่างราบรื่นและอยู่อย่างปลอดภัยไปจนถึงวัยออกเรือนได้ ข้าจะต้องเลือกบุรุษที่สุขุมและโตกว่าแน่นอน
ส่วนน้องชายไอดอลวัยรุ่นที่สดใหม่และมีชีวิตชีวา ข้าขอปฏิเสธ!
ผ่านไปครู่หนึ่งก็ได้กลิ่นข้าวและกลิ่นหอมของปลาโชยมาเป็นระยะ หูซื่อยกกับข้าวไปที่โต๊ะในห้องโถง จากนั้นก็เรียกฉู่เซิ่นกับเด็กทั้งสองมากิน
ตอนกินอาหารฉู่เซิ่นคีบเนื้อปลาน้ำแดงชิ้นใหญ่ใส่ชามฉู่สุยเฟิง จากนั้นก็ซดน้ำแกงปลาคำใหญ่ ฉู่สุยเฟิงเองก็เอาหน้าก้มลงไปในชามอย่างไม่เกรงใจ
เด็กหนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งกินอย่างสงบแต่รวดเร็ว พวกเขาคลุกคลีอยู่บริเวณเตาในค่ายทหารโม่เป่ยมานานปี จึงใช้ตะเกียบกินอาหารได้อย่างดุดันและแม่นยำ
แต่สำหรับหูซื่อ ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ผักปลาที่ซื้อมาด้วยเงินตนเอง จึงกินอย่างระมัดระวัง ขยับตะเกียบอย่างกระดากอาย ตักเพียงน้ำแกงปลาไม่กี่ช้อนคลุกข้าวฟ่างกินก็พอใจแล้ว
ส่วนอู๋เซี่ยวเซี่ยวผู้ได้รับการศึกษาชั้นสูงมาตั้งแต่เล็กจนโต ตอนเข้ามหาวิทยาลัยไม่เคยไปโรงอาหาร มีความเชี่ยวชาญในมารยาทการกินอาหารตะวันตกและตะวันออก อย่างเดียวที่ไม่รู้คือจะแย่งผู้อื่นกินอย่างไร ต่อให้หิวแทบตายก็เคยชินกับการรอให้คนอื่นคีบอาหารเสร็จก่อนถึงจะยื่นตะเกียบ
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนที่ชามอาหารพร่องจนเห็นก้นชาม นางจึงกินไปเพียงไม่กี่คำ ก่อนหน้านี้ฉู่เซิ่นนอนซมกินโจ๊กอยู่บนเตียงมาโดยตลอด ไม่ได้ร่วมกินอาหารกับพวกนาง เพิ่งร่วมโต๊ะวันนี้เป็นครั้งแรก พอเห็นอาหารพร่องจนเห็นก้นชามและโม่เซี่ยวเหนียงกินไปได้เพียงไม่กี่คำเท่านั้น เขาก็รีบลุกขึ้นจะคีบกับข้าวตักน้ำแกงให้โม่เซี่ยวเหนียง
หูซื่อเห็นเขาลุกขึ้นไปเปิดฝาหม้อก็รีบเอ่ยขึ้น “คุณชายฉู่กินไม่อิ่มหรือเจ้าคะ วันนี้ทำกับข้าวน้อยไปสักหน่อย พรุ่งนี้ข้าจะทำให้มากกว่านี้…”
ฝ่ามือใหญ่ที่ถือหม้อของฉู่เซิ่นพลันชะงัก ตอนนี้ถึงได้รู้ว่าเขากับฉู่สุยเฟิงกินอาหารเที่ยงของวันนี้ไปกว่าครึ่ง แม้แต่น้ำแกงปลาก็ไม่เหลือแม้แต่ครึ่งคำ แต่สองแม่ลูกหูซื่อกลับทำได้เพียงกินข้าวฟ่างเคล้าน้ำลายเท่านั้น
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร เพียงกำชับให้ฉู่สุยเฟิงเล่นอยู่ที่ลานบ้านอย่าออกไปที่ใด จากนั้นก็หันกายเข้าไปในห้องข้างใน ผ่านไปครู่หนึ่งก็ออกมาแล้วเปิดประตูลานบ้านเดินออกไป
หูซื่อไม่รู้ว่าเขาทำอะไร เพียงแต่ฉู่เซิ่นออกไปอย่างโจ่งแจ้งในเวลากลางวันแสกๆ คงไม่พ้นต้องถูกพวกเพื่อนบ้านชี้มือชี้ไม้นินทาเป็นแน่
ปรากฏว่าฉู่เซิ่นออกไปได้ครึ่งชั่วยาม ตอนที่กลับมาใหม่ในมือก็หิ้วกล่องอาหารและห่อกระดาษน้ำมันหนึ่งห่อ เขาเอากล่องอาหารวางบนโต๊ะ เปิดห่อกระดาษน้ำมันก่อน แล้วร้องเรียกไปยังเรือนทางทิศตะวันออกยิ้มๆ
“เซี่ยวเหนียง นี่คือเป็ดเค็มรมควันจากถนนข้างหน้า ยังร้อนอยู่ เจ้ากับมารดาเจ้าออกมากินสักหน่อยเถิด”
โม่เซี่ยวเหนียงกับหูซื่อนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง หูซื่อกำลังเย็บงานเย็บปักที่รับเหมามา ส่วนโม่เซี่ยวเหนียงก็นั่งตั้งใจดูอยู่ข้างๆ อยากเรียนรู้งานเย็บปักง่ายๆ จะได้เป็นลูกมือให้หูซื่อ
