บทที่ 1 มหัศจรรย์แห่งดาวตก
1)
“ตึกนั่นมีชีวิต”
เสียงทุ้มที่คุ้นเคยดังขึ้นข้างหู ฉันไม่ได้ตกใจอะไร แต่กลับคลี่ยิ้มออกมาด้วยความรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เบือนหน้าไปน้อยๆ ก็พบกับชายเจ้าของใบหน้าคมคายที่สวมกอดเข้ามาทางเบื้องหลัง วางคางได้รูปไว้บนไหล่ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นนางเอกในนวนิยายชวนฝันก็ไม่ปาน
“ล้อพอใจเหรอคะ”
ฉันตอบไปอย่างแกล้งกระเง้ากระงอด อีกฝ่ายจึงหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างผ่อนคลายและเป็นกันเอง เมทิตย์ขยับไปนั่งบนที่นั่งว่างอีกด้าน บาร์บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรมหรูเงียบสงบ มีลูกค้าเพียงสองคนคือฉันและคนรักเท่านั้น ที่เหลือเป็นบริกรที่หลบฉากกันอยู่เงียบๆ คืนนี้ที่นี่ถูกปิดเพื่อความเป็นส่วนตัว
“เปล่าสักหน่อย” เมทิตย์ตอบด้วยรอยยิ้มสว่างไสว “ผมรู้จักคุณดีต่างหากถึงพูดออกมา เวลาคุณเห็นตึกไหนสวยถูกใจ คุณก็มักจะชมว่าตึกนั่นมีชีวิต แต่ถ้าตึกไหนดีไซน์ได้น่าขัดใจ คุณก็จะบอกว่าตึกนั่นตายไปแล้ว ใช่ไหมล่ะ คุณนักบัญชีผู้หลงรักสถาปัตยกรรม”
เขาตอบไม่ผิดเลยแม้แต่น้อย ฉันเรียนจบจากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ทำอาชีพผู้ตรวจสอบบัญชี แต่ความจริงแล้วฉันหลงใหลใฝ่ฝันในการก่อร่างวางแบบสิ่งปลูกสร้างมากกว่าสิ่งไหน ฉันอยากเป็นสถาปนิกมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่มีความกล้าพอที่จะบอกแม่อย่างตรงไปตรงมา สุดท้ายก็เอาแต่เงียบ เลือกทางเดินที่แม่แนะนำ ฉันคิดว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด อย่างน้อยก็เท่าที่สมองของเด็กวัยนั้นจะคิดได้ และสุดท้ายฉันก็พบว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ใช่สำหรับฉันเลย
“ฉันไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะคะ”
เมื่อฉันหันหน้ามาจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยความมืดของกรุงเทพมหานครวันนี้ ก็เห็นคนรักหนุ่มกำลังยกโทรศัพท์มือถือค้างอยู่ เขาชอบแอบถ่ายรูปของฉันทีเผลอเพื่อเก็บไว้ดูเล่น เปิดอินสตาแกรมลับที่ติดตามกันอยู่แค่สองคน เขาพยักหน้า ฉันจึงลุกเดินออกไป
ฉันเดินออกมาจากส่วนบาร์ขนาดเล็กที่เมทิตย์จองไว้เป็นพิเศษในคืนนี้ เดินตรงเข้าไปในส่วนโรงแรมที่มีห้องอาหารอื่นรวมอยู่ด้วย กวาดสายตาไม่นานก็เจอกับห้องน้ำหญิง ฉันเดินเข้าไปในห้องหนึ่ง ปิดประตูลงกลอน ก่อนจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูอย่างติดนิสัย
“ฉันบอกแกแล้วว่าเป็นเรื่องจริง”
เสียงผู้หญิงที่ฉันไม่เห็นหน้าดังลอดเข้ามาจากบริเวณอ่างล้างมือหน้ากระจก ฉันขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร คนพูดอาจจะไม่คิดว่ามีใครอยู่ในห้องริมสุดของห้องน้ำนี้
“เบญจเพสของแกมีแค่ครั้งเดียว ฉันบอกแกแล้วให้คิดดีๆ ไม่ใช่มาขอเล่นแบบนี้”
ประโยคต่อมาทำเอาฉันสงสัยขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ มือที่กำลังกดโทรศัพท์เล่นหยุดชะงัก เปลี่ยนเป็นตั้งใจฟัง เบญจเพสที่แปลว่าอายุยี่สิบห้าปีอย่างนั้นน่ะหรือ
“ฉันบอกแล้วว่าพรศักดิ์สิทธิ์ในวันที่อายุครบเบญจเพสเป็นเรื่องจริง” คนพูดถอนหายใจยาวเหยียดอย่างระอาใจเสียเต็มประดา “แกรู้ไหมว่าการจะหาดาวตกได้ในวันที่อายุครบยี่สิบห้าปีบริบูรณ์ในชีวิตเนี่ยมันไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตแกมีวันนี้แค่วันเดียวนะ”
รู้ตัวอีกทีฉันก็นิ่งฟังทุกคำในประโยคนั้นอย่างตั้งใจ
“ใช่สิ แกขอได้ครั้งเดียว” เสียงนั้นติดจะรำคาญ “นี่แกใช้พรวิเศษย้อนเวลาได้ครั้งเดียวในชีวิตย้อนกลับไปดูหวยที่ออกงวดที่แล้วเนี่ยนะ ซื้อหวยสองตัวได้มาสองพัน คุ้มไหมเนี่ยกับพรวิเศษครั้งเดียวในชีวิตของแก”
ครั้งเดียวในชีวิต?