พอได้ยินฉู่เซิ่นเรียกเช่นนี้ หูซื่อก็อดตกตะลึงไม่ได้ ตระหนักขึ้นมาโดยพลันว่าเมื่อครู่นี้ที่ฉู่เซิ่นออกไปคงเอาอะไรไปจำนำอีกเป็นแน่ ถึงซื้อของกินกลับมาได้
จนกระทั่งสองแม่ลูกออกมาจากเรือน ฉู่สุยเฟิงที่เดิมทีนั่งใช้มีดเล็กเหลาตุ๊กตาไม้เล่นอยู่ที่ลานบ้านก็มานั่งตัวตรงข้างโต๊ะแล้ว และไม่ต้องให้ใครเรียก เขากำลังถือน่องเป็ดข้างหนึ่งกินอย่างไม่เกรงใจ
ผู้อื่นไม่รู้ แต่โม่เซี่ยวเหนียงรู้ว่า ‘พ่อลูก’ ในนามคู่นี้แท้จริงแล้วเป็นนายกับบ่าว
เด็กเหลือขอนั่นคือนายน้อย ส่วนฉู่เซิ่นเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาที่ปกป้องนายน้อยให้ปลอดภัยเท่านั้น
ดังนั้นฉู่เซิ่นเองก็จะไม่ใส่ใจในเรื่องที่ฉู่สุยเฟิงขาดความรู้เรื่องมารยาท ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้วนายน้อยกินอิ่มและเติบโตเป็นอย่างดีต่างหากคือสิ่งที่ถูกต้อง
เคราะห์ดีครั้งนี้ฉู่เซิ่นซื้อมามาก นอกเหนือจากเป็ดเค็มรมควันแล้วก็มีหัวสิงโตน้ำแดง ไก่หมักซีอิ๊ว และหน่อไม้ดองอร่อยสดใหม่อีกหนึ่งจานที่หิ้วกลับมาจากหอสุรา
ตอนที่เป็ดไก่ปลอดสารพิษปรุงอย่างพิถีพิถันด้วยกรรมวิธีโบราณวางซ้อนกันอย่างประณีต จนกระทั่งรสชาติเก่าๆ ที่เรียบง่ายแผ่ซ่านภายในโพรงปาก อู๋เซี่ยวเซี่ยวก็ตื้นตันจนน้ำตาไหล ข้างหูเหมือนจะมีเพลงประกอบของสารคดีเรื่อง ‘จีนบนปลายลิ้น’ ดังขึ้น
ความสุขที่แทบอยากกลืนลิ้นของตนลงไปเสียให้รู้แล้วรู้รอดมีเพียงคนที่อาศัยอยู่ในหุบเขากันดารมาหลายเดือนแล้วเพิ่งได้มีโอกาสเข้าร้านอาหารในเมืองเท่านั้นที่จะเข้าใจ!
น่าเสียดายที่ภาพโม่เซี่ยวเหนียงกินไปพลางขอบตาเปียกชื้นไปพลางทำให้เด็กน้อยฉู่สุยเฟิงที่อยู่ข้างๆ แค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย้ยหยัน คิดเพียงว่าเด็กในเมืองตัวแสบผู้นี้ช่างทำตัวน่าอายจริงๆ
หูซื่อเองก็ไม่ได้กินอาหารที่ประณีตเช่นนี้มานานแล้ว ถึงอย่างไรนางก็ได้ใช้ชีวิตอย่างมั่งคั่งมาหลายวัน ย่อมรู้ว่าอาหารพวกนี้ห่อกลับมาจากหอจุ้ยเซียนหอสุราที่ดีที่สุดในเมือง รวมกันแล้วคงเป็นเงินมากถึงสี่ตำลึง
แต่เดิมทีพวกเขาสองพ่อลูกสูญเงินค่าเดินทางไปแล้ว ฉู่เซิ่นก็เกือบป่วยตายอยู่ที่อารามร้าง พวกเขาตามหาญาติไม่สำเร็จ วันหน้ามีเรื่องให้ต้องใช้เงินระหว่างทางอีกมาก เหตุใดถึงเอามาใช้จ่ายส่งเดชเช่นนี้
ดังนั้นหูซื่อจึงกินไม่ค่อยลง เอ่ยเตือนฉู่เซิ่นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่าต้องใคร่ครวญถึงชีวิตในวันหน้า จะใช้จ่ายตามใจชอบเช่นนี้ไม่ได้
ฉู่เซิ่นไม่ได้พูดอะไรมาก กินเสร็จแล้วก็เชิญหูซื่อไปพูดคุยกับเขาที่ลานบ้านสักเล็กน้อย
ส่วนโม่เซี่ยวเหนียงหลังกินเสร็จก็ไม่อยากเห็นเด็กเหลือขอฉู่สุยเฟิง นางจึงกลับเรือนไปก่อน ลองไปทำงานเย็บปักเองดูสักหน่อย
บริเวณที่ผู้ใหญ่สองคนพูดคุยกันอยู่ใกล้เรือนมาก เสียงพูดคุยของทั้งสองที่ลานบ้านจึงดังเข้ามาในเรือนโดยไม่ตกหล่นสักคำเดียว