“ไม่ได้ ต่อให้คืนนี้มีดาวตกอีกแกก็ขอไม่ได้แล้ว ฉันก็ย้ำนักย้ำหนาแล้วไงว่าจะขออะไรก็ให้คิดให้ดีเสียก่อน อย่าทำอะไรเล่นๆ”
ขอพรต่อหน้าดาวตก?
“แกไม่ได้ย้อนเวลากลับไปจริงๆ แค่อดีตที่แกขอจะเปลี่ยนไป แล้วจะส่งผลมาถึงปัจจุบันด้วย เหมือนอย่างที่แกขอให้รู้ว่าหวยจะออกเลขอะไร แกก็ไม่ได้ไปโผล่ในอดีตจริงๆ แกแค่รู้ว่าหวยจะออกเลขอะไร แล้วแกก็ไปซื้อ จนได้เงินมาเพิ่มในกระเป๋าสองพันตอนที่แกขอเสร็จแล้ว”
ย้อนเวลากลับไปแก้อดีต?
“ฉันจะไปรู้แกเหรอว่าทำไมแกถึงซื้อแค่ใบเดียว แกอาจจะหาซื้อไม่ได้ ไม่ชอบเล่นการพนัน หรือไม่ก็ไม่เชื่อโพยหวยที่ตัวเองหามาได้ก็ได้ ทั้งหมดมันจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ”
เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ?
“ทำใจเถอะ” เสียงนั้นเหมือนจะเปลี่ยนเป็นปลอบใจ “แกขอได้แค่ครั้งเดียว ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป อย่างน้อยแกก็ได้เงินมาสองพัน”
มือที่กำลังจับโทรศัพท์ของฉันสั่นน้อยๆ ภาพหน้าจอที่เป็นรูปสถาปัตยกรรมงดงามนั่นเหมือนจะร้องเรียกอะไรบางอย่าง อะไรบางอย่างที่อยู่ท่ามกลางความสับสนไม่เข้าใจตีกันไปตีกันมาเละเทะในหัวสมองเต็มไปหมด ย้อนเวลาตอนอายุเบญจเพสอย่างนั้นหรือ โลกนี้มีสิ่งมหัศจรรย์แบบนั้นอยู่จริงหรือเปล่านะ
“คุณคะ”
ฉันตัดสินใจเปิดประตูออกไปพร้อมกับคำถามที่อื้ออึงอยู่ในหัวเต็มไปหมด แต่ก็ว่างเปล่า ผู้หญิงเจ้าของเรื่องราวแปลกประหลาดนั่นหายไปแล้ว อ่างล้างมือยังคงเปียกชื้น ประตูยังคงสั่นไหว เหมือนเธอเพิ่งจะหายไปเมื่อครู่นี้เอง ฉันรีบเดินตามออกไปแต่ก็พบกับทางเดินที่ว่างเปล่า เชื่อมต่อไปได้หลายทิศทาง ไม่รู้ว่าจะไปหาคำตอบที่แสนพิศวงนั้นได้จากที่ใด
“พอใจ คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”
ไม่ใช่ผู้หญิงปริศนา แต่กลับเป็นเมทิตย์ที่เดินมาจากทางเดินอีกด้านหนึ่งเรียกฉันไว้แทน ฉันเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย อีกฝ่ายจึงรีบตอบกลับมา
“ผมเป็นห่วง เห็นคุณหายไปนาน กลัวว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“เปล่าหรอกค่ะ พอดีเพื่อนทักมาบ่นอะไรให้ฟังเลยเผลอตอบเพลินไปหน่อย”
ฉันตอบไปอย่างแก้เก้อทำตัวไม่ถูก เมทิตย์จึงชวนฉันเดินกลับไปที่บาร์ส่วนตัวที่ตั้งอยู่อีกฟากหนึ่งของดาดฟ้าโรงแรมหรู ลมเริ่มแรงขึ้นแล้ว เขาจึงหยิบผ้าพันคอมาคลุมไหล่อันเปลือยเปล่าของฉันไว้ เสียงขอบคุณดังขึ้นแผ่วเบาขณะที่ประตูบาร์เปิดออกอีกครั้ง
“ไปดูตึกของคุณกัน เมื่อกี้ผมยังไม่รู้เลยว่าคุณหมายถึงตึกไหน”
เมทิตย์จูงมือพาฉันเดินไปที่ดาดฟ้ากว้าง ท้องฟ้าของกรุงเทพมหานครมืดมิดเช่นทุกครั้ง ไม่มีดาวแม้แต่ดวงเดียว หากแต่ขมุกขมัวไปด้วยความซีดจางของอากาศอันหนักอึ้ง แต่ฉันก็หลงรักเมืองสีหม่นนี้จับใจ
00.00 นาฬิกา
เสียงร้องเตือนเบาๆ ดังมาจากนาฬิกาข้อมือของเมทิตย์ ฉันหันไปมองยิ้มๆ และนั่นก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่เสียงระเบิดเบาๆ ดังขึ้นที่ตึกสูงของอีกฝั่ง พลุสีสวยสว่างจ้าขึ้นท่ามกลางค่ำคืนอันแสนมืดมน สว่างจนรู้สึกอบอุ่นเหมือนกับโดนสวมกอดไว้ด้วยรักที่แสนคุ้นเคย
“สุขสันต์วันเกิดนะ พอใจของผม”
ดวงตาคู่สวยนั้นยิ้ม ริมฝีปากสวยนั้นก็ยิ้มเช่นกัน ฉันยิ้มตอบ ก่อนจะถูกดึงร่างเข้าไปตรงหน้าเขา ในเวลาเดียวกันกับที่ท้องฟ้ายังคงเจิดจ้าไปด้วยพลุที่แตกเป็นประกาย
เมทิตย์ประทับรอยจุมพิตอย่างแผ่วเบา
รอยชุ่มชื้นนั่นยังคงให้ความรู้สึกคุ้นเคยไม่เปลี่ยนแปลง ฉันเผยอริมฝีปากรับอย่างโหยหาคนตรงหน้าอย่างบอกไม่ถูก เนื้อตัวร้อนวูบวาบระคนด้วยความยินดีในวันเกิดอายุครบเบญจเพสของตนในวินาทีนี้ มือแข็งแกร่งของเขาเลื่อนไล้มาสัมผัสที่แผ่นหลัง ก่อนจะค่อยๆ ดึงผ้าพันคอออก เผยให้เห็นผิวบริเวณหัวไหล่และท่อนแขนที่เปลือยเปล่า รับกับชุดกระโปรงยาวสีครีมเข้ารูปที่เผยให้เห็นส่วนโค้งส่วนเว้าของทรวดทรงไปจนจรดต้นขา
มือของเมทิตย์เลื่อนลงมาที่กลางหลังของฉัน สัมผัสนั้นเรียกความรู้สึกวาบหวามให้แผ่ซ่านไปทั่วทั้งตัว ในขณะเดียวกันจุมพิตรสหอมหวานก็ยังคงอยู่ไม่ห่าง สลับกับการทำความรู้จักกันอีกครั้งและอีกครั้ง ซ้ำไปซ้ำมา รสชาติของเขาหอมหวานเหมือนเหล้ารสจางที่เจืออยู่ในแก้วเครื่องดื่มสีสวย หากชิมเพียงครั้งแรกก็สามารถทำให้ติดใจหลงใหลได้ทันที อยากจะลองลิ้มรสอีกครั้ง หอมหวานจนลืมรสชาติฝาดเฝื่อนที่แฝงไว้ในตอนท้ายสุด อันเป็นรสชาติแห่งความมัวเมาที่ซ่อนเร้นไว้ให้ลุ่มหลงไม่รู้ลืม
“ไปที่ที่มีแต่เราสองคนดีไหม”
เขากระซิบ และฉันก็พยักหน้ารับอย่างแผ่วเบา
2)
จูบของเมทิตย์เริ่มต้นเป็นปฐมบท
การที่ฉันกับเขาเจอกันและรักกันแบบนี้ไม่ใช่แค่ครั้งแรก ตลอดความสัมพันธ์ที่ยาวนานร่วมสิบปีของเราผ่านร้อนและหนาวมามากมาย ระหว่างนั้นก็มีบ้างที่ร้อนวูบวาบราวกับขนมหวานของปีศาจที่ชวนให้ลุ่มหลง ดังเช่นที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้
เขาแทรกตัวเข้ามาทำความรู้จักในริมฝีปากของฉันอีกครั้ง
รสชาติของชายหนุ่มหอมหวานทั้งยังชุ่มชื้น คละเคล้าไปด้วยความแปร่งปร่าที่แตะอยู่ปลายลิ้น ไม่ถึงกับขมแต่ก็ชวนโหยหาราวกับยาเสพติด ฉันชอบเวลาที่เราจุมพิตกันมากที่สุด ใบหน้าของเขาจะอยู่ห่างไปแค่เสี้ยวอณูกั้น ฉันรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของเขาอย่างแท้จริง
“คุณพระเอกหนุ่มทำไมรีบร้อนจังคะ”
ฉันแกล้งกระเซ้า คนตรงหน้าจึงชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างแผ่วเบา เขาและฉันกำลังอยู่บนเตียงในห้องกว้างขนาดพิเศษที่มีความเป็นส่วนตัวถึงที่สุดบนตึกสูง ทิวทัศน์เปิดกว้างเผยให้เห็นสวนสาธารณะสีเขียวเข้มที่อยู่อีกด้านของมุมเมือง ไม่ต้องกังวลว่าใครหรืออะไรจะมาแอบลอบมองความสัมพันธ์ตรงหน้านี้ ระหว่างดาราหนุ่มชื่อดังกับแฟนสาว บนเตียงนอนนุ่ม คลุมไว้ด้วยผ้าห่มแค่บางส่วน กับอาภรณ์ที่กำลังจะผลัดออกในไม่ช้า