ความคิดของฉู่เซิ่นเรียบง่ายยิ่ง อาการบาดเจ็บของเขาแม้ไม่หายเป็นปลิดทิ้ง แต่ก็ไม่เป็นปัญหาใหญ่แล้ว รบกวนอยู่ที่นี่นานก็ควรจากไปได้แล้ว เพียงแต่เขาไปคราวนี้ไม่อาจวางใจลงได้ว่าต่อไปหูซื่อกับบุตรสาวจะใช้ชีวิตกันอย่างไร สกุลโม่ไม่สนใจไยดีพวกนางสองแม่ลูกมาแต่แรกแล้ว ตอนนี้หูซื่อรับเขากลับมาพักฟื้นที่เรือน ถูกเพื่อนบ้านเล่าลือกันไปถึงไหนต่อไหน เกรงว่าชีวิตในวันหน้าของนางจะลำบากยิ่งกว่าเก่า
ฉู่เซิ่นเป็นทหาร ไม่คุ้นชินกับการพูดจาอ้อมค้อม จึงพูดกับหูซื่อว่า “หลายปีก่อนข้าแต่งภรรยาที่บ้านเกิด เพียงแต่วาสนาของข้ากับนางตื้นเขิน หลังนางให้กำเนิดบุตรสาวก็ขอหย่ากับข้าและแต่งงานใหม่แล้ว ภายหลังข้าก็ไปใช้ชีวิตของตนเองที่โม่เป่ย…มีสุยเฟิงที่นั่น แต่ไม่เคยแต่งภรรยาคนที่สอง ไม่ทราบว่าแม่นางหู…ยินดีไปกับข้าหรือไม่”
หูซื่อไม่นึกไม่ฝันว่าฉู่เซิ่นถึงกับเอ่ยปากจะพาตนไปด้วย ความหมายในคำพูดนั้นก็คือ…จะรับนางเป็นภรรยาเช่นนั้นหรือ ทว่าเขาเป็นญาติห่างๆ ของสกุลโม่ที่ตามหาญาติไม่สำเร็จ แต่กลับรับภรรยานอกสมรสของคุณชายรองสกุลโม่เป็นภรรยา มีอย่างที่ใดกัน
ฉู่เซิ่นได้ยินคำพูดของหูซื่อแล้วก็เอ่ยขึ้นราวกับไม่ใช่เรื่องใหญ่โต “เมื่อครั้งยังเยาว์นายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่ทำการค้าอยู่ที่โม่เป่ยได้รับ…ความเมตตาจากท่านปู่ของสุยเฟิง ตอนนั้นข้าเผชิญหน้ากับโจรได้รับบาดเจ็บสาหัส พลันนึกขึ้นได้ว่าสกุลโม่อยู่ที่นี่ จึงพยายามพาสุยเฟิงเข้าเมืองมาตามหาคน อยากให้สกุลโม่ช่วยเหลือสักหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ญาติสนิทอะไร ตอนนี้แม่นางเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตพวกเราสองพ่อลูก ข้าย่อมอยากปกป้องและให้ความปลอดภัยกับแม่นาง เพียงแต่เส้นทางข้างหน้าของข้าจะดีหรือร้ายก็ยังไม่รู้ ไม่ทราบว่าแม่นางยินดีจะไปลำบากกับข้าหรือไม่”
สิ่งที่ฉู่เซิ่นไม่ได้พูดออกไปก็คือการล่อลวงสตรีแล้วทอดทิ้งของคุณชายรองสกุลโม่ทำให้เขาเกิดอคติต่อสกุลโม่จริงๆ หากหูซื่อเป็นสตรีมากรัก จะถูกคุณชายรองสกุลโม่ทอดทิ้งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
แต่เขาเห็นว่าหูซื่อผู้นี้เป็นสตรีบอบบางที่จิตใจดีและบริสุทธิ์ แม้จะเคยเป็นนักแสดงงิ้ว แต่เมื่อสืบไปถึงรากเหง้าก็เป็นเพียงเด็กสาวบริสุทธิ์ของครอบครัวยากจนผู้หนึ่ง
ตอนนี้เขาเป็นคนที่ตายมาแล้วคราหนึ่ง เข้าใจวิถีของโลกอย่างถ่องแท้ขึ้นมาก กอปรกับอยู่ที่โม่เป่ยมานาน สตรีที่นั่นแต่งงานใหม่ก็เป็นเพียงการย้ายไปอยู่มุ้งอื่นเท่านั้น เรื่องระหว่างชายหญิงเปิดกว้างยิ่ง ในสายตาเขาหูซื่อดีกว่าสตรีกล้าได้กล้าเสียที่โม่เป่ยพวกนั้นเสียอีก
เขาได้รับการไหว้วานจากโม่เป่ยอ๋อง จึงต้องปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขสุดท้ายของราชวงศ์โม่เป่ยนี้ไว้ให้จงได้
ก่อนหน้านี้เขาใช้ชื่อปลอมที่โม่เป่ย ไม่มีผู้ใดรู้ภูมิหลังของเขา ดังนั้นหลังจากพ้นเคราะห์ครั้งนี้แล้วเขาตั้งใจจะกลับบ้านเกิด แต่งภรรยาให้กำเนิดบุตร ใช้ชีวิตที่มั่นคงสักสองสามปี เลี้ยงดูนายน้อยฉู่สุยเฟิงให้เติบใหญ่