เขาก้มลงจูบอีกครั้งที่เนินไหล่อันเปลือยเปล่า
สัมผัสนั้นปลุกความร้อนราวกับเป็นกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ ที่แผ่กระจายเร่งร้อนไปทั่วสรรพางค์ ลมหายใจของฉันหอบถี่ขึ้นโดยไม่ทันรู้สึกตัว ความเปียกชื้นนั้นไล่ลามลงมาสู่เบื้องล่างอย่างแช่มช้า มือของคนตรงหน้าค่อยๆ ปลดชุดกระโปรงยาวออกอย่างชำนิชำนาญ รวมไปถึงชิ้นส่วนอื่นๆ ด้วย รอยยิ้มที่ประกอบไปด้วยฟันที่เรียงซี่สวยนั้นสว่างอยู่ในความมืด ราวกับเป็นดาวดวงเดียวท่ามกลางคืนมืดมิดของเมืองหลวง
“ผมไม่เคยใจเย็นกับคุณได้สักครั้ง”
เขาพูดพร้อมชันตัวขึ้น ปลดเสื้อเชิ้ตขนาดพอดีตัวออกอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะเห็นมาหลายต่อหลายครั้งทั้งด้วยสายตาตัวเองและผ่านหน้าจอโทรทัศน์ แต่เรือนร่างตรงหน้าที่ใครต่อใครต่างกล่าวขวัญกันว่าสมบูรณ์แบบก็ทำเอาใบหน้าของฉันร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แสงและเงาวับวาบทำให้มัดกล้ามของเมทิตย์ชัดเจนกว่าทุกครั้ง
เมทิตย์เป็นนักแสดงอันดับหนึ่งของช่องโทรทัศน์อันดับต้นๆ ของประเทศ แม้จะไม่ใช่ช่องอันดับหนึ่ง แต่การเลือกอยู่ในช่องเบอร์รองกลับทำให้เมทิตย์เป็นนักแสดงอันดับหนึ่งของช่องได้ มีผลงานการแสดงปีละประมาณสามถึงห้าเรื่อง และทุกเรื่องเขาก็เป็นพระเอกเสมอ เมทิตย์จึงต้องดูแลรักษาสภาพร่างกายยิ่งชีพ นั่นเป็นอีกงานหนึ่งที่ชายหนุ่มต้องทำ
หลังของเขาผึ่งผายสมชายชาตรี
ไหล่กลมได้รูปรับกับมัดกล้ามต้นแขนใหญ่ขนาดที่พอจะเห็นส่วนโค้งส่วนเว้า แต่ไม่ถึงกับเป็นก้อนเนื้อที่ใหญ่โตจนเกินไป รอยเส้นเลือดปูดโปนบริเวณท่อนแขนสร้างเสน่ห์ให้เขาได้อย่างประหลาด เหมือนกับพระเจ้าบรรจงสร้างร่างกายนี้ขึ้นมาอย่างตั้งใจ และร่องรอยเหล่านี้ก็ใส่ไว้เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์
เมทิตย์ยิ้มเจ้าเล่ห์อย่างที่มักจะเห็นได้ในเวลานี้เสมอ
สายตาไล่ลงมาปะทะกับแผ่นอกหนาที่ขึ้นรูปนูนสวย สะอาดสะอ้าน และดึงดูดสายตาให้ไล่ลงไปตามเส้นแบ่งกลางลำตัวที่คมชัดอย่างคนที่ออกกำลังกายหนักและสม่ำเสมอ หน้าท้องไม่หนาแต่กลับเผยให้เห็นก้อนเนื้อนูนหกลูกอย่างชัดเจน ยิ่งผิวขาวสว่างของเขามีเหงื่อที่กำลังซึมออกมาน้อยๆ ก็เหมือนจะยิ่งเล่นกับเงาให้แต่ละมัดกล้ามเห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น
เขาค่อยๆ ปลดเข็มขัดและกระดุมกางเกงออก
ภาพรอยยิ้มราวกับหมาป่าร้ายและอากัปกิริยาที่ค่อยๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ช่วงล่างออกทำเอาฉันเบือนหน้าหลบด้วยความเขินอาย แต่มือนั้นค่อยๆ จับใบหน้าของฉันให้กลับมาดูอีกครั้ง ชายหนุ่มจากละครดังเรื่องล่าสุดคนนั้นยืนเปลือยเปล่าต่อหน้าฉัน แสงไฟจากกรุงเทพมหานครที่ฉายวับวามมาจากกระจกกว้างอาบร่างตรงหน้าให้งดงามจนหัวใจฉันเริ่มจะเต้นผิดจังหวะ
เมทิตย์ก้มลงจูบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ร้อนแรงราวกับเป็นบทเพลงทำนองใหม่