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เทียบกับการปล่อยให้แม่สื่อที่บ้านเกิดเจรจาหาคู่ให้แล้วแต่งกับสตรีที่ไม่รู้นิสัยใจคอ มิสู้แต่งกับหูซื่อผู้นี้จะดีกว่า นางจิตใจดีและสุภาพเป็นมิตร จะต้องดูแลฉู่สุยเฟิงและบุตรสาวที่ภรรยาเก่าของตนทิ้งไว้เป็นอย่างดีราวกับดูแลบุตรในอุทรแน่นอน
แม้ฉู่เซิ่นจะสงสารหูซื่อ แต่ถึงอย่างไรเขาก็คิดใคร่ครวญมาเป็นอย่างดีเช่นกัน เมื่อครู่เขาคิดมาตลอดทาง รู้สึกว่าการแต่งกับหูซื่อเป็นเรื่องที่เหมาะสมจริงๆ
บทที่ 8
หลังฉู่เซิ่นพูดจบก็ไม่รีบร้อนให้หูซื่อตกปากรับคำทันที แค่ให้นางไปไตร่ตรองให้ดี วันรุ่งขึ้นค่อยให้คำตอบตน จากนั้นเขาก็ออกไปที่เรือนปีกทางทิศตะวันตก
หูซื่อเดินเข้าเรือนมาด้วยสีหน้าหนักอกหนักใจ เห็นโม่เซี่ยวเหนียงบุตรสาวนั่งอยู่ตรงหน้าต่างเล็กที่มุมผนัง อีกฝ่ายคงได้ยินที่นางกับฉู่เซิ่นพูดคุยกันแล้ว จึงอดหน้าแดงไม่ได้
โม่เซี่ยวเหนียงเป็นฝ่ายพูดกับมารดาก่อน “ท่านแม่ มาคุยกันสักหน่อยเถิด”
แม้ใบหน้าของหูซื่อจะแข็งทื่อ แต่ก็ไม่มีใครให้ปรึกษาหารือ จึงถามบุตรสาวทันที “เจ้าว่าคนผู้นั้นใช้ได้หรือไม่ จะหลอกลวงพวกเราสองแม่ลูกไปขายที่อื่นหรือไม่”
โม่เซี่ยวเหนียงรู้ว่าต่อให้ฉู่เซิ่นจะจนกรอบก็ไม่มีทางตกต่ำถึงขั้นหลอกลวงสตรีและเด็กไปขายเอากำไร เขาเป็นบุรุษที่เสี่ยงชีวิตเพื่อสหายรักเชียวนะ
ในเมื่อเขาเอ่ยปากว่าจะแต่งกับหูซื่อก็คงพูดจริงทำจริง ไม่ถึงขั้นเอาพวกนางสองแม่ลูกไปขายกลางทาง
แต่ในสายตาของโม่เซี่ยวเหนียง ฉู่เซิ่นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นบิดาเลี้ยงจริงๆ
ฉู่เซิ่นในนิยายต้นฉบับเป็นเพียงเหยื่อรับกระสุนที่ใช้เดินเรื่องเท่านั้น เวลานี้ควรบาดแผลติดเชื้อตายที่อารามร้างไปนานแล้ว ต่อไปเขาจะมีโชคชะตาเช่นไร นักเขียนก็ไม่ได้กล่าวถึงเช่นกัน
ส่วนฉู่เฉียวอีบุตรสาวที่ภรรยาเก่าของฉู่เซิ่นซึ่งไปแต่งงานใหม่ทิ้งไว้เป็นตัวละครที่มีสีสันและมีรายละเอียดมาก นับดูแล้วก็เป็นภรรยาคนที่สองในฮาเร็มของพระเอก
ในพล็อตดั้งเดิมฉู่สุยเฟิงที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วได้พบบุตรสาวแท้ๆ ของบิดาบุญธรรม เพื่อตอบแทนบุญคุณของบิดาบุญธรรม หลังเจ็บปวดทรมานที่สูญเสียโม่อิ๋งถิงคนรักไป จึงแต่งฉู่เฉียวอีเป็นภรรยาคนที่สอง
หลังจากนั้นโม่เซี่ยวเหนียงจึงเริ่มเข้าสู่โหมดประหัตประหารอันบ้าคลั่ง ทรมานภรรยาคนที่สองผู้นี้อย่างโหดเหี้ยม พอคิดมาถึงจุดนี้โม่เซี่ยวเหนียงจึงไม่ได้มองวันข้างหน้าหลังจากที่มารดาแต่งงานใหม่กับฉู่เซิ่นในแง่ดีนัก
หากสองครอบครัวเป็นทองแผ่นเดียวกัน พระเอกกลายเป็นน้องบุญธรรมของนาง นางเอกหมายเลขสองกลายเป็นน้องสาวของนาง คนในครอบครัวมีความสัมพันธ์ซับซ้อน ยากจะรักษาความผูกพันไว้ได้ แม้จะอยู่ด้วยกันทุกวันตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่ก็รับรองไม่ได้ว่าพล็อตจะไม่ดำเนินไปยังทิศทางของศีลธรรมครอบครัวและการชักดาบเข่นฆ่ากันภายในครอบครัว
แน่นอนว่าคนที่จมกองเลือดคงเป็นลูกติดอย่างโม่เซี่ยวเหนียงผู้นี้ ส่วนพระเอกกับนางเอกเป็นสามีภรรยาน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สมัครสมานปรองดอง!
แต่โม่เซี่ยวเหนียงรู้ดีว่าตัวละครมากมายในบทละครเรื่องนั้นตอนนี้คือคนที่มีชีวิต
การที่นางผลีผลามเสนอให้ช่วยฉู่เซิ่น ทำให้หูซื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วน ยิ่งทำให้โม่เซี่ยวเหนียงต้องทบทวนตนเองอย่างลึกซึ้ง
ตอนนี้หูซื่อต้องเผชิญกับการเลือกทางเดินชีวิตอีกครั้ง ถึงแม้นางจะเป็นบุตรสาวตัวจริงของหูซื่อ แต่ก็ไม่เหมาะที่จะช่วยตัดสินใจแทนมารดา
ดังนั้นโม่เซี่ยวเหนียงจึงปิดปาก ตั้งใจดูหูซื่อตัดสินใจเอง หากหนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยขวากหนาม นางก็เพียงหลับตาเดินหน้าไปกับหูซื่อ
พอคิดมาถึงตรงนี้โม่เซี่ยวเหนียงก็เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ข้ายังเด็ก จะดูคนเป็นได้อย่างไร ท่านลุงฉู่ผู้นั้นไม่เหมือนคนเลว แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นสามีที่ดีของสตรีหรือไม่ ทุกอย่างให้ท่านแม่เป็นคนตัดสินใจเจ้าค่ะ”
หูซื่อเอ่ยพึมพำ “คุณชายฉู่ร่างสูงใหญ่กำยำ หากตบตีสตรี ข้าต้องทนไม่ไหวเป็นแน่…ข้ากลัว…”
โม่เซี่ยวเหนียงรีบพยักหน้า รู้สึกเช่นกันว่าฉู่เซิ่นดูเหมือนบุรุษป่าเถื่อน ไม่เหมือนบุรุษที่รักถนอมภรรยาสักนิด
เมื่อหูซื่อไม่มีผู้ใดให้ปรึกษา นางก็ได้แต่นอนกระสับกระส่ายขบคิดทั้งคืน
แต่พอเช้าตรู่วันรุ่งขึ้นกลับมีคนช่วยคิดแทนหูซื่อแล้ว ฟ้ายังไม่สางก็ได้ยินเสียงผู้คนนอกกำแพงลานบ้าน ที่แท้สกุลโม่มาขับไล่คนแล้ว
ตอนนั้นคังซื่อสั่งพ่อบ้านก่อนออกเดินทางไว้ว่าหากหูซื่ออยู่อย่างสงบเสงี่ยมเจียมตนก็ดี แต่หากก่อเรื่องฉาวโฉ่ที่ไม่อาจอภัยได้จะต้องข่มขู่แล้วไปเรียกผู้ใหญ่บ้านมา หลังจากทำให้เรื่องราวใหญ่โตแล้วก็ขับไล่หูซื่อออกไปจากเรือนพร้อมกับบุตรนอกสมรสเสีย
นายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่รักชื่อเสียงหน้าตายิ่งนัก จะยอมให้ภรรยานอกสมรสผู้หนึ่งทำให้สกุลโม่เผชิญหน้ากับพายุอยู่อย่างไม่สงบสุขได้อย่างไร
คังซื่อเป็นคนใจแคบ แต่ไม่ยอมให้บิดามารดาสามีและสามีหาว่าใจดำอำมหิตไม่สนใจผู้ใด จึงฉวยโอกาสตอนที่คนสกุลโม่ไม่อยู่ที่เมืองเฟิ่ง กันเงินไม่ให้หูซื่อหาเลี้ยงชีพได้ จากนั้นก็หาเหตุผลที่ฟังดูใหญ่โตบ่งหนามยอกอกออกไปอย่างหมดจดสง่าผ่าเผย
ตอนนี้หูซื่อถึงขั้นเลี้ยงดูบุรุษไว้ในเรือน เล่าลือกันทั่วทุกตรอกซอกซอย เป็นโอกาสเหมาะแก่การลงมือพอดี เมื่อพ่อบ้านได้ยินดังนั้นก็รีบเรียกผู้ใต้บังคับบัญชามารวมตัวและเรียกผู้ใหญ่บ้านที่ตรอกมาจับชู้ไล่คน
แต่น่าเสียดายตอนที่พวกเขาย้ายบันไดมาปีนกำแพงลานบ้านบุกเข้าเรือนปีกทางทิศตะวันตกก็เห็นเพียงบุรุษผู้นั้นนอนอยู่บนเตียงไม้กับบุตรชายวัยเจ็ดขวบ ไม่ได้ร่วมห้องนอนใต้ผ้านวมผืนเดียวกันกับหูซื่อ
แต่พ่อบ้านเตรียมตัวมาแล้ว แม้ไม่อาจจับชู้คาเตียงก็จะขู่เรื่องที่หูซื่อมีบุรุษอยู่ในเรือน
โม่เซี่ยวเหนียงตื่นตอนที่คนพวกนั้นบุกเข้าห้องของนางกับมารดา จากนั้นก็พบว่าสถานการณ์หนึ่งที่กล่าวถึงในนิยายต้นฉบับมาถึงแล้ว
ในนิยายต้นฉบับหลังจากมารดาเปลี่ยนอาชีพเป็นผู้ให้บริการทางเพศ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปีนางกับมารดาก็ถูกพ่อบ้านสกุลโม่ขับไล่ออกจากเรือน ความอับอายขายหน้าที่มารดาถูกพ่อบ้านฉีกเสื้อตบหน้าต่อหน้าเพื่อนบ้านทำให้โม่เซี่ยวเหนียงซึ่งเป็นตัวประกอบหญิงยิ่งมีจิตใจอ่อนไหวและบิดเบี้ยว ภายหลังถึงขั้นห้ามผู้อื่นไม่ให้พูดเรื่องของหูซื่อ