มือของเขากวาดก่ายสะเปะสะปะไปตามเนื้อตัว ส่วนมือของฉันก็คล้องสอดประสานเข้ากับท้ายทอยของอีกฝ่าย รสจูบกระชั้นและใกล้ชิดกว่าเก่า เสียงลมหายใจห้วนเบาดังขึ้นถี่ๆ ในห้องรโหฐาน เขาพาฉันดำดิ่งลงไปจนแทบจะหายใจไม่ออก หลงว่ายในทะเลมธุรสหวาน
ริมฝีปากเผยอรับรักนั้นเอาไว้แนบอก
เขาก้มลงใช้มือกอดจนร่างกายแทบจะกลืนเป็นหนึ่งเดียว เหงื่อชื้นที่ผุดขึ้นมาตามเวลาที่ผ่านไปราวกับจะเป็นสิ่งที่เชื่อมประสานเราเอาไว้ เมทิตย์ก้มลงไปทดลองรสชิมผิวเนื้อของฉันอย่างระเริงเล่น ฉันได้แต่ใช้ปลายนิ้วกดไปที่หัวไหล่และลำคอของอีกฝ่าย ระวังไม่ให้เล็บข่วนผิวของเขาจนเป็นรอย
“คุณสวยเหมือนเดิมเลย”
เขาพูดกับฉันพลางดึงตัวเองออกไปพินิจพิจารณาร่างกายที่เปลือยเปล่าของฉันบ้าง ดวงตาคู่นั้นระยิบระยับเป็นประกายจนฉันต้องเบือนหน้าหลบ
“ฉันมีแฟนเป็นดาราเบอร์หนึ่งของช่องนี่คะ ถ้าไม่สวยเหมือนเดิมก็คงจะตกกระป๋อง” ฉันแกล้งพูด
“โธ่”
“โธ่อะไรคะ”
“คุณพูดเหมือนไม่รู้จักผม ตอนที่ผมเดินเข้าไปจีบคุณตอน ม.สี่ ผมหลงรักคุณแบบไหน ตอนนี้ผมก็หลงรักคุณแบบนั้น”
เขาพูดพร้อมก้มลงจูบบริเวณตรงกลางเนินเหนืออก ราวกับจะประทับไว้เป็นสร้อยห้อยคอวิเศษที่ไม่มีใครมองเห็น เหมือนความรักที่จะติดตามฉันไปทุกที่
“ฉันก็เหมือนกัน” ฉันลูบไล้เส้นผมของแฟนหนุ่ม “หลงรักคุณเหมือนเดิม”
ฉันเผยอริมฝีปากขึ้นรับจูบอีกครั้ง จุมพิตนั้นระเรื่อยจากริมฝีปากงามเพียงชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ ไล่ลงไปเบื้องล่าง ซุกไซ้หน้าท้องที่แบนราบ หยอกเอินล้อเล่นอย่างเคยคุ้น ก่อนจะขึ้นมากระซิบที่ริมใบหูอีกครั้งเหมือนทุกครั้ง นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันหลงรักเขาที่สุด
“คุณโอเคไหม”
เสียงหนักแน่นที่ตั้งคำถามถึงความยินยอมพร้อมใจทุกครั้งตั้งแต่ครั้งแรกจนถึงครั้งนี้ ไม่มีสักครั้งที่เขาลืม และหากมีสักครั้งที่ฉันบอกว่าไม่ ทุกอย่างจะจบสิ้นลงอย่างสุภาพที่สุด แม้กระทั่งจะขอเปลี่ยนเป็นนอนกอดกัน เมทิตย์ก็จะขออนุญาตก่อนเสมอ ความเป็นสุภาพบุรุษอย่างหาได้ยากยิ่งของเขาทำให้ฉันหลงรักทุกความเป็นตัวเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาแบบนี้ เวลาที่เขาส่งสายตาอ้อนราวกับเป็นเด็กตัวน้อยๆ คนหนึ่ง
“โอเคค่ะ”
ฉันตอบกลับไปที่ริมใบหูของเขาเช่นกัน ใบหน้านั้นจึงฉายรอยยิ้มสว่างกว้างตอบกลับมา มือของเขาลูบไล้ไปตามเนื้อตัวอย่างคนที่รู้จักกันมานานแสนนาน ฉันขบริมฝีปากเบาๆ เมื่อทุกอย่างกำลังจะเริ่มต้นขึ้น และฉันก็ถูกประทับด้วยจุมพิตอีกครั้ง
“เมทิตย์”
ฉันเรียกชื่อเขาออกมาด้วยความรู้สึกวาบหวามราวกับมีไฟรุมเรื่อจากทุกบริเวณของเนื้อผิว ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับตัวอย่างเชื่องช้าไปตามจังหวะ มือของฉันสัมผัสที่ท้ายทอยของเขา ลมหายใจเหนื่อยหอบค่อยๆ กระชั้นขึ้นเป็นท่วงทำนองผสานกับช่วงเวลาที่ร่างกายทั้งสองต่างโอบรับซึ่งกันและกันไว้อย่างแนบแน่นในอ้อมกอด