แต่เสียงเอ็ดตะโรที่ทุกคนรอคอยเงียบลงไปครึ่งหนึ่งเมื่อฉู่เซิ่นตื่นขึ้นมา
พ่อบ้านนึกไม่ถึงว่าบุรุษผู้นี้จะมีร่างสูงใหญ่กำยำมากถึงเพียงนี้! อีกทั้งมีสีหน้าเย็นชา แผ่โทสะคุกรุ่นไปทั่วร่าง มองคราเดียวก็รู้ว่าไม่ควรไปหาเรื่องด้วย ความมั่นใจตอนพูดจึงหายไปเล็กน้อย
ฉู่เซิ่นมองครู่หนึ่ง ท่าทางคนพวกนี้จะเตรียมการมาแล้ว จึงรู้ว่าพวกเขาตั้งใจมากลั่นแกล้งหูซื่อสองแม่ลูก
ถึงอย่างไรพ่อบ้านผู้นั้นก็ยังทำหน้าที่ของตนเองต่อไป เขารวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นบุรุษป่าเถื่อนจากที่ใด เข้ามาพักในเรือนเล็กสกุลโม่ของพวกเราโดยที่เจ้าบ้านยังไม่อนุญาตได้อย่างไร”
ฉู่เซิ่นมีหรือจะยอมให้อีกฝ่ายโวยวายใส่ เขายื่นแขนยาวผลักคนพวกนั้นออกไปจากห้องแล้วเอ่ย “ไม่เข้ามาทางประตู แต่ข้ามกำแพงบุกรุกเข้ามา เจ้าเป็นเจ้าของเรือนนี้เช่นนั้นหรือ”
พ่อบ้านผู้นั้นถลึงตาเอ่ย “ข้าเป็นพ่อบ้านสกุลโม่ เจ้าบ้านไม่อยู่เมืองเฟิ่ง ข้าย่อมต้องช่วยสอดส่องดูแล! หูซื่อไม่ปฏิบัติตามจารีตประเพณีที่สตรีพึงปฏิบัติ จะปล่อยให้นางทำตัวน่าอับอายขายหน้าในเรือนนี้ได้อย่างไร”
ฉู่เซิ่นขึ้นเสียงเอ่ยถาม “เจ้ามีสัญญาซื้อขายตัวหรือหนังสือสมรสของหูซื่อหรือไม่”
ผู้ใหญ่บ้านตอบไม่ได้ เพียงหันไปมองพ่อบ้านสกุลโม่
พ่อบ้านหนวดชี้ แค่นหัวเราะตอบ “ภรรยานอกสมรสผู้หนึ่งจะไปมีหนังสือสมรสได้อย่างไร คุณชายรองสงสารนาง สัญญาซื้อขายตัวย่อมไม่มีเช่นกัน!”
ฉู่เซิ่นหัวเราะเยาะ “ในเมื่อไม่มีอะไรก็เท่ากับบอกว่านางไม่เกี่ยวข้องอันใดกับสกุลโม่ของพวกเจ้า พวกเจ้าบุกรุกเข้ามาอย่างคนอันธพาลเช่นนี้มีอย่างที่ใดกัน”
พ่อบ้านถลึงตาตอบ “ทุกอย่างที่นางกินดื่มอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของสกุลโม่ แต่นางกลับลอบเลี้ยงดูบุรุษอย่างเจ้า ยังมีหน้าอาศัยอยู่ในเรือนที่สกุลโม่ซื้อมาอีกหรือ”
ฉู่เซิ่นยิ้มหยันพลางสาวเท้าเดินไปที่หน้าประตูลานบ้าน จากนั้นเปิดประตูให้เหล่าเพื่อนบ้านที่มาชมความครึกครื้นเข้ามา ก่อนจะเอ่ยเสียงดัง
“คนสกุลโม่ไร้ความรับผิดชอบ ปล่อยให้บ่าวปลิ้นปล้อนทำให้สองแม่ลูกที่ไร้ที่พึ่งต้องเดือดร้อน พวกเจ้าบอกว่าเอาเงินมาเลี้ยงดูพวกนาง แล้วเหตุใดพวกนางสองคนต้องหาเลี้ยงชีพด้วยการซักผ้าเย็บผ้า เพื่อนบ้านซ้ายขวาล้วนอยู่ตรงนี้ ต่างรู้เรื่องภายใน ส่วนข้านั้นเดิมทีก็เป็นสหายเก่าของนายท่านผู้เฒ่าสกุลโม่ของพวกเจ้า ถูกโจรปล้นและได้รับบาดเจ็บ ขอความช่วยเหลือจากสกุลโม่ แต่กลับถูกบ่าวปลิ้นปล้อนปฏิเสธ เคราะห์ดีได้แม่นางหูช่วยเหลือจึงรักษาชีวิตเอาไว้ได้ ตอนนี้พูดกันอย่างเปิดเผย พวกนางเองก็ต้องกินต้องใช้ ในเมื่อสกุลโม่ไม่ยอมดูแลพวกนาง เช่นนั้นก็ให้ข้าเป็นผู้ดูแลก็แล้วกัน ต่อไปพวกนางกับสกุลโม่ตัดขาดกันโดยสิ้นเชิง วันนี้มีทั้งพยานและหลักฐาน มีผู้ใหญ่บ้านและเพื่อนบ้านเป็นพยาน พวกนางสองแม่ลูกจะไม่เอาสิ่งของของสกุลโม่ไปแม้แต่ชิ้นเดียว นับจากนี้ไม่ว่าพิธีแต่งงานหรือพิธีศพล้วนไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกันอีก!”
ในเวลานี้เองโม่เซี่ยวเหนียงก็ร้องไห้ขึ้นมาอย่างถูกจังหวะ “ท่านพ่อบ้าน ปีนี้ข้ากับท่านแม่ไม่กล้าไปขอเงินกับท่าน เพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่าน เหตุใดท่านถึงยังไม่ยอมเลิกรา ท่านลุงฉู่ผู้นี้ข้าบังเอิญพบเขาในอารามร้าง ตอนนั้นเขาได้รับบาดเจ็บเจียนตาย เขาจะไปหาสกุลโม่ แต่ท่านไม่ยอมสนใจ…เป็นข้าที่ขอร้องท่านแม่ให้ช่วยชีวิตเขา ล้วนเป็นความผิดข้าเอง ความผิดข้าเอง…” นางพูดจบอย่างขลาดกลัวแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น หูซื่อก็ถูกกระตุ้นจนความเศร้าท่วมท้นขึ้นมาเช่นกัน ร้องไห้ตามบุตรสาวไปด้วย
พ่อบ้านนึกไม่ถึงว่าลูกติดภรรยานอกสมรสผู้นี้จะเอ่ยปากขึ้นมาในเวลาเช่นนี้ อีกทั้งความหมายที่พูดมาล้วนเป็นการกล่าวหาว่าตนยึดเงินไป ช่างน่าชังจริงๆ! แต่นางกลับพูดด้วยท่าทางขลาดกลัว ดูเหมือนอ่อนแอรังแกง่ายยิ่ง ชวนให้ผู้คนสงสาร
เวลานี้เพื่อนบ้านก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เสียงเบา มีคนที่รู้เรื่องภายในเอ่ยขึ้นว่า “สกุลโม่ถึงกับกล้าทำการค้าที่ประหยัดเงินเช่นนี้ แต่งภรรยานอกสมรส ให้สตรีคลอดบุตรแล้วไม่ให้เงิน สองแม่ลูกนั่นอาศัยงานเย็บปักซักผ้าเลี้ยงชีพมาหนึ่งปีแล้วมิใช่หรือ”
“มีเงินเหม็นอยู่บ้างก็กล้าทำเรื่องชั่วช้าเช่นอันธพาลแล้วไม่ยอมรับผิด คนสกุลโม่ช่างหน้าไม่อายจริงๆ…”
“บุรุษผู้นั้นได้รับบาดเจ็บจริงๆ ก่อนหน้านี้ข้ายังเห็นหูซื่อไปเชิญหมอและซื้อยา สตรีผู้นี้จิตใจดีเหลือเกิน แต่กลับถูกบุรุษหลอกลวงเสียได้…”
พ่อบ้านคิดไม่ถึงว่าแม้ตนเองจะเกณฑ์คนมาเช่นนี้ แต่กลับสร้างความอับอายขายหน้าให้คุณชายรองสกุลโม่เสียแล้ว ทันใดนั้นก็ร้อนใจขึ้นมา ทว่าคำพูดของฉู่เซิ่นก็ตรงใจพ่อบ้านสกุลโม่พอดี จึงต้องฉวยโอกาสรีบจบเรื่องนี้
เดิมทีเขาอยากฉวยโอกาสทำให้หูซื่อต้องอับอาย ด่าว่าทุบตีสักยก แต่ตอนนี้ถูกผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ว่าสกุลโม่แล้งน้ำใจ และบุรุษผู้นั้นก็ยืนด้วยสีหน้าถมึงทึง ทำให้เขาล้มเลิกความคิดที่จะใช้อำนาจข่มเหงพวกนาง
เรื่องต่อจากนี้จึงไม่ต้องพูดกันให้ยืดยาว ทั้งสองฝ่ายทำหนังสือตกลงกันว่าไม่ติดค้างกันแล้ว จากนั้นฉู่เซิ่นก็ไปซื้อเสื้อผ้าจากร้านที่อยู่ถัดไปทั้งชั้นในและชั้นนอก แล้วให้หูซื่อกับบุตรสาวผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนเสื้อผ้าเก่าๆ พวกนั้นก็ไม่เอาไปด้วย ไปเพียงตัวเปล่า สองแม่ลูกใหม่เอี่ยมตั้งแต่ข้างในจนถึงข้างนอก เดินออกจากกรงนกขมิ้นที่อยู่มาหลายปีต่อหน้าเพื่อนบ้านทั้งหลาย
ยามอยู่ต่อหน้าเพื่อนบ้าน หูซื่อสองแม่ลูกไม่ได้แต่งตัวดีๆ มานานแล้ว จนกระทั่งสองแม่ลูกล้างหน้าล้างตาหวีผมเรียบร้อย ปรากฏตัวด้วยอาภรณ์ใหม่เอี่ยมต่อหน้าผู้คนก็ชวนให้พวกเขามองกันจนตาค้าง นี่คือหญิงงามโดยกำเนิดทั้งผู้ใหญ่และเด็กเชียว!