“พอใจ”
ชายหนุ่มตอบกลับ ท่ามกลางช่วงเวลาหอมหวานที่ลอยละล่องจนเหมือนความสุขจะทะลักล้นออกมาจนหายใจไม่ได้ เสียงหอบสั้นถี่ เสียงของการเคลื่อนไหวร่างกาย เสียงนิ้วมือกดแผ่นหลังไว้แน่น เสียงเรียกชื่อกันซ้ำๆ ดังสลับกันไปมาในห้องกว้าง ฉันจ้องตาเขา สบมอง ราวกับจะร้องขอห้วงรักพิเศษอะไรบางอย่าง
เขาก้มลงจูบ
หนักหน่วง ยาวนาน ในขณะที่ร่างกายของคนทั้งสองต่างเคลื่อนไหว ผสานกลมกลืนกันเป็นหนึ่งเดียว เหงื่อเปียกชื้นชโลมร่างของเขาและฉันไว้จนชุ่ม อ้อมกอดที่ชื้นแฉะเกี่ยวกระหวัดกันไปมา ผสานกับจังหวะที่ถี่ขึ้น ถี่ขึ้น และถี่ขึ้น
“ผมรักคุณ”
เขาเหนื่อยหอบ และฉันเองก็รู้สึกได้เช่นกัน
3)
ฉันยังคงร้องเรียกชื่อเขาอีกหลายครั้ง
ห้องอาบน้ำของโรงแรมกว้างขวาง อ่างอาบน้ำขนาดพอให้ลงไปแช่ได้สองคนสบายๆ มีระบบแรงดันน้ำที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้า แต่ในขณะเดียวกันกลับเร่งเร้าความรู้สึกทางกล้ามเนื้ออย่างประหลาด และมือของเขากับฉันก็เกาะเกี่ยวกันในสายน้ำแผ่วเบานั้น
“แล้วจะมาบ่นว่าฉันทำคุณเป็นรอยไม่ได้นะ”
เสียงพูดเหนื่อยหอบ หลังจากเรียกชื่อเขาอีกครั้งบนเตียงนอนเรียบนุ่ม ลมหายใจก็แหว่งวิ่นไปด้วยความรู้สึกที่ฟ่องฟูอยู่ในอก อัดแน่นจนแทบจะระเบิดออกมาเป็นความสุข ดวงตาของเขาเงยขึ้นสบทันที ทั้งที่ร่างกายยังคงขยับไปด้วยจังหวะเดิม
“ผมก็บอกให้คุณใส่เล็บปลอมเอาไง” เขาพูดขณะอยู่ในท่วงทำนองเร่งเร้า “เดี๋ยวถึงเวลาผมจะบรรจงถอดออกให้ทีละนิ้วเลย”
“ลำบากจะตาย เกะกะ แล้วก็หักง่ายอีก” ฉันหอบ
“งั้นคุณก็ใช้นิ้วกดแทนไง อย่าใช้เล็บจิก ยังไงผมก็ชอบนิ้วของคุณในเวลาแบบนี้อยู่ดี”
เมทิตย์ตอบทั้งที่ยังรักษาจังหวะไว้ในห้วงเดิม ครั้งหนึ่งฉันเคยเผลอใช้เล็บข่วนเขาจนเป็นรอย โชคดีที่ไม่ได้เป็นแผลชัดเจนมากนัก ฉันต้องสอนให้เขาใช้พวกคอนซีลเลอร์กลบรอยแผลไว้เวลาที่จำเป็นต้องถอดเสื้อถ่ายงาน หลังจากนั้นฉันก็จำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ ใช้นิ้วกดได้ แต่ห้ามใช้เล็บ
“ไว้ผมแก่จนไม่ต้องถอดเสื้ออวดใครแล้ว ผมจะให้คุณข่วนจนพอใจเลย ทุกวันก็ได้ ผมไม่เกี่ยง”
ชายหนุ่มพูดหลังจากกอดร่างของฉันไว้แน่นนานสักชั่วสามลมหายใจได้ ก่อนจะปล่อยตัวลงมานอนแผ่หมดแรงอยู่ข้างๆ แต่ไม่นานก็ขยับตัวไปหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตามเนื้อตัวของฉันอย่างแผ่วเบา ฉันจึงดึงผ้าห่มมาคลุมร่างไว้
“ไปอาบน้ำกันนะ จะได้สบายตัว”
เขาเอ่ยชวน ขยับตัวจะไปหาผ้าขนหนูผืนใหม่มาให้ แต่ฉันปฏิเสธไปด้วยเสียงหนักแน่น แต่ก็ปนเสียงหัวเราะไว้ในตอนท้ายเบาๆ
“คุณไปก่อนเถอะ ขืนอาบด้วยกันอีก เดี๋ยวคืนนี้ก็ไม่ได้นอนกันพอดี พรุ่งนี้คุณมีงานด้วยนี่ เดี๋ยวก็โทรมแย่หรอก” ฉันพูด
“งั้นผมอาบก่อนนะ ผมอาบไม่นาน”
ตอนแรกเหมือนเมทิตย์จะไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ แต่พอได้ยินประโยคสุดท้ายเขาก็ยอมรับในเหตุผล เปลี่ยนมายิ้มให้ หอมแก้มเบาๆ และหยิบผ้าขนหนูเข้าห้องน้ำแทน