มารดารูปร่างแบบบางแช่มช้อย เรียวคิ้วดวงตาบนใบหน้ารูปไข่ราวกับวาด ส่วนบุตรสาวก็ยิ่งงามผุดผาดใบหน้าเล็กเรียว
มีเสียงแผ่วเบาจากผู้ที่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่นดังขึ้นว่าบุรุษผู้นั้นคิดคำนวณเก่งนัก นี่เท่ากับซื้อทั้งผู้ใหญ่และเด็ก ได้หญิงงามไปสองคนโดยไม่ต้องเสียเงิน!
โม่เซี่ยวเหนียงรู้ดีว่าสกุลโม่ไม่ยอมรับพวกนางสองแม่ลูก คราวนี้นอกจากไปจากที่นี่ก็ไม่มีแผนการอื่นแล้ว
นางจึงถือคติว่าตนเป็นเด็ก ไม่พูดจาส่งเดช เดินตามหลังหูซื่อไปตลอดทาง ส่วนหูซื่อก็เป็นคนที่ตัดสินใจเองไม่เป็นอยู่แล้ว เมื่อเผชิญกับความยุ่งยากที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ก็สูญเสียความกล้าโดยสิ้นเชิง ปล่อยให้ฉู่เซิ่นจัดการทั้งหมด
หลังขึ้นรถม้าที่ฉู่เซิ่นจ้างมาจากจุดพักม้า นางถึงได้สติ น้ำตาคลอขณะเอ่ยถามฉู่เซิ่นอย่างทำอะไรไม่ถูก “คุณชายฉู่ ท่านจะพาข้าไปที่ใด”
เด็กน้อยฉู่สุยเฟิงนั่งพาดขาข้างรถม้า พอได้ยินเช่นนี้ก็หันกลับมาตอบ “แม่นางหู บิดาข้าชมชอบท่าน จะตบแต่งท่านเป็นภรรยา ย่อมพาท่านกลับไปเข้าห้องหอ!”
ฉู่เซิ่นลูบศีรษะบุตรชายบุญธรรม ยิ้มกว้างให้หูซื่อที่กำลังหน้าแดง
โม่เซี่ยวเหนียงลอบชำเลืองมองฉู่สุยเฟิงเด็กนั่น สมกับเป็นคนที่ภายภาคหน้าจะได้แต่งภรรยาถึงแปดคน มีลักษณะของคนไร้ศีลธรรมบ้าตัณหาตั้งแต่เด็ก
คนท่าทางหยิบหย่งเช่นนี้ถูกนักเขียนนิยายต้นฉบับสร้างขึ้นมาให้มีภาพลักษณ์เสเพลทรงเสน่ห์ ไม่ใช่เพียงถูกใจนักอ่านชายเท่านั้น แม้แต่นักอ่านหญิงก็ยังคอมเมนต์งานเขียนกันอย่างบ้าคลั่ง เรียกตัวเองว่า ‘หมายเลขเก้า’ พร้อมจะเติมเต็มที่ว่างของภรรยาคนที่เก้าของพระเอกทุกเมื่อ!
นอกจากนี้ผู้ที่เลี้ยงดูอันธพาลน้อยได้ย่อมไม่ใช่คนที่รับมือง่าย ว่าที่บิดาเลี้ยงของนางผู้นี้ไม่ใช่คนธรรมดาจริงๆ
วันนี้แม้ว่าเขาจะช่วยกู้หน้าให้หูซื่อ แต่ก็น่าสงสัยว่าจะเป็นการไล่เป็ดขึ้นคอน* ไม่ให้หูซื่อมีโอกาสเลือก! ตอนนี้พอเห็นสายตาเร่าร้อนที่เขามองหูซื่อแล้วก็เรียกได้ว่าเป็นสายตาหมายมาดว่าต้องได้มาครองอย่างเห็นได้ชัด!
จากเรื่องนี้เห็นได้ว่าการมอบชีวิตอุทิศหัวใจในยุคโบราณล้วนเป็นข้ออ้างที่เกิดจากตัณหาทั้งนั้น
หากมารดาผู้บอบบางผู้นี้ของนางมีเรือนร่างบึกบึนอย่างจางมามาเพื่อนบ้าน ไม่รู้ว่าคุณชายสกุลฉู่ผู้นี้จะยังตอบแทนบุญคุณด้วยการแต่งงานอยู่หรือไม่
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 26 มิ.ย. 2568)
Comments
comments
No tags for this post.