สายตาของฉันหันไปมองท้องฟ้ากรุงเทพมหานคร
กลางคืนมืดมิดนี่สวยงามอย่างประหลาด ฉันชอบบรรยากาศยามกลางดึกที่สุด ตึกสูงต่างๆ พากันเปิดไฟอวดโฉมให้เห็นเป็นร่างเงา ยิ่งมืดยิ่งกลบไม่ให้เห็นสภาพผังเมืองที่สับสนปนเปของที่นี่ เหลือไว้แต่เพียงสถาปัตยกรรมที่ฉายชัดเป็นเค้าโครง อาบด้วยแสงประดิษฐ์บ้าง แสงธรรมชาติบ้าง
มือหยิบผ้าห่มหนาเทอะทะขึ้นมาห่อร่างไว้ ก่อนจะทรงตัวลุกขึ้นเดินตรงไปยืนอยู่ริมหน้าต่างกว้าง ฉันคบกับเมทิตย์มาสิบปีแล้วตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย เขาเข้ามาทำความรู้จักที่โรงเรียนกวดวิชาที่สมัยนั้นใครๆ ก็ไปกัน เจอกันบ้างไม่เจอกันบ้าง แล้วแต่ว่าจะมีดวงสมพงศ์ให้ลงเรียนวิชาเดียวกันในเวลาเดียวกันหรือไม่ เขาทำตัวเป็นเพียงเพื่อนที่เรียนพิเศษอยู่แบบนั้นเป็นเทอม ก่อนจะกล้าขอเบอร์โทรศัพท์มือถือ และเริ่มโทรมาจีบอย่างผู้ชายคนหนึ่ง
จากสิบห้าจนยี่สิบห้า ก็ครบเวลาสิบปี
ฉันจะอายุครบเบญจเพสในวันนี้ คืนนี้ ตัวเลขพิศวงที่ว่ากันว่าจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงระดับเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนหลังมาให้ชีวิตใครต่อใครหลายคน แต่จะใช่ฉันด้วยหรือไม่ ฉันก็ไม่อาจคาดเดารับรู้ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังมีเมทิตย์อยู่ เขาที่สัญญาว่าจะไม่จากกันไปไหนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
“เบญจเพส…”
เสียงของฉันเอ่ยรำพึงขึ้นเบาๆ อย่างสะดุดกับความคิดอะไรบางอย่าง ฉันเองก็แทบจะลืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปหมดแล้ว ใช่สิ ก่อนที่เมทิตย์จะร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้ฉันฟัง ฉันได้ยินเรื่องราวประหลาดมาจากผู้หญิงคนหนึ่งที่ฉันเองก็ยังไม่เคยเห็นหน้า…ความมหัศจรรย์ของดาวตกในคืนเบญจเพส
ฉันเขยิบตัวเข้าไปใกล้จนสัมผัสกับกระจกกว้างนั้น
ถึงแม้ว่าห้วงหนึ่งของความรู้สึกจะร้องต่อต้านถึงความไม่น่าจะเป็นไปได้ของเรื่องเล่าอันแสนจะผิดที่ผิดทางนั้น แต่ยิ่งฉันเห็นป่าคอนกรีตที่ประกอบสร้างขึ้นมาด้วยอาคารสารพัดรูปทรงตรงหน้า หัวใจของฉันก็เหมือนจะถูกสูบหายไปด้วยความฝันในวันวานที่ไม่เคยถูกเติมเต็ม
‘แกขอได้แค่ครั้งเดียว’
เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้งในหู
‘อดีตที่แกขอจะเปลี่ยนไป’
อดีตที่เป็นบาดแผลที่ฉันอยากจะรักษามันให้หายขาด
‘แล้วจะส่งผลมาถึงปัจจุบันด้วย’
หากว่าคำขอวิเศษนั้นเป็นความจริง
“ก็ไม่มีอะไรเสียหายนี่ แค่ลองขำๆ”
ริมฝีปากขยับเป็นเสียงดังเท่ากระซิบ บอกย้ำกับตนเองราวกับต้องการหาที่พึ่งบางอย่าง ใจหลุดลอยไปเห็นภาพตัวเองกับแบบโครงสร้างอาคารสูง ภูมิทัศน์ที่อยู่รายรอบ คนจำลองที่เดินไปมาในแบบภาพสามมิติ โมเดลสีขาวสะอาดที่ประกอบสร้างเป็นชั้นๆ เห็นห้อง เห็นเครื่องเรือน และเห็นความฝันอยู่ที่นั่น
ดาวตก…
หัวใจของฉันแทบจะหยุดเต้นเมื่อได้เห็นสิ่งที่ปรากฏตรงหน้า จุดเล็กๆ สว่างวาบขึ้นท่ามกลางผืนความมืดที่กางกั้นไว้เบื้องหน้า ตอนแรกฉันคิดว่ามันเป็นเพียงแสงไฟที่สะท้อนมาจากตัวเมืองเท่านั้น แต่เมื่อมันค่อยๆ วูบตกลงมา ทิ้งรอยเป็นทางยาว ฉันก็รู้ว่าปาฏิหาริย์มาเยือนชีวิตฉันแล้ว
“ฉันขอย้อนเวลากลับไปเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แทน”
ฉันเผลอยกมือทั้งสองขึ้นมากุมกันไว้อย่างร้องขอ พูดออกมาเสียงดังราวกับเป็นพิธีการบางอย่าง และเพียงวินาทีเดียว ฉันก็รู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาสูบอากาศจนหมดไปจากห้อง ตัวของฉันแข็งทื่ออย่างทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่เท้าทั้งสองจะทรุดลงไปกองกับพื้นท่ามกลางกองผ้าห่มหนา
สะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพราะแสงที่สาดเข้ามาจนร้อนผิว ฉันลุกขึ้นส่ายศีรษะไปมาแบบงงๆ มองไปรอบด้าน ไม่มีร่องรอยของเมทิตย์อยู่ เขาคงจะออกไปทำงานแล้ว ฉันอาจจะหลับลึกจนปลุกไม่ตื่น เมื่อขยับตัวก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียง ไม่ใช่กองอยู่ที่พื้นอย่างที่จำความได้ เมทิตย์คงจะอุ้มฉันกลับขึ้นมานอนบนเตียง
เกือบสิบนาฬิกาแล้ว
เมื่อฉันหันไปมองนาฬิกาของโรงแรมที่หัวเตียงก็ได้แต่เผลอหัวเราะออกมาเบาๆ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตั้งใจจะโทรไปหาคนรักเพื่อต่อว่าเล่นๆ เสียหน่อยที่ไปโดยไม่ยอมปลุก แต่สัญชาตญาณบางอย่างก็ร้องเตือนให้ฉันเอะใจ ไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของเมทิตย์อยู่ในเครื่อง กดดูแล้วดูอีกก็ไม่มี ย้อนดูจากประวัติการโทรก็ไม่มี บทสนทนาในแอพพลิเคชั่นต่างๆ ก็หายไปหมด ราวกับเขาไม่มีตัวตนอยู่เลย
หัวใจฉันตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
แต่ยังไม่ทันได้ทำอะไร เสียงร้องเตือนของโทรศัพท์ก็ดังขึ้น จดหมายอิเล็กทรอนิกส์เกี่ยวกับเรื่องงานจำนวนมากถูกส่งเข้ามา และงานที่ว่านั่นก็เป็นเรื่องสถาปัตยกรรมทั้งหมด ฉันนิ่งอึ้งไปและเริ่มต้นทบทวนความทรงจำอีกครั้ง ก่อนที่โทรศัพท์จะร่วงหล่นจากมือไปอย่างแทบจะสิ้นสติ
ฉันได้เป็นสถาปนิกสมใจแล้ว
ความทรงจำ ณ ตอนนี้บอกว่าในสมัยมัธยมฉันกล้าลุกขึ้นมาบอกแม่อย่างตรงไปตรงมาจนหันเหไปเรียนด้านที่รักตามที่คาดหวังทุกอย่าง ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ในบริษัทสถาปัตย์ระดับประเทศ และในความทรงจำนั้นก็ยังบอกอีกว่าการที่ฉันเลือกหันเหไปเรียนด้านการออกแบบทำให้ฉันไม่ได้ไปเรียนพิเศษสายสามัญอย่างที่เคย และนั่นทำให้ชีวิตนี้ฉันไม่เคยพบกับเมทิตย์เลยสักครั้ง
ฉันสูญเสียความรักที่ดีที่สุดในชีวิตไปเสียแล้ว!
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 1 ก.ค. 65 เวลา 12.00 น
Comments
comments
No tags for this post